แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้อาตมาจะได้วิสัจฉนาพระธรรมเทศนาเนื่องในวิสาขบูชาเป็นเครื่องส่งเสริมสติปัญญา วิริยะ ความพากเพียรของท่านทั้งหลายให้เจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไป โดยสมควรแก่วิสัย วันนี้เป็นวันวิสาขบูชาพิเศษสำหรับเหตุการณ์ของสวนโมกข์คือเป็นวันวิสาขบูชาที่ครบบรรจบ ๕๐ ปีแห่งการมีสวนโมกข์ขึ้นมาในโลกนี้ เราจึงได้พยายามให้มีการกระทำที่เป็นพิเศษกว่าธรรมดาบ้างตามสมควรที่เรียกว่าพิธีวิสาขบูชาครบ ๕๐ ปีของสวนโมกข์ เราทั้งหลายได้พยายามเต็มความสามารถในการที่จะสนองพระพุทธประสงค์ ในข้อที่ว่าธรรมวินัยนี้จะคงมีอยู่ในโลกนี้เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดา และมนุษย์ ขอให้ท่านทั้งหลายกระทำไว้ในใจตลอดไปในพระพุทธประสงค์อันนี้อย่าให้เสียทีที่เป็นพุทธบริษัทสาวกของพระองค์เลย
การที่ทำให้ธรรมวินัยหรือพระศาสนายังคงอยู่ในโลกนี้นั้น เป็นพระพุทธประสงค์ เข้าใจว่าท่านทั้งหลายทุกคนคงจะเคารพต่อพระพุทธประสงค์ เมื่อได้ทราบว่าอะไรเป็นพระพุทธประสงค์แล้วก็สนใจ ก็เอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง แม้เพียงแต่ว่าอะไรเป็นความประสงค์แห่งบิดามารดาของเรา เราก็เอาใจใส่คอยสนใจที่จะทำให้เป็นไปตามความประสงค์ เดี๋ยวนี้เป็นพระพุทธประสงค์ ซึ่งใหญ่โตสูงสุดยิ่งกว่าความประสงค์ใดๆ แม้ของบิดามารดาแห่งเราจะรวมกันทั้งหมดทั้งโลก ก็จะไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่าพระพุทธประสงค์ ดังนั้นเราจึงเคารพในพระพุทธประสงค์ พยายามที่จะสนองพระพุทธประสงค์ พระพุทธประสงค์นั้นสรุปความว่าให้มีสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลอยู่ในโลก เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดา และมนุษย์
ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดีๆ ว่าพระองค์ทรงประสงค์ ทรงมีความประสงค์อย่างนี้ นั้นมันหมายความว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านประสงค์อะไรเป็นส่วนใหญ่ในคำตรัสของพระองค์เอง ก็ว่าตถาคตเกิดขึ้นมาในโลกนี้เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดา และมนุษย์ หรือตรัสว่าธรรมวินัยของตถาคตมีอยู่ในโลกนี้นั้นก็เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดา และมนุษย์ และยังตรัสว่าเธอทั้งหลายจงช่วยกันกระทำสุดความสามารถของตนในการที่จะให้ธรรมวินัยนี้ยังคงมีอยู่ในโลกนี้ เป็นที่พึ่งพาของมหาชน ทั้งเทวดาและมนุษย์
ท่านทรงย้ำแต่ว่าให้มีสิ่งนี้อยู่ในโลกนี้ เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดา และมนุษย์ คำว่าเทวดาและมนุษย์อาจจะเป็นปัญหาอยู่บ้าง ถ้าใครจะเชื่อว่ามนุษย์คือคนในโลกนี้ เทวดาคือคนบนสวรรค์ ข้างบนโน้นก็ได้เหมือนกัน เพราะว่าก็ถ้าธรรมวินัยคือพระศาสนายังอยู่ มนุษย์ในโลกนี้ก็จะอยู่กันเป็นสุข ก็จะมีคนทำความดี ทำบุญทำกุศล ไปเกิดในสวรรค์ สวรรค์ก็ไม่ร้าง นี่ก็เป็นประโยชน์แก่เทวดา หรือเทวดาได้ประพฤติธรรมะในพระศาสนานี้ก็มีประโยชน์แก่เทวดานั้น อย่างนี้ก็ได้
แต่ใจความสำคัญที่จะต้องสนใจกันให้ชัดแจ้งก็คือว่า ทั้งคนที่ยังลำบากอยู่ และทั้งคนที่สบายแล้วล้วนแต่ต้องการธรรมะเสมอกัน คนที่ยังลำบากอยู่คือพวกมนุษย์นี่ยังอาบเหงื่อต่างน้ำอยู่ ก็มีกิเลสเบียดเบียน พวกที่สบายแล้วอยู่ในสวรรค์แล้วก็ยังมีกิเลสเบียดเบียน มันยังเหมือนกันตรงที่ว่ามันมีกิเลสเบียดเบียน มนุษย์ก็มีโลภะ โทสะ โมหะ เทวดาก็มีโลภะ โทสะ โมหะ ยังมีกิเลสเบียดเบียนโดยเสมอกัน ดังนั้นจึงตรัสว่าจำเป็นจะต้องมีธรรมะทั้งเทวดาและมนุษย์ ที่เราจะดูกันง่ายๆใกล้ๆเรานี้ ก็ลองเปรียบเทียบดูในข้อที่ว่าบุคคลมั่งมีก็มีกิเลสเบียดเบียน ในคนยากจนก็มีกิเลสเบียดเบียน ถ้าพูดสมัยใหม่หน่อยก็ว่าทั้งนายทุน และชนกรรมาชีพก็ล้วนแต่กิเลสเบียดเบียนแล้วมันจะมัวกัดกันทำไม มันจะมัวกัดกันไปทำไมทั้งชนกรรมาชีพและนายทุน เพราะทั้งสองฝ่ายก็มีกิเลสเบียดเบียนเท่ากัน โลภะ โทสะ โมหะ เป็นไปอย่างไร เบียดเบียนอย่างไร ก็เบียดเบียนทั้งแก่คนยากจน และคนมั่งมีโดยเสมอกัน
จึงเป็นอันว่าความสำคัญนั้นมันอยู่ตรงที่ว่าอย่าอวดดีว่ามั่งมี มีอำนาจ มีวาสนา มีเงินมีทอง มีข้าวมีของแล้วมันจะหมดปัญหา ยิ่งมีสิ่งเหล่านี้มากซะอีกยิ่งจะมีปัญหา เราจะหมดปัญหาเป็นความสุขสงบเย็นได้ก็ต่อเมื่อไม่มีกิเลสเบียดเบียน ท่านทั้งหลายจงสนใจข้อนี้ให้มากว่าศัตรูร่วมกันของเราก็คือกิเลส จะเป็นคนมั่งมีหรือเป็นคนยากจนก็ตาม จะเป็นเด็ก หรือเป็นผู้ใหญ่ก็ตาม มันก็มีกิเลสเบียดเบียน มีความทุกข์เกิดขึ้น และมันน่าประหลาดที่ว่า ไอ้ความทุกข์นั้นเหมือนกันหมดแก่คนทุกชนิด และวิธีดับทุกข์มันก็เหมือนกันหมดกับคนทุกชนิด
เดี๋ยวนี้ใครกำลังเป็นอย่างไร เรียกชื่อว่าตัวเองว่าชนชาติไหน ถือศาสนาไหน มีวัฒนธรรมอย่างไร เป็นพวกนายทุน หรือเป็นพวกชนกรรมาชีพ คิดดูเถิด มันมีความทุกข์ในข้อที่ว่ามันโง่ ในเมื่อเกิดผัสสะขึ้นแล้วทางตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้วมันโง่ ผัสสะนั้นก็ปรุงให้เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปทาน และเกิดทุกข์ ถ้าเขาไม่โง่ ผัสสะเกิดขึ้นแล้วก็ควบคุมได้ไม่ปรุงเป็นเวทนา ตัณหา อุปทานที่เกิดทุกข์ มันก็ไม่ทุกข์ นี่เรากำลังพูดว่าเขาจะถือศาสนาไหนอยู่ก็ตามใจในโลกนี้ ความทุกข์ของเขาก็จะเกิดขึ้นในลักษณะอย่างนี้ และความทุกข์ของเขาถ้าดับลงก็จะดับลงในลักษณะอย่างนี้
เราจึงเห็นว่าทุกคนมันมีปัญหาอย่างเดียวกันจริงๆ หรือว่าเขากำลังมีวัฒนธรรมต่างกันอย่างไร เป็นคนเจริญแล้ว หรือเป็นคนด้อยพัฒนา การเกิดขึ้นแห่งทุกข์ และการดับลงแห่งทุกข์ก็ยังคงเป็นอย่างนี้ ต่อให้ว่ามันเป็นมิจฉาทิฐิ ถือว่าตายแล้วเกิดบ้าง ตายแล้วไม่เกิดบ้าง มันจะถืออย่างตรงกันข้ามอย่างไร การเกิดทุกข์และดับทุกข์ก็ยังคงเป็นอย่างเดียวกัน บางคนถือว่าตายแล้วเกิดอีกมันก็มีความทุกข์เกิดขึ้นอย่างนี้ ความทุกข์ดับไปอย่างนี้ บางคนถือว่าตายแล้วไม่เกิดอีก มันก็มีความทุกข์เกิดขึ้นอย่างนี้ และความทุกข์ดับลงไปอย่างนี้
คนจะเป็นสัสสตทิฐิ คนจะเป็นอุจเฉททิฐิ นัตถิตทิฐิ ต่างกันอย่างไรความทุกข์มันก็ยังคงเกิดขึ้นในลักษณะอย่างนี้ แล้วทุกข์ก็ดับไปในลักษณะอย่างนี้ อย่างนี้ก็คือมันโง่ เมื่อมีผัสสะ ช่วยจำเอาไว้ให้ดีอันนี้เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาว่าเมื่อมีผัสสะ ถ้าไม่มีสติปัญญาแล้ว ผัสสะโง่นั้นจะปรุงให้เกิดเวทนาโง่ เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เป็นทุกข์จนได้ ถ้าเรามีสติปัญญาเพียงพอเกิดผัสสะทางตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้ว ก็ควบคุมผัสสะนั้นไว้ไม่ปรุงเป็นเวทนาโง่ เป็นตัณหาเป็นอุปทานได้ มันก็ไม่เป็นทุกข์ นี่จะท้าทายถึงอย่างนี้ว่าคนมันถือลัทธิอะไรอย่างไรก็ตาม มันจะต่างกันเป็นฟ้าและดินก็ตาม แต่ความทุกข์ และความดับทุกข์ มันเป็นแต่อย่างนี้อย่างเดียวเท่านั้น เป็นตถาตา คือความเป็นอย่างนี้อย่างเดียวเท่านั้น เป็นอิทัปปัจจยตา อย่างเดียวเท่านั้นว่ามันโง่ในขณะแห่งผัสสะแล้วจึงเกิดทุกข์ มันฉลาดพอในขณะแห่งผัสสะแล้วมันก็ไม่เกิดทุกข์ นี่แหละคือธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์ว่าจะอยู่ในโลกนี้เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์
หมายความว่าคนมีกินมีใช้แล้วมันก็ยังเกิดทุกข์อย่างนี้ หรือดับทุกข์อย่างนี้ คนยังไม่มีกินยังไม่มีใช้ อดอยากอยู่ มันก็เกิดทุกข์อย่างนี้ และดับทุกข์อย่างนี้ มันมีอยู่เป็นสองชั้น เช่น คนมันอดอยากไม่มีกิน ลำบาก ตอนนั้นมันก็เป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องอดอยากธรรมดา แต่พอมันอดอยาก เกิดความอดอยากขึ้นมาในใจ กระทบใจแล้วเป็นผัสสะแล้วมันยังโง่มันยังคิดไม่เป็น ความรู้สึกอดอยากที่เป็นผัสสะนั้นก็จะทำให้เกิดทุกข์จนได้ แต่ถ้ามีสติปัญญาทัน แม้จะอดอยาก หรือทนทรมานอยู่ก็ตาม อดอยาก ผัสสะนั้นเกิดแล้วมันไม่โง่ มันก็เห็นเป็นของธรรมดาว่าเช่นนั้นเองโว้ย ไม่ไปทุกข์กับมันให้เสียเวลา มันก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ คนเราจะอดอยาก หรือจะไม่อดอยาก มันก็มีโอกาสที่จะเป็นทุกข์เท่ากันแหละ ถ้ามันโง่ในขณะที่มีผัสสะเกิดขึ้น ขอให้มีความฉลาดเมื่อผัสสะเกิดขึ้นในทุกกรณี ไม่ว่าจะเกิดขึ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเองซึ่งมีอยู่เป็นอันมาก ขอให้ฉลาดให้ทันเถิด แล้วผัสสะนั้นมันก็จะไม่ปรุงให้เป็นเวทนาโง่ๆ ทำให้เกิดตัณหาคือความอยากที่โง่ๆ ก็เกิดอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกู ของกู เป็นเรื่องของกู เป็นเรื่องของตัวกู มันก็เป็นทุกข์เท่านั้นเอง
เราจะต้องศึกษาหัวใจพระพุทธศาสนาข้อนี้ให้เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งโดยประจักษ์กันทุกคนว่าพระพุทธศาสนานั้นมีหัวใจสั้นๆ คือเกิดผัสสะแล้วถ้าไม่มีสติปัญญา มันก็เป็นผัสสะโง่และปรุงขึ้นเป็นความทุกข์ ถ้าเกิดผัสสะแล้วมีสติปัญญา มันก็ไม่เกิดเวทนาโง่ และปรุงขึ้นเป็นทุกข์ มันสำคัญอยู่ที่สติปัญญา ต้องมีเพียงพอ สติพอ หมายความว่าระลึกได้เร็ว ปัญญาพอ หมายความว่ามันแก้ไขได้หมด ปัญญา คือความรู้ ที่จะแก้ปัญหาได้ สติ คือความนำเอาความรู้มาเร็วๆ ทันแก่เวลา สติเหมือนกับพาหนะขนส่ง ขนส่งเอาปัญญามาทันแก่เวลา คือเวลาที่ผัสสะนั้นเกิดขึ้น ซึ่งว่าที่จริงแล้วมันก็เร็วดุจจะสายฟ้าแลบ ผัสสะเวทนานี่ แต่ถ้าเราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าจริง เราก็มีสติปัญญาพอ และเร็วจริงเหมือนกัน มันก็มีสติปัญญามากพอ และมาทันในการที่จะควบคุมผัสสะนั้น ขอให้อย่างถูกต้อง แม้จะมีเวทนาอะไรออกมา มันก็ไม่โง่ไม่หลงจนยินดียินร้าย เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ก็เวทนา เป็นสุขก็เวทนา แต่มีปัญญาเห็นแต่ว่ามันก็ไอ้เวทนาอย่างเดียวกันนั่นแหละ สักว่าเวทนาแล้วไม่เอาทั้งนั้น เวทนาสุข หรือเวทนาทุกข์ ไปเอากับมันเข้า มันกัดเอาทั้งนั้น
ท่านไม่ให้ยึดถือในเวทนานั้นว่ามีความหมายอะไร เวทนาสักว่าเวทนาเท่านั้นก็ไม่เกิดตัณหาไปตามอำนาจของเวทนา ก็ไม่เกิดอุปาทานว่าเป็นเรื่องอะไร ที่มันได้เกิดขึ้นแล้วกับตัวกูของกู ก็ไม่มีทุกข์ ก็อย่างที่จะต้องรู้หรือเห็นไว้ว่าความตายมา ปรากฏในความรู้สึกว่าเราสังขารนี่จะต้องตาย ก็หัวเราะเยาะว่าไอ้ความตายก็สักว่าความตายมันเป็นอย่างนั้นเอง ไม่มีความหมายเป็นตัว ตัวตนของความตาย ไม่มีความหมายเป็นตัวตนของเรา ของจิตนี้ จิตนี้เห็นความตายเป็นของธรรมชาติธรรมดา และก็ไม่ใช่ความตายของจิตนี้เพราะว่ามันเป็นของธรรมชาติธรรมดา จิตที่ประกอบด้วยสติปัญญาอย่างนี้ก็หัวเราะเยาะความตาย ก็ไล่ตะเพิดแห่งความตายหนีไป มันก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะว่าความตายกำลังมาถึง รู้เท่าทันอย่างนี้แล้ว แม้ว่าสังขารนี้จะต้องแตกดับ อย่างที่เรียกว่าตายลงไป มันก็ตายอย่างไม่ตาย ตายอย่างไม่มีผู้ตาย ไม่ไปโง่ว่ามีตัวกูตาย นั่นมันเป็นความโง่ สร้างตัวกูขึ้นมา มันก็มีความตายของตัวกู มันก็เป็นทุกข์ คือมันบ้ากันใหญ่
ถ้าจิตมันรู้สึกว่านี่มันก็สักว่าเป็นไป แต่ว่าการเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา ตามกฎของธรรมชาติ การเจ็บอย่างนี้ การดับขันธ์อย่างนี้เป็นอาการแห่งอิทัปปัจจยตา มันก็สักว่าอาการแห่งอิทัปปัจจยตา ไม่ให้เป็นความเกิดแก่เจ็บตายอะไรขึ้นมา ก็ไม่มีตัวบุคคลผู้เกิดแก่เจ็บตาย ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ แต่ลูกศิษย์มันโง่เอง พระองค์ตรัสไว้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด แต่แล้วลูกศิษย์มันโง่เอง ลูกศิษย์มันมัวท่องกันแต่ว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดา เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา เรามีความตายเป็นธรรมดา เราไม่อาจจะล่วงพ้นความแก่ไปได้ ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้ ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ สอนตัวเองให้มันโง่
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าถ้าได้อาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้ว สัตว์ที่มีความเกิดเป็นธรรมดาก็จะพ้นจากความเกิด สัตว์ที่มีความแก่เป็นธรรมดาก็จะพ้นจากความแก่ สัตว์ที่มีความเจ็บเป็นธรรมดาก็จะพ้นจากความเจ็บ สัตว์ที่มีความตายเป็นธรรมดา ก็จะพ้นจากความตาย พระองค์ตรัสไว้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งอย่างนี้แล้ว ไม่เอามาสนใจ สนใจแต่ว่ากูจะเกิดเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเกิดไปได้แต่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ก็เป็นการทำตนเองให้เป็นหมัน ไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ขอให้ระลึกนึกถึงให้ดีๆ ว่าพระพุทธองค์ตรัสรู้ขึ้นมาในโลกและสอนวิธีที่จะให้พ้นเสียจากความเกิดแก่เจ็บตาย เรากลับไม่ได้รับประโยชน์ เรากลับจะมายืนยันแต่ว่าจะต้องเกิดเป็นธรรมดา แก่เป็นธรรมดา เจ็บเป็นธรรมดา ตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นไปได้ มันเล่นสวนทางกันอย่างนี้ก็ไม่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ต้องเอามาพูดกันในวันนี้ เพราะว่าวันนี้เป็นวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานตามที่สมมติไว้ เรียกอย่างนั้น เราต้องมาพูดกันในวันนี้ว่าเราสาวกของพระพุทธเจ้าอาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้ว ต้องพ้นจากความเกิดความแก่ความเจ็บความตาย ไม่อย่างนั้นเสีย เสีย เสียหายหมดไม่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าเลย
ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจใจความสำคัญว่าถ้ามีพระองค์เป็นสรณะแล้ว เป็นกัลยาณมิตรแล้ว เราก็จะพ้นจากความเกิดแก่เจ็บตาย เราถือพระองค์เป็นสรณะ อย่างว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ เป็นต้น เราเรียกพระองค์ว่าเป็นสรณะ แต่พระองค์ทรงกลับตรัสว่าเราเป็นกัลยาณมิตร ท่านไม่อวดไม่เบ่งเหมือนคนสมัยนี้ อะไรนิดหนึ่งก็เบ่ง ถ้าคนสมัยนี้พูดมันก็จะพูดว่าท่านได้อาศัยเราเป็นสรณะแล้วก็จะพ้นจากเกิดแก่เจ็บตาย แต่พระองค์ไม่ตรัสอย่างนั้น พระองค์ตรัสว่าถ้าได้อาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้ว ฟังให้ดีๆ แล้วเธอทั้งหลายก็จะพ้นจากความเกิดแก่เจ็บตาย ท่านไม่ได้ยกตัว ท่านไม่ตรัสไม่พูดอย่างคนสมัยนี้พูด มันยกตัว คำว่ากัลยาณมิตรนี้ท่านตรัสไว้ในฐานะเป็นความหวัง เป็นความจริง เป็นความถูกต้อง เป็นความหวัง ใครๆ ก็จะหวังได้ เป็นความจริง ก็มันจริงอย่างนั้น เป็นความถูกต้อง ก็เพราะว่ามันถูกต้องอย่างนั้น ท่านตรัสว่าทุกคนมันต้องช่วยตัวเอง ไม่มีใครจะช่วยยกช่วยอุ้มช่วยพาไปให้พ้นจากความทุกข์ นอกจากคนนั้นเขาจะต้องประพฤติปฏิบัติของตนเองตามคำสั่งสอนนั้น แล้วก็จะพ้นจากความทุกข์ จึงเป็นได้อย่างมากก็เพียงเพื่อนกัน เพื่อนดีที่สุด ที่เรียกว่ากัลยาณมิตร ถ้าใช้คำว่าสรณะเป็นต้น อาจจะเข้าใจผิด คล้ายกับว่าจะช่วยอุ้มช่วยพาไปได้โดยที่คนนั้นไม่ต้องทำอะไรเลย เราจงพยายามที่จะทำให้พระองค์เป็นกัลยาณมิตรของเราให้จงได้ พระองค์ประสงค์ให้ประพฤติปฏิบัติตามธรรมวินัยที่ได้ตรัสไว้ว่ามันอยู่ในโลกนี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดา และมนุษย์
คำว่าธรรมวินัยนั้นเป็นคำกล่าวย่อๆ ถ้ากระจายออกไปก็จะเป็นศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ากระจายออกไปอีกก็จะไปเป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ อาศัยการปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ หรือศีล สมาธิ ปัญญาที่สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงแสดงไว้ หรือเรียกว่ามอบให้ก็ได้ ให้ประพฤติตามนั้นก็จะเกิดการพ้นจากความทุกข์ พ้นจากความเกิดแก่เจ็บตายสมตามที่ว่าพระองค์เป็นกัลยาณมิตรผู้บอกทางให้แล้วเราก็ทำกันเองตามที่ตรัสบอกไว้ หัวใจของพระพุทธศาสนาอยู่ที่ทำตามคำสั่งสอนของพระศาสดา ให้รู้ว่าสิ่งต่างๆ เป็นเพียงธรรมชาติ จะเป็นสังขสะ คือมีปัจจัยปรุงแต่ง หรืออสังขสะ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งมันก็เป็นธรรมชาติโดยเสมอกัน อย่าเอาส่วนใดมาเป็นตัวตนเป็นของตนเลย อะไรเกิดขึ้นแก่ใจแล้วจะถูกใจสบายใจก็ให้มันเป็นสักว่าเวทนา สักว่าสัญญา สักว่าอะไรไปตามธรรมชาติ อย่าให้มันเป็นตัวตนขึ้นมาเลย
เดี๋ยวนี้เรามันโง่ พออะไรมากระทบเป็นผัสสะแล้วเกิดเวทนา แล้วก็ยินดียินร้ายไปตามเวทนา ยิ่งเวทนาเป็นสุขก็จะยิ่งหลงใหลมาก ยิ่งเกิดความอยาก มันจะเกิดความอยากในสุขเวทนาเป็นตัณหา เป็นกามตัณหา เป็นภาวะตัณหาเป็นต้น ถ้าเวทนาเป็นทุกข์ มันก็เกิดความอยากชนิดที่ตรงกันข้าม เป็นวิภวตัณหาโดยเฉพาะ มันเกิดตัณหาคือความอยากด้วยอำนาจของความโง่ คืออวิชาแล้ว ก็หมายมั่นสิ่งนั้นๆ โดยความเป็นตัวตนบ้าง โดยความเป็นของตนบ้าง นี่จิตมันโง่ถึงขนาดนี้ มันก็ต้องหนัก เพราะความยึดถือไว้ด้วยความโง่ อุปาทานคือความยึดถือไว้ด้วยอำนาจของความโง่ นั่นละคือตัวทุกข์ นั่นละคือตัวปัญหา ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะไปยึดถือเอามาเป็นตัวตนของตน ถ้าอย่าไปยึดถือเอามาเป็นตัวตนของตน มันก็ไม่ทุกข์ เช่นความเกิด อย่าไปเอามาเป็นของเรา มันก็ไม่ทุกข์ ความแก่อย่าเอามาเป็นของเรามันเป็นของธรรมชาติ มันก็ไม่เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้เป็นของธรรมชาติไป อย่าเอามาเป็นของเรา มันก็ไม่เป็นทุกข์ ความตายเป็นของธรรมชาติไป อย่าเอามาเป็นของเราก็ไม่เป็นทุกข์ เดี๋ยวนี้มันโง่ จะทำอย่างไรได้ พอเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา มันโง่เป็นตัวเป็นตนขึ้นมา เป็นความเจ็บเป็นความใคร่เป็นความตายที่จะมาทำให้ตัวกูตาย ตัวกูเจ็บไข้ ตัวกูเป็นทุกข์ มันก็ต้องเป็นทุกข์
ฉะนั้นความทุกข์มันอยู่ในตอนที่ยึดมั่นถือมั่น ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือยังไม่ยึดมั่นถือมั่นมันก็ไม่เป็นทุกข์ ความเกิดแก่เจ็บตายก็เป็นของธรรมชาติ อย่าเอามาเป็นของจิตที่โง่ว่าเป็นตัวตน ที่เรารู้อย่างนี้แล้ว เราต้องระวังเมื่อผัสสะเกิดขึ้นแล้วมันโง่ มันก็ต้องเอาผลของผัสสะนั้นเป็นตัวตนเสมอ เวทนาเป็นตัวตนบ้าง สัญญาเป็นตัวตนบ้าง สังขารเป็นตัวตนบ้าง วิญญาณเป็นตัวตนบ้าง มันก็ต้องเป็นทุกข์ ขอให้เห็นให้ชัด ชัดเหมือนกับเราเห็นสิ่งต่างๆ นี่ว่าความทุกข์เกิดมาจากอุปทานและความยึดมั่นถือมั่น บางทีก็จะตรัสว่าตัณหามีแต่จะให้เกิดทุกข์ มันก็หมายความว่าตัณหามันให้เกิดอุปทานก่อน แล้วมันจึงเป็นทุกข์เพราะอุปทานคือความยึดถือนั้น เมื่อพูดให้สั้นให้เจาะจงเฉพาะแล้ว ความทุกข์ย่อมมาจากอุปทานในลักษณะอาการที่ใกล้ชิดคือติดต่อเนื่องกันไป ถ้าพูดว่ามาจากตัณหามันก็จะกลายเป็นว่าต้องไปให้เกิดเป็นอุปาทานอีกต่อหนึ่งจึงจะเป็นทุกข์ขึ้นมา นี่ถ้าเราเป็นพุทธบริษัททั้งทีขอให้ได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนา อย่าให้เป็นหมันเลย เราจะต้องทำให้การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นประโยชน์แก่เราให้เต็ม100% คือดับทุกข์ของเราให้ได้ 100% อย่าให้เป็นหมันเปล่า เราสรรเสริญอยู่ว่าพระพุทธองค์ตรัสรู้ดีจริง พระธรรมก็เป็นพระธรรมดีจริง พระสงฆ์ก็เป็นผู้ปฏิบัติดีจริง ถ้าการตรัสรู้นั้นดีจริงก็ต้องดับทุกข์ได้ ที่เราต้องดับทุกข์ให้ได้จึงจะได้รับประโยชน์จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า หรือจากการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า หรือการเกิดขึ้นแห่งธรรมวินัย อย่างที่พระองค์ตรัสว่าจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชนทั้งเทวดา และมนุษย์ดังกล่าวแล้ว
เราเอาเรื่องนี้มาพูดกันในวันนี้ เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกาลเทศะ เพราะว่าวันนี้เป็นวันวิสาขบูชา มีความหมายอยู่ที่ว่าเป็นวันที่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ประสูติคือพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้าคือตรัสรู้ นิพพานคือกิเลสดับไปหมด กิเลสดับไปหมด นิพพานคือการดับของสิ่งที่ดับได้ก็คือกิเลสนั่นเอง ถ้าถือเอาความหมายของการประสูติ ก็ให้ได้รับประโยชน์จากการที่เกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมาในโลก ก็ถือเอาความหมายการตรัสรู้ ก็ถือประโยชน์จากการที่มีธรรมวินัยปรากฏขึ้นมาในโลก หรือถ้าจะถือเอาประโยชน์จากการปรินิพพาน ก็จงทำให้มีการปรินิพพานแห่งกิเลส แยกกันอยู่เป็นสามอย่างอย่างนี้ก็ได้ และถ้าเราอยากให้เรื่องมันสั้นเข้า เหลือเพียงเรื่องเดียว เราก็ยังมีทางที่จะทำได้ คือการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ อย่างเราที่รู้ๆ กันอยู่ว่าตรัสรู้อะไร นั่นล่ะเป็นการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า ในขณะตรัสรู้นั่นเอง กิเลสทั้งหลายก็นิพพานไป เป็นของอย่างเดียวกันก็ว่าได้ สิ่งเดียวกันก็ว่าได้ การตรัสรู้เกิดขึ้น การตรัสรู้มีขึ้นมาพระพุทธเจ้าก็เกิดขึ้น การนิพพานของกิเลสก็มีอยู่ในตัว โดยอัตโนมัติ เหมือนอย่างว่า ขีดไม้ขีดขึ้นมา มันก็เป็นการมีการขีดไม้ขีด ความมืดก็หายไป แสงสว่างก็อยู่แทน การที่แสงสว่างเกิดขึ้นความมืดหายไปเพราะการขีดไม้ขีด นี่มันเป็นสิ่งเดียวกันก็ได้ เราไม่ต้องแยกละเอียดลออจนถึงกับว่ามันเป็นคนละเรื่อง คนละขณะ มันเป็นสิ่งเดียวกันได้ และมันไม่เคยแยกจากกัน
เพราะฉะนั้นเราจึงพูดว่า การประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน เป็นสิ่งเดียวกันมีในขณะเดียวกัน อย่างนี่มันก็ยิ่งง่าย และเราก็จะสังเกตในจิตใจของเราได้โดยง่าย พอเรารู้อะไร ความโง่ในเรื่องนั้นก็หายไป แล้วเราก็เกิดเป็นคนใหม่ คือคนรู้ คนโง่ตายไปคนใหม่คือคนรู้ ความโง่หายไป ความฉลาดเกิดขึ้นมา มันเป็นเรื่องเดียวกันไม่อาจจะแยกจากกัน ดังนั้นถ้าผู้ใดประสงค์จะให้เรื่องประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานเป็นเรื่องเดียวกัน ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ มันดีตรงไหน มันดีตรงที่ไม่มากเรื่อง ไม่ต้องจำหลายเรื่อง ไม่ต้องพิธีรีตองกันหลายเรื่อง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็คือเกิดพระพุทธเจ้านั่นเอง นิพพานก็คือนิพพานแห่งกิเลสเป็นอนุปาทิเสสนิพพานคือดับกิเลสสิ้นเชิง ทีนี้สังขารกลุ่มนี้อยู่มาอีก ๔๕ ปี จนจะดับสังขารมาเรียกว่านิพพานกันอีก มันเลยหลง ตอนนี้มันเป็นการดับแห่งขันธ์ ดับแห่งสังขาร อย่าไปเรียกว่านิพพานเลย แต่เขาก็นิยมเรียกกันว่านิพพาน หลงมาจากคำว่าดับสังขารด้วยอนุปาทิเสสนิพพานคนบางคนก็หลงเอาว่าดับสังขารนั่นคืออาการแห่งอนุปาทิเสสนิพพาน มันก็ผิดใหญ่โต อนุปาทิเสสนิพพานมีแล้วเมื่อตรัสรู้ กิเลสดับไปโดยไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีส่วนใดเหลือเย็นสนิทแล้ว พระองค์ทรงบรรลุอนุปาทิเสสนิพพานแล้ว ก็เป็นสิ่งที่บรรลุแล้ว ได้แล้ว มีอยู่แล้ว
ครั้นมาถึงวันหนึ่งสังขารหรือเบญจขันธ์ที่เป็นที่ตั้งนั้นมันดับลงอีกทีหนึ่งด้วยอำนาจของอนุปาทิเสสนิพพาน นั้นคือจะเป็นการดับที่ไม่เกิดอีก ไม่มีเชื้อมาเกิดอีก มันต่างกับการดับตามธรรมดาที่ดับแล้วมีเชื้อเกิดอีก ดังนั้นจึงต้องพูดว่าดับสังขารด้วยอนุปาทิเสสนิพพานดับไปอย่างไม่มีเชื้อเหลือสำหรับที่จะมาเกิดอีก เหมือนไฟหมดเชื้อแล้วดับไปฉะนั้น ตอนนิพพานมันอยู่ตรงที่กิเลสดับ ได้คุณสมบัติที่เรียกว่านิพพานไว้ประจำตัวแล้วพอมาถึงตอนสังขารดับหรือขันธ์ดับมันก็ดับด้วยนิพพานนั้น แต่เราไปหลงเรียกว่าไอ้การดับนิพพานนั้นเป็นนิพพานอีกทีหนึ่ง ควรจะมองเห็นเรื่องนี้ให้ชัดเจนว่านิพพานนั้นมีแล้วตั้งแต่เมื่อตรัสรู้ ความเป็นพระพุทธเจ้าก็มีแล้วตั้งแต่เมื่อตรัสรู้ เพราะเหตุฉะนั้นการตรัสรู้ การประสูติหรือการนิพพานนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน อย่างนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้สำหรับผู้มีปัญญาไม่เหลือวิสัย แต่ถ้าผู้ด้อยปัญญา ผู้ปัญญาอ่อนอาจจะไม่เข้าใจก็ได้ไปยึดถือไว้ว่าเป็นสามเรื่องสามคราวต่างกัน ขอแต่ว่าให้ใช้ประโยชน์ให้ได้ทั้งสามเรื่องและสามคราว ว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาทั้งที่ในโลกนี้เราควรได้รับประโยชน์ ให้พระองค์เป็นกัลยาณมิตรของเรา พ้นจากความเกิดแก่เจ็บตายได้เพราะความมีกัลยาณมิตรนั้นก็ดีแล้ว พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นเป็นประโยชน์สูงสุดแก่เรา การตรัสรู้ของพระพุทธองค์ก็เป็นประโยชน์สูงสุดแก่เรา แล้วเราก็จะได้มีนิพพานเช่นเดียวกับพระองค์คือว่าดับไปแห่งกิเลสเหล่านั้นเรียกว่าเรามีนิพพาน เช่นเดียวกับที่พระองค์นิพพานให้เป็นตัวอย่างแก่เรา
นี่ท่านทั้งหลายทุกคนที่มาประชุมกันในวันนี้จงเข้าใจคำว่าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของสมเด็จพระบรมศาสดาให้แจ่มแจ้งจนถึงกับว่าเป็นประโยชน์ได้โดยแท้จริง อย่าลำบากเปล่าๆ ปีละหน หรือปีละหลายหน ลำบากเปล่าๆ โดยไม่ได้รับประโยชน์อะไร เดี๋ยวนี้มานั่งอยู่ตรงนี้มันง่ายนะที่จะทำใจให้ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในป่านะ ไม่ได้ตรัสรู้ในบ้านในเมือง ไม่ได้ตรัสรู้ในมหาวิทยาลัยไหนๆ ท่านตรัสรู้ในป่าเงียบสงัด แล้วท่านก็อยู่ในป่า สอนอยู่ในป่า ท่านก็นิพพานก็ในป่า แม้แต่การประสูติของพระองค์ก็ต้องถือว่าในป่า เพราะประสูติในสวนป่าที่เรียกว่าสวนลุมพินี สวนลุมพินีนั้นเป็นป่าที่เขาจัดไว้ให้สวยงามสะดวกสบายสำหรับเที่ยวเล่นเป็นอุทยานก็ยังคงเรียกว่าป่า คงไม่ผิดไปจากสวนโมกข์นี้นักป่าที่จัดไว้ให้มันสะดวกสบายสวยงาม พระพุทธเจ้าประสูติในป่า ตรัสรู้ในป่า อยู่ในป่า แล้วก็นิพพานคือตายในป่า ใต้ต้นไม้ ทีนี่มันยังมีตรงว่าพระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน แล้วก็นิพพานคือตายก็กลางดิน นึกถึงธรรมเอาไว้ในใจอย่างนี้ว่าดิน กลางดิน ตรัสรู้ที่ลุมพินี ประสูตินั้นกลางดินที่พุทธคยา สอนกลางดินที่ไหนก็ตามที่ศาลานุมาท มิกทายวันก็ตาม ที่ไหนก็ตาม ก็สอนกลางดิน กุฏิของพระพุทธเจ้าก็พื้นดิน แล้วในที่สุดท่านก็ยังไปนิพพานกลางดินที่อุทยานอีกแห่งหนึ่ง อุทยานที่เต็มไปด้วยไม้สาระอีกแห่งหนึ่ง มันประหลาด หรือว่ามันเป็นอย่างไรก็ลองคิดดูทีว่าจะต้องประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน ตายกลางดิน เราก็ไม่ค่อยจะชอบดินกันเสียด้วย จะมานั่งกลางดินสักหน่อยก็บ่น จะต้องจัดที่นั่งกันอย่างนั้นอย่างนี้จิตใจมันก็ไกลจากพระพุทธเจ้า
ที่นี่เรามาฝึกการนั่งกลางดินซึ่งเป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ สั่งสอนและปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้ก็นั่งกลางดินอยู่แล้ว เหลืออยู่แต่ธรรมในใจส่งไปยังพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระบรมศาสดาของเราว่ามีอะไรๆ แปลกกว่าคนอื่น กว่าคนธรรมดานับตั้งแต่ว่าตรัสรู้เรื่องที่ไม่มีใครเคยตรัสรู้ และตรัสรู้สิ่งที่ดับทุกข์ได้ ที่ไม่มีใครเคยดับทุกข์ได้ และทุกอย่างเป็นไปอย่างง่าย คือกลางดิน หรือในป่าก็ได้ ไม่ต้องสร้างมหาวิทยาลัยเสียเงินร้อยล้านพันล้าน แล้วก็ยิ่งโง่ โง่ๆ ยิ่งโง่ ยิ่งหลงในวัตถุนั้นๆ สู้มหาวิทยาลัยกลางดินไม่ได้ ยิ่งหลงใหลในวิชา อย่างในมหาวิทยาลัยสมัยนี้มันก็ยิ่งเป็นทาสของกิเลสตัณหามากขึ้น ไม่รู้สร่าง พอใจในมหาวิทยาลัยกลางดินของพระพุทธเจ้ากันเสียบ้างเถิด กิเลสตัณหามันจะได้สร่างเพราะว่ามันอยู่กับความจริง คือความเป็นเช่นนั้นเอง ของธรรมชาติเหล่านี้ แผ่นดินก็ดี ต้นไม้ก็ดี ก้อนหินก็ดี อะไรต่างๆในธรรมชาติเหล่านี้ก็ดี คือความเป็นเช่นนั้นเอง ของธรรมชาตินั้นๆ โดยไม่ต้องย้อมโดยไม่ต้องทา โดยไม่ต้องตบตาให้เข้าใจเป็นอย่างอื่น อาตมาจึงเห็นว่ามานั่งธรรมวิสาขบูชาที่นี่จงได้ประโยชน์ลึกซึ้งกว่าในบ้านในเมือง ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งตบตา เป็นความสวยงามเสียด้วย มันก็ยิ่งตบตามาก มันก็เลยทำให้เข้าใจธรรมชาติได้โดยยาก
ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ และธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลที่เกิดมาจากการปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ นี่เรามาอยู่กับธรรมชาติ มันก็ง่ายที่จะเข้าใจธรรมชาติ มันง่ายที่จะศึกษาธรรมชาติ ก็ขอให้ท่านทั้งหลายได้รับประโยชน์อันนี้คุ้มค่ามา เสียค่าเดินทางเหน็ดเหนื่อยลำบากเสียเวลา ก็เรียกว่าเป็นการลงทุนที่มากอยู่ ท่านมาถึงที่นี่แล้วขอให้ได้รับประโยชน์คุ้มค่าคือขอให้มีจิตใจเหมือนกับจิตใจของพระพุทธเจ้าได้โดยง่าย มีความยินดี มีความพอใจที่จะน้อมนำจิตไปตามกระแสธรรมของพระพุทธเจ้าคือสู่ความสงบ ไม่ต้องปรุงแต่งให้เป็นความยึดถือว่าตัวกูของกู ให้มันละอายต้นไม้ ให้มันละอายก้อนหิน ก้อนหินมันไม่คิดนึกได้ มันไม่มีการปรุงแต่งว่าตัวกูของกู มันไม่มีความทุกข์ มนุษย์ที่นั่งอยู่บนก้อนหินนั่นแหละกำลังมีความทุกข์เพราะมันรู้จักปรุงแต่งให้เกิดตัวกูของกู ต้นไม้มีความรู้สึกบ้าง แต่ก็ไม่ปรุงเป็นตัวกูของกูมากเหมือนคน ต้นไม้มีความทุกข์น้อยกว่าคน หรือไม่มีความทุกข์ชนิดที่คนมันมี มนุษย์เป็นทุกข์ด้วยอุปาทาน เพิ่มจากเป็นทุกข์ที่ทุกข์ตามธรรมชาติ ต้นไม้เป็นทุกข์แต่ตามธรรมชาติ แต่ไม่เป็นด้วยอุปาทาน เพราะฉะนั้นจึงเป็นความทุกข์เพียงผิวเปลือกตามธรรมชาติ ไม่ลึกซึ้งถึงจิตใจที่เป็นทุกข์ด้วยอำนาจของอุปาทาน ผู้ใดกำลังเป็นทุกข์อยู่ในอุปาทานจงรู้จักละอายต้นไม้ซะบ้าง ซึ่งมันไม่มีความทุกข์ด้วยอุปาทาน ถ้ามันจะเป็นทุกข์เพราะไม่มีน้ำกิน หรือว่าจะต้องตายเพราะอะไร มันก็เป็นความทุกข์ตามธรรมชาติไม่ได้ด้วยอำนาจของอุปาทานเพราะมันยึดถือไม่เป็น นี่มานั่งตรงนี้ก็มีครู เกิดขึ้นมากทีเดียว ต้นไม้ต้นไร่ ก้อนหินก้อนดินมันพูดได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าคนหูมันไม่หนวก ถ้าคนเหล่านี้หูไม่หนวก ก็จะได้ยินต้นไม้พูดว่าอย่ามีอุปาทาน อย่าบ้าไปนักเลย อาตมาพูดแทนต้นไม้อีกมันหยาบคายหน่อยว่าอย่าบ้าไปนักเลย อย่ามีตัวกูของกูให้มันมากนักเลย ดูฉันสิ ไม่เดือดร้อนกระวนกระวาย เพราะไม่ปรุงแต่งความคิด ประเภทอุปาทานว่าตัวเราว่าของเรา
จิตนี้ว่างจากอุปาทานนี้อยู่เสมอ จิตนี้คิดได้รู้สึกได้ แต่ว่างจากความคิดชนิดเลว คือชนิดที่มีตัณหาอุปาทานไม่มีความรู้สึกว่าตัวกู เมื่อไม่มีความรู้สึกว่าตัวกูก็ควรจะเรียกว่าว่างได้ เพราะมันไม่มีตัวกู คือมันไม่มีตัวตน จิตว่างอย่างนั้นแหละสบายดีเป็นสุขดี เฉลียวฉลาดว่องไวในการคิดการนึก จิตปกติ จิตเกลี้ยง จิตว่างมันสบายกว่าจิตวุ่น ฉลาดกว่าจิตวุ่น ว่องไวกว่าจิตวุ่น ทำอะไรถูกต้องกว่าจิตวุ่น พระศาสดาจึงตรัสรู้กันในป่าทั้งนั้นเลย อย่างน้อยก็อยู่ในที่เงียบสงัดจึงได้ตรัสรู้เป็นพระศาสดานั้นๆ อีกเพราะธรรมชาติมันช่วย ถึงพวกเราก็เหมือนกัน วันดีคืนดีมาเยี่ยมป่ากันเสียบ้าง เพราะเป็นที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า หรือของพระศาสดาทั้งหลาย ช่วยให้จิตว่างได้โดยง่าย ได้รับสติความคิด ทางไปแห่งความคิดที่เรียกว่าสติง่ายดาย
เอาล่ะเป็นอันว่าอาตมาก็ได้ชี้แจงให้ท่านทั้งหลายรู้ความหมายแห่งวิสาขบูชาพอสมควรแล้ว ก็ย้ำอีกทีว่าเดี๋ยวนี้เป็นวิสาขบูชาพิเศษสำหรับพวกเรา หรือของสวนโมกข์ที่เวียนมาครบ ๕๐ ปี ผ่านวิสาขบูชามา ๕๐ ปี ปีนี้ตั้งใจจะทำให้ดีเป็นพิเศษจะขุดค้นอะไรต่างๆ ที่สะสมหมักหมมไว้ขึ้นมาพิจารณาให้เข้าใจถ่องแท้ ตั้งใจว่าวิสาขบูชาปีนี้จะประชุมพวกพุทธบริษัทที่อาจจะเสียสละความยากลำบากเพื่อเห็นแก่พระพุทธเจ้ามาทนความลำบากพินิจพิจารณากำหนดข้อกติกาสำหรับประพฤติปฏิบัติกันต่อไปข้างหน้า ซึ่งอาตมารวบรวมดูแล้วคงมีสักร้อยข้อ กฎเกณฑ์ร้อยข้อนี้เราจะช่วยกันวินิจฉัยให้ดีที่สุดยุติเป็นอย่างไร แล้วก็จะช่วยกันจำไว้สำหรับประพฤติปฏิบัติสืบไป จะตั้งต้นวินิจฉัยกันตั้งแต่คืนวันนี้ไปทีเดียวเสร็จการเวียนเทียนนี้แล้ว ลงไปข้างล่างแล้วจะสวดมนต์ฉลองวิสาขบูชาด้วยธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ขอนิมนต์เชิญชวนภิกษุสามเณร ทั้งหลายสวดพระบาลีธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ไม่ต้องแปล ย้ำสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้คือเรื่องอริยสัจทั้ง ๔ และมัจฉิมาปฏิปทาน ซึ่งเป็นหลักของพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ เราฉลองก็คือย้ำ ย้ำก็คือฉลอง ๕๐ ปีนี้ก็ต้องสวดพระบาลีซึ่งเป็นเรื่องของการตรัสรู้กันให้เต็มที่ เย็นนี้ถึงเวลาทำวัตรเย็นจะสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ฉลองการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปีของสวนโมกข์ด้วย
ครั้นเสร็จจากสวดพระบาลีธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แล้วเราก็จะประชุมกันแบ่งเป็นพวก พวกหนึ่งถือพระคัมภีร์เป็นหลัก เป็นกรรมการคณะหนึ่งถือพระคัมภีร์เป็นหลัก อีกพวกหนึ่งมีความคิดอิสระถือเหตุผลเป็นหลักนี่ก็เป็นกรรมการอีกคณะหนึ่ง เป็นสองคณะ เมื่อได้เสนอข้อญัตติอะไรออกไป ว่าอย่างไรกรรมการทั้งสองคณะนี้จะได้ช่วยกันวินิจฉัยอย่างไม่ต้องไว้หน้าใคร พูดหยาบคายหน่อย แต่ยืนยันเอาแต่ความถูกต้องที่ควรถือเป็นหลัก แล้วยุติกันอย่างไร ด้วยการโหวตเพราะว่าได้เสียงพอก็ถือว่าข้อนี้เป็นญัตติที่ยอมรับยึดถือไว้เป็นหลักสำหรับประพฤติปฏิบัติต่อไปเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ก็ดี มีอยู่ในวงพุทธบริษัทก็ดี เกี่ยวกับบ้านเมืองของเราก็ดี เกี่ยวกับหมู่คณะนิกายนี้ก็ดี หรือว่าเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีเล็กๆน้อยๆก็ดี เพื่อจะกำจัดอุปสรรคต่างๆ คือความโง่เง่า ความไม่รู้จริง ความผิดพลาด เรามาเถียงกันอยู่ยกตัวอย่างเช่นว่า ยกตัวอย่างเพียงข้อเดียวเช่นว่า พระพุทธรูปนี่จะมีคุณหรือมีโทษมันย่อมแล้วแต่ความโง่หรือความฉลาดของผู้มี มีใครค้านบ้าง มีใครเห็นด้วยบ้าง การมีพระพุทธรูปนั้นจะเป็นคุณหรือเป็นโทษมันก็แล้วแต่ความฉลาดหรือความโง่ของผู้มี นี่ตัวอย่างญัตติอย่างนี้เป็นต้น ถ้าเห็นว่าใช้ได้ก็เอาลงเป็นบท มติเป็นอันตรงมติยุติว่าเป็นหลักของพวกเราอย่างนี้ นี่ถ้าใครเห็นด้วยอยากจะร่วมมือก็มารอร่วมกัน ถึงเวลาพิจารณาให้ คืนนี้มันไม่เสร็จเพราะมันตั้งร้อยข้อ ถ้าไม่เสร็จก็เก็บไว้พรุ่งนี้ตอนเช้า พรุ่งนี้ตอนบ่าย พรุ่งนี้ตอนค่ำ ว่าไปโดยตั้งอกตั้งใจ ว่านี่มันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่พุทธบริษัท เพื่อเทิดทูนรักษาไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา
นี่คืองานพิเศษของการฉลอง 50ปี ของสวนโมกข์ จะทำให้เกิดบทบัญญัติที่อยากจะเรียกว่ากฎบัตรด้วยเหมือนกัน เป็นกฎบัตรของพุทธบริษัท เป็นพุทธิชาเตอร์ เป็นพุทธิชาเตอร์ สักร้อยข้อ สำหรับใช้เป็นประโยชน์แก่พวกเราสืบไป เป็นอันว่านี่เป็นงานชิ้นหนึ่งซึ่งจะต้องทำให้สำเร็จ เนื่องในการที่สวนโมกข์มีอายุครบ ๕๐ ปี เป็นวิสาขบูชาพิเศษสำหรับปีนี้ เพื่อสนองพระพุทธคุณ พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระบรมศาสดาเป็นพิเศษยิ่งด้วย เอาล่ะเป็นอันว่าวิสาขบูชาทำเพื่อการประสูติตรัสรู้นิพพานของสมเด็จพระบรมศาสดานั้นหมายความว่าอย่างไร เราจะใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดได้อย่างไร เมื่อรู้พระพุทธประสงค์อย่างยิ่งแล้วว่าทรงประสงค์ให้ธรรมวินัยยังอยู่ เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดา และมนุษย์แล้ว เราก็กระทำให้สุดความสามารถสุดกำลังกายกำลังจิตของเราโดยแท้จริง แล้วเราก็คงจะหายใจโล่งไปได้ไม่มากก็น้อยว่าได้สนองพระมหากรุณาธิคุณ สนองพระพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระบรมศาสดา โดยสมควร คือเต็มนะ คำว่าโดยสมควรนี่คือเต็มกำลังสติปัญญาของเราแล้ว นี่คือการทำความเข้าใจในพวกเราในโอกาสพิเศษ คือวันนี้การแสดงธรรมเทศนาเพื่อวัตถุประสงค์อันนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ซึ่งต่อนี้ไปเราก็จะได้ประกอบพิธีวิสาขบูชา แสดงออกมาทางกายคือเดินเวียนประทักษิณ แสดงออกมาทางวาจาคือกล่าวคำบูชาแล้วก็กระทำอยู่ในใจตามความหมายนั้นๆ ปฏิบัติบูชาด้วยกายวาจาใจ ในองค์สมเด็จพระบรมศาสดากันสืบต่อไป ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลาขอยุติไว้ด้วยประการฉะนี้
ต่อแต่นี้ก็ตรียมพิธีวิสาขบูชาภิกษุสามเณร ทั้งหลายจุดเครื่องสักการะแล้ว ถือไว้ในมือแล้วก็ยืนขึ้น นิมนต์ยืนขึ้น ทายกทายิกาทั้งหลายอย่างเพิ่งก่อน นั่งอยู่ก่อน ให้พระภิกษุสามเณรยืนขึ้นจุดเครื่องสักการะบูชา ถืออยู่ในมือ ถ้าไม่มีจริงๆ ก็พนมมือเฉยๆ ถ้ามีอยู่ในมือก็จุดถือไว้ จุดเครื่องสักการะบูชาถือไว้ในมือ แล้วก็ยืนขึ้นอยากถ่ายรูปให้สวยขึ้นไปถ่ายจากยอดไม้
จุดเครื่องสักการะบูชาถือไว้ในมือทำจิตใจให้เหมาะสมแก่การกระทำ ขอให้หลับตาเสีย มันง่ายกว่า หลับตาเสีย หลับตาเสียทำจิตว่างจากตัวกูของกู ไม่มีข้อผูกพันใดๆ ไม่มีอะไรเป็นเครื่องหุ้มห่อจิตใจ ไม่มีทิศเหนือ ไม่มีทิศใต้ ไม่มีทิศตะวันออก ไม่มีทิศตะวันตก ไม่มีข้างบน ไม่มีข้างล่าง มีแต่ความว่างเป็นอันเดียวกัน จิตใจสัมผัสความว่างนี้อย่างนี้แล้วย่อมเหมาะสำหรับจะประกอบพิธีสูงสุดคือวิสาขบูชา โดยว่าตามดังต่อไปนี้ (เริ่มสวดมนต์นาทีที่ 1.03.45)
(สวดเสร็จนาทีที่ 1.11.29) อ้าวนิมนต์นั่งลง ทายกทายิกาทั้งหลายยืนขึ้น จุดธูปเทียนเครื่องสักการะถือไว้ในมือ เดี๋ยวนี้เราทำสหกรณ์กันแล้ว อย่าให้พระต้องเดินเลย ที่มันไม่พอ เดี๋ยวมันจะชนกันตาย ให้พระนั่งสวดพระพุทธคุณให้ท่านทั้งหลายเดินเวียน ทายกทายิกาทั้งหลายจุดธูปเทียนสักการะถือไว้ในมือแล้วยืนขึ้น ที่มีธูปเทียนสักการะจุดถือยืนขึ้น อ้าวคุณสินธวัช จะให้ใครเป็นคนนำ ผู้นำเดิน ผู้อาวุโส
(เสียงคนอื่น) ขณะนี้ท่าน.. เราทั่วกันทั้งจังหวัด ท่านรัฐมนตรีมหาดไทยก็มาร่วมอยู่ด้วยครับผม
(ท่านพุทธทาส) ก็ขอเชิญเป็นนำหน้าเดิน หัวหน้าอุบาสก (เริ่มสวดมนต์นาทีที่ 1.12.57)
(สวดเสร็จนาทีที่ 1.20.31) อ้าวจัดขบวน อ้าวพระทั้งหลายจะได้สาธยายให้ อ้าวคุณจัดขบวน
(เสียงคนอื่น) ท่านที่เคารพครับ ขบวนเราจะมีฯพณฯท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ท่านบัญญัติ บรรทัดทาน และท่านรองผู้ว่าจังหวัดสุราษฎรธานีเป็นผู้นำขบวนนะครับ กระทำทักษิณ ขอเรียนเชิญท่าน (เริ่มสวดนาทีที่ 1.21)
(สวดเสร็จนาทีที่ 1.30.45) หยุดตรงไหนก็บูชาตรงนั้นแหละ