แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย โอกาสนี้เรามาพบกันที่นี่อีก ตามที่เรียกว่า ในรอบปี ปีหนึ่งก็ มีปีใหม่ มีส่งท้ายปีเก่า มีปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง ที่จริงก็เป็นเรื่องสมมติ แต่มันเป็นเรื่องสมมติที่เราจะต้องทำให้ถูกต้อง คือ มันบังคับให้เราต้องทำให้ถูกต้อง มิฉะนั้นปัญหาจะเกิดขึ้น แม้จะเป็นการสมมติก็ต้องทำให้ถูกต้องเรื่อยๆไป จนกว่าเราจะอยู่เหนือความหมายของคำว่าสมมติ นี่เป็นเรื่องที่ควรพูดกันอย่างยิ่งในโอกาสเช่นนี้ รอบปีหนึ่งมันก็มีอะไร มีลักษณะเป็นรอบด้วยเหมือนกัน คือมันไม่เหมือนกันทุกวัน
นี่, จงดูสิว่าปีหนึ่งนี่ มันมี ๔ ฤดู มี ๑๒ เดือน ทั้ง ๔ ฤดูมันไม่, ไม่เหมือนกัน แต่ละฤดูมันไม่เหมือนกัน ฉะนั้นสิ่งต่างๆมันก็เป็นไปอย่างที่ไม่เหมือนกัน เมื่อมันไม่เหมือนกันมันก็ต้องทำต่างๆกันตามสมควรแก่ฤดู การที่มันเป็นฤดูอย่างนี้ มันก็เนื่องมาจากไอ้สิ่งที่สำคัญที่สุด คือเรื่องของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เป็นต้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างกันเป็นฤดู ฤดู บนพื้นแผ่นพิภพนี้ สิ่งต่างๆในพื้นพิภพนี้มันก็ต้องเปลี่ยนไปตามฤดู เช่นฤดูฝน มันก็ต้องมีอะไรตามฤดูฝนที่ต้องทำให้ถูกกับฤดูฝน ฤดูแล้ง ก็ต้องให้ถูกกับฤดูแล้ง จึงรอดชีวิตกันมาได้ เพราะฉะนั้นเรื่องสมมติ ฤดู นี่มันก็ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องลมๆแล้งๆเสียทีเดียว มันมีอำนาจตามธรรมชาติที่บังคับ เราจึงต้องทำให้ตรงกับเรื่อง เพื่อจะไม่ให้เกิดปัญหา ไอ้, ทางวัตถุเหล่านี้ขึ้นมา
ส่วนเรื่องทางจิตใจนั้น มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันแล้วแต่ว่าจิตใจต่ำ หรือว่าจิตใจสูง ถ้าจิตใจต่ำก็ต้องพ่ายแพ้แก่การสมมติเกี่ยวกับฤดู เป็นต้น จนกว่าจิตใจมันจะสูงพอที่ว่าจะอยู่เหนือความหมาย หรือการ, เอ่อ, เหนือการบีบบังคับของสิ่งที่เรียกว่า ฤดู
โลกมันหมุนไปรอบๆตัวมัน แล้วก็เคลื่อนที่ไปจนรอบดวงอาทิตย์ เป็นรอบปี นี่, เรียกว่า มันหมุน มันไม่ได้หยุด แล้วมันก็เคลื่อนไป ในขณะที่หมุน อาการเหล่านี้มีอยู่ในสิ่งทั้งปวง สิ่งที่มีการปรุงแต่งมันก็หมุนไปอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ เช่นวัน เช่นคืน อย่างนี้มันก็เป็นการหมุน
กระทั่งว่าเราก็จะต้องมีการหมุนภายในร่างกายเรา ความเปลี่ยนแปลงของไอ้เซลล์ ของเนื้อหนังร่างกาย หรือการไหลเวียนของโลหิต หรือการที่ต้องหายใจ ล้วนแต่เป็นการเปลี่ยนไป หรือหมุนไป มันเลยต้องทำให้ถูกจังหวะกัน
ฉะนั้น เป็นอันว่าเราจะต้องทำให้ถูกทั้งอย่างที่เรียกว่า สมมติ เช่นสมมติว่าปีใหม่ เราจะต้องทำให้ดีกว่านั้นในทางจิตใจ จนให้ไอ้เรื่องสมมตินี้ไม่มีปัญหาแก่เรา ข้อนี้มันแล้วแต่ว่าจิตใจของเราอยู่ในระดับไหน ถ้ายังอยู่ในระดับต่ำต้อยก็รับสมมติกันไปก่อน
ทีนี้เราจะทำพิธีส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ก็เพราะเรายังหลงอยู่ในสมมติ ต้อนรับปีเก่า, ให้ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ แล้วก็มาที่นี่กันเป็นประจำปี
อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลาย จะพยายามให้ได้รับประโยชน์ที่สุด มากที่สุด เท่าที่ควรจะมากได้ เราจึงจะต้องทำให้ผสมผสาน กลมกลืนกันไป อย่างมานั่งตรงนี้ ปีละครั้ง อย่างน้อยปีละครั้ง ในวันปีใหม่นี้มันก็มีความหมายอยู่มาก ถ้าใครยังไม่ทราบ อาตมาก็จะบอกให้ทราบ ว่าเรามานั่งกันที่ตรงนี้ มันไม่ใช่ ไม่มีความหมายอะไร มันมีความหมายมากทีเดียว ที่ว่านั่งบนแผ่นดิน ซึ่งเป็นที่นั่ง ที่นอน ที่เกิด ที่ตายของพระพุทธเจ้า ใช้คำธรรมดาสามัญอย่างนี้ไม่ใช่จ้วงจาบพระพุทธเจ้า แต่ให้เกิดการฟังง่ายๆว่า พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าตรัสรู้กลางดิน พระพุทธเจ้าท่านสอนกลางดิน ท่านอยู่กลางดิน กุฏิอยู่พื้นดิน ในที่สุดท่านก็นิพพานกลางดิน
เพราะฉะนั้นคำว่า กลางดิน จึงมีความหมายมาก สำหรับผู้ที่นึกถึงพระพุทธเจ้า เพราะท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน จนกระทั่งว่า คำสอนเกือบหมดทั้งพระไตรปิฎกนั้น ตรัสเมื่อนั่งอยู่กลางดิน ก็โรงธรรมบนพื้นดิน โรงฉันบนพื้นดิน ที่ไหนก็ได้ โคนไม้ที่ไหนก็ได้ ป่าไม้ที่ไหนก็ได้ กลางทางเดินก็มีตรัสพระสูตร บางสูตร หลายๆสูตร พระไตรปิฎกทั้งหมดนั้น ก็เรียกว่า เกิดกลางดิน ได้เหมือนกัน
มานั่งกลางดินอย่างนี้แล้ว ช่วยเป็น, ช่วยถือว่ามันเป็นไอ้, เรื่องพิเศษ เอามือลูบดินดู จะเกิด พุทธานุสสติ ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน นิพพานกลางดิน ปีหนึ่งมานั่งกลางดิน ในลักษณะอย่างนี้กันเสียสักครั้งหนึ่ง อาตมาเชื่อว่าดีกว่าไม่ได้ทำ จึงขอร้องให้ทุกท่านเดี๋ยวนี้ทำในใจถึงพระพุทธเจ้า ผู้ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน และนิพพานกลางดิน เราจะหาโอกาสทำอย่างนี้กันทุกๆปีไป ก็จะต้องได้ผลเป็นพิเศษกว่าที่ไม่ได้ทำอย่างนี้ เชิญมานั่งบนที่นั่ง ที่นอนของพระพุทธเจ้า ที่เกิด ที่ตายของพระพุทธเจ้ากันปีละครั้ง
อย่างที่เรียกว่าวันนี้ปีใหม่ ทำบุญปีใหม่ บนที่นั่ง ที่นอน ที่เกิด ที่ตาย ของพระพุทธเจ้า ถ้ามีใครไม่ชอบก็สุดแท้ เราช่วยไม่ได้ ก็เพราะว่าเราก็ต้องการอย่างนี้ ปีหนึ่งครั้งหนึ่งละ นี่ก็เรียกว่ามากันจนถึงสวนโมกข์ทั้งที ได้มานั่งกลางดิน ไม่ได้นั่งบนเก้าอี้ ที่จริงเก้าอี้ก็มีในตึกนั้น จะขนมานั่งกันก็ได้ แต่ดูจะเป็นเรื่องบ้า มันจะขาดทุนมากไปกว่าที่ว่า มานั่งกลางดิน มานั่งกลางดินเสียอย่างนี้ดีกว่าจะไปขนเก้าอี้มานั่งกัน นี่ก็เป็นสิ่งที่ต้องระลึก ก็ขอให้ระลึก คนเรามันเสียอะไรไปเปล่าๆ สูญเสียอะไรไปเปล่าๆ มากมายเหลือเกินในโลกนี้ เพราะมันยึดถือ เรื่องอย่างนี้ ถ้านั่งกลางดินไม่ได้ ก็ไปขนเอาเก้าอี้มาสิ แต่ถ้านั่งได้ก็ไม่ต้องขนเก้าอี้ แล้วอะไรมันจะดีกว่ากัน ขอให้มีความคิดละเอียดลออ ถี่ถ้วนลงมา ถึงเรื่องอย่างนี้ด้วย ถ้าจะมาทำอะไรกันที่สวนโมกข์นี้ ก็แล้วเป็นอันว่า ปีหนึ่งก็มานั่งกลางดิน ทำบุญปีใหม่เสียทีหนึ่ง ให้ก้าวหน้าในทางจิตใจเรื่อยๆไป
ทีนี้ก็อยากจะให้สนใจกันบ้างว่า จะฟังอะไรกัน จะได้อะไรกัน ในการที่มานี้ ถ้าท่านมาที่นี่ แล้วกลับไปไม่ได้อะไร มันก็เป็นการยุติธรรม เอ่อ, ที่ว่า เจ้าของบ้าน คืออาตมานี้ ควรจะถูกด่า ว่าเขามาทั้งทีไม่ได้อะไร จริงหรือไม่จริงก็ลองคิดดู ไม่ว่าที่ไหน ไปที่ไหน มันไม่ได้อะไรเลย มันก็ต้องโมโห ต้องโกรธ ที่ว่ามันไม่ได้อะไร ถ้าท่านไม่ได้อะไรเพราะมาที่นี่ แล้วก็, เจ้าของบ้านเขาควรจะถูกด่า
แต่ถ้าว่าเจ้าของบ้านเขาให้อะไร อะไรแล้ว ท่านทั้งหลายไม่เอา ทีนี้ ใครควรจะถูกด่าบ้าง เรื่องมันจะอย่างไร ถ้าให้แล้วไม่เอา นี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดนะ อาตมาสังเกตมาหลายสิบปีแล้วนะ ไม่ค่อยเอานะ ที่มานี้ไม่ค่อยเอานะ ไปดูรูปภาพที่เขียนไว้ที่หัวตึก มันวิ่งหัวขาดกันเป็นฝูงๆเลย ไม่ได้ ไม่ได้อะไรไป ไอ้ที่ได้สวมลูกตาให้, สอง สามคนแค่นั้นแหละ เพราะว่าคนเหล่านี้มันไม่เอานี่ มาแล้วไม่เอา
อาตมาตั้งใจที่จะพูดให้ดี ให้มีประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย ก่อนแต่จะมาพูดนี่ ก็ต้องคิด ต้องนึก บางทีนึกล่วงหน้าตั้ง สอง สามวันนะว่า ปีใหม่นี้จะพูดเรื่องอะไร เราก็ตั้งใจมากร้อยเปอร์เซนต์นะ แต่คนฟัง ตั้งใจฟังดูไม่ถึงสิบเปอร์เซนต์ ฟังด้วยจิตใจฟุ้งซ่าน แล้วก็ไม่ค่อยฟัง มันเป็นนิสัยอย่างนี้ พวกพระ เณรที่อยู่ที่นี่ มันก็ไม่ฟังเหมือนกัน มันอยู่ในลักษณะ อยู่กับเกลือกินด่างเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น การที่จะฟังให้ดีแล้ว มันไม่ใช่มันง่ายนะ มันก็ต้องร้อยเปอร์เซนต์ด้วยกันสิ อาตมาตั้งใจจะพูดให้ดีที่สุดร้อยเปอร์เซนต์ ผู้ฟังก็ควรจะตั้งใจฟังให้ดีที่สุดร้อยเปอร์เซนต์ มันจึงจะสมกัน แล้วคงจะได้รับผล คุ้มค่ามา นี่ก็พูดกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ไม่อ้อมค้อมแล้ว เพราะว่าจะให้ปีใหม่มันดีขึ้น
ปีใหม่ควรจะมีอะไรใหม่ ถ้าไม่อย่างนั้น มันก็ไม่ใหม่ เราจะต้องพูดไอ้เรื่องที่มันแปลก หรือใหม่ออกไป หรือที่เรียกว่าสูงๆขึ้นไปนั้น เพราะมันเป็นของใหม่เหมือนกัน จะได้ชีวิตใหม่ ก็ดีนะ แต่ว่า คำว่า ชีวิตนี้ มันถือความหมายต่างกัน บางคนมันชีวิตเดียวตลอด บางคนมันรู้ว่าชีวิตนี้มันเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ อยู่อย่างถี่ยิบ สามารถจะทำให้ใหม่ได้ ถ้าฉลาด
วันนี้ ก็อยากจะบอกอะไรใหม่ๆบ้างนะ ถ้าไม่ได้บอกอะไรให้ใหม่ๆบ้าง ก็คง, ก็ถือว่าไม่ได้ให้อะไร ก็ควรจะถูกด่า แต่ถ้าได้ให้อะไรแล้ว ไม่เอา ก็อีกฝ่ายหนึ่งต้องรับผิดชอบเอง จะพูดถึงไอ้เรื่องที่ว่า ชีวิต นั่นแหละ ให้ชัดเจน
ระหว่างนี้กำลังค้นบาลี เรื่องในพระบาลี จะทำหนังสือใหม่สักเล่มหนึ่ง แล้วก็พบคำที่ประหลาด แม้ตัวเองก็รู้สึกว่าประหลาด แล้วก็เชื่อว่า ถ้าท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟัง ก็คงจะประหลาด ในฐานะที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง หรือไม่รู้เรื่องนี้ ไม่ใช่จะดูถูกท่านทั้งหลาย อาตมาก็รู้สึกว่าประหลาด ก็เชื่อว่าท่านทั้งหลายก็คงจะต้องประหลาด คือจะให้ความรู้ใหม่ๆเป็นคำพูด ขึ้นมาสักคำหนึ่ง คอยฟังให้ดี มันจะเป็นคำว่าอะไร คือคำว่า โวหาร โวหาร โวหาระ หรือโวหาร
เราพบความหมายที่แท้จริง ที่ลึกซึ้งถึงที่สุดของคำๆนี้ ก็จะมาบอกท่านทั้งหลาย เรารู้กันแต่ว่าไอ้โวหาร โวหาร นี้มันเพียงคำพูด ที่มีสำนวนได้เปรียบ เรียกว่าโวหาร แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น มันมากกว่านั้น มากมาย
ถ้าตามปทานุกรม คำว่า โวหาร นี้แปลว่า คำพูด
คำว่าโวหารนี้แปลว่า สำนวนพูด หรือวิธีพูดที่ได้เปรียบ
คำว่าโวหารนี้ แปลว่าอรรถคดี ตามโรงตามศาล นั้นก็เรียกว่าโวหาร
โวหารนี้แปลว่า การซื้อขาย การซื้อ การขาย นี้ก็เรียกว่าโวหาร
การลงทุนเพื่อให้ได้ผลมาก งอกงามออกไป ก็เรียกว่าโวหาร
คำว่า โวหาร นั้นมีความหมายอย่างนี้ แปลกหรือไม่แปลกจากที่ท่านเคยได้ยินมา ท่านรู้แต่โวหาร เป็นวิธีพูดให้มันแยบคาย ???? (นาทีที่ 22.29)
แต่ในพระบาลีนี้ คำว่า โวหาร หมายถึง การลงทุนของชีวิต เพื่อชีวิตจะถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าจะพูดให้เต็มหน่อยก็ว่า ต้องเรียกว่า โวหาระชีวิต หรือชีวิตะโวหาร ชีวิตะโวหาร โวหารแห่งชีวิต
โวหารแห่งชีวิต คือ การใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน ลงทุนเพื่อให้มันดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้น จนถึงสุดยอด พอถึงสุดยอดเราก็เรียกว่า โวหาระสมุจเฉโท โวหาระสมุจเฉโท สิ้นสุดแห่งโวหาร คือจบมัน เมื่อชีวิตไปถึงปลายสุดที่มันจะเป็นไปได้แล้วก็เรียกว่า โวหาระสมุจเฉโท สิ้นสุดแห่งโวหาร
เดี๋ยวนี้ชีวิตยังเป็นโวหารอยู่ ทั้งวัน ทั้งคืน ทุกเวลา ทุกนาที ทุกหายใจเข้าออก คือเป็นชีวิตที่กำลังถูกใช้ให้เป็นผลประโยชน์ ให้เกิดกำไรขึ้นมา นี่ โวหาระชีวิต หรือชีวิตะโวหาร ท่านต้องมองให้เห็นความข้อนี้ ว่าชีวิตนั้น มันคือสิ่งที่เป็นการลงทุน เพื่อให้ได้อะไรมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งชีวิต ไปสุดถึงที่ไหนกัน ขออภัยที่ใช้คำว่า ถ้าไม่โง่เกินไป ก็คงจะตอบได้ว่าเมื่อเป็นพระอรหันต์ ถ้าใครมันไม่โง่เกินไป มันคงจะตอบได้เอง ว่าชีวิตหรือการค้าในชีวิตนี้ ไปเลิก ไปจบกัน ต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์น่ะ ในพระบาลีเขาว่าอย่างนั้น
ทีนี้จะเล่าเรื่องในพระสูตรนี้ให้, ให้ชัดอีกหน่อยว่า พระพุทธเจ้าท่านกลับจากบิณฑบาตก็ไปประทับอยู่ที่ในป่าแห่งหนึ่งเพื่อพักผ่อนกลางวัน ทีนี้ก็มีคฤหบดี คือคนรวยคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนสูงอายุแล้ว เขาก็แต่งตัวภูมิฐาน ตามแบบของคนที่รวยแล้ว ถึงที่สุดในความหมายแห่งชีวิตตามแบบของเขาแล้ว มีร่ม มีรองเท้าเสียโอ่โถง เดินไปทางนั้น ก็เข้าไปในป่านั้น คล้ายๆกับว่า ไอ้, ไอ้พวกชาวบ้าน เศรษฐีคหบดีนี้ มันไม่มีเรื่องอะไรแล้ว มันก็เที่ยวตามสบายของมัน ถึงขั้นที่เขาจะเที่ยวได้ตามสบาย เขาก็เที่ยวไป เผอิญว่าเข้าไปในป่านั้น ที่พระพุทธเจ้าท่านประทับนั่งอยู่ก่อน พระพุทธเจ้าก็, พอ พอ พอเกิดความคุ้นเคยกันแล้ว เขาก็ยืนอยู่ข้างๆนั่นแหละ เขาไม่นั่ง ดูจะเป็นธรรมเนียมของชาวอินเดียหรือชาวตะวันตก ถ้าผู้ที่อยู่ก่อนไม่เชื้อเชิญ ไอ้คนที่มาทีหลังจะไม่นั่ง เพราะมันจะเสียมรรยาท ในทำนองนั้น
ทีนี้พระพุทธเจ้าก็เชื้อเชิญว่า นี่ ท่านคฤหบดี นี่ ที่ตรงนี้มี นั่งสิ นั่งสิ ท่านคฤหบดีนั่งสิ นายคนนี้ คฤหบดีคนนี้ ก็โกรธพระพุทธเจ้า ที่ไปเรียกเขาว่าคฤหบดี มันเฉยเสีย มันไม่นั่ง ทีนี้พระพุทธเจ้าก็เชิญอีก นั่งสิ ที่นั่งมี คฤหบดีเชิญนั่งสิ มันก็โกรธมากขึ้น มันก็เฉยเสีย มันไม่นั่งลง พระพุทธเจ้าก็ตรัสเชิญอีกนะ คฤหบดีนั่งสิ ทีนี้มันโกรธแล้วมัน, มันพูดเลย มัน, ถ้าว่า, ถ้าว่าใช้คำสำนวนที่ไม่เอาตามหนังสือ ก็คล้าย, ก็จะต้องพูดว่า แหม ดูถูกกันมากนะ หรือ ดูถูกกันมากนัก กูไม่นั่ง คล้ายๆอย่างนี้แหละ มาเรียกกูว่าคฤหบดี กูไม่นั่ง นี่ แต่ว่าพระบาลีน่ะ มันเป็นสำนวนบาลีอีก จะแปลให้สุภาพกว่านี้ก็ได้ แต่นี่ว่าถ้าตามความรู้สึกล่ะก็จะต้องเป็นอย่างนั้น
ท่านถามว่าทำไมไม่นั่งเล่า ก็มาเรียกฉันว่าเป็นคฤหบดีนี่ มันเป็นคำด่าเหลือประมาณ ฉันไม่ได้เป็นคฤหบดีแล้ว ฉันถึงที่สุดแห่งโวหารของชีวิตแล้ว ฉันเป็นผู้ถึงที่สุดแห่งโวหารของชีวิตแล้ว มาเรียกฉันว่า คฤหบดี คฤหบดี มันก็เท่ากับ ด่ากัน เขาก็โกรธพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าก็ อ้าว, ก็กิริยาท่าทางมันยังเป็นคฤหบดีอยู่นี่ ไหนว่ายังไง ที่ว่าถึงที่สุดแห่งโวหารของชีวิต เขาก็เล่าให้ฟังว่า เดี๋ยวนี้ เขาทำการทำงาน ร่ำรวยมากมาย เงินทองข้าวของอะไรมากมาย จนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว เขาจัดตัวเองเป็นผู้สิ้นสุดแห่งโวหารของชีวิตแล้ว วัว ควาย ไร่ นา ข้าว, เงินทอง ข้าวของอะไร ยกให้ลูกหมดแล้ว ทีนี้เหลือแต่ว่า ขอข้าวกินไปวันๆหนึ่ง กับ ผ้าชิ้น สองชิ้น เพื่อปกปิดร่างกาย ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเป็นของตน ถึงที่สุดแห่งความเป็นมนุษย์แล้ว เพราะฉะนั้น มาเรียกกันว่า คฤหบดี เหมือนกับคนที่ทำการค้า ยังเป็นนายทุน เป็นอะไรอยู่นี้ มันดูถูกกันนี่ พระพุทธเจ้าว่า ไม่ ไม่ ไม่ ถ้าว่าถึงที่สุดของแห่งโวหารของชีวิตในภาษาของพระอริยเจ้านั้นไม่, ไม่ใช่อย่างนี้ นั่นมันถึงที่สุดแห่งโวหาร ตามแบบของท่าน ของคนปุถุชน
นี้ก็ขอให้นึก ให้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันกับเรานะ ที่ว่าคนในโลกนี้ เขาได้ถึงที่สุด ไม่ต้องทำมาหากินอะไร ได้นอนสบาย เขาก็เรียกว่าพ้น พ้นความเป็นไอ้, คนทำการทำงาน ไม่ต้องทำการทำงาน ไม่อะไรอีกต่อไป เขาก็จัดไว้อย่างนั้น แต่ว่าไอ้ถึงที่สุดแห่งโวหารของชีวิตชนิดนี้ มันเป็นเรื่องโลก เป็นของชาวโลก
ทีนี้เมื่อเขาขอร้องให้พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไอ้สุด สิ้นสุดแห่งโวหารในอริยะวินัยนั้น เป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าก็ ท่านตรัส ไอ้การไม่ทำบาป ไม่ทำชั่ว ไม่ทำอะไรทุกอย่างนี่ จนกระทั่งมีจิตอยู่เหนือกามารมณ์ เหนือโลก สิ้นอาสวะนู่น สิ้นอาสวะ เป็น, คือเป็นพระอรหันต์
นี่, ก็ถามนายคนนี้ว่า ยังไง ไอ้สิ้นสุดแห่งโวหารใน, ในอริยะวินัยนี้มี, มีแก่ท่านบ้างไหม นายคนนี้ก็สั่นหัว เพราะมันไม่อาจจะมี บอกอะไรกัน เรามันจะไม่มี จะพูดอะไรกันกับเรื่องนี้ คือว่าเรามัน, มันไม่เคยรู้ ไม่เคยรู้เรื่องสิ้นอาสวะ ไม่เคยรู้เรื่องทำนองนั้น แล้วก็ได้ยินได้ฟังคำสอนของเดียรถีย์อื่น หรือว่าเจ้าลัทธิอื่นก็สอนกันอยู่เพียงว่า นี่, ถ้ามันร่ำรวยจนไม่ต้องทำอะไรแล้ว นอนตีพุง เป็นภาษาชาวบ้านนี่แล้วก็มัน, ก็ควรจะเรียกว่า จบแล้ว สิ้นสุดแล้ว แห่งหน้าที่การงาน จบโวหารแห่งชีวิตแล้ว ชีวิตไม่ต้องลงทุนอะไรอีกต่อไป
พระพุทธเจ้าท่านแสดงให้เห็น จนเขาเปลี่ยนความคิด เขาเปลี่ยนคำพูดเป็นนอบน้อม ข้าแต่พระผู้มีพระภาคอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก่อนนี้เขาพูดอย่างจองหองว่าพระโคดม พระโคดมอย่างนั้น พระโคดมอย่างนี้ แล้วตอนท้ายนี้ เขาก็เปลี่ยนเป็น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า นั่นเขาแสดงตัวเป็นอุบาสก
คำว่า โวหาระ โวหาร ในพระบาลีนี้ หมายถึง ชีวิตเป็นไปกว่าจะถึงที่สุด ซึ่งตามธรรมดาชีวิตนี้จะเป็นการลงทุน ขอร้องหน่อยนะ ทุกคนแหละ ผู้หนุ่ม ผู้แก่อะไรก็ตาม ช่วยฟังให้ดี ให้เข้าใจ คำว่าโวหาระแห่งพระบาลีนี้ ซึ่งแสดงว่า ไอ้ชีวิตนั้นมันเป็นการลงทุน มันลงทุนเพื่อยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป กว่าจะถึงที่สุด ไม่, ไม่ไปไหน, ไหนได้อีก จึงจะเรียกว่า ถึงที่สุดแห่งโวหาร
เดี๋ยวนี้ชีวิตของเราทุกคนกำลังเป็นการลงทุนยังไม่ถึงที่สุด ที่ลงทุนโดยมาก ก็ลงทุนทำงาน ทำมาหากิน เล่าเรียน เพื่อจะไปได้เงินเดือน เพื่อจะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ เป็นการลงทุน แต่แม้จะลงทุนอย่างอื่น ที่ทำบุญ ทำทาน ทำกุศลให้มันดียิ่งๆขึ้นไป ก็เรียกว่าเป็นการลงทุน โดยขนบธรรมเนียมประเพณี เขาก็จะถือกันว่า พอมีกินมีใช้สบายแล้วก็จบแล้ว ไปตัดตอนกันเสียเพียงเท่านั้น มันไม่ตรงตามความหมายของคำว่า โวหาร
โวหารนี้จะจบลง ต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์ นี่ขอให้มองความหมายของคำว่าโวหาระ ไม่ใช่คำพูดของผู้เฉียบแหลม ไม่, ไม่ใช่อรรถคดี ไม่ใช่การซื้อขายธรรมดา แต่เป็นการลงทุนเพื่อผลอันสูงสุด เอ้อตรงนี้ ก็พอจะมองเห็นว่าที่เราพูดเก่งก็เพราะเพื่อผลอันสูงสุดเหมือนกัน สู้อรรถคดีกันในโรงในศาล ก็เพื่อผลอันสูงสุดเหมือนกัน การซื้อการขายเพื่อกำไรอันสูงสุดเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้ที่มันเป็นไปตามธรรมชาตินั่น มัน, มัน, มันก็เพื่อกำไรสูงสุด ของจุดหมายปลายทาง คือเป็นพระอรหันต์
ชีวิตแล้วต้องเป็นการลงทุน เพื่อผลอันสุงสุด นี่พูดโดยภาษาธรรม ภาษาจิต ภาษาวิญญาณ
ชีวิตนั้นเขาแปลกันว่า ความไม่ตาย นี่เด็กๆมันก็รู้ แต่ข้อที่ว่า ชีวิต เป็นการลงทุนเพื่อผลอันยิ่งขึ้นไป เด็กๆจะไม่รู้ ถ้าไม่มองให้ดีจะไม่เห็นว่า ไอ้ตัวชีวิตนั้นจะเป็นการลงทุนอยู่ในตัวชีวิตนั้นโดยธรรมชาติ
เช่นว่า ต้นไม้ต้นนี้มันก็มีชีวิตนะ และชีวิตของมันก็เป็นการลงทุน ต่อสู้ดินฟ้าอากาศ ต่อสู้โรคภัยไข้เจ็บ ต่อสู้อย่างนั้นอย่างนี้ จนกว่าจะเป็นต้นไม้ที่ใหญ่โตที่สุดที่มันจะใหญ่ได้ ชีวิตเป็นการลงทุน
สุนัขหรือแมวสักตัวหนึ่ง มันก็อยู่ในโลกนี้เพื่อดีขึ้น ดีขึ้น รู้จักอะไรมากขึ้น มากขึ้น จนกว่าจะรู้ถึงที่สุด
หรือว่าถ้าจะเอากันยาวๆ เป็นวิวัฒนาการของธรรมชาติแล้วก็ ชีวิตทั้งหลายมันเป็นการลงทุนทั้งนั้นแหละ มันจึงก้าวหน้า วิวัฒนาการมาจากสัตว์ที่, จากชีวิตที่เป็นพืช จากชีวิตพืชมาเป็นชีวิตสัตว์ จากชีวิตสัตว์มาเป็นชีวิตมนุษย์ ชีวิตไม่ได้หยุดนิ่ง ชีวิตเป็นการลงทุนเพื่อผลอันดีเลิศยิ่งๆขึ้นไป ท่านเรียกว่า โวหาร โวหาระ
คำพูดคำนี้ใหม่ไหม แปลกไหม สำหรับท่านทั้งหลาย สำหรับอาตมารู้สึกว่าแปลก เพราะมันเพิ่งพบในพระไตรปิฎกเมื่อสองสามวันนี้เอง ก็ถือว่าเป็นคำแปลก คำใหม่ นำมาพูดให้ฟัง ให้เป็นของขวัญปีใหม่เลย คำแปลก คำใหม่ คือคำว่าโวหาระ แปลว่าการลงทุนเพื่อผลอันสูงสุด
ทีนี้ก็เรานี่แหละ เรานั่นแหละมีชีวิต และชีวิตของเรามันเป็นการลงทุนอยู่ในตัว มันเกิดขึ้นมา มันก็รู้อะไร มันก็ทำอะไร มันก็วิวัฒนาไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงที่สุด แต่อย่าเพิ่งรวบรัดตัดบทเร็วนักเหมือนนายคนนั้นนะ ที่ว่ารวยแล้ว ยกมรดกให้, ยกทรัพย์สมบัติให้ลูกหลานหมดแล้ว แกก็ถือว่าแกถึงที่สุดแห่งชีวิตแล้ว อย่างนี้มาคุยกับพระพุทธเจ้า มันก็ไม่ได้สิ
เพราะไอ้จบโวหาระแห่งชีวิต ตามแบบของพระพุทธเจ้า คือ เป็นพระอรหันต์ สิ้นอาสวะ
เรายังไม่รู้ว่า ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่มีการลงทุนอยู่ในตัวมันเอง ขาด, กำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง กำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง แต่ว่ามันฉลาดขึ้นทุกที ดังนั้นมันก็ยังจะต้องมีกำไรมากขึ้นทุกที มากในทางวัตถุ ทางเงิน ทางทอง แล้วก็มากทางจิต ทางใจ มากทางจิต ทางใจ แล้วก็มากทางสติปัญญา การตรัสรู้ นั่นละ สุดละ จบ เป็นโวหาระสมุจเฉโท ความจบสิ้นเด็ดขาดแห่งโวหาระของชีวิต
ทีนี้ก็ดูสิ ปีใหม่นี้ การลงทุนมันเป็นอย่างไรบ้าง กับปีกลายเป็นอย่างไรบ้าง ชีวิตของคนแต่ละคน เจ้าของย่อมรู้ดี ว่าวันนี้จะสิ้นสุดปีใหม่แล้ว คิดบัญชีดู ขาดทุนหรือกำไร ถ้าไม่ทำให้ดีขึ้นกว่าปีเก่า ก็แล้วมันก็ละอายแมวละ เพราะว่าแมว มันก็ยังดีขึ้นทุกปี
อาตมาชอบเปรียบ กับไอ้พืชพันธุ์ ที่มันมีหัวอยู่ใต้ดิน ขอให้ทุกคนสังเกตว่าพืชพันธุ์ที่มีหัวอยู่ใต้ดิน เป็นเถาวัลย์ก็ดี เป็น เพียงปอ (นาทีที่ 38.00) เช่นบุก เช่นบอน เช่นเผือกก็ดี มันมีหัวอยู่ใต้ดิน พอจะสิ้นปี มันเตรียม หยุดเจริญ ใบ, ใบหลุดหมด เก็บหัวไว้ใต้ดิน แล้วก็กลายเป็นหัวที่กินไม่ได้ละทีนี้ เพื่อจะงอกใหม่ เป็นต้นใหม่ในปีหน้า ต้นงามกว่าเดิม หัวใหญ่กว่าเดิม หัวดีกว่าเดิม น่าละอายมันไหม ไอ้มนุษย์มัน, มันไม่เก่งถึงขนาดนั้น มันไม่แน่นอนอย่างนั้น มนุษย์น่ะ มันไม่ได้ดีกว่าปีเก่า อย่างแบบหัวเผือก หัวมัน หัวบุก หัวกลอย เราไปดูไอ้พืชหัวทั้งนี้, เหล่านี้แล้วจะเห็นว่ามันใหม่ของมันจริงๆ พอจะสิ้นปีเก่า มันเริ่มตาย ต้นตาย แต่หัวเก็บไว้ใต้ดิน แล้วหัวนี้จะสร้างต้นที่ใหญ่กว่า โตกว่า แล้วหัวใหม่จากอันใหม่นี้ ก็จะใหญ่กว่า มากกว่า ถ้ามนุษย์ทำไม่ได้อย่างนี้ ก็ควรจะละอาย ละอายแก่หัวเผือก หัวมัน ที่มันใหม่จริง มันมีปีใหม่จริง มันเจริญได้สมกับที่มันปีใหม่จริงๆ
โวหารชีวิตที่เป็นการลงทุน หัวเผือก หัวมัน มันทำได้ดีนะ เมื่อมนุษย์ทำไม่ได้แล้วจะเอาหน้าไปไว้ไหน ก็คิดกันดู นี่เราไม่สนใจที่จะทำให้มันก้าวหน้า ไม่สนใจที่จะรู้จักปัญหา รู้จักแก้ปัญหาให้มันดีขึ้นกว่าปีเก่า เพราะฉะนั้นไอ้ปีใหม่มันก็ไม่ดีกว่าปีเก่า
รู้อะไรมากเกินไปแต่ในทางที่ไม่จำเป็น หรือไม่ค่อยจะมีค่า รู้เรื่องเมืองนอกเมืองนา รู้กิน รู้เล่น รู้ใช้ รู้ไปทั่วโลก แต่ไม่รู้ว่าในตัวเองน่ะ มีผีอยู่กี่ตัว พวกครูบาอาจารย์ก็มีแยะนะที่นี่ คุณรู้ถึงเมืองนอกเมืองนา รู้ไปทั่วจักรวาล ทั่วพิภพ แต่ว่าในตัวคุณมีผีอยู่กี่ตัว คุณก็ไม่รู้ แล้วมันจะแก้ปัญหาได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น เรามารู้ตรงนี้กันเสียก่อนว่า ในเรามันมีผีอยู่กี่ตัว ซึ่งเป็นอุปสรรค เป็นศัตรู ตัดทอนความก้าวหน้าที่ทำให้เราขาดทุน ที่ทำให้ชีวิตขาดทุนแต่ละปี ก็คือพวกผีเหล่านั้น มันมีอยู่กี่ตัว ถ้าถือตามพระบาลี มันก็จะมีสักสามตัวนะ คือโลภะ โทสะ โมหะ แต่ว่าลูกหลานมันมาก หลายสิบ หลายร้อย
ถ้าใครอยากจะให้ ไอ้, โวหาระแห่งชีวิต โวหารแห่งชีวิตนี่ เป็นไปเพื่อก้าวหน้าเรื่อย คือดีกว่าปีเก่าเรื่อย เรื่อย เรื่อย ก็ขอให้รู้จักอุปสรรค ศัตรูของความก้าวหน้า ก็คือผีเหล่านี้ เราไปเลี้ยงผีกันมากนักนี่ ชอบส่งเสริมให้โลภะแรงขึ้น โทสะแรงขึ้น โมหะแรงขึ้น นี่คนเลี้ยงผี พวกเลี้ยงผีอย่างอื่นมันไม่, ไม่จริงล่ะ ไม่มีความหมายอะไรนักน่ะ ที่เขาเลี้ยง, เลี้ยงผีในป่าช้า เลี้ยงผีบ้าน ผีเรือน มันไม่, ไม่จริง ไม่, ไม่ใช่เลี้ยงผี
ไอ้คนที่มันดีๆนี่ ที่มันเลี้ยงโลภะ เลี้ยงโทสะ เลี้ยงโมหะ ให้มันแรงขึ้นไป นี่คือคนเลี้ยงผีไว้ทำลายตัวเอง ชีวิตมันก็ไม่ก้าวหน้า การลงทุนของชีวิตมันก็มีแต่ขาดทุน เพราะฉะนั้นรีบจัดการกันเสียให้มันไปในทางที่ถูกต้อง ที่เรียกว่าถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง อะไร อะไร มันก็ถูกต้อง มันก็จะก้าวหน้า เพราะว่าถ้าเราอยู่อย่างถูกต้องนั้น เราไม่เลี้ยงผี เมื่อไม่เลี้ยงมันก็ผอม แล้วไม่เท่าไรมันก็ตาย
เรื่องไม่เลี้ยงผี ก็คือตามหลักของพระบาลี พระพุทธภาษิต ก็คือ อย่าไปทำผิดซ้ำลงไปอีก เมื่อเราทำ, ทำผิด มีกิเลสเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง มันก็ไปเก็บเชื้อ ความเคยชินไว้ในสันดานส่วนลึก หน่วยหนึ่ง พอเราไปทำผิดซ้ำเข้าอีก มันก็เก็บไว้อีกหน่วยหนึ่ง ผิดซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ มันก็เก็บไว้หลาย หลาย หลายสิบ หลาย หลายร้อย หลาย หลายหน่วย ที่เรียกว่าอนุสัย กิเลสประเภทอนุสัย คือกิเลสประเภทที่เราสะสมไว้อย่างนี้ พอมันอัดตัวหนักเข้า มันก็ออกมาเป็นอาสวะไหลปรี่ออกมา นี่เรียกว่ามันเก็บผี เลี้ยงผีไว้มาก
แต่ถ้าว่า พอถึงคราวที่จะเกิดกิเลส ควรจะเกิดกิเลส ควรจะเกิดความโลภ หรือเกิดความโกรธ อะไรก็ตาม ไม่โลภ ไม่โกรธ บังคับไว้ได้ อย่างนี้มันจะไปลด ลดจำนวนอนุสัยที่สะสมไว้ ลดลงมา ลดลงมา ทีละหนึ่ง ทีละหนึ่ง คือว่า ไม่ให้อาหารแก่ผี คือลดจำนวนที่จะไปส่งเสริมผี อนุสัยก็ลดลง ลดลง จนหมดอนุสัย อาสวะก็ไม่มี ก็จะเป็นพระอรหันต์
รู้เรื่องผีกันไว้เสียบ้าง สองสามตัวเท่านั้นเอง
โลภะ ต้องการด้วยความโง่ มันมีความโง่และต้องการ ไอ้ความต้องการนั้นเรียกว่า โลภะ
ถ้าต้องการด้วยสติปัญญานั้นไม่เรียกว่าโลภะ ไม่เรียกว่าตัณหา ไม่เรียกว่ากิเลส
ทีนี้เมื่อมันไม่ได้ตาม, ตามต้องการ ไอ้ความโง่มันทำให้โกรธ นี่คือ โทสะ เป็นผีอีกตัวหนึ่งคือโกรธ
แล้วมันยังโง่ต่อไป มันยังไม่รู้อะไร มันยังคงทำอะไรด้วยความไม่รู้ เป็นโมหะ
เพราะฉะนั้นเราจึงมี โลภะ โทสะ โมหะ ที่กระทำลงไปในปัจจุบัน แล้วเก็บความเคยชินชนิดนั้นไว้ใน สันดาน
ส่วนที่เก็บไว้ในสันดานของเราจะออกมาทีหลัง นี่เรียกว่า อนุสัย
อย่างธรรมดาสามัญเรียกว่า กิเลส พอทำแล้วก็สะสมอนุสัย
พออนุสัยมากเข้าก็จะเป็น อาสวะ ออกมา เป็นความทุกข์ เป็นอะไรก็ตาม
ตัวกิเลสที่เป็นความเคยชิน มันจะออกมาง่ายขึ้น เร็วขึ้น มากขึ้น เพราะฉะนั้นระยะหลังเราก็โกรธหรือโลภก็ตาม ได้มากขึ้น ได้เร็วขึ้น ได้แรงขึ้น นี่มันก็ขาดทุนฉิบหายหมด
การลงทุนในชีวิตมันก็ถอยหลังในด้านจิต ด้านวิญญาณ เพราะฉะนั้นบังคับให้ได้ อย่าให้เกิดกิเลสซ้ำ ไอ้เชื้ออนุสัยก็จะลด นี่เราก็จะมี การเป็นไปในทางได้กำไร
กิเลสมันลด ความไม่มีกิเลสมันเพิ่ม นี่โวหารแห่งชีวิต เป็นไปเพื่อกำไรในด้านฝ่ายจิต ฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ฝ่ายเงินทอง ข้าวของ วัว ควาย ไร่ นานั้น มันอีก, อีกเรื่องหนึ่ง อีก, อีกฝ่ายหนึ่ง ไปว่ากันตามไอ้, ฝ่ายนั้น เดี๋ยวนี้ฝ่ายพระ, พระอริยเจ้าหรือฝ่ายอริยะวินัย ท่านหมายถึงจิตใจที่มันสูงขึ้น มันดีขึ้น
ทีนี้ให้ดูว่าเราแต่ละคน ละคนนี้ มันมีโวหารแห่งชีวิต ทั้งฝ่ายรูปและฝ่ายนาม
ฝ่ายวัตถุ ฝ่ายรูป มันก็เป็นไปตามแบบฝ่ายรูป มีผลเป็นรูป เป็นวัตถุสิ่งของ เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง มันก็เป็นฝ่ายรูปธรรม หรือ, หรือฝ่ายโลก
ทีนี้ฝ่ายที่เป็นนาม เป็นทางธรรมแท้ๆนั้น มันก็คือจิตใจที่มันดีขึ้น ดีขึ้น ประเสริฐขึ้น ประเสริฐขึ้น นี้เป็นโวหาระชีวิต ที่ก้าวหน้าไปในฝ่ายธรรมะ ฝ่ายนี้เขาจะไปสุดถึงความเป็นพระอรหันต์
ส่วนฝ่ายโลกนั้นมันสุดอยู่แค่นายคนนั้นน่ะ นายคนนั้นที่มาทะเลาะกับพระพุทธเจ้า เขาถือว่าเขาถึงที่สุดแห่งโวหาระของชีวิตแล้ว อย่ามาเรียกเขาว่าคฤหบดี เพราะว่า เรียกเขาว่าคฤหบดี เท่ากับว่าเรียกเขาว่ายัง, ยังลุ่มหลงในเงิน ในทอง ในข้าว ในของ ในลูก ในเมียอยู่ เขาโกรธ เขาจึงขอให้พระพุทธเจ้าเรียกเขาด้วยคำว่าสิ้นโวหาระ หมดโวหาระแห่งชีวิต พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า โอ๊ย, ของเรามันอย่างนี้โว้ย, ท่านก็ว่าให้ฟัง จนเขายอมเห็นด้วยว่า เขาก็ยังไม่ใช่เป็นผู้ที่จบกิจแห่งมนุษย์ ยังต้องทำต่อไป
นี่เรามองเห็นหรือยังว่า ชีวิตมันเป็นสิ่งที่ลงทุน ชีวิตนั้นเป็นการลงทุนเพื่อผลอันยิ่งขึ้นไป ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่ใช่ชีวิต มันเหมือนกับตายแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนจัด ปรับปรุง ทำให้ชีวิตมีลักษณะอย่างนี้ ยิ่งขึ้นทุกปี ยิ่งขึ้นทุกปี ยิ่งขึ้นทุกปี ตามรอบปี เหมือนกับหัวเผือก หัวมัน ที่มัน มันดีขึ้นทุกปี ใหญ่ขึ้นทุกปี สูงขึ้นทุกปี นี่คือว่า ไม่เสียที ที่เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ถ้าเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ต้องทำให้ชีวิตเป็นไปในทางงอกงาม เจริญยิ่งขึ้นทุกปี ยิ่งขึ้นทุกปี จนกว่าจะถึงที่สุด
ไอ้เรื่องที่ดีนั้น มันเป็นเรื่องฝ่ายจิตใจ มันก็ดีฝ่ายจิต ฝ่ายวิญญาณ นั้นน่ะ ดีจริง
ไอ้ดีฝ่ายวัตถุ ทรัพย์สมบัติ ข้าวของ เงินทองนี้ก็ดีเหมือนกันแหละ แต่ดีอย่างวัตถุ เป็นเพียงเครื่องอาศัยของจิตใจ มันก็เปลือกนอก เป็นที่อาศัยของเนื้อใน แต่เราก็จะต้องทำให้ดีพร้อมๆกันไปดีกว่า เพราะว่าถ้าไม่มีเปลือกนอก ไอ้เนื้อใน มันก็อยู่ไม่ได้ ดูผลไม้ทั้งหลายในโลกนี้ ถ้าไม่มีเปลือกนอก เนื้อในมันอยู่ไม่ได้ ธรรมชาติมันก็ฉลาด มันก็ออกเปลือกมาก่อน คุณจะเห็นได้ว่าไอ้ผลไม้ทุกชนิดน่ะมันออกเปลือกมาก่อน แล้วค่อย เนื้อค่อยเจริญ เจริญ เจริญข้างในเปลือก จนเต็มเต่งทั้งเปลือกทั้งเนื้อ นี่ก็เรียกว่าสมบูรณ์
ดังนั้นคนเราจึงทำเรื่อง เรื่องวัตถุ เรื่องร่างกาย นี่ เรื่องเงิน เรื่องของ เรื่องวัวควายไร่นา ทรัพย์สมบัติอันนี้กันก่อน เพื่อเป็นเปลือก สำหรับให้เนื้อในมันได้อาศัย แล้วมันก็เจริญ เจริญ เจริญ จนถึงที่สุดแห่งเนื้อใน ก็เรียกว่าจบโวหารแห่งชีวิต
คำว่า โวหาระ แปลว่า การลงทุนเพื่อให้เกิดผลดียิ่งๆขึ้นไป จนกว่าจะถึงที่สุด
จึงขอแสดงความหวังว่า ให้ท่านทั้งหลายทุกคนน่ะ ปรับปรุงชีวิต โวหารแห่งชีวิต ให้มันก้าวหน้า ยิ่งๆขึ้นไป ก็ไม่เสียทีที่มาทำบุญปีใหม่ ทำบุญปี, ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ระยะนั้นน่ะมันก็เหมือนกับ หัวเผือก หัวบอน ที่มันจะเปลี่ยนจากปีเก่าไปสู่ปีใหม่ที่ดีกว่า
เมื่อได้พูดถึงสิ่งนี้เป็นตัวอย่างแล้ว ก็พูดถึงสิ่งนี้เป็นตัวอย่างต่อไปอีกก็ได้ว่า หัวเผือก หัวบอน พอปลายปีมันก็หยุดเจริญฝ่ายต้น แต่มันเก็บไอ้ทุนสำรองที่ดีกว่าเดิมไว้ในหัวนั้นน่ะ มันเก็บกักตุนไว้มาก ไอ้ความงอก กำลังงอก วัตถุสำหรับจะงอก มันเก็บกักตุนไว้มาก พอถึงฤดูที่มีดินฟ้าอากาศเหมาะที่จะงอก มันก็งอกได้มาก
ทีนี้มนุษย์จะไม่เป็นอย่างนั้น มันไม่ได้เก็บกักไว้ เพื่อให้งอกมากกว่าเดิม มันเอาไปใช้ ไปถลุงเสียหมดโดยอบายมุข มันอยากจะกินดี กินอร่อย อยากจะอยู่ดี อยู่อร่อย มันจะ, จะใช้เรื่อยไป มันไม่เก็บกักไว้สำหรับผลที่จะยิ่งๆขึ้นไป
เดี๋ยวนี้ปัญหาที่มีอยู่ ก็คือไปลุ่มหลง เรื่องทางเนื้อ ทางหนัง ทางสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางเนื้อทางหนัง อย่างนั้นมันก็ค่าเท่ากับทำลาย พอถึงรอบปีใหม่มันไม่มีแล้ว ไม่มีทุนที่จะมางอกใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม นี่มันน่าละอายหัวเผือก หัวมัน ต้นบอน ต้นอะไร ที่มันมีหัวอยู่ใต้ดินน่ะ มันรู้จักเก็บกักไว้สำหรับงอกใหม่ดีกว่าเก่า
เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เราปีนี้มันจะสิ้นปีแล้ว ควรจะได้เตรียมทุน เตรียมรอนไว้มากพอที่จะลงทุนปีใหม่ให้ดียิ่งๆขึ้นไป อย่าเอามาทำอบายมุขเสียหมด อย่าดื่มของเมา อย่าเสพของเมาที่เป็นอบายมุข ไอ้เรื่องนี้นั้น ไม่ใช่ว่าเป็นเพียงกินเหล้า ไปเสพเฮโรอีนอะไร พวกนั้นก็ไม่, ไม่ใช่เฉพาะเท่านั้น ไอ้เมาอื่นๆก็มี เมาแต่งเนื้อ แต่งตัว เมาอะไรที่มันเมา มันก็ยังมีมาก แม้แต่เมาบุญ เป็นรายจ่ายทั้งนั้นล่ะ ถ้าเมาล่ะก็ เดี๋ยวนี้ก็แต่งเนื้อแต่งตัวกันเกินกว่าจำเป็น ก็เพราะความเมา เอาหนังสือพิมพ์มาเปิดดู ไอ้หน้าโฆษณาแล้วใจหาย ที่เขาโฆษณาหลอกลวงให้คนหลงซื้อ มันล้วนแต่เรื่องทำร้ายทั้งนั้นเลย เรื่องมหรสพ เรื่องหนัง เรื่องอะไรต่างๆ ไอ้, ไอ้หลอกให้คนเมาแล้วก็ ไปซื้อ ไปหา ไปเล่น ไปดู ไปอะไรกันเลย นี่ก็คือเมา เงินเดือนมันก็ไม่พอใช้แหละ มันไปกินของเมาอย่างนั้นเข้า เรียกว่ามัน เสพ ดื่ม ของเมา คอยดูแต่ว่าของอะไรจะออกมาใหม่ จะสวย จะทำให้สวย คอยดูกันแต่แคตตาล็อกความสวย มันก็คือเมา
นี่เรียกว่าของเมาเป็นอบายมุขข้อที่ ๑ แล้วมันก็ขยายแหละ มันอยากจะปลูกเรือนใหม่ราคาแสน ราคาล้าน มันจะซื้อรถยนต์ใหม่ ราคาแสน ราคาล้าน มันจะซื้ออะไรใหม่ราคาแสน ราคาล้าน แล้วมันจะเอาอันไหนมางอกงามให้ดีกว่าเดิมได้
เที่ยวกลางคืน ข้อที่ ๒ เที่ยวกลางคืน คือคนที่ไม่รู้จักพักผ่อนสำหรับเวลากลางคืน เขาไปทำลายชีวิตร่างกาย ไม่พักผ่อน มันก็ไม่ก้าวหน้า แม้แต่ทางร่างกายมันก็ซูบซีด ซูบผอมลงไป ทางจิตมันก็เลวลง ชอบหัวเราะกันนัก
ไอ้หัวเราะน่ะ คือ รายจ่าย
ไม่หัวเราะน่ะ คือ รายรับ
หัวเราะนี้มันคงจะดีนะ สำหรับสุขภาพทางกายก็คงจะดี ได้หัวเราะ มันได้ดีทางสุขภาพทางกาย ได้หัวเราะนี้ก็คงจะเป็นสุขภาพดีทางจิต แต่เป็นความฉิบหายในด้านวิญญาณ ไม่ส่งเสริมสุขภาพด้านวิญญาณเลย ใครหัวเราะก็คงจะแข็งแรง ร่างกายสบาย จิตใจก็ดูเข้มแข็ง แต่ทางฝ่ายจิต เอ้อ, ฝ่ายวิญญาณน่ะ สติปัญญาฉิบหายหมดเลย
เพราะฉะนั้นการหัวเราะเป็นการจ่าย เป็นรายจ่ายทางวิญญาณ อาจจะ นะ ใช้คำว่า อาจจะ เป็นรายรับทางร่างกายทางจิต แต่เป็นรายจ่ายทางวิญญาณ อย่าชอบหัวเราะกันนัก เพราะดู ไอ้ที่อะไรต่างๆ ภาพยนตร์ทั้งหลาย โฆษณาเรื่องให้ได้หัวเราะทั้งนั้น คนจะไปดูหนังก็เพื่อให้ได้ไปหัวเราะทั้งนั้น มันก็มีรายจ่ายทางวิญญาณไปหมด
ถ้าว่าเป็นพุทธบริษัทแล้วอย่าชอบหัวเราะนัก มันเป็นรายจ่าย เหมือนกับการจ่ายกระแสไฟ การจ่ายกระแสไฟจากหม้อไฟ หัวเราะ ไม่ใช่รายรับ ไม่ใช่อัดเพิ่มเข้าไป ต้องไม่หัวเราะมันจึงจะเป็นการอัดเพิ่มเข้าไป นี่เราก็อย่าไปจ่ายมันโดยไม่จำเป็น
การไปดูหนัง ดูละคร ไปเที่ยวกลางคืนนั้น มันเป็นเรื่องจ่ายในฝ่ายวิญญาณ แม้แต่ว่าเป็นรับฝ่ายกาย ฝ่ายอะไรบ้าง ดูการเล่น เที่ยวกลางคืน ดูการเล่นนี้ก็เหมือนกัน คือเที่ยวหัวเราะ
นี้ เล่นการพนัน นี่ก็เป็นผีตัวหนึ่งซึ่งรู้จักยาก แล้วก็มีอยู่ในคน เกือบจะทุกคน ไม่ค่อยรู้จักผีการพนัน จนวินาศไป เพราะผีตัวนี้มากมายก่ายกอง ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร คือคนที่จะจูงไปในทางวินาศ แล้วก็เกียจคร้านทำการงาน เพราะเขาไม่รู้ว่า การงานนั้นคือการปฏิบัติธรรม
การงานเป็นการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือการทำหน้าที่ของชีวิต เมื่อชีวิตจะมีการทำหน้าที่ที่ถูกต้องแล้ว ชีวิตนั้นก็เจริญ โวหาระแห่งชีวิตก็เจริญ ชีวิตก็เจริญ เพราะการทำการงาน
การทำการงาน คือการทำหน้าที่ของชีวิต จึงถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรม พอใจ เป็นสุข อยู่ที่นั่น ถ้าเราเป็นสุขอยู่ในการปฏิบัติธรรมอันนี้ก็เป็นสุขแล้วนี่ ทำไมจะต้องรีบทิ้งการงานไปสถาน coffee shop ทำไมจะต้องรีบไปสถานอย่างนั้น รีบทิ้งการงานไปหาสถานอย่างนั้น ไปหาความฉิบหาย ก็ไม่ใช่ความสุข
ความสุขอยู่ที่เมื่อทำงานน่ะ เมื่อทำงานอยู่นั้นแหละ เหงื่อไหลอาบตัวอยู่นั้นแหละ ดูให้ดีเถิด มันเป็นการทำหน้าที่ของมนุษย์ เป็นการปฏิบัติธรรม ควรจะพอใจ มีความสุขที่ตรงนั้นล่ะ เป็นสุขแท้จริง สุข ข สะกด ไอ้สุขที่สถานเริงรมย์มัน สุก ก สะกด แต่คนก็ไปชอบที่สุด นี่ชีวิตมันจึงไม่เป็นการลงทุนที่เป็นกำไร มันเป็นการขาดทุน หนัก กว่าจะฟื้นตัว ต้องอีกนาน
แต่อย่างไรก็ดี เราจะถือว่าไอ้ความผิดพลาดนี้มันจะสอนให้ฉลาด เราคงจะหยุดทำผิดแล้วก็ทำถูก ถูก ถูก ถึงที่สุดได้เหมือนกัน แต่มันน่าละอายที่ว่ามันอยู่ล้าหลังเพื่อนเกินไป ไอ้เพื่อนที่เขาไม่ค่อยทำผิดน่ะ เขาไปเร็ว ไปถึงจุดหมายปลายทางแล้ว เรายังคลานกุกกัก กุกกัก อยู่ที่นี่ เพราะเรามัวแต่ทำผิดในเรื่องชีวิต
ขอให้เป็นสุข พอใจตัวเอง นับถือตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเอง เมื่อทำการงาน
ทีนี้เข้าใจว่าการงานคงจะต่างกันทั้งนั้น ที่นั่งอยู่ที่นี่ การงานคงจะต่างกัน คนละรูปแบบ แต่ว่าการงานแล้วมี, มีเกียรติเสมอกันหมด เป็นการปฏิบัติธรรมเพราะว่าทำหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต
ถ้ายังไม่เคยได้ยินก็บอกกันได้เดี๋ยวนี้ว่า ไอ้ธรรมะ ธรรมะ พระธรรม ธรรมะ มีอยู่สี่ความหมาย
ธรรมะ คือ ตัวธรรมชาติทั้งหลาย
ธรรมะ คือ กฎของธรรมชาติ
ธรรมะ คือ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ
ธรรมะ คือ ผลที่เกิดมาจากหน้าที่นั้นนั้น
นี่เรียกว่าธรรมะหมด เราต้องรู้ธรรมะเหล่านี้นะ ไม่อย่างนั้นชีวิตจะไม่ก้าวหน้า ชีวิตจะไม่เป็นการลงทุนที่ ที่ก้าวหน้า เพื่อผลกำไร
ธรรมะคืออะไร เด็กๆในโรงเรียน ได้รับคำสอนจากครูบาอาจารย์ว่า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ตอบเท่านี้เหมือนกับไม่ได้ตอบ ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันก็จดไว้ในสมุดแล้วก็เก็บปิดเงียบเลยจนบัดนี้ จนบัดนี้ก็รู้แต่ว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ว่าถึงว่าธรรมะ ที่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ท่านสอนเรื่องอะไร ท่านสอนเรื่องอะไร
ความหมายที่ ๑ ท่านสอนเรื่องธรรมชาติ ธรรมชาติภายนอก ธรรมชาติภายใน ธรรมชาติปรุงแต่ง ธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง ธรรมชาติที่สมมติกัน ว่าดี ว่าชั่ว ว่าอะไรต่างๆ เป็นธรรมชาติที่เราต้องรู้ เช่นเนื้อหนังร่างกายนี้ เป็นธรรมชาติฝ่ายรูป จิตใจเป็นธรรมชาติฝ่ายนาม นี่รู้ธรรมชาติอย่างนี้เสียก่อนสิ เรียกว่ารู้ธรรมะ ความหมายที่ ๑
ถ้ารู้ธรรมะความหมายที่ ๒ คือกฎของธรรมชาติที่ให้สิ่งทั้งหลายเป็นไป สิ่งทั้งหลายจะไม่คงตัวอยู่ จะต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ทำให้โลกนี้เกิดขึ้น โลกนี้เกิดขึ้นเพราะกฎของธรรมชาติ เพราะฉะนั้น เราจึงถือว่าไอ้กฎของธรรมชาติน่ะคือพระเจ้า พระเป็นเจ้าผู้สร้างโลกที่พวกอื่นเขาถือกันว่าพระเจ้าสร้างโลก เราก็มีกฎของธรรมชาติเป็นพระเจ้าสร้างโลก และควบคุมโลกและทำลายโลก เพราะฉะนั้นระวังให้ดีนะ ต้องรู้จักกฎนะ ถ้าไม่อย่างนั้นฝืนกฎแล้ว จะตายเอง ทีนี้เมื่อรู้กฎธรรมชาติก็เป็นธรรมะ แล้วก็เรียกว่า รู้ธรรมะความหมายที่ ๒ ที่ว่า รู้หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
บรรดาสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย ไม่ว่าชีวิตชนิดไหนจะต้องมีหน้าที่ให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ ต้นไม้ มันก็ต้องมีหน้าที่ ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ต้นไม้จึงรอดชีวิตอยู่ได้ มันก็ต้องมีแสงแดด มีอาหาร มีน้ำ มีธาตุแร่ มีอะไรให้ถูกต้อง มันก็ต้องขวนขวาย มันออกรากไป มันออกใบไป ไปรับแสงแดดอะไรต่างๆ นี้ หน้าที่ของมัน ทีนี้สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกันต้องทำหน้าที่ คนก็เหมือนกันต้องทำหน้าที่เพื่อรอดอยู่ได้
นี่ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เพราะฉะนั้นเมื่อได้ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติแล้ว ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมะ
ดังนั้น เมื่อชาวนาเขาไถนาอยู่ เขาเรียกว่า ก็เรียกว่าเขาปฏิบัติธรรมะ คือทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เพื่อได้ข้าวมากิน เมื่อไก่มันเขี่ยดิน หากินอยู่ ก็นั่นแหละคือมัน มันปฏิบัติธรรมะในระดับไก่ ธรรมะของไก่ เมื่อยุงมันมาเจาะหลังคุณ ขอเลือดกินบ้าง มันก็ทำหน้าที่ธรรมะของมันนะ อย่าไปโกรธมันเลยนะ ให้มันกินบ้างก็ดี เพราะมันก็ต้องทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติด้วยกันทั้งนั้น ยุงมากัดกินเลือดเราบ้างก็สงสารมันเถอะ มันก็ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติเพื่อจะเลี้ยงชีวิต ถือว่ามันมาร้องเพลงให้ฟัง ใช้ค่าเลือด อู๋อี๋ อู่อี๋ มันร้องเพลงให้เราฟัง ใช้ค่าเลือด ถ้าคิดอย่างนี้แล้วมันก็ฆ่าใครไม่ได้แล้ว จะอยู่กันเป็นผาสุก
ทีนี้ความหมายที่ ๔ ผลที่เกิดจากหน้าที่ นี้ไม่ต้องอธิบาย ทำหน้าที่แล้วต้องเกิดผล ผลดี ผลร้าย แล้วแต่หน้าที่ที่ได้ทำลงไป
ให้ทุกคนถือว่า การทำหน้าที่นั้นแหละคือการปฏิบัติธรรมะ เขามีเหตุปัจจัยอย่างอื่น เขาไม่ได้หน้าที่สูงๆ เขาไม่ได้เป็นประธานาธิบดี ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นครูเหมือนพวกคุณ ได้เงินเดือน ๓พัน ๔พัน เขาต้องถีบสามล้อ เขาต้องแจวเรือจ้าง เขาต้องล้างท่อถนน ก็อย่าไปดูถูกเขาเลย เขาได้ทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์เต็มที่แล้ว ควรจะเคารพเขาด้วยว่า เขาก็ปฏิบัติธรรมะเหมือนเรา เพียงแต่เรามันโชคดีหน่อย ได้ทำ, ได้ทำหน้าที่ที่ไม่, ไม่ค่อยจะเหน็ดเหนื่อย พวกนั้นเขาต้องเหน็ดเหนื่อย แต่ถ้าเขามีความสุขเมื่อได้ทำหน้าที่ เมื่อได้แจวเรือจ้าง ถีบสามล้อ เหงื่อไหลมีความสุขอยู่ที่นั้นแล้ว เขาก็ไม่ต้องไป coffee shop เหมือนกัน เพราะเขามีความสุขที่นั่นเสียแล้ว มีความสุขที่แท้จริง ที่ตรงนั้นเสียแล้ว จะไปหาความสุขอะไรที่ไหน ที่หลอกๆกันอีก
ขอให้ทุกคนถือว่า เมื่อทำการงานที่คุณไม่ชอบนั่นแหละ นั่นล่ะ คือปฏิบัติธรรมะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตนี้เกิดกำไรเรื่อยๆไป ให้โวหารแห่งชีวิตดำเนินไปในทางกำไรเรื่อยๆไป ขอให้รักการงาน ให้บูชาการงานว่าเป็นธรรมะ ทำหน้าที่การงานคือการปฏิบัติธรรมะ
ให้ความสุขปีใหม่กัน ก็ให้กันให้ถูกต้อง คือให้เขาได้ทำงานมากยิ่งๆขึ้นไป เดี๋ยวนี้เขียนความสุขปีใหม่กัน ก็เป็นเรื่องหลอกๆ ลมๆ แล้งๆ ขอให้ท่านมีความสุขปีใหม่ ก็ว่ากันแต่ปาก ไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น ไอ้ค่ากระดาษแผ่นเล็กๆมันก็ไม่คุ้ม ไปคิดดู ขอให้ท่านมีความสุขปีใหม่ ไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น มันไม่คุ้มค่ากระดาษ บัตร นั้นเลย
เขียนเสียใหม่สิ ขอให้ท่านทำงานให้มากขึ้น ขอให้ท่านได้มีโอกาสทำงานให้มากขึ้น นั่นแหละ ท่านจะมีความสุขปีใหม่ จะไปอ้างพระเจ้า ขอให้พระเจ้าดลบันดาลให้ท่านมีความสุขปีใหม่ นี่หลอกทั้งนั้นแหละ ไม่มีผลเกิดขึ้นคุ้มค่ากระดาษเหมือนกัน ไปบอกเขาเสียใหม่ ว่า เขียนไอ้ความสุขปีใหม่ ความสุขของเราคือการทำหน้าที่ของมนุษย์โว้ย เขียนว่าอย่างนั้น ในบัตรส่งความสุข ความสุขแท้จริง คือการทำหน้าที่ของมนุษย์ ขอให้คุณได้มีโอกาสทำงานให้มากกว่าเดิม ให้ดีกว่าเดิม
เมื่อเราถือหลัก การงานคือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือการทำงาน ไม่ใช่ว่าต้องมาสวดมนต์ที่วัด มาทำบุญทำทานอะไรที่วัดอย่างเดียว ขอให้ทำการงาน ในทุ่งนา ในออฟฟิศนั่นน่ะให้ดีเถอะ ที่สุดน่ะตรงนั้นคือการปฏิบัติธรรม ทำหน้าที่ที่มนุษย์ควรจะทำตามกฎของธรรมชาติ หรือตามกฎของพระธรรม
ความสุขปีใหม่ คือทำให้เกิดกำไรขึ้นมาในชีวิตมากกว่าปีเก่า อย่าให้ละอายต้นเผือก ต้นบอน หัวมัน สัตว์ ไอ้, พืชมีหัวในดินน่ะ มันทำได้จริง เราทำไม่ได้ ก็ละอายมัน ไอ้วิวัฒนาการของมันจะดีกว่าของเรา
นี่อาตมาคิดว่ามันจะพอแล้วกระมัง สำหรับเรื่องความสุขปีใหม่ ได้รู้คำว่า ชีวิตนี้เป็นการลงทุนอยู่โดยธรรมชาติในตัวมันเอง เพื่อความสูงยิ่งๆขึ้นไป ถ้าชีวิตของผู้ใดไม่เป็นอย่างนั้น มันเรียกว่า คนที่ยังไม่, ไม่มีชีวิตดีกว่า คือคนตายแล้ว
ถ้าว่าชีวิตของเราสามารถจะทำให้เกิดผลกำไรมากขึ้นไปนั้นน่ะ คือชีวิตที่แท้จริง ในส่วนข้างนอกทำให้มีเงิน มีของ มีเรื่องทางวัตถุ ทรัพย์สมบัติ เรื่องเกียรติยศ ชื่อเสียง เรื่องที่, ที่มนุษย์เขาต้องการกันอย่างโลกๆนั่นก็ทำให้มันเสร็จไปเสีย แล้วเพียงเท่านั้นมันไม่ดับทุกข์ มันต้องทำด้านจิต ด้านวิญญาณให้จิตใจสูงอยู่เหนือ, เหนือปัญหา
ตอนนี้คงจะฟังยาก หรือพูดยาก นี่เราถือหลักของพระพุทธเจ้าที่ท่านพบใหม่ การพบใหม่ของพระพุทธเจ้านั่น ที่ไม่เหมือนใคร คือท่านพบว่า ให้ดำเนินอยู่สายกลาง อยู่ตรงกลาง นี่เรื่องทางจิตใจที่สูงขึ้นไป ให้รู้จักดำเนินอยู่ในทางสายกลาง อยู่ตรงกลาง อย่าดี อย่าชั่ว อยู่ตรงระหว่างกลาง ระหว่างดี ระหว่างชั่ว ถ้าดีก็ลำบากไปตามแบบดี ถ้าชั่วก็ลำบากไปตามแบบชั่ว เพราะฉะนั้นเราอยู่ตรงกลาง ไม่เรียกว่าดีว่าชั่ว
คนที่เขารู้จริงในเรื่องนี้นะ เขากล้าพูดนะ ว่าทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ คุณอย่าเอาไปบอกใครต่อๆไปนะ คุณจะถูกด่านะ เก็บไว้ที่นี่นะ ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ นี้ เก็บกันไว้พูดกันแต่ที่นี่ ถ้าไปยึดถือแล้วมันกัดเอาทั้งนั้น
ไอ้ความดีมันก็ทำให้ลำบากตามแบบของความดี ไอ้ความชั่วก็ทำให้ลำบากไปตามแบบของความชั่ว เราอย่าไปบูชาดี อย่าไปบูชาชั่ว อยู่ตรงกลาง ว่างๆ ระหว่างชั่ว ระหว่างดี
บุญ บาป ก็เหมือนกัน อย่าไปเอากับมัน เอาอยู่ตรงกลางที่ไม่บุญไม่บาป อยู่ว่างๆระหว่างกลาง เรียกว่าเหนือบุญ เหนือบาป
สุขหรือทุกข์ก็เหมือนกันน่ะ อย่าไปเอากับมันทั้งสุขและทุกข์ อยู่เอาตรงว่างๆตรงกลาง ไม่สุขไม่ทุกข์
นี่เรียกว่าอยู่ตรงกลาง ถ้าไปซ้ายหรือไปขวา ชิด, ชิด, ชิดทางไหนแล้วก็จะต้องมีปัญหาทันที จะต้องมีปัญหา มันกัดเอาแหละ ที่เป็นโรคประสาทกันมากๆน่ะ เพราะว่าชอบดีทั้งนั้นแหละไปดูเถิด ที่เป็นโรคประสาทกันมากขึ้น มากขึ้น มีปัญหามาจากการไม่ได้ดี ไม่ได้ตามที่ตัวต้องการจะดี ไอ้ที่ชั่วไม่ค่อยทำให้คนเป็นโรคประสาทนะ ไอ้ที่ดี ที่ไม่ได้อย่างที่ดี ที่หวัง มันเป็นโรคประสาท
ฉะนั้น เราอย่าไปบูชา ไอ้, สุดโต่งซ้าย สุดโต่งขวา เราอยู่แต่ตรงกลาง ไม่แพ้ ไม่ชนะ แพ้ก็บ้า ชนะก็บ้า อยู่ตรงกลางระหว่างแพ้ ระหว่างชนะ ไม่มีปัญหา สบายดี ที่ซ่อน ที่หลบ ที่สบายที่สุด ตรงว่าง ตรงว่าง ตรงกลาง นี่มันชอบชนะ ชอบชนะ เท่าไหร่เท่ากัน ชอบชนะ ก็ฉิบหายไปเองก็ไม่รู้ เพราะชอบชนะ
ถ้าเป็นหลักของพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้า ท่านจะไม่นะ, จะไม่แพ้ไม่ชนะ ไม่ดีไม่ชั่ว ไม่บุญไม่บาป ไม่อะไรทั้งนั้น คือไม่, ไม่, ไม่, ไม่ชิดซ้ายชิดขวา มันอยู่ตรงกลางเรื่อยไป ไม่กินผัก ไม่กินเนื้อ อยู่ระหว่างผักระหว่างเนื้อ ไม่ให้เกิดความหมายขึ้นมาว่า มันเป็นผักหรือเป็นเนื้อ แล้วมันก็ไม่มีปัญหา
นี่เรียกว่า สูงสุดในทางสติปัญญา ไม่ยึดมั่น ถือมั่นสิ่งใด ว่าเป็นอะไร ไม่ยึดมั่น ไม่ยึดมั่นอย่างเดียว เมื่อไม่ยึดมั่นอย่างเดียวแล้วมันก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้ ไม่ยึดมั่นดี ไม่ยึดมั่นชั่ว แล้วไม่มีอะไรมาทำให้เป็นทุกข์ได้ จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ในโลกนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ถ้าเราไม่ยึดมั่นในสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วเราจะไม่มีความทุกข์เลย ไม่, ไม่ยึดมั่นว่าเรานี้เป็นตัวตน ไม่ยึดมั่นว่ามีใครมายิงเราตาย มันก็ไม่มี, ไม่มีจิตใจที่เป็นทุกข์ เรียกว่า ความไม่ยึดมั่นสิ่งใดโดยความเป็นตัวตนของตน นั่นแหละจิตที่สูงสุด ระดับสูงสุดของชีวิตขึ้นไปถึงแล้ว ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป
เรื่องนี้ถ้าพูดแล้วมันจะหยาบคายมาก ไม่กล้าพูด คือว่าถ้าเราปฏิบัติอยู่อย่างนี้ คือไม่ยึดมั่นน่ะ แล้วจะไม่มีอะไรเป็นปัญหา อะไรมันจะเกิดขึ้นก็ตามใจ ไม่มีปัญหา เมื่อเราไม่ยึดมั่นแล้วมันไม่อาจจะเกิดความทุกข์ แล้วมันจะมีอะไรเป็นปัญหา จะแพ้ จะชนะ จะอะไรก็ไม่มีปัญหาทั้งนั้น เราไม่มี, ไม่มีความทุกข์ก็แล้วกัน
เป็นความถูกโดยประการทั้งปวง ถ้าเราไม่ยึดมั่นเป็นตัวตนของตน มันจะเป็นความถูกที่สุดสำหรับจะไม่เป็นทุกข์ บุญหรือบาปได้ผล ก็ ถ้าไม่ให้ผลก็ช่างหัวมันเถอะ เมื่อ, เมื่อเราไม่มีความทุกข์ก็พอแล้ว เมื่อเราไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว เราก็ไม่มีความทุกข์ เพราะฉะนั้นบุญหรือบาปจะให้ผล หรือจะไม่ให้ผล พระเจ้าจะมี หรือพระเจ้าจะไม่มี โลกนี้เที่ยง โลกนี้ไม่เที่ยง ช่างหัวมันเถิด มันไม่มีอะไรจะเป็นปัญหา เพราะเมื่อเราไม่ยึดมั่นแล้วเราก็ไม่มีความทุกข์ ไอ้ยอดสุดของจิตใจที่มันไปถึงปลายทางแห่งชีวิต สิ้นสุดแห่งโวหารของชีวิต เรียกว่าโวหาระสมุจเฉโท จบ
อาตมาก็พูดจบนะ ไม่ได้พูดค้างคา พูดเรื่องชีวิตตั้งแต่ต้นจนจบ นี่ก็ขอให้ทุกคนฟังให้เข้าใจ เอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์
ก็เป็นอันว่าเราได้พูดกันถึงสิ่งใหม่ ที่จะทำให้เกิดความก้าวหน้าใหม่ เลื่อนชั้นขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งใหม่ ใครเข้าใจได้ ถือเอาเป็นประโยชน์ได้ คนนั้นคุ้มค่ามา คุ้มค่ามาที่วัดนี้ คุ้มค่ามาที่วัดนี้ ทั้งเหนื่อย ทั้งเปลือง ทั้งอะไร อาตมาก็ไม่ถูกด่า เพราะว่าผู้มาได้รับประโยชน์คุ้มค่ามา
แต่ถ้าว่าไม่ได้รับประโยชน์คุ้มค่ามา นี่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน มันก็ได้พูด พยายามพูดให้ดีที่สุด เต็มที่ร้อยเปอร์เซนต์แล้ว เมื่อผู้ฟังรับเอาไปได้เพียงห้าเปอร์เซนต์ สิบเปอร์เซนต์ ใครจะรับผิดชอบ เราก็ทำได้อย่างมากเพียงเท่านี้ อาตมาพยายามพูด ตั้งใจเต็มที่ร้อยเปอร์เซนต์ แล้วผู้ฟังจะฟังเอาไปได้สักกี่เปอร์เซ็นต์ก็แล้วแต่
แต่เดี๋ยวนี้ มันเป็นวันสำคัญ ที่ว่าเป็นวันปีใหม่ ควรจะเอาไปให้มากๆน่ะ เอาไปพอใช้เพราะว่าจะไปเลื่อน เลื่อน เลื่อน ไอ้, โวหารแห่งชีวิตให้มันก้าวหน้าไปให้มากทีเดียว เร่งให้มันมากเท่ากับที่ว่าไอ้ไข่มันแพงขึ้นไป ๑๕๐ เท่า ก่อนนี้ไข่ลูกละสตางค์เดียว เดี๋ยวนี้ไข่มันตั้ง ๑๕๐สตางค์ แล้วคนยังมาหยุดอยู่ ยังมาคลานอยู่ ไม่เร่งให้มันเร็วขึ้น ๑๕๐ เท่า มะพร้าวน่ะ เมื่อไข่ลูกละ ๑ สตางค์ มะพร้าวก็ ๑ สตางค์นะที่ที่ ที่นี่ เดี๋ยวนี้มะพร้าว ๓บาท ๔ บาท มะพร้าวแพงตั้ง ๓-๔๐๐เท่า ในเมื่อไข่มันแพงถึง ๑๕๐ เท่า แล้วมันยังมาคลานต้วมเตี้ยมอยู่ที่นี่ ไม่เร่งเร้าสติปัญญาหรือความเพียรหรือธรรมะให้มันมาก ให้มันทันกัน
นี่ขอฝากไว้เป็นเรื่องสุดท้าย เป็นคำสุดท้ายว่า ขอให้ท่านทั้งหลายพยายามเร่งรัดให้มันมากขึ้น ๑๕๐ เท่า หรือ ๒๐๐ เท่า หรือ ๓-๔๐๐ เท่า ตามที่ไข่ มะพร้าว มันแพงขึ้นไปเท่านั้น ก็คือเวลามันวิ่งเร็ว เราก็วิ่งให้ทันกัน และให้สนุกอยู่ที่นี่ สนุกอยู่ที่วิ่งนี่ สนุกอยู่ที่ทำการงาน อย่าไปสนุกอยู่ที่สถานเริงรมย์ อย่าไปสนุกที่โรงหนัง โรงละคร อะไรเลย รับรองได้ว่า ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่เสียทีที่ได้มาสวนโมกข์ ซึ่งถ่ายทอดความรู้ของพระพุทธเจ้าออกมาสู่ท่านทั้งหลาย ตามโอกาส ตามสมควร สุดความสามารถเท่าที่จะทำได้
เป็นอันว่า อาตมาก็ได้พูดเรื่องปีใหม่ เรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับปีใหม่ พอสมควรแก่เวลาและเรี่ยวแรงที่จะพูดได้แล้ว ต้องขอยุติกันไว้ที แต่ขอรบเร้า เตือนท่านทั้งหลายว่า จงไปทำให้มันได้ผลสุดความสามารถของตน ของตน
ชีวิตมีการลงทุนอยู่ในตัวมันเอง ลักษณะนั้นท่านเรียกว่าโวหาร ขอให้โวหารแห่งชีวิตของท่านทั้งหลายจบสุด ถึงที่สุด อย่าให้เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาเลย อาตมาจะต้องจบ ด้วยความพอใจ ในการมาของท่านทั้งหลาย ท่านอุตส่าห์มา ทั้งเหนื่อย ทั้งลำบาก ทั้งเปลือง อุตส่าห์มา อาตมาก็ต้องขอบคุณและพอใจ ท่านทั้งหลายได้รับอะไรไปจากอาตมา ไม่ต้องขอบคุณ ไม่ต้องขอบคุณ ไม่ต้องขอบใจอาตมา เพราะว่าอาตมาจะต้องขอบใจท่านทั้งหลายที่ทำให้อาตมาไม่เป็นหมัน ต้องการจะทำประโยชน์ก็ได้ทำประโยชน์ ต้องการจะพูดก็ได้พูด เพราะฉะนั้นการที่มา, มากันที่นี่ ให้เราได้ทำหน้าที่ของเรานี้ เราขอบพระคุณ ผู้มาไม่ต้องขอบพระคุณเจ้าของบ้าน ไอ้เจ้าของบ้านนี่, ขอขอบพระคุณท่านทั้งหลายที่มา เพื่อให้เราได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามความมุ่งหมายและเจตนาของเรา นี่คือหลักการของสวนโมกข์ มีหน้าที่ที่จะต้องให้ธรรมะ ให้แสงสว่าง ใครมาช่วยให้ได้ทำหน้าที่นี้ได้ก็ขอขอบคุณ ผู้ที่มาไม่ต้องขอบคุณ และก็ขอยุติการบรรยายไว้ในวันนี้ แต่เพียงเท่านี้
ถ้ามีปัญหาอะไรก็ถามได้ ชีวิตทุกชนิด ทุกชนิดเป็นการลงทุนอยู่ในตัวมันเองหรือไม่ ฉะนั้นเราก็อย่าให้ละอายแมว ละอายไส้เดือน ละอายกิ้งกือ ไส้เดือนมันขยันขุดดินเรื่อยไป มันสนุกในการทำงาน กลัวว่าคนจะไม่ทำอย่างนั้นน่ะ จะละอายไส้เดือน
คำว่า โวหาระ แปลว่าการลงทุนเพื่อให้ได้ผลสูงสุด ใช้โวหารตลบตะแลงก็เพื่อเอาเปรียบเอากำไรเหมือนกัน โวหาร ก็เรียกว่าโวหาร แต่นั่นมันคดโกง ไอ้โวหารที่แท้จริงคือทำไปโดยสุจริตตามกฎของธรรมชาติ ก็จะได้ผลถึงที่สุด นี้เป็นโวหารธรรมะ
ทำไมไม่มีใครเชิญให้คุณกัญญาเล่าเรื่องเมืองจีนให้ฟัง เขาไปเมืองจีนกลับมา ได้ยินพระฝรั่งเขามา มาสรรเสริญว่าเดี๋ยวนี้ศีลธรรมที่เมืองจีนดีมาก ศีลธรรมของประชาชน ถ้าศีลธรรมดีความก้าวหน้าก็มี ใครง่วงนอนไปนอนก่อนก็ได้ ถ้ายังไม่ง่วงนอนจะคุยกันต่อไปอีกกว่าจะถึงขึ้นปีใหม่ คล้ายๆวิทยุจะเปิดไว้พลาง ถ้าถึงคราวที่ควรจะให้ดังก็ดัง พระก็จะสวด ก็จะชยันโต ก็จะอะไร แล้วพอถึง ๒๔ น. ก็ช่วยกันตีระฆัง
คำว่า หัวเราะเป็นการจ่าย ไม่หัวเราะเป็นการรับ เมื่อหัวเราะมัน, มันจ่ายกำลังงาน จ่ายกำลังของสติปัญญา จ่ายกำลังของอวิชชา ของกิเลส นี่เรียกว่ามันเป็นการจ่าย คือขาดทุนน่ะเป็นการจ่าย ถ้าบังคับไว้ได้ ไม่หัวเราะนี่เป็นการรับ เพิ่มกำลังได้ จะเพิ่มกำลังมากขึ้น ถ้าหัวเราะออกไปจะถอยกำลังลงในทางวิญญาณ
คนหัวเราะคือคนอ่อนแอ คนไม่หัวเราะคือคนเข้มแข็ง หัวเราะจะสูญเสียกำลังงานของวิญญาณ บังคับให้ได้ จะเพิ่มกำลังของวิญญาณ กำลังสมาธิ กำลังอะไรไม่สูญเสีย
ไม่ต้องเชื่ออาตมานะ ไป, ไปสังเกตดูเองก็แล้วกัน ว่าหัวเราะเป็นการจ่าย ไม่หัวเราะเป็นการรับ เอาไปใช้เสียที่โรงหนังหมด ไปนั่งหัวเราะอยู่หน้าวิทยุ หน้าโทรทัศน์ มัน........(นาทีที่ 1.27.33) ไปจ่ายหมด