แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คือการพูดกันเป็นครั้งที่ ๕ สำหรับผู้จะลาสิกขา จะพูดด้วยหัวข้อว่า โลกุตรธรรม อยากจะให้เข้าใจไว้เสมอว่า โดยทั่วไปเขาไม่ถือว่าไอ้เรื่องเหล่านี้ เช่นเรื่องที่พูดมาแล้วแต่หนหลัง ๔ ครั้ง และวันนี้อีกครั้งว่า โลกุตรธรรม คือธรรมะสูงสุดในพุทธศาสนานี้จำเป็นสำหรับฆราวาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่ม คือเขาไม่เอามาพูดกัน เขาต้องการให้พูดกันแต่คนแก่ นี่เป็นสิ่งที่มันมีอยู่จริง ซึ่งมันขัดกับสิ่งกับที่เราจะทำ สิ่งที่เขาไม่ทำ ก็กลายเป็นทำ เพราะว่าเรามีการคิดเห็นต่างกัน อย่างที่พูดไว้แล้ว ว่าธรรมะสำหรับดับทุกข์ ถ้ามีความทุกข์ก็ต้องการธรรมะ จะธรรมะอะไรก็สุดแท้ ที่โลกุตรธรรมนั้น มันเป็นผลของการปฏิบัติธรรม คือเป็นความพ้นทุกข์
เอาล่ะ ขอให้สนใจฟังอย่างเดียวกับเรื่องต่างๆ ที่ได้พูดมาแล้วในครั้งก่อนๆ วันนี้ก็พูดเรื่องโลกุตรธรรม ซึ่งมีลักษณะสูงสุด คำนี้มันแปลว่าเหนือโลก มาเป็นภาษาไทย ก็เปลี่ยนจาก โลกุตร มาเป็น โลกอุดร โลกอุดร โลกุตร หรือโลกอุดร มันเป็นโลกอุดร อุดร หรือคำว่า กุตร แปลว่าเหนือ เช่นทิศอุดร คือทิศเหนือ โล-กะ โลก กุตร เหนือ โลกุตร เหนือโลก หรือเรียกกันว่า โลกอุดร คงจะเคยได้ยินได้ฟังกันมาบ้างแล้วก็ได้ หรือว่าคงจะได้ยินได้ฟังต่อไปอีกก็ได้ เราจะพูดกันเรื่องโลกอุดร
ถ้าว่าจะให้เด็กๆ เขาแปลคำนี้ มันก็ต้องแปลว่าโลกทางทิศเหนือ โลกอุดร เป็นโลกทางทิศเหนือ แต่ภาษาธรรมะไม่ได้แปลว่า โลกทางทิศเหนือ แปลว่าเหนือโลก โลกอุดร เหนือโลกนั้น ที่เขาพูดกันอยู่เป็นประจำแต่ก่อนนั้น เพราะว่าต้องตายแล้วจึงจะไป โลกอุดร อยู่ที่อื่น ไม่รู้อยู่ที่ไหนน่ะ จนบอกไม่ บอกไม่ ไม่ได้ บอกไม่ได้ว่ามันรู้ มันอยู่ที่ไหน ที่นั่นเป็นโลกอุดร ต่อตายแล้วจึงจะไปได้ แต่ว่าตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ต้องตายแล้ว ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว ในชีวิตนี้ก็ไปถึงโลกอุดรได้ แล้วก็ท่านที่ร่างกายอยู่ในโลกนี้ จิตก็ไปถึงโลกอุดรได้ เขาก็เป็นสิ่งที่มีไว้ กล่าวไว้ ตรัสไว้ สำหรับทุกคน สำหรับมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่เฉพาะคนแก่หรือคนอยู่วัด หรือคนบางจำพวก แต่สำหรับทุกคน
เกี่ยวกับเรื่องที่ควรจะฟังไว้ ก็มีว่า พวกพราหมณ์ก็บัญญัติวรรณะทั้ง ๔ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร วรรณะ ๔ มีพราหมณ์คนหนึ่งเขาเคยเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ทูลถามพระพุทธเจ้าว่าพวกพราหมณ์เขาบัญญัติทรัพย์ไว้ประจำวรรณะ คือว่าสิทธิในการรับภิกษาจาร นี้เป็นทรัพย์ของพวกพราหมณ์ อาวุธ ธนู ศร เป็นต้น นี้เป็นทรัพย์ของกษัตริย์ ของวรรณะกษัตริย์ กสิกรรม พาณิชกรรม โครัตถกรรม (นาทีที่ 7:35) เป็นต้นนี้ เป็นมัน เป็นทรัพย์ของวรรณะแพศย์ แพศย เคียว ไม้คาน เป็นทรัพย์ของวรรณะศูทร กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ได้รับทรัพย์สมบัติต่างกัน ตามวรรณะในลัทธิพราหมณ์เขาบัญญัติอย่างนั้น แล้วเราก็เห็นได้ว่า เขาก็ปฏิบัติกันอยู่จริง เช่นพวกพราหมณ์ เป็นวรรณะ ซึ่งนักบวชนี่ ก็รับไทยธรรม ของถวายเป็นทรัพย์ กษัตริย์ก็ต้องใช้อาวุธ เอาไว้หาประโยชน์ อะไรก็ตามล่ะ อาวุธเป็นทรัพย์ของพวกกษัตริย์ ประชาชนทั่วไปก็ต้องประกอบกิจกรรม เช่น พาณิชกรรม หรือ หรือโครัตถกรรม (นาทีที่ 8:46) คือเลี้ยงวัว กสิกรรม ทำนา เป็นต้น เป็นทรัพย์ ส่วนพวกวรรณะศูทร ก็รับจ้างเขา มันก็มีไม้คานหาบของ เคียวเกี่ยวข้าว เกี่ยวหญ้า นี่ก็เรียกว่าวรรณะพราหมณ์ เอ้ย ลัทธิพราหมณ์บัญญัติไว้อย่างนี้ ที่พระสมณะโคดมบัญญัติว่าอย่างไร เมื่อพราหมณ์เขาบัญญัติอย่างนี้ แล้วสมณะโคดมบัญญัติว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า อริยะ โลกุตรธรรม เป็นทรัพย์ของคนทุกคน คุณลองคิดดูเถิด ไม่ได้ดูกันในเพียงเรื่องโวหาร หรือคารม มันก็ยังน่าสนใจอยู่มาก ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราบัญญัติ อริยะ โลกุตรธรรม หรือทรัพย์ก็ได้ เป็นทรัพย์สำหรับทุกคน ความหมายมันอยู่ที่คำว่า โลกุตร นั่นแหละ อริยะ มันแปลว่าอันประเสริฐ มันเป็นคำประกอบ โลกุตรเป็นตัวธรรมะ บัญญัติสำหรับทุกคน คำว่าทุกคนก็คือทุกวรรณะ ทั้งหญิงทั้งชายรวมกัน คนที่มันจะรับเอาได้ทุกคน ไม่ว่าใคร เราก็ควรจะรู้ข้อนี้ไว้ว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้สำหรับทุกคน ก็รวมเราด้วย นี้ก็ไม่จำกัดว่าอยู่วรรณะไหน แล้วก็ไม่จำกัดว่าเป็นนักบวช หรือเป็นฆราวาส ผมจึงถือว่าเป็นสิ่งที่ฆราวาสก็ต้องมี ควรจะมี จึงจะไม่เสียทีที่ได้พบพระพุทธศาสนา
ทีนี้ว่าจะลาสิกขาไปเป็นฆราวาส จะเอาโลกุตรธรรมนี้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไรให้สมกับที่ว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าสำหรับทุกคน นั่นแหละข้อที่ต้องพูดกัน คำว่าโลกุตร แปลว่าเหนือโลก อะไรเหนือโลก คือจิตใจอยู่เหนือโลก ถ้าว่าจิตใจอยู่ใต้โลกก็คือความทุกข์นั่นเอง คือสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลก หรืออำนาจของสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกมันบีบคั้นหัวใจเรา ไอ้ที่เป็นวัตถุโดยตรงมันก็มีที่เราต้องการนั่น ต้องการนี่ ต้องการรถยนต์ ต้องการบ้าน ต้องการเครื่องใช้อย่างวิเศษ ต้องการสิ่งแวดล้อมประโลม สิ่งเหล่านั้นมันก็บีบบังคับใจเรา แม้ในเรื่องทางวัตถุ เราก็เดือดร้อนจิตใจด้วยเรื่องทางวัตถุกันอยู่เป็นประจำ นี่เขาเรียกว่าโลก หรือวัตถุในโลก หรือโลกแห่งวัตถุ มันอยู่เหนือเรา มันก็บีบคั้นเรา กดทับเรา เราก็เดือดร้อนอยู่โดยจิตใจ
ทีนี้โลกมีความหมายละเอียดลึกซึ้งกว่านั้น มันก็คือสิ่งที่มีอำนาจบีบคั้นใจ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ หรืออายตนะ ๖ ที่เคยพูดมาแล้ว เรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วคู่ คู่ คู่ คู่จับของมันก็คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ รูปที่น่ารัก เสียงที่ไพเราะ กลิ่นที่หอม รสที่อร่อย สัมผัสผิวหนังที่นิ่มนวล ความคิด ความรู้สึกที่สบายแก่จิตใจ มันก็ท่วมทับใจอยู่ บีบคั้นจิตใจอยู่ มีอำนาจเหนือใจอยู่ เราต้องไปแสวงหามันด้วยความยากลำบาก แล้วก็มายึดถือไว้ มีแต่ความยึดถือ มันก็ทรมานใจ อย่างน้อยก็ด้วยที่ว่ามันเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของสังขาร มันก็เป็นทุกข์แก่ผู้ที่ยึดถือ สิ่งเหล่านั้นเรียกว่าโลก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ คู่ปรับของมัน ๖ คู่ รวมกันเป็น ๖ คู่นี้ นี่คือโลก ท่านตรัสว่าโลก นี่คือโลก อย่างนี้ก็มี คือโลก คืออายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ เรียกว่า โลก
ไอ้โลกนี้มันเป็นของหลอกๆ ที่จะต้องแตก ทำลาย เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่ครั้นมันบีบบังคับเรา อยู่เหนือจิตใจของเรา เราก็มีความทุกข์ เพราะว่าเราไปชอบมัน เราไปเกลียดมัน สิ่งที่เป็นโลกหรือมีอยู่ในโลกนั้นมันมีค่าเป็นสองอย่างคือ น่ารัก และน่าชัง มันก็ทำให้เกิดความทุกข์ได้ ทั้งสองอย่าง อย่างที่น่ารักทำให้เกิดความทุกข์ไปตามแบบของสิ่งที่น่ารัก ที่เป็นที่ตั้งแห่งความรัก ที่น่าชังก็มีความทุกข์ไปตามแบบที่มันน่าชัง หรือเป็นที่ตั้งแห่งความชัง เพราะว่ามันทำให้เรารักในส่วนหนึ่ง มันทำให้เราโกรธหรือเกลียดในส่วนหนึ่ง ในความรักก็เป็นไฟไปตามแบบความรัก ความเกลียด ความโกรธ ก็เป็นไฟไปตามแบบของความเกลียด ความโกรธ นี่ก็ควรจะเอาไปใส่ไว้ในบท ล้วนแต่อัปรีย์ (นาทีที่ 16:44) วิเคราะห์ดูกันที การได้ การเสีย ล้วนแต่อัปรีย์ ทั้งชั่ว ทั้งดี ล้วนแต่อัปรีย์ ที่น่ารัก น่าชัง ก็ล้วนแต่อัปรีย์ เพราะมันกัดทั้งนั้น ไอ้ส่วนที่น่ารักก็มันกัด กัดให้มัน มีความทุกข์ ไอ้น่าชังมันก็กัดให้มีความทุกข์ ที่น่ารัก น่าชัง ล้วนแต่อัปรีย์ อัปรีย์ อัปรีย์ คำนี้แปลว่าไม่น่ารัก คือมันเป็นอันตราย คือมันกัดนั่นเอง
ทีนี้โลกมันมีแต่อารมณ์ มันเป็นที่ตั้งแห่งความรักและความชัง ปัญหาของมนุษย์ก็มีสองเรื่องนี้แหละ ปัญหาที่เกิดมาแต่ของน่ารัก และปัญหาที่เกิดมาแต่ของน่าชัง เกิดมาจากความรักและความชัง ความทุกข์นี้เกิดมาแต่ความรักและความชัง พูดให้ชัดก็ว่าเกิดมาแต่ไอ้ความรู้สึกที่ชอบ ที่จะเอา และความรู้สึกที่จะเกลียด ที่เกลียด ที่จะทำลาย มีอยู่สองอย่างเท่านั้น ที่เรียกเป็นบาลีก็มักจะเรียกกันว่า อวิชชา และโทมนัส เรียกภาษาไทยๆ เราว่า ไอ้สิ่งที่น่ารัก น่าชัง อวิชชานั้นคือสิ่งที่อยากได้ ความอยากได้ในสิ่งที่น่ารัก โทมนัสเป็นความขัดเคืองในสิ่งที่น่าชัง พอมันเกิดความรักและความชังขึ้นมาแล้วจิตมันก็ถูกท่วมทับด้วยความรู้สึกอันนั้น หรือด้วยสิ่งซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดความรักหรือความชังนั่นเอง แม้ว่าในโลกนี้มันจะมีสิ่งที่ทำให้เกิดความรักและความชัง แต่ถ้าเราขจัด ปัดเป่าความรักและความชังออกไปเสียได้ทั้งสองอย่าง ไอ้โลกนี้มันก็หมดอำนาจ หมดอำนาจที่จะบีบคั้น ท่วมทับเผาลนจิตใจเรานี้ ถ้าจิตใจเรายังโง่ยังงก ยังเกิดความรักและความชังต่อสิ่งทั้งปวงได้อยู่ สิ่งนั้นก็มีอำนาจอยู่เหนือจิตใจของเรา นี่ความที่โลกอยู่เหนือเรา เราก็ต้องทำในทางที่กลับกัน คือเราอยู่เหนือโลก ถ้าโลกอยู่เหนือเรา มันก็หมายความว่า เหมือนกับเอาหินมาทับเรา ไม่สนุกเลย บางทีก็เป็นความทุกข์เอามากๆ ถ้าเราอยู่เหนือโลก ไม่เป็นไร ก็สบายดี นี่เรียกว่าโลกุตร
ตามธรรมดาก็หมายถึง ที่เขานิยมใช้คำพูดคำนี้ ก็หมายถึง มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ แม้มันจะขึ้นอยู่กับโลก แต่จริงๆ แล้วมันก็จะจัดเป็น มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ คือพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหัต สี่นั้นมันมีทั้งมรรคและผล มรรค ๔ และผล ๔ แล้วก็มีนิพพานอีก ๑ รวมเป็น ๙ เขาเรียกว่านวโลกุตร หรือนวโลกอุดร เขามักจะทำยอดเป็นเจดีย์ หรือยอดปราสาท ยอดอะไร เป็น ๙ ยอด เป็นเงี่ยง เป็นเงี่ยง รวมทั้งหมด ๙ (นาทีที่ 21:11) พันยอด พันยอดนี้ มันมียอดแหลมอยู่อันหนึ่ง แล้วมีสองชั้น ชั้นละสี่ เล็กใหญ่ ไปตามลำดับ รวมเป็น ๙ (นาทีที่ 21:20) เรียกว่าผ่า หรือยอดนภศูล เอามาจากพวกพราหมณ์เขาล่ะ สัญลักษณ์อันนี้ พวกพุทธเอามาใช้ ๙ นี้คือว่าโลกอุดร หรือโลกุตร เป็นสัญลักษณ์เตือนใจว่าสูงสุดอยู่ที่นั่นล่ะ อยู่ที่ ๙ ยอด ๙ ยอด ๙ ๙ ยอด พวงนั้นจึงเป็นสัญลักษณ์ของความอยู่เหนือโลก ขึ้น ขึ้นไปจนอยู่เหนือโลก มีอยู่ ๙ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ทีนี้หมายความว่า เขา เขาขจัด เอาส่วนที่มันแน่นอน คือ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล แน่นอน ที่ว่ามีการเหนือโลก เริ่มเหนือโลกและจะเหนือขึ้นไปตามลำดับอย่างนั้น ถ้ายังไม่ถึงนั้น ยัง ยังไม่เรียกว่าโลกอุดร เป็นปุถุชนชั้นดี นี้มันยังไม่เรียกว่าโลกอุดร คือเหนือโลก นี่ก็เพียงว่ากำลังเตรียม เตรียมตัวที่จะขึ้นไปที่ระดับเหนือโลก ถ้าว่าขึ้นได้กันแล้วก็นับตั้งแต่พระโสดาปัตติมรรคขึ้นไปจนถึงพระอรหัตผลและนิพพาน
ถ้าพูดไปอย่างนี้มันก็ดูจะยุ่งมากขึ้นทุกที กลายเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องขลังไปเลยก็ได้ และไม่รู้จะมาใช้อย่างไร ที่เราจะพูดให้มันใช้ประโยชน์ได้ก็คือว่า จิตใจอยู่เหนืออำนาจบีบคั้นของสิ่งที่มีอยู่ในโลก ถ้าคุณ คุณจับเอาใจความข้อนี้ได้นี่ จิตใจอยู่เหนืออำนาจบีบคั้นของทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลก อะไรล่ะ ที่มันมีอยู่ในโลกแล้วบีบคั้นจิตใจของเรา มันก็มากมาย อะไรๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ถ้ามันทำให้จิตใจของเรากระวนกระวาย เป็นทุกข์ร้อนได้ ก็เรียกว่ามันเป็นสิ่งที่มีอำนาจบีบคั้นจิตใจเราทั้งนั้น อย่างผู้ที่เป็นที่รักก็บีบคั้นกันแบบหนึ่ง ที่เป็นที่ชังก็บีบคั้นกันแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้นอยู่ที่ว่าง หรืออยู่ที่สูญ จะไม่บีบคั้น ถ้ามีความหมายเป็นรัก เป็นชัง เป็นดี เป็นชั่ว เป็นบุญ เป็นบาปแล้วก็จะบีบคั้นในลักษณะใด ลักษณะหนึ่งเสมอ เราอยู่ในโลก แล้วทุกสิ่งในโลกยังมาบีบคั้นเราคิดดูแล้วมันน่าสงสาร แต่มันแย่มาก หรือแย่น้อย ทำอย่างไรอย่าให้ทุกสิ่งในโลกบีบคั้นจิตใจเราได้ มันเป็นเรื่องของโลกอุดร
วันก่อนก็พูดเรื่องอายตนะ เรื่องขันธ์ ก็เหมือน ก็เรื่องเดียวกัน แต่ใช้คำพูดต่างกัน เราไปยึดมั่นสิ่งใด สิ่งนั้นมันก็บีบคั้น พูดให้ชัดว่าเราไปยึดมั่นในสิ่งใด เราก็เป็นทาสของสิ่งนั้น สิ่งนั้นเป็นนายแก่เรา เราก็เป็นทาสของสิ่งนั้น ยึดมั่นดีก็เป็นทาสสิ่งดี ยึดมั่นชั่วก็เป็นทาสสิ่งชั่ว มันเป็นนายเรา มันอยู่ข้างบน มันบีบคั้น สิ่งในโลกมีอำนาจบีบคั้นจิตใจของเรา ถ้าเราทำอย่าให้มันมีอำนาจบีบคั้นจิตใจของเราได้ นั่นเรียกว่าโลกอุดร อยู่ที่นี่แหละ อยู่ในโลกในสภาพอย่างนี้ ในทางร่างกาย แต่ในทางจิตใจเปลี่ยนไปหมดแล้ว กลายเป็นผู้ที่ อะไรในโลกจะไม่บีบคั้นจิตใจของเขาได้ นั่นก็คือพระอริยเจ้า โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ท่านเหล่านั้น สิ่งที่มีอยู่ในโลก บีบคั้นจิตใจของท่านไม่ได้ หรือว่าเริ่มบีบคั้นไม่ได้ พระโสดาบันยังไม่ได้อยู่เหนือโลกโดยสิ้นเชิง มันต้องมีอะไรที่จะบีบคั้นได้บ้าง แต่ไม่มากเท่าปุถุชน ปุถุชนมันถูกโลกบีบคั้น ท่วมทับเต็มที่ พระโสดาบันก็เริ่มเผยอขึ้นไป เราจะใช้คำว่าเหนือการบีบคั้น หรือ โลกอุดร ก็ต้องไปดู คุณมีอะไรบ้าง ที่เคยบีบคั้นจิตใจของเรา มันไปอยู่ในรูปของสิ่งต่างๆ ก็จริง แต่มันไปรวมจุดอยู่ที่กิเลส ตัณหา อุปาทาน ถ้ามีอุปาทานไปยึดอะไรในโลกแล้วสิ่งนั้นก็จะกลายเป็นบีบคั้นเรา ท่วมทับเรา อยู่เหนือเรา
หนทางที่สิ่งต่างๆ ในโลกจะมาท่วมทับเรา บีบคั้นเรา มีอำนาจเหนือเรา ก็คือกิเลสของเราเอง คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ของเราเอง ถ้าจะเอาแต่สิ่งเดียวก็ระบุไปที่อวิชชา อวิชชา ความไม่รู้ของเราทำให้โลกมีอำนาจเหนือเรา บีบคั้นเรา ทรมานเรา ความรู้สึกบางชนิดเรียกว่า ตัณหา บางชนิดเรียกว่า ทิฏฐิ บางชนิดเรียกว่า มานะ บางชนิดเรียกว่า อุปาทาน และก็มันมาจากอวิชชา ก็มันไม่รู้ มันขาดความรู้ ไม่มีความรู้ มันจึงหลงรักบ้าง ยึดถือบ้าง สำคัญนั่น สำคัญนี่ อย่างนั้นอย่างนี้ จนว่าไอ้ทุกอย่างน่ะ มันมาอยู่บนเรา ไอ้ที่เป็นปัญหามากก็คือ คือสิ่งที่มันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ เป็นที่ตั้งแห่งความผูกพัน มันเป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมอง สิ่งซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งกิเลส สิ่งที่เป็นเครื่องยั่วยวนของกิเลส ทีนี้กิเลสมันมีมาก ไอ้สิ่งที่ยั่วยวน เป็นที่ตั้งกิเลสมันก็มีมาก กิเลสมันมีทั้งฝ่ายรัก และฝ่ายชัง ทีนี้สิ่งทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายรักและฝ่ายชังเข้ามาเป็นที่ตั้งของกิเลส ยั่วยวนกิเลส เมื่อกิเลสจับยึดเอาสิ่งนั้น สิ่งนั้นก็มาอยู่บนเรา ท่วมทับเรา เหนือเรา นี่เขาเรียกว่าโลกทั้งโลกมันมาอยู่ ท่วมทับอยู่บนเรา เพราะว่าจำแนกโลกออกไปเป็น ๖ อย่าง คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่จะรู้สึกได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มีเท่านั้น โลกมีเท่านี้
ความหมายที่จำแนกออกไปได้เป็น ๖ อย่าง ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ไอ้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้คุณจำไว้ให้แม่นๆ มันมีความหมายหลายแง่หลายมุม เท่าที่เราจะควรรู้ไว้ อย่างน้อยก็ ๓ ๔ แง่นี้ เช่นว่ามันเป็นโลก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กับคู่ของมันน่ะ มันเป็นโลก มันเห็นได้ง่ายนิดเดียว พอเราไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คุณลองนึกดู มันจะมีอะไรล่ะ ถ้าสมมติว่าเราไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็ไม่มีอะไรๆ อย่างที่เราเรียกว่าโลก หรืออยู่ในโลก ไอ้โลกมันยังอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่กำลังมีอะไรเป็นคู่ๆ ของมัน ท่านมาเรียกอายตนะ ๖ นี้ว่าโลก
ทีนี้ความหมายอื่นท่านเรียกว่า สมุทร มหาสมุทร ในความหมายที่ว่าตกลงไปแล้วตาย ข้อนี้ท่านตรัสไว้ชวนขัน ขบขัน ไอ้ที่ชาวบ้านเรียกกันว่ามหาสมุทร ที่ชาวโลกเขาเรียกกันว่า มหาสมุทร ท่านตรัสว่ามันเป็นน้ำมากนิดหน่อย น้ำมากนิดหน่อย คือมหาสมุทร ไอ้มหาสมุทรที่แท้จริงคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ติดกันอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นี่คือมหาสมุทร มันลึก ลึกเหลือประมาณ แล้วตกแล้วตายทั้งนั้นแหละ ไม่มีทางรอดออกมา เพราะฉะนั้นเราตกมหาสมุทรกันก็คือตกที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็ตายอยู่ในความทุกข์ นี่เป็นความหมายหนึ่ง ท่านเรียกว่าสมุทร เมื่อเราไปที่ทะเล ทีนี้เรากลัวตกลงไปตาย แต่ทะเล มหาสมุทร ที่มันตกอยู่ทุกวัน ไม่รู้จัก มันเป็นอย่างนั้น
ทีนี้ท่านเรียกอายตนะ ๖ นี้ว่า อายตนิกนรก เรียกว่า นรก อายตนิกนรก คือนรกทางอายตนะ ๖ เรียกเต็มชื่อ เต็มๆ ชื่อมันยาว ฉผัสสายตนิกนรก นรกที่เกิดทางอายตนะแห่งผัสสะทั้ง ๖ ฉผัสสายตนิกนรก เมื่อถ้าเราทำอะไรผิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ อย่างนี้ เกิดเป็นความทุกข์ขึ้นมา นรกก็อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่แหละ นรกนี้น่ากลัวว่านรกไหน นรกใต้ดินนี้จะถึงก็ตายแล้วมัน อย่างที่เขาเล่าๆ มันก็ยังไม่ทำอะไรเรา แต่นรกนี้มันตกกันอยู่ทุกวัน ทุกวัน มันอยู่ที่นี่ด้วยกัน มันน่ากลัวกว่า อย่าตกนรกนี้ อย่าตกนรกที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันไม่ ไม่ตกนรกไหนอีกแล้ว นรกใต้ดิน นรกไหน ไม่ตกอีกแล้ว เพราะว่าการที่ไม่ตกนรกตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือไม่ได้ทำผิดอะไร ทำผิด ทำผิดแล้วมันจึงไปตกนรกใต้ดินเหมือนที่เขาว่า เพราะฉะนั้นไม่ทำผิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วจะเอาอะไรไปตกนรกใต้ดิน นี่เขาว่านรกมันอยู่ที่ ทำผิดที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดเป็นไฟขึ้นมาที่นั่น
ทีนี้สวรรค์เอาอีกแล้ว สวรรค์ก็อยู่ที่อายตนะ ๖ หรือเรียกว่าฉผัสสายตนิกสวรรค์ เมื่อเราทำถูกต้องทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จนสบาย จนได้รับผล อย่างที่ชาวโลกเขาปรารถนากันนั้น ยังไม่ถึงนิพพานนะ แต่มันเป็นสวรรค์ ชั้นสวรรค์ที่มีสิ่งประเล้าประโลมใจ ถูกอกถูกใจ เพลิดเพลินกันไป มันก็สร้างขึ้นมาได้ที่การกระทำอันถูกต้องทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ท่านว่าอย่างนี้ อะไรๆ มันก็จะอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในโลกนี้ รวมหมดนั้นมันก็เรียกว่าโลกก็แล้วกัน เรียกว่าโลกก็คือโลก เรียกว่าสมุทรก็คือโลก เรียกว่านรกก็คือโลก เรียกว่าสวรรค์ก็คือโลก อายตนะทั้ง ๖ มันเป็นได้มาก ครบถ้วนอย่างนี้ พอเราไปหลงรักมัน มันก็เป็นโลกที่อยู่เหนือเรา ท่วมทับเรา บีบคั้นเรา เผาลนเรา ผูกมัดรัดรึงเรา เสียดแทงเรา โลกที่เราอยู่ใต้มัน
ทีนี้เราก็มาอยู่ข้างบน ขึ้นมาอยู่ข้างบน หมายความมันทำอะไรเราไม่ได้ เราทำในลักษณะที่ว่าอะไรทุกอย่างในโลกไม่มีอำนาจเหนือเรา ไม่มีอำนาจบีบคั้นให้เราเป็นทุกข์ ไม่ว่าทางไหนหมด ต้องอาศัยธรรมะแหละ ให้ไปยึดถือเอาโดยความเป็นของน่ารัก น่าชัง พวกพึ่งพระเจ้า สูญ ว่าง สุญญตา ว่าง พึ่งสุญญตา อะไรเข้ามาเอาสุญญตาใส่เข้าไป ตั้งใจ น่ารักเข้ามาเอาสุญญตาใส่เข้าไป น่าชังเข้ามาเอาสุญญตาใส่เข้าไป ทีนี้ก็หมดความที่น่ารัก และความที่น่าชัง เป็นสุญญตา ว่าง นี่อยู่เหนือโลก เป็นโลกอุดร
ทีนี้ศึกษาเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไว้ให้ดีๆ อายตนะเป็นเรื่องสำคัญ ตั้งแต่จุดตั้งต้น ต้องมีจุดตั้งต้นจุดแรก จนถึงท่ามกลาง จนถึงเบื้องปลาย จนถึงสุดท้าย ถ้าทำถูกต้องไม่ผิดพลาดในระดับสูงทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นนิพพานได้ เรามีผัสสะ ควบคุมผัสสะ ควบคุมเวทนา ไม่ให้เกิดตัณหา ไม่ให้เกิดอุปาทาน ก็ไม่เกิดทุกข์ ก็เป็นนิพพานได้ จะมีนิพพานปรากฏออกมาก็เรียกว่า เพราะกระทำถูกต้องที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถึงที่สุด และเด็ดขาด ถูกต้องถึงที่สุด เด็ดขาด และก็ไม่กลับเปลี่ยนมาได้อีก ถ้ายังกลับเปลี่ยนมาได้อีก ยังไม่ใช่นิพพาน เป็นนิพพานชั่วคราว เป็นนิพพานชิมลอง เย็นชั่วขณะ เป็นนิพพานชิมลอง ถ้าปฏิบัติได้ถูกต้อง เย็น เด็ดขาดลงไป นั่นก็เป็นนิพพานจริง ถ้าเราไม่อยู่ใต้โลก ไม่อยู่ใต้อำนาจของโลกจริงๆ ก็เป็นนิพพานจริง เป็นโลกุตรจริง
ในโลกมันจะมีอะไรท่วมทับเราอย่างนี้นั้น เพราะมันมีอะไร ที่เป็นสายเชื่อมโยงกันกับโลก คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือผัสสะ คือเวทนา คือตัณหา อุปาทาน มันเป็นสายใยที่เชื่อมจิตใจกับสิ่งข้างนอก ถ้าป้องกันได้มันก็พ้นภัยไปชั่วที่ป้องกันได้ แต่ไม่เด็ดขาด แต่ถ้าทำลายมันเสียเลย นั่นน่ะมันจะเด็ดขาด ถึงเรื่องกิเลสตัณหาที่มันเป็นเหยื่อ เป็นทาสในโลกนี้ ต้องทำลายกันเลย ถ้าป้องกันด้วยการระวัง รักษา นี่มันก็เป็นไปชั่วขณะ แล้วก็มีสติ มีปัญญาสูงสุด ทำลายอวิชชาเสีย เรื่องเชื่อมโยงกับโลกที่เกิดเป็นทุกข์ มันถูกทำลาย ถูกตัดขาดไป ไม่มีตัณหา ไม่มีอุปาทาน ไม่มีมานะ ไม่มีทิฏฐิ ไม่มีกิเลส สิ่งที่โลกจะมาท่วมทับเรา ถูกตัดขาดออกไป อยู่เหนือโลกโดยประการทั้งปวง มันยาก ถึงขั้นนี้ ที่ว่าคราวเดียวจะไปถึงนั้น มันก็เอาเพียงแต่ว่าระมัดระวังไว้ทันท่วงทีก่อน ระมัดระวังไว้ทันท่วงทีเรื่อยๆ ไป เรื่อยๆ ไป นานเข้า กิเลสตัณหา มันผอม มันจาง มันหายไปได้ จึงจะเด็ดขาดถึงที่สุด
การวิมุตติหลุดพ้นนี่ มันมีทั้งระดับชั่วคราว และระดับเด็ดขาด ชั่วคราว เพราะเรารู้จักหลีกเลี่ยง ชั่วคราวเพราะว่าเรามีสมาธิข่มไว้ เรียกชั่วคราวทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าท่านดีแท้ก็มีปัญญาตัดทำลาย ขาด ทำลายอวิชชาหมดสิ้น มันก็ไม่มีอะไรอีกที่จะมาทำให้เป็นปัญหา มันก็พูดได้เลยว่าจะขึ้นอยู่เหนือโลก ตอนนี้ก็ต้องทำลายอวิชชา ซึ่งเป็นเหตุให้เราอยู่ใต้โลก อวิชชาให้เกิดกิเลส เกิดอะไรต่างๆ เพื่อไปอยู่ใต้โลกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะมันมีอวิชชาอยู่ที่นั่น ที่ทำลายวิชชาเสีย ไม่มีอวิชชาที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือไม่มีผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือไม่มีเวทนาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไม่มีอวิชชา หมายความว่ามันมีสิ่งตรงกันข้ามก็คือวิชชา อวิชชามืด วิชชานี้สว่าง มีวิชชา มีสว่าง ก็ไม่มีกิเลส มันก็มีแต่สิ่งที่ทำลายกิเลส เมื่อหมดกิเลส สิ่งต่างๆ ในโลกก็หมดโอกาส หมดอำนาจที่จะทำอันตรายเรา ไม่อาจจะครอบงำเรา ไม่อาจจะแผดเผาเรา ผูกมัดรัดรึงเรา เราอยู่ในโลกด้วยร่างกาย แต่จิตใจไม่ได้อยู่ใต้โลก จิตใจมันอยู่เหนือโลก ร่างกายอยู่ในโลกแต่จิตใจอยู่เหนือโลก เพราะฉะนั้นไม่ต้องหนีโลกไปอยู่ในป่า ในดงอะไรที่ไหน แต่ต้องอยู่ตามสมควร ที่เราควรจะอยู่ เขาคงอยู่ในสิ่งที่เรียกกันว่าโลกนี้ ในโลกนี้ โลก แผ่นดินเมืองไทยนี้ แต่ว่าจิตใจนั้นอยู่เหนือโลก ไม่มีอะไรในโลกจะทำให้เราเป็นทุกข์ได้
กิเลสดึงไปหาสิ่งที่ทำให้เป็นทุกข์ได้ ถ้าทำผิดหมดทางอายตนะ มีอบายมุข ไปเล่นม้า ไปกินเหล้า อะไรก็ได้ที่จะทำให้จิตใจอยู่ใต้อำนาจสิ่งเหล่านี้มันก็เป็นทุกข์ ทีนี้เราก็ไม่อยู่ใต้อำนาจสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป แต่เราจะพูดว่าสิ่งเหล่านั้นมันสำหรับคนโง่ เราคงจะไม่โง่ถึงขนาดนั้นน่ะ เช่นว่าสึกไปนี้คงไม่มีใครไปเล่นม้าแน่ มันเก็บไว้ให้คนโง่เกินไป แต่มันยังมีอะไรที่มันยังเหนือนั้น ที่มันจะเล่นงานคุณ ระวังให้ดี ยังมีอีกมาก มันไม่ใช่เพียงแค่ว่าไปเล่นม้า ไปกินเหล้า ไปอาบ อบ นวด มันยังมีอะไรอีกที่มันละเอียดประณีต บางทีมันก็ในออฟฟิศทำงานและมันมีอะไรที่ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ รัก โกรธ เกลียด กลัวอะไรขึ้นมาได้ มันฉลาดเสียหมด อย่าให้อะไรมาทำให้จิตใจพลัดลงไปอยู่ใต้ความทุกข์นั้น
มันก็คล้ายๆ กับที่พูดไปแล้ววันก่อน เมื่อทำงานก็ดี เมื่อพักผ่อนก็ดี เมื่อบริหารกายก็ดี เมื่อเจ็บไข้ก็ดี แม้แต่ว่านอนหลับก็ดี มีสติปัญญา ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของอารมณ์ใดใด ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็ไม่มีความทุกข์ แล้วก็ขนเอาไปด้วย ความรู้สำหรับที่จะอยู่เหนือสิ่งที่เข้ามาแวดล้อมเรา สิ่งเหล่านั้นมีอยู่ในโลก มันพร้อมที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรา แวดล้อมเรา ถ้าเราโง่ มันก็ยั่วให้หลง ตกอยู่ใต้อำนาจของมัน เราก็ตกนรกทั้งเป็น นั่นคือความทุกข์ ที่เคยถูกมาแล้วก็ควรจะหลาบจำ ให้ความผิดพลาดทุกครั้งเป็นการศึกษา อย่าให้ผิดแล้ว ผิดแล้วไป ผิดแล้ว แล้วไป อย่างนั้นมันจะผิดมากขึ้น แต่ว่าถ้า ไอ้การผิดพลาดทุกครั้งกลายเป็นการศึกษานี่ มันจะกลับตรงกันข้าม คือมันจะค่อยๆ ถูกมากขึ้น ถูกมากขึ้น ไม่ผิดอีก ถ้าเราดำเนินชีวิตแบบนั้น ก็จะอยู่เหนือปัญหาได้ มีอำนาจเหนือสิ่งต่างๆ ในโลกได้
ความผิดพลาดให้เกิดความทุกข์ อย่าทุกข์เปล่าๆ อย่าทุกข์ฟรี อย่าทุกข์ฟรีคือเอาประโยชน์จากความทุกข์นั้นให้ได้ คือว่าให้มันเป็นกลาย กลายเป็นการศึกษา ในพระบาลีก็มี มี มี โคลง โคลงของเรื่องอย่างนี้ ทำผิดจึงเกิดความทุกข์ แล้วความทุกข์จะให้เกิดศรัทธาว่ามี มีหนทางออก มีหนทาง แค่เราค้นคว้าหาไป ไปหา หาผู้รู้ หาการศึกษา หาการประพฤติปฏิบัติถูกต้อง จนกลายเป็นดับทุกข์ ดับทุกข์ถาวรตลอดไป ไม่เกิดความทุกข์อีก คำโบราณเขาเรียกว่า เพชรในหัวคางคก ผมก็เชื่อว่าเป็น ไอ้ความ เป็นคำพูดของคนไทยเรา เพชรในหัวคางคก แต่ว่าในภาษาอื่น ในชนชาติอื่นมันก็มีพูดเหมือนกัน เคยพบเหมือนกัน คือว่า ไอ้เพชรน่ะมันของสวยงาม วิเศษ แพงที่สุด แต่หาพบได้ในหัวคางคกที่น่าเกลียดที่สุด มันเป็นของที่สกปรก น่าเกลียด น่าชังที่สุด มันจะมีอยู่ในหนังสือ เช่นหนังสือของเชคสเปียร์ก็คงจะมี ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลา บทประพันธ์ของเชคสเปียร์ก็ดูจะมีพูด เพชรในหัวคางคก แต่เชื่อว่าไม่ใช่มีแต่ของฝรั่งหรอก ของไทย ปู่ ย่า ตา ยาย ของไทย เราก็พูดเป็น เราถือเอาว่ามันเป็นไอ้ถ้อยคำของคนฉลาดในโลก พระอริยเจ้าก็พูดเป็น เพราะท่านสอนให้หาไอ้ความดับทุกข์ จากความทุกข์ ตั้งต้นจากความทุกข์ไปหาความดับทุกข์ นิพพาน อยู่ในวัฏฏสงสาร จุดเย็นที่สุดอยู่กลางเตาหลอมเหลว นี่พวกเซนเขาพูดขึ้นมา ถ้าเรารู้จักหาน่ะมา
นี่รวมความแล้วก็คือว่าอย่าให้ทุกข์เสียเปล่าๆ ที่เขาว่า ทุกข์ฟรี ฝ่ายข้างโน้น ฝ่ายข้างนี้ไม่ได้อะไร นี่เราไม่ให้มันทุกข์ฟรี เราจะได้ประโยชน์คุ้มค่ากับที่เราเป็นทุกข์ ยิ่งเป็นทุกข์มากเท่าไร จะต้องให้มันสอนเรามากเท่านั้น ก็จะพบความดับทุกข์ ที่มาก ที่ใหม่ ที่แปลกออกไป อย่ามานั่งร้องไห้อยู่ มันโง่ที่สุดก็ไปโดดน้ำตาย กินยาตาย ไปฆ่าฟันกัน แหลกลาญไปหมด คือมันโง่ มันไม่เอาเรื่องของความทุกข์มาเป็นการศึกษา หาความฉลาด ดับเสียได้ ป้องกันเสียได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาทางกามารมณ์ เพราะว่ากามารมณ์เป็นสิ่งที่มีอำนาจที่สุด มันยากที่จะควบคุมมัน เราก็ต้องเป็นทุกข์เพราะกามารมณ์กันมาก แล้วก็ทำผิดพลาดกันมาก ฆ่าตัวตายก็มี ทำเลวร้ายอย่างอื่นก็มี เพราะไม่รู้เรื่อง เรื่องนี้ ไม่รู้เรื่องที่จะอยู่เหนือโลก ไม่รู้เรื่องที่จะอยู่เหนืออารมณ์ เหนือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เขาจึงตกอยู่ใต้นั้น พอมันผิด มันก็เริ่มผิดมากไป ผิดต่อไปอีก ผิดใหญ่โตไปอีก ผิดทีแรกก็เล็กน้อย แล้วมันก็ทำให้ผิดใหญ่โตไปอีก จนวินาศเลย ให้คอยรู้ไว้
เพราะฉะนั้นเราต้องมี มีอะไร ก็มีหนทาง มีโอกาส มีสิทธิ มีอะไรก็ตามที่จะอยู่เหนือโลกได้ ถ้าเรารู้ธรรมะ ถ้าเรารู้พุทธศาสนาเพียงพอ เพราะว่าไอ้ระบบพุทธศาสนานี้ก็เพื่อจะอยู่เหนือโลกในที่สุด คือนิพพาน ถ้าเรารู้พุทธศาสนาพอ เราก็ต้องทำได้ ถ้าทำไม่ได้คือยังไม่พอ เพราะฉะนั้นรู้จักศึกษา มันก็จะรู้ได้ และจะพอที่จะทำได้ ถ้าไม่รู้จักศึกษา ศึกษาไม่เป็น มันก็ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าศึกษาเป็นมันอาจจะในเวลาอันสั้น เราก็จะรู้เรื่อง พอที่จะเอาตัวรอดได้ในโลกนี้ อย่าไปอยู่ เหมือนว่าอยู่ในนรก อย่าไปอยู่ เหมือนกับถูกนำไปเก็บไว้ในนรก อยู่เหมือนกับที่ว่าถูกนำไปเก็บไว้ในสวรรค์ คือพอใจ มีอะไรเป็นที่พอใจ แล้วถึงค่อยเลื่อน เลื่อน เลื่อนขึ้นไปอยู่เหนือสวรรค์ อย่าไปหยุดอยู่แค่สวรรค์
สวรรค์ก็เครื่องบีบคั้นจิตชนิดหนึ่ง เพราะมันเป็นโลกเหมือนกัน สวรรค์ แต่ว่ายังดีกว่านรก เป็นไปด้วยความสะดวก สบาย ในชีวิตนั้น แล้วอย่าไปหลงติดกับมัน เลื่อนขึ้นไปอีก ทั้งนรก ทั้งสวรรค์ ล้วนแต่อัปรีย์ แต่คุณอย่าไปพูดมักง่ายนะ คุณจะถูกด่า หรือคุณจะ คนแก่ๆ เขาจะด่าเอา เพราะคนแก่ๆ เขาต้องการสวรรค์กันทั้งนั้น แม้แต่อยู่กรุงเทพ ไปบอกแกว่าทั้งนรกทั้งสวรรค์ล้วนแต่อัปรีย์ น้อยคนจะฟังถูก เขากำลังหมายมั่นสวรรค์อยู่ เราถือว่าสวรรค์เป็นเรื่องผูกมัดรัดรึงติดอยู่ที่นั่น มีกิเลสตามแบบของชาวสวรรค์ มีความทุกข์ของชาวสวรรค์ ไม่เอา จะต้องเดินต่อไปจนอยู่เหนือโลก โลกสวรรค์ก็อยู่เหนือ พรหมโลกก็อยู่เหนือ เหนือโลกมนุษย์ เหนือโลกเทวดา เหนือโลกพรหม เหนือโลกทุกโลก นั่นล่ะคือพ้นโลก
อยู่อย่างทนทุกข์ก็อยู่ในนิริยโลก โลกนรก แม้อยู่อย่างยากจน นี้ก็ลักษณะของนิริยโลก อยู่อย่างถูกต้อง สบาย มั่งมี นี้ก็อยู่อย่างสวรรค์ ซึ่งก็มีหลายๆ แบบ หลอกลวงที่สุดก็มี เรียกว่าอยู่อย่างมีตัวกู ไม่ต้องมีกามารมณ์ มีตัวกูเกลี้ยงๆ สะอาดๆ ก็อยู่อย่างพรหม พรหมโลก คือว่ายังไม่ใช่ที่สุด ยังอยู่ในโลกของพรหม ความหมายมันยังบีบคั้นอยู่ ดัน ทะลุขึ้นไปให้พ้นพรหมโลกจะอยู่ถึงนิพพาน อยู่เหนือโลกด้วยประการทั้งปวง
ฝรั่งคนหนึ่ง เขาคงเข้าใจเรื่องนี้ดี เขาเขียนรูปภาพแบบการ์ตูนไว้ภาพหนึ่งในตึกนั้นแหละ เป็นภาพที่พ้นแล้วโว้ย ที่เป็นก้อนเมฆลอย เป็นเหมือนกับคนลอยขึ้นไป พ้นอะไรหมดนั่นแหละ พ้นแล้วโว้ย เป็นภาพที่น่าสนใจ ต้องพ้นหมดทุกอย่าง พ้นโบสถ์ พ้นวิหาร พ้นสวรรค์ พ้นให้หมด นั่นคือพ้นแล้วโว้ย คือพ้นโลกทุกโลกด้วยประการทั้งปวง โดยจิตใจ อย่าไปหลงรักเรื่องกิน อย่าไปหลงรักเรื่องกาม อย่าไปหลงรักเรื่องเกียรติ นี่ก็พ้นแยะแล้ว อะไรมันก็มักจะรวมอยู่ที่นั่นแหละ นรก สวรรค์ พรหมโลก อะไรมันก็รวมอยู่ที่นั่น กามารมณ์ก็รวมอยู่ที่กาม ที่สวรรค์ สวรรค์ก็คือกามารมณ์ ที่ไม่เกี่ยวกับสวรรค์ ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ ก็เป็นเรื่องเกียรติ ก็จะเป็นเรื่องของพรหมโลก ไปเหนือนั้นอีกทีหนึ่ง เหนือพรหมโลก พ้นกิน พ้นกาม พ้นเกียรติ จะมาติดอยู่ที่กินก็ไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน ถ้ามาติดอยู่ที่กามก็ไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานบางชนิด หรือคนบางชนิด หรือเทวดาบางชนิด หรือหลงอยู่ในเรื่องเกียรติ ก็ไม่ดีกว่าพวกพรหม เขาทะนงตัวว่าเขาบริสุทธิ์ เขามีอยู่อย่างบริสุทธิ์ เราก็ไม่ติดเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ขึ้นไปได้ นี่เรียกว่าพ้นโลก
ผมพยายามอธิบายแวดล้อม ผูกเข้ามาทุกทิศทุกทาง เพื่อให้เข้าใจคำสั้นๆ คำเดียวว่า เหนือโลก เป็นอย่างไร แล้วคุณก็จะเห็นได้เองว่า ไม่ใช่เรื่องที่ควรเก็บไว้ให้เป็นหมัน เหมือนกับของหลายๆ อย่างที่เขาเก็บไว้ เป็นหมัน ไม่ได้เอามาใช้ เพราะว่าเขาว่ามันใช้ไม่ได้บ้าง สูงเกินไปบ้าง ไม่สนใจ ไม่เอามาใช้ แต่เขาก็ยอมรับว่าเป็นของดี ของแพง สงวนเก็บไว้เป็นหมัน เก็บไว้อย่างเป็นหมัน ของแพง ถูกเก็บไว้อย่างเป็นหมันก็มีอยู่มาก เราไม่ทำอย่างนั้น ยิ่งแพง ยิ่งเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์โดยเร็ว
เหนือโลก คือเหนือสิ่งทั้งปวงที่จะบีบคั้นหัวใจของเรา นั่นคือเหนือโลก เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ไปหลงรักหรือหลงเกลียดสิ่งใด (นาทีที่ 57:39) มันก็เรื่องพวกนี้ทั้งนั้นน่ะ จะไม่หลงรัก ไม่หลงเกลียด จึงไม่เกิดอวิชชา ไม่เกิดโทมนัสในสิ่งใดๆ ก็ตามในโลกนี้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรา ทุกคนไม่ว่าอยู่ในสภาพอย่างไรจะมีอารมณ์ในโลกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เหมือนกับที่เรามีชีวิตอยู่เดี๋ยวนี้ เราก็ทำงาน เราก็มีเงิน เราก็ใช้เงิน ซื้อหาอะไรต่างๆ นานา ก็เกี่ยวข้องกันอยู่กับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เราก็ไปหามันมานี่ ด้วยความโง่ ความหลง ว่าจะหาความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย เราก็เลยปวดร้าวในจิตใจด้วยสิ่งที่หวังว่าจะให้ความอร่อย
แล้วมันจะยังมีพิเศษอีกพวกหนึ่ง คือมันเป็นไปตามธรรมชาติ เป็นอุบัติเหตุ เกิดพลการตามธรรมชาติ ซึ่งเราก็ไม่อยากจะเอามา ไม่ได้ไปเอามา แต่มันก็มาเกี่ยวข้องได้เหมือนกันนะ เพราะว่าอยู่ในโลก แม้สิ่งเหล่านี้จะเข้ามากระทบเราก็ เรามีสติปัญญาที่จะตัดทิ้งออกไป ไม่ยึดถือ ไม่รับเอาด้วยจิตใจ ไม่รับเอาด้วยจิตใจ เพราะว่าไม่ดี ถึงแม้ว่ามันจะมาถูกกายเรา เราก็ไม่รับเอาด้วยจิตใจ
เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ ทุกขเวทนาเกิดขึ้นแก่ร่างกาย แก่จิตใจ ก็อย่าได้รับเอาทุกขเวทนานั้นเข้ามาเป็นทุกขเวทนาของเรา เราจะมีความทุกข์มากขึ้น ถ้าเราไปรับเอาทุกขเวทนาที่มันเกิดขึ้นนี้มาเป็นของเรา แล้วเราก็จะต้องเจ็บปวดมากขึ้น มากกว่าที่จะเจ็บปวดตามธรรมดา ทุกขเวทนาตามธรรมดาที่เราเป็นแผล เจ็บ มันก็เจ็บเท่านั้นแหละ แต่ถ้าเราไปรับเอาทุกขเวทนานั้นมาเป็นทุกขเวทนา เป็นของกู เป็นกูผู้ทนทุกข์เวทนา เวทนาของกูจะทำให้กูตาย อย่างนี้จะเจ็บมากขึ้น ด้วยความหลอกลวงนั้น จะเจ็บมากขึ้น ถึงกับจะตายไปเลย และสัตว์ที่โง่ หรือปัญญาอ่อน ใจอ่อน อย่างนี้ มันก็ตายด้วยความเข้าใจผิด ด้วยความกลัว ยึดถือมากเกินไป มันก็เกิดความกลัวมากเกินไป แล้วก็ตายเพราะความกลัว ซึ่งที่แท้ไม่ต้องตาย ยังไม่ถึงกับตาย ไอ้กระจงนี่ที่มันหนีสุนัข ถ้าเผอิญสุนัขมันกระโจนคร่อมลงไปบนกระจงได้ ถึงแม้จะไม่กัดมันก็ตายทั้งนั้นแหละ มันตายเพราะความกลัว นี่เรียกว่ายึดถือมากเกินไป บางทีกระรอกมันก็ตายเพราะแมวตะครุบ ไม่ได้กัดล่ะ แต่มัน มันกลัว กลัวมากเกินไป ส่วนนั้นมันเรียกว่า มันเพิ่มความทุกข์เข้ามามากจนตาย เรียกว่าเป็นความทุกข์เปล่าๆ ปลี้ๆ ที่ไม่ควรจะทุกข์ เหมือนกับทุกขเวทนาเกิดขึ้น อย่ารับเอามาเป็นของกู มาเป็นตัวกู แล้วมันจะค่อยๆ หายไป ได้ของเป็นธรรมชาติดีกว่า
เราฝึกจิตก็ฝึกกันตอนนี้แหละ ฝึกที่จะรับมาเป็นของกู ให้ทุกขเวทนาเป็นของธรรมชาติ แล้วมันจะเจ็บ จะน้อย จะน้อยลง จะค่อยๆ หายไป เรามีจิตว่าง ไม่มีทุกขเวทนา มันก็เลยง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ที่จะไม่ไปรับเอาอารมณ์นั้นมา มาทำความทรมานให้แก่ตน มันก็เป็นอุบายเหมือนกัน เป็นอุบายอย่างดีเลิศที่จะสกัดกั้นอำนาจของสิ่งทั้งหลายที่มาครอบงำเรา อย่าให้มันครอบงำ จิตใจไม่รับเอา มันจะครอบงำกันภายนอก ทางกาย ก็เหมือนกับของเล่นๆ ถ้ารับเอาในจิตใจแล้วจะเป็นของจริง จะมีความหมายมากอีกหลายเท่าตัว มันจะเป็นทุกข์มาก เพราะฉะนั้นเมื่ออะไรเกิดขึ้น จะมีสติสัมปชัญญะรู้สึกตัว อย่ารับเอามาเป็นอุปาทานของเรา เป็นตัวเรา แม้ในเรื่องที่มันไม่น่าเอา น่าเกลียด น่าชัง เราก็หลงรับเอาเข้ามา ความเจ็บ ความไข้ ความตายนี้ มันของธรรมชาติ แต่เราก็รับเอามาเป็นของเรา ส่วนสิ่งที่มันน่ารัก น่าปรารถนา เป็นที่ตั้งแห่งกามารมณ์นั้นมันก็ยิ่งยากยิ่งขึ้นไปอีก ที่จะไม่รับมัน เพราะว่าธรรมชาติมันชวนให้รับ จะไม่รับก็เฉพาะผู้ที่รู้ความจริงข้อนี้แล้วเท่านั้น
ตอนนี้ขอให้นึกถึงคำที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเรามอบโลกุตรทรัพย์ให้แก่ทุกคน โลกุตรทรัพย์มอบให้แก่ทุกคน เพราะฉะนั้นขอให้เราเป็นคนหนึ่งในทุกคนรับเอาโลกุตรทรัพย์ของพระพุทธเจ้าใช้ให้เป็นประโยชน์ในทุกๆ กรณี ที่มาอยู่ ที่มาบวชอยู่ในวัดตลอดไปก็เพื่อจะฝึกเรื่องนี้ให้ดีไปเร็วๆ ไปข้างหน้า แต่ผู้ที่จะสึกกลับออกไปเป็นฆราวาสก็ต้องเอาด้วย ต้องพาออกไปด้วย เพราะว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่าฉันมอบให้แก่ทุกคน ถ้าคุณไม่เอาไปคุณก็เป็นเด็กดื้อ คุณจะต้องไปใช้รับผลอันนี้ เพราะฉะนั้นถึงว่าอะไรๆ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ชนะความทุกข์ โลกุตรทรัพย์ คุณต้องเอาไปด้วย แม้ว่าไปเป็นฆราวาส ซึ่งเราไม่กลัวใครจะด่าว่าสอนเรื่องสูงสุดแก่ฆราวาส ฆราวาสไม่ควรศึกษาเรื่องเหล่านี้ เรื่องอนัตตา เรื่องสุญญตา เรื่องโลกอุดร ไม่ใช่เรื่องสำหรับฆราวาส เขาว่าอย่างนั้น (นาทีที่ 01:05:00) แล้วก็ว่าอย่างนั้น คนยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ยังไม่รู้จักสิ่งที่พระพุทธเจ้ามอบให้แก่ทุกคน
เราพูดกันได้อีกไม่กี่ครั้งก็ออกพรรษาแล้ว เราก็จะต้องรีบพูด โดยเฉพาะเรื่องที่จะเอากลับไปสำหรับผู้ลาสิกขาไปเป็นฆราวาส อย่าให้เสียที เสียเที่ยว ที่บวชเข้ามาเพื่อจะหาลู่ทาง เบาะแส ลู่ทางที่จะเอาไปใช้สำหรับต่อสู้กับความทุกข์ ป้องกันไม่ให้เป็นทุกข์ กำจัดทุกข์ ถอนรากเหง้าแห่งความทุกข์ คือธรรมะในพระพุทธศาสนา เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา ก็เพราะเหตุนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็เหมือนกับไม่ได้เป็นพุทธบริษัท หรือถ้าว่าบวชก็เหมือนกับไม่ได้บวช ถ้าบวชแล้วไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้เข้าไป
นี่วันนี้เราพูดกันเรื่องโลกุตร หรือแถวบ้านเรียกว่าโลกอุดร แต่เขาพูดกันในทำนองภาษาคน ความหมายในภาษาคน ภาษาชาวบ้าน เขาว่าต้องตายแล้วถึงจะไปโลกอุดร แล้วก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน เดี๋ยวนี้คนเหล่านั้นเขาก็บอก เขาไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่เขาหวังที่จะไปโลกอุดร ถ้าตายแล้ว ทีนี้เรามันรู้ว่าโลกอุดรอยู่ที่นี่ ทำให้ถูกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วมันก็อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะโลกมันอยู่ที่นั่น มันก็เหนือโลกกันที่นั่น โลกอุดร เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด คุณอย่าไป อย่าเอาไปเป็นเรื่องล้อเล่น ทุกอย่างมันตั้งต้นที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผิดหรือถูก ดีหรือชั่ว นรกหรือสวรรค์ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าอะไรๆ มันอยู่ที่นั่น โลกก็อยู่ที่นั่น สมุทรก็อยู่ที่นั่น นรกก็อยู่ที่นั่น สวรรค์ก็อยู่ที่นั่น ความหลุดพ้นเป็นนิพพานก็เพราะว่าการกระทำที่ถูกต้องที่นั่นเอง เพราะฉะนั้นขอให้ตั้งต้นที่นั่น เหมือนกับเราเรียน ก ข นั่นแหละ ก็จะเรียนหนังสือให้รู้มากๆ เราก็ตั้งต้นที่ ก ข แล้วว่า ก ข ของพระพุทธศาสนานี้ก็อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าจะเรียนพุทธศาสนา ควรจะตั้งต้นสอนให้เรียนกันเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเรื่องแรก และเป็นลำดับฝ่ายนั้นจะถูกต้องที่สุดและเร็วที่สุด ทีนี้เราไปตั้งต้นที่อะไร เราอ้อมค้อมมากเกินไป แม้จะตั้งต้นที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็อ้อมค้อมมากเกินไป ก ข ไม่ได้อยู่ที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือศีล ๕ ศีล ๘ มันอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียนรู้ให้ดี ทำให้ถูกต้อง ก็จะรู้หนังสือเร็วที่สุดเลย ไม่อ้อมค้อม
แล้วผมก็บอกพวกฝรั่งว่า A B C ของพุทธศาสนามันอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คุณไปตั้งต้นที่ปรัชญาของอินเดีย ปรัชญาของคริสต์ เอามาเทียบกับปรัชญาของพุทธศาสนา บ้าเลย จะไม่ถูกพุทธศาสนา จะเป็น อย่างมากจะเป็นเพียงพุทธปรัชญา ไม่ใช่พุทธศาสนา แล้วคุณก็จะไม่ได้รับประโยชน์อะไร ถ้าคุณจะตั้งต้นเรียนพุทธศาสนาตัวจริงก็ต้องมาตั้งต้นเรียนที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เขาเรียนไปอย่างเรื่องปฏิจจสมุปบาท ทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร จะสกัดกั้นมันเสียอย่างไร จะดับมันเสียอย่างไร นั่นแหละการตั้งต้นเรียนพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้อย่างนั้น แล้วก็เรื่องนี้ เรื่องปฏิจจสมุปบาทที่ตั้งต้นที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือเงื่อนต้นของพรหมจรรย์ อาทิของพรหมจรรย์ จุดตั้งต้นของพรหมจรรย์คือพุทธศาสนา แล้วมันจะไม่หยุดอยู่แต่เพียงเป็นเรื่องตั้งต้นหรอก มันจะเป็นตัวกลาง ท่ามกลาง เบื้องปลาย หรือเสร็จไปเลย โดยที่ ด้วยเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คงจะเหมือนกับว่า แม้ว่าเดี๋ยวนี้เราตั้งต้นเรียนหนังสือด้วย ก ข ก กา หรือ ก ข ค ฅ ง แล้วมันก็ไม่ทิ้งใช่ไหม เราเรียนจบไปถึง จบวรรณคดี อักษรศาสตร์แล้วมันก็ยังมีตัว ก ข ค ฅ ง อยู่นั่นแหละ ก็ยังตามไปจนถึง เพราะฉะนั้นเรามี ก ข ค ฅ ง ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็ไปเป็น ก ข ค ฅ ง กันอยู่ที่นิพพาน ชนะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นเรื่องของนิพพาน
ถ้าเผื่อคุณต้องไปพบกับพวกฝรั่ง ก็ช่วยเขาบ้างว่า คุณอย่าเรียนพุทธศาสนาอย่างปรัชญา จะไม่พบพุทธศาสนา จะพบว่าพระพุทธปรัชญาที่เอาไปพูดนี่มันเพ้อเจ้อ เอาไปพูดเป็นปรัชญามันก็ได้เหมือนกัน มันไม่มีประโยชน์นะ จะไม่อยู่เหนือโลกได้ จะไม่ดับทุกข์ได้ เอามาพูดเป็นเรื่องพุทธศาสนามีวิธีการอย่างเดียวกับวิทยาศาสตร์ มีของจริง เอามาเป็นตัววัตถุ เพื่อศึกษา แก้ไข เพิกถอน ทำลายให้ได้ เป็พุทธศาสนา เรื่องปรัชญาเป็นเรื่องสมมติ ต้องสมมติว่ามีอันนั้นขึ้นมาแล้วจะมีความถูกต้องอย่างไร มีความจริงอย่างไร แก้ไขอย่างไร แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น อย่างนี้เป็นปรัชญา มีสมมติฐาน เป็นวัตถุสำหรับศึกษาและปฏิบัติ เพราะอย่างนั้นมันจึงไม่มีประโยชน์ เรามีของจริงไม่ใช่สมมติฐาน มีของจริงคือตัวความทุกข์ เอามาเล่น เอามาเรียน เอามาศึกษา เอามาชำแหละ จนรู้หรือจนขจัดได้ ก็ดับทุกข์สิ้นเชิง อยู่เหนือทุกข์ก็คืออยู่เหนือโลก โลกก็คือทุกข์ ทุกข์ก็คือโลก เรียกว่าอยู่เหนือโลก ก็คืออยู่เหนือทุกข์ เรื่องก็จะจบกันที่ตรงนี้ มันดับทุกข์ มันอยู่เหนือโลก เหนือโลกน่ะมันว่างนะ เพราะมันว่างจากโลก ว่างจากทุกข์ ไปจบที่ว่างแหละ พอมาถึงว่างแล้วจะไปจบ นั่นแหละมันก็ใช้ชั่วโมงครึ่งแล้ว เวลาจะพูดกันวันนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติการบรรยายและปิดประชุม