แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย ธรรมเทศนาเป็นคำรบที่สองนี้ จึงขอแสดง โดยแบบปาฐกถาธรรม เพราะจะเป็นการสะดวกกว่า และมีประโยชน์กว่าแก่ผู้ฟัง โดยเฉพาะที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับการฟัง เดี๋ยวนี้ในโลกหรือในบ้านเมืองเรา นิยมการทำอะไรที่มันเป็นการเศรษฐกิจไปหมด คือไม่ให้เสียเวลามาก ไม่ให้เสียสิ่งของมาก ไม่ให้เปลืองอะไรมาก ให้ได้ผลดี เต็มที่ ไอ้การที่ทำให้มันฟังง่าย เข้าใจง่ายนี่ก็เป็นเรื่องเศรษฐกิจด้วยเหมือนกัน คือมันจะเสียเวลาน้อย เสียแรงงานน้อย ความลำบากมีน้อย เราจึงหาวิธีพูดที่สำเร็จประโยชน์โดยไม่ต้องลำบากมากทั้งแก่ผู้ฟังและผู้แสดง ดังนั้นการแสดงธรรมในรูปแบบที่เรียกว่าปาฐกถาธรรม มันก็เกิดขึ้นมาและก็กำลังใช้กันอยู่ ในโอกาสนี้ก็จะแสดงโดยแบบนี้ ไม่ใช่โดยแบบ เทศนาตามประเพณี ดังนั้นจะบอกหัวข้อของการแสดงในวันนี้ว่าคืออะไร หัวข้อของการแสดงก็บอกได้สั้นๆว่า พระรัตนตรัยนั่นแหละคือตัวพระพุทธศาสนา ท่านฟังให้ดี ให้เข้าใจและมองเห็นชัดว่า ที่เราเรียกกันว่าพระรัตนตรัยนั่นแหละคือตัวพระพุทธศาสนา ต้องเป็นพระรัตนตรัยจริง ไม่ใช่ พระรัตนตรัยแต่ปากว่า หรือเป็นเพียงคำพูด หรือเป็นเพียงวัตถุ พระรัตนตรัยจริงจะเป็นอย่างไร เราก็กำลังจะพูดกันอยู่เดี๋ยวนี้ เมื่อเข้าใจแล้วก็จะเห็นได้ว่าที่เรียกว่าพระรัตนตรัยนั่นแหละคือตัวพระพุทธศาสนาที่แท้จริงอีกเหมือนกัน พระพุทธศาสนานี้ก็มีตัวจริง มีเนื้อแท้ก็มี แต่เป็นเพียงเปลือกก็มี ท่านลองคิดดู เดี๋ยวนี้คนเห็นว่ามีวัดวาอาราม มีโบสถ์วิหาร มีพระเจดีย์ สร้างขึ้นมากมายใหญ่โตมโหฬารรุ่งเรือง เขาก็พูดว่า พระศาสนาเจริญ เดี๋ยวนี้เขามักจะพูดกันอย่างนั้น หรือว่าแม้ที่สุดแต่เห็นพระเหลืองๆมากๆ เต็มไปหมด ก็ว่าพระพุทธศาสนาเจริญ ถ้าใครคิดอย่างนี้ก็อยากจะให้คิดดูเองซะใหม่ต่อไปว่า สิ่งสร้าง สิ่งที่ก่อสร้างมากมาย โบสถ์ พระเจดีย์ วิหารเหล่านี้มัน เป็นสัญลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างมากก็เป็นเพียงสำนักงาน สำนักงานหรือ ออฟฟิศที่ทำงานเท่านั้น แม้จะมีโบสถ์ วิหาร พระเจดีย์มากก็ยังไม่ใช่ตัวพระพุทธศาสนามากหรือเจริญ มันอาจจะเป็นเพียงว่า เจริญเปลือก เปลือกเจริญหรือสัญลักษณ์ที่สร้างขึ้นได้ มันเจริญ ถึงแม้มีพระสงฆ์มากๆ แต่ถ้าพระสงฆ์ที่ไม่มีธรรมะ มันก็เป็นเปลือกของพระสงฆ์เหมือนกัน ลูกชาวบ้านเอามาบวชเข้า ให้เหลืองเยอะแยะไปหมด มันก็เป็นลูกชาวบ้านอยู่นั่นแหละ จะเป็นพระสงฆ์ที่มีการประพฤติปฏิบัติดี เป็นสุปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโนไม่ได้ มันก็ไม่มีพระสงฆ์ที่แท้จริง มันก็มีแต่เปลือกของพระสงฆ์ นี้พระธรรม แม้ว่าจะมีพระไตรปิฎกพิมพ์ขึ้นมาก พิมพ์ขึ้น พิมพ์ขึ้น เป็นหนังสือเป็นจาร เป็นใบลาน เป็นอะไรมาก แต่ถ้าไม่สำเร็จประโยชน์ คือไม่มีการประพฤติ ปฏิบัติแล้ว มันก็เป็นเปลือกของพระธรรมเหมือนกัน อย่างตู้พระไตรปิฎก มันก็เป็นสัญลักษณ์ ของพระธรรม ถ้าอนุญาตให้พูด ก็จะพูดว่า ก็เป็นเพียงเปลือกของพระธรรม เป็นรังของพระธรรม ไม่ใช่ตัวพระธรรมจริง เหมือนกับรังนก อาจจะเหลือแต่รังนกก็ได้ ไม่มีตัวนก อย่างนั้นแหละ อย่าได้คิดว่าพระพุทธศาสนาเจริญ เมื่อมีพระพุทธรูปมาก พระเจดีย์มาก โบสถ์วิหารอะไรมาก หรือว่าเมื่อมีพระไตรปิฏกพิมพ์ขึ้นเต็มบ้านเต็มเมือง หรือว่ามีพระบวชให้เหลืองไปหมดทั้งบ้านทั้งเมือง นี้ก็ไม่เป็นการแน่นอนว่ามีพระพุทธศาสนาเจริญ ต้องตรวจดูว่าสิ่งเหล่านั้นได้ทำหน้าที่หรือเปล่า วัดวาอารามได้ทำหน้าที่หรือเปล่า โบสถ์วิหารพระเจดีย์ ได้ทำหน้าที่ถูกต้องหรือเปล่า พระคัมภีร์ ได้ทำหน้าที่ถูกต้องหรือเปล่า คือเอามาศึกษา กันจนรู้ จนเข้าใจ และ จนปฏิบัติได้ ไม่ใช่สร้างพระคัมภีร์ไว้ สำหรับให้หนูกิน ให้ปลวกกัด หรือเป็นรังมดอย่างที่เห็นๆกันอยู่โดยมาก บางแห่งพระคัมภีร์ใบลาน เอาไว้บนขื่อเต็มไปหมดสำหรับหนูกิน สำหรับปลวกกิน นี่ขอ คิดดูให้ดีว่า บางคนอาจจะคิดว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นพระพุทธศาสนา อาตมากำลังบอกว่า พระรัตนตรัยนั่นแหละคือพระพุทธศาสนา และต้องเป็นพระรัตนตรัยจริง พระพุทธจริง พระธรรมจริง พระสงฆ์จริง ขอให้ดูเป็นเรื่องๆไป ว่าพระพุทธคืออะไร พระธรรมคืออะไร พระสงฆ์คืออะไร อยู่ที่ไหนและเมื่อไรอย่างนี้เป็นต้น เมื่อพูดถึงพระพุทธเจ้า โดยทั่วไปภาษาธรรมดาหมายถึงบุคคลผู้ค้นพบพระธรรม พระธรรมเป็นสัจจะของธรรมชาติ ลึกซึ้ง ไม่มีตัวตนเป็นวัตถุ จึงกระทำกันแต่ด้วยปัญญา พระพุทธเจ้าคือผู้ค้นพบพระธรรม ดังนั้นพระพุทธเจ้าแท้จริงก็คือปัญญาที่ค้นพบพระธรรมที่รู้พระธรรม บุคคลส่วนตัวพระองค์นั้นก็เหมือนกับคนทั่วๆไป เป็นร่างกายเหมือนกับคนทั่วๆไป แต่ว่าในร่างกายที่เป็นพระพุทธเจ้านั้น มันมีสิ่งที่เรียกว่าปัญญา มีจิตที่สามารถจะรู้อะไรได้ นั้นท่านดูให้ดีว่ามันจะอยู่ที่ตัวปัญญา หรืออยู่ที่ตัวจิต หรือ อยู่ที่ตัวร่างกาย พระพุทธเจ้า พระองค์จริงนั้นน่ะอยู่ที่ตัวร่างกายของพระสิทธัตถะ หรือว่าอยู่ที่จิตของพระสิทธัตถะ หรือว่าอยู่ที่ตัวปัญญาซึ่งอยู่ที่จิตของพระสิทธัตถะ ถ้าให้เลือกเอาซักอย่างหนึ่งจะเลือกเอาอย่างไหน ถ้าโดยพฤตินัยมันก็ต้องอยู่ด้วยกัน มันต้องมีจิตให้เป็นที่ตั้งของปัญญา ต้องมีร่างกายให้เป็นที่ตั้งของจิต เราจึงรวมเอาหมดทั้งองค์พระพุทธเจ้า องค์พระสิทธัตถะที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้วว่าเป็นพระพุทธเจ้า แต่ถ้าเอาอย่างนี้ก็หมายความว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว นิพพานแล้วเผาแล้ว มันก็จะเสียพระพุทธเจ้าไป ไม่มีเหลือนี้ก็ไม่ถูก เราควรจะใคร่ครวญดูจนให้เห็นชัดว่า ความสำเร็จประโยชน์มันอยู่ที่ตรงไหนปัญญาคืออะไร พระสิทธัตถะ เกิดมาจากท้องพระมารดาโดยการเกิดธรรมดา ที่เรียกว่าชราภุชะ ชราภุชะ เกิดในน้ำ เหมือนกับสัตว์ทั่วไป พระสิทธัตถะเกิดมาจากท้องพระมารดา โดยวิธีชราภุชะ เหมือนคนทั่วไป แต่พอพระสิทธัตถะจะเกิดเป็นพระพุทธเจ้า หรือพระพุทธเจ้าจะเกิดเป็น เกิดมาจากพระสิทธัตถะนั้น กลับเกิดโดยวิธีที่เรียกว่า โอปปาติกะ โอปปาติกะ ที่เขาพูดกันนั่นแหละ แต่เขาหมายความอย่างอื่น หมายความว่าสัตว์ที่เป็นอะไรก็ไม่รู้ เป็นผี เป็นสางเป็น เทวดาเป็นอะไรพวกโน้นไป เราอยากจะมองว่า โอปปาติกะ นี้คือ เกิดโดยจิต โดยทางจิต สมตามที่เขากล่าวว่า โอปปาติกะนั้นน่ะไม่ต้องมีพ่อไม่ต้องมีแม่ผสมพันธ์กัน ตั้งครรภ์และเป็นทารกและค่อยๆเติบโตขึ้นมา โอปปาติกะหมายความว่า ผลุงขึ้นมา ก็เกิดแล้ว เป็นสมบูรณ์แล้ว เป็นโตเต็มที่แล้ว นี่เรียกว่าโอปปาติกะ เมื่อพระสิทธัตถะ จะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าเนี่ยก็เกิดโดยวิธีนี้ ขอให้สังเกตดูครูบาอาจารย์บรรพบุรุษของเราน่ะ ท่านใช้คำถูกต้องนะ ว่าพระพุทธเจ้าเสด็จ อุปปัตติ หรืออุบัติขึ้นมาในโลกนี้ ท่านใช้คำว่าอุบัตินะ ไม่ใช่ ชา- ตินะ พระพุทธองค์ ทรงอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ อุบัตินั่นแหละคือคำว่า โอปปาติกะ อุปะ และก็ ชาตะ โอปปาติกะ เสด็จอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ อุปปาติกะ คำเดียวกันกับคำว่าอุบัติ พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ คือเกิดโดยวิธีผลุงขึ้นมาก็เป็นพระพุทธเจ้าเพราะเกิดจากพระสิทธัตถะ เมื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ส่วนพระสิทธัตถะเองนั้นต้องเกิดจากท้องแม่ เกิดอย่างชราภุชะเหมือนคนทั่วๆไป เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจเพราะว่าเราก็จะต้องเกิดอย่างนั้น มิฉะนั้นก็จะเป็นพุทธบริษัทโง่ไปจนตาย ขออภัย ขออภัยพูดหยาบคายหน่อย เพราะมิฉะนั้นก็จะโง่ไปจนตาย ถ้าจิตใจมันไม่เปลี่ยนไปเป็นจิตใจอย่างอื่น ในรูปแบบอื่นแล้ว มันก็ไม่ได้เกิด มันก็เป็นอุบากสกโง่ อุบาสิกาโง่ คือว่ามันเป็นแต่เปลือก มันไม่ได้เป็นอุบาสกอุบาสิกาโดยเนื้อใน เพราะว่าข้างในมันไม่ได้เกิดเป็น อุบาสก ไม่ได้เกิดเป็นอุบาสิกา ยังเป็นนาย ก นาย ข นาย ง ตาสี ตาสา ยายมี ยายมา อยู่นั่นแหละ มันจะเป็นอุบาสกอุบาสิกาไปไม่ได้ มันต้องรู้จนมีการเปลี่ยนแปลงในทางจิตใจ เป็นจิตใจใหม่ขึ้นมา เกิดทางจิตใจอย่างนี้เรียกว่าโอปปาติกะ ไม่ต้องเกิดเป็นเด็กก่อน ไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ทางเพศ จิตมันเกิดผลุงขึ้นมา พอคิดอย่างโจร ก็เกิดเป็นโจร คิดอย่างอันธพาล ก็เกิดเป็นอันธพาล คิดอย่างคนดีก็เกิดเป็นคนดี คิดอย่างคนชั่วก็เกิดเป็นคนชั่ว ผลุงขึ้นมาเลย นี่เรียกว่าเกิดโดยจิตใจที่เรียกว่าอุปปัตติ หรือโอปปาติกะ ขอให้ทุกคนพยายามที่จะทำตนให้ได้เกิดโดยวิธีโอปปาติกะ นี่กันให้จริงๆ มีจิตใจ รู้จักพระรัตนตรัย เข้าถึงแล้ว ก็เกิดเป็นอุบาสกหรือเป็นอุบาสิกาขึ้นมาทันที ไม่ได้เป็นแต่ชื่อ ไม่ได้เป็นแต่ทะเบียน จะเป็นพระเป็นเณรก็เหมือนกันแหละมันต้องมีจิตใจเป็นพระ เป็นเณร มีจิตใจเป็นพระมันก็เกิดเป็นพระ มีจิตใจเป็นเณรมันก็เกิดเป็นเณร ถ้าจิตใจมันยังเป็นชาวบ้านอยู่มันก็ยังเป็นชาวบ้านอยู่นั่นเอง แม้จะครองจีวรสีเหลือง มันก็เป็นพระไปไม่ได้ เพราะในจิตใจมันยังเป็นชาวบ้านอยู่ ยังเห็นแก่กิน ยังเห็นแก่กาม ยังเห็นแก่เกียรติ ยังนอนฝันอย่างชาวบ้านอยู่ มีกิริยาอาการพูดจาอะไรก็ยังคล้ายชาวบ้านอยู่ อย่างนี้มันก็เป็นพระไปไม่ได้ เพราะมันไม่ได้เกิดทางใจ มันไม่ได้เกิดข้างใน มันก็เท่าเดิม เพียงแต่เอาจีวร เอาผ้าสีอื่นมานุ่งมาห่มเท่านั้นแหละ ขอให้สนใจคำว่าเกิดไว้ให้ดีดี เกิดภาษาคนมันก็เกิดจากท้องแม่ เกิดโดยการอาการของเพศ เพศหญิงเพศชาย ผสมกันเกิดออกมา นี้เป็นการเกิดธรรมดา แต่ถ้าจิตใจเกิด นี้เรียกว่าเกิดทางนามธรรม เป็นโอปปาติกะ เราจึงเกิดได้มาก เกิดได้เร็ว วันหนึ่งเกิดหลายๆหนก็ได้ คิดดีเกิดเป็นคนดี คิดชั่วเกิดเป็นคนชั่ว หรือว่าเอาหน้าที่การงานเป็นหลักก็ได้ คนนี้เป็นชาวนาเป็นชาวไร่ เป็นพ่อค้า เป็นครูบาอาจารย์เป็นอะไรก็ตาม ถ้าเขามีจิตใจอย่างนั้นจริงๆ เมื่อเขาทำหน้าที่ของเขา เขาก็เป็นอย่างนั้นแหละ เกิดเป็นอย่างนั้นแหละ ถ้าว่ามันไม่ทำอย่างนั้น จะเรียกว่าอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้นไม่ได้ เช่นครูคนหนึ่งเป็นเพียงลูกจ้างสอนหนังสือเอาเงินเดือนกินไปวันๆหนึ่งอย่างนี้ไม่ใช่ครู มันก็เป็นลูกจ้าง รับจ้างสอนหนังสือเอาเงินเดือนเลี้ยงชีวิตไปวันๆหนึ่ง อย่างนี้ไม่ใช่ครู มันเป็นคนรับจ้าง จะเรียกว่ากรรมกรชนิดหนึ่งก็ได้ สอนหนังสือหากิน แต่ถ้าว่ามันทำหน้าที่อย่างครูมีจิตใจอย่างครู มีเมตตา มีกรุณา รักศิษย์เป็นที่ยิ่ง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตใจ นี้นั่นแหละเป็นครู เมื่อไหนมีจิตใจอย่างนั้น เมื่อนั้นเขาว่าเกิดเป็นครู ไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือหากิน ขอให้คิดดูว่ามันต่างกันอย่างไร ขอให้พวกเรารู้จักเกิดทางจิตใจกันเสียให้มาก ๆและก็จะได้สำเร็จประโยชน์ เรื่องที่บ้านที่เรือนก็ดี เรื่องที่วัดที่วาก็ดี รู้จักเกิดในทางจิตใจกันเสียใหม่เถิด เพราะจะได้เป็นเช่นนั้นจริง เดี๋ยวนี้พระพุทธเจ้า เมื่อเกิดเป็นพระสิทธัตถะออกมานั้นก็เกิดอย่างธรรมดา จากท้องมารดาก็เกิดเป็นพระพุทธเจ้าก็เกิดโดยวิธีโอปปาติกะ หรืออุปปัติ ก็เป็น พระพุทธเจ้าหรือฝ่ายจิตใจที่ประกอบไปด้วยปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ในธรรมะสำหรับพระพุทธเจ้าจะรู้แจ้ง เมื่อรู้แจ้งด้วยตนเองก็เรียกว่า สัมมาสัมพุทธะ สิ่งที่ท่านรู้คือธรรมะอันสูงสุด เมื่อตอนกลางวันก็พูดแล้วว่า ท่านตรัสรู้ธรรมะสูงสุดคือกฎของธรรมชาติที่เรียกว่ากฎอิทัปปัจจยตา มาขยายความตีความเป็นอริยสัจก็ได้ เป็น ปฏิจจสมุปบาทก็ได้ ท่านตรัสรู้ข้อนี้ รู้แจ้งข้อนี้ ท่านก็มีการเกิดเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา เป็นพระพุทธเจ้าจริง ทีนี้ท่านเคารพพระธรรมที่ท่านตรัสรู้ พระธรรมที่ท่านตรัสรู้ มันไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ใบลาน ไม่ใช่หนังสือ ไม่ใช่ คัมภีร์ คนบางคนยังไม่รู้ก็ได้ทราบซะด้วยว่า พอพระพุทธเจ้า ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็ตั้งคำถามถามตัวเองว่า ตอนนี้ไปจะเคารพใคร นึกไปนึกไปที่ไหนที่ไหนก็ไม่มีอะไรที่ควรจะเคารพ ในที่สุดก็ทรงพบว่าเคารพธรรมะที่ตรัสรู้เองนั่นแหละ พระพุทธเจ้าก็ตัดสินพระทัยเคารพพระธรรม ในระยะติดติดกันกับที่ตรัสรู้ ธรรมะที่ตรัสรู้นั้นคือธรรมะสูงสุดคือกฎอิทัปปัจจยตา กฎที่ให้สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ก่อนนี้ไม่มีอะไรในสากลจักรวาล มีกฎอิทัปปัจจยตาบังคับให้เกิดเป็นดวงอาทิตย์ เป็นดาวเป็นอะไรขึ้นมา จนกระทั่งเป็นโลก กฎอิทัปปัจจยตา ทำให้เป็นอย่างนี้ กฎที่ว่าเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี สิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็พลอยไม่มีคือเหตุปัจจัย คือกฎอันนี้ได้ตรัสรู้ขึ้นมาก็เรียกว่าตรัสรู้สิ่งซึ่ง เป็นเหตุให้เกิดสิ่งทั้งปวง สิ่งที่ควบคุมสิ่งทั้งปวง สิ่งที่ทำลายสิ่งทั้งปวง สิ่งที่มีอยู่ในที่ทั่วไป สิ่งที่เป็นใหญ่กว่าสิ่งทั้งปวง สิ่งที่รู้ไปเสียทุกสิ่ง คือกฎอิทัปปัจจยตา ซึ่งอยากจะให้ถือว่านี่คือพระเจ้าในพระพุทธศาสนา การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทำให้พระองค์รู้จักสิ่งสิ่งหนึ่ง ซึ่งควรจะถือว่าเป็นพระเจ้าในพระพุทธศาสนา คือกฎของธรรมชาติ ซึ่งเรียกว่ากฎของอิทัปปัจจยตา ทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นและเป็นไปและดับลง เกิดขึ้น เป็นไป ดับลง คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป วนเวียนกันอยู่ทุกอย่าง ทุกๆปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาล กฎนี้คือพระเจ้าของชาวพุทธ ชาวพุทธมีพระเจ้าที่จริงแล้วถึงขนาดนี้ยังโง่ไปยึดพระเจ้า ผีผี สางสาง เทวดา เทวะอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งไม่จริงเลย ไม่จริงเหมือนกฎอิทัปปัจจยตา ที่สร้างโลก ที่ควบคุมโลก ที่ทำลายโลกให้หมุนเวียนกันอยู่อย่างนี้ เพราะสิงอยู่ในทุกๆปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นทุกสิ่ง เรียกว่าสร้างทุกสิ่ง ควบคุมทุกสิ่ง จัดการอยู่ทุกทุกสิ่ง ที่อยากจะอธิบายเรื่องว่าพระเจ้าสร้างโลกก็คือกฎอิทัปปัจจยตา ควบคุมอยู่ทุกๆ ปรมาณู ทำให้คนเกิดขึ้นมา ทำให้เด็กเกิดขึ้นมา ทำให้โตขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาว ทำให้สืบพันธุ์ ด้วยความสืบพันธุ์ โดยกฎของอิทัปปัจจยตา ทำให้อยากสืบพันธุ์ และก็สืบพันธุ์ เกิดทารกขึ้นมาใหม่โดยกฎของอิทัปปัจจยตา อย่างนี้แล้วถ้าจะไม่ให้เรียกว่าพระเจ้าสร้างโลกแล้วจะให้เรียกว่าอะไร กฎอิทัปปัจจยตาเป็นผู้สร้างโลก เป็นผู้ควบคุมโลก เป็นผู้ทำลายโลกเป็นคราวๆแล้วสร้าง แล้วควบคุม แล้วทำลาย บางทีจะเรียกว่ากฎแห่งกรรมก็ได้ กฎแห่งกรรม มีความอยากทำกรรม และรับผลกรรม มีความอยากแล้วทำกรรมและก็รับผลกรรม จะให้เรียกว่ากฎของไตรลักษณ์ก็ได้ มันเป็นกฎเดียวกันเรียกว่ากฎอิทัปปัจจยตาดีกว่า มันมีหน้าที่การงานที่น่าดูกว่า คือสร้างสิ่งทั้งปวง ควบคุมสิ่งทั้งปวง ทำลายสิ่งทั้งปวง ควบคุมอยู่ในที่ทั่วไป ในทุกๆปรมาณู แม้ว่าเป็นปรมาณูของอุจจาระ ปรมาณูของอุจจาระนะ กฎอิทัปปัจจยตาก็ยังไปควบคุมอยู่ที่นั่นได้ พระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหมไปควบคุมอยู่ที่นั่นได้เหรอ ใครมันจะเชื่อ ถ้าพูดอย่างบุคคล พระอิศวร พระนารายณ์เป็นอย่างบุคคล จะไปควบคุมปรมาณูทุกปรมาณูในกองขี้หมาได้อย่างไรเล่า นั้นพระเจ้านั้นน่ะไม่ใช่พระเจ้าจริง พระเจ้าคนไม่รู้มันพูด ส่วนพระเจ้านี้มันเป็นพระเจ้าที่คนรู้พูด คนที่รู้ค้นพบแล้วก็สอนให้รู้ว่า กฎอิทัปปัจจยตาบันดาลให้เกิดอะไรก็ได้ ทุกสิ่งเลย ไม่ยกเว้นอะไร ให้เกิดขึ้นมาแล้วก็ควบคุมอยู่และก็ทำลายไปเสีย ให้เกิดขึ้นมา ควบคุมอยู่ ทำลายไปเสีย นี่พระเจ้าของชาวพุทธ ไม่ใช่คน ไม่เป็นคน ไม่เป็นเทวดา ไม่เป็นอะไรหมด มันเป็นกฎของธรรมชาติ คือกฎอิทัปปัจจยตา เขาเรียกว่าพระเจ้า เขาทำหน้าที่เหมือนพระเจ้าตามที่เขากล่าวกันทุกอย่าง แล้วเก่งจริงจนถึงกับพระพุทธเจ้ายอมเคารพคิดดูซิ พระพุทธเจ้ายอมเคารพแล้วไอ้เรา พวกสาวกของพระพุทธเจ้าจะไม่เคารพมันก็บ้าสิ้นดี เราต้องรู้จักกฎเกณฑ์ข้อนี้ คือกฎอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาทให้ทุกข์เกิดอย่างไร ให้ทุกข์ดับไปอย่างไร เราต้องเคารพ คือประพฤติ ปฏิบัติให้ถูกต้อง แล้วก็ไม่ให้เกิดในฝ่ายผิด คือเป็นทุกข์ ให้เกิดในฝ่ายถูกคือไม่เป็นทุกข์ ทีนี้พระพุทธเจ้าในประวัติศาสตร์ที่เรารู้จักกันนั้นท่านเป็นคนแรกที่ค้นพบกฎนี้ ถ้าจะเรียกว่านักวิทยาศาสตร์ พระพุทธเจ้าก็เป็นยอดนักวิทยาศาสตร์ ค้นพบกฎนี้ความจริงอันนี้ที่ทำให้เกิดสิ่งทั้งปวง และ นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันนี้ เขายอมรับพระเจ้าชนิดนี้ได้ นักวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันนี้เขาไม่อาจจะยอมรับพระเจ้าตามที่กล่าวไว้ในศาสนาต่างๆ แต่เขาไม่เคยได้ยินได้ฟังว่าในพระพุทธศาสนามีพระเจ้าเขาก็เลยบัญญัติ พวกฝรั่งเขาบัญญัติว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า พวกเราก็ไปโง่ตามก้นเขา ว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า ไปสอนกันเสียใหม่ให้ดีๆ ในการศึกษานั้นว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้านั้นน่ะ คนโง่มันพูด พุทธศาสนามีพระเจ้าที่ยิ่งกว่าพระเจ้า เหนือกว่าพระเจ้าใดๆ สร้างสิ่งทั้งปวงจริง ควบคุมสิ่งทั้งปวงจริง คือกฎของ อิทัปปัจจยตา เป็นพระเจ้าที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับได้ทันที แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครสนใจ เพราะว่าไม่มีใครไปบอกเขา พวกชาวพุทธก็โง่ไปตามก้นพวกฝรั่ง ที่พูดว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า ขอยืนยันว่าพุทธศาสนานี่แหละมีพระเจ้าที่ยิ่งกว่าพระเจ้าคือกฎแห่งอิทัปปัจจยตา ซึ่งเป็นกฎของธรรมชาติ เอ้าที่นี้ก็ดูที่องค์พระพุทธเจ้า เนื้อหนัง ร่างกายของท่านก็เป็นเหมือนเราท่านทั้งหลาย สติปัญญาของท่านเจริญตามกฎของอิทัปปัจจยตา จนรู้จักสิ่งที่เรียกว่า อิทัปปัจจยตา หรือกฎอิทัปปัจจยตา พระสิทธัตถะ เอาปัญญาที่ไหนมา ที่จะมารู้กฎของอิทัปปัจจยตา ซึ่งเป็นพระเจ้า มันก็โดยกฎอิทัปปัจจยตา อีกนั่นเอง ปัญญาของพระสิทธัตถะเจริญงอกงามก้าวหน้าจนรู้จักกฎอิทัปปัจจยตา มันก็รู้ว่านี่เป็นสิ่งสูงสุดเมื่อยอมเคารพธรรมะนี้ คือกฎของ อิทัปปัจจยตา ที่พระองค์ได้ตรัสรู้ ที่พูดซะยืดยาวอย่างนี้ ซ้ำกับที่เคยพูดตอนเย็นทีหนึ่งแล้ว ก็เพื่อให้รู้จักพระพุทธเจ้าดีขึ้น ขอให้ทุกคนรู้จักพระพุทธเจ้าดีขึ้น เพราะเรากำลังจะพูดถึงพระพุทธเจ้า ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย พระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้เราสอนว่า พระพุทธเจ้าคือผู้ให้กำเนิดพระพุทธศาสนา นั่นมันยังน้อยไป มันก็ถูก แต่คำพูดมันยังน้อยไป ท่านต้องค้นพบไอ้ตัวแท้ของธรรมะที่เป็นตัวศาสนา ค้นพบสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่สูงสุดที่ทุกคนจะต้องรับรู้ และจะต้องปฏิบัติตาม เอาละเป็นอันว่าพระพุทธเจ้านั้นเราเรียกว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ตื่นคือตื่นจากหลับคือกิเลส หรือความโง่ เนี่ยเหมือนกับตื่นนอน นั้นตื่นจากกิเลสจากหลับของกิเลสแล้ว ท่านก็รู้คือรู้ รู้อย่างที่ควรจะรู้ คือรู้กฎของอิทัปปัจจยตา ท่านเอาชนะธรรมชาติฝ่ายที่เป็นทุกข์ได้ ท่านก็เลยเป็นผู้เบิกบาน เราให้คำจำกัดความแก่พระพุทธเจ้าว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบานนั่นถูกที่สุดแล้ว สวดมนต์กันอยู่ทุกวันว่าอย่างนี้ก็อย่าสวดแต่ปาก พอสวดถึงพระพุทธเจ้า ผู้ตื่นก็รู้ว่าตื่นจริงๆ รู้ก็รู้จริงๆ เบิกบานก็รู้ว่าเบิกบานอย่างไรจริงๆ เนี่ยมันใกล้ชิดพระพุทธเจ้าตัวจริงก็ไปอย่างนี้ พระพุทธเจ้าเราจะพูดโดยคำพูดธรรมดา ชาวบ้านพูดก็พูดว่าผู้ค้น ท่านค้น ผู้พบ ท่านก็พบ คือตรัสรู้ เรียกว่าท่านเคารพสิ่งที่ท่านค้นพบนะ แล้วก็ท่านสอนสิ่งที่ท่านเคารพ แล้วก็ท่านประดิษฐานความรู้นี้ลงไปในโลก เหมือนกับตั้งศาสนา เนี่ยพระพุทธเจ้าท่านทำหน้าที่ค้น แล้วก็พบ แล้วก็เคารพ เอาสิ่งนั้นมาสอน มาตั้งเป็นระบบการเรียนการปฏิบัติ ได้รับผลการปฏิบัติลงไปในโลก เรียกว่า พระศาสนาคือพระธรรมมีอยู่ในโลก พระพุทธเจ้าโดยบุคคลเขาไม่อยู่แล้ว พระเจ้าโดยอะไรก็ยังอยู่ จะอยู่ อยู่ที่ไหน โดยบุคคลก็สิทธัตถะ พอนิพพานแล้วเผาแล้วเหลือแต่พระธาตุกระจัดกระจายอยู่ที่นั่นที่นี่ ซึ่งทำอะไรไม่ได้นอกจากเป็นอนุสรณ์ เป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึก แต่ว่าไอ้สิ่งที่ท่านค้นพบ และสอนน่ะมันยังเหลืออยู่ ข้อนี้ตรงกับข้อความ ในมหาวรินิพพานสูตรว่าธรรมวินัยที่ตถาคตแสดงแล้ว บัญญัติแล้วนั้นจักอยู่เป็นศาสดาของพวกเธอ หลังจากตถาคตล่วงลับไปโดยร่างกาย ธรรมะนั้นยังอยู่ ธรรมะนั้นยังอยู่ในลักษณะที่เป็นการรู้ เป็นการบอกให้รู้ก็ยังอยู่ สติปัญญาชนิดนั้นอาจจะสร้างขึ้นได้ ในพวกเราแต่ละคนละคนตามมากตามน้อย พูดก็ไม่ใช่อวดดีว่าคนเดี๋ยวนี้ถ้าพยายามศึกษาปฏิบัติให้เต็มที่ ก็จะรู้ตาม พระพุทธเจ้าได้ แต่ไม่เป็นพระพุทธเจ้าหรอก เพราะว่าเราไม่ได้รู้เอง พระพุทธเจ้าท่านค้นเอง พบเอง รู้เอง ส่วนเรานี่ศึกษาตามพระพุทธเจ้า รู้ตามพระพุทธเจ้า แล้วเราก็รู้ได้เหมือนกัน สิ่งที่เรารู้ได้เหมือนกัน คือ ธรรมะที่พระองค์ตรัสว่าจะเป็นศาสดาของพวกเธอ หลังจากร่างกายนี้ล่วงลับไปแล้ว มองให้ดีจะเห็นว่าพระพุทธเจ้ายังอยู่ ปัญญาที่ทำให้มองเห็นธรรมะหรือกฎอิทัปปัจจยตานั้นยังหาได้ ยังสร้างขึ้นมาได้ ยังปลูกฝังขึ้นมาได้ ในจิตใจของพวกเราแต่ละคนละคน พระพุทธเจ้ายังอยู่ อยู่ที่ไหนล่ะ อยู่ในหัวใจของคนที่มันรู้ พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่พระธาตุในพระเจดีย์ทั้งหลายหรอก ถ้าถืออย่างนั้นล่ะเป็นไสยศาสตร์ไปเลย มีวิญญาณของพระพุทธเจ้าสิงอยู่ในพระเจดีย์ ในพระธาตุ อย่างนี้เป็นไสยศาสตร์ไปเลยไม่ใช่เป็นพุทธศาสนา ถ้าเป็นพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าอยู่ที่ปัญญาที่ทำให้รู้ ธรรมะอันสูงสุดที่ดับทุกข์ได้ ใครสร้างขึ้นมาได้ก็อยู่ในคนนั้นแหละ อยู่ในใจของคนนั้น พระเจ้าที่แท้จริงจะอยู่ในใจของคนที่มีปัญญา รู้จักอิทัปปัจจยตา คือความเกิดแห่งทุกข์และความดับแห่งทุกข์ กฎธรรมชาติ เรียกว่ากฎอิทัปปัจจยตา ว่าด้วยความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ และความดับลงแห่งทุกข์ จิตดวงไหนมันมีปัญญารู้จักสิ่งนี้ นั่นแหละพระพุทธเจ้า คือปัญญาของจิตนั้น ที่รู้จักอิทัปปัจจยตา นั้นคือพระพุทธเจ้า ก็อยู่ในคน ในหัวใจของคนที่มีปัญญารู้จักอิทัปปัจจยตา อย่าไปหาพระพุทธเจ้าที่ไหน ป่วยการ ที่โบสถ์ ที่วิหาร ที่พระเจดีย์ที่พระพุทธรูป ที่พระธาตุนั้นป่วยการ ต้องหาในจิตใจของคนที่มีสติปัญญา พอที่จะรู้อิทัปปัจจยตา ว่าทุกข์เกิดขึ้นมาอย่างไร ทุกข์ดับไปอย่างไร ทีนี้เมื่อไรกันเล่า เมื่อไรกันเล่า ก็เมื่อมันรู้นั่นแหละ เมื่อไรมันรู้ ก็เมื่อนั้นแหละ เป็นอะกาลิโก เมื่อไรเป็นสัณฐิติโก รู้ประจักษ์แก่ใจเอง เมื่อนั้นแหละก็เป็นเวลาที่รู้ไม่จำกัดว่าที่ไหน เมื่อไร จำกัดลงไปว่าเมื่อรู้ ที่เมืองไทยก็ได้ ที่อินเดียก็ได้ แล้วเมื่อไร เมื่อจิตมันรู้ ที่จิตมันรู้นี้มันก็มีหลายปริยายเหมือนกัน ที่มันรู้ตามธรรมชาติ จิตตามธรรมชาติที่ไม่มีกิเลสครอบงำมันก็รู้ได้ไม่น้อยเหมือนกัน จิตมันเพิ่งจะไม่รู้เพราะเมื่อกิเลสมันเริ่มครอบงำ จิตเดิมแท้ที่กิเลสไม่ครอบงำนี่มันพอที่จะรู้อะไรได้เป็นหน่อของพระพุทธเจ้า เป็นเชื้อของความเป็นพุทธะได้ ไม่เป็นพุทธสมบูรณ์ลองทำให้จิตหมดจากกิเลสหรือว่างจากกิเลส เถอะ มันจะรู้อะไรพอสมควรเรียกว่าเชื้อแห่งความเป็นพุทธะ ที่นี้ปฏิบัติธรรมะมากขึ้นมากขึ้นจิตนี้มันก็เปลี่ยนไปเป็นจิตที่กิเลสเกิดไม่ได้ กิเลสหมดไปเรียกว่ารู้โดยสมบูรณ์เมื่อนั้น เมื่อเราทำให้การปฏิบัติถึงขีดสูงสุด รู้ทุกสิ่ง เมื่อนั้นเรามีพระพุทธเจ้า มีที่ไหน มีในปัญญาที่มีอยู่ในจิตใจของคน จิตใจอยู่ที่ไหน ก็อยู่ในร่างกายของคน ถ้าหาชั้นนอกสุดก็หาที่ร่างกายของคน หาลึกเข้าไปก็ที่ปัญญาของคน หาลึกเข้าไปอีกก็อยู่ที่จิตใจที่มันรู้อิทัปปัจจยตา การรู้ อิทัปปัจจยตาที่มีอยู่ในปัญญา ในจิตใจของคนนี่คือพระพุทธเจ้านั้นใครจะสร้างขึ้นมาก็ได้ถ้ามันรู้เรื่องนี้ ถ้ามีความพยายามความพากเพียรพอ ปฏิบัติถูกต้องแท้จริงมันก็สร้างขึ้นมาได้ ไม่ว่าใคร แต่เดี๋ยวนี้คนส่วนมากไม่สนใจเรื่องนี้ เพราะมันไม่รู้เรื่องนี้เพราะกิเลสมันคอยขี่คอเอาไว้ คนในโลกเกือบจะทั้งหมดเนี่ยกิเลสนี่มันก็ขี่คอเอาไว้ ไปหากามารมณ์ หาเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ไม่มีเวลาไหนที่จะมาสนใจพระพุทธเจ้าหรือธรรมะนี้ มันก็เลยไม่ได้ ทั้งโลก มันก็เลยไม่ได้ จะว่าที่อินเดียหรือว่าที่เมืองไทยหรือว่าที่ไหนถ้ามันมีคนอย่างนี้มันก็ไม่มีวันที่จะได้พบกันกับพระพุทธเจ้าจริงๆ ให้เอาพระพุทธรูปมาร้อยพวงแขวนคอให้คอหักมันก็ไม่รู้ มันไม่อาจจะรู้พระพุทธเจ้าได้ ให้ไปไหว้พระพุทธรูปในโบสถ์ทุกๆโบสถ์มันก็รู้ไม่ได้เพราะมันไหว้อย่างไสยศาสตร์ พวกท่านทั้งหลายก็อย่าอวดดีไปเลย ท่านทั้งหลายจำนวนมากไหว้พระพุทธรูปอย่างไสยศาสตร์นะ ไปกราบตรงหน้าพระพุทธรูป ในใจขอร้อง ให้ช่วยเหลือ ให้ช่วยเหลือ ให้ช่วยเหลือ นั่นแหละคือไสยศาสตร์ กราบพระพุทธรูป เพราะต้องการให้ช่วยเหลือนั้นเป็นไสยศาสตร์ ไม่ได้กราบพระพุทธเจ้าเพราะรู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร ไม่ได้กราบเพราะความพอใจเลื่อมใสในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นพระเป็นเณร เป็นอุบาสกอุบาสิกาเข้าไปในโบสถ์ กราบพระพุทธรูปเป็นไสยศาสตร์ทั้งนั้น มันกราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วย อ้อนวอนให้ช่วย ถ้ากราบอย่างนี้เป็นไสยศาสตร์หมด ถ้ากราบเป็นพระพุทธศาสน์ ก็เพราะว่าเรารู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ท่านมีปัญญาอย่างไร ท่านรู้กฎอิทัปปัจจยตา อย่างไร กราบลงไปเพราะความเลื่อมใสพอใจในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า กราบลงไปเถิด อย่างนี้มันจะเป็นพุทธศาสน์ กราบอย่างนี้เป็นพุทธบริษัท กราบที่คิดให้ช่วย ขอร้องให้ช่วย นั้นมันเป็นไสยศาสตร์ ไม่ใช่พุทธศาสน์ไม่ใช่ พุทธศาสนา ถ้าใครเคยกราบ แต่จะให้ช่วย มันเป็นไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์นี้มีไว้สำหรับคนปัญญาอ่อน ไสยศาสตร์นี้เลิกไม่ได้ ไสยศาสตร์นี้ต้องเก็บไว้ให้คนปัญญาอ่อน ในโลก มีคนปัญญาอ่อน ที่กรุงเทพนี่มากที่สุด คนมีปัญญาอ่อน มีพระพุทธรูปอย่างไสยศาสตร์ ที่นี้ก็คิดดูสิว่าเราจะมีพระพุทธเจ้ากันอย่างไร ต้องเป็นเรื่องรู้ความจริง ที่ปฏิบัติได้จริง และดับทุกข์ได้ นี่จะเป็นพุทธบริษัท เดี่ยวนี้ก็มีแต่ว่าเอาเปรียบนี่ เอาเปรียบนี่ ทำอะไรนิดหน่อย ก็อ้อนวอนให้ช่วย ให้พระเจ้าช่วย เดี๋ยวก็พูดว่า ข้าพเจ้าขออ้างคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกจงมาช่วยดลบันดาล ให้ท่านมีความสุขความเจริญ อย่างนี้ไม่เป็นพุทธหรอก มันเป็นไสยศาสตร์ ไปขอให้คนอื่นมาช่วย ตัวเองไม่ทำ อย่างนี้เป็นไสยศาสตร์ ถ้าเป็นพุทธศาสน์ ตัวเองต้องทำ ต้องเชื่อแน่ว่าเราทำถูกต้องแล้ ว มันมีผลขึ้นมาช่วยเอง พระพุทธเจ้าแท้จริงไม่ใจจืดใจดำจนต้องอ้อนวอนให้มาช่วยหรอก ท่านช่วยเอง หรือว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ถ้ามันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงมันช่วยเอง ไม่ต้องมางอนง้ออ้อนวอนว่าจงมาช่วย ขอให้มาช่วย ขออ้างคนมาช่วย ต้องเอาหัวหมูไปจ้าง เอาบายสีไปจ้าง เอาเหล้าไปจ้างก็มี สิ่งศักดิ์สิทธิ์บางชนิดเอาเหล้าไปจ้างให้ช่วย อย่างนี้ไม่เป็นพุทธและไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นเป็นของเก๊ ทั้งนั้นแหละ ของปลอมทั้งนั้น ถ้ามันศักดิ์สิทธิ์จริงมันช่วยมันเองมันทนดูไม่ได้หรอก ถ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงมันพร้อมที่จะช่วยอยู่เสมอ ไม่ต้องอ้อนวอนว่าจงมาช่วย เรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงที่ไม่ต้องอ้อนวอน เพียงแต่เราทำตัวให้น่าช่วย แล้วมันก็ช่วยทันที แต่นี่คนมันเหลวไหลนี่ มันไม่ทำตัวให้น่าช่วย มันไปทำบาปทำกรรม ทำชั่ว แล้วใครจะช่วย ไม่มีใครช่วยได้ ถึงจะเอาหัวหมู เอาเหล้าไปจ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาช่วย มันก็ช่วยไม่ได้หรอก มันทำโง่ๆ ไปอย่างนั้นเองแหละ พุทธบริษัทไม่ต้องอ้อนวอนในทำนองนี้ ถ้าพุทธบริษัทจะอ้อนวอนตามแบบพุทธบริษัทก็คือสมัครปฏิบัติให้ถูก ให้ตรงตามพระพุทธประสงค์ ตามคำสั่งสอนของพระองค์นั้นแหละคืออ้อนวอน อย่ามานั่งทำพิธีอ้อนวอน เหมือนที่เขาอ้อนวอนผีสางเทวดากันอย่างนั้นเลย ป่วยการ ไม่มีประโยชน์ ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหนมันจะช่วยเพียงแต่ลำพังการอ้อนวอน ถ้าช่วยมันก็สิ่งศักดิ์สิทธ์กินสินบน ใช้ไม่ได้ ถ้าเราทำตัวให้น่าช่วย คือปฏิบัติดี มันช่วยเองทันที มันช่วยอยู่ในตัวมันเอง โดยกฎของอิทัปปัจจยตา ขอให้ทุกคน พวกเราทุกคน ทำตนให้น่าช่วย ทำตนชนิดที่ว่าน่าช่วย พระเจ้าน่าช่วยมันก็ช่วยในตัวมันเองทันที โดยกฎของอิทัปปัจจยตา เพราะว่าพระเจ้าสูงสุดนั้นก็คือกฎของอิทัปปัจจยตาเมื่อเราปฏิบัติตามกฎนั้นก็เท่ากับอ้อนวอนแล้ว มันก็ช่วยพร้อมกันเลย ปฏิบัติตนให้ดี ให้ถูกให้ควร นั้นคือทำตนให้น่าช่วย แล้วมันก็ช่วยทันที พร้อมอยู่เสมอที่จะช่วย เปรียบเหมือนว่าแสงสว่าง หรือว่าอากาศที่มันอยู่ทั่วไปในบรรยากาศนี่ เราเปิดหน้าต่างเปิดประตูมันเข้ามาทันที ไม่ต้องเชิญแสงแดด แสงสว่างมันก็เข้ามาทันที ถ้าเราเปิดประตูเปิดหน้าต่าง แต่ถ้าเราปิดประตู ปิดหน้าต่างเสีย โดยอวิชชามันก็เข้ามาไม่ได้ มันก็ช่วยไม่ได้ อากาศดีดี ถ้าเราหายใจ เราเปิดประตูเปิดหน้าต่างมันก็เข้ามาทันที ไม่ต้องอ้อนวอนให้เข้ามา เราก็ได้อากาศดีหายใจเพราะว่าถ้าเราทำตัวถูกต้อง ทำตัวให้น่าช่วย มันก็เข้ามาเอง เราจงปฏิบัติต่อพระเจ้าคือกฎของอิทัปปัจจยตาให้ถูกต้อง ในลักษณะอย่างนี้เราก็มีพระธรรม พระธรรมจริงไม่ใช่พระธรรมปลอม ไม่ใช่กระดาษ ไม่ใช่ใบลานเอาไว้ทำรังหนูแล้วก็ไหว้ ไหว้ไหว้ และก็ให้มาช่วย ช่วย ช่วย พระธรรมแท้ๆ คือ ปฏิบัติถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจยตาอันเป็นธรรมะสูงสุดที่พระพุทธเจ้าก็ยอมเคารพ สิ่งที่พระพุทธเจ้ายอมเคารพ เราเอามาปฏิบัติแล้วมันก็ช่วยพร้อมกันไปในตัว นี่ถ้าใครสวด กาเยนะ วาจายะ วะเจ ตะสาวะ ระวังให้ดีดีนะ มันจะเป็นไสยศาสตร์ไปไม่ทันรู้ ขอให้แน่ลงไปว่า เราทำถูกต้องแล้ว แล้วท่านก็ช่วยพร้อมกันไปในตัว ถ้าเราอยากจะอ้อนวอน ก็อ้อนวอนโดยการพยายามปฏิบัติให้ดีที่สุด ให้ตรงตามเรื่องของท่าน ถ้าเราจะอ้อนวอน ถ้าเราจะขอร้อง เราจะต้องปฏิบัติให้ถูกตรงตามพระธรรม ตามกฎของพระธรรม แล้วท่านก็จะช่วยไปในทันที เพราะพระธรรมที่ปฏิบัตินั่นแหละ จะช่วยพร้อมไปในทันที ไม่ต้องรอ ที่เรียกว่า อะกาลิโกหมายความว่าอย่างนี้ ถ้าปฏิบัติก็ได้ผลทันที ไม่ต้องรอ เนี่ยพระธรรมกับพระพุทธเจ้าสัมพันธ์กันอยู่อย่างไม่มีทางแยกกันได้พระพุทธเจ้าแท้จริงคือตัวปัญญาที่มีอยู่ในจิตที่มีความรู้ อิทัปปัจจยตา อิทัปปัจจยตาเป็นพระธรรม ปฏิบัติธรรม ก็คือปฏิบัติ อิทัปปัจจยตา มันก็ช่วยทันที เหมือนกินเหล้าเข้าไปก็เมาทันที ไม่ต้องขอร้องว่าให้เมา กินยาพิษเข้าไปก็ตายทันที ไม่ต้องขอร้องว่าให้ตาย กินยาแก้โรคถูกต้อง มันก็หาย ไม่ต้องขอร้องว่าให้หายหรอก มีพระธรรมสูงสุด คือกฎแห่งอิทัปปัจจยตาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และท่านเคารพนั่นแหละเอามาช่วยเรา เอามามีในเรา เอามาสำหรับให้เรารู้แล้วก็ปฏิบัติอยู่มันก็ช่วยให้หมดกิเลส ให้เป็นพระอรหันต์ไปเลย ทีนี้มองดูพระสงฆ์กันอีกทีหนึ่งคือผู้ที่รู้ตามพระพุทธเจ้า ไม่ได้รู้เอง ถ้ารู้เองเป็นพระพุทธเจ้า แต่นี่ไม่ได้รู้เอง ศึกษาจากพระพุทธเจ้าและปฏิบัติอย่างเดียวกันจึงมีจำนวนมาก เมื่อพระพุทธเจ้ามีเพียงองค์เดียว พระสงฆ์ก็มีมาก เป็นหมู่คณะที่มีโชคดี ได้มีโอกาสได้รู้ได้เข้าใจในธรรมะสูงสุด คือกฎของอิทัปปัจจยตา ดับทุกข์ได้ ต่างคนก็ต่างดับทุกข์ของตนของตนได้รวมกันแล้วเป็นพระสงฆ์มันก็อยู่ในจิตใจอีกแหละ ไม่ใช่เปลือกร่างกาย พระสงฆ์ หมายถึงจิตที่รู้ตามพระพุทธเจ้ารู้อิทัปปัจจยตา และดับทุกข์ได้ เป็นปัญญาอย่างเดียวกัน แต่มันเป็นปัญญาสมุนของปัญญาใหญ่ คือพระพุทธเจ้า เป็นปัญญาลูกน้องของหัวหน้าคือปัญญาของพระพุทธเจ้านี้เรียกว่าหมู่สงฆ์ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ดับทุกข์ได้เหมือนพระพุทธเจ้า อยู่ที่ไหนล่ะ มันก็อยู่ในใจของคนอีกนั่นแหละอย่าไปหาตามวัดตามวา ซึ่งมันก็ยังเป็นเปลือก เราจะไปหาในใจของเขาได้อย่างไร หาไม่พบหรอก ต้องหาในใจของเราซิ เมื่อเราปฏิบัติดีอย่างนั้นแล้ว ก็รู้จักพระสงฆ์คือรู้เหมือนพระพุทธเจ้ารู้ ดับทุกข์ได้เหมือนพระพุทธเจ้า ดับอยู่ในใจของเรานี่คือเราพบพระสงฆ์ในภายใน ถ้าเรามีพระสงฆ์ อย่างนี้ อยู่ที่หัวใจหรือว่าอยู่ที่ความรู้ อยู่ที่ปัญญาที่มีในหัวใจ ครั้นรู้จักพระสงฆ์ในภายในอย่างนี้แล้วจึงค่อยหยั่งออกไปภายนอก เทียบออกไปในภายนอกว่าคนอื่นก็ต้องอย่างนี้เหมือนกัน ถ้าเราดูภายในเห็น ดูภายในเป็นก็จะเทียบเคียงออกไปดูภายนอกได้ ข้อนี้มีกล่าว เป็นหลักในพระบาลี ดูข้างในพบแล้วก็จึงค่อยเทียบเคียงไปดูข้างนอกคือของคนอื่นได้ เดี๋ยวนี้เราเทียบเคียงไปถึงจิตใจ หัวใจของพระพุทธเจ้าได้ เมื่อเรารู้จนดับกิเลสได้เท่าไร เรารู้ความหมดไปแห่งกิเลส รู้ผลของหมดกิเลส มีความสุขอย่างไร เป็นอย่างนี้ แล้วก็เทียบเคียงไปถึงหัวใจของพระพุทธเจ้าได้ หรือเทียบเคียงไปถึงองค์พระธรรมที่กำลังทำหน้าที่อย่างนั้นได้ เราจึงรับพระพุทธเจ้า รับพระธรรม เชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อพระธรรม มอบกายถวายชีวิตแก่พระพุทธเจ้า แก่พระธรรม ให้แก่หมู่สงฆ์ที่เขาปฏิบัติเช่นนี้ได้ก่อนเรา ถ้าเราปฏิบัติเช่นนี้ได้เหมือนกันเราก็จะเข้าไปรวมอยู่ในหมู่สงฆ์นั้นแหละ อาตมาเมื่อถือว่าเดี๋ยวนี้เรายังทำไม่ได้ เราก็ยึดเอาผู้ที่เขาทำได้ก่อนเราเป็นหมู่สงฆ์นั่นแหละเป็นพระสงฆ์ จะรู้ได้โดยใจเรา เราจะเข้าถึงพระสงฆ์ชนิดนั้นได้โดยจิตใจของเราเป็นอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน นั้นเราจะรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้โดยจิตใจที่เข้าถึงสิ่งนั้น ไม่อาจจะรู้ได้ด้วยตา ไม่อาจจะรู้ได้ด้วยมือคลำ มันรู้ไม่ได้ มันต้องรู้ได้ด้วยจิตใจที่อบรมดี ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของอิทัปปัจจยตา จิตใจที่ได้อบรมดีอย่างนี้นั่นแหละจะรู้ จะเข้าถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริงคือความรู้ชนิดนั้น แล้วจะรู้ จะรู้จักพระธรรมจริงคือความเป็นเช่นนั้นความรู้เช่นนั้น ความเป็นเช่นนั้น จะเข้าถึงพระสงฆ์ คือผู้ที่ทำได้เช่นนั้น จำนวนใหญ่หมู่ใหญ่ ทำตามพระพุทธเจ้า ต่อเมื่อเรารู้ว่า เรานี้ได้ทำอย่างนั้น ได้หมดกิเลสอย่างนั้น ได้ประสพความสุขเพราะหมดกิเลสอย่างนั้น ท่านจึงมีกล่าวสรุปไว้ในพระบาลี จะเป็นพุทธภาษิต ด้วยซ้ำว่า จะรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ต่อเมื่อคนนั้นมันปฏิบัติ ดับกิเลสดับทุกข์ได้พอสมควรหรือสิ้นเชิง ถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมา ก็ว่าจะรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แท้จริงได้ ก็ต่อเมื่อคนนั้นเป็นพระอรหันต์เองแล้ว จะรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แท้จริงถึงที่สุดได้ หรือว่ายังไม่ถึงที่สุด แต่ก็รู้อย่างตรงจุด ถูกต้องแน่นอนว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนั้น กิเลสเป็นอย่างนั้น ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนั้น เพราะว่าตัวเองมันทำได้ มันกำจัดกิเลสออกไปได้เท่าไรมันก็รู้จักความไม่มีกิเลสมากขึ้นเท่านั้น รู้จักความไม่มีกิเลสมากเท่าใด ก็รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มากขึ้นเท่านั้น ต้องรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่มีอยู่ในหัวใจของเรา เมื่อไร ก็เมื่อเราทำได้อย่างนั้น นี่จึงดูแต่ว่า พระรัตนตรัยอยู่ที่ไหน พระรัตนตรัยก็อยู่อย่างที่ว่า พระรัตนตรัยอยู่ที่ไหน พระพุทธศาสนาก็มีอยู่ที่นั่น พระพุทธศาสนา ก็คือพระธรรม ในขั้นตอนต่างๆ กัน พระธรรมที่เป็นปริยัติเป็นความรู้ ก็เรียกว่าพระศาสนาที่เป็นปริยัติ เมื่อเอาความรู้มาปฏิบัติก็เป็นพระศาสนาในขั้นที่เป็นการปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วได้ผลของการปฏิบัติ ก็เป็นพระศาสนา ในขั้นปฏิเวธ คำเหล่านี้ท่านทั้งหลายได้ยินแล้ว อาตมาพูดหลายครั้งสิบแล้ว ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติ คือเรียนให้รู้ ปฏิบัติ คือปฏิบัติลงไป ปฏิเวธคือได้ผลจากการปฏิบัติมา มีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ที่ไหนมีศาสนาที่นั่นและเมื่อนั้นและเท่านั้น เราเรียนรู้ เท่าไร ปฏิบัติได้เท่าไร ได้ผลได้เท่าไรเราก็มีพระศาสนาเท่านั้น เราทำได้ที่ไหนมันก็มีที่นั่น เราทำได้เมื่อไร มันก็มีเมื่อนั้น ขอให้มองเห็นชัดอย่างนี้แล้วก็จะไม่เที่ยวคว้าหาพระรัตนตรัยนอกร่างกายตน เราก็จะไม่เที่ยวคว้าหา พระศาสนานอกกายตน จะไม่เที่ยวคว้าหา พระศาสนานอกกายตนอีกต่อไป แต่จะคว้าหาพระพุทธศาสนาในภายใน ซึ่งเป็นอันเดียวกันกับพระรัตนตรัยที่เรามีอยู่ในภายใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือพระรัตนตรัยมีอยู่ในภายใน มีอยู่ที่จิตที่เป็นอย่างนั้น แล้วก็เรียนรู้ ปฏิบัติได้ผลอย่างนั้น มันก็มีพระรัตนตรัยที่นั่น มีพระพุทธศาสนาที่นั่น อย่าไปมีพุทธศาสนาภายนอกที่โบสถ์ วิหาร พระเจดีย์ อย่าไปมีพระสงฆ์ ที่ลูกชาวบ้านห่มเหลือง อย่ามีพระธรรมที่หนังสือหรือใบลาน ขอให้ทั้งสามอย่างนี้ ไปรวมจุดอยู่ที่จิตใจที่ประกอบอยู่ด้วยปัญญา ซึ่งเป็นความรู้จนถึงกับทนอยู่ไม่ได้ ต้องปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วก็ได้รับผลแห่งการปฏิบัติ พระรัตนตรัยอยู่ที่นั่น พระพุทธศาสนาก็อยู่ที่นั่น ในวันนี้มันเป็นวันสำคัญ เราต้องพูดจริงกันแล้ว พูดอ้อมค้อมอยู่ไม่ได้ แล้วมันจะตายเสียก่อนไม่ทันรู้ ก็ต้องพูดจริงชิงพูดอย่าให้ทันตาย ให้คนเหล่านี้รู้ซะก่อนตายว่าพระพุทธศาสนาอยู่ที่ไหน พระรัตนตรัยก็อยู่ที่นั่น มันจะหยาบคายไปบ้างก็ให้อภัยคนพูดเพราะว่าจะประหยัดเวลาจะพูดเร็วๆอย่าให้ตายเสียก่อน อย่าให้ขายหน้า ให้คนบางพวกที่เขาเรียนทีหลัง เขาสนใจทีหลัง เขารู้มากกว่าเรา เราเรียนกันมาหลายชั่วคน ปู่ย่าตายาย แล้วยังไม่รู้ถ้าบังเอิญใครมันมาเรียนเดี๋ยวนี้ พักเดียวมันรู้แล้วเราก็น่าละอาย อาตมากลัวอย่างนี้และละอายแทนอย่างนี้ จึงรีบพูด ถ้าพูดอ้อมค้อม พูดเพราะๆ พูดอ้อมค้อมมันก็รู้ยาก ขออภัยพูดอย่างที่เรียกว่าถลกหนังหัวกันเลย หยาบคายไหม พูดอย่างถลกหนังหัวกันเลย มันอยากโง่นี่ เนี่ยขอพูดกันอย่างตรงๆ เร็วๆ รุนแรง อย่างว่าถลกหนังหัวกันเลย เนี่ยคือเรื่องที่พูดเป็นครั้งที่สอง ของวันอาสาฬหบูชาในวันนี้ จึงขอทบทวนว่า เป็นการพูดที่บอกให้รู้ว่าพระรัตนตรัยนั่นแหละคือพุทธศาสนา พระรัตนตรัยตัวจริงไม่ได้อยู่ที่วัตถุ ไม่ได้อยู่ที่พิธีรีตอง ไม่อยู่ที่ของภายนอกพระรัตนตรัยอยู่ที่ความรู้ ความถูกต้องของสติปัญญา ที่มีอยู่ที่จิตใจที่อบรมดีแล้ว ที่ได้อาศัยร่างกายที่ได้อบรมดีแล้ว ร่างกายของเรามีศีล วาจาของเรามีศีล อบรมดีแล้วก็เป็นที่ตั้งแห่งจิตใจที่จะได้อบรมให้ดียิ่งๆขึ้นไป ก็จะเกิดปัญญา ญาณ ยถาภูตญาน รู้ตามที่เป็นจริงในยถาภูตญาน รู้ตามที่เป็นจริง จะมี พระพุทธจริง พระธรรมจริง พระสงฆ์ จริงคือเป็นตัวความรู้ที่ดับทุกข์ได้ ตามกฎแห่ง อิทัปปัจจยตา เมื่อพระรัตนตรัยอยู่ที่หัวใจที่ประกอบด้วยปัญญา ศาสนาก็อยู่ที่นั่นศาสนาที่แท้จริงอยู่ข้างใน อยู่ในใจ อยู่ที่ใจของผู้ที่เล่าเรียนแล้วปฏิบัติแล้ว ได้ผลในการปฏิบัติแล้ว เรื่องปฏิบัติน่ะ เมื่อถึงที่สุดแล้วมันอยู่ที่ใจ เรื่องปริยัติ เมื่อรู้ถึงที่สุดแล้วมันก็อยู่ที่ใจ ปฏิเวธ ได้รับผลก็ต้องได้รับด้วยใจ ดังนั้นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มันจึงอยู่ที่ใจ เช่นเดียวกับที่พระรัตนตรัย ก็อยู่ที่ใจ ฉะนั้นใจนิดเดียวดวงเดียว สำคัญมากเลย เป็นที่อยู่ของทุกสิ่ง นรกสวรรค์ก็อยู่ที่นั่น อะไรอะไรก็อยู่ที่นั่น พระรัตนตรัยก็อยู่ที่นั่น พระศาสนาก็อยู่ที่นั่น มันพูดตรงไปหน่อย เพื่อประหยัดเวลา ถ้าเราจะพูดกันแต่ภายนอก เอาพระสิทธัตถะเป็นพระพุทธเจ้าก็เผาแล้วเหลือแต่พระธาตุแล้ว เราก็หาตัวไม่พบแล้ว ถ้าอยู่ก็อยู่ที่อินเดีย ไม่มาอยู่ที่เมืองไทย เดี๋ยวนี้เราจึงต้องรู้พระพุทธเจ้าพระองค์จริง ที่อยู่ทุกหนทุกแห่ง เมื่อใดจิตใจมันรู้กฎอิทัปปัจจยตา พระพุทธเจ้าก็อยู่ที่นั่น เป็นคนไทยก็ได้ เป็นแขกก็ได้ เป็นฝรั่งก็ได้ เป็นใครก็ได้ เป็นผู้รู้โดยแท้จริงซึ่ง อิทัปปัจจยตา กฎแห่งความเกิดทุกข์และดับทุกข์มันก็อยู่ที่นั่น พระพุทธเจ้าก็อยู่ที่นั่น พระธรรมก็อยู่ที่นั่น พระสงฆ์ก็อยู่ที่นั่น เมื่อทั้งสามองค์นี้อยู่ที่ไหนพระพุทธศาสนาที่แท้จริงก็อยู่ที่นั่น เดี๋ยวนี้เราหวังจะอยู่ที่เปลือก ที่เปลือกเห็นแต่เปลือกที่พระเจดีย์ โบสถ์วิหารไอ้อะไรต่างๆแม้แต่พระพุทธรูป จะสร้างกันให้มากให้เต็มโลกแล้วมันก็ไม่เป็นพระพุทธเจ้าได้ ไม่ช่วยให้เข้าถึงพระพุทธเจ้าได้ เมื่อเขาบรรลุพระอรหันต์กัน ไม่มีพระพุทธรูปซักองค์เดียว มีพระพุทธเจ้าแล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าอย่าเอาร่างกายฉันเป็นพุทธะ ให้เอาธรรมะเป็นพุทธะ ผู้ใดเห็นธรรมะผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรมะ ท่านไม่ให้เอาร่างกายของท่านเป็นธรรมะเอาธรรมะเป็นพระพุทธเจ้า เนี่ยเขาไม่เคยมีพระพุทธรูปกันสักองค์เดียว เขาก็ยังบรรลุมรรคผลกันได้ เดี๋ยวนี้เรามี โบสถ์ วิหาร พระเจดีย์ พระพุทธรูปกันมากเกินไปกลายเป็นไสยศาสตร์ไป สร้างด้วยความหวังจะให้ช่วย ไปกราบไหว้อ้อนวอนจะให้ช่วยตามแบบของไสยศาสตร์ ต้องเก็บไว้ให้คนปัญญาอ่อน เพราะไม่รู้ว่าจะเอาคนปัญญาอ่อนไปทิ้งเสียที่ไหน มันยังมีอยู่ในโลกก็เลยต้องมีไสยศาสตร์ไว้ให้คนปัญญาอ่อน ไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้าต้องเป็นคนมีความกล้าแข็งตามหลังพระพุทธเจ้า ไม่ต้องการไสยศาสตร์ จึงขอเตือนว่าแม้จะจุดธูปจุดเทียนบูชาพระพุทธรูปซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า ก็ขอให้ทำให้ถูก อย่าให้เป็นไสยศาสตร์เลย อย่าให้นึกไปในทางสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ตามแบบของไสยศาสตร์ จงทำด้วยจิตใจที่รู้ในพระคุณของพระพุทธเจ้า อนุโมทนาพระคุณ สรรเสริญพระคุณ กราบลงไปด้วยคิดว่าจะปฏิบัติตามยิ่งๆขึ้นไป ไม่ได้กราบอย่างเชื้อเชิญให้มาช่วย ที่เชื้อเชิญทางไสยศาสตร์ เพราะฉะนั้นขอให้ไปสะสางตัวเองกันเสียใหม่ ถ้าใครเคยกราบพระพุทธเจ้าอย่างไสยศาสตร์ รีบเปลี่ยนซะเร็วๆ กราบพระพุทธรูปอย่างไสยศาสตร์ รีบเปลี่ยนซะเร็วๆ ให้เป็นกราบอย่างพุทธศาสน์ คือสำนึกในพระคุณของพระองค์ กราบลงไป เพิ่มความเชื่อ เพิ่มความกล้าหาญ เพิ่มความพากเพียร ให้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนที่ได้ตรัสรู้ แล้วก็จะได้ค่อยๆ กลาย ค่อยๆกลายคือการเกิดใหม่โอปปาติกะ เป็นพระสงฆ์จริงหรือเป็นพระพุทธเจ้าองค์น้อยๆตามหลังพระพุทธเจ้าองค์ใหญ่เรียกว่าเป็นอนุพุทธะ พระพุทธเจ้าองค์น้อย ตามหลังพระพุทธเจ้าองค์ใหญ่เป็นอย่างนี้ได้ก็โดยโอปปาติกะ เกิดทางจิตใจ เดี๋ยวนี้ที่นี่ ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว ใครรอต่อตายแล้วเป็นคนโง่ที่สุดโง่ที่สุดในโลก ในเมื่อมันทำเอาได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้มันไปรอต่อตายแล้วจะไม่ให้เรียกว่าคนโง่ที่สุดยังไง ขอให้รีบศึกษาให้เข้าใจแจ่มแจ้งปฏิบัติเต็มที่ ได้รับผลกันที่นี่ และเดี๋ยวนี้ในลักษณะที่เป็น สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ เรื่องก็จบ มันจบเลย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในใจพระศาสนาอยู่ในใจ ใจก็เปลี่ยนเป็นพระพุทธเจ้าองค์น้อยๆ หรือว่าเป็นพระสงฆ์เต็มที่ พระธรรมมีอยู่ในนั้นก็ครบหมด พระรัตนตรัยมีอยู่ในนั้น พระศาสนาก็มีอยู่ในนั้น มันก็เลยไม่มีความทุกข์ ความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตามีอยู่ที่ไหนที่นั่นไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วย เดี๋ยวนี้ เรามันมายึดถือความทุกข์เป็นของแท้แน่นอน มีความทุกข์แล้วก็ร้องห่มร้องไห้ ไม่รู้อิทัปปัจจยตา ว่าอ๋อ มันเช่นนั้นเอง มันเช่นนั้นเอง เรื่องเกิด เรื่องแก่ เรื่องเจ็บ เรื่องตาย มันเป็นเช่นนั้นเองตามกฎอิทัปปัจจยตา เราอาศัยพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตรแล้วเราก็พ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย คือไม่เห็นเป็นตัวตนสำหรับจะเกิด แก่ เจ็บ ตาย เห็นแต่กระแสแห่งอิทัปปัจยตา ที่ปรุงแต่ง ธาตุอายตนะไม่มีตัวเรา จะเกิด จะแก่ จะเจ็บ จะตาย เจ็บไข้มาถึงดูเป็นกระแส อิทัปปัจจยตา ถ้าจะต้องตายก็เป็นเห็นเป็นกระแสอิทัปปัจจยตา ไม่ใช่ตัวกูไม่มีตัวกูสำหรับจะตาย ไม่มีตัวกูสำหรับจะอยู่ ไม่มีตัวกูสำหรับจะเกิด มีแต่ความปรุงแต่งโดยกฎของอิทัปปัจจยตา ดิน น้ำ ลม ไฟ หรือว่าอณู ปรมาณูก็ตามใจ เป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา เนี่ยเรียกว่า ได้อาศัยพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตรแล้วสัตว์ที่มีความเกิดเป็นธรรมดา ก็จะพ้นจากความเกิด สัตว์ที่มีความแก่เป็นธรรมดา ก็จะพ้นจากความแก่สัตว์ สัตว์ที่มีความตายเป็นธรรมดา ก็จะพ้นจากความตาย สัตว์ที่มีอะไร อะไรเป็นความทุกข์ ก็จะพ้นจากความทุกข์ อย่ามานั่งตอกหลักฝังตัวเองว่าเรามีความแก่ เป็นธรรมดา ไม่พ้นความแก่ไปได้ แล้วก็ร้องไห้โฮโฮ เราก็มีความเจ็บ เป็นธรรมดา ไม่พ้นจากความเจ็บไปได้ นั่งร้องไห้โฮโฮ อย่างนี้ ไม่มีทางที่จะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดนี่ว่า อาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้วที่มีความเกิดจะพ้นจากความเกิด ที่มีความแก่จะพ้นจากความแก่ ที่มีความเจ็บจะพ้นจากความเจ็บ ที่มีความตายจะพ้นจากความตาย แล้วทำไมไม่เอาล่ะ รีบรู้จักพระพุทธเจ้า ผู้รู้อิทัปปัจจยตา เคารพกฎอิทัปปัจจยตา เอามาสอนเรา เราก็รับเอาแล้วก็เคารพกฎอิทัปปัจจยตาเหมือนพระพุทธเจ้า ก็ได้ปฏิบัติอย่างเดียวกันอาศัยความรู้ จากกฎอิทัปปัจจยตาเอาชนะกิเลสและความทุกข์ได้ เรื่องมันก็จบกัน ในวันนี้เป็นวันอาสาฬหปุณณมี วันเพ็ญแห่งเดือนอาสาฬหเป็นวันที่พระพุทธเจ้า ท่านได้มอบหมายประทานให้ซึ่งความรู้เรื่องกฎอิทัปปัจจยตา แก่ปัญจวัคคีย์ทั้งห้าซึ่งเราเรียกว่าอริยสัจสี่ ที่จริงก็คือกฎอิทัปปัจจยตาเพราะมีบาลีบางแห่ง เรียกอริยสัจสี่ ว่าตถาสี่ ตถา ก็คือตถาตา ก็คืออิทัปปัจจยตา ตถาสี่ อริยสัจสี่ พระพุทธเจ้าท่านได้มอบให้โลกในวันนี้โดย ปัญจวัคคีย์ เป็นผู้รับแทนคนทั้งโลกแล้วก็สืบต่อมาถึงพวกเรา เอาละเป็นอันว่าวันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชา จัดขึ้นเพื่อบูชาพระคุณของพระพุทธเจ้า ผู้ได้มอบหมายความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตาที่พระองค์ได้ตรัสรู้และเคารพและก็แจกจ่าย เราควรจะรำลึกถึงพระคุณอันใหญ่หลวงของพระองค์ในวันนี้ แล้วสนองพระคุณตอบแทนพระคุณด้วยการรับเอาไปปฏิบัติ ก็จะเกิดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขึ้นในหัวใจของเรา เรื่องจบ หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะได้เข้าใจเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นไม่หยุดอยู่เหมือนที่เรียนกันมาเมื่อเป็นเด็กๆแล้วมันตายด้านอยู่ที่นั่น อันนี้มันเร่งให้มันงอกงาม เจริญ สูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น จนเราจะได้มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อันแท้จริงแล้วก็อยู่ในหัวใจเราไม่ต้องแขวน ไม่ต้องอะไร ให้ติดอยู่ในหัวใจตลอดไป เนี่ยจะสำเร็จประโยชน์ อุตส่าห์มาทำพิธี อาสาฬหบูชาก็จะได้รับประโยชน์คุ้มค่า ไม่เปลืองเปล่า ไม่เหนื่อยเปล่าเพราะได้เข้าถึงสิ่งที่พระองค์ ทรงประทานให้ในวันนี้ ในความรู้ เรื่อง กฎอิทัปปัจจยตา ตถาตา อวิชตัตตา อนันยัตตัตตา ธรรมมัตติตัตตา ธรรมมณียมัตตา อิทัปปัจจยตา ปฏิจสมุปบาทโท(นาทีที่ 71) ชื่อยาวเฟื้อยเรียกสั้นๆ เหลือคำเดียวว่า อิทัปปัจจยตา เป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนใด บันดาลให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมา แล้วก็ควบคุมอยู่ในทุกทุกปรมาณูของสิ่งนั้น เนี่ยพระเจ้าที่แท้จริงของพุทธบริษัท จริงกว่าพระเจ้าไหนไหนหมด อย่าไปหลงว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า ถูกแล้วไม่มีพระเจ้าอย่างคน ไม่มีพระเจ้าหนวดยาวถือไม้เท้าหลังโกง นั้นไม่มีจริง แต่ว่าพระเจ้าที่แท้จริงคือกฎของอิทัปปัจจยตานี้ เรามียิ่งกว่ามี มีอยู่ในทุกๆ ปรมาณูในร่างกายนี้ ทุกทุก อนุภาคของจิตใจทุกทุกส่วนของชีวิต มันมีพระเจ้าอิทัปปัจจยตา ควบคุมอยู่ ขอให้ปฏิบัติให้ตรงตามกฎแล้วก็จะไม่มีความทุกข์เลย กิเลสจะอยู่ไม่ได้โดยอาศัยความรู้ที่ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตานั้นทำลายกิเลสหรือว่าป้องกันไม่ให้กิเลสเกิดขึ้นมาได้อีกเป็นอันขาด ทำให้จิตประภัสสรนั้น เป็นจิตประภัสสรตายตัวไม่ให้โอกาสที่อุปกิเลสจะเกิดขึ้น ทำให้เศร้าหมองก็หมดปัญหาแหละ อย่าเอาอะไรมากกว่านั้นเลย เอาเพียงความไม่มีความทุกข์อีกต่อไปก็พอแล้ว ขืนเอามากกว่านั้น บ้า ขืนเอามากกว่านั้นน่ะจะบ้า เอาเพียงไม่มีความทุกข์เลยน่ะพอแล้ว อาตมาก็พูดรุนแรงไปสักหน่อย เนี่ยที่ได้ขออนุญาตพูดอย่างปาฐกถาธรรมเพราะพูดอย่างเทศน์แสดงธรรมเทศนาแบบเทศน์มาพูดอย่างนี้ได้เมื่อไรเล่า เพราะว่าถ้าเทศน์ก็ต้องพูดให้เรียบร้อยกว่านี้ ให้ไพเราะกว่านี้ ตามแบบของคำเทศน์ ต้องขอโอกาสพูดอย่างปาฐกถาธรรม พูดอย่างตรงไปตรงมาอย่างถลกหนังหัวกันเลย นั้นแหละขอโอกาสอย่างนี้แหละ แล้วเป็นอันว่า การบรรยายเรื่องพระรัตนตรัยนั่นแหละคือพระพุทธศาสนา สมควรแก่เวลาแล้วขอยุติการบรรยายหัวค่ำไว้เพียงนี้ ถ้ายังไงค่อยพูดกันอีกทีตอนดึก