แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย บัดนี้เป็นเวลาที่เราจะได้พูดสิ่งที่ควรจะพูดสำหรับผู้มา ท่านทั้งหลายมากันเป็นอันมาก และหวังว่าจะได้ฟังสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ที่สุดแก่ท่าน มาคิดดูแล้วมันก็มันซ้ำๆ ซากๆ ก็ไม่มีอะไรนอกจากธรรมะ สิ่งที่เรียกว่าธรรมะเราก็ฟังกันแต่ธรรมะ มันยังไม่มีอะไรดีขึ้น มันคือก็มีแต่ธรรมะฟัง ไม่มีธรรมะปฏิบัติ เมื่อไม่มีธรรมะปฏิบัติ มันก็ไม่มีธรรมะผลของการปฏิบัติ แล้วก็ยังอยู่กันอย่างเดิม คือยังไม่ได้รับผลของธรรมะตามวัตถุประสงค์ของธรรมะ หรือของผู้ที่เปิดเผยธรรมะคือพระพุทธเจ้า แต่เราก็ยังไม่ยอมแพ้ คือไม่สลัดไอ้ความตั้งใจเดิม ยังคงหวังที่จะมีธรรมะให้ได้ นี่มันก็มีเหตุผลอยู่ หรือว่าโดยที่แท้แล้วมันเป็นการบังคับอยู่ในตัวเอง ความไม่มีธรรมะนั่นน่ะมันทำลายโลกทีเดียว ไม่ใช่ว่าทำลายบุคคลเพียงบางคน แต่ว่าบุคคลบางบุคคลแต่ละคนละคนนี่มันประกอบกันขึ้นเป็นโลก ถ้าว่าแต่ละคนมีธรรมะโลกทั้งโลกมันก็มีธรรมะ ก็เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่ของคนในโลกไม่มีธรรมะ เพราะไม่รู้จักธรรมะเสียเลยก็มี เพราะพอจะรู้บ้างแต่ทำไม่ได้เพราะมีเหตุขัดขวางอย่างอื่นก็มี หรือประโยชน์มันขัดกัน ก็มีคนบางพวกที่เขาพยายามจะให้มนุษย์ในโลกนี้เป็นไปในทางที่ไม่ต้องมีธรรมะก็ได้
ถ้าหากว่าเขาจะได้รับประโยชน์อันนั้น ดูจะทำกันอย่างนี้ไปเสียหมด ทุกฝ่ายและทุกพวก ไม่ว่าพวกที่จะตรงกันข้ามขนาดไหน ก็ดูจะต้องการแล้วก็มุ่งกระทำอย่างนี้กันทั้งนั้น ทั้งฝ่ายนายทุนหรือฝ่ายชนกรรมาชีพ ก็ล้วนแต่บูชาประโยชน์ ก็แสวงหาประโยชน์ ถ้าไม่ได้ง่ายๆ ก็ต้องใช้อำนาจ ใช้กำลัง ใช้การต่อสู้ กลายเป็นโลกที่บูชาประโยชน์ มุ่งแสวงหาประโยชน์ เลยไปถึงว่ามันแสวงหากันอย่างหลับหูหลับตา โดยไม่รู้ว่าการกระทำนั้น มันเป็นการทำลายประโยชน์ไปเสียก็มี อยากจะยกมาเป็นตัวอย่างสักข้อหนึ่ง ซึ่งพอจะเห็นกันได้ง่ายๆ ว่าไอ้โลกนี้ มันกำลังถูกทำลายอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เรียกกันว่าทรัพยากรอันมีค่าของโลก ในตัวโลกนี้มันก็มีน้ำมันซึ่งมีค่า มีแร่ธาตุ โลหะต่างๆ ที่มีค่า มีไม้ มีไร่ มีอะไร ไม่ใช่โลหะนี่ก็มีค่า แต่แล้วก็ถูกทำลายไปอย่างน่าใจหาย โดยมนุษย์ที่คิดว่าเขาได้ประโยชน์ แต่เป็นการทำลายโลกโดยไม่ต้องรับผิดชอบ ดูกันที่ทรัพยากรของธรรมชาติที่ว่านี้ ไอ้น้ำมันก็ดี โลหะก็ดี มิใช่โลหะก็ดี อะไรก็ดีที่มีอยู่ในตัวโลกนี่ มันก็ขุดขึ้นมา ขุดขึ้นมา ขุดขึ้นมา ด้วยอำนาจของโลภะ ด้วยอำนาจของราคะ เอาโลหะมาทำเป็นรถยนต์ เป็นเรือบิน เป็นอะไรก็ได้ แล้วก็ใช้เพื่อส่งเสริมราคะส่งเสริมโลภะ
โลภะของคนน่ะทำลายทรัพยากรของธรรมชาติเหลือประมาณ เช่นมีรถยนต์นี่ ก็เอาไว้ขี่ ส่งเสริมความรู้สึกสนุกสนานทางกามารมณ์ ทางเพศ ไปดูเอาเองน่ะ ที่เขาขี่รถยนต์เที่ยวเล่นเพื่อความสุขส่วนบุคคล ไม่มีความจำเป็นอะไร มันก็เพื่อสนองกิเลสคือโลภะ และราคะเป็นต้น ดังนั้นเราก็จะเห็นได้ว่า ไอ้โลภะของคนนั่นแหละทำลายทรัพยากรธรรมชาติ เช่นน้ำมัน เช่นโลหะที่มาใช้เป็นอุปกรณ์ต่างๆไปเสีย มากๆ พูดง่ายๆว่า ขี่รถยนต์เล่นกันเสียก็มาก พอๆ กับขี่รถยนต์ทำงาน นี่เรียกว่าทำลายมันเสียด้วยราคะของคนในโลก ทีนี้มันก็ทำลายเสียด้วยโทสะ หรือโกธะ เอาโลหะมาทำเครื่องรบ เรือรบ กระทั่งเอาน้ำมันมาใช้ในการรบ ทรัพยากรธรรมชาติ ถูกใช้ไปในการรบ การเตรียมรบ การขู่ผู้อื่นให้หวาดกลัวเพื่อการรบ ทรัพยากรในโลกก็ถูกทำลายไปเสียด้วยกิเลส ชื่อโทสะ อาจจะมากกว่าที่ถูกทำลายด้วยกิเลสชื่อโลภะ ราคะก็ได้ แต่ข้อนี้มันไม่แน่ เราไม่มีปัญญาที่จะรู้แน่ แต่ประมาณๆ กันว่า มันก็ไม่น้อยนะ โทสะของมนุษย์ โกธะของมนุษย์ เอาทรัพยากรในโลกขึ้นมาทำลายเสียด้วยการสงคราม หรือเนื่องด้วยการสงคราม มากมายใกล้จะหมดโลก
ทีนี้กิเลสตัวที่สามก็คือโมหะ มนุษย์ได้ขุดเอาทรัพยากรธรรมชาติในโลกนี้ มาสร้าง มาทำ สิ่งที่ไม่ต้องทำ สิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำ ไปดูเอาเอง ที่เมืองนอกจะมีมาก เพราะเห็นรูปถ่ายมันมากเหลือเกิน เมืองไทยก็ตามอย่าง ตามก้นพวกเมืองนอก ก็สร้างสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องสร้าง ไม่จำเป็นที่ควรจะต้องทำ เรื่องบ้าๆ บอๆ อะไรก็ไม่รู้ เรื่องศิลปะบ้าง เรื่องอะไรที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ ทำแล้วรื้อทิ้ง รื้อทิ้งแล้วทำใหม่ ทำใหม่แล้วรื้อทิ้ง ในสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ นี่ทั่วไปทั้งโลกมันก็มีอย่างนี้ สิ่งที่มนุษย์ไม่จำเป็นจะต้องทำ เราก็ทำด้วยอำนาจของโมหะ มันก็ทำลายทรัพยากรธรรมชาติในโลกนี้มากมายเหมือนกัน แต่ถ้าไม่สังเกต ไม่รู้ แล้วบางทีจะไม่รู้ว่า ไอ้สิ่งที่ทำนั้น น่ะ ไม่จำเป็นจะต้องทำ จะเห็นดีเห็นชอบว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำไปเสียด้วยก็มี อย่างนี้ก็เข้าใจไม่ได้ เรามีจิตใจเป็นอิสระหน่อยว่าอะไรไม่ต้องทำ แล้วก็มาทำ ทำแล้วก็รื้อทิ้ง รื้อทิ้งแล้วก็ทำ ทำเพื่ออวดของแปลกๆกัน ความก้าวหน้าในการสร้างอะไรให้แปลกๆ นี่กำลังนิยมกัน ยกย่องกัน ไม่รู้ว่านี่เครื่องเครื่องทำลายโลกอย่างหนึ่งด้วย นี่เราลองหลับตาดูว่าโลภะ โทสะ โมหะ ของมนุษย์ในโลก กำลังทำลายทรัพยากรธรรมชาติในโลก อย่างน่าหวาดเสียว จวนจะเกลี้ยงไปจากโลกอยู่แล้ว นี่ก็คือไม่มีธรรมะ มีแต่สิ่งที่ตรงกันข้ามคือโลภะ โทสะ โมหะ อันมิใช่ธรรมะที่พึงประสงค์ แล้วก็ทำลายทรัพยากรของโลกให้หมดโลก
นี่ไม่ได้พูดถึงเรื่องทำลายมนุษย์กันเอง ทำลายมนุษย์กันเองยังเดือดร้อนกว่านี้ นี่ชื่อว่าทำลายทรัพยากรของโลก ขุดขึ้นมา ถลุงให้มันหมด ความไม่มีธรรมะของมนุษย์ทั้งโลก แล้วทีนี้เราก็ดูว่า โลภะ โทสะ โมหะ ของเราคนเดียว ของเราคนเดียวน่ะ มันก็ทำลายอะไรกี่มากน้อย เราได้เหน็ดเหนื่อย ลำบากหมดเปลือง เพื่อสนองกิเลสโลภะ วัน คืน เดือน ปีหนึ่งเท่าไร สนองกิเลสโทสะของเรา วัน คืน เดือน ปีเท่าไร สนองกิเลสโมหะของเรา วัน คืน เดือน ปีเท่าไร ในบางกรณีก็ไม่ได้เบียดเบียนใคร แต่มันก็หมดเปลืองเหลือเกิน ทีนี้ที่เลวร้ายก็คือว่ามันทำไปในทางเบียดเบียนผู้อื่น มีโลภะ แล้วก็เบียดเบียนผู้อื่นเพื่อจะเอาของเขามาเป็นของเรา มีโทสะก็เบียดเบียนผู้อื่น จะฆ่าเขาฆ่าเขาเสีย ล้างแค้น อะไรก็ตามน่ะ มันก็เบียดเบียนผู้อื่น แล้วโมหะ มันก็เบียดเบียนผู้อื่น ในลักษณะที่ไม่จำเป็นจะต้องเบียดเบียนมันก็มีอยู่มาก ไปสำรวจดูข่าวในหนังสือพิมพ์ที่มีรูปภาพเหล่านั้นแหละ จะพบพบว่าหลายๆ รายเหมือนกัน ทำไปด้วยโมหะ ไม่ใช่โลภะ ไม่ใช่ราคะ ไม่ใช่โทสะ ก็มีมากเหมือนกัน
นี่ความไม่มีธรรมะของมนุษย์ ก็ทำลายโลก ทำลายตัวเอง ทำลายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แล้วมันจะอยู่กันทำไม มันจะอยู่กันอย่างไร ทำไมการศึกษาช่วยไม่ได้ ทำไมยิ่งก้าวหน้าทางการศึกษาปัญหาอย่างนี้ยิ่งมีมาก เมื่อการศึกษาไม่เจริญปัญหาไม่มีมากเท่านี้ เช่น ปัญหาเฮโรอีน ปัญหากัญชานี้ไม่มีนะ ไม่มี ไม่ไม่มีเลยก็ว่าได้ แล้วก็มีๆๆ มากขึ้น เมื่อโลกมันมีการศึกษา การศึกษาก้าวหน้าเต็มโลก ก็มีคนไปเสพเฮโรอีน ของมึนเมานี่ มันน่าละอายไอ้คนป่า สมัยคนป่า หรือว่าสมัยที่การศึกษายังไม่เจริญ ไม่มีใครข้องแวะกับสิ่งเหล่านี้กี่คน แล้วก็ไม่มีใครชอบสูบกัญชาด้วย เดี๋ยวนี้การศึกษาเจริญ ชั้นมหาวิทยาลัยเต็มไปทั้งโลก คนกลับไปชอบสูบกัญชา เป็นปัญหามากมาย ราคาเป็นร้อยล้านพันล้าน เมื่ออาตมาเด็กๆ เห็นเขาปลูกต้นกัญชาไว้หลายๆบ้าน เกือบจะทุกบ้านก็ได้ ปลูกไว้ รวมๆกันอยู่กับพวกพืชผักสวนครัว เช่นใบกะเพรา เป็นต้น เขาเอายอดกัญชาใส่แกง แล้วกินอร่อยกว่าที่ไม่ใส่ แต่ก็ไม่ไม่มีใครสูบกัญชาคิดดูสิ ทั้งที่กัญชาอยู่ตรงนั้นน่ะ มันก็ไม่มีใครเอามาตากแห้งแล้วก็จุดสูบเป็นสูบกัญชา คนมันยังโง่ ก็ต้องถือว่าคนมันยังโง่
เดี๋ยวนี้คนมันฉลาด มันเรียนหนังสือมาก มันชิงกันสูบกัญชา จนไม่มีขาย จนแพงมาก จนเป็นปัญหาใหญ่ กัญชาแต่ละคราวละคราว จับได้มาเผานี่ ราคาเป็นล้านๆนะ แล้วที่ที่ไม่จับไม่ได้ก็อีกแยะนี่ทำไมล่ะการศึกษามีแล้วทำไมคนจึงไปชอบสูบกัญชา เฮโรอีน ผลการศึกษามันสูญเปล่าหรือเปล่าคิดดู นี่ก็เป็นเรื่องของโมหะไปทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ พวกที่ไปสูบกัญชานั่นน่ะเป็นต้นนะ มันก็คือโมหะ มันไปทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ ให้หมดเปลือง ให้ลำบาก ให้เป็นทุกข์ หรือไปทำอบายมุขสนุกๆ มันก็เป็นเรื่องโมหะเพราะทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ ฉะนั้นระวังกันดีดี อย่าให้มีสิ่งที่ทำไปด้วยโมหะ เช่นต้องกินน้ำอัดลม มันถือว่ามันต้องกินน้ำอัดลม ทั้งที่ไม่กินก็ได้ ไอ้สิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ มันกลายเป็นต้องทำขึ้นมา เดี๋ยวนี้ก็มีปัญหายุ่งยากเกี่ยวกับน้ำอัดลม อย่างเดียวนี่เป็นร้อยล้านพันล้านเหมือนกันทั้งทั้งโลก ซึ่งเมื่อก่อนมันก็ไม่มี แม้แต่น้ำแข็งอย่างนี้ ดูให้ดีว่าจำเป็นหรือไม่จำเป็น เดี๋ยวนี้น้ำแข็งนี่มันเป็นสิ่งที่มีค่า ทั้งโลกเป็นร้อยล้าน พันล้านต่อวัน ถ้าไม่ต้องมีสิ่งเหล่านี้มันก็ไม่ยุ่งมากอย่างนี้ ก็ไม่ต้องหาเงินมากอย่างนี้ นี่ประเภทโมหะ ใหญ่โต ครอบงำโลก กว้างขวาง แต่ดูไม่รุนแรงกลับไม่มีใครรู้สึกเห็นว่าไอ้ราคะ โทสะ มันรุนแรงแล้วก็กลัวกว่าไอ้โมหะซึ่งมันไม่ค่อยมีอะไรรุนแรง
นี่เพื่อจะให้ให้เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าเรากำลังมีปัญหาด้วยกิเลสมันครองโลก โลภะ โทสะ โมหะ มันกำลังครองโลก ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เป็นปัญหา เป็นทุกข์ยากลำบากเนื่องกันไปหมด เราไม่มีส่วนจะไปนั่นกับเขา ก็พลอยเนื่องถึงเขา เนื่องกับเขา เช่นว่ามีสงคราม เราไม่ได้เนื่องอะไรกับเขา เราก็พลอยรับผลไอ้สะท้อนจากสงคราม มีของแพง เราไม่ได้มีส่วนทำอะไรกับเขา มันก็เดือดร้อนเพราะของแพง ถ้าทนไม่ได้มันก็ต้องโกง มันต้องคอรัปชั่น นี่โลกปัจจุบันมีกิเลสเป็นผู้ครองโลก การศึกษาสูญเปล่า พูดให้กระทรวงศึกษาธิการเกลียดเสียอย่างนั้นแหละ ว่าการศึกษามันสูญเปล่าทั้งโลกนะ ไม่ใช่เฉพาะเมืองไทย ไม่ทำให้เกิดสันติสุข สันติภาพอะไรขึ้นมาได้ เพราะโดยเนื้อแท้แล้วมันมันขาดธรรมะกันน่ะมันขาดธรรมะกัน ถ้ามันมีธรรมะไอ้สิ่งเหล่านี้มันก็มีไม่ได้ เพราะคนมันฉลาดพอไม่ไปทำสิ่งที่ไม่ควรจะทำไม่ทำสิ่งที่เป็นโทษ นี้อีกทางหนึ่งซึ่งทำให้ไม่มีธรรมะ ก็คือความก้าวหน้าในสิ่งที่ยั่วยวน สิ่งที่ยั่วยวนทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ยั่วยวนน่ะรุนแรงมาก กำลังก้าวหน้ามาก ไอ้ความก้าวหน้าของมนุษย์ก็คือความก้าวหน้าไอ้ทางผลิตสิ่งที่สนองกิเลส
ดังนั้นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นต้นนั้นน่ะ มันก็ก้าวหน้าเพื่อจะเชือดคอตัวมันเอง ไม่ใช่ก้าวหน้าเพื่อสร้างสันติภาพให้แก่โลก ท่านทั้งหลายเป็นนักเรียน เป็นนักศึกษา เป็นครูบาอาจารย์ ก็พอจะเข้าใจได้ ว่าผลิตผลจากไอ้เทคโนโลยีทั้งหลายนั่นเอาไปทำอะไรกัน มันก็มีอะไรบังหน้าว่าทำเพื่อประโยชน์อย่างนั้น ประโยชน์อย่างนี้ แต่ที่แท้มันทำเพื่อสนองกิเลสของมนุษย์ ฉะนั้นมนุษย์ก็พ่ายแพ้กับกิเลสมากขึ้น เรามีเครื่องมือวิเศษ เหมือนกับว่าเป็นของทิพย์ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ กายสิทธิ์ แล้วเราใช้มันทำอะไร เดี๋ยวนี้มีเครื่องมือวิเศษประเภทไอ้ไมโครอิเล็กทรอนิกส์นี่มากมาย ล้วนแต่ใช้ไปในทางที่จะให้มนุษย์หลงใหล ใช้เป็นเครื่องมือสำหรับคิด นึก ผลิต แล้วก็ผลิตด้วยเครื่องจักร ใช้เครื่องจักรที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ ผลิตสิ่งที่สนองกิเลสของมนุษย์ ยั่วยวนมนุษย์ให้หลงใหล ก็ดูเอาเองก็แล้วกัน จะเรียกได้ว่าทุกอย่างเลย เรื่องอาหารก็ดี เรื่องเครื่องนุ่งห่มก็ดี ที่อยู่อาศัยก็ดี แม้แต่ยารักษาโรคก็ดี มันเป็นไปเพื่อสนองกิเลสไปเสียหมด จิตใจของมนุษย์มันก็เปลี่ยนไปเป็นทาสของกิเลส แล้วมันก็รักผู้อื่นไม่ได้ ตัวมันเองมันยังไม่รู้จักรักเลย ไอ้คนที่มีกิเลส แล้วมันจะรักผู้อื่นได้อย่างไร นี่เรียกว่าปัญหาของมนุษย์ในเวลานี้
วิทยาการทางเทคโนโลยีนี้ยังจะก้าวหน้าอีกมาก แต่ก้าวหน้าออกมาเท่าไร มันก็เพื่อเชือดคอตัวเองทั้งนั้นแหละ นี่ให้คุณไปดูเอาเองคอยดูเอาเองก็แล้วกัน มันจะมีอะไรออกมาใหม่ๆ แล้วมันออกมาทำไรทำอะไร มันก็เชือดคอตัวเองเพื่อให้เป็นทาสของกิเลส และเป็นทุกข์ทรมาน เมื่อไม่ได้อย่างใจ มันก็ต้องฆ่าฟันกัน หลอกลวงกัน ทำลายศีลธรรมจนหมดสิ้น ในสถานการศึกษาแม้กระทั่งในวัดในวามันก็มาระบาด เพื่อจะทำลายความสงบสุขของมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถมีเครื่องวิทยุกระจายเสียงเป็นเป็นร้อยสถานี เราได้ประโยชน์ทางไหน เขาใช้เพื่อโฆษณาสิ่งที่ให้เกิดราคะ โลภะ เสียเป็นส่วนใหญ่ หรือยุแหย่ให้เกิดความเกลียดชังเป็นโทสะเสียมาก แล้วก็ให้ต้องให้ให้ให้ต้องทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ ให้ทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ เช่นว่าจะทำงานนี้ต้องเปิดวิทยุฟังไปพลาง นักเรียนทำการบ้านอย่างนี้ ต้องฟังวิทยุไปพลาง ไม่รู้มันเอาจิตใจไหนมาทำการบ้านได้ ทั้งที่เปิดวิทยุฟังไปพลางนี่ อย่างนี้เราเรียกว่ามันทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ ถ้าเราจะมีอะไรที่ ที่วิเศษ เป็นเครื่องยนต์กลไก เครื่องจักร เครื่องอะไร มันก็ผลิตแต่สิ่งที่ส่งเสริมกิเลส ไม่เคยใช้ส่งเสริมศีลธรรม
อย่างสถานีวิทยุจะส่งบทความศีลธรรมบ้าง ก็ไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด เพราะทั้งหมดเขาใช้เพื่อโฆษณาสิ่งที่ยั่วให้สนองกิเลส หรือให้เกิดความคิดในทางที่จะเอาเปรียบคนอื่น เอาเปรียบคนอื่นนั่นแหละเขาเรียกว่าความเจริญ วิชาเศรษฐกิจ วิชาเอาเปรียบคนอื่น ส่งเสริมเรื่องเศรษฐกิจ มันก็ส่งเสริมเรื่องเอาเปรียบคนอื่น มันก็เดือดร้อนกันไปหมด แล้วก็ไม่มีใครรักใครได้ นี่เรื่องมันเป็นอย่างนี้ เพราะว่าเป็นทาสของกิเลส บูชากิเลส รักกิเลสหมดจนไม่สามารถจะรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้ นี่มนุษย์เจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แล้วก็เพื่อเชือดคอตัวเอง เพื่อสร้างปัญหาแน่นหนาขึ้นกว่าแต่ก่อนที่เราในโลกนี้ ปัจจุบันนี้จะต้องทนทุกข์ การศึกษาเล่าเรียนไม่ได้เพื่อจะเอาชนะกิเลส ไปเรียนเมืองนอกเมืองนาก็จะได้เป็นทาสของกิเลสมากกว่าเรียนเมืองไทย แล้วก็มาเผยแพร่เป็นโรคระบาด นี่สมัครเป็นทาสกิเลสกันมากยิ่งขึ้นไปอีก แล้วมันก็อยู่อย่างนี้แหละ นี่บางคนคงจะสงสัยแล้วว่าอาตมาพูดในฐานะอะไร พูดอย่างนี้พูดในฐานะอะไร พูดในฐานะเป็นตัวแทนของใคร จะเรียกว่าในฐานะเป็นผู้รับใช้พระพุทธเจ้าก็ต้องพูดสิ่งซึ่งเป็นข้าศึกศัตรูของธรรมะ ของศาสนา หรือจะเรียกว่าพูดแทนในนามของพระธรรมก็ได้ พระธรรมถูกย่ำยีมากเกินไป จะปล่อยให้คนเหล่านั้นวินาศฉิบหายด้วยอำนาจผล ผล ผลของกรรมชั่ว มันก็ไม่สิ้นสุดเหมือนกัน คือจะมีคนสมัครเข้าไปเป็นอย่างนั้นมากขึ้นๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
ดังนั้นเราพูดธรรมะ เรื่องธรรมะ เพื่อจะหยุดเอาไว้ เพื่อจะดึงกลับให้มาหาธรรมะหรือมาหาศาสนา โดยให้รู้พระธรรมอีกนั่นเอง เรื่องที่จะต้องพูดกันก็คือธรรมะเท่าที่ควรจะรู้ อาตมาตั้งใจจะพูดเรื่องธรรมะเท่าที่ควรจะรู้ นี่ขอให้กำหนดไว้ด้วย คือจะขอร้องให้ท่านทั้งหลายทุกคนมีธรรมะ คือรู้ธรรมะ มีธรรมะ ปฏิบัติธรรมะเท่าที่ควรจะรู้ เท่าที่ควรจะปฏิบัติ เท่าที่ควรจะมี นี่วัดผลได้เอง ไม่ต้องเชื่อใครคือจะมีความทุกข์น้อยกว่าแต่ก่อน แล้วจะมีความสงบสุขในสังคมทั้งหลายนี่มากกว่าแต่ก่อน เราไม่รู้จักธรรมะ เราก็หลง บูชาไอ้สิ่งที่ไม่ใช่ธรรมะ ที่มันทำลายเราเรากลับไปชอบ ด้วยเหตุหลายอย่าง อย่างที่ว่าจะโทษเราคนเดียวก็ดูจะไม่ยุติธรรมนัก เพราะการศึกษาไม่พอเขาให้การศึกษาไม่พอ นับตั้งแต่บิดามารดาขึ้นไปถึงครูบาอาจารย์ นี้การศึกษามันไม่พอ ไม่พอที่ไอ้ลูกเด็กๆ เพิ่งเกิดมานี้มันจะรู้อะไรเป็นอะไร มันก็ทำผิดโดยไม่ต้องรู้สึกตัว แล้วทนสิ่งยั่วยวนไม่ไหว เอาหนังสือพิมพ์มาฉบับหนึ่งแล้วก็เปิดดูหน้าโฆษณา โดยเฉพาะโฆษณาภาพยนตร์ แล้วจะเคยดูกันไหมทุกวันด้วยซ้ำไปดูว่ามันให้อะไร แล้วมันดึงดึงจิตใจของเด็กๆไปทางไหน
โฆษณาเหล่านี้ทำให้เด็กๆ มีจิตตกต่ำ บูชากิเลส ไอ้ภาพบางภาพที่โฆษณาอยู่เดี๋ยวนี้ ถ้าเป็นสมัยก่อนโฆษณาไม่ได้ล่ะ เขาหาว่ามันผิดกฏหมายบ้าง เดี๋ยวนี้มันหาเล่ห์เหลี่ยมเอาโฆษณากันจนได้ เป็นภาพที่ทำให้เด็กๆ ของเรามีจิตตกต่ำ จะพูดหยาบคายก็ว่ามันมีจิตทราม บูชากามารมณ์ มหรสพที่กำลังบูชากันนักตอนนี้ล้วนแต่ส่งเสริมกามารมณ์รุนแรงมาก เด็กๆก็สู้ไม่ไหว ก็คล้อยตาม ก็คอยแต่จะทำอะไรเพื่อสนองความรู้สึกทางกามารมณ์ มันก็เลยหมดกันไม่มีอะไรเหลือ จะโทษใครก็ไม่ได้ก็คล้ายๆ กับว่า มันตาบอดกันไปเสียทั้งหมดทุกคนในโลก กิเลสครอบงำอยู่ก็ไม่รู้สึกเป็นทุกข์ด้วยกิเลสอยู่ก็ไม่รู้สึก เข้าใจว่าเป็นสุขไปเสียอีก ฉะนั้นเรามาพูดกันถึงเรื่องความสุขจะดีกว่า คือว่าความสุขนี่เป็นที่ต้องการด้วยกันทั้งนั้นน่ะ ไม่ต้องสอนก็ต้องการ ถ้าเกิดมาผิดอบรมมาผิดก็เข้าใจความสุขผิด มันก็เกิดเป็นความสุขชนิดที่หลอกลวง กับความสุขชนิดที่แท้จริงขึ้นมา สุขแท้จริงกับหลอกลวง สุขหลอกลวงคือสุขที่ต้องเอากิเลสมาเป็นเดิมพัน แล้วทำไปตามอำนาจของกิเลสก็ว่าสุขๆๆ คนหนุ่มคนสาวต้องฆ่าตัวตาย ต้องกินยาตายเพราะความสุขชนิดนี้อยู่เป็นประจำตามข่าวหนังสือพิมพ์
ส่วนความสุขที่ไม่หลอกลวงน่ะมันไม่ได้ทำให้ใครตาย มันกลับทำให้หยุด ให้หนีไอ้ความสุขชนิดนั้นไปอยู่ในความสงบ ดังนั้นเราเรียกว่าไอ้ความสุขที่เกิดมาจากธรรมะนี่พวกหนึ่ง แล้วความสุขที่เกิดมาจากอธรรม คือไม่ใช่ธรรม มีอยู่สองอย่างเท่านั้นเอง ความสุขที่เกิดมาจากธรรมะนี่ปลอดภัย ความสุขที่เกิดมาจากความไม่มีธรรมะนี้อันตราย แล้วก็เป็นความหลอกลวงอย่างยิ่ง ขบกัดอย่างยิ่ง ไอ้ความสุขที่ไม่หลอกลวงไม่มีอันตรายนั้นน่ะ มันเป็นความสุขที่เกิดมาจากธรรมะ เราต้องทำให้มีธรรมะ แล้วพอใจในธรรมะที่มี แล้วก็เป็นสุขเพราะพอใจในธรรมะ เรียกว่าสุขนี้มันเกิดมาแต่ธรรมะปีติ เกิดมาแต่ปีติ ความพอใจที่ได้มาจากธรรมะ ทีนี้อีกทางหนึ่งน่ะเป็นความสุขที่เกิดมาจากกามปีติ กิเลสปีติ กามปีติ ความพอใจที่เกิดมาจากกาม กิเลสกามารมณ์ ไปแยกเอาเองไปดูเอาเอง ความปีตินั้นเป็นความสุขแน่ คือพอใจไอ้สิ่งที่ได้ก็เป็นสุข แต่ว่าถ้าสิ่งนั้นมันเป็นธรรมะ มันก็เป็นปีติสุขแท้จริง ไม่ตบไม่กัดน่ะ แต่ปีติที่เกิดมาจาก ลาภะ กามะ นี้มันกัด
แต่เดี๋ยวนี้เราทั้งโลกก็ชอบปีติ สุข ที่เกิดมาจากกามะหรือลาภะน่ะยิ่งขึ้นทุกที ตามความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ของเทคโนโลยี ซึ่งเขาจะผลิตสิ่งซึ่งสนองกิเลสในโลกมากขึ้น นี้มันเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกันอยู่กับธรรมชาติมากทีเดียว เราละเลยในข้อนี้กันเสียปัญหามันก็ลุกลาม ถ้าเรายังถือหลักธรรมชาติที่ว่า มีความสุขอันเกิดแต่ธรรมปีติ เราก็จะปลอดภัย ถ้าเราหลงไอ้ความสุขที่เกิดจากกามปีติ เป็นความพอใจ เป็นปีติเหมือนกัน แต่ว่ามันเป็นเรื่องร้อนเรื่องหลอกหรือเป็นไฟ ที่ว่าไอ้ความสุขตามธรรมชาติอันบริสุทธิ์เกิดมาจากธรรมปีตินี้ อาตมาขอร้องให้สนใจกันทุกคน ที่นั่งอยู่ที่นี่นะขอให้สนใจไอ้ธรรมชาติของเด็กตัวเล็กๆ สามขวบสี่ขวบ พอวิ่งได้ กับเด็กพอวิ่งได้ พอเดินได้ วิ่งได้ เขาชอบทำงานนะ มีอะไรหน่อยเขาก็ขอทำเอง เขาขอทำเอง ไอ้เด็กๆ ชนิด ตัวเล็กๆนี้ แล้วพอทำเสร็จแล้วก็ดีใจ พอใจว่า แม่ชอบใจ พ่อชอบใจ เขาดีใจเต้นแร้งเต้นกา ว่าเขาได้ทำให้แม่พอใจ คือเขารู้สึกว่าเขาเป็นคนดี มีราคานั่นแหละนั่นแหละคือปีติที่เกิดจากธรรมะ ตามธรรมชาติ ตามสัญชาตญาณ เด็กๆ จะชอบทำอะไรไม่อยู่นิ่ง แล้วก็รู้สึกเป็นสุขเมื่อได้ทำแล้ว นั่นแหละคือธรรมะปีติอันเกิดขึ้น เพราะรู้สึกว่าได้ทำสิ่งที่น่าทำ หรือควรจะทำ
ถ้าแม่หรือพ่อเขาบอกว่า แหม ดีจริงโว้ย ดีจริงโว้ย นี่ก็ยิ่งยิ่งยิ่งพอใจใหญ่น่ะ ถึงกระโดดโลดเต้น ผ้าก็ยังไม่นุ่ง ก็ตบพุง แปะๆๆๆ มันยินดีพอใจที่ทำให้พ่อแม่พอใจ เป็นปีติที่เกิดแต่ธรรม แม้แต่ของทารกชนิดนั้น ถ้าเราช่วยกันรักษาไอ้ความรู้สึกอันนี้ไว้อย่าให้สูญไป สูญไปมันก็จะดีมาก ที่จะเป็นสุขรู้สึกเป็นสุขเมื่อได้ทำอะไรที่รู้สึกว่าดี หรือเป็นหน้าที่ของมนุษย์ ทีนี้พอโตขึ้นมันไม่เป็นอย่างนั้นนี่ มันเปลี่ยนเป็นว่าไม่ต้องทำอะไร หรือไปเล่นไปฮั้วหรือไปทำอะไรที่สนองกิเลสนั่นจึงจะพอใจ คือมันเปลี่ยนเป็นกามปิติไปเสีย ไอ้ธรรมปีติของเด็กทารกน่ะมันค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกามปีติของคนวัยรุ่น ของคนหนุ่มสาวไปเสีย เพราะขี้เกียจทำงาน แล้วก็จะต้องคดโกงเมื่อไม่ได้สิ่งที่ตัวตั้งต้องการ แล้วตัวก็ขี้เกียจทำงาน ทำงานเท่าที่ความจำเป็นบังคับ ไม่เหมือนลูกเด็กๆ ทารกที่เขาขอทำ ด้วยความอยากทำ ตามสัญชาตญาณได้ทำแล้วก็พอใจ พ่อแม่เขาใช้ให้ทำ ทำได้เสร็จก่อนเวลาก็ยิ่งดีใจ พ่อแม่เขาใช้ให้ไปเอาของที่ไกลหน่อย ต้องวิ่งไปเอา เอามาเร็ว ทันเวลานี้ พ่อแม่เขาชม มันก็ดีใจ เหล่านี้เราเรียกว่าธรรมปีติ ปีติคือความพอใจ มีความพอใจเมื่อไร มีความสุขเมื่อนั้น
ไอ้ธรรมปีตินี้ไม่ต้องใช้สตางค์ นี่มันเป็นหลักที่แสดงให้เห็นขึ้นมาเลยว่าถ้าธรรมปีติแล้วไม่ต้องใช้สตางค์ ไม่ต้องลงทุนด้วยสตางค์ ถ้าเป็นกามปีติ ลาภปีติ นี้ต้องลงทุนด้วยสตางค์ ไปซื้อหากามารมณ์ ไปซื้อเหยื่อกามารมณ์ ต้องใช้สตางค์จึงจะได้กามปีติ มันก็เลยเป็นความสุขที่ต้องใช้สตางค์ เหมือนพวกนักเรียนอุตส่าห์เรียนๆๆ ไม่คิดตาย เพื่อจะได้ผลสำเร็จการเรียนได้เงินเดือนมาก แล้วเงินเดือนนั้นเอาไปไหน เอาไปซื้อหากามารมณ์ ซื้อหาปีติที่เกิดจากกาม ปีติที่เกิดจากลาภะ มันก็มันปีติที่ต้องซื้อด้วยสตางค์นี่ เป็นความสุขที่ต้องซื้อด้วยสตางค์ต้องซื้อด้วยเงิน มันต่างกันลิบกับปีติที่เกิดแต่ธรรม มีความสุข แล้วยิ่งไม่ใช้เงินแม้แต่สตางค์เดียว ถ้าปีติที่เกิดจากกิเลสมันต้องใช้เงินมาก และยิ่งมากขึ้นทุกที โดยเฉพาะสมัยนี้ ยิ่งมาก ยิ่งแพงขึ้นทุกที นี่มันเดินหันหลังให้กันอย่างนี้ ความสุขแท้จริงไม่ต้องใช้สตางค์ แม้แต่สตางค์เดียว ไอ้ความสุขที่หลอกลวงยิ่งใช้สตางค์มาก ยิ่งหลอกลวงเท่าไรยิ่งต้องซื้อแพงมาก นี่ช่วยจำไว้ด้วย จริงหรือไม่จริง จะได้คิดดู
ไอ้เด็กทารก เราใช้เขาล้างจานก็ยังเป็นสุขได้นะ คนโตๆ นี่มาใช้ให้ล้างจานน่ะมันบ่นด่าอยู่ตลอดเวลา ไอ้เด็กทารกตัวเล็กๆ น่ะใช้ให้ถูเรือนมันก็เป็นสุข พอใจ ยินดี เต้นแร้งเต้นกา ใช้ล้างจาน มันก็ยังยินดีว่าได้ล้างล้างจานน่ะ คือได้ทำสิ่งที่พ่อแม่เขาจะดีใจ นี้พอโตเข้า โตเข้า อะไรมันเข้ามาแทรกแซงเปลี่ยนแปลงเป็นไม่ชอบแล้ว ไม่ชอบล้างจาน ไม่ชอบถูเรือน ต้องการจะไปเล่น ต้องการจะไปหาเหยื่อแก่อายตนะ ต้องการได้เหยื่อ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทำงานไม่สนุกแล้ว จะต้องการสตางค์มากกว่าแต่ก่อน ก็ต้องไปรบกวนพ่อแม่ พ่อแม่บางคนไม่ให้ลูกมันฆ่าเสียเลย หนังสือพิมพ์ ในหน้าหนังสือพิมพ์มีบ่อยๆ ที่ลูกฆ่าแม่ ฆ่าพ่อ เพราะพ่อแม่ไม่ให้เงินไปสนองไอ้กิเลสของเขา ลองคิดดู ไอ้ความไม่มีธรรมะนี่มันก้าวหน้ามาก เล่าเรื่องที่เคยเล่าแล้วจนบางคนจะเบื่อแล้วก็ได้นะ ว่าสมัยก่อนโน้นน่ะเขาทำงานสนุกในการงาน พอใจในการงาน เขาคิดว่าได้ทำมันก็พอใจแล้ว เมื่ออาตมาไปเที่ยวอินเดียคราวนั้นต้องไปด้วยเกวียนทั้งวันน่ะ ทั้งวัน ใช้เกวียนทั้งวัน แล้วเจ้าของเกวียนเขาพูดเอง เขาขอสิบห้ารูปี พอเราตกลง เขาดีใจที่สุด ทำงานทั้งวันสิบห้ารูปี คือสามสิบบาท ไอ้ข้างเรานี่แหม มันถูกจริงโว้ย มันถูกจริง มันถูกเกินไป แต่ชาวบ้านนั้นเขาพอใจ เขาพอใจ เหน็ดเหนื่อยทั้งวันได้สิบห้ารูปี
ก่อนนี้ในประเทศไทยเรานี้มีคนแจวเรือจ้างมากเพราะรถก็ไม่ค่อยมี สมัยอาตมายังไม่ไม่ได้บวชน่ะ หกสิบปีกว่าโน้นไปกรุงเทพนี้เห็นแจวเรือจ้าง ร้องเพลงพลาง แจวเรือจ้าง ร้องเพลงพลาง แจวตั้งสองชั่วโมงได้สองบาท เราจ้างเขาแจวทวนน้ำตั้งแต่ไอ้บางกอกน้อย มาถึงทางไอ้ปทุมคงคานี่ ทั้งน้ำเชี่ยวด้วยนี่ได้สองบาท นั่นเขาไม่เคยบ่นไม่เคยด่า ร้องเพลงเรื่อย ตีนข้างหนึ่งแกว่งอยู่ในในฟ้า แกว่งก็แจวทำท่าแจว แล้วก็ร้องเพลงหงุงหงิมหงุงหงิงเรื่อย แจวเรือเกือบสองชั่วโมงได้สองบาท เดี๋ยวนี้คนที่มีรถแท็กซี่ขับรับคนโดยสารน่ะ มันด่าอะไรของมันอยู่ไม่รู้ตลอดตลอดเวลา ไอ้คนขับรถแทกซี่มีรถแท็กซี่ขับน่ะมันด่าอะไรของมันไม่รู้ตลอดเวลาเดี๋ยวนี้ สมัยก่อนโน้นมันแจวเรือเป็นชั่วโมงๆ มันไม่เคยด่าเลย ก็พอใจยินดี ไอ้คนที่เขาทำงานต่ำมาก ล้างล้างท่อถนนกวาดถนน อะไรเขาก็ยังรู้สึกยินดี คือเขาร้องเพลงอยู่น่ะ นั่นแหละความสุขชนิดนั้นแหละไปดูกันบ้าง ว่าทำไมมันจึงเป็นสุขและพอใจได้เมื่อกำลังทำงานอยู่ เพราะเขารู้สึกว่าโชคดีที่ได้ทำงาน โชคดีที่ได้ทำงาน เพราะเขาไม่รังเกียจงาน เขาถือว่าไอ้งานนี่เป็นหน้าที่ของมนุษย์ ขอให้ได้ทำงานก็แล้วกัน นี่อันนี้ช่วยจำไว้ด้วย เขาไม่ได้รู้สึกว่าได้ทำหน้าที่ของมนุษย์คืองาน แล้วเขาก็จะรู้สึกเป็นสุข นี่เป็นหลักใหญ่ที่ทุกคนมองข้าม แล้วคุณก็จะหาความสุขยาก เพราะคุณต้องเอาเงินแพงๆ ไปซื้อหาเอาเหยื่อของกามารมณ์จึงเป็นสุข
แต่ถ้าเรามีหลักว่าเมื่อได้ทำหน้าที่ของมนุษย์แล้วรู้สึกเป็นสุขนี่ โอ๊ย เป็นสุขเอาไม่หวาดไหวเลย ถูเรือนก็เป็นสุขอยู่เมื่อถูเรือน ล้างจานเยอะแยะอยู่ก็เป็นสุขเมื่อล้างจาน ล้างส้วมก็เป็นสุขอยู่เมื่อล้างส้วม ทำอะไรๆ มันก็เป็นสุข พอใจตัวเองที่ได้ทำสิ่งที่เป็นหน้าที่ของมนุษย์ มันเป็นสุขเมื่อทำงานเสียแล้วนี่ เมื่อเราทำงานอะไรอยู่ตามหน้าที่อย่างเป็นสุขเสียแล้ว จนอิ่มไปด้วยสุขเสียแล้ว แล้วจะเลิกงานไปหากามารมณ์ที่ไหนกันอีก คนอินเดียภาคกลางเขาตักน้ำรดนากันทั้งนั้น หลายจังหวัดที่ต้องตักน้ำรดนาในการทำพืชผลครั้งที่สอง ฤดูที่สอง มันตักน้ำตั้งแต่เช้าจนเที่ยงรดผืนนาให้ชุ่ม หยุดเที่ยง พอบ่ายแล้วตักน้ำรดนาจนค่ำ มันไม่มีความทุกข์เลย หัวเราะ ร้องเพลง ติดต่อกันไปทั้งสุดสายตา ตักน้ำพลางร้องเพลงพลางเป็นสุขอย่างยิ่ง ก็แก้ปัญหาของเขาได้ ไม่ต้องมาด่ารัฐบาลว่าไม่ช่วยให้น้ำทำนา เพราะมันมีความพอใจในการทำงาน มีความสุขเมื่อทำงาน ขอให้ได้ทำงาน เพราะรู้ว่านี้มันเป็นหน้าที่ของมนุษย์ ผู้ทำหน้าที่ของมนุษย์นั่นแหละคือผู้ทำบุญ ทำกุศล ผู้ที่ทำหน้าที่ตามหน้าที่นั่นแหละ คือผู้ที่ได้ทำบุญ ได้ทำกุศล ได้ปฏิบัติธรรม ทำหน้าที่นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม แล้วไม่ต้องไปสวดมนต์ไหว้พระที่ไหนก็ยังได้ ทำหน้าที่ที่มันมีอยู่ตรงหน้าที่ ทำให้ดีที่สุดนั่นคือปฏิบัติธรรม
มันก็จะต้องพูดถึงเรื่องไอ้ธรรมะสี่ความหมายอีกทีหนึ่ง บางคนฟังแล้วจะเบื่อ จะรำคาญ ก็ไม่เป็นไร พระธรรมะนั้นคือตัวธรรมชาติ ธรรมะคือตัวกฏของธรรมชาติ ธรรมะคือตัวหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ ธรรมะคือผลที่ได้รับจากการทำหน้าที่ ขอร้องให้ช่วยจำไอ้ไอ้คำพูดสี่คำนี้ไว้นะ มีประโยชน์ที่สุดที่คุณจะรู้ธรรมะ จะรู้จักธรรมะ จะมีธรรรมะในอนาคต จะศึกษาธรรมะอะไรก็จะง่ายไปหมด ถ้าเข้าใจไอ้ไอ้ธรรมะสี่ความหมาย ธรรมะ คำว่าธรรมะ ไอ้ความหมายที่หนึ่งคือตัวธรรมชาติทั้งหลาย ธรรมชาติทุกชนิด ธรรมชาติทุกระดับเป็นตัวธรรมชาติ เขาเรียกว่าธรรมะ กฏของธรรมชาติซึ่งมีอยู่ในตัวธรรมชาตินั้นก็เรียกว่าธรรมะ ตัวกฏของธรรมชาติก็เรียกว่าธรรมะ เห็นหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติมันก็ยิ่งเป็นธรรมะ ธรรมะที่สำคัญก็คือหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ ใครไม่ถือธรรมะข้อนี้ มันตายแหละไม่ต้องมีใครแช่ง มันไม่ทำหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติมันก็ต้องตาย เช่น มันไม่หาอาหารกิน มันไม่กินอาหาร มันไม่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ มันไม่ทำอะไรตามหน้าที่ที่ต้องมีตามกฏของธรรมชาติ นี้ธรรมะความหมายที่สี่ คือ ผลที่ได้รับจากหน้าที่ ไปดูเถิดเราต้องทำหน้าที่ให้ตรงตามกฎของธรรมชาติ ทั้งเด็ก ทั้งวัยรุ่น ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งกลางคน ทั้งคนเฒ่าคนแก่ มีหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ พอได้ทำหน้าที่นั้นก็คือปฏิบัติธรรมะนั่นเอง
เพราะว่าธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ นี้จะมาสอนให้ธรรมะกลายเป็นอื่นไปเสีย หรือเป็นสิ่งที่เข้าใจไม่ได้ไปเสีย ธรรมะคือหน้าที่ เมื่อใดทำหน้าที่เมื่อนั้นก็ปฏิบัติธรรมะ สิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดต้องทำหน้าที่ เช่นต้นไม้ก็มีชีวิต มันก็ต้องทำหน้าที่ต้นไม้ ดูเอาเองที่มันรอดอยู่ได้ เพราะมันทำหน้าที่ สัตว์เดรัจฉาน นกกาอะไรก็ตามมันก็ต้องทำหน้าที่ วัว ควาย ช้าง ม้า ก็ต้องทำหน้าที่ มันก็รอดชีวิตอยู่ได้ นี้มาคนก็เหมือนกัน ก็ต้องทำหน้าที่ มันจึงรอดชีวิตอยู่ได้ ทีนี้ไอ้สิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่นี้ มิใช่เพียงแต่รอดชีวิตอยู่ได้นะ ต้องให้เจริญๆๆ ไปจนจุดปลายทางคือเป็นพระอรหันต์นั่น พรุ่งนี้ค่อยพูดกันเรื่องว่าไอ้ว่าไอ้ชีวิตมีหน้าที่ที่จะต้องลงทุนไปกว่าจะเป็นพระอรหันต์ เรียกว่าชีวิตน่ะ มันเรื่องยืดยาว แต่ขอให้เข้าใจไว้ในที่นี้ก่อนว่า คำว่าหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตนั่น มันไม่ใช่เพียงแต่ให้รอดชีวิตอยู่ได้ มันต้องให้ดีให้มีประโยชน์ เจริญๆๆ สูงๆๆ ขึ้นไป จนเป็นไอ้สูงสุดน่ะ อย่างเป็นมนุษย์สูงสุดก็คือเป็นพระอริยเจ้าต้องไปจนถึงนั่น อย่าถือเพียงว่ารอดตายแล้วก็พอแล้ว ทีนี้รอดตายอยู่แล้วนี้มิหนำไปไอ้หลงกามารมณ์ หลงกิเลส ยิ่งยิ่งลบ เป็นเป็นลบไปหมดไม่มีบวกเลย คือมันไม่ก้าวหน้าดีขึ้นไป ดีขึ้นไปตามแบบของไอ้ธรรมะ มันไปทำลบ ไปเป็นทาสของกิเลส ไปเป็นอันธพาล ไปเป็นคนหลง
ฉะนั้นขอให้เราเห็นข้อนี้ ในฐานะที่เป็นมนุษย์ มนุษย์ต้องทำหน้าที่ของมนุษย์ เมื่อใดทำหน้าที่ของมนุษย์ เมื่อนั้นคือการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมะ เมื่อทำหน้าที่ของมนุษย์น่ะคือการปฏิบัติธรรม ทำบุญทำกุศลที่แท้จริงคือเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์ เดี๋ยวถ้าจะพูดว่า ไม่ทำบุญทำทาน ไม่ทอดกฐิน ไม่ทอดผ้าป่า ก็จะมีคนโกรธเอา ก็ไม่อยากจะพูด แต่อยากจะยืนยันว่า ให้ทำหน้าที่ของมนุษย์ให้ถูกต้องนั่นแหละ เป็นการทำบุญทำกุศลยิ่งกว่าสิ่งใด แล้วคุณไม่ต้องใช้สตางค์เลย แต่กลับจะได้สตางค์เสียอีก ถ้าคุณทำหน้าที่ของมนุษย์นั่นคือการปฏิบัติธรรม สร้างบุญ สร้างกุศลไม่ต้องใช้สตางค์เลย แล้วกลับจะได้สตางค์เสียอีก ถ้าเพลิดเพลินทำบุญทำกุศลอย่างมาก มันก็ได้เงินมาก มันก็เหลือใช้ ก็ต้องไม่จน คอมมิวนิสต์ก็เกิดไม่ได้ เพราะไม่มีใครจน เพราะว่าคนสนุกเมื่อทำงาน แล้วใครมันจะจน เดี๋ยวนี้มันไม่สนุกนี่ มันไม่อยากทำนี่ มันก็จน จนแล้วมันก็ต้องมีปัญหา ต้องรวมพวกกัน พังทลายคนมั่งมี ปัญหามันก็เกิดขึ้นท่วมโลก ไม่รู้จักจบ
ถ้ามนุษย์เพียงแต่เป็นมนุษย์ คือรู้จักหน้าที่ของมนุษย์ และเป็นสุขเมื่อได้ทำหน้าที่แล้ว โลกนี้จะไม่มีปัญหา จะไม่มีการรบกันระหว่างนายทุนกับชนกรรมาชีพ เพราะทุกคนสนุกในการทำหน้าที่ ทำนา ทำสวน ค้าขายอะไรก็ตาม แล้วแต่มันจะมีอะไรสำหรับทำ มันก็ไม่จน มันก็ไม่มีปัญหา ทุกคนจะมีกินมีใช้ นี่โลกของพระศรีอาริย์ พระศรีอริยเมตไตรยเขาอยู่กันอย่างนี้ เขาไม่ต้องรบราฆ่าฟัน ทำลายกัน เบียดเบียนกัน ทุกคนเป็นสุขเมื่อทำงาน เราจะเรียกลัทธินี้ว่า ธัมมิกสังคมนิยม คือเห็นประโยชน์ของสังคมด้วยการใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือ เป็นเศรษฐีกันทุกคน เพราะทุกคนมันสนุกในการทำงาน มันบ้าทำงาน แต่ไม่ใช่บ้าเลว มันบ้าดี มันบ้าทำหน้าที่ของมนุษย์ มันก็เป็นเศรษฐีกันทุกคน บางคนฟังไม่ถูก เศรษฐีแปลว่าผู้มีความประเสริฐ เศรษฐะ แปลว่าประเสริฐ เศรษฐีแปลว่าผู้มีความประเสริฐ ไม่ได้หมายความว่ามีเงินมากนะคุณ คุณอย่าเข้าใจผิดนะ คำว่าเศรษฐี เขาแปลว่าผู้มีความประเสริฐ ไม่ได้แปลว่ามีเงินแสนเงินล้านอะไร นี้ประเสริฐอย่างไรล่ะ
เศรษฐี ก็มีธรรมะ เพราะสนุกเมื่อทำงาน เป็นเศรษฐีประเสริฐก็คือมีธรรมะ แล้วก็สนุกเมื่อทำงาน นี้เมื่อเมื่อเมื่อทำทำงานแล้วเขาสนุก มันก็ทำมาก มันก็ทำมาก เมื่อทำมากมันก็ได้ผลมาก พอได้ผลมาก มันกินใช้แต่พอดี เหลือมันเอาไปสงเคราะห์ผู้อื่น ทำมากผลิตมากสนุกๆๆ ทำมากผลิตมากได้ผลมาก ได้ผลมากินใช้แต่พอดีเหลือเอาไปช่วยผู้อื่น จะเก็บไว้เป็นหลักทรัพย์ก่อนก็ได้แต่มันต้องมีเหลือแหละ ต้องมีส่วนเหลือไปช่วยผู้อื่น นี่คือหัวใจหรือดวงวิญญาณของคนที่เขาเรียกว่าเศรษฐี ตามพระบาลีนะ คำว่าเศรษฐีไม่ได้แปลว่ามีเงินมาก เศรษฐีมีอะไรมากคุณดูเอาเองแล้วกัน
ดังนั้นเศรษฐีคือผู้ที่ทำหน้าที่ของมนุษย์มาก มากกว่าด้วยการทำหน้าที่ของมนุษย์ แล้วก็ไม่มีใครจน เป็นชาวนา ถีบสามล้อ ก็เป็นเศรษฐีได้ เพราะสามล้อคนนั้นมันทำงานสนุก วันหนึ่งมันได้เงินมากกว่าที่จะกินจะใช้หมดได้ เหลือมันเอาไปช่วยผู้อื่น ช่วยในวิธีที่ควรช่วย โดยทางที่ควรช่วย ไม่ใช่เอาไปแจกอย่างโง่เขลา ทำให้เกิดคนขอทานเต็มบ้านเต็มเมืองนั้นไม่ถูกหรอก ไปให้เขาเฉยๆ ก็เหมือนกับไปทำให้เขาโง่ ให้เขาขี้เกียจ ให้เขาเข้าใจผิด นอนรับความช่วยเหลือนี้ไม่ไม่ใช่ทำบุญ นั่นแหละคือทำบ้า ทำบาป ทำบุญแท้จริงนั่นคือทำหน้าที่ของตนให้สนุกไปเลย มันมีผลมากมันใช้ไม่หมดก็ไปช่วยผู้อื่น ช่วยผู้อื่นรอดตัว ก็ช่วยให้เขามีความรู้ความฉลาด สามารถช่วยตัวเอง ช่วยผู้อื่นที่แท้จริงนั่นคือช่วยให้เขาสามารถช่วยตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ ไม่ได้สอนให้ให้ทานจนคนมันขี้เกียจกันทั้งทั้งบ้านทั้งเมือง ไม่มี ที่เขาตั้งโรงทานไว้นั้นน่ะ เขาไว้เลี้ยงคนที่คับขันหาไหนไม่ทัน หรือว่าพิกลทนทุกข์ ทุพพลภาพนี่ ไปเอาจากโรงทานได้ คนดีๆ ไม่เอาไม่ไปเอาจากโรงทาน พระวินัยก็มีห้ามไม่ให้ภิกษุไปเอาอาหารจากโรงทานเกินกว่าจำเป็น คือเอาได้เพียงครั้งสองครั้ง เมื่อมันมันมันเกิดจำเป็นขึ้นมา เช่นวันนี้บิณฑบาตไม่ได้ ไปเอาที่โรงทานได้ แต่จะเอาทุกวันไม่ได้ จะแก้ตัวว่าจำเป็นทุกวันไม่ได้ จึงว่าได้เพียงสองสามครั้ง ท่านไม่ได้ต้องการให้ใครคิดแต่จะรับความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ฉะนั้นเศรษฐีแปลว่าผู้มีความดี มีความประเสริฐ ไม่ต้องมีเงินมาก ถีบสามล้อ แจวเรือจ้างอยู่ก็ได้ แต่เขาสนุกในการทำงาน ก็ได้เหลือกินพอเหลือกินเขาก็ช่วยผู้อื่นตามมีตามได้ นี่คือเศรษฐี ตามความหมายของธรรมะสี่ประการนั้น แล้วทำหน้าที่ของมนุษย์โดยรู้สึกว่าคนเราเกิดมา สำหรับอยู่เป็นสุขด้วยกันทุกคน ที่ว่าคนเราเกิดมานี้ ที่จริงมันก็ไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา แต่ทีนี้มันเกิดมาแล้ว เกิดมาแล้วจะต้องทำอะไรล่ะที่จะดีที่สุด ก็คือทำอย่างนี้ เป็นผู้ที่ทำให้เพื่อนมนุษย์ทุกคนอยู่ด้วยกันเป็นสุข คนที่คิดว่าเราจะเป็นสุขคนเดียวได้นั้นมันคือคนโง่ที่สุด คุณอย่าไปกล้าคิดเลย คิดว่าเราจะอยู่คนเดียวเป็นสุขได้ในโลกนี้มันเป็นคนโง่ที่สุดมันเป็นไปไม่ได้หรอก เราจะต้องทำในลักษณะที่ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างเป็นสุขในโลก ตามคำกล่าวที่ว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เกิดมาสำหรับจะเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่คือหลักเศรษฐศาสตร์ของชาวพุทธ หลักเศรษฐศาสตร์ของเราเกิดมาเพื่อ เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้าเศรษฐศาสตร์ของคนเดี๋ยวนี้ยุคนี้ กูรวยคนเดียว กูดูดขูดรีดเอาคนเดียว นี่หลักเศรษฐศาสตร์ของคนสมัยนี้ เพราะไม่มีธรรมะ ดังนั้นเรารู้จักธรรมะว่าเป็นเครื่องช่วยให้เราอยู่ด้วยกันเป็นสุขทุกคนในโลก อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขทุกคนในโลก นี่หลักธรรมะ รู้จักหน้าที่ของมนุษย์ แล้วทำหน้าที่ของตน ของตน จนเหลือกินเหลือใช้ แล้วก็เจือจานกันไป ช่วยกันไปตามที่ควร นั่นแหละคือโลกของพระศรีอริยเมตไตรย อาตมาเรียกอันนี้ว่าธัมมิกสังคมนิยม
อาจารย์ฝรั่งคนหนึ่งที่มหาวิทยาลัยที่ฮาวายเขาอุตส่าห์มาถามถึงเรื่องนี้ ว่าวัตถุสังคมนิยมของท่านเป็นอย่างไร อธิบายให้ฟังอย่างนี้ คือว่าสังคมนิยมของธรรมะที่จะช่วยโลกได้ต้องเป็นอย่างนี้ ทุกคนสนุกในการทำงาน มันก็มีเหลือสำหรับกิน จะได้ช่วยผู้อื่น มันก็รักกันได้ ไม่เกลียดชังกัน มันก็อยู่กันด้วยความรัก เดี๋ยวนี้มันอยู่กันด้วยความเกลียดความเอาเปรียบความ มันไม่มีความสงบสุข ถ้ามนุษย์เรามันถือธรรมะข้อนี้กันละก็ โลกนี้มีความสงบสุขแน่ แต่ไม่สอนกันอย่างนี้นี่ สอนกันแต่ให้รู้หนังสือ สอนแต่ให้รู้อาชีพ การศึกษาหางด้วน มันก็พร้อมที่จะเอาเปรียบกัน มีแต่รู้หนังสือกับมีเงินนี่ มันไม่รักผู้อื่นได้ล่ะ แล้วมันก็คิดจะหาเงินโดยวิธีเอาเปรียบเสมอไป ไม่ใช่ยอมเหนื่อย ไม่ใช่ยอมอาบอาบเหงื่อต่างน้ำ ผู้ที่มีธรรมะจะจะจะจะเป็นสุขเมื่อได้อาบเหงื่อต่างน้ำ เพราะเขารู้สึกว่าเขาได้ทำหน้าที่อันแท้จริงของมนุษย์ และมากที่สุดจนได้อาบเหงื่อต่างน้ำอย่างไร ที่นั่งอยู่ที่นี่ ใครบ้างที่ชอบอาบเหงื่อต่างน้ำ ถ้าไม่มีอาตมาก็ก็จะพูดว่ายังไม่มีใครที่นิยมธรรมะ ไม่ยังไม่มีใครที่ชอบธรรมะ บูชาธรรมะ เพราะยังเกลียดการอาบเหงื่อต่างน้ำอยู่ ฉะนั้นเราจะทำหน้าที่ของมนุษย์ จนแม้ว่ามันจะอาบเหงื่อต่างน้ำก็ยิ่งพอใจ มันยิ่งเป็นธรรมปีติ มีปีติแล้วก็ต้องมีสุข แล้วสุขชนิดนี้ไม่ต้องใช้เงิน แล้วจะทำให้เงินเหลือใช้ ถ้าปีติกามารมณ์ ปีติลาภ ปีตินั้นมันมันไม่ไม่ไม่พอ ยิ่งได้เท่าไรก็ยิ่งไม่พอ ความอยากไม่รู้จักอิ่มมันขยายตัวเรื่อย เลยไม่มีปีติที่อิ่มที่พอ ฉะนั้นมันเป็นความสุขหลอกลวง เผาให้ร้อน หลอกลวงอยู่ตลอดเวลา ความสุขร้อน ความสุขหลอกลวง ยิ่งต้องใช้เงินมาก
เดี๋ยวนี้อะไรๆ มันก็แพงคุณก็รู้ แม้แต่โสเภณีมันก็แพงลิบ มันก็ยิ่งต้องใช้เงินมาก เพื่อหาความสุขหลอกลวง สมน้ำหน้ามันใช่ไหม มันต้องใช้เงินมากต้องเหนื่อยมาก เอาไปซื้อไอ้ความสุขหลอกลวง เพราะไม่มีธรรมะ ถ้าว่าเรามีธรรมะ เราหาความสุขแท้จริงได้ แล้วก็เงินก็ยิ่งเหลือใช้ เพราะความสุขนั้นมันแท้จริง นี่เรียกว่าธรรมะ คือหน้าที่ สรุปความกันเสียที เดี๋ยวจะจะเลือนจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกัน ว่ามนุษย์กำลังไม่มีธรรมะ กำลังทำลายโลกด้วยโลภะ โทสะ โมหะของตน พอมีธรรมะก็หยุดทำลายโลก ก็ทำให้ตัวเองสงบเย็น เป็นสุข สะอาด สว่าง สงบอยู่ เพราะรู้ว่าธรรมะนั้น คือการทำหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ยิ่งทำก็ยิ่งเป็นมนุษย์มาก ยิ่งทำก็ยิ่งมีธรรมะมาก ยิ่งทำงานมากนั่นน่ะคือยิ่งมีธรรมะมาก การงานคือการปฏิบัติธรรมะ นี้ถ้ามันถึงกับอาบเหงื่อต่างน้ำก็ยิ่งพอใจสิ เพราะมันยิ่งเพราะมันมากที่สุด มันมากจนถึงขนาดอาบเหงื่อต่างน้ำ มันก็สนุก ก็ผลิตมาก มันก็กินไม่หมด มันก็เหลือพอที่จะเจือจานกัน เมื่อทุกคนมันทำอย่างนี้ โลกนี้ก็เป็นโลกพระศรีอาริยเมตไตรย
เอาล่ะ ธรรมะหรือการทำหน้าที่ของมนุษย์ การปฏิบัติธรรมะ คือการทำหน้าที่ การทำหน้าที่คือการปฏิบัติธรรมะ ฉะนั้นขอให้เราขยันทำหน้าที่ ที่เขาชอบชอบเปรียบด้วยมด ด้วยแมลงผึ้ง ด้วยอะไรต่างๆ สัตว์ที่ขยันทำหน้าที่น่ะ นั่นน่ะมันมันเป็นสัตว์ธรรมะ สัตว์ปฏิบัติธรรมะมันขยันทั้งวันทั้งคืน ถ้ามนุษย์เราเป็นอย่างนั้นบ้างไอ้โลกนี้ก็หมดปัญหา เพราะว่ามันไม่เกิดกิเลส มันยิ่งลดกิเลส ลดกิเลส มันมีธรรมะเพิ่ม นี่คือธรรมะ อย่างน้อยก็เท่าที่เราควรจะทราบ วันนี้มาพูดถึงธรรมะเท่าที่เราควรจะทราบ พูดทั้งหมดไม่ได้หรอก ถึงพระพุทธเจ้าท่านก็ท่านว่าท่านไม่พูดทั้งหมด ไอ้การตรัสรู้ของท่าน รู้หมด แต่ท่านมาสอนกำมือเดียว เหมือนใบไม้ทั้งป่า เอามาสอนกำมือเดียว ก็สอนเท่าที่ควรจะรู้ ไอ้เท่าที่ควรจะรู้ ขอให้ได้รู้เถอะ ไม่เช่นนั้นเป็นหมัน เป็นหมันเปล่า ไม่มีไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา เพื่อให้ความเป็นมนุษย์ของเราไม่เป็นหมัน ขอให้ปฏิบัติธรรมะในฐานะเป็นหน้าที่ วันนี้พูดกันเท่านี้ก่อน เท่าที่จำเป็นจะต้องทราบหรือสมควรแก่เวลา ขอยุติการบรรยายนี้ ด้วยความหวังว่าท่านทั้งหลายทุกคนจะมีความกล้า มีความเชื่อ มีความแน่ใจ มีความกล้า ในการที่จะรับเอาธรรมะมา ด้วยการทำหน้าที่ของตน ด้วยการปฏิบัติการงานในหน้าที่ของตน มีธรรมปีติ แล้วยกมือไหว้ตัวเองได้ก็พอ ขอยุติการบรรยายไว้แต่เพียงเท่านี้