แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ผู้ดำเนินการอภิปราย : ปัญหาถามคุณวินัยอีกแล้วครับว่า เพราะอะไรอิรักกับอิหร่านซึ่งนับถือศาสนาอิสลามเหมือนกันจึงรบกัน
ผู้ตอบ (คุณวินัย) : นี่ก็ไม่ใช่ นี่เห็นไหม เห็นแล้วว่าศาสนานั้นมันไม่เกี่ยวข้องกับการรบ แต่มันเป็นไอ้ตัวกำหนดยุยงนี่ ไอ้ตัวกิเลส พอมันขึ้นที่ไหน แขกกับแขกด้วยกันแล้วก็ซัดกันได้ ครับ มันไม่เกี่ยวกับศาสนา มันเป็นเกี่ยวกับไอ้ตัวกิเลส แล้วถ้าหากว่าท่านไปมองดูพื้นฐานของอิรักกับอิหร่านนั่น เล่ากันยาว คืนนี้ก็ไม่จบ ใช่ไหม ไม่จบหรอก เพราะว่ามันมีความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ขบวนการซาตานที่ผมได้พูดเอาไว้ตั้งแต่ตอนต้นพยายามจะไปทิ้งเอาไว้ ทำให้เกิดความขัดแย้งนอกจากระบบพื้นฐานนะ ตั้งแต่พื้นฐานแรกเลยนะครับว่า ความขัดแย้งทางด้านพื้นฐานของในสิ่ง เอ่อ ในอะไร ในตะวันออกกลางนั้น คือการที่ประเทศมุสลิมต่างๆ ที่เพิ่งฟื้นตัวขึ้นมา แล้วก็อยู่ในฐานะย่ำแย่ ไม่มีพลังการผลิตเป็นของตนเอง ไม่มีความสามารถที่จะผลิตอาวุธ การสร้างความขัดแย้งในระยะแรกให้แก่ตะวันออกกลางนั้นคือทำอย่างไรครับ คือการที่อเมริกากับรัสเซียเข้าไปมีบทบาท ทำไมละไม่ให้อเมริกาเข้าไปประเทศเดียว ทำไมไม่ให้รัสเซียเข้าไปประเทศเดียว เพราะถ้าเข้าไปประเทศใดประเทศหนึ่งมันไม่มีความแย้ง ความขัดแย้งพื้นฐาน เพราะฉะนั้นอเมริกากับรัสเซียต้องมาเดินหมากรุกกันเอง สร้างยี่เกทั้งๆที่เป็นเพื่อนกัน ใช่ไหม สร้างยี่เก ขึ้นมาแล้วก็ไปสร้างความขัดแย้งพื้นฐาน ประเทศต่างๆเหล่านั้นซึ่งผลิตอาวุธไม่เป็นก็จะต้องมาหาอเมริกาบ้าง แล้วก็จะต้องมาหารัสเซียบ้าง ความขัดแย้งพื้นฐานเกิดขึ้นแล้ว นอกเหนือไปจากนั้น ยังมีการยุยง ให้เกิดลักษณะของการปฏิวัติทางความคิดจากระบอบกษัตริย์มาเป็นระบอบประธา ประธานาธิบดี นี่ก็เป็นลักษณะของความขัดแย้ง นอกเหนือไปจากนั้น ยังยุยงให้เกิดความขัดแย้งในเรื่องของนิกาย ระหว่างนิกายซุนนีย์กับนิกายชีอะห์หรือชีอิห์ ลักษณะของการที่จุดระเบิดมันขึ้นมาอย่างนี้ มันเป็นขบวนการที่ต้องการจะให้อาหรับต่ออาหรับรบกันเท่านั้นเอง เพื่อที่จะได้ทำอะไรครับ ทำให้เกิดลักษณะของความอ่อนเปลี้ย เมื่ออ่อนเปลี้ยกันขึ้นมาแล้วมหาอำนาจนี้จะเข้าไปยึดครอง ครับ เข้าไปยึดครอง เมื่อเข้าไปยึดครองแล้วผลประโยชน์มหาศาลนั้นก็จะต้องมาแบ่งปันกัน เป็นลักษณะซึ่งที่เคยกระทำมาที่อินโดจีน รัสเซียกับอเมริกาทำกันที่ อินโดจีนแล้วก็ที่อื่นหลายๆประเทศ ซึ่งก็จะต้องเกิดเหตุการณ์อย่างนี้นะกันอยู่ตลอดไป เพราะฉะนั้นปัญหาอิรักกับอิหร่านนี้มันไม่ใช่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในตัวภายใน แต่เกิดปัญหาที่มาจากความกดเก็บอันเป็นระยะเวลานาน ที่มีซาตานพยายามที่จะขุดคุ้ยกันขึ้นมา เพราะฉะนั้นในเมื่อต่างฝ่ายต่างขุดคุ้ยกิเลสกันขึ้นมาด้วยกันนี่ ไม่ ไม่นับไม่ ไม่ ไม่ถือกันแล้วว่าใครเป็นใครหน้ามืดขึ้นมามันซัดกันแหลก เพราะฉะนั้นเรื่องนี้อย่าไปโทษว่านับถือศาสนาต่างกัน เรามองไปดูในสมัยที่เรารบกันกับพม่า นับถือศาสนาเหมือนกัน ศาสนาพุทธเหมือนกันนั่นแหละ แต่ทำไมรบกันได้ เพราะกิเลสครับ เพราะฉะนั้นตัวกิเลสนี่เป็นตัวร้าย ต้องเผาสิ้นให้ซากไปจากแผ่นดินแล้วก็เมื่อนั้นแหละครับโลกจะสงบสุขครับ ครับ
ผู้ดำเนินการอภิปราย : ปัญหาต่อไป จะทำอย่างไรให้เด็กเข้าใจศาสนา ขอเชิญคุณครูผู้แทนพราหมณ์ครับ จะทำอย่างไรให้เด็กเข้าใจศาสนา
ผู้ตอบ (คุณครูผู้แทนพราหมณ์) : ก็ต้องสอนไปตั้งแต่เด็กๆนะครับ ก็สอนตั้งแต่อนุบาลเลย ขั้นแรกก็อาจารย์ครับ อาจารย์ที่บ้าน คุณพ่อคุณแม่สอนก่อน สำหรับที่โรงเรียนผมนะ ถ้าวันศุกร์นะครับ เป็นวันสุดสัปดาห์ ผมจะพานักเรียนขึ้นไปที่เทพมนเฑียร ไปสวดมนต์ สวดไม่ ไม่ได้สวดพราหมณ์นะครับ สวดพุทธนี่ อิติปิโส ภควา นี่ละครับ บนนั้นนะ ก็บนนั้นมีทั้ง อ่า เทวรูป พระพุทธรูป ก็โรงเรียนนับถือทั้งพุทธและทั้งพราหมณ์ ผมเองนับถือพุทธแต่ว่าเป็นพุทธพราหมณ์ คือนับถือเทพเจ้าด้วยและนับถือพระพุทธเจ้าด้วย ก็ได้ผลดีครับ เวลาเด็กขึ้นไปข้างบนก็สวดมนต์ หลังจากสวดมนต์เสร็จแล้วเราก็อบรม ให้เด็กอยู่ ในศีลในธรรม แล้วก็แต่ละเดือนนี่ผมนิมนต์พระ พระนะเป็น พอดีพระเป็นลูกศิษย์ผมอยู่ เป็นศิษย์เก่า ท่านสนใจทางเรื่องศีลธรรมพอสมควร ก็ไปอบรม หลังจากอบรม คือแบบปาฐกถานะ ไม่ต้องให้เด็กพนมมือ ไม่ต้องอะไร พออบรมเสร็จเรียบร้อยก็มีแผ่เมตตาจิต พอแผ่เมตตาจิตเสร็จแล้วก็ให้นั่งวิปัสสนาหรือ นั่งสมถะสัก ๕ นาที ที่นั่งสงบ ทำใจสงบ รู้ รู้สึกได้ผลดีครับอันนี้ ถ้าสนใจก็กรุณาลองดูบ้าง กับที่บ้านผมว่าก็เริ่มตั้งแต่เล็กๆไปเลยครับ เด็กจะได้สนใจศาสนา คุณพ่อคุณแม่สำคัญเพราะคุณแม่นี่เป็น เขาเรียกว่า ครูคนแรกของเด็กๆ ดังนั้นก็ขอให้คุณพ่อคุณแม่นี่ อบรมที่บ้านของท่านนะ อบรมเสียก่อน แล้วครูนะ ชั้นหลัง อบรมทีหลัง แล้วต่อไปข้างหน้าก็ทั้งบ้านและโรงเรียนนี่นะครับต้องมาคอยประสานกันให้ดี ช่วยกันสนับสนุนให้เด็กสนใจในศาสนา คำว่าสนใจนี่ไม่ใช่ว่าเฉพาะทฤษฎีนะ ภาคปฏิบัติด้วย ถ้าวันอาทิตย์ วันอะไร วัดใกล้ๆบ้านเขามีฟังเทศน์มีทำบุญอะไรก็ควรจะแนะนำให้บุตรหลานของท่านไปวัด ถ้าเป็นศาสนาคริสต์ก็ไปโบสถ์ เอ่อ ถ้าเป็นศาสนาอิสลามก็ในวันศุกร์ก็ควรจะส่งให้ไปมัสยิด ผมว่าอันนี้นะครับ จะเป็นการส่งเสริมให้เด็กๆสนใจในศาสนา ขอบคุณมากครับ
ผู้ดำเนินการอภิปราย : ท่านอาจารย์วรศักดิ์ ศาสนาเป็นสิ่งที่ดีงามที่ช่วยให้มนุษย์มีสันติสุข แต่ทำไมมนุษย์ในสังคมจึงต้องทนทุกข์ทรมานตั้งแต่อดีตจนกระทั่งในปัจจุบันนี้
ผู้ตอบ (ท่านอาจารย์วรศักดิ์) : เพราะไม่ถือศาสนา
ผู้ดำเนินการอภิปราย : ต้องการทราบวิธีให้คนปฏิบัติตามหลักธรรมในศาสนา
ผู้ตอบ (ท่านอาจารย์วรศักดิ์) : ปัญหาข้อสองอะไรนะ
ผู้ดำเนินการอภิปราย : ต้องการทราบวิธีการให้คนปฏิบัติธรรมตาม ปฏิบัติตามหลักธรรมในศาสนา
ผู้ตอบ (ท่านอาจารย์วรศักดิ์) : จะหาวิธีอย่างไรใช่ไหม เขาก็ต้องการทราบวิธี อ่านอีกทีสิ
ผู้ดำเนินการอภิปราย : ต้องการทราบวิธีการให้คนปฏิบัติตามหลักธรรมในศาสนา
ผู้ตอบ (ท่านอาจารย์วรศักดิ์) : ต้องการทราบวิธีการให้คนปฏิบัติหลักธรรมในทางศาสนา ว่าจะมีวิธีการอย่างไรให้คนปฏิบัติหลักธรรมทางศาสนาอย่างนั้น ใช่ไหม
ผู้ดำเนินการอภิปราย : ปฏิบัติตามหลักธรรม
ผู้ตอบ (ท่านอาจารย์วรศักดิ์) : อ๋อ อ๋อ มัน ในศาสนาแต่ละศาสนานั้นเขามีวิธีของเขา ศาสนาคริสต์เขาก็ให้ศรัทธา ศาสนาพุทธนี่ก็ให้ ให้เห็นความทุกข์ ให้รู้ว่าเราเป็นทุกข์นี่ ทีนี้เราไม่รู้ว่า เรากำลังเป็นทุกข์ ไอ้จุดสำคัญตรงนี้คือคนไม่รู้ว่าเรากำลังเป็นทุกข์ทั้งๆที่ตัวเองเป็นทุกข์อยู่ ฉะนั้นเมื่อไม่รู้ว่าเรากำลังเป็นทุกข์อยู่นี่ การดับทุกข์มันก็มีไม่ได้ พระพุทธเจ้าในทางพุทธศาสนาท่านให้รู้ความที่เรา เป็นทุกข์ คือเรามีปัญหา นี่เราไม่รู้ว่าเรากำลังเป็นทุกข์ ไม่รู้จักกิเลส ไม่รู้จักโทษของกิเลส ไม่รู้จักความทุกข์ ให้รู้ตัวนี้กันเสียก่อน นี้เมื่อคนไม่รู้จักว่าตัวความทุกข์หรือว่าตัวเองกำลังเป็นทุกข์นี่ เราไปพูดธรรมะให้ฟัง เขาก็ฟังเป็นแต่เพียงความรู้เท่านั้น มัน มันก็ มันต้องอาศัยหลักเกณฑ์ ศาสนาเขามี ศาสนาคริสต์เขา ก็ให้เชื่อ พุทธเขาก็ให้เห็นด้วยปัญญา ศาสนาอิสลามเขาก็ให้มีทำมากๆ อะไรตามหลักเกณฑ์ศาสนาเขาก็มีอยู่แล้ว
ผู้ดำเนินการอภิปราย : ข้อ ๓ สังคมเดือดร้อนเพราะคนไม่สนใจศาสนามากดขี่คนที่มีศาสนา ทำอย่างไรจึงจะแก้ให้คนมีศาสนา
ผู้ตอบ (ท่านอาจารย์วรศักดิ์) : ไอ้คน ถ้ามีศาสนาจริงนะจะเข้มแข็งคนอื่นมากดขี่ไม่ได้หรอก ใช่ไหม อีกที อ่านอีกทีสิ อ่านปัญหาอีกทีสิ
ผู้ดำเนินการอภิปราย : สังคมเดือดร้อนเพราะคนไม่สนใจศาสนามากดขี่คนที่มีศาสนา
ผู้ตอบ (ท่านอาจารย์วรศักดิ์) : หยุดตรงนี้ก่อน สังคมเดือดร้อนเพราะคนที่ไม่มีศาสนามากดขี่ คนที่มีศาสนา
ผู้ดำเนินการอภิปราย : ครับ ทำอย่างไรจึงจะแก้ไข
ผู้ตอบ (ท่านอาจารย์วรศักดิ์) : เดี๋ยวๆ ถ้าคนมีศาสนาจริงนะจะเข้มแข็ง ขอให้มีจริงๆเถอะ แล้วคนที่ไม่มีศาสนาจะมากดขี่ไม่ได้ เพราะธรรมย่อมชนะอธรรม นี่เราไม่มีจริงไม่มีศาสนาจริงต่างหาก คนอื่นถึงมากดขี่ได้
ผู้ดำเนินการอภิปราย : ครับ
ผู้ตอบ (ท่านอาจารย์วรศักดิ์) : ว่าแต่ปากต่างหาก ก็ถือศาสนาแต่ปากต่างหาก ต่อไป
ผู้ดำเนินการอภิปราย : พระอัลเลาะห์กับพระอรหันต์จะมีความเหมือนกันไหมครับ
ผู้ตอบ (ท่านอาจารย์วรศักดิ์) : อันนี้มัน มันคนละอย่างแล้ว อัลเลาะห์ก็หมายถึงตัวพระเจ้า หมายถึง หมายถึง หมายถึงตัวพระเจ้า ทีนี้ถ้าอรหันต์จะเหมือนอัลเลาะห์มันก็ได้ด้วยความหมายหนึ่ง ถ้าในทางพุทธศาสนา อรหันต์คือผู้เข้าถึงธรรม เข้าถึงอัลเลาะห์นี่มัน แต่มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เพราะ อัลเลาะห์นั่นก็หมายถึงตัวพระเจ้าซึ่งเป็น เป็นทั้งหมด พระเจ้านี่ พูดยังไงก็พูด พูดไม่ถูก มันเป็นอย่างนั้นเอง ไอ้ตัวความเป็นอย่างนั้นเอง ทีนี้ถ้าพระอรหันต์จะเป็นอัลเลาะห์หรือจะเป็นพระเจ้า ในความหมายของเราว่าพระอรหันต์คือผู้ที่สิ้นกิเลส มันก็เป็นส่วนหนึ่ง ส่วนที่ว่าอรหันต์นั้นคือผู้เข้าถึงธรรม เข้าถึงภาวะเดียวกับที่ภาวะแห่งความเป็นแห่งความว่างหรือความเป็นเช่นนั้น แต่ว่ามันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
ผู้ตอบ (ท่านพุทธทาส) : ต้องขอให้คุณวินัยตอบด้วย
ผู้ตอบ (คุณวินัย) : ครับ ขอบคุณมาก
ผู้ตอบ (ท่านพุทธทาส) : คุณวินัยจะช่วยตอบด้วย
ผู้ตอบ (คุณวินัย) : เอ่อ ก็ท่านพระคุณเจ้าได้บอกไว้แล้วนั่นแหละครับ คือสิ่งที่ผมขอยืนยัน กล่าวคือคำว่าอรหันต์นั้นก็หมายความไปถึงบุคคล ตัวบุคคลคนหนึ่งที่สามารถชำระจิตใจให้มันสะอาด หมดจดบรรลุถึงธรรมอย่างที่ว่า ส่วนอัลเลาะห์นั้นเป็นนามของพระผู้เป็นเจ้าอย่างที่ท่านอาจารย์พุทธทาสแล้วก็ท่านบาทหลวงยอนห์ ตลอดจนกระทั่งท่านอาจารย์ได้พูดเอาไว้ คือในความหมายที่เราไม่สามารถ ที่จะมาใช้ปัญญาอันน้อยๆของเรานี่อธิบายให้เข้าใจในความยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นด้วยประการทั้งปวง ที่จะต้องไปซักถามว่า พระเจ้าเป็นอย่างนั้น พระเจ้าเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เป็นเสียจนกระทั่งไม่มีพระเจ้าเอาไปเลยนะครับ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องเชื่อว่ามีพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เกินกว่าสติปัญญาน้อยๆของเราจะไปอธิบายพระองค์ได้
ผู้ดำเนินการอภิปราย : ครับ ขอบคุณครับ ต่อไปก็ขอเชิญคุณวินัยอีกครั้งครับ ปัญหาว่าแนวทางที่ชาวอิสลามจะปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือสังคมนั้น มีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้คนพ้นจากความจน
ผู้ตอบ (คุณวินัย) : ให้พ้นจากความจน ใครรวยก็เอาไปแบ่งเขาครับ ครับ แล้วคนจนขยันขึ้นรับรองว่าพ้น ในเวลานี้ปัญหาเกิดขึ้นก็เพราะว่าพอรู้ตัวว่าจนแล้วก็ขี้เกียจ พอรู้ตัวว่ารวยแล้วก็ขี้เหนียว ครับ สองอย่างนี้มันไม่มีทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ก็คือท่าน ท่านผู้ดำเนินการบอกว่าตอบรวบรัด ก็พยายามจะรวบรัดก็คิดว่าคงจะเข้าใจกันดีนะครับ คือจะตอบในทางวิชาการมันจะมากเกินไปนะ
ผู้ดำเนินการอภิปราย : ขอบคุณครับ ขอถามคุณครูผู้แทนพราหมณ์ครับ การทำศพทำไมจึงทำไม่เหมือนกันระหว่างคนจนและคนรวย
ผู้ตอบ (คุณครูผู้แทนพราหมณ์) : อันนี้มันขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจ ใครมีเงินมากก็หมดมาก ใครมีเงินน้อยก็หมดน้อย แล้วก็คนไทยเรานี่มีอยู่อย่างบางครั้งจมไม่ลง คือเห็นเพื่อนๆข้างบ้านเขาทำกันใหญ่โต มีโขนมีหนัง ก็แบบเห็นช้างขี้ขี้ตามช้างแหละครับ ก้นก็จะฉีกเอาแหละ เขาหมดกันเป็นหมื่นเป็นแสน เราไม่มีก็เรือกสวนไร่นา ไร่นามีก็ไปจำนำจำนองมา เผาพ่อเผาแม่ จะได้ชื่อว่านั่นไง บ้านเขาเผาพ่อเผาแม่ แหมทั้งโขนทั้งหนังทั้งลิเก ประชันกันสนุกเหลือเกิน ดีจริงๆ อันนี้แหละครับ ก็มันเป็นอย่างนี้แหละครับ ดังนั้นคนจนถ้าพยายามเจียมเนื้อเจียมตัวหน่อย เสียกันน้อยหน่อย บังสกุลก็ไม่ต้องมากนัก พอสมควร เพราะพระท่านไม่ว่าหรอก ถวายน้อยๆนะ ก็พยายามทำกันน้อยหน่อย มันก็ประหยัดได้ แต่นี้มันเป็น มันเป็นอย่างนั้นแหละครับ ถ้ามีสตางค์ก็ทำมากหน่อย หรือว่าถ้าไม่มีก็พยายามไปกู้หนี้ยืมสินเขามา ทำให้มันมากๆ จนกระทั่งบางทีหนี้สินล้นพ้นตัวจนกระทั่งหมด เรือกสวนไร่นาก็หมดไป เพราะความไอ้แข่ง แข่งกันนะครับ เห็นช้างขี้ขี้ตามช้าง เห็นจะมีเท่านี้แหละครับ ขอบคุณนะ
ผู้ดำเนินการอภิปราย : มีปัญหาถามคุณวินัยอีกครับ วัตถุนิยมกับนิยมวัตถุเหมือนกันหรือต่างกัน ผมทราบว่าในประเทศสังคมนิยมเขาใช้ปัญญาวัตถุนิยม คนเขาก็ไม่หลงใหลในวัตถุ และเศรษฐกิจก็ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบกดขี่ขูดรีดกัน ปัญหาคนผิดศีลธรรมก็น้อยกว่าประเทศที่มีศาสนาบางประเทศเสียอีก
ผู้ตอบ (คุณวินัย) : ครับ เป็นความจริงเพราะเรารู้อย่างนั้น เพราะว่าข่าวในสังคมนิยมนั้นมักจะ มีการปิดกันอยู่ตลอดเวลา มันเป็นไปไม่ได้ที่ว่าคนเจ็ดแปดร้อยล้านของจีนแดงนั้นจะไม่มีคดีอาชญากรรม มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ว่าคนเจ็ดแปดร้อยล้านมันจะอยู่กันโดยที่ว่าไม่มีการฉุดคร่าอนาจารอะไรทำนองนี้ แต่ว่าเราไม่รู้ เพราะไม่รู้อะไรครับ เพราะว่าเป็นสังคมปิด แต่ในขณะเดียวกันผมก็ไม่ได้เชียร์ทุนนิยม อดัม สมิทธ์ เจ้าของทุนนิยมมันก็เป็นขบวนการหนึ่งของขบวนการซาตาน มาร์คก็เป็นขบวนการหนึ่ง เพราะฉะนั้น ทุนนิยมและสังคมนิยมที่กำลังต่อรองกันอยู่ในเวลานี้มันเป็นไปตามหมากกลครับ ไปหลงใหลลัทธิใดไม่ได้เลย ต้องเอาความจริงใจของ ของหลักธรรมที่ไม่มีกิเลสเท่านั้นเข้าไปแก้ไขปัญหา การเมือง เศรษฐกิจสามารถจะแก้ไขปัญหาได้ แล้วก็ เราก็ต้องยอมรับเหมือนกันว่า เท่าที่ว่าเมืองที่มีศาสนาไม่ค่อย จะได้ ไม่ค่อยจะได้แก้ไขใดๆ ใดๆได้ ก็เนื่องมาจากมีแต่ศาสนา แต่คนไม่เข้าใจศาสนา มีแต่ศาสนาแต่ คนไม่ได้ปฏิบัติศาสนา หรือมีแต่ศาสนาแล้วไปเจาะแต่เพียงกระพี้ศาสนาเท่านั้นเอง ศาสนาอิสลามคืออะไร คือไม่กินหมู ศาสนาพุทธคืออะไร โน่น ไป ไป ไป ไปแห่สงกรานต์ รู้เท่านั้นเอง แต่ถามว่าศาสนาอิสลาม สอนในเรื่องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างไร ไม่รู้ ถามว่าศาสนาพุทธสอนให้คนเรานี่มีการสร้างสมถะในตัวเองอย่างไร ไม่รู้ เพราะฉะนั้นว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในเมืองศาสนาที่เรียกว่าเมืองที่นับถือศาสนา ที่ประกาศว่าเป็นศาสนานั้นศาสนานี้ มันเกิดมาจากปัญหาของเมืองนั้นๆเองไม่เข้าใจศาสนาของตนประการหนึ่ง หรือเข้าใจแต่เพียงผิวเผินของศาสนา ไม่ได้เอาคำสอนอันแท้จริงที่ครบโครงสร้างอันแท้จริงของศาสนาเข้ามาประพฤติและปฏิบัติ มัน มันจึงเกิดปัญหาอย่างนั้น ส่วนที่บอกว่าวัตถุนิยมกับนิยมวัตถุเหมือนกันหรือไม่นั้น ผมว่ามันคนละคำ คำว่าวัตถุนิยมนั้นเป็นลักษณะที่เป็นทางวิชาการ ส่วนนิยมวัตถุนั้นก็เป็นคำพูดซึ่งที่เราใช้กันโดยทั่วไป คือบุคคลซึ่งที่เอาวัตถุมาเป็นแก่นนำ มาเป็นเป้าหมายของการดำเนินชีวิต แต่ถ้าจะพูดถึงปรัชญาการแล้วผมว่ามันเป็นไปด้วยกันนั่นแหละ กล่าวคือ ไอ้ทฤษฎีของวัตถุนิยม นี่แหละมันทำให้เราเกิดการเป็นนิยมวัตถุขึ้นมา มันเป็นเรื่องที่เราจะต้องยอมรับอย่างนั้น อย่างเช่น ผมยกตัวอย่างความเห็นของวัตถุนิยมที่บอกว่า การที่เราจะจัดระบบต่างๆของเศรษฐกิจนี้ ไม่จำเป็นจะต้องไปคำนึงถึง ไอ้จิตใจว่าใครจะคิดอย่างไร แต่ว่าจะเอากันแต่เพียงจัด เฉพาะส่วนซึ่งที่เกี่ยวข้องกับร่างกายหรือวัตถุแต่เพียงประการเดียว มันก็เกิดการใช้อำนาจการยึดการอะไรกัน การฆ่ากันอะไรต่ออะไรทำนองนี้ นั่นเป็นลักษณะอย่างนั้น แต่ในขณะเดียวกันสภาพความเป็นจริงของมนุษย์ มนุษย์มี มีหัวใจ มนุษย์มีความเสียใจ มนุษย์มีความทุกข์ มนุษย์มีความเสียดาย มนุษย์นั้นจะต้องมีความรักในสิ่งตัวเอง ในสิ่งทรัพย์สมบัติ ตลอดจนกระทั่งตัวเอง ชีวิตหวงแหนอะไรต่างๆ แต่มันจะต้องยอมรับ คือคนละอย่าง พูดง่ายๆว่า คนละอย่างแต่มันก็เป็นสิ่งที่จะต้องสืบเนื่องซึ่งกันและกันนะ ถ้าหากว่าเรามีศาสนนิยมอยู่ในหัวใจของเราแล้ว เราก็ไม่หลงใหลวัตถุในขณะที่เราใช้วัตถุนะ เราใช้วัตถุแต่เราก็ไม่ได้หลงใหลวัตถุ นั่นคือศาสนนิยม ส่วนจิตนิยมไม่เอาวัตถุเลย แล้วก็วัตถุนิยมนั้นเอาแต่เรื่องของวัตถุไม่ได้คำนึงถึงจิต ลักษณะมันเป็น อย่างนั้นครับ แล้วก็เรื่องนี้ถ้าจะอธิบายก็คงจะต้องล่อกันอีกสักชั่วโมงหนึ่งแล้วก็กำลังดี แต่ว่าคงจะไปอย่างนั้นไม่ได้แน่นะครับ เอากันพอท้วมๆ แค่นี้ก่อน
ผู้ดำเนินการอภิปราย : ถวายท่านอาจารย์วรศักดิ์ครับ กระผมข้องใจศาสนาพุทธ การแต่งงานมีจุดยืนอะไรบ้าง ในหลักการทางศาสนา คู่ที่พ่อแม่ทำการสมรสถูกต้อง กับชอบพอตามกันไปเอง ไปอยู่กันเอง คู่ใดทางศาสนารับรอง และคู่ที่ศาสนาไม่รับรองจะคิดอย่างไร
ผู้ตอบ (ท่านอาจารย์วรศักดิ์) : อันนี้ถามเป็นตอนๆ ถามเป็นตอนๆ
ผู้ดำเนินการอภิปราย : ถามเป็นตอนๆ การแต่งงานมีจุดยืนอะไรบ้างในหลักการทางศาสนา
ผู้ตอบ (ท่านอาจารย์วรศักดิ์) : ที่จริง คนเรานี่ไม่ต้องแต่งงานก็ได้ เพราะว่าคนเรานี่เกิดมานี่เราเดินทางเพื่อจะไป ไปนิพพาน คือไปสู่ความดับเย็น หมดปัญหา ทีนี้ไอ้คนๆหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งนี่ เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งแกจะไปผู้หญิงก็ไปนิพพาน ผู้ชายก็ไปนิพพาน ทุกคนเดินทางไปนิพพานคือความหมดปัญหา เรียกว่าคือความดับเย็น ความสงบเย็นสูงสุดนี่ ทีนี้ผู้หญิงคนหนึ่งนี่แกก็จะไปนิพพานเหมือนกัน แต่แกคิดว่าแกนี่มีแต่ความอ่อน อ่อนโยนแต่ขาดความเข้มแข็ง แกไม่กล้าไปนิพพานคนเดียว ก็พอดี พอดีไปเจอผู้ชายคนหนึ่งมีแต่เข้มแข็งแต่ขาดความอ่อนโยน ก็เลยทั้งสองฝ่ายนี้มารวมหุ้นกันเพื่อเดินทางไปนิพพาน ที่จริง ถ้าต้องการเพียงเท่านี้ไม่ต้องหลับนอนกันเยี่ยงสามีภรรยาหรือไม่ต้องมีเรื่องเมถุนนี้เข้ามาก็ได้ เพื่อว่าจะได้มีทั้งความเข้มแข็งและความอ่อนโยนนี่ เพื่อเดินทางไปนิพพานด้วยกัน นี่คือความมุ่งหมายของของธรรมชาติในการที่ให้คนมาแต่งงานกัน ทีนี้สำหรับพระอย่างอาตมานี่มีทั้งความเข้มแข็งและความอ่อนโยนพร้อมแล้วเลยไม่ต้องแต่งงานอีก พระนี่เข้มแข็งนะแต่เข้มแข็งอย่างอ่อนโยน ไม่ใช่เข้มแข็งอย่างมุทะลุหรือว่าอย่างบ้าบิ่นอะไรอย่างนั้น เพราะฉะนั้นการแต่งงานในความหมายในทางศาสนานี้ก็เพื่อมาช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพราะฉะนั้นเขาจึงถือสามีกับภรรยานี้เป็นคนๆเดียวกัน คำว่าครอบครัวนี้คือ คนๆเดียวกันแค่นั้น ใช้นามสกุลเดียวกัน เป็นคนๆเดียวกัน มันเป็น เป็นสังกัตตา มัน มันมารวมกัน เอาของสองอย่างมาทำให้เป็นหนึ่งหนึ่งเดียว นี่คือจุดยืนหรือความต้องการ ในเรื่องของทางศาสนาเกี่ยวกับการแต่งงานไม่ใช่ เรื่องกามารมณ์ ทีนี้สมมุติว่าตัวเองมาแต่งงานกันแล้วคิดว่าไปนิพพานไม่ไหวในชีวิตนี้คงไปไม่ไหวแน่ ก็เลยเอาลูกสักคนหนึ่ง ให้ลูกมันเดินแทน ให้ลูกไปนิพพานแทน นี่คือความมุ่งหมายเรื่อง เรื่องการแต่งงาน ต่อไป
ผู้ดำเนินการอภิปราย : คู่ที่พ่อแม่ทำการสมรสถูกต้องกับชอบพอตามกันไปอยู่กันเอง คู่ใด ทางศาสนารับรอง
ผู้ตอบ (ท่านอาจารย์วรศักดิ์) : จะรับรองไม่รับรองนั้นมัน มัน มัน มันไม่แน่ครับ แต่ว่าอันไหน ที่มันจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ เป็นไปเพื่อความสุข ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ถูกต้องตามธรรมมากกว่า ก็การที่บิดามารดาจับแต่งงานให้นี่มันก็ถูกต้องกว่า โดย โดยทั่วไป ก็เพราะเหตุไรก็เพราะเหตุว่าลูกนั้นมันเป็นของพ่อแม่ ก็ต้องทำตามใจพ่อแม่ด้วย ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง เราทั้งหลายนี่รู้ไว้เสียด้วยว่า เราเป็นทรัพย์สมบัติหรือเป็นของรักของใคร่ของพ่อแม่ ฉะนั้นถ้าเราไม่ดีนี่ เราทำร้ายของรักของใคร่ของ คุณพ่อคุณแม่ เราไม่เป็นตัวของตัวเองแล้วโดยฐานะทางสังคม
ผู้ดำเนินการอภิปราย : ต่อไปครับ ขอถวายอาจารย์วรศักดิ์ กรุณาตอบเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ ถ้าผมถูกเชิญให้เชิญชวนดื่มถวายพระพรในงานเลี้ยง ผมจะทำอย่างนี้ เชิญชวนให้ทุกคนที่ไปในงานยืนขึ้น ไม่ต้องมีแก้วเหล้าแล้วผมจะกล่าวว่า ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านจงยืนด้วยความสงบ รวบรวมพลังจิตให้เป็นหนึ่งส่งไปยังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกเธอ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์จงทรงพระเกษมสำราญตลอดไป แล้วเป็นต้นเสียง นำร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีให้ทุกคนที่ไปในงานร่วมร้องกันทุกคนเมื่อจบเพลงก็จบพิธีการนี้ ผมทำอย่างนี้จะเป็นการผิดไหม แต่ยังไม่เห็นที่ใดเขาทำกัน เห็นแต่เชิญชวนดื่มกันทุกแห่ง ผมไปมามากงานแล้ว ขอบพระคุณครับ
ผู้ตอบ (ท่านอาจารย์วรศักดิ์) : เมื่อยังไม่ทำแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าผิด เอาปัญหานี้ให้วินัย ตอบดีกว่า
ผู้ตอบ (คุณวินัย) : ครับ คือการดื่มอวยพรนี่ ที่จริงมันก็เป็นวัฒนธรรมที่มาจากตะวันตก เราไม่มีความจำเป็นด้วยประการทั้งปวงที่เราจะต้องไปเยื่อใยอะไรจนเกินไปนัก แล้วก็ผมมีความมั่นใจว่าถ้าเรา จะแสดงออกซึ่งสปิริตของผู้มีศาสนา ไม่ต้องไปหวั่นไหวต่อวัฒนธรรม คือสมัยเราคลั่งฝรั่ง อะไรมาจากฝรั่งฉันเอาแหลก มันนัดรับกันมาตั้งแต่สมัยนั้น เพราะฉะนั้นพอมาถึงยุคของคนที่ค่อนข้างจะมีปัญญากันมากกว่าแล้ว เราก็น่าจะปรับเข้าเอาปัญญาของศาสนาไปควบคุมทุกขบวนการของเรา เพราะฉะนั้น ผมอยากจะสนับสนุนเพราะวิธีการนั้นมันเป็นสากลครับ วิธีการที่ท่านผู้นี้เขียนขึ้นมาสากลกว่าดื่มเหล้า เพราะดื่มเหล้ามันเป็นคนซึ่งที่ร่วมได้เฉพาะคนที่เป็นพวกแอลกอฮล์ลิสซึ่มเท่านั้นเอง ใช่ไหมครับ แต่ว่าคน มีศาสนาก็เข้าไม่ได้ เข้าได้ก็มันรู้สึกอย่างไรก็ไม่รู้ พอเข้าไม่ได้ นานๆเข้าอยากจะเข้า เข้าเข้าเลยติดเหล้าเข้าไปอีกคนหนึ่ง มันไม่เป็นสากลครับ แต่วิธีการพูดและวิธีการอวยพรแบบใช้คำพูดอย่างนี้ ผมว่าเป็นสากลกว่า ศาสนาพุทธก็ทำได้ ศาสนาอิสลามก็ทำได้ คนที่ไม่ได้นับถือศาสนาอะไรก็ทำได้ สามารถที่จะเข้าไปอยู่ในลักษณะของการอวยพรโดยใช้คำพูดอย่างนั้น แล้วผมมีความมั่นใจว่า ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรารู้ว่าผู้มีศาสนาอวยพรให้แก่ท่านโดยวิธีการอย่างนี้ ท่านจะต้องดีใจแล้วก็ท่านจะต้องให้ความชื่นชมว่าเรามีการริเริ่มในสิ่งที่ดี อยากจะสนับสนุนด้วยความจริงใจเลยครับถ้าใครสามารถที่จะริเริ่มประเพณีอันนี้ขึ้นมาได้ละก็จะปรบมือให้สักห้าร้อยครั้งเลยครับ
ผู้ดำเนินการอภิปราย : ถามผู้แทนศาสนาพุทธครับ เมื่อไรจะจัดตั้งสหกรณ์ทางศาสนา เพื่อให้ประชาชนผนึกกำลังเพื่อจรรโลงศาสนาให้คืนมาถ้าทำได้ ปรับแน่
ผู้ตอบ (ท่านอาจารย์วรศักดิ์) : มันก็ต้องร่วมมือกันในบริษัททุกคน แต่เมื่อไรก็ยังไม่แน่ ทุกคนพร้อมเมื่อไรก็เอาเมื่อนั้น ท่านทั้งหลายพร้อมหรือยัง กลัวว่าจะกลับไปเดี๋ยวจะลืมเสียอีก ขอให้ทุกคนพร้อมมันก็เป็นไปได้ เราไม่ได้หมายถึงไอ้สหกรณ์แบบมีรูปแบบ แบบมีเจ้าหน้าที่ดำเนินงาน ไม่ เราไม่ต้องการอย่างนั้น แต่เราต้องการสหกรณ์แบบศาสนา คือมีได้โดยทั่วไป ทั่วประเทศ ทั่วโลก ไม่จำเป็นต้อง มีสำนักงาน ฉะนั้น พร้อมเมื่อไรก็เมื่อนั้น
ผู้ดำเนินการอภิปราย : ครับ ผู้แทนศาสนาอิสลามครับ ปัญหานี้ก็เป็นฝ่ายที่จะได้รับการตอบเหมือนกันครับ คือหนึ่ง หินที่เมืองเมกกะนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับคำสอนในศาสนาอิสลามอย่างไร ข้อหนึ่งครับ
ผู้ตอบ (ผู้แทนศาสนาอิสลาม) : ครับ คือหินที่เมืองเมกกะนี้ มิได้เป็นส่วนหนึ่งของหลักศรัทธาเลย ไม่เกี่ยวกันนะครับ เป็นหินทางประวัติศาสตร์ที่เกิดที่อยู่ คือเคยเป็นที่เคารพบูชาของชาวอาหรับก่อนอิสลามมาเป็นเวลาอันช้านาน แล้วก็ได้สถิตย์เอาไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ทางประวัติศาสตร์ ที่ใครๆก็ยังเลือนรางเหลือเกินว่าประวัติศาสตร์ของหินก้อนนี้มาจากไหน แล้วก็สาเหตุอีกประการหนึ่ง เหตุผลโดยจริงๆของการสถิตย์หินกะบะห์หรือกาบ๊ะห์นี้ ก็เพื่อต้องการที่จะให้เป็นสัญญาณหรือสัญลักษณ์ในอันที่จะรวมดวงใจ ของมุสลิมทั้งโลก คล้ายๆกับว่าเป็นวิธีการอันหนึ่งที่จะทำให้มุสลิมนี่ ได้มีจิตใจซึ่งที่หันไปทางนั้น แต่มิได้หมายความว่าหินกาบ๊ะห์หรือกะบะห์ ที่เรียกกันนี่ จะเป็นที่สำหรับการสักการะบูชา เพราะเราทำการนมัสการแต่เฉพาะอัลเลาะห์เท่านั้น เพียงแต่ว่าหินนี้เป็นแต่เพียงเราเรียกกันว่าเป็นสัญลักษณ์หรือ เราอาจจะเรียกกันว่าเป็น เป็นตัว เป็นตัวที่ถูกกำหนดเอาไว้เพื่อที่จะให้ทุกคนนี่ได้หันไปสู่ คือเป็น เป็น จุดรวมของดวงใจทั้งหลายแต่ไม่ใช่เป็นลักษณะจุดรวมเพื่อแก่การสักการบูชา บางท่านเข้าใจว่าเราไป กราบไหว้หินที่นั่น ไม่เกี่ยวครับไม่มีการกราบไหว้ ลักษณะของการกราบไหว้นั้นเราทำกันในทุกที่เหมือนกัน คือมีการกราบไหว้พระผู้เป็นเจ้าในพิธีนมัสการของเรา แล้วก็พอไปถึงที่นั่นเราก็นมัสการ แล้วสาเหตุที่เราต้องหันไปที่นั่น ก็เพื่อต้องการที่จะมีการใช้อุบายของการทำอย่างนี้ เป็นวิธีการที่ต้องการจะเตือนจิตสำนึกของมุสลิมทุกคนว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนแดนใดก็ตามทุกคนนั้นมีภาวะทางอีมาน คือทางลักษณะความเชื่อ ที่เป็นแบบเดียวกันเป็นพี่น้องกัน เป็นผู้ที่ร่วมอยู่ในศรัทธาอันเดียวกัน ก็มีต้นเหตุเพียงเท่านั้นเองครับ
ผู้ดำเนินการอภิปราย : ครับ ข้อที่สอง การอดอาหารนั้นเพื่อประสงค์อะไร
ผู้ตอบ (ผู้แทนศาสนาอิสลาม) : การอดอาหารนี้เป็นคำสอนที่ต้องการจะหลายๆอย่างครับ คือเราก็พูดกันในแง่ของผลประโยชน์ แล้วถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริงแล้วก็ การ การอดอาหารนี้ก็มีกันอยู่ทุกศาสนาก็ว่าได้ แต่ว่าวิธีการเท่านั้นเองที่แตกต่าง แล้วบางคนเขาว่าชาวอิสลามอดอาหารนี้ อดแม้กระทั่งน้ำลายจนกระทั่งต้องบ้วนกันปิ๊ดๆ พอเดือนบวชทีแล้วก็พื้นสกปรกไปหมดเลย ถนนเต็มไปด้วยน้ำลาย พื้นโรงเรียนอะไรเต็มไปด้วยน้ำลายหมด ขอเรียนชี้แจงว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น การอดอาหารนี้ก็คือ การไม่รับประทานอาหาร มิได้หมายความรวมไปถึงการที่จะต้องบ้วนน้ำลายด้วย คือการอดอาหาร ส่วนเรื่องอย่างอื่นนั้นเป็นปกติธรรมดา อาหารที่ว่ารวมไปกระทั่งน้ำเนิน อาหารเหลว อาหารหนัก ทั้งหมดนี่ อันนี้ก็เพื่อต้องการที่จะฝึกจิตของตัวเองให้เป็นจิตที่มีความเข้มแข็งประการหนึ่ง แล้วประการที่สอง เพื่อต้องการฝึกให้คนทุกคนได้รู้รสของความหิวโหย แล้วก็จะได้เกิดความรู้สึกที่จะไปเมตตาปราณีต่อคนอื่น เป็นการช่วยเหลือสงเคราะห์ให้แก่คนอื่นอีกต่อไป นั่นคือประโยชน์แล้วก็เหตุผลในการอดอาหารของ ชาวมุสลิมครับ
ผู้ดำเนินการอภิปราย : ครับ จากทั้งสองประการข้างต้นนั้น มีแนวร่วมกับศาสนาอื่นๆ อย่างไร
ผู้ตอบ (ผู้แทนศาสนาอิสลาม) : ก็ผมก็คิดว่า ลักษณะที่เป็นแนวร่วมก็คือ พอทุกคนรู้ว่าอะไร คือความอดอยาก ทุกคนก็จะต้องมีความเอื้อเฟื้อ เมื่อทุกคนมีความเอื้อเฟื้อ ทุกคนก็มีการให้ เมื่อทุกคน มีการให้ สังคมมันก็เป็นสังคมที่อยู่ร่วมกันได้ มันก็มีเท่านั้น นั่นคือลักษณะที่เราถือกันว่าเป็นลักษณะร่วม อย่างเช่นพี่น้องชาวพุทธมีการบวช การบวชของพระในศาสนาพุทธนี้ก็มีคือการอด แต่เป็นอีกวิธีการหนึ่ง ผลของ ผลของการอดนั้นก็คือเป็นผลที่จะทำให้เกิดขึ้นทางจิตใจ แล้วก็ทำให้จิตใจนี้อยู่ในอาการอันสำรวม แล้วก็ทำให้จิตใจมองเห็นความสดใสของชีวิต แล้วก็ทำให้เกิดความเมตตาปราณี แล้วเราก็มีการแผ่เมตตา ก็เช่นเดียวกันกับการอดอาหารของมุสลิมทุกคนนั่นแหละ เมื่ออดกันแล้วมันก็เกิดจุดร่วมตรงที่ว่ามันจะทำให้จิตของทุกคนนั้นมีความเมตตาและมีการเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน
ผู้ดำเนินการอภิปราย : อยากทราบว่าเครื่องหมายดาวเดือนที่อยู่บนยอดมัสยิดหมายความว่าอย่างไรไม่ทราบครับ
ผู้ตอบ (ผู้แทนศาสนาอิสลาม) : ก็มีความหมายว่า ดาวก็คือดาว เดือนก็คือเดือน ไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรกับเรื่องของอิสลาม ความจริงมันเริ่มขึ้นมาในสมัยตุรกี แต่เดิมนั้นก็มันยังไม่เป็นดาวเดือนกันตรงๆหรอก ในสมัยตุรกีนี้ก็มีการกำหนดสัญลักษณ์กันขึ้นมา ก็คงพอจะจำกันได้ว่าในสมัยนั้นเป็นสมัยของยุคออคโตมันหรือที่เราเรียกเราเรียกกันว่าอาณาจักรอุษมานียะห์ในยุคนั้นก็เป็นกองทัพ เป็นกองทัพของ ออคโตมันนี้ก็ค่อนข้างจะเกรียงไกร ซึ่งในยุคนั้นแหละครับเป็นยุคซึ่งที่เกิดสงครามครูเสดนะ คงจะจำกันได้ แล้วก็ในยุคของนักรบคนสุดท้ายที่ไปรบกันกับทหารครูเสดนั้นก็ได้แก่ ศอลาฮุดดีน อัลอัย ยูบีย์ แล้วก็ในกาลสงครามครั้งนั้นมันเกิดทหารนี้นะครับ มีอะไรนะ มีลักษณะของการตายแล้วไม่รู้จะไปแยก ว่าใครเป็นศาสนาอะไร อะไรทำนองนี้ ดูกันยากเหลือเกิน เลยก็ทำสัญลักษณ์กันขึ้นติดตัว ตอนแรก ทำสัญลักษณ์ในลักษณะที่เป็นอักษรนูน อักษรนูนนั้นเป็นภาษาอาหรับตัวหนึ่งที่มีลักษณะเป็นกลมครึ่งเสี้ยวแล้วมีเม็ดอยู่ตรงกลาง มีจุดอยู่ตรงกลางเราเรียกกันว่าตัวนูนออกเสียงเหมือนกับ นอ หนู ของเรา แล้วต่อมาก็มา พอยุคต่อๆมานะครับ ก็เปลี่ยนไปเป็นจากจุด จุดที่เป็นจุดของตัว นอ หนู ตัวนูนตัวนั้นก็ไปเป็นห้าแฉก ห้าแฉกนั้นก็เป็นรูปของดาวไป แล้วก็ตัวโครงร่างของตัวนูนหรือตัว นอ หนู ของภาษาอาหรับนั้นก็กลายไปเป็นเดือน แล้วก็สาเหตุที่เขาต้องทำเป็นเดือนห้าแฉกนั้น เพราะว่าต้องการจะให้เป็นข้อเตือนใจว่าอิสลามนั้นมีหลักที่เรียกกันว่ารูก่นอิสลาม ๕ ประการ เป็นตัวแทนของรูก่นอิสลาม ๕ ประการ ไม่เกี่ยวความเคารพแล้วก็ไม่ได้เกี่ยวกับอะไรด้วยประการทั้งปวง ขอเรียนอย่างนี้ครับ
ผู้ดำเนินการอภิปราย : อ่า ท่านที่เคารพ ปัญหาที่ถามขึ้นมานั้น ยังมีอีกหลายฉบับครับแต่เมื่อ ดูเวลาแล้วก็มันจะเลยเวลาที่กำหนดไว้ ๔๐ นาที มากไป เอ่อ ที่จริงเวลาของการอภิปรายจะปิดรายการอภิปราย ๒๓ นาฬิกานะครับ แต่เนื่องด้วยเวลาเบื้องต้นได้ล่วงล้ำเข้ามา ในเวลา จากเวลาที่กำหนดถึง ๔๐ นาที เพราะฉะนั้นเมื่อมันล้ำเข้ามาได้มันก็เกินไปได้นะครับ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ปัญหาต่างๆที่ยังเหลืออยู่นี้ กระผมดูแล้ว ตรวจแล้ว คิดว่าจากการสรุปในการอภิปรายของท่านผู้อภิปรายทั้งหมดนี้ ซึ่ง เอ่อ ซึ่งกระผมผู้ดำเนินการอภิปรายมอบถวายแด่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์นั้น คงจะมีเนื้อหาครอบคลุม ในการตอบปัญหาที่ยังไม่ได้ตอบแล้วนี้ทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นเพื่อจะไม่ให้กินเวลามากเกินไป กระผมจึงขอให้ทุกท่านได้โปรดตั้งอกตั้งใจด้วยดีเพื่อฟังการสรุปรายการศาสนสัมพันธ์ครั้งนี้จากพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ ซึ่งเคยกำหนดเวลาถวายท่านไว้ ๓๐ นาที นะครับ คิดว่าคงจะกลัวว่าจะเป็นบาปสำหรับท่านที่ต้องการฟังท่านมากๆ เพราะฉะนั้นจึงขอถอนกำหนดที่เขียนไว้ในกำหนดการนั้น ว่าแล้วแต่ท่านอาจารย์จะโปรด ขออาราธนาท่านอาจารย์ครับผม
ท่านพุทธทาส : เดี๋ยวนี้ถูกกำหนดให้เป็นคนสรุป และหวังว่าจะได้ฟังคำตอบแก่ปัญหา ที่ยังเหลืออยู่นั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าไม่ได้ ไม่ได้จำไว้ว่าพูดอะไรกันบ้าง มันก็สรุปไม่หมด แล้วยิ่งที่ยังไม่ได้ถามยิ่งไม่ทราบว่ามันจะถามว่าอะไร แล้วก็เลยเอามารวมกันเข้าแล้วก็พูดไปลักษณะที่มันจะเป็นประโยชน์ได้ก็แล้วกัน เราอุตส่าห์มากันที่นี่ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ก็ขอให้ได้รับผลสมหรือว่าเกินค่าของความเหน็ดเหนื่อย เราไปเล็งถึงว่าโลกมันจะล่มจมจะรอดอยู่ได้ก็เพราะศาสนาเข้ามาช่วย ถ้าศาสนาไม่เข้ามาเกี่ยวข้องก็กลัวว่า ก็เชื่อว่าโลกมันจะล่มจม ที่พูดนี้ ช่วยกันพูดนี้ ก็เพื่อให้ทุกคนมองเห็นความจำเป็น ของการที่จะต้องมีศาสนา ถ้าหากว่าคนทุกคนมองเห็นความจำเป็นอันนี้ได้มากเท่าไร นั่นแหละ มันจะเป็นทางแห่งความสำเร็จในการที่เราจะมีศาสนาหรือมีการรวมกัน ร่วมมือกันของศาสนา เพื่อให้มันสำเร็จตามนี้เราก็ได้พยายามกันจนถึงที่สุดที่จะทำได้แล้วว่าให้เอาหัวใจของพระศาสนามา อย่าเอาเปลือกผิวข้างนอกมา เมื่อหัวใจมามันเป็นด่านง่ายที่จะกลมกลืนกันได้ทุกๆศาสนา ขอให้เชื่อเถอะว่าทุกศาสนามีความถูกต้องในแนวเดียวกันหมด แม้จะใช้คำพูดต่างกันในการอธิบาย หรือแนะวิธีปฏิบัติ ส่วนชื่อนั้นไม่สำคัญ มันเป็นเรื่องบัญญัติขึ้นเพื่อความสะดวกในการเรียกเหมือนกับยี่ห้อหรือป้ายเท่านั้นเอง วิธีที่เราจะต้องปฏิบัติ นั่นแหละสำคัญ มันต้องปฏิบัติได้แล้วก็ได้ผลตรงตามที่เราต้องการหรือที่เราควรจะต้องการ คือดับทุกข์ ให้ได้ แล้วก็ไม่มีการแบ่งแยกเพราะว่าเราใช้วิธีที่รูปร่างไม่เหมือนกัน เช่นว่าเราจะไปด้วยเรือบินหรือ เราจะไปด้วยเรือผิวน้ำหรือเราจะไปด้วยรถ ถ้ามันมีทางที่จะถึงจุดหมายปลายทางคือสันติภาพของมนุษย์ได้แล้วเราก็ควรจะพอใจ ที่จะให้เราใช้วิธีการเดียวกันเหมือนกับใช้ยานพาหนะแต่อย่างเดียวด้วยกันนี่ มันคงจะลำบาก เพราะว่าแต่ละคนมีอุปนิสัยต่างกัน จะใช้ปัญญาเป็นเบื้องหน้าก็ใช้ปัญญาเป็นเบื้องหน้า เอาเป็นช้างเท้าหน้า เอาศรัทธาและวิริยะเป็นช้างเท้าหลัง ถ้าเรามันเหมาะที่จะมี เรามีอุปนิสัยหนักไป ทางศรัทธาเราก็ใช้ศรัทธาเป็นเบื้องหน้า ใช้ปัญญากับวิริยะเป็นช้างเท้าหลัง เราไม่ต้อง เอ่อ ดูหมิ่นกันว่าศรัทธานี้มันจะเป็นความไม่ฉลาด ถ้าเรารู้เรื่องนี้โดยถูกต้องแล้ว เราจะมองเห็นว่า ไอ้ศรัทธานั้นนะ มันออกมาจากปัญญา ช่วยไปคิดดู ขอฝากไว้ให้ทุกคนช่วยเอาไปคิดดู สิ่งที่เรียกว่าศรัทธานั้นถ้าเป็นศรัทธาจริงแล้วไม่มีทางจะโง่หรือจะงมงาย เพราะว่ามันออกมาจากปัญญา ดูที่ตัวเองทุกคนว่าการเชื่อนั้น มันจะเชื่อไปตามความรู้ที่มีอยู่ คนเราจะเชื่ออะไรให้นอกไปจากความรู้ที่มีอยู่นั้นมันเป็นไปไม่ได้ มันไม่เชื่อ รู้อะไร อย่างไร เท่าไร มันก็จะเชื่อโดยสมควรแก่ความรู้ หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็ได้ว่าไอ้ความรู้มันคลอดปัญญา คลอดศรัทธาออกมา ความรู้หรือปัญญามีเท่าไรมันก็จะคลอดความเชื่อออกมา อย่างน้อยก็เชื่อในหลักการตามที่ปัญญาหรือความรู้มันมี เช่นเราจะเชื่อในพระพุทธศาสนาเราก็ต้องรู้ว่าพุทธศาสนา เป็นอย่างไรแล้วเราจึงจะเชื่อได้ หรือว่าเราจะเชื่อพระเจ้าเราต้องมีความรู้ในเรื่องของพระเจ้าอย่างไรเสียก่อนเราจึงจะเชื่อ มันจึงอยู่ที่ว่าถ้าปัญญามันถูก เป็นปัญญาจริง คือมันถูก ความเชื่อนั้นมันก็ต้องถูกแน่ แล้วเราพยายามให้มีความรู้ที่ถูก ถ้าเขามันเชื่อลงไปแล้ว ก็สามารถที่จะกำจัดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ได้เหมือนกัน เช่น เชื่อว่า ไอ้ความเจ็บไข้เป็นตายเป็นความประสงค์ของพระเจ้า ถ้าเชื่อจริงๆลงไปก็ไม่เป็นทุกข์เหมือนกัน มีผลเท่ากับว่าใช้ปัญญาว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ฉะนั้นถ้าผู้ที่ใช้ศรัทธาเป็นเบื้องหน้ามันก็ดับทุกข์ได้ด้วยอำนาจของศรัทธา เพราะว่าไอ้ความกำลังของศรัทธามันมากพอมันก็ระงับความทุกข์ได้ แล้วก็ต้องไม่ลืมว่าศรัทธามันออกมาจากความรู้หรือปัญญาของแต่ละคน ไม่มีใครจะเชื่ออะไรได้โดยไม่มีความรู้ ในสิ่งที่ตนเชื่อ สำหรับอุปนิสัยแห่งการบังคับจิตนี้มันคล้ายกับว่าเป็นศิลปะสูงสุดเพราะมีวิธีทำกับจิต บังคับจิต น้อมความรู้สึกของจิตไปได้ตามที่ตัวต้องการ เมื่อความทุกข์เกิดขึ้น เขาก็บังคับความรู้สึกไปเสียในทางอื่น ก็ไม่รู้สึกเป็นทุกข์ นี่ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ มันเป็นความเก่งกล้าสามารถในการอบรมกำลังจิตหรือว่า ใช้กำลังจิต ที่พูดนี้ก็ต้องการจะให้ทุกท่านมองเห็นว่าแม้พวกหนึ่งจะใช้ปัญญาเป็นเบื้องหน้า พวกหนึ่งจะใช้ศรัทธาเป็นเบื้องหน้า พวกหนึ่งจะใช้กำลังจิตเป็นเบื้องหน้า ก็ดับทุกข์ได้ด้วยกันทั้งนั้น มัน มันก็แล้วแต่ยุค แล้วแต่สมัย แล้วแต่ถิ่น แล้วแต่เหตุผลแวดล้อมอย่างอื่น ฉะนั้นเราอย่าได้รังเกียจเดียดฉันท์เพื่อน ที่ถือศาสนาอื่นเลย แม้ว่าจะต่างกันถึงขนาดว่าเป็นพวกปัญญา เป็นพวกศรัทธา เป็นพวกกำลังจิต เขาก็ไม่อาจจะมีแต่เพียงอย่างเดียวได้ จะต้องมีสองอย่าง อีกสองอย่างนั้นเข้าไปเป็นส่วนประกอบด้วยเสมอไป มันก็เลยกลายเป็นหลักการที่มันร่วมกัน คือว่าจะต้องใช้ปัญญาใช้ศรัทธาใช้กำลังจิตด้วยกันทั้งนั้น ทุกศาสนา แม้ว่าบางศาสนาจะเน้นหนักไปที่อันใดอันหนึ่งมันก็ยังคงมีทั้งสามอย่าง เหมือนกับว่าเราจะกินอาหาร เราก็ปรุงไปตามรสนิยมของเรา เช่น จะกินก๋วยเตี๋ยวผัด ขอยกตัวอย่าง บางคนมันต้องเติม น้ำมะนาว บางคนมันไม่ชอบมันต้องเติมน้ำตาล บางคนมันไม่ชอบมันต้องเติมน้ำปลา เติมเต้าเจี้ยว อะไรทำนองนี้ มันก็ยังสำเร็จประโยชน์เท่ากันนั่นแหละ ฉะนั้นเราก็จะไม่ดูหมิ่นดูถูกใครที่เขามีรสนิยมแปลกออกไป เพราะเขาต้องการจะกินอาหารเพื่อให้ร่างกายมันอยู่ได้ด้วยกันทั้นนั้น ข้อที่น่าตำหนิก็คือว่ามันทำไปอย่างโง่เขลามันสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็นเกี่ยวกับการกินก็ดี หรือเกี่ยวกับการให้อาหารแก่จิตใจ ก็ดี มนุษย์จะต้องทำ อย่าให้เกิดปัญหาขึ้นมา ทีนี้มันก็มาถึงปัญหาที่ว่ามันจะรู้กันอย่างไร รู้กันเท่าไร จึงจะเพียงพอสำหรับจะปฏิบัติเพื่อช่วยให้ตนเองเอาชนะความทุกข์ได้ มันก็มาถึงปัญหาที่ถกกันมากไปแล้วหยกๆกันว่า มันเป็นเรื่องจิตนิยมหรือเป็นเรื่องวัตถุนิยม คือเอากายเป็นใหญ่หรือเอาจิตเป็นใหญ่ ถ้าถือตามหลักพุทธศาสนาจะไม่เอาเป็นใหญ่ทั้งกายและทั้งจิต แต่จะเอาธรรมะเป็นใหญ่ กายมันต้องประกอบด้วยธรรมะจึงจะถูกต้อง จิตนั้นมันก็ต้องประกอบไปด้วยธรรมะมันจึงจะถูกต้อง ลำพังกายลำพังจิตล้วนๆ เอาเป็นหลักเอาเป็นประมาณไม่ได้ มีแต่จะทำให้เขวออกไป แต่ถ้าเอาธรรมะเข้ามาแล้ว กายถูกต้องก็ใช้เป็นประโยชน์ได้ จิตก็ถูกต้องใช้เป็นประโยชน์ได้ ขอให้มองเห็นความจำเป็นที่ต้องมีธรรมะ ซึ่งจะเรียกว่าศาสนาก็ได้ ฉะนั้นในการปกครองภายนอก เรื่องประเทศชาติการเมืองภายนอกมันก็ต้องมีธรรมะเป็นใหญ่ เช่นเดียวกับการจัดการปกครองภายในระหว่างกายกับจิตก็ต้องเอาธรรมะเป็นใหญ่ จะมองกันในภาษาธรรมดาเรื่องภายนอกนี่ก็ธรรมะเป็นใหญ่ จะมองกันในภายในเป็นเรื่องจิตเรื่องวิญญาณเป็นภาษาทางวิญญาณก็ต้องเอาธรรมะเป็นใหญ่ ธรรมะนี่มันเป็นหลักที่เชื่อถือได้คือว่าเราไม่งมงาย จนถึงกับว่ายึดถือกันอย่างผิดๆได้ เพราะว่ามนุษย์คนก่อนๆ ที่เขาเคยผ่านมาเกี่ยวกับความทุกข์จนเขาดับทุกข์ได้ ก็วางหลักเกณฑ์ไว้ให้ แล้วเราก็ไม่ได้เชื่อทันที แต่มาพิจารณาดูว่าส่วนไหนมันน่าเชื่อแล้วเราก็ลองทำดู ลองทำดู ฟังให้ดีๆ พอมันพิสูจน์ความจริงอย่างนั้น ความมีผลมีประโยชน์อย่างนั้น นี้เราจึงเชื่อ เราจึงยึดถือเป็นหลักสำหรับปฏิบัติกันเต็มที่ ฉะนั้นก็ยังคงมีผลดีคือเราได้อาศัยสติปัญญาของคนที่เกิดก่อนเรามาใช้ให้เป็นประโยชน์โดยที่เราไม่ต้องเสียเวลาที่จะไปค้นคว้าในส่วนนั้น ความเจริญทั้งหลายมาในรูปนี้ทั้งนั้น คือได้อาศัยสติปัญญาของคนที่ตายไปแล้ว มากเท่าที่จะมากได้ แล้วเราเอามาปรับปรุงให้เหมาะกับเราหรือเพิ่มเติมอะไรขึ้นมาให้เหมาะกับเรา ถ้าเราต้องไปคิดค้นเองตั้งแต่ต้นแล้วเราคงตายเสียก่อน คงไม่มีความรู้ที่จะพอสำหรับทำให้เราได้รับประโยชน์สูงสุดได้ แม้แต่เรื่องทางวัตถุแท้ๆ เช่นเรื่องวิทยาศาสตร์ เราอาศัยความรู้ที่คนก่อนๆเขาค้นพบและทิ้งไว้ให้แล้วเขาก็ตายไป เราก็เสริมต่อ ถ้าเราไม่ได้อย่างนี้ เราต้องคิดค้นไปตั้งต้นจากตัว กอ มันก็ไม่พอที่จะรู้ในชั่วคนหนึ่งนี้ก็ไม่มีความรู้พอที่จะไปโลกพระจันทร์เป็นต้นได้ แต่นี้มันมีมากมายที่เราไม่ต้องลงทุนค้นคว้าตั้งต้น เราใช้ความรู้ของคนที่เขาได้ค้นคว้ามาแล้วเป็นอันมากเอามาใช้เป็นประโยชน์และเสริมต่อ เราจึงรู้เร็ว ทันแก่เวลาในชั่วชีวิตนี้ แล้วก็สามารถไปโลกพระจันทร์เป็นต้นได้ นี่ขอให้มองเห็นประโยชน์ในการที่ใช้วิชาความรู้ที่คนแต่ก่อนเขาได้ทิ้งไว้ให้เป็นมรดก เรื่องของศาสนานี้ ก็เหมือนกัน คนแต่ก่อนเขาทิ้งไว้เป็นมรดกมาก เราก็ใช้ใช้ เราก็เสริมเอาส่วนที่เรายังต้องการให้มันแปลกออกไป ฉะนั้นเราจะรวมเอาเข้าเป็นเรื่องเดียวกันหมดไม่ว่าศาสนาไหน โดยถือว่าเป็นวิชาความรู้ที่คน แต่ก่อนเขาได้เคยค้นพบใช้เป็นประโยชน์แล้ว ทิ้งไว้ให้เป็นมรดกแก่เรามันเป็นเรื่องเผื่อเลือกมากมายเหลือประมาณ นี่จงใช้ให้สำเร็จประโยชน์เถิด จึงเป็นอันว่าเราจะไม่รังเกียจที่จะพิจารณาดูแม้ในของเพื่อนมนุษย์เหล่าอื่นที่เรามักจะเรียกกันว่าถือศาสนาอื่น ซึ่งมันไม่ถูก เราเป็นมนุษย์คนเดียวกัน อยู่ภายใต้การควบคุมของสิ่งๆหนึ่งซึ่งเรารู้จักไม่ได้ เราเรียกได้ว่ากฎของธรรมชาติบ้าง เรียกว่าพระเจ้าบ้าง แล้วแต่จะเรียกเถิด แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่เรารู้จักมันไม่ได้ เรารู้ได้เพียงเท่าที่เราจะรู้จัก ต้องมาดับทุกข์ให้ได้ก็ควรจะพอใจที่เขาได้สอนไว้ให้อย่างนั้นๆ แม้เราไม่มีปัญญาจะเข้าถึงหรือมองเห็นได้อย่างต่อหน้า แต่ส่วนที่เราอาจจะได้ยิน ได้ฟังมาทดลองปฏิบัติดู มันก็ดูเหมือนจะมากพอหรือเกินไปเสียอีก จะพบว่าเราจะกำจัดความทุกข์ของเรานี้ได้อย่างไร สรุปให้สั้นอีกนิดหนึ่งก็ว่า เราจะได้ความรู้นั้นมาสำหรับทำให้กายของเราถูกต้อง สำหรับทำให้จิตของเราถูกต้อง คือให้มันมีความถูกต้องขึ้นมาทั้งระบบกายและระบบจิต โดยไม่มีความเชื่ออย่างงมงาย ไม่มีศาสนาไหนที่อยากให้คนงมงายหรือสอนเรื่องงมงาย เพราะว่ามันพิสูจน์ได้ เอามาลองปฏิบัติดู มันดับทุกข์ได้ ด้วยปัญญาก็ดี ด้วยความเชื่อก็ดี ด้วยการบังคับจิตก็ดี มันพิสูจน์แล้ว มันก็แสดงให้เห็นว่ามันดับทุกข์ได้ แล้วก็เลือกใช้ให้ถูกกับเรื่องของมัน มันจะใช้ปัญญาเป็นเครื่องดับทุกข์ในกรณีที่มันต้องใช้ปัญญา เราต้องใช้ศรัทธาเป็นเครื่องดับทุกข์ในกรณีที่เราจะต้องใช้ศรัทธา จะต้องใช้การบังคับจิตมีอำนาจเหนือจิต นี่เป็นเครื่องดับทุกข์ถ้ามันเป็นกรณีเช่นนั้น ศาสนาทั้งหลายก็ไม่นอกไปจากไอ้วิธีการทั้งสามอย่างนี้ และอย่าลืมว่ามันต้องเชื่อกันทั้งนั้นแหละ ว่าจะยกส่วนไหนเป็นหลักสำคัญ มันก็ต้องเจือด้วยอีกสองส่วน ซึ่งเราจะไม่ให้ความสำคัญก็ได้ แต่ไอ้เรื่องให้ความสำคัญหรือไม่สำคัญนี้ระวังให้ดี มันจะเป็นความโง่ ของเราเอง เราอาจจะให้ความสำคัญผิดก็ได้ ฉะนั้นเราเอาที่มันดับทุกข์ได้นั่นแหละเป็นหลักกันจะดีกว่า ถ้าถือตามหลักพุทธศาสนาก็ใช้คำว่าถูกต้องหรือพอดี ไอ้ความถูกต้องหรือความพอดีนั่นแหละเป็น หลักสำคัญ เรื่องกายก็พอดีหรือถูกต้อง เรื่องจิตก็พอดีหรือถูกต้อง ปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้น เดี๋ยวนี้มันไม่พอดีมันไม่ถูกต้อง มันก็เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา ใช้ความโง่เป็นเครื่องวินิจฉัยตัดสินมันก็ไม่รู้จบ ขอให้ใช้การพิสูจน์ทดลองตามหลักซึ่งพุทธศาสนาวางไว้เป็นหลักสำคัญอย่างยิ่งว่า ไม่เชื่อทันที เรามาใคร่ครวญดูว่าน่าจะลองไหม ลองแล้วมันก็ได้ผลดี ก็ถือเป็นหลักได้ เดี๋ยวนี้มันมีทั้งความรู้ มีทั้งปัญญา มีทั้งศรัทธา มีทั้งกำลังงาน มีอะไรพร้อม พร้อมบริบูรณ์ เราไม่เสียเวลาที่จะต้องไปผิดพลาด เราไม่ลงทุนฮวบฮาบไม่ดูไม่แล แล้วขาดทุนล้มละลายอย่างนี่ไม่มี เราจะระมัดระวัง จะลงทุนลงไปเท่าที่ควรจะทดลอง มันก็ต้องเป็นไปในทางที่ประสบความสำเร็จ เดี๋ยวนี้ก็อยากจะพูดถึงเรื่องความถูกต้องระหว่างกายกับจิตนี้อีกครั้งหนึ่ง ว่ามีความสำคัญมากที่สุด แล้วดูจะเป็นหลักที่เราจะต้องยึดจับขึ้นมาพิจารณากันอย่างจริงจัง มนุษย์ทำผิดในเรื่องนี้ จนเรียกว่าน่าละอายแก่สัตว์เดรัจฉาน ขออภัยที่พูดคำอันตรงไปตรงมาว่ามนุษย์นี้กระทำผิดพลาดในเรื่องเกี่ยวกับกายและจิตนี่มากเกินไปจนเป็นที่น่าละอายแก่สัตว์เดรัจฉาน ก็อย่างที่อาตมา เคยพูดอยู่บ่อยๆ นะว่า แมวไม่ต้องกินยาปวดหัวแต่คนต้องกินยาปวดหัว แมวไม่เคยกินยาช่วยนอนหลับ แต่คนต้องช่วย ต้องกินยาช่วยนอนหลับ มันน่าละอายแมวอย่างนี้ คนเป็นโรคประสาทซึ่งแมวไม่เป็นเลย และคนก็เป็นโรคจิตซึ่งแมวก็ไม่เป็นเลย หมอเขาว่าเดี๋ยวนี้เป็นโรคประสาทกันให้จำนวนแสนๆแล้ว เมืองไทยนี้ เป็นโรคจิตกันจำนวนหมื่นๆแล้วเมืองไทยนี้ แล้วแมวสักตัวหนึ่งก็ไม่เป็นโรคประสาทและไม่เป็นโรคจิต ถ้าท่านค้นความจริงข้อนี้ได้ นั่นล่ะจะพบหรือจะเข้าใจความแตกต่างระหว่างกายกับจิตที่ทำผิด หรือทำถูกกันอย่างไร ทำไมสัตว์ สัตว์จึงไม่เป็นโรคประสาทไม่เป็นโรคจิต นอนหลับสนิทไม่ต้องกินยา ปวดหัว ก็เพราะมันทำถูก มันต้องทำถูกต้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยทางฝ่ายกาย ซึ่งมันก็เป็นเบื้องฐาน เป็นรากฐานแล้วก็ถูกต้องทางฝ่ายจิตอย่างเพียงพอด้วย ไอ้คนเรานี้มันมีจิตนั่นแหละที่ทำให้เกิดปัญหาเรื่องราวขึ้นมา ไอ้ทางร่างกายมันก็เหมือนๆกันนั่นกับสัตว์เดรัจฉาน แต่ทางจิตนี้คนมันก้าวหน้าพรวดพราดมากเกินไป เพราะว่าจิตมันเป็นสิ่งที่ทำให้ก้าวหน้าหรือเปลี่ยนแปลงได้มากทั้งเกิดการเปลี่ยนแปลง ในทางจิตแก่คนมากเกินไป คนเราจึงต้องการศาสนามาควบคุมความก้าวหน้าอันนี้ซึ่งสัตว์เดรัจฉาน ไม่ต้องการเลย นั่นแหละมันมองเห็นได้ชัดว่าสัตว์เดรัจฉานไม่ต้องการศาสนา เพราะมันคงอยู่ตามธรรมชาติในฝ่ายร่างกาย แล้วฝ่ายจิตก็ไม่อาจจะก้าวหน้าไปมากกว่านั้นได้ มันเลยเกิดความถูกต้องโดยอัตโนมัติ มันจึงไม่ต้องการศาสนามาควบคุมทางฝ่ายจิต ที่มนุษย์เราไม่เป็นอย่างนั้นเพราะมันเป็นคน มันมีมันสมองที่ก้าวหน้าเพราะว่าไอ้คนนี้มันพูดได้ สัตว์มันพูดไม่ได้ คนมันพูดได้มันก็ถ่ายเทความรู้กันได้ มันสมองมันก็ก้าวหน้าพรวดพราดไป เพราะมันถ่ายเทความรู้กันได้ คนก็เลยคิดได้ไกลได้มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน อย่างที่เปรียบเทียบกันไม่ได้ ยกตัวอย่างที่ว่า ถ้ามองเห็นกันง่ายๆว่า แมวไม่มีปัญญาที่จะคิดว่าพรุ่งนี้ จะกินอะไร หรือว่าลูกเราจะไปเรียนหนังสือที่ไหน แมวมันคิดไม่ได้ เพราะว่ามันมีจิตที่จำกัดเท่าที่ร่างกายมันมีการถูกจำกัด แต่มนุษย์นี้มันคิดได้ มันมีโอกาส มีอะไรที่คิดได้ว่าพรุ่งนี้เราจะกินอะไร เดือนหน้าเราจะกินอะไร เราจะต้องมีเงินเท่าไร เราจะต้องหาเงินให้ลูกให้หลานไปเล่าไปเรียน แล้วเรื่องมันก็มากขึ้นเป็น ร้อยเรื่องพันเรื่องหมื่นเรื่อง มันก็ไม่มีธรรมะสำหรับควบคุมให้รู้จักหยุดหรือให้รู้จักคิดไปแต่เท่าที่สมควร มันก็คิดเตลิดเลยเถิดไป จนมันสมองมันยุ่ง ระบบประสาทมันเสีย มันก็เกิดปวดหัวต้องกินยาปวดหัว มันนอนไม่หลับมันต้องกินยานอนหลับ แล้วมันก็เป็นโรคประสาทเป็นโรคจิต ซึ่งน่าละอายแก่แมว ซึ่งแมว จะไม่เป็นอาการอย่างนี้เพราะมันไม่ก้าวหน้าทางจิตอย่างพรวดพราด เมื่อมนุษย์มันจะต้องก้าวหน้าทางจิตอย่างพรวดพราดแล้วก็เอาไอ้สิ่งป้องกันมาป้องกันไว้เหมือนกับวัคซีน คือธรรมะคือศาสนานั่นเอง เอามาเป็นคู่ไว้กับจิตของมนุษย์ ป้องกันความเฟ้อความเกินความผิดพลาดให้แก่จิต เมื่อ เมื่อร่างกายพัฒนาก้าวหน้า จิตพัฒนาก้าวหน้า ก็ให้มันพอเหมาะพอดีให้มัน มันเคียงคู่กันไปด้วยความถูกต้องพอเหมาะพอดี แล้วคนนี้จะไม่ต้องปวดหัวให้ละอายแมว ไม่ต้องกินยานอนหลับให้ละอายแมว ไม่ต้องเป็นโรคประสาทให้ละอายแมว ขอให้มนุษย์ที่มีความก้าวหน้าทางวัตถุนี้ มีธรรมะมีศาสนามาควบคุมไว้ให้ถูกต้อง แล้วจะควบคุมทางจิตที่จะก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปโดยเร็วให้ถูกต้องด้วย มนุษย์เราก็จะมีความถูกต้อง ทั้งทางกายและทางจิต ปัญหามันก็จะหมด คือมนุษย์จะทำอะไรได้ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานมาก ทำประโยชน์ตนประโยชน์ท่านได้อย่างใหญ่หลวงสมกับที่เป็นมนุษย์แล้วก็ไม่ต้องละอายแมวด้วย คือมนุษย์จะไม่ มนุษย์ที่แท้จริงจะไม่ต้องปวดหัว จะต้องไม่ปวดหัว มนุษย์ที่แท้จริงจะต้องไม่นอนไม่หลับ มนุษย์ที่แท้จริงจะต้องไม่เป็นโรคประสาท มนุษย์ที่แท้จริงจะไม่ต้องเป็นโรคจิต ถ้าลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าหรือใครก็ตามเป็นโรคประสาทเป็นโรคจิตแล้วก็ควรจะเสียใจ มันควรจะละอาย อาตมาเชื่อว่าทุกศาสนามีธรรมะชนิดที่จะป้องกันไม่ให้คนเป็นโรคประสาทหรือโรคจิต อย่าว่าแต่เพียงว่าจะปวดหัวหรือนอนไม่หลับเลย นี่ความจำเป็นทางศาสนามันมีอยู่อย่างนี้ ต้องเอามาใช้ควบคุมให้ได้สัดส่วนกันกับความก้าวหน้าทางกายและทางจิต ทีนี้ทางกายและทางจิตก็จะถูกต้อง คือประกอบอยู่ด้วยธรรมะหรือศาสนานั่นเอง ไม่อย่างนั้นแล้วมนุษย์จะต้องละอายแมว หมา มากยิ่งขึ้น มนุษย์จะต้องกัดกันยิ่งกว่าหมาและแมว เมื่อมันไม่มีธรรมะ เหมือนกำลังที่เป็นอยู่ในโลกเวลานี้ ตั้งแต่ไปยัดเยียดว่าสงครามเสียบ้าง การต่อสู้ทางเศรษฐกิจบ้าง การต่อสู้ทางการเมืองบ้าง ที่จริงมันก็เป็นเรื่องการกัดกันด้วยสติปัญญาเหมือนกับหมาและแมว จำ ศาสนาจำเป็นอย่างนี้ ช่วยเอามาเร็วๆ ช่วยกันร่วมมือเอามาเร็วๆ มาช่วยคุ้มครองมนุษย์ให้ยังคงมี ความเป็นมนุษย์ ไม่ต้องน่าละอายแมว ลองอ่านหนังสือพิมพ์ดู เดี๋ยวนี้เขาชอบลงข่าวตามเป็นจริง แสดงความเลวร้ายของสังคม อาชญากรรมอันเลวร้าย ลามกอนาจารเหลือประมาณซึ่งมันไม่น่าจะมี แก่มนุษย์ บางทีก็สงสัยว่านี่มันแกล้งเขียนมั่ง แต่ไม่มี ไม่มีเรื่องแกล้งเขียน เขียนไปตามจริง แต่มนุษย์ มันเลวทรามมากเกินไปนั่นเอง แล้วมันยังจะเลวมากไปกว่านี้จนไม่มีอะไรเหลืออยู่สำหรับที่จะเรียกว่ามนุษย์ อาตมาอ่านข่าวหนังสือพิมพ์บางข่าวจนไม่อาจจะเอามาเล่าต่อเดี๋ยวนี้ได้ ละอาย ละอาย ละอาย แก่ทุกคน ข่าวเรื่องอาชญากรรมทางเพศ แหมมัน มันเหลือที่จะมาพูดเล่าให้ใครฟังได้ แล้วมันยังจะไปมากกว่านั้นอีก นี่ก็อาจโทษที่ไม่มีธรรมะ ไม่มีศาสนาในสังคม หมายความว่า อาณาจักรภายใน อาณาจักรภายในคือดวงจิตดวงวิญญาณในภายในมันถูกทำลายหมดแล้ว มันพ่ายแพ้แก่ข้าศึกกิเลสหมดแล้ว แล้วมันก็ออกมาเป็นความเลวร้าย ในอาณาจักรภายนอกคือเรื่องเศรษฐกิจก็ดี เรื่องการเมืองก็ดี เรื่องการปกครองก็ดี การผลิต การกินการใช้ การซื้อการขายก็ดี มันเลวร้ายไปหมด นี่เรียกว่าอาณาจักรภายนอก มันวินาศหมด เพราะอาณาจักรภายในมันวินาศแล้ว ศาสนาจะช่วยป้องกันให้อาณาจักรภายในไม่ ไม่ประสบความเลวร้ายอย่างนี้ ยังคงถูกต้องดีอยู่ และอาณาจักรภายนอกมันก็ยังคงถูกต้องดีอยู่ มนุษย์ก็จะเป็นมนุษย์ที่พอดูได้ เดี๋ยวนี้มนุษย์มันไม่ใช่มนุษย์แล้ว กลายเป็นคนที่น่าละอายแมวน่าละอายหมาแล้ว โดยเพียงแต่ว่ามันเป็นโรคประสาทบ้าง โรคจิตบ้าง ต้องกินยานอนหลับบ้าง โทษของการที่ไม่มีศาสนานั้นเอง ท่านทั้งหลายคงจะพอมองเห็นได้แล้วว่า มีความจำเป็นอย่างไรที่ธรรมะหรือศาสนา จะกลับมาช่วยโลกนี้ ปัญหามันก็มีอยู่ว่าเดี๋ยวนี้เราก็มีกันหลายศาสนา เพื่อนมนุษย์ของเราก็ถือศาสนา โดยชื่อต่างๆกัน มันอาจจะเกิดปะทะกันด้วยเรื่องผิวเปลือกของศาสนา ฉะนั้นเรามารีบทำความเข้าใจ ในเรื่องของเนื้อในของศาสนาให้เข้าใจกันได้ จะไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกันในระหว่างศาสนา ผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ทางศาสนาจะระมัดระวังให้มากในเรื่องนี้ ถือว่าจะต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย อย่าให้ศาสนากลายเป็นเรื่องกระทบกระทั่งกันเสียอีก มนุษย์มันก็จะหมดที่พึ่ง กิเลสเป็นเหตุให้มนุษย์กระทบกระทั่งกัน ศาสนาจะเข้ามาระงับความเลวร้ายอันนั้นให้มนุษย์มีศาสนา แล้วก็ไม่มีทางที่จะกระทบกระทั่งกัน นั่นแหละคือความหมายของคำว่าศาสนา พระศรีอาริยเมตไตรย พระศรีอาริยเมตไตรย คำสำคัญมันอยู่ อยู่ตรงที่ คำ เมตไตรย เมตไตรยะ ความเป็นมิตร ศรีก็ประกอบว่ามันประเสริฐ อารยะมันก็ประกอบว่าสูง เมตตรัย คือความเป็นมิตร ถ้าเราไม่มีกิเลสเป็นเหตุให้เห็นแก่ตัวแล้วมันก็จะเป็นมิตรกันโดยอัตโนมัติ ก็จะรักกัน ในหมู่มนุษย์ เหมือนที่เคยเน้นมากในศาสนาคริสเตียน การรักเพื่อนมนุษย์นี่เน้นมากในศาสนาคริสเตียน แต่ก็เป็นความมุ่งหมายของทุกศาสนาที่จะให้มนุษย์รักกัน ฉะนั้นเรามาประชุมกันในวันนี้เพื่อ ทำความเข้าใจในระหว่างศาสนาเพื่อว่าจะได้ร่วมมือกัน ช่วยโลกมนุษย์นี้ให้ได้เป็นมนุษย์ อย่าพูดให้มันไกลไปนักเลย พูดแต่เพียงว่าเป็นมนุษย์อย่างถูกต้องปัญหามันก็จะหมดแล้ว นี่พูดถึงว่าไปนิพพานหรือไปอยู่กับพระเจ้า มันก็จะเป็นเรื่องมืดมัวหรือสลัวขึ้นมาอีก เอาแต่เพียงว่าเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ไม่เห็นแก่ตัวแล้วก็รักกันได้ เพราะไม่เห็นแก่ตัว ถ้ามนุษย์รักกันมันฆ่ากันไม่ได้ ถ้ามนุษย์รักกันมันขโมยกันไม่ได้ ถ้ามนุษย์รักกันมันล่วงละเมิดของรักซึ่งกันและกันไม่ได้ ถ้ามนุษย์มันรักกันมันโกหกกันไม่ได้ มันหลอกลวงกันไม่ได้ ถ้ามนุษย์มันรักกันมันก็ไม่ทำให้ใครรำคาญด้วยการกินเหล้าหรือแม้แต่สูบบุหรี่ แล้วมันยังจะป้องกันได้อีกมากมายด้วยศีลเพียงบทเดียวว่ารักผู้อื่น เราถือศีลตัวเดียวว่ารักผู้อื่น ศีลห้า ศีลแปด ศีลอะไรจะมาหมดเลย จะไม่มีปัญหาที่มนุษย์จะเบียดเบียนกัน ขอเน้นว่าทุกศาสนามีหัวใจคือการรักผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัวแล้วก็รักผู้อื่น เราบังคับให้มันเป็นไปอย่างนั้น มันอยากจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันขึ้นมาเอง ฉะนั้นบ้านเมือง มันก็เจริญ มันก็มีการผลิตที่มากพอ เพราะว่ามันรักกันทั้งโลก มันก็ช่วยกันสร้างโลกนี้ให้น่าดู ไม่มีใคร ขี้เกียจถ้ามันมีการรักผู้อื่นแล้วมันอยากจะช่วยทำอะไรให้ผู้อื่น มันก็ไม่มีความขี้เกียจ ปัญหาที่มันมีอยู่เดี๋ยวนี้ที่คนขี้เกียจที่คนไม่ผลิตที่คนคอยแต่จะคดโกง มันก็ไม่มี ขอให้มองเห็นชัดลงไปอย่างนี้แล้วจะช่วยกันสมัครสมานสามัคคีให้กับเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกซึ่งกำลังถือศาสนาต่างๆกันอยู่ จะแก้ปัญหาให้หมดไป ไม่มีปัญหาเหลือสำหรับมนุษย์เพราะปรับความเข้าใจกันในสิ่งสูงสุด คือสิ่งที่จะทำให้มนุษย์นี้ประกอบ อยู่ด้วยธรรมะ คือความถูกต้องทุกๆประการ ความถูกต้องนี้มีมาก ถ้าจะไป ไปแจกรายละเอียดแล้วมัน สิบอย่าง ร้อยอย่าง พันอย่างก็ได้ แต่ความถูกต้องนี้มันขึ้นอยู่กับหลักการของพระศาสนาที่ตั้งต้นมาจากการรักผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นผิด ไม่เห็นแก่ตัวแล้วมันไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงอะไรได้ กิเลสทั้งหลาย มันก็ไม่มี ขอเน้นความรักผู้อื่นแล้วก็บังคับตัวเองให้ทำให้ได้อย่างนั้น เมื่อช่วยผู้อื่นก็ช่วยกันผลิตสิ่งที่จะมาหล่อเลี้ยงซึ่งกันและกัน ขอให้ยอมรับถือเป็นหลักว่าชาวพุทธหรือชาวศาสนาไหนก็ตาม มีหลักเศรษฐกิจ คือผลิตให้มาก เพราะรู้ว่าเป็นหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องสร้างความเจริญในโลก เราผลิตให้มากเพราะได้ทำงานในหน้าที่แล้วรู้สึกว่าเป็นบุญเป็นกุศล ได้ทำนาทำไร่ ทำอะไรก็ตามในหน้าที่ของมนุษย์ก็เป็นบุญเป็นกุศล เราก็ผลิตมาก เราก็ผลิตมาก เรากินน้อยใช้น้อยเท่าที่จำเป็น มันก็เหลือมาก ทีนี้พอเหลือมาก ก็อย่าเอามาสนองกิเลส อย่าเอามาหล่อเลี้ยงตัณหา ที่เหลือมากน่ะ เอาไปช่วยเพื่อนมนุษย์ช่วยสังคม โดยผ่านทางศาสนาก็ได้ ผ่านทางสังคมสงเคราะห์ก็ได้ เราผลิตมากใช้น้อยกินน้อยเหลือมากก็ส่งไปหรือบริจาค ให้ประโยชน์แก่สังคมหรือโลก สภาสังคมสงเคราะห์นี่ก็ควรจะมีหน้าที่อย่างนี้ คือเป็นทางผ่านสำหรับใช้จ่ายส่วนที่เหลือกินเหลือใช้ของคนไปช่วยผู้อื่น นั่นเป็นเรื่องทางวัตถุ เรื่องทางศาสนาทางธรรมก็ศาสนานั่นเองเป็นทางผ่านสำหรับส่งปัจจัยหรือกำลังอะไรที่จะช่วยผู้อื่นในทางจิต ทางวิญญาณ ก็เป็นอันว่ามนุษย์ได้รับความช่วยเหลืออย่างถูกต้องและเพียงพอทั้งทางกายและทางจิต หมดปัญหากันตรงนี้เอง หวังว่า ท่านทั้งหลายคงจะพอใจในหลักการอันนี้ คือ ทำความสัมพันธ์กันในระหว่างศาสนาจนร่วมมือกันช่วยโลกได้อย่างมหาศาล เราได้ยินได้ฟัง เอาไปคิดดู คงจะเห็นจริงได้หรือทดลองดู ปฏิบัติดูก็จะเห็นจริงได้ ช่วยกันประพฤติกระทำให้มากให้เพียงพอ ช่วยกันสร้างโลกของมนุษย์ที่งดงามที่น่าดูได้อย่างแท้จริง โลกที่เลวร้ายอย่างที่กำลังเป็นอยู่นี้มันค่อย มันก็จะค่อยๆเปลี่ยนตัวไปเอง ไปสู่สภาพโลกที่น่าดู ไม่แพ้ ไม่แพ้โลก ของเทวดาหรือไม่แพ้โลกของพระศรีอาริยเมตไตรย โลกของเทวดานี่อาตมาไม่แน่ใจ เพราะว่าอาจจะหลงใหลในกามารมณ์กันสุดเหวี่ยงก็ได้ แต่ถ้าโลกของพระศรีอาริยเมตไตรยแล้วอยู่กันด้วยความรัก ที่บริสุทธิ์และก็ไม่มัวเมาในกามารมณ์ด้วย เชื่อว่าปัญหามันหมด อาตมาขอสรุปตามความพอใจ เดินไปตามแนวที่เห็นว่ามันควรจะเดินไป เพื่อให้ท่านทั้งหลายจดจำเอาไป ไปคิดไปนึก ไปพิจารณา ช่วยกันสร้างโลกนี้ให้เป็นโลกที่มีสันติภาพอันถาวร ด้วยกันจงทุกๆ คน ที่สุดนี้ ของแสดงความยินดีอนุโมทนาในการมาของท่านทั้งหลายอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่มาเป็นผู้บรรยายจะเรียกว่าวิทยากรหรือเรียกอะไร ก็สุดแท้ แต่อาตมาเรียกว่าผู้ที่กำลังกระตือรือร้นในการที่จะช่วยกันจัดโลกนี้เสียใหม่ ให้เป็นไปในลักษณะ ที่น่าดู น่าเลื่อมใส เป็นบุญเป็นกุศลอย่างยิ่งแก่ทุกๆคนและทุกๆฝ่าย ขอให้มันสำเร็จตามนี้เพราะความตั้งใจจริงของพวกเรา เราเป็นคนจริงในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนและความสำเร็จมันก็ไม่ไปไหนเสีย ขอให้ประสบผลเพราะความที่เราเป็นคนจริง ตั้งใจจริง ซื่อตรง จงรักภักดีต่อความเป็นมนุษย์ของเราต่อ พระเป็นเจ้า ต่อสิ่งสูงสุดที่สามารถจะบันดาลมนุษย์ให้เป็นไปได้อย่างไร ขอยุติการสรุปใจความของ การพูดจากันในวันนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้
ผู้ดำเนินการอภิปราย : ท่านที่เคารพ กระผมในนามของผู้ดำเนินการอภิปราย ซึ่งได้รับการบังคับแกมขอร้องหรือขอร้องแกมบังคับมาจากท่านศาสตราจารย์ เสฐียร พันธรังษี ซึ่งท่านมาไม่ได้ ให้มา ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการอภิปรายแทน ร่วมด้วยท่านผู้อภิปรายจาก ๕ ศาสนา คือศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และศาสนาซิกข์ ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ให้ การต้อนรับตั้งใจฟังด้วยดีตลอดมา การใดที่พวกกระผมผู้ดำเนิน ผู้ ผู้ดำเนินการอภิปรายและอภิปราย ทำไปไม่เป็นที่ถูกต้องหรือถูกใจก็ขอได้โปรดอภัยด้วย และในนามผู้ประสานงานการจัดการศาสนสัมพันธ์ครั้งนี้ ขอประกาศขอบพระคุณท่านผู้มาทำการอภิปรายในนามของศาสนาทั้งหลายไว้ให้เป็นที่ปรากฏ ต่อที่ประชุมนี้ และขอขอบพระคุณสมาคมศาสนสัมพันธ์แห่งประเทศไทย สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งได้ให้ความร่วมมืออย่างดี ให้รายการศาสนสัมพันธ์ครั้งนี้ ซึ่งมีหลักการ เหตุผล และวัตถุประสงค์ดังได้ประกาศไปแล้วนั้น สำเร็จลงตามที่ท่านทั้งหลายได้เห็นปรากฏอยู่ ก่อนที่เรา จะแยกย้ายกันกลับหรือปิดรายการนั้น กระผมขอกราบเรียนทุกท่านได้โปรดเปล่งวาจาให้ดังๆ ตามเนื้อเพลงศาสนสัมพันธ์ที่ท่านอาจารย์ได้แต่งขึ้นเป็นการส่งท้ายรายการศาสนสัมพันธ์ครั้งนี้โดยกระผมขอประทานโอกาสกล่าวนำ ณ บัดนี้
พระศาสนาสัมพันธ์คือมรรคา ที่ชักพานำมนุษย์สู่จุดหมาย เพื่อมนุษย์ได้เป็นสุขทุกนิกาย เราทั้งหลายชวนกันมาปรึกษากัน พระเจ้าแท้มีแต่พระองค์เดียว ทางจึงมีแต่ทางเดียวเป็นแม่นมั่น เป็นทางตรงมุ่งไปสู่ไกวัลย์ เป็นนิรันดรสุขแต่ทุกคน ไม่มีข้อขัดแย้งแบ่งพวกพรรค มนุษย์รักร่วมสุขทุกแห่งหน นี่แหละหนาพวกเรามารวมกมล แห่งมวลชนเพื่อบูชาพระเจ้าเดียว การเรียกชื่อต่างกันนั้นไม่แปลก แต่เนื้อในไม่อาจแยกเป็นส่วนเสี้ยว คือธรรมธาตุหนึ่งแน่เป็นแท้เชียว ทุกคนเหนี่ยว เป็นที่พึ่งจึงรอดเอย
กราบขอบพระคุณครับ
ท่านพุทธทาส : คำว่าไกวัลย์ คงจะมีบางคนไม่เข้าใจ ไหนลองอ่านบรรทัดนั่นนะ ไกวัลย์
ผู้ดำเนินการอภิปราย : เป็นทางตรงมุ่งไปสู่ไกวัลย์
ท่านพุทธทาส : ไกวัลย์ อ่า นั้นก็แปลว่า การรวมเป็นหน่วยเดียว คำนี้เป็นคำใช้ในศาสนาไชนะ มีความหมายเท่ากับพระเจ้า มีความหมายเท่ากับนิพพานในพระพุทธศาสนา ไกวัลย์ ที่เราเรียกกันว่า ไกวัลย์ ทั่วไกวัลย์ ไม่ใช่ทั่วพิภพจบแดนอะไร ไกวัลย์ แปลว่ารวมเป็นหน่วยเดียวเท่านั้น หนึ่งเดียวเท่านั้น ทั้งหมดหน่วยเดียวเท่านั้น นี่เรียกว่าไกวัลย์ คำว่าธรรมธาตุนั่น เป็นชื่อของธาตุชนิดหนึ่ง คือธาตุธรรมชาตินั่นเอง เรียกว่า ธรรมธาตุ เป็นสัจจะของธรรมชาติ มีอยู่ได้โดยตัวมันเอง นี่เรียกว่าธรรมธาตุ ฉะนั้นผู้ที่สนใจใน บทกลอนนี้เข้าใจเสียให้ถูกต้องว่าไกวัลย์ คืออะไร ธรรมธาตุคืออะไร เรามุ่งสู่ไกวัลย์ คือความเป็น หน่วยเดียวกัน แล้วธรรมธาตุนี้อยู่ตลอดกาล และแม้ว่าจะปิดรายการศาสนาสัมพันธ์แล้ว แต่รายการมาฆบูชายังไม่ปิด ดังนั้นใครจะดำเนินรายการมาฆบูชาต่อไปก็ยังไม่กลับ เพราะเราเคยทำกันมาทุกปี จนสว่าง