แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านราชภัฏที่ต้องลาบวชและลาสิกขาทั้งหลาย (นาทีที่ 1:39) การบรรยายในธรรมะเล่มน้อยสำหรับผู้จะลาสิกขาในครั้งนี้ ก็ได้พูดโดยหัวข้อว่าทุกอย่างมีเหตุปัจจัยเฉพาะของมันเอง สิ่งทุกสิ่งมีเหตุปัจจัยเฉพาะของมันเอง นี่เป็นความลับของธรรมชาติ เราไม่ค่อยรู้ไม่ฝันถึงเรื่องที่ว่า มันมีเหตุปัจจัยเฉพาะของมันเอง เราไม่ได้จัดการให้ถูกกับเรื่องของเหตุปัจจัยของสิ่งนั้นๆ ก็เลยไม่ประสบความสำเร็จ เรื่องส่วนบุคคลก็ดี เรื่องส่วนรวมทั้งโลกก็ดี แก้ไขอะไรได้ไม่สำเร็จ เพราะมันไม่ได้แก้ไขถูกตรงตามเหตุปัจจัยเฉพาะของมันเอง เรื่องเหตุปัจจัยนี้เป็นเรื่องสำคัญมีแต่ทุกคน โดยเฉพาะที่เป็นคน สัตว์เดรัจฉานก็ยังมี ที่มันจะต้องทำให้ถูกต้องกับเหตุปัจจัย โดยเฉพาะสิ่งนั้นๆ มันจึงจะรอดอยู่ได้ สำหรับคนนั้นเต็มที่เลยยังมีการกระทำที่ถูกกับเหตุปัจจัยเฉพาะของสิ่งนั้นๆ
การดำเนินประโยชน์กิจใดๆ มันมีหลักอยู่ที่นี่ มันคือต้องให้ดำเนินไปให้ถูกกับเหตุปัจจัยของสิ่งนั้นๆ ที่นี่ที่สำคัญที่สุดสำหรับพุทธบริษัทเราก็คือว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ยึดถือเหตุปัจจัยเป็นหลัก หรือว่ามีเรื่องเหตุปัจจัยนั่นแหละเป็นหลัก ในเมื่อศาสนาอื่นเขายึดถืออย่างอื่น ยึดถือพระเจ้า ยึดถือความเชื่อ ยึดถือพิธีรีตอง ยึดถือบวงสรวงอ้อนวอนอะไรก็สุดแท้ แต่พุทธศาสนานี้ยึดถือหลักแห่งเหตุและปัจจัย ดังนั้นเมื่อพระอัสสชิ(นาทีที่4:45) พระอรหันต์องค์หนึ่งในพุทธศาสนา ถูกถามถึงใจความสำคัญของพุทธศาสนา หรือถูกถามว่าพระศาสดาของท่านสอนอะไร สอนอย่างไร ท่านก็ต้องตอบ จำเป็นต้องตอบ โดยย่อโดยสรุปที่เขาเรียกกันทั่ว ไปว่า คาถาพระอัสสะชิ ท่านก็ตอบว่า ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระสมณะทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น พระมหาสมณะหรือพระศาสดาของเราสอนอย่างนี้ นี่คือเป็นตัวหลักหรือตัวหัวใจของพุทธศาสนา เรื่องเหตุและเรื่องความดับแห่งเหตุ (นาทีที่5:58)จึงจะเป็นความดับไอ้สิ่งที่เป็นปัญหา อย่าลืมเสียในฐานะที่มันเป็นหลัก คือ หัวใจของพุทธศาสนา เรื่องเหตุและผลนี่เป็นไปตามหลักของพุทธศาสนา พุทธศาสนาจึงได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งเหตุผลเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก แต่เขาอาจจะเข้าใจคำอธิบายผิดก็ได้ หรือพูดเป็นเรื่องที่มันมีความหมายแคบเกินไปก็ได้ กว้างเกินไปก็ได้ จนไม่พอดีที่จะดับทุกข์ได้ แต่เมื่อเราเป็นพุทธบริษัทคล้ายๆ กับเป็นเจ้าของพุทธศาสนา ก็ต้องรู้จักพุทธศาสนาของเราให้ถูกต้อง เรายอมรับทุกสิ่งทั้งปวงเป็น ไปตามเหตุ เมื่อมีเหตุขจัดการที่เหตุ ถึงจะดับทุกข์ ก็ต้องดับที่เหตุของความทุกข์ ถ้าเป็นศาสนาอื่นเขาก็ต้องบอกว่าไปอ้อนวอนพระเจ้า ไปบูชาพระเจ้า ไปทำพิธีอย่างนั้นอย่างนี้ มีแบบมาก แล้วก็ว่าดับทุกข์ ส่วนพระพุทธศาสนาไม่ทำอย่างนั้น (นาทีที่7:33)ปฏิเสธหรือล้อเลียนเสียด้วย (นาทีที่7:40)อาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ จะหมดบาปหมดทุกข์ ไอ้พวกสัตว์น้ำในแม่น้ำนั้นคงหมดบาปหมดทุกข์
(นาทีที่7:57)แม้ว่าไอ้ดวงดาวทั้งหลายจะทำอะไรได้ เมื่อประโยชน์เป็นไปตามอำนาจของเหตุของประโยชน์นั้น ดวงดาวบนฟ้าจะทำอะไรได้ บางพวกเขาอาศัยดวงดาวเป็นเครื่องบันดาล หรือว่าเขาว่าการอ้อนวอนมันจะเป็นเหตุให้สำเร็จประโยชน์ได้ พ้นทุกข์ได้ ถ้ามันจริงอย่างนั้นมันก็ไม่มีใครขาดแคลนอะไร ต้องการอะไรก็อ้อนวอนเอาได้ มันก็มีคนดับทุกข์กันอย่างสิ้นเชิง เพราะเพียงแต่อ้อนวอนก็ดับทุกข์ได้ ก็ไม่มีใครที่ต้องเป็นทุกข์เหลืออยู่เต็มไปทั้งโลกอย่างนี้ นี่พระพุทธศาสนาปฏิเสธสิ่งซึ่งไม่ใช่เหตุผล หรือไม่เป็นไปตามอำนาจของเหตุผล เราก็รู้ไว้ในฐานะที่เราเป็นพุทธบริษัท เมื่อหลักการแห่งการดับทุกข์ของเรา ไปจัดการที่เหตุแห่งทุกข์ แต่นั้นมันก็อาจจะเถียงกันว่า เหตุแห่งความทุกข์มันอยู่ที่พระเจ้า ที่ต้องทำให้ถูกตามพิธีรีตองไปทางโน้นอีก แต่ก็พอจะมองเห็นกันว่า ไอ้เรื่องของเหตุมันเป็นเรื่องภายใน ที่อยู่ที่ตัวจริงของสิ่งนั้นๆ
ดังนั้นเราจะพูดกันต่อไปถึงเรื่องเกี่ยวกับเหตุ มันเกี่ยวกับธรรม สำหรับพูดมันก็ทำยุ่งเหมือนกัน ด้วยธรรมะหรือแม้แต่พระรัชยา (นาทีที่ 10:06) ก็เถอะ มันยุ่งยากลำบาก ไอ้คำพูดที่ใช้มันไม่พอ หรือคำพูดที่ใช้มันกำกวม หรือคำพูดมันปนเป คำว่า เหตุ บางทีก็คือ ปัจจัย ในภาษาบาลีของเรานี่ บางทีคำว่า เหตุ กับ ปัจจัย ก็อันเดียวกันนั่นแหละ สิ่งเดียวกันเลย แต่ในที่บางแห่งมันก็กลายเป็นว่า เหตุ เป็นตัวการโดยตรง ปัจจัย เป็นส่วนประกอบอย่างนี้ก็มี แต่บางทีก็ว่าไอ้ปัจจัยคือเหตุ ก็เหตุก็เป็นปัจจัยแล้วเอาสิ่งอื่นๆ มาเป็นปัจจัยก็ได้ ปัจจัยเยอะ ปัจจัยอันหนึ่งก็คือเหตุอย่างนี้ก็มี นี้เรียกว่าคำพูดมันทำยุ่ง นั่นก็ถือว่าอันสิ่งที่ทำให้มันเกิดผลก็เป็นปัจจัยก็ได้ เป็นเหตุก็ได้แล้วแต่จะเรียก เช่น ปฏิจจสมุปบาท อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร นี่เป็นเหตุโดยตรงเลย สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ นาม รูป นี่เป็นเหตุโดยตรงเลย แต่ท่านใช้คำว่าปัจจัย ที่ใช้คำว่าเหตุก็มี ใช้คำอย่างอื่นแทนก็มี เช่นคำว่า สมุทัย นี่ก็คือ เหตุปัจจัย เครื่องที่ทำให้เกิดขึ้น เครื่องที่ทำให้ก่อขึ้น ตั้งขึ้นนี่ก็เรียกว่าสมุทัย มันก็คือเหตุปัจจัย ในคำที่มีความหมายอย่างนี้มีมาก เราก็ยุ่งหัวเปล่าๆ เอาคำว่าปัจจัยเป็นหลักก็พอแล้วให้กินความถึงคำว่า เหตุสมุทัย คำว่าอะไรต่างๆ อีกเรื่อย
เราก็จะพูดกันถึงข้อที่ว่า ทุกอย่างมีเหตุปัจจัยเฉพาะของมันเอง ในชั้นแรกเราก็ต้องพูดกันในส่วนที่ว่า ทุกอย่างมีปัจจัยเสียก่อน ให้เป็นที่เข้าใจว่า ทุกอย่างมีปัจจัยเสียก่อน แล้วจึงดูต่อไปว่า ไอ้ปัจจัยนั้น น่ะมันจะเป็นปัจจัยเฉพาะเรื่องของมันเอง แล้วทีนี้ก็ดูต่อไปถึงข้อที่ว่า ทุกอย่างมันจะเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั้นเป็นไปตามสามขั้นตอน ถึงเรื่องที่เราจะต้องศึกษา ทุกอย่างมีปัจจัยนี่คือข้อแรก แล้วปัจจัยนั้นต้องมีตรงตามเรื่องเฉพาะของมันเอง นี่คือความหมาย ทีนี้อีกความหมายหนึ่งก็คือว่า ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามปัจจัยนั้น มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นี่เราก็จะดูกันที่ว่า ทุกอย่างมีปัจจัยหรืออย่างไร เท็จจริงหรือไม่ ถ้าเป็นเรื่องทางวัตถุก็เห็นได้ง่ายๆ ว่า มันก็มีเหตุที่เห็นได้กับตา เพราะมีเหตุอย่างนั้น จึงมีผลอย่างนี้ตามลำดับ ก็เป็นเรื่องทางวัตถุ มันก็เห็นได้ไม่ยาก เช่นว่าในบรรยากาศนี้มันมีไอน้ำ มีน้ำที่มีสภาพที่เป็นไอ เพราะว่ามันมีแสงแดดเป็นเหตุ ไอน้ำนี่ก็ลอยขึ้นไป เพราะเหตุที่ไอน้ำมันลอยขึ้นไปรวมกันอยู่มันเป็นเมฆ เพราะเหตุที่มันอยู่เป็นเมฆ มันมากเข้ามันก็รวมตัวกันเป็นฝนตกลงมา เพราะเหตุที่ฝนตกลงมา แผ่นดินมันก็เปียก เมื่อแผ่นดินมันเปียก ไอ้นายคนนี้มันก็ลื่นหกล้ม พอเขาลื่นหกล้มหัวของเขาก็แตก เพราะเหตุที่หัวเขาแตกหมอก็มีงานทำ หมอก็ต้องมีอะไรผลักดันกันไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด ให้ดูอย่างนี้ให้ดูว่ามันมีเหตุมันถึงเกิดผล เพราะถ้าไม่มีเหตุมันก็อยู่ไม่ได้ ไม่มีเหตุปัจจัย ต้นไม้นี่มันก็มีเหตุปัจจัยคือว่ามันมีน้ำก็ดี อะไรก็ดี มันจะงอกงามอยู่ได้ ถ้าไม่มีมันก็ตายหมด คนก็เหมือนกัน สัตว์ก็เหมือนกัน คนเรามองลึกลงไปก็เห็นว่ามันไม่มีอะไร นอกจากเหตุและผล เหตุและผล เหตุและผล แต่แล้วเราก็มาเรียกชื่อสิ่งนั้นเสียใหม่ว่าต้นไม้ ว่าสัตว์ ว่าคน ว่านาย ก นาย ข นาย ง
เราใช้การสมมติเรียกกัน ไม่ได้เรียกว่ากลุ่มแห่งเหตุและปัจจัย เพราะมันจะฟังกันไม่ถูก เหมือนๆ กันไปหมด อะไรๆ ก็ล้วนเรียกว่าเป็นกลุ่มแห่งเหตุและปัจจัย นี้มันสมมติเรียกว่ากลุ่มแห่งเหตุและปัจจัย นี้มันจริงๆ ที่มันเป็นไปนี้เรียกว่าอะไร เรียกว่าต้นไม้ เรียกว่าสุนัข เรียกว่าคน เรียกว่านาย ก. นาย ข. นาย ง. ฉะนั้นไอ้เรื่องของเหตุปัจจัยมันก็คือเรื่องของทุกสิ่ง โลกนี้มันก็มีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดเป็นโลกอยู่อย่างนี้ มันก็แล้วแต่ว่ามันมีเหตุอันแท้จริงอย่างไร เดี๋ยวนี้ไอ้นักศึกษาก็ว่าแยกมาจากดวงอาทิตย์บ้าง บางพวกก็ว่ามันรวม กลุ่มของหมอกเพลิงอะไรชนิดหนึ่ง มันค่อยๆ เข้มข้นเป็นตัวโลกเป็นก้อนโลกอยู่อย่างนี้ อันนั้นมันยังไม่รู้ดี แล้วความจริงมันก็มีอย่างเดียวเท่านั้นแหละ ที่มันจะเป็นไปได้ นี่เรามองเห็นกันข้างนอกอย่างหยาบๆ เสียก่อนว่า ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยมันก็มีไม่่ได้ ถึงแม้ดวงอาทิตย์เองมันก็ต้องมีเหตุปัจจัยอะไรอย่างหนึ่ง ของการมีดวงอาทิตย์อยู่ ดังนั้นสิ่งต่างๆ ในโลกนี้มันก็มีเหตุปัจจัยเปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนแปลงไป มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นแล้วก็เป็นไป ให้หลับตาเห็นว่าสิ่งทั้งหลายมีเหตุเสียก่อน สิ่งทั้งปวงมีเหตุเสียก่อน ไอ้เรื่องนี้มันสำคัญ ไม่ใช่ว่าจะไว้ใช้เรียนกันสนุกๆ หรือไว้พูดกันสนุกๆ มันสำคัญถึงขั้นที่ว่า ถ้ารู้เหตุแล้วมันก็ดับเหตุได้ หรือจะสร้างเหตุได้ หรือจะปรับปรุงเหตุได้ สิ่งต่างๆก็เป็นไปตามเราต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะดับทุกข์ไปนิพพาน ต้องการความถูกต้องแห่งเหตุมากที่สุดไม่อย่างนั้นจะไม่ดับกิเลส ไม่ดับทุกข์ จะไม่ไปนิพพานได้
ตัวธรรมะนี้จึงเป็นเรื่องเหตุผลของธรรมชาติ มีกฎแห่งเหตุผลของธรรมชาติ มีวิธีปฏิบัติให้ได้รับผลจากการที่จัดการให้ถูกต้องกับเหตุนั้นๆ ฉะนั้นเรื่องที่เรามาบวช เพื่อให้รู้วิธีประพฤติกระทำที่มันถูกต้องกับเหตุสำหรับจะดับทุกข์ได้นั้น มันจึงเป็นเรื่องของพุทธศาสนาโดยตรง สิ่งที่เราไม่ปรารถนา เราก็ต้องขจัดเหตุของมันแล้วมันจะหายไป สิ่งที่เราปรารถนา เราก็สนับสนุนเหตุของมันให้มีมา ให้เจริญขึ้น แม้แต่ชีวิตของเรามันเนื่องด้วยเหตุไม่นั้นมันก็ไม่มีมาได้ มีเหตุมากที่มันจะเป็นมนุษย์ขึ้นมาได้สักคน มันมีบิดามารดาเป็นแดนเกิด คนที่ทำให้เราเกิดออกมา แล้วมันก็มีเหตุลึกลงไปกว่านั้นว่า อะไรที่ทำให้บิดามารดาเราอยากจะมีบุตร แล้วมันก็มีเหตุลึกไปกว่านั้นว่า อะไรที่ทำให้มันเกิดมีความอยากที่จะมีบุตร มันก็มีเหตุลงไปเรื่อย แล้วก็มีชีวิตมัน ก็มีเหตุหล่อเลี้ยงชีวิต มีปัจจัยหล่อเลี้ยงชีวิต ต้องมีเหตุปัจจัยอีกมากที่จะทำให้เรารอดชีวิตมาได้ ไอ้เนื้อตัวของเรามีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กระดูก เอ็นอะไรก็ตาม แต่ละส่วนๆ ของมันมีเหตุปัจจัยของมันโดยเฉพาะ ถ้ามันมีเหตุถูกต้อง มันก็ปกติก็ทำหน้าที่ของมันปกติ เราก็สบาย พอมันเกิดความผิดพลาดในส่วนนั้นๆ เหตุของมันผิด พลาดอะไรก็ตาม เราก็เกิดความเจ็บป่วยในส่วนนั้นๆ เราก็เป็นทุกข์ ก็ทนไม่ได้ ต้องแก้ไขเยียวยากันไปตามเรื่อง แม้จะเป็นเรื่องเนื้อหนังร่างกายเป็นเรื่องวัตถุ เป็นเรื่องภายนอก มันก็อยู่ด้วยเหตุเต็มที่ ทีนี้ที่เป็นละเอียดภายในจิตใจ ก็ยิ่งมีเหตุอันละเอียดมันมองยากดูยาก แต่นั้นมันก็เนื่องกันทั้งภายในและภายนอก ก็มีความเข้าใจยากมากขึ้น เหตุภายนอกคือขณะตาได้เห็นรูป หูได้ฟังเสียง ด้วยเรื่องภายนอกด้วยเรื่องวัตถุภายนอก อวัยวะภายนอกมันทำหน้าที่ในภายนอก แล้วมันรู้สึกในภายใน จิตใจมันรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ จนกระทั่งไปเป็นความทุกข์ มันก็รู้สึกเป็นสุข รู้สึกเป็นทุกข์ อะไรก็ตามมันก็แล้วแต่การผลักไสปรุงแต่งของสิ่งที่เรียกว่าเหตุ จึงมีเหตุและการปรุงแต่งของเหตุอย่างถูกต้อง คนเราคนหนึ่งจึงเป็นปกติสุขอยู่ได้ด้วยร่างกายก็ดี จิตใจก็ต้องปกติไม่เป็นบ้า ถ้ามันเกิดผิดปกติมันก็คือเป็นอาพาธ เจ็บป่วย เป็นความทุกข์ เราก็พอมองเห็นได้ว่า สิ่งที่เรียกว่าเหตุ เรียกว่าเหตุปัจจัยว่าผล ก็คือทั้งหมดที่เราเห็นอยู่ ที่เราสัมผัสอยู่ ที่เราเกี่ยวข้องอยู่ จะยกเว้นก็มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่เกี่ยวกับเหตุก็คือ พระนิพพาน
แต่ถึงอย่างนั้นก็พูดได้โดยอ้อมว่า นิพพานก็ยังอยู่ที่ความสิ้นไปแห่งเหตุ ถ้าเหตุไม่สิ้นก็นิพพานไม่ได้เหมือนกัน ฉะนั้นนิพพานก็ยังเกี่ยวข้องกับความสิ้นไปแห่งเหตุ ในความหมายที่เร้นลับ (นาทีที่23:13)สิ้นสุดแห่งเหตุมันจึงจะเป็นนิพพาน มันก็ยังคงเกี่ยวข้องอยู่กันกับเหตุทางอ้อมอย่างนี้แหละ ฉะนั้นนิพพานก็ยังไม่ใช่ตัวตนเช่นสิ่งทั้งหลายเหมือนกัน ทีนี้ก็ดูกันลงไปให้ชัดถึงข้อต้นที่ว่า ทุกอย่างมีปัจจัยหรือมีเหตุ เมื่อผมพูดว่ามีเหตุหรือว่ามีปัจจัยนั่น ก็เป็นสิ่งเดียวกันให้รู้กันไว้ เหตุและปัจจัยนี้มันก็มีโดยตรงและโดยอ้อม แล้วโดยอ้อมมันจะมีมากเสียด้วย ไอ้โดยตรงอาจจะมีข้อเดียวอันเดียว เหตุอันเดียว แต่เหตุโดยอ้อมมันจะมีมาก ขอยกตัวอย่างเรื่องการปั้นหม้อ จึงเป็นอุปมาของสังขาร สิ่งที่เรียกว่าสังขารก็ชอบอุปมาว่าปั้นหม้อก็เอาเรื่องนี้มาเป็นเรื่องศึกษาเสียเลย
หม้อ ที่เกิดขึ้นมาในโลกด้วยเหตุอะไร เหตุโดยตรงของมันก็คือความต้องการของคนปั้น นายช่างปั้นหม้อเขาต้องการหม้อ นี่คือตัวเหตุโดยตรงที่จะทำให้หม้อมันเกิดขึ้น ทีนี้เหตุปัจจัยโดยอ้อมมันก็เยอะไปหมด เครื่องไม้เครื่องมือ ดิน ถ้าไม่มีดินทำหม้อได้อย่างไง เขาเรียกว่าเหตุปัจจัย แต่มันไม่โดยตรงเท่ากับความต้อง การของคนปั้นหม้อ ทีนี้เหตุปัจจัยแวดล้อมเช่นดิน เช่นน้ำ เช่นเครื่องมือ ไม้ที่สุด (นาทีที่ 25:30)ไม้ฟืนที่จะนำมาเผาเพื่อจะเป็นหม้อขึ้นมาได้ แสงแดดที่จะต้องผึ่งหม้อให้แห้งเสียก่อนมันจึงจะเผาได้ ทีนี้เขาเรียกว่าเหตุปัจจัยโดยอ้อม ต้องมีความถูกต้องของเหตุโดยตรง แล้วมันก็มีความถูกต้องของเหตุโดยอ้อมอีกมากมาย สิ่งต่างๆ มันจึงจะสำเร็จขึ้นมา ทีนี้เราจะมาดูที่รถยนต์ที่มันวิ่งได้ นี่ยิ่งละเอียดเพราะรถยนต์มันไม่ใช่หม้อ ไอ้รถยนต์มันประกอบไปด้วยกลไกหลายระบบ แต่ละระดับก็วิจิตรพิศดาร มันต้องถูกต้องทุกระบบ ระบบไฟ ระบบหล่อลื่น ระบบเชื้อเพลิง มันเป็นระบบๆ ไป มันส่งเสริมซึ่งกันและกัน เป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน แล้วเพราะมนุษย์ต้องการจะมี มันจึงมีขึ้นมา มนุษย์ต้องการจะขับมัน มันก็ถูกขับไป มันก็เรียกว่าเหตุปัจจัยทั้งนั้นเลยที่มันวิ่งไป ส่วนประกอบนั้นๆ นั่นแหละที่เรียกว่าเหตุปัจจัยโดยอ้อม ไอ้คนเจ้าของรถนั่นแหละเป็นเหตุปัจจัยโดยตรง นี่ธรรมะเขาต้องการให้ดูอย่างนี้ ให้ดูเป็นกลุ่มของเหตุและปัจจัย ไม่ใช่เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขาอะไรที่ไหน รถยนต์ที่วิ่งได้ไม่ใช่ตัวตน บุคคลอะไรที่ไหน มันเป็นกลุ่มของเหตุปัจจัยที่มันเนื่องกันถูก ต้องพอดี ก็เกิดเป็นสิ่งที่เรียกว่ารถขึ้นมาแล้วก็วิ่งได้
ลักษณะอย่างนี้ขอนำมาใช้กับคน เด็กที่จะเกิดมานั้นมันก็มีเหตุมีปัจจัยโดยตรง โดยอ้อมอย่างที่ว่ามา แล้ว ที่เกิดเป็นคน ที่เป็นเด็กขึ้นมา แต่พอมาตอนนี้เราไม่ค่อยเห็นเสียแล้วว่ามันไม่ใช่ตัวตน เพราะเราถูกทำให้เห็นว่ามีตัวตน มีการสอนให้เห็นว่ามีตัวตนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เป็นคนก็เป็นตัวตน เป็นเด็กก็เป็นตัวตน เป็นเสียอย่างนั้น ไม่มองเห็นเด็กหรือคนว่า เป็นเพียงกลุ่มแห่งเหตุและปัจจัยอันปรุงกันขึ้นมา ในเนื้อตัวคนเต็มไปด้วยส่วนต่างๆ ที่เป็นเหตุปัจจัย ที่ปรุงแต่งซึ่งกันและกัน แล้วก็มีสิ่งที่เรียกว่า จิต ปรากฎออกมาได้ ถ้าร่างกายของเราเหมาะสมแล้ว ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยเต็มที่ นี่เรียกว่า วัตถุธรรม ที่จะเป็นนามธรรมล้วนๆ เช่นกิเลส เช่นความทุกข์ว่า มันจะเกิดขึ้นมันมีเหตุปัจจัยหลายขั้นตอน การเห็นรูป การสัมผัส การมีเวทนา มีตัณหา (นาทีที่ 28:56) มีกิเลสและมีทุกข์ แต่นี่เป็นเรื่องสำคัญมากเพราะเป็นเรื่องทุกข์ ต้องรู้เพื่อจะดับทุกข์ แต่มันก็มีลักษณะอย่างเดียวกันทุกสิ่งน่ะ ที่มันเป็นสิ่งที่เกิดจากเหตุ มีเหตุ เป็นเรื่องของเหตุ
นี่เป็นธรรมะที่ละเอียดเห็นยาก แต่เป็นสิ่งที่ต้องเห็นตามเป็นจริงของสิ่งนี้ มันถึงจะดับทุกข์ได้ แล้วก็เหตุโดยตรงก็มี เหตุโดยอ้อมก็มี ทีนี้ก็ดูต่อไปอีกว่า เหตุให้เกิดขึ้นมาโดยตรงก็มี เหตุที่ทำให้ทรงอยู่ได้ไม่แตก ดับไปเสียนี่ก็มี แล้วเหตุที่ทำให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไปนี่ก็มี จะมีเหตุที่ทำให้เรามีชีวิตรอดอยู่ได้ เหตุที่ทำให้เราเกิดมา แล้วเราก็เหมา(นาทีที่30:19)ให้บิดามารดาที่ทำให้เราเกิดมา แล้วก็มีเหตุให้เรามีชีวิตอยู่ได้ ทรงอยู่ได้หลายอย่าง รวมทั้งบิดามารดานั้นด้วย และปัจจัยอีกหลายๆ อย่างที่ทำให้เรามีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ ทั้งนี้ยังมีเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เราเจริญงอกงาม ก้าวหน้าทางกาย ทางจิต เช่น หมอให้ (นาทีที่30:41)เจริญทางร่างกาย ส่วนทางจิตก็มีครูบาอาจารย์ธรรมะต่างๆ ให้มันเจริญทางจิต นี่ขอให้รู้ว่าเหตุให้เกิดก็มี เหตุให้ดำรงอยู่ได้ก็มี เหตุให้เจริญ รุ่งเรืองไปก็มี ก็ทำให้ถูกทุกเหตุ ทุกขั้นตอนของเหตุ ไม่ต้องมานั่งอ้อนวอนบวงสรวง ดูดวง ดูโชคอะไรกันอยู่ มันผิดกับหลักของพระพุทธศาสนา (นาทีที่ 31:22) สำหรับมีเหตุ เมื่อเขาไม่ถือหลักของพุทธศาสนาจะไปเชื่ออย่างนั้นก็ได้ ก็ไม่ผิดอะไร ก็ทำได้เพียงแต่ว่าชาวพุทธมันไม่ทำ ชาวพุทธเป็นผู้รู้เหตุ จัดการที่เหตุให้ได้ผลตามที่ตนปรารถนา ทีนี้เขาก็เอาไปปนกันได้ว่าพระเจ้าก็มีส่วน ดวงดาวก็มีส่วน แต่ว่ามันก็เป็นส่วนที่น้อยมาก เอาเหตุตรงๆ กันดีกว่า
พวกโหรก็ชอบพูดว่า ไอ้ดวงดาวนี่มันอยู่กันอย่างไรบนท้องฟ้า แล้วคนเกิดมาเมื่อดวงดาวบนท้องฟ้าถ้ามันอยู่กันในลักษณะอย่างไร ไอ้คนนั้นก็จะมีอะไรๆ น้อมไปตามนั้นของดวงดาว ที่มันอยู่ในลักษณะอย่างนั้น เขาจึงผูกดวง เขาจึงทำนายตามดวงนั้นก็เรื่องของเขา แต่เรื่องของพุทธบริษัท เราไม่รู้ว่าเราจะจัดการที่เหตุเรื่อยไป พูดตัดบทได้เลยว่าดวงมันจะว่าอย่างไรไม่รู้ไม่ชี้ เราก็ต้องทำอย่างนี้เท่านั้นถึงจะดับทุกข์ได้ ฉะนั้นเราจึงไม่ให้เสียเวลา ไปดูหมอว่าโชคดีก็ตาม โชคร้ายก็ตาม ต้องทำอย่างนี้อย่างเดียว คือตัดต้นเหตุแห่งทุกข์ ทำที่มันจะ(นาทีที่33:00) ดับทุกข์ให้ได้ ดังนั้นผมจึงไม่เคยดูหมอกับเขา แม้แต่ดูลายมือก็ไม่เคยไปดู แต่มีคนมาขอดูเอง ผมก็ให้ดู มีคนมาถามเรื่องวันเกิด เดือนเกิดเอาไปผูกดวง ผมไม่ได้ขอให้เขาผูกถึงเขาเอาดวงมาให้ ก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ไอ้เรามีหลักอยู่แล้วว่าดวงจะเป็นอย่างไร แต่ฉันไม่รู้ ไม่รู้ ฉันจะทำแต่อย่างนี้ ฉันจะ ต้องทำแต่อย่างนี้ มันไม่เป็นอย่างอื่นได้ นี่เรามาถือเหตุที่แท้จริง นี่เรามีปัจจัยให้เกิด ปัจจัยให้ทรงอยู่ ปัจจัยให้เจริญงอกงาม มันมีเหตุปัจจัยให้อยู่อย่างนี้ (นาทีที่ 33:55)เราไม่ได้ถือว่าเพราะดวง หรือว่าเพราะดาว หรือว่าอ้อนวอน หรือเพราะพระเจ้า แต่ก็ไม่อยากจะพูดว่าสิ่งเหล่านั้นมี คือมันก็มีไปตามเรื่องที่เขาเชื่อกัน แต่เราไม่ได้ถือเอาเป็นหลัก ที่ (นาทีที่ 34:17)เหตุปัจจัยมันยังมีภายในและภายนอก ไอ้พวกที่ถือเหตุปัจจัยภายนอก เขาก็มีวิธีหรือแบบของเขาอย่างหนึ่ง เขาก็จัดการข้างนอกหลายอย่างหลายประการ เพื่อจะดับทุกข์ของเขา มันเป็นเรื่องข้างนอก หรือจะไปนับถือดวงดาว หรือพระเจ้านั่นก็เป็นเรื่องปัจจัยภายนอก รู้ไว้ว่าเป็นปัจจัยภายนอก ถ้ามันเป็นปัจจัยภายในมันดูเข้าไปข้างใน อะไรเป็นเหตุ จนไปพบกิเลส เป็นเพราะปฏิจจสมุปบาทก็มี ทั้งปัจเจกตา (นาทีที่ 34:57)ก็มี ให้รู้ว่า (นาทีที่34:58)นี่คือปัจจัยอันแท้จริง และเป็นปัจจัยภายใน และเป็นปัจจัยฝ่ายจิตฝ่ายนามธรรม ถ้าเป็นปัจจัยข้างนอก มันมักจะเป็นปัจจัยทางรูปธรรมทั้งนั้น ทางวัตถุธรรม (นาทีที่35:15) คือปัจจัยที่ภายในจะเป็นแต่เรื่องนามธรรม เป็นเรื่องทางจิต คือปัจจัยข้างในก็มีปัจจัยข้างนอกก็มี เรื่องร่างกายนี่เป็นเรื่องข้างนอก ปัจจัยของร่างกายเป็นเรื่องข้างนอก จิตเป็นเรื่องข้างในปัจจัยของจิตเป็นเรื่องภายใน
เอ้า, ทีนี้ก็มาถึงเรื่องปัจจัยที่จะต้องมองดูอีกอันหนึ่งก็คือ ปัจจัยแก่กันและกัน มันเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกัน มันดูจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในทางสังคม ถ้าเราเป็นปัจจัยของกันและกัน สังคมนี้จะอยู่เป็นสุขมากเดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยจะเป็นปัจจัยของกันและกัน เรียกง่ายๆ ว่าเราไม่รักผู้อื่น มันก็ไม่เป็นปัจจัยส่งเสริมแก่กันและกันก็ไม่ดับทุกข์ ถ้าเรายอมรับปัจจัยแก่กันและกัน นับตั้งแต่ภายในร่างกายก็เป็นปัจจัยแก่จิต จิตก็เป็นปัจจัยแก่ร่างกาย (36:30) ด้วยเห็นนั้นมันไม่เป็นฝ่ายเดียว จิตก็สนับสนุนให้กายเป็นไปอย่างถูกต้องต่อไป กายก็สนับสนุนให้จิตอยู่ได้ ทำงานได้ หรือแม่เป็นปัจจัยให้เกิดลูก แล้วลูกก็เป็นปัจจัยให้แม่มีความสุขสบายใจ หรือช่วยเหลือแม่ในยามแก่ยามเฒ่า แม้แต่แม่กับลูกมันก็เป็นปัจจัยแก่กันและกัน ขอให้มันเป็นอย่างนั้น ให้มนุษย์เราจึงมีแต่ความสงบสุข อย่าเห็นแก่ประโยชน์ตนฝ่ายเดียว ให้เห็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เพราะว่าเราต้องเป็นปัจจัยแก่กันและกัน ในเรื่องสังคมมันก็เป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ไม่สังคมกันมันก็อยู่ไม่ได้ ไม่รู้จักสังคมกันมันก็สังคมไม่ได้ (นาทีที่37: 41) คล้ายๆ เรารู้จักเหตุปัจจัยซึ่งจะต้องอาศัยซึ่งกันและกัน
เดี๋ยวนี้กำลังมีปัญหาเพราะปวดหัวกับรัฐบาล คนทำลายต้นไม้กันหมด คนไม่ถือว่าต้นไม้ก็อาศัยคน คนก็อาศัยต้นไม้ ชีวิตมนุษย์ก็ต้องอาศัยต้นไม้ ต้นไม้ก็ต้องอาศัยมนุษย์ที่จะช่วยสร้างสรรค์ ไอ้คนก็ทำลายต้นไม้กันหมดไป (นาทีที่38:13)เดือดร้อน ไม่ยอมรับเหตุปัจจัยแก่กันและกัน นี่พูดพอเป็นตัวอย่าง แต่ถ้าพูดมันไม่ไหวมันมากมายก็ไปดูเอาเองล่ะกัน จะพูดทั้งหมดนี่ก็ไม่ไหวปีหนึ่งก็พูดไม่จบ คุณก็ไปดูเอาเองว่ามันมีปัจจัยอย่างนี้ มีปัจจัยโดยตรง ปัจจัยโดยอ้อม ปัจจัยให้เกิดขึ้น ปัจจัยให้ทรงอยู่ ปัจจัยให้เจริญรุ่งเรือง ปัจจัยข้างใน ปัจจัยข้างนอก และปัจจัยที่ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน รวมแล้วก็เรียกว่าทุกอย่างมีปัจจัย ไม่มีปัจจัยก็ไม่เกิดขึ้นมา หรือเกิดขึ้นมาแล้วก็อยู่ไม่ได้ หรือว่าอยู่ได้ก็ไม่เจริญรุ่งเรือง เรื่องปัจจัยเป็นอย่างนี้
ทีนี้ดูในข้อต่อไปที่ว่าปัจจัยนั้นมันมีเฉพาะเรื่องของมัน ปัจจัยนั้นมีลักษณะเฉพาะเป็นเรื่องๆ เรียกว่ามีปัจจัยเฉพาะของมันเอง เราก็พอมองเห็นแล้วกระมัง มันมีส่วนที่มองเห็นได้อยู่มาก ไอ้ส่วนที่มองเห็นยากก็ไม่เห็น แต่ควรจะดูว่าถ้ามันผิดเรื่องของมัน มันก็จะเป็นปัจจัยของกันและกันไม่ได้ ผิดนิดเดียวมันก็ขัดข้องทันที เหมือนระบบเครื่องยนต์ที่มันเป็นปัจจัยแก่กัน มันเอามาแทนกันไม่ได้ ปัจจัยสำหรับความเป็นมนุษย์ ปัจจัยสำหรับความเป็นสัตว์ มันมาแทนกันไม่ได้ ปัจจัยสำหรับจะเป็นทุกข์ หรือจะเป็นสุขนี่ก็มาแทนกันไม่ได้ (นาทีที่40:23)สำหรับกิเลสมันก็มีปัจจัยของมันโดยเฉพาะ ที่เคยพูดกันมาแล้วในวันก่อนที่ว่า มีอวิชชาหรือเป็นเหตุให้เกิดกิเลสไปตามขั้นตอน แล้วความไม่มีสติในขณะที่ควรจะมีสติ มันก็เกิดอวิชชาอย่างนี้เป็นต้น ในเมื่อประมาทมันก็ต้องให้เกิดกิเลส (นาทีที่41:01)สภาพอวดดีถึงแม้ที่สุดไม่รู้จักความละอาย ไม่รู้จักกลัวอย่างนี้ก็ทำให้เกิดกิเลสได้ มันทำให้ประมาท มันทำให้สะเพร่า มันทำให้ไม่มีสติ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าความทุกข์ มันก็มีปัจจัยเฉพาะของมันเอง คุณยิ่งเรียนก็ยิ่งรู้ เพราะเราพูดกันมามากแล้วว่า ความทุกข์มันมีปัจจัยอย่างไร ที่สรุปสั้นที่สุดมันก็คือความยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นเมื่อใดมันก็มีความทุกข์เมื่อนั้น มันเป็นปัจจัยโดยตรงโดย เฉพาะ ทีนี้ไอ้ความยึดมั่นมันมาจากอะไร มันก็มาจากความอยาก คือตัณหาโง่ๆ ความอยากที่โง่เขลา ความอยากที่โง่เขลา มันก็มาจากเวทนาที่โง่เขลา มาจากการสัมผัสที่โง่เขลา มาจากอวิชชาที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการสัมผัส มันก็มีปัจจัยเฉพาะ เฉพาะของมันอยู่อย่างนี้ นี่เรื่องจิตลึกซึ้งรวดเร็วประณีตละเอียดเข้าใจยาก นี่ก็ไปดูเรื่องทางวัตถุ ที่เขาเป็นช่างเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือเป็นอะไรก็ตามที่เขามองเห็นได้ง่าย เขาจึงสามารถจะจัด ทำให้มันตรงกับเรื่องที่มันต้องการ เขาก็ทำให้มันเกิดขึ้นมาได้ เป็นของใหม่ขึ้นมาได้ เขาจึงมีเรือใบใช้ มียานอวกาศใช้ ไปโลกพระจันทร์ก็ได้ อะไรก็ได้ มันมีปัจจัยเฉพาะของมัน เฉพาะส่วน เฉพาะส่วน นี่เป็นเรื่องโลก เป็นเรื่องวัตถุ ไม่สำคัญเท่าเรื่องภายใน คือเรื่องของจิตใจที่มีความทุกข์ ทำผิดเฉพาะเรื่องนั้นมันก็มีผลอย่างนั้น ทำผิดเฉพาะเรื่องนั้นมันก็จะผลอย่างนั้น ถ้าทำถูกเฉพาะเรื่องนั้น มันก็มีผลอย่างนั้น มันไม่รู้มีเรื่องนับไม่ไหว เพราะว่าความทุกข์ก็มีหลายแบบ ขอให้ไม่ประมาทก็แล้วกัน ความทุกข์แก่บุคคลคนๆ หนึ่งมันก็มีหลายแบบ มีเหตุปัจจัยต่างๆ กัน คือมันมีปัจจัยเฉพาะของมันเอง ไปแก้ที่ปัจจัยที่ไม่ใช่เฉพาะของมันเอง มันแก้ไม่ได้
ที่ผมพูดอยู่ทุกวัน จนเขารำคาญกันทั้งเมืองนี้นะ ที่ว่าเหตุปัจจัยที่ทำให้บ้านเมืองไม่มีความสงบสุข คือความไม่มีศีลธรรม ไม่มีใครมอง มองแต่เศรษฐกิจไม่ดี การเมืองไม่ดี การปกครองไม่ดี อะไรก็ไม่ดีก็ไม่รู้ มันยังขาดอยู่ ไอ้เราบอกว่ามันไม่มีศีลธรรมที่ทำให้ไม่มีความสงบสุข เพราะถ้ามีศีลธรรมแล้ว ถ้าพลเมืองมีศีลธรรมแล้ว อะไรๆ ก็ดีหมด ทางเศรษฐกิจก็ดี ไม่มีใครโกงใคร การปกครองก็ดี เพราะไม่มีใครคอรัปชั่น อะไรก็ดีหมดเมื่อคนมีศีลธรรม มันก็จะเป็นผู้สร้างสันติสุขสันติภาพได้ ถ้ามันไม่มีศีลธรรมต่างคนต่างเห็นแก่ตัว มันก็ไม่มีทางที่จะทำให้เกิดความสงบสุขได้ แต่นั้นก็ยัง ยังไม่มีใครสนใจศีลธรรม มุ่งจะแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยเศรษฐกิจเรื่อย ยิ่งแก้ยิ่งลึก เพราะเศรษฐกิจมันเป็นโอกาสสำหรับโกง ไอ้ความโกงทั้งหลายมันก็อาศัยเศรษฐกิจเป็นพื้นฐาน นี่เรียกว่าไม่มีปัจจัยเฉพาะของมัน คือความมีศีลธรรม สันติภาพจึงจะมีขึ้นในบ้านในเมือง
ทีนี้ก็เข้าใจความมีศีลธรรมผิดกันเสียอีก พูดไม่รู้เรื่อง เข้าใจว่าคนเหล่านั้นคงจะเข้าใจศีลธรรมไปในแง่เด็กอมมือ ศีลธรรมคือต้องมาวัดทั้งเช้าทั้งเย็น สวดมนต์บ่อยๆ นี่มาโบสถ์ทุกวันเลย ถึงจะเรียกว่า ศีลธรรม นี่พูดอย่างเด็กอมมือ ไอ้คำว่า ศีลธรรม คือประพฤติธรรมถูกต้องตามหน้าที่ของตน ของตน ตามหน้าที่ของมนุษย์ มนุษย์มีหน้าที่อย่างไร ก็ขอให้ทำเถอะ นั้นน่ะจะเป็นธรรมะเป็นศีลธรรม มนุษย์มีหน้าที่หากินก็ทำมาหากินสินั่นน่ะศีลธรรม คุณจะทำหน้าที่ของตนนั่นแหละคือผู้มีศีลธรรม ทำบุญ ทำกุศลอยู่ ปฏิบัติธรรมอยู่ ผู้ไม่ทำหน้าที่ของตนคือคนที่ไร้ศีลธรรม เป็นคนบาป เป็นคนพาล คนเลว (นาทีที่46:30)มีหน้าที่ของตนก็ทำ มีหน้าที่หาเลี้ยงชีวิตก็หาเลี้ยงชีวิต มีหน้าที่บริหารกายก็บริหารกาย มีหน้าที่ช่วยเหลือผู้อื่น ก็ช่วยเหลือผู้อื่น ไอ้รากฐานของ ศีลธรรม คือการทำหน้าที่ของตน แล้วก็ขยายออกไปเป็นรักผู้อื่น ร่วมมือกันทำหน้าที่ได้มากขึ้น เมื่อคนทำหน้าที่ของตนก็ไม่มีใครยากจน ถ้าเขายิ่งสนุกในการทำหน้าที่ของตน เพราะเห็นว่ามีศีลธรรมหรือได้บุญ เขาก็สนุกมีความสุขในการทำงาน ไม่ต้องคอยรับความช่วยเหลือจากใคร เพราะเขามีกินมีใช้ของเขาเอง ก็เป็นสุขอยู่ในการงานเพราะว่าเป็นธรรม เขาไม่ต้องไปหาความสุขที่อาบ อบ นวด หรือที่กามารมย์ สถานเริง รมย์อะไรอย่างนั้น ซึ่งมันไม่ใช่ความสุข มันเป็นความสุขที่เผาให้ไหม้ให้เกรียม เป็นความสุขที่ทำให้เงินเดือนไม่พอใช้ แต่ถ้าเรามีความสุขในการงาน ที่เป็นหน้าที่ของมนุษย์นี้มันไม่ไหม้เกรียม มันเย็น แล้วมันทำให้เงิน เดือนเหลือใช้ หรือให้ประโยชน์ที่เหลือใช้ จนเอาไปช่วยผู้อื่นได้ เอาความสุขตามอารมณ์ สุกร้อน ประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการงานไม่พอใช้ ไม่พอกิน เพราะกิเลสตัณหามันมากนัก มันต้องการมากนัก จนเงินไม่พอใช้ อะไรก็ไม่พอใช้ เราจึงเรียกมันว่า สุกร้อน สุก ก.สะกด สุขที่ทำให้เผาไหม้
หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ คำนี้สำคัญจงทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มันคือปฏิบัติธรรม ผมนั่งดูไก่ (นาทีที่48:22) ตอนเช้าก็ออกไปเขี่ยกองขยะ นี่คือการปฏิบัติธรรมของไก่ สูงสุดแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ มันทำหน้าที่ของมันโดยเต็มสมบูรณ์ ไอ้คนจะไม่ขยันเท่าไก่ คอยแต่จะขโมย คอยแต่จะคอร์รัปชั่น ศีลธรรมคือทำหน้าที่ของมนุษย์ ไม่ใช่ว่าเช้ามาวัดเย็นมาวัดมานั่งสวดมนต์ไหว้พระ ทำแบบพิธีอย่างนั้น ที่ไหนก็ตามก็ทำหน้าที่ของมนุษย์ให้สมบูรณ์นั่นแหละคือศีลธรรม เดี๋ยวเงินก็เหลือกินเหลือใช้จะได้ช่วยผู้อื่น ก็เกิดความรักผู้อื่น ทำให้เห็นแก่ผู้อื่น ความสามัคคีอะไรก็เกิดขึ้นมา ที่เขาให้สามัคคีเรียกร้องความสามัคคีเพื่อช่วยชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นี่เป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าคนมันไม่มีศีลธรรม ได้แต่คนที่มีศีลธรรมเท่านั้น ที่มันจะคิดถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะจะทำอะไรเหลือใช้เหลือกินเพื่อจะช่วย เหลือ เพื่อความอยู่ของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นี่คนมีศีลธรรม ไม่งั้นกินหมดใช้หมดเห็นแก่ตัว เรียก ร้องอะไรก็ไม่มาช่วย ไม่มีความสามัคคีในหมู่คนไม่มีศีลธรรม นอกจากจะสามัคคีทำบาปทำความไม่มีศีลธรรม นั้นน่ะคือหากินกันอย่างคดโกงนี่ก็สามัคคีกันไป มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแก่มนุษย์
เราช่วยกันบอกต่อๆไปว่า ศีลธรรมนั้นแหละเหตุปัจจัยเฉพาะของสันติภาพ นอกนั้นไม่มี ถ้าต้องการสันติภาพก็ต้องทำเหตุปัจจัยเฉพาะคือความมีศีลธรรม ทุกคนสนุกในการทำงานทำหน้าที่ของตน ได้ผลมากินใช้แต่พอดีเหลือมาก็ช่วยผู้นี้ นี่เป็นปัจจัยแห่งสันติภาพทุกอย่างมีปัจจัยเฉพาะ มีเหตุปัจจัยเฉพาะของมันเอง จงทำให้ถูกปัจจัยเฉพาะของมันเอง ซึ่งจะปลูกข้าว ปลูกอ้อย ปลูกอะไรก็แล้วแต่ จะปลูกดอกไม้เล่น จะปลูกอะไรก็ตาม มันมีปัจจัยเฉพาะของมันเองทั้งนั้น ทำให้ถูกเถอะแล้วมันก็ได้ผล เราไปศึกษาปัจจัยเฉพาะของเรื่องนั้นๆ ที่เราต้องการ จะทำให้เพียงพอแล้วเราก็ทำได้
เอาทีนี้ก็มาถึงหัวข้อถัดไปอีกที่ว่า ไอ้ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับปัจจัย เหตุปัจจัย และมันต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย มันหยุดอยู่ไม่ได้ ห้ามไม่ได้ มันจะต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ข้อแรกเรามองเห็นว่าทุกอย่างมีเหตุปัจจัย ทุกอย่างมีเหตุปัจจัยเฉพาะของมันเอง แล้วก็เห็นต่อไปว่า ทุกอย่างนั้นต้องไปตามเหตุปัจจัยของมัน เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าเหตุปัจจัยมันแต่งปรุง มันไม่ใช่อยู่นิ่ง ถ้าอยู่นิ่งไม่เรียกว่าเหตุปัจจัย ถ้าเป็นปัจจัยต้องปรุงแต่ง คำว่าปรุงแต่งเรียกว่าสังขาร เรียนศัพท์เรียนธรรมกันบ้างจะบวชทั้งที คำว่า สังขาร นั้นคือปรุงแต่งไม่ ใช่แปลว่าเนื้อหนังร่างกาย (นาทีที่ 52:55)นี้มันก็คือสิ่งปรุงแต่ง หรือว่าวันก่อนบอกทีแล้วว่าสังขาร ๓ ความ หมาย สังขาร คือสิ่งที่ปรุงแต่งสิ่งอื่น สังขาร คือกิริยาอาการที่ปรุงแต่ง สังขาร คือผลที่เกิดจากการปรุงแต่ง ทั้งสามอย่างนี้เรียกว่าสังขารหมดเลย คำเดียวกันนั้นคำว่า สังขาร คำนั้น หมายถึงสิ่งที่ปรุงแต่ง แล้วกิริยาอา การที่มันปรุงแต่ง คือผลจากการปรุงแต่งของมันเรียกว่า สังขาร เช่นร่างกายคนนี้มันคือ ผลจากการปรุงแต่งที่จึงเรียกว่าสังขารได้ นี่ก็ถูกเหมือนกัน สังขารร่างกาย สังขารเป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่ง แล้วกิริยาอาการที่ปรุงแต่งนั้นมันก็ดูอีกก็ต้องทำอย่างไรบ้าง กว่ามันจะเป็นร่างกายอย่างนี้มาได้ ด้วยเหตุปัจจัยอะไรที่ปรุงแต่ง ก็มีอยู่ทั้งภายนอกและภายใน ปรุงแต่งจนเกิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา
คำว่าสังขารนี่ เป็นที่รู้กันไว้ว่าสังขารนี้มันปรุงแต่งมันไม่หยุด มันก็มีการปรุงแต่งแล้วมันก็มีผลของการปรุงแต่ง ทั้งสิ่งทั้งปวงมันมีเหตุมีปัจจัย มันไม่ใช่มันไม่มี มันมีเหตุปรุงแต่ง มันก็ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เราสวดกันทุกวันนี่อย่าลืมว่าอย่าเป็นนกแก้วนกขุนทอง (นาทีที่54:35) ยะถา ปัจจะยัง ปะวัตตะมานัง ที่สวดอยู่ทุกวันนี้นะ ยะถา ปัจจะยัง(นาทีที่ 54:43) ตามเหตุตามปัจจัย ปะวัตตะมานัง(นาทีที่ 54:45)เป็นไปอยู่ สิ่งนั้นเป็นไปอยู่ตามเหตุตามปัจจัย ธาตุมัตตะเมเวตัง (นาทีที่ 54:43-54:56)ตามธรรมชาติเท่านั้น ไอ้จีวรก็ดี ผู้นุ่งห่มจีวรก็ดี (นาทีที่ 55:05) เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติเท่านั้น ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา นั่นน่ะบอกให้รู้ว่าไอ้สังขารทั้งหลายนั้น จะเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เรื่อย หยุดนิ่งไม่ได้ ถ้าจะให้มีภาพพจน์ที่ถูกต้องที่สุด ดังนั้นก็ใช้คำว่าทุกอย่างไหลเรื่อย คุณทำความเข้าใจคำว่าไหลเรื่อย เหมือนกับน้ำมันไหลเรื่อย ทีนี้สังขารทั้งหลายมันไหลเรื่อย ปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงเรื่อย ไหลเรื่อย มีคนพูดมีนักปรัชญาชาวกรีกพูดสมัยโบราณ พร้อมๆ กับสมัยพุทธกาลพูดว่า ทุกอย่างไหลเรื่อย แสดงว่ามันก็เห็นเหมือนกันเห็นความไม่เที่ยง แต่ไม่เห็นอนัตตา เห็นไหลเรื่อยแต่ยังไม่เห็นอนัตตา แม้เราเดี๋ยวนี้ก็ควรจะมีสายตาถึงขณะนั้นว่าทุกอย่างไหล ทุกอย่างในร่างกายของเราก็ไหล ทุกอย่างในก้อนหินก็ไหล ทุกอย่างในต้นไม้ก็ไหล ทุกอย่างในอะไรก็ไหล โลกนี้ทั้งโลกก็คือไหลคือเปลี่ยนคือปรุงแต่ง ไม่มีอะไรที่คงที่อยู่ได้ เป็นสัตตะ(นาทีที่ 56:32) คงที่อยู่ได้ไม่มี มันไปตามเหตุตามปัจจัย ทุกอย่างไปตามเหตุตามปัจจัย กระแสที่ไหลคือกระแสของอิทัปปัจจยตา(นาทีที่ 56:44) ถ้าเห็นก็จะดีมาก ที่มันไหลด้วยความเปลี่ยนไปเรื่อย พระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้มากว่า มันเป็นเรื่องของสังขารที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เรียกว่า อิทัปปัจจยตา(นาทีที่ 57:01) เช่นว่าดิน คุณเห็นว่าเป็นดิน ถ้าคุณเห็นว่าเป็นดินตามหลักนี้ก็เป็นคนโง่ ตามหลักพุทธภาษิตเป็นคนโง่ เห็นดินโดยความเป็นดิน ถ้าเห็นดินโดยเห็นเป็นสังขารที่ไหลเรื่อยคือคนฉลาด น้ำ ลม ไฟนี่ก็เหมือนกัน วัตถุภายนอกก็คือว่ากระแสแห่งอิทัปปัจจยตา(นาทีที่ 57:29) สิ่งที่มันเข้าไปถึงภายในโน้น นี่ก็ทั้งโลกมันไหลเรื่อย จะไม่แยกมันได้ว่าเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นไฟ เป็นลม เป็นอากาศ เป็นต้นไม้ เป็นภูเขา เป็นอะไร(นาทีที่57:45) เหลวไหลทั้งนั้น นี่ที่ว่ามันเป็นเรื่องภายใน ไอ้ความคิดนึกรู้สึกจิตใจก็เหมือนกัน มันเป็นการไหลของสังขาร อย่าไปสำคัญจิตโดยความเป็นจิต สำคัญอะไรโดยความเป็นอะไร เห็นว่ามันเป็นสังขารที่ไหลเรื่อย แม้แต่บุญกุศลก็เถอะ ดูเป็นความไหลเรื่อยก็ใช้ได้ ความทุกข์ก็ไหลเรื่อย ความสุขก็ไหลเรื่อย บาปก็ไหลเรื่อย บุญก็ไหลเรื่อย ไม่มีโอกาสที่จะไปเรียกมันว่าบุญ ว่าบาป ว่าอะไร เห็นเป็นความไหลเรื่อยไป สังขารที่ไหลเรื่อย กระทั่งว่าศีล สมาธิ ปัญญา ฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ(นาทีที่58:34) เรื่อยขึ้นไป ทุกอย่างมันเป็นความไหลเรื่อยของสังขารที่ปรุงแต่ง อย่าไปเห็นว่าเป็นอย่างนั้น นี้คือหลักหัวใจของพุทธศาสนาที่ลึกซึ้งที่สุด คือมันไม่ได้เห็นอะไรว่าเป็นเหมือนที่เขาเรียกกันอยู่ หรือพูดกันอยู่ ไม่สำคัญว่านั่น นี่ ตามที่เขาเรียกกันอยู่ แม้ที่สุด พระนิพพาน ก็ไม่ได้สำคัญว่านิพพานโดยความเป็นนิพพาน เห็นเป็นความสิ้นสุดของการปรุงแต่ง นี่เรียกว่าพูดโดยภาษาธรรมะสูงสุด พูดความจริงสูงสุดก็พูดอย่างนี้แหละ แต่ถ้าพูดภาษาชาวบ้านภาษาสมมติก็พูดสิ หินก็หิน ดินก็ดิน น้ำก็น้ำ ไฟก็ไฟ ลมก็ลม อะไรก็อย่างนั้นตามที่เราพูดกัน แต่ผู้ที่รู้ความจริงแล้วปากเขาพูดอย่างนั้นจริง แต่ใจเขาไม่ได้ยึดถือไปอย่างนั้น ถ้าพูดว่าดิน มันก็เห็นความไหลเรื่อยปรุงแต่งของสังขาร ชาวบ้านเขาสมมติเรียกกันว่าดิน เขาพูดกับเขา เราก็เรียกว่าดิน เราก็ยังพูดว่าดิน น้ำ ไฟ ลม สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ต้นไม้ ต้นไร่ ภูเขา บุญ บาป อะไรก็ตามว่าไป ล้วนแต่ยึดถือของคนไม่รู้ คนไม่รู้ยึดถือ สมมติเรียกอย่างนั้นด้วยการยึดถือ แต่ผู้ที่เห็นความจริงตามพุทธศาสนาแล้ว เขาจะไม่ยึดถือ เขาจะเห็นว่าอันนั้นเป็นเพียงสังขารที่ไหลเรื่อย แม้แต่บุญ แม้แต่บาป
มีเรื่องน่าหัวที่เขากำลังเถียงกันอยู่ตอนนี้ว่าให้กินผักอยากกินเนื้อ ให้กินเนื้ออยากกินผัก ฉะนั้นมันไม่รู้ว่าเนื้อก็ไม่มี ผักก็ไม่มี ตามคำพูดคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่มีใครกินเนื้อ ไม่มีใครกินผัก เพราะสิ่งที่เรียกว่าเนื้อว่าผักมันสมมติ เป็น (นาทีที่ 1:00:46)สิ่งสังขารที่ไหลเรื่อยกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เรียกกันว่าผักก็ผัก เรียกกันว่าเนื้อก็เนื้อ นี่มันเห็นตื้น มันเลยเห็นกันได้ เพราะการเห็นตื้นๆ มากกว่านั้นมันก็ทะเลาะกันได้ เพราะความ เห็นไม่ตรงกัน แต่ถ้าให้เห็นลึกก็จะเห็นสังขารที่ไหลเรื่อย ไม่ต้องมีอะไรที่เถียงกัน รู้ว่าอย่างไหนที่เป็นโทษ เป็นทุกข์อย่าเอากับมัน อย่างไหนไม่เป็นโทษไม่เป็นทุกข์ ก็ทำมัน มีมัน ใช้มัน เป็นประโยชน์แล้วกัน รู้อย่างนี้ถูกที่สุด ที่มันเป็นทุกข์เป็นโทษอย่าไปทำมัน ที่มันไม่เป็นทุกข์เป็นโทษอยู่สบายๆ (นาทีที่1:01:32) แต่ไม่หมายมั่นโดยความเป็นนั้นเป็นนี้ แม้แต่เงินทองข้าวของทรัพย์สมบัติ ช้าง ม้า วัว ควาย บ้านเรือน ไร่นา ภรรยา สามี พูดได้แต่ใจอย่าไปยึดมั่นอย่างนั้น มันจะโง่ แล้วมันจะเป็นทุกข์ เพราะสิ่งเหล่านั้นจะกัดเอาเพราะความยึดถือ นี่เรียกว่าทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามปัจจัย ไม่ว่าอะไร
พระนิพพานไม่ต้องเป็นไปตามปัจจัย แต่ก็เป็นจุดจบของปัจจัยของการปรุงแต่งของปัจจัย เรียกว่ายังเกี่ยวข้องกันอยู่ของในวงของปัจจัย เป็นที่จบของปัจจัย ของสังขาร ทีนี้ก็ต้องแก้ไข พูดถึงการแก้ไขเมื่อมีกฎตายตัว มีปัจจัยเฉพาะ เป็นไปตามปัจจัย และการแก้ไขสิ่งต่างๆ จงแก้ไขที่ปัจจัยให้ถูกต้อง ตามที่เป็นจริง องค์การแก้ไขโลกต่างๆ แก้ไขไม่ถูกตามที่เป็นจริง จึงไม่ประสบความสำเร็จ มันคล้ายๆ กับทำเหมือนเครื่อง จักรเสียมากกว่า ไอ้การที่จะทำให้โลกนั้นมีสันติภาพ มันไม่ถูกเหตุปัจจัยอันแท้จริง มันเหมือนกับสันติภาพ เป็นเรื่องหลับตาทำ ไม่ถูกปัจจัยของสันติภาพ ถ้าเรามีความรู้เรื่องนี้เพียงพอ เราก็คงแก้ไขได้ เช่นว่าไอ้ความไม่มีศีลธรรมคือเหตุแห่งวิกฤตกาลของโลก ถ้ามีศีลธรรมเสีย มันก็ไม่มีวิกฤตกาลของโลก เพราะการที่แก้โดยไม่รู้จักเหตุปัจจัยอันแท้จริงเฉพาะของมัน มันก็ไม่สำเร็จได้ ผมต่อให้สิบคาร์ล มาร์กซ ก็แก้ไม่สำเร็จ แต่นายมาร์กซเขาที่ตั้งลัทธิเผยแพร่ทุกข์ยากของมนุษย์ มันแก้ได้ไม่สำเร็จเพราะเหตุปัจจัยมันไม่ได้อยู่ที่นั่น เหตุปัจจัยคือความไม่มีศีลธรรมของมนุษย์ หรือนายทุนมันเกิดขึ้นก็เพราะความไม่มีศีลธรรมของคนๆ นั้น จะไปแก้คน จะไปบีบบังคับคน จะไปทำอะไรกับการงานนั้นมันไม่ถูกปัจจัยอันแท้จริง
ถ้าเรามองปัจจัยอันแท้จริงคือทำคนให้มีศีลธรรม ชักชวนคนให้มีศีลธรรม มันก็แก้ปัญหาเหล่านี้หมดไป มันไม่มีนายทุนที่ขูดรีดชนกรรมาชีพ มีแต่เพื่อนมนุษย์ที่เมตตาอารีย์ นี้ก็แก้ไขได้ แต่เขาไม่ได้ เขาก็ต้องทำตามแบบของเขา อย่างไงก็ต้องฆ่ากันให้หมดโลก ฆ่าพวกนายทุนให้หมดโลก นี้คือวิธีแก้ของเขา อย่างนี้มันยิ่งไกลจากเหตุปัจจัย เพราะนั่นมันไม่ใช่เหตุปัจจัย เหตุปัจจัยมันอยู่ที่มนุษย์ไม่มีศีลธรรม พวกนักศึกษาที่เข้าป่ากลับมาเสียดีกว่า มันไม่ตรงกับเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยมันอยู่ที่ความไม่มีศีลธรรมของคนกำมือหนึ่งมาทำแนวร่วมช่วยกัน ให้พลเมืองมีศีลธรรมมันจะสำเร็จ เป็นสันติภาพ ไปทำอะไรอยู่ในป่ามันไม่มีประโยชน์ เพราะมันไม่ถูกกับเหตุปัจจัยโดยตรงของมัน นี่เรากำลังพูดให้ทุกคนว่าศีลธรรมต้องกลับมา ผมพูดเหมือนกับจะเป็นบ้า ๓๖ ครั้งว่า ศีลธรรมต้องกลับมามันไม่ใช่ฟังสองสามคน ได้ยินพูดกันอยู่บ้าง เรื่องศีลธรรมจำเป็นต่อเหตุปัจจัยอันแท้จริง ที่จะทำให้โลกมีสันติ ภาพ รายการวิทยุเมื่อเช้ารายการหนึ่ง เขาเอาไปพูดต่อว่าเขาเห็นด้วยให้ศีลธรรมกลับมา ให้มนุษย์มีศีลธรรม ทำอย่างนั้นแล้วจะมีสันติภาพ จะไปใช้อาวุธ ไปใช้กำลังอย่างใดอย่างหนึ่ง จัดการกับคนนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ จะไปบังคับกันด้วยอำนาจ ด้วยอาวุธ จะทำให้ดีๆ กว่านั้นโดยไม่ต้องฆ่าไม่ต้องแกงกัน ชวนกันให้มีศีลธรรม สร้างโลกให้มีสันติภาพ นี้เรารู้ไว้ด้วยว่าไอ้ปัจจัยแห่งสันติสุขโดยเฉพาะของโลก หรือสันติภาพนั้นมันคือ ความที่ทุกคนมันเป็นมนุษย์ที่มีศีลธรรม เดี๋ยวนี้การศึกษามันก็ไม่ได้สร้างคนที่มีศีลธรรมเสียแล้ว มันน่าเศร้า มันสร้างแต่คนเห็นแก่ตัว การศึกษาที่เขาจัดกันอยู่ในโลกทุกประเทศทั้งโลก มันทำให้คนฉลาดแล้วเพื่อให้เห็นแก่ตัว ก็เรียนหนังสือก็ฉลาด ก็ทำอาชีพก็เพื่อหาประโยชน์ ไม่มีธรรมะ ก็เห็นแก่ตัว ก็กอบโกยประโยชน์ ความเห็นแก่ตัว มันก็ฆ่าแกงกันไม่มีที่สิ้นสุด
ทีแล้วมาผมว่าองค์การสหประชาติเป็นท้าวมาลีวราชที่ทำงานไม่สำเร็จ ทำได้เพียงจับปูใส่กระด้ง จับปูใส่กระด้ง นั่นจับปูใส่กระด้ง มันไม่มีเหตุสันติภาพเกิดขึ้นมาในโลกได้ เพราะเขาไม่หยิบปัจจัยโดยเฉพาะของเรื่องขึ้นมาแก้ไข คือทำให้คนมีศีลธรรม ไม่ต้องมานั่งจับปูใส่กระด้ง ทีนี้เป็นตัวอย่างไม่ใช่จะพูดอะไรมาก กระทบกระทั่งใครคอยเอาไปเป็นตัวอย่าง คอยคำนวณดูว่ามันมีปัจจัยเฉพาะของมันทุกเรื่อง ดังนั้นคอยแก้ ปัญหาให้ตรงกับปัจจัยเฉพาะของมันทุกเรื่อง แล้วมันจะแก้ปัญหาได้ นับตั้งแต่วัตถุที่เห็นด้วยตา ถ้าเรามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็รีบสอดส่องหาต้นเหตุปัจจัยโดยเฉพาะของมัน แล้วแก้ที่นั่น มันจึงสำเร็จ เจ็บตาก็ต้องเอายาตามาหยอด ถ้าเอายาใส่แผลไปหยอดมันคงตาบอดแน่ นี่เรียกว่ามันควรจะเป็นตัวอย่างง่ายๆ เรามีปัญหาอะไร รีบค้นหาให้เห็นปัจจัยเฉพาะของสิ่งนั้น แล้วแก้ที่สิ่งนั้น
ขอวกไปเรื่องว่าถ้ามันเกิดจากความโง่เง่าของปุถุชน ก็กำจัดความโง่เง่าของปุถุชนเสีย เลิกเป็นปุถุชนเสีย เป็นอริยบุคคลกันเสียบ้าง ก็แก้ปัญหาได้ งั้นมาบวชนี้อย่างน้อยก็ขอให้รู้หัวใจของพุทธศาสนา ซึ่งพระ องค์ทรงบัญญัติหลักของการเป็นไปตามเหตุและปัจจัย จนพุทธศาสนาได้นามว่าศาสนาแห่งเหตุและปัจจัย ฉะนั้นต่อไปนี้เราก็คงทำอะไรให้ถูกต้องตามหลักของพุทธศาสนา อย่าให้เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และได้พบพระพุทธศาสนา แล้วได้มาบวชด้วย ยังทำอะไรไม่ตรงกับเรื่องนั้นๆ มันก็น่าเศร้า น่าสงสาร น่าอะไรหลายๆอย่าง ดังนั้นก็อย่าเสียทีที่เราได้บวช และที่เรามานั่งพูดกัน แล้วมาพูดกันในที่สำคัญเสียด้วยนะ แผ่นดินนี้ผมถือว่าสำคัญที่สุด แผ่นดินนี้เป็นที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน นิพพานกลางดิน ให้ถือว่าดินนี้เป็นที่สูงสุดสำหรับพวกพุทธบริษัท เป็นที่เกิดที่ตายของพระพุทธเจ้า มานั่งกลางดิน เดี๋ยวนี้ พูดกันนี้ขอให้ถือว่านั่งอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ขออย่าให้เป็นหมันเลย การพูดจานี้ขออย่าได้เป็นหมันเลย ให้มันเป็นแสงสว่างแก้ปัญหาได้ ที่พูดวันนี้เรื่องนี้ก็สมควรแก่เวลา ขอย้ำว่า จำไปให้แม่นยำว่าทุกอย่างมีปัจจัยเฉพาะของมัน ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามปัจจัย จงกระทำกับมันให้ถูก ต้องตามกฎแห่งเหตุและปัจจัย ก็จะบรรลุจุดหมายปลายทางคือ ที่สุดแห่งความทุกข์ ขอยุติคำบรรยายวันนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้