แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(ผู้ดำเนินรายการ) ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ บัดนี้ถึงรายการที่จะได้ดำเนินการอภิปราย ก่อนอื่นกระผมจะขอแนะนำทำความรู้จักกับท่านผู้มีเกียรติซึ่งเป็นผู้แทนจากศาสนานั้นๆ มาทำการอภิปรายเพื่อเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายในรายการศาสนสัมพันธ์ในวันนี้ ท่านบุรุษท่านหนึ่งถือกำเนิดในประเทศอิตาลี เมื่อพ.ศ. ๒๔๕๔ ได้ทำการศึกษาเล่าเรียนจนจบตามหลักสูตรของบาทหลวง และได้ทำงานอบรมเยาวชนและเผยแพร่ธรรมตลอดมา ปัจจุบันท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดนักบุญโยเซฟบ้านโป่ง ท่านผู้นี้จะเป็นผู้มาอภิปรายศาสนสัมพันธ์ในนามของผู้แทนศาสนาคริสต์คือ คุณพ่อยอห์น อุลลิอานา(นาทีที่15.22) ขอเรียนเชิญท่านครับ วิทยากรท่านที่ ๒ ซึ่งมาในนามของผู้แทนศาสนาพราหมณ์ฮินดู ความรู้เดิมของชาติภูมิของท่านจังหวัดนครปฐม เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๖ มีการศึกษาจบนักธรรมชั้นโทในพระพุทธศาสนา และจบครูประโยค จบประโยคครูมัธยมพิเศษ ท่านผู้นั้นจะมาเป็นผู้อภิปรายในนามของศาสนาพราหมณ์และฮินดู มีชื่อว่าคุณไฉน สมัครเสวี ขอเรียนเชิญท่านเข้าสู่ที่ครับ ผู้ที่จะมาอภิปรายในนามของศาสนาอิสลาม กระผมได้กราบเรียนแต่เบื้องต้นว่าเมื่อปีที่แล้วเราก็ใจหายใจคว่ำคิดว่าท่านผู้แทนศาสนาอิสลามจะมาไม่ทันการอภิปราย แต่ด้วยพระเจ้าของท่านอุ้มสมก็คงมาทันและจริงๆ ด้วย บัดนี้ผู้แทนศาสนาอิสลามก็ได้มาถึงที่แล้ว ส่งชื่อให้กระผมเดี๋ยวนี้เอง ท่านเกิดที่กรุงเทพเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ จบการศึกษาศาสนาอิสลามจากเปาะเนาะมะโง อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี ได้ทำการสอนวิชาการศาสนาอิสลามมาโดยตลอด ปัจจุบันเป็นกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร ท่านผู้นั้นคือคุณวินัย สะมะอุล ขอเรียนเชิญเข้าสู่ที่ครับผม สำหรับผู้แทนศาสนาพุทธซึ่งนับว่าเป็นศาสนาที่มีศาสนิกมาชุมกันฟังมากที่สุดในวันนี้ มากกว่าศาสนาอื่นแน่นอน พระคุณเจ้าผู้นั้นครับ ถ้าดูในรูปถ่ายไม่ใช่ฟิล์มสีคือฟิล์มขาวดำ ใครๆ ก็นึกว่าท่านมหาบุรุษมหาตมคานธี แต่ท่านผู้นั้นไม่ใช่มหาบุรุษมหาตมคานธีอดีตครับ แต่เป็นท่านอาจารย์วรศักดิ์ วรธมฺโม ซึ่งได้ทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนานับว่าเป็นมือขวาของท่านอาจารย์อยู่ในปัจจุบัน ทำการสอนอบรมศีลธรรมแก่ครูอยู่ทั่วประเทศขณะนี้ โดยให้เกียรติแก่มูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐและชมรมครูศีลธรรมแห่งประเทศไทย วันนี้พระคุณเจ้าพระมหาประทีป อุตฺตมปญฺโญ คงติดภาระขัดข้องมากมายจึงมาไม่ได้ พระคุณเจ้าก็เมตตาเข้ามาเป็นผู้ดำเนินการ เป็นผู้อภิปรายในนามของผู้แทนศาสนาพุทธ ขออาราธนาพระคุณเจ้าพระอาจารย์วรศักดิ์ วรธมฺโม เข้าสู่ที่ครับผม
ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ การที่ได้มีรายการศาสนสัมพันธ์ขึ้น ณ สวนโมกข์ในวันนี้นั้น ก็โดยที่คณะศิษย์ของท่านอาจารย์หลายท่านได้มาร่วมกันในงานทำบุญล้ออายุ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐ ครั้งนั้นท่านอาจารย์ปรารภถึงสังขารของท่านในลักษณะที่เรารู้สึกว่าท่านปลงอายุสังขาร คือสุขภาพร่างกายของท่านคงจะไม่เป็นที่พอใจของท่านอาจารย์ และท่านได้ปรารภถึงวัตถุปณิธานในชีวิตของท่านที่มาตั้งสำนักอยู่ที่สวนโมกข์นี้ ๓ ประการว่า ข้อที่ ๑ จะพยายามให้พวกเราทุกคนเข้าถึงหัวใจแห่งพระศาสนาของตนๆ ข้อที่ ๒ ต้องการที่จะทำความเข้าใจอันดีซึ่งกันและกันในระหว่างศาสนา อย่าให้ศาสนาแต่ละศาสนาทะเลาะวิวาท แข่งดี อิจฉาริษยากันเหมือนกับที่กำลังเป็นอยู่ และข้อที่ ๓ ก็เพื่อที่จะพรากจิตใจของคนในโลกนี้ออกมาเสียจากสิ่งที่เรียกว่าวัตถุนิยม โลกกำลังจะวินาศลงไปทุกวันๆ เพราะอำนาจของสิ่งที่เรียกว่าวัตถุนิยม มีรายละเอียดมากมายที่ว่าโลกกำลังจะวินาศลงไปด้วยวัตถุนิยม คนก็ยังบูชาวัตถุนิยม จากวัตถุปณิธานที่ท่านอาจารย์ประกาศให้ทราบในวันล้ออายุปี ๒๕๒๐ นั้น จึงทำให้เกิดความคิดใคร่ที่จะสนับสนุนวัตถุปณิธานของท่านในรายการที่ท่านรู้สึกว่ายังไปได้ไม่เท่าที่ควร นั่นคือรายการวัตถุปณิธาน รายการเชื่อมสามัคคีของศาสนิกระหว่างศาสนา ดังนั้นในครั้งนี้สมาคมศาสนสัมพันธ์แห่งประเทศไทย มูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐและชมรมครูศีลธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งล้วนเป็นองค์การสมาชิกของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ได้ปรึกษาตกลงกันที่จะสนับสนุนให้มีรายการศาสนสัมพันธ์ขึ้นที่นี่ และได้วางหลักการและเหตุผลอันควรที่จะนำเสนอต่อที่ประชุมนี้เพื่อทราบสักเล็กน้อยด้วยว่า ในโอกาสวันมาฆบูชาหรือวันพระสงฆ์ เป็นประเพณีนิยมของชาวพุทธที่จะร่วมกันประกอบกิจกรรมทางศาสนาเป็นพุทธบูชา แต่โดยที่ประเทศไทยเรามีศาสนิกอื่นร่วมอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก หากถือเอาวันสำคัญของศาสนาหนึ่งมาเป็นวันชักนำประชาชนในแต่ละศาสนามาพบปะกัน ให้ได้ทำความเข้าใจกัน สร้างเสริมความสามัคคีกันโดยทางศาสนาก็น่าจะส่งผลเป็นความสงบสุขแก่สังคม แก่ชาติบ้านเมือง และจะส่งผลไปถึงสันติสุขของโลกด้วย ดังนั้นจึงทำโครงการศาสนสัมพันธ์นี้ขึ้น และอาจทำต่อไปทุกๆ ปี หลักการและเหตุผลนี้โดยมุ่งวัตถุประสงค์ ๖ ประการด้วยกัน ขอท่านผู้คอยฟังและท่านวิทยากรที่จะมาดำเนิน มาเป็นผู้อภิปรายนั้นได้โปรดตระหนักถึงวัตถุประสงค์ที่เราต้องการให้มีขึ้นในการศาสนสัมพันธ์ครั้งนี้ เพื่อที่จะได้อภิปรายให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ๖ ประการนั้น
ประการที่ ๑ เพื่อให้ประชาชนต่างได้รู้ได้เห็นความสำคัญของศาสนาทุกศาสนา
ประการที่ ๒ เพื่อให้ผู้แทนของแต่ละศาสนาได้มีบทบาทในการเผยแพร่ศีลธรรมในศาสนานั้นๆ ให้ประชาชนเห็นว่าทุกศาสนาล้วนมีหลักคำสอนมุ่งหมายผลเหมือนกัน
ประการที่ ๓ เพื่อสร้างสรรค์ส่งเสริมและประสานสามัคคีของคนในชาติที่นับถือศาสนาต่างกันให้มีความสามัคคีกันยิ่งขึ้น
ประการที่ ๔ เพื่อเผยแพร่และส่งเสริมศีลธรรม วัฒนธรรม ค่านิยมที่ดีแก่ประชาชน แก่เยาวชนให้รู้จักการเสียสละ ขยัน อดทน ประหยัด สามัคคี และกตัญญูกตเวที
ประการที่ ๕ เพื่อต่อต้านอบายมุขตามคำสอนของศาสนาทุกศาสนา และแนะแนวการเลิกอบายมุขด้วยวิธีปฏิบัติธรรม
ประการสุดท้าย เพื่อปลุกให้ทุกคนตื่นขึ้นร่วมกันสร้างโลกใหม่ให้มีสันติสุขด้วยหลักการทางศาสนาทั้งในส่วนตัวบุคคลและส่วนสังคม
ก่อนที่จะเดินทางมาที่ไชยานี้ กรมประชาสัมพันธ์ได้ติดต่อเชิญกระผมไปพบ ถามว่าทำไมจึงต้องมาจัดรายการศาสนสัมพันธ์ขึ้นที่นี่ กระผมก็ได้ให้เหตุผลว่าการจัดศาสนสัมพันธ์นั้นเวลานี้เราจัดกันหลายหนหลายแห่งทุกหนทุกแห่ง แต่เท่าที่กระผมได้มีโอกาสไปร่วมมาทุกๆ แห่งนั้น ศาสนสัมพันธ์ที่สวนโมกข์ครั้งที่แล้วมีผลกว้างขวางมากกว่าครั้งอื่น สังเกตได้จากการติดต่อมาของผู้ที่มีความสนใจ เรียกว่าในจากหลายประเทศ ทั้งนี้ก็เพราะว่าชีวิตและงานของท่านอาจารย์พุทธทาสนั้นเป็นที่สนใจของประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก กรมประชาสัมพันธ์ก็เห็นด้วยกับความสำคัญของสวนโมกข์จึงได้ทำการช่วยประชาสัมพันธ์รายการศาสนสัมพันธ์ครั้งนี้อย่างกว้างขวาง กระผมได้ถือโอกาสรบกวนเวลาแจ้งหลักการ วัตถุประสงค์และความเป็นมาโดยสังเขปแล้ว ต่อไปก็จะเข้ารายการเชิญท่านผู้แทนทั้งหลายบรรยายเพื่อให้เราที่มาฟังนี้ได้เห็นถึงวัตถุประสงค์ ได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ควรมีควรได้ดังกล่าวนั้น แต่ก่อนอื่นจำเป็นจะต้องมีกติกาในการอภิปรายกันด้วย เพราะว่าแต่ละท่านล้วนแต่เป็นนักพูดบันลือโลกก็ว่าได้ ถ้าไม่กำหนดกฎกติกากันไว้ ๔ ชั่วโมงอาจจะไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงต้องกราบเรียนเพื่อโปรดทราบ และทุกท่านได้ทราบเป็นพยานไว้ด้วย ช่วยกันพิจารณาว่าท่านผู้บรรยายท่านใดได้ปฏิบัติตามกฎที่กำหนดกันไว้นี้มากน้อยเพียงไร จะมีการเปิดโอกาสให้อภิปรายกันท่านละสองรอบ รอบแรก ๒๐ นาที รอบสอง ๑๐ นาที รอบแรกนั้นต้องขอความกรุณาท่านวิทยากรทุกท่านด้วยว่าได้กรุณาเล่าถึงความเป็นมาของศาสดาในศาสนานั้นๆ ให้ที่ประชุมนี้ได้รับทราบแต่โดยสังเขป แล้วจึงเข้าสู่เนื้อหาความสำคัญของศาสนา รอบสองจึงขอให้ช่วยย้ำแนวปฏิบัติตามคำสอนของศาสนานั้นๆ เพื่อให้ได้ผลในทางสันติภาพของโลก แต่ก่อนที่จะเข้ารายการเชิญแต่ละท่านให้บรรยายนั้น โดยที่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์เป็นเจ้าของที่ และเป็นผู้ที่มีวัตถุปณิธานให้เราได้ดำเนินการศาสนสัมพันธ์ที่นี่ดังกล่าว จึงจะต้องขอประทานโอกาสถวายเวลาท่านอาจารย์ได้โปรดช่วยปรับพื้นที่ในการที่จะได้สร้างเจดีย์สันติภาพหรือสร้างทางที่จะให้เข้าสู่ความมุ่งหมายของศาสนานั้นๆ เพื่อท่านผู้อภิปรายแต่ละท่าน จะได้ทราบถึงแนวนโยบายจากวัตถุปณิธานของท่านอาจารย์ดังกล่าวแล้วนั้นด้วย จึงถวายเวลาท่านอาจารย์ได้โปรดให้การปฏิสันถารต้อนรับพร้อมกับปรับพื้นฐานในการอภิปรายศาสนสัมพันธ์ครั้งนี้เป็นเวลา ๒๐ นาที ขอรับกระผม//
(ท่านพุทธทาส) ท่านสาธุชนเพื่อนมนุษย์ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีอนุโมทนาในการมาของท่านทั้งหลายที่เป็นผู้มาร่วมและผู้มาเป็นผู้อธิบายคือวิทยากร ขอให้ท่านทั้งหลายสำนึกว่าเราได้มาร่วมกันบำเพ็ญกุศล เพราะว่ากิจการศาสนสัมพันธ์นั้นเป็นการกุศลคือทำให้โลกมีสันติ ท่านทั้งหลายผู้มาร่วมก็ได้ชื่อว่าผู้มาช่วยทำให้สำเร็จ ถ้าท่านไม่มาฟังมันก็ทำไม่ได้ มีแต่ผู้พูดไม่มีผู้ฟังมันก็เลิกร้างกันไป ฉะนั้นผู้มาฟังทั้งหลายทุกๆ ท่านนั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้มาช่วยให้มีการกระทำที่สำเร็จ จึงถือว่าท่านทั้งหลายทุกคนที่มานี้ล้วนแต่ได้บุญๆ เหมือนกับผู้มาเป็นวิทยากรด้วยเหมือนกัน เพราะเป็นการช่วยให้เกิดความสำเร็จในการกระทำสิ่งที่เราเรียกว่าศาสนสัมพันธ์ ขอให้ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกคน เพราะว่ามนุษย์ทุกคนมีศาสนา แต่ละคนมีศาสนาของตนๆ ทุกๆ ศาสนานั้นต้องร่วมมือกัน ถ้าเรียกภาษาชาวบ้านก็เรียกว่าเป็นสหกรณ์ สหกรณ์ศาสนาหรือศาสนาสหกรณ์ ร่วมกันทำให้โลกนี้มีสันติ ตามความมุ่งหมายของศาสนานั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ของพระศาสดาแต่ละศาสนานั้นเอง นี่เราทุกคนมีศาสนา เราเอาศาสนาของเราเป็นเดิมพันตั้งบริษัทสหกรณ์ศาสนา ช่วยกันทำให้โลกนี้มีสันติสุขและสันติภาพ จึงพูดอีกครั้งหนึ่งว่าท่านทั้งหลายก็ได้บุญ ท่านทั้งหลายมา อาตมาขออนุโมทนาขอแสดงความยินดีและขอแสดงความยินดีในการที่จัดให้มีการสัมมนานี้ด้วย นี้ขอกล่าวต่อไปสักนิดถึงคำว่าศาสนาของเราแต่ละคนๆ นั้นมันคืออะไร เราจะเอามาเทลงไปเป็นเดิมพันเข้าหุ้นกันเป็นศาสนาสหกรณ์ได้อย่างไร
คำว่าศาสนานั้นมีคำบัญญัติบทนิยามกันมากจนฟังยุ่งไปหมด อาตมาขอบัญญัติบทนิยามเป็นของตนเองว่าศาสนาคือการกระทำที่ทำให้มนุษย์ถึงกันเข้ากับสิ่งสูงสุด พูดสั้นๆ แต่เพียงเท่านี้ สิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้นคือการประพฤติการกระทำที่ทำให้มนุษย์เราถึงกันเข้ากับสิ่งสูงสุด ทีนี้สิ่งสูงสุดคืออะไร ก็ไปเลือกเอาเอง เราก็มีความมุ่งหมายอยู่ด้วยกันทั้งนั้น แต่อาตมาอยากจะพูดว่าสิ่งสูงสุดนั้นจะเรียกชื่ออย่างไรก็ได้ตามพอใจ บางกลุ่มอาจจะเรียกว่าพระเจ้า ไปถึงพระเจ้าให้เกิดการสัมพันธ์กันระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ทีนี้พระเจ้านั้นก็มีความหมายตรงที่ว่าสันติสุขสูงสุด พุทธบริษัทก็เรียกสิ่งสูงสุดนั้นว่าพระนิพพาน ศาสนาจึงเป็นการกระทำที่ให้มนุษย์เราถึงกันเข้ากับสิ่งสูงสุดคือพระนิพพาน หมายความว่าเรามีจุดหมายปลายทางด้วยกันทั้งนั้น และจะถึงจุดหมายปลายทางนั้นด้วยสิ่งที่เรียกว่าศาสนา อาตมาจึงเชื่อเลยว่าท่านทั้งหลายทุกคนมี มีศาสนา แล้วเอามาเทลงไปเป็นเดิมพัน สร้างโลกนี้ให้มีสันติสุขสันติภาพตามหน้าที่แห่งศาสนาของเรา ทีนี้ก็อยากจะขอพูดถึงพระศาสดาอีกคำหนึ่ง คำว่าพระศาสดานั้นคืออะไร ก็เถียงกันมากบัญญัติกันมาก จนยุ่งไปหมด อาตมาขอบัญญัติเอาตามชอบใจว่าพระศาสดานั้นคือปากของพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้าคือสิ่งสูงสุด พระศาสดาแต่ละองค์ทุกองค์เป็นปากผู้พูดของพระเป็นเจ้า ฉะนั้นพระศาสดาแห่งศาสนาไหนก็เป็นผู้พูดหรือเป็นปากของพระเจ้าคือสิ่งสูงสุดแห่งศาสนานั้นๆ ฉะนั้นเราควรจะฟังคำพูดของพระศาสดานั้นๆ เรื่องประวัติส่วนตัวของท่านหรืออะไรนั้นไม่ค่อยจะเป็นประมาณนัก แต่เราจะต้องฟังว่าท่านพูดว่าอะไร นั่นแหละคือเนื้อแท้ว่าท่านพูดว่าอะไร เรื่องส่วนตัวประวัติส่วนตัวชาติภูมิอะไรนั้นก็ยกไว้เป็นเรื่องที่สองหรือเรื่องที่มีความสำคัญน้อยลงไป แต่ถ้าหากให้เลือกเอาเพียงเรื่องเดียวแล้วเราก็จะเลือกเอาเรื่องว่าท่านพูดว่าอะไร เพราะว่าสิ่งที่ท่านพูดออกมานั้นก็คือสิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้นเอง เพราะฉะนั้นพระศาสดาแต่ละองค์ท่านก็จะต้องพูดวิธี บอกวิธีที่จะทำให้มนุษย์ถึงกันเข้ากับสิ่งสูงสุดดังที่กล่าวแล้ว ฉะนั้นเราจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะรู้สึกว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน พระศาสดาก็ดีพระศาสนาก็ดีไม่มีแง่เงื่อนอะไรที่ว่าจะเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ถ้ามันเกิดมีปฏิปักษ์ต่อกันมันเป็นเรื่องเลือกของศาสนา เนื้อแท้ของศาสนาจะกลมกลืนเป็นอย่างเดียวกันหมด คือเป็นวิธีที่ทำให้มนุษย์ถึงกับพระเจ้าหรือสิ่งสูงสุด พระศาสดาท่านก็ได้เลือกดีที่สุดแล้ว นี่โปรดฟังด้วยว่าอาตมาพูดว่าพระศาสดาแต่ละองค์ท่านได้เลือกดีที่สุดแล้ว ที่ว่าเลือกนี่ หมายความว่าท่านต้องเลือกโดยเจตนาก็ตามไม่เจตนาก็ตาม แต่มันเป็นการเลือก คือท่านต้องพูดให้เหมาะให้สมให้ตรงกับผู้ฟังของท่าน พระศาสดาเกิดกันต่างยุคต่างสมัยต่างดินต่างแดน ไม่ใช่คราวเดียวกัน ไม่ใช่พร้อมกัน เพราะฉะนั้นองค์ไหนจะพูดที่ไหนและเมื่อไร ท่านต้องพูดให้เหมาะให้ตรงอุปนิสัยแห่งผู้ฟังแห่งถิ่นนั้นๆ และยุคนั้นๆ เอ้า,ทีนี้มันก็เกิดมีปัญหาว่า มนุษย์เรานี่มันไม่เหมือนกันโดยส่วนตัว มีอุปนิสัยไม่เหมือนกัน พระศาสดาก็เลือกพูดให้มันตรงกับอุปนิสัยของคนในถิ่นนั้นในยุคนั้นๆ ถ้ามันจะต่างกันบ้างมันก็เป็นข้อปลีกย่อยซึ่งเกิดมาจากความแตกต่างของเวลาและภูมิประเทศนั้นเท่านั้น แต่เนื้อแท้นั้นต้องเหมือนกันตรงกันที่ว่ามันเป็นวิธีที่ทำให้มนุษย์ถึงกับสิ่งสูงสุด สิ่งสูงสุดนั้นมีเพียงสิ่งเดียว วิธีให้เข้าถึงสิ่งสูงสุดนั้นก็ต้องเป็นหนึ่งเดียว แต่ว่ามันจะต่างกันโดยรูปแบบข้างนอกเหมือนกับพาหนะ ยานพาหนะที่จะไปที่ไหนมันก็ต่างกันบ้าง ไปเรือ ไปทะเลก็ไปด้วยเรือ ไปบนบกก็ไปด้วยรถ ไปบนฟ้าก็ไปด้วยเรือบิน แต่พาหนะมันจะต่างกันก็ไม่เป็นไรเราถึงก็แล้วกัน ฉะนั้นท่านต้องพูด ปากของพระเจ้านั้นต้องพูดให้มนุษย์ไปถึงจุดหมายปลายทางคือสิ่งสูงสุดให้จนได้ ถ้าจะกล่าวตามหลักในประเทศอินเดียซึ่งพุทธศาสนาก็เกิดในประเทศอินเดีย ฉะนั้นก็พูดว่าคนเรานี่มันมีอุปนิสัยต่างกัน เอาแต่ที่เป็นข้อสำคัญๆ แล้ว ก็จะพูดว่าพวกหนึ่งมีอุปนิสัยเหมาะสำหรับความเชื่อ พวกหนึ่งมีอุปนิสัยเหมาะสำหรับปัญญา พวกหนึ่งมีอุปนิสัยเหมาะสำหรับความเพียร พวกหนึ่งมีอุปนิสัยเหมาะสำหรับความเชื่อ พระศาสดาก็จะต้องสอนระบบการใช้ความเชื่อให้เป็นประโยชน์ที่สุดแก่มนุษย์ที่นั่นและยุคนั้น ทีนี้พวกหนึ่งมันมีอุปนิสัยเหมาะสำหรับปัญญา ชอบคิด ชอบนึก พระศาสดาก็จะต้องบอกวิธีที่เหมาะสำหรับพวกที่ชอบใช้ปัญญา จึงกล่าวเป็นหลักศาสนาออกมาในรูปที่เรียกว่าใช้ปัญญาเป็นยานพาหนะ ทีนี้ชนพวกอื่นเขาเหมาะสำหรับจะใช้กำลังจิต กำลังจิตอันเข้มแข็งเรียกว่าวิริยะ พระศาสดาก็จะต้องบอกวิธีที่จะใช้กำลังจิตอันเข้มแข็งเพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น เราจึงมีศาสนาที่มีหลักสำคัญชั้นหัวใจเป็นเรื่องศรัทธาบ้าง เป็นเรื่องปัญญาบ้าง เป็นเรื่องกำลังจิตบ้างเรียกว่าวิริยะ แต่ถึงอย่างไรก็ดี ขอให้สังเกตดูสักหน่อยว่า แม้ว่าศาสนานี้จะใช้ศรัทธาเป็นหลัก มันก็เป็นหลักใหญ่เท่านั้น แต่ก็ไม่วายที่จะต้องใช้ปัญญาบ้าง ความเพียรหรือกำลังจิตบ้าง ในศาสนาที่เอาศรัทธาเป็นเบื้องหน้าก็ยังต้องเจืออยู่บ้างด้วยปัญญาและกำลังจิต ทีนี้ในศาสนาที่ถือปัญญาเป็นเบื้องหน้า ศาสนานี้ก็ยังต้องอาศัยระบบแห่งศรัทธาช่วยเหลือบ้าง ระบบแห่งวิริยะหรือกำลังจิตช่วยเหลือบ้าง ทีนี้ศาสนาที่ใช้ระบบวิริยะหรือกำลังจิตเป็นหลัก ก็ยังต้องอาศัยศรัทธาบ้าง ปัญญาบ้างอยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้นมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะเกิดความสงสัย ระแวง หรือรังเกียจ ให้ถือว่าพระศาสดาเลือกสรรมาดีแล้วว่าระบบนี้เหมาะสำหรับคนพวกนี้ในถิ่นนี้ หรือจะถือว่าพระเจ้าท่านกำหนดมาถูกต้องแล้วว่าพระศาสดาองค์นี้จงบอกแก่คนในถิ่นนี้ในยุคนี้ว่าจงใช้ระบบศรัทธาเถิด ในที่แห่งอื่นก็บอกว่าจงใช้ระบบปัญญาเถิด ในที่แห่งอื่นก็ใช้ระบบวิริยะคือกำลังจิตเถิด แต่แล้วพอดูให้ดีในพระคัมภีร์ของแต่ละศาสนา ขออภัยพูดว่าแม้แต่ในคัมภีร์ไบเบิล แม้จะเต็มไปด้วยศรัทธาแต่ก็ยังหาพบเรื่องของปัญญาและกำลังจิตและแม้แต่เรื่องกรรมเป็นส่วนน้อยๆ สำหรับประกอบอยู่ นี่ให้เห็นว่าไม่มีอะไรที่จะนอกออกไปจากเรื่องศรัทธาเรื่องปัญญาและเรื่องของกำลังจิต ถ้าจะพูดให้ถูกมันก็ต้องพูดว่ามันต้องครบทั้งสามอย่างแหละ แล้วแต่ว่ามันจะ อันไหนมันจะมาก ถ้าเราจะทำขนมเราก็ใส่แป้งมากกว่าน้ำตาลหรือน้ำมันแหละ มันก็แล้วแต่ว่าเราจะมุ่งหมายอะไร พระเจ้าท่านรู้ดีท่านจึงระบุพระศาสดาแต่ละองค์มาว่า จงพูดเรื่องนี้กับประชาชนที่นี่และยุคนี้ เลยไม่มีความผิดพลาดเหลืออยู่ ไม่มีช่องโหว่เหลืออยู่ให้ผิดพลาด ทีนี้มนุษย์ต่างหากเล่า ที่เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง มาถือเอาช่องโหว่ หรือที่แท้ก็ไม่ใช่ช่องโหว่ ถ้าเป็นช่องโหว่ก็เพราะเขาเจาะมันเข้ามาเองเพราะความไม่รู้ของเขา ความรู้ไม่เพียงพอ จึงทำให้เกิดความขัดแย้งกันขึ้นในทางศาสนาหรือระหว่างศาสนาซึ่งก็มีๆ กันอยู่ เห็นๆ กันอยู่ นี่ไม่ใช่เรื่องของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องของพระศาสดา แต่เป็นเรื่องของมนุษย์บางคนที่ไม่เข้าถึงศาสนาของตนอย่างแท้จริง เลยเกิดของกีดเกะกะชั้นนอกที่จะขัดขวางความสัมพันธ์กันในระหว่างศาสนา วันนี้ที่นี่ เรามุ่งหมายทำความสัมพันธ์กันในระหว่างศาสนา ขอให้ได้ช่วยกันทำความเข้าใจในเรื่องนี้ว่าส่วนที่เป็นภายนอกชั้นเปลือกนั้นอย่าเอามาเป็นเครื่องยึดถือสำหรับกีดขวางกันเลย เอาเนื้อในแล้วก็จะเหมือนกันหมด เพราะว่าเป็นวิธีที่ให้มนุษย์เข้าถึงสิ่งสูงสุดสำหรับมนุษย์นั่นเอง ขอให้พวกเราทุกคนตั้งปณิธานในการที่จะทำศาสนสัมพันธ์ ซึ่งอาตมาใช้คำธรรมดาสามัญว่าทำสหกรณ์ศาสนากันเพื่อช่วยโลกเถิด โลกนี้กำลังจะวินาศอยู่แล้ว โลกนี้มากไปด้วยความเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้นๆ สิ่งที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัวนั้นมีแต่พระศาสนาเท่านั้น และมันกำลัง กำลังอ่อนแอ พวกมนุษย์ที่มันเห็นแก่ตัว มันไปเป็นทาสของวัตถุ หลงใหลในวัตถุนั้นมันมากเหลือเกิน มันไม่ยอมปรับตัวเอง แล้วมันก็มักจะดูถูกศาสนาด้วย เรานี่จะช่วยกันทำให้เขาไม่ดูถูกพระศาสนา แล้วให้เขายอมรับศาสนาในฐานะเป็นเครื่องมือที่จำเป็นของมนุษย์สำหรับมนุษย์จะเอาชนะสิ่งเลวร้ายอะไรในโลกนี้ให้หมดได้ แต่ถ้าเราไม่สัมพันธ์กัน มันก็ยากที่ว่าจะเอาชนะศัตรูของมนุษย์คือวัตถุนิยม เนื้อหนังหรือความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังกำลังครอบงำโลก โลกนี้เขาผลิตวัตถุสำหรับยั่วมนุษย์ให้ไปหลงใหลในเรื่องความสุขทางเนื้อหนัง ขนาดเป็นอุตสาหกรรม โรงงานอุตสาหกรรมใหญ่โตมโหฬารในโลกผลิตเครื่องที่จะจูงมนุษย์ลงไปในนรกทั้งนั้นแหละ ของเอร็ดอร่อยสวยงามสนุกสนาน เครื่องแฟชั่นทั้งหลายเหมือนที่บางคนกำลังเอามาแต่งอยู่ กินอยู่ ใช้อยู่ ดมอยู่ อะไรอยู่นั้นน่ะ เป็นอุตสาหกรรมของมนุษย์ผู้ไม่ชอบศาสนา ไม่ให้ความสำคัญแก่ศาสนา เขาเห็นแก่ความมั่งมีของเขา เขาผลิตสิ่งที่ทำให้คนจมอยู่ในนรกคือความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ นี่โลกจะวินาศ เรามาช่วยกันในข้อนี้ ให้เกิดการสัมพันธ์กันระหว่างศาสนา แล้วก็เอาชนะวัตถุนิยมซึ่งเป็นซาตานมารร้ายของโลกนี้ให้หมดไป เราก็จะได้บุญสูงสุด ได้ความดีสูงสุดไม่มีความดีอะไรจะสูงสุดกว่านี้ การมาประชุมของท่านทั้งหลายที่นี่ก็จะเป็นการได้ที่ดีที่สุดด้วยเหมือนกัน เพราะได้มาพบปะกันเพื่อจะแก้ปัญหาของมนุษย์ มนุษย์ต้องแก้ปัญหาของมนุษย์ มนุษย์จะต้องช่วยตัวเองตามคำสั่งของพระเจ้า หรือจะเรียกว่าตามกฎของธรรมชาติก็แล้วแต่จะเรียก เราจะต้องช่วยกันทำให้ศาสนาช่วยเรา ถ้าเราไม่เปิดโอกาสหรือว่าไม่ช่วยทำ พระศาสนาก็ไม่อาจจะช่วยเรา แล้วเราก็จะไม่มีที่พึ่ง แล้วเราก็จะวินาศพร้อมๆ กันไปหมด เพราะฉะนั้นเราจะต้องยืนหลักปักมั่นว่าเราจะไม่วินาศ เรามีที่พึ่งคือศาสนา พวกอื่นจะวินาศก็วินาศไปตามใจเขา เมื่อพูดกันไม่ฟัง พูดกันไม่เชื่อ เราจะยืนหยัดเอาศาสนาเป็นหลักเป็นที่พึ่ง อย่าให้โลกนี้ต้องวินาศเลย อาตมามีความรู้สึกโดยทั่วไปที่จะพูดก็เพียงเท่านี้ แล้วก็หมดเวลาแล้ว แต่ขอแสดงความยินดีพอใจ อนุโมทนาในการมาของท่านทั้งหลายด้วยความยากลำบาก ด้วยความหมดเงิน ว่าขอให้ใช้เป็นเครื่องบูชาคุณของพระศาสนาหรือพระเจ้าอันสูงสุดจงทุกๆ คนเถิด ขอให้ดำเนินการอภิปรายต่อไป//
(ผู้ดำเนินรายการ) ท่านวิทยากรและท่านผู้ฟังที่เคารพ พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ได้ปูพื้นฐานเพื่อเป็นแนวทางในการสัมมนาศาสนสัมพันธ์ครั้งนี้ นับว่าเป็นประโยชน์อย่างสูง กระผมต้องกราบขอขอบพระคุณ คุณพ่อยอห์น อุลลิอานา ที่ท่านได้กรุณามา เพราะว่าท่านมีภาระที่จะต้องปฏิบัติเฉพาะหน้าอยู่มาก ดังนั้นต้องขออภัยต่อท่านผู้ฟังทั้งหลายไว้ด้วยที่คุณพ่อยอห์นจะต้องจากไปก่อนคนอื่น จากไปก่อนวิทยากรท่านอื่น ดังนั้นในการอภิปรายจึงขอให้เวลากับคุณพ่อยอห์นรวดเดียวเลย เพื่อให้ทันกับเวลารถไฟที่จะเข้าสู่สถานีประมาณสามทุ่มเศษ เบื้องต้นได้กล่าวไว้ว่ารอบแรก ๒๐ นาที รอบหลัง ๑๐ นาทีนั้น ขอรวมให้ท่านพ่อหลวงยอห์นรวดเดียว ท่านจะพูดถึง ๓๐ นาทีก็ได้หรือเพียง ๒๐ นาทีก็แล้วแต่ท่าน เพราะท่านจะต้องลาไปก่อน ขอเรียนเชิญคุณพ่อยอห์นครับ//
(คุณพ่อยอห์น อุลลิอานา) นมัสการพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ และพระคุณเจ้าทั้งหลาย และท่านผู้มีเกียรติธรรมิกชนทั้งหลาย ผมรู้สึกอยู่ที่นี่มีความอบอุ่นอย่างพิเศษ เพราะว่าอยู่กับบุคคลซึ่งมีจิตใจสูง เมื่อฟังท่านอาจารย์พูดก็รู้สึกว่าเรามีหลักยืนในชีวิตของเราคือศาสนา ซึ่งมีศาสนาเดียวในโลก แต่ว่าแต่งตัวเครื่องแบบคนละอย่างเท่านั้นเอง แต่ภายในตัว ภายในจิตใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะพูดถึงศาสนาใดก็ตามโดยไม่เอ่ยถึงพระเจ้าเห็นจะไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าเป็นหลักยืนของชีวิตมนุษย์ของโลกของพิภพ เรารู้ว่ามีพระเจ้าองค์เดียวกัน ตามที่ท่านอาจารย์เองได้กล่าวหลายครั้งว่า ก็เพราะว่าในโลกนี้มีชาติมนุษย์ชาติเดียว มีโลกโลกเดียว มีพิภพพิภพเดียว หนึ่งเดียว ฉะนั้นต้องมีพระเจ้าเดียว คนละศาสนาจะมีพระเจ้าของตนมันไม่ได้ เป็นพระเจ้าเดียวซึ่งแต่ละศาสนาเรียกชื่อต่างกัน คิดว่าข้อนี้ส่วนมากก็ไม่มีถกเถียงกัน แต่ปัญหาที่หนักใจมีอยู่ว่าพระเจ้านี้คืออะไร คือใคร บางคนเคยถามว่าทำไมคุณพ่อถามว่าพระเจ้าคืออะไร และไม่ถามว่าพระเจ้าคือใคร ทั้งสองศัพท์นี้มีความหมายต่างกัน หากว่าใช้คำว่าพระเจ้าคือใคร อาจจะนำจิตใจของเราว่าพระเจ้าเป็นคนๆ หนึ่ง เพราะว่าเราใช้คำๆ นี้สำหรับต่างคน หากว่าเราใช้ศัพท์ว่าพระเจ้าคืออะไร บางคนเข้าใจว่าพระเจ้าไม่ใช่สิ่ง ทางนั้นก็ดี ทางปรัชญาคำอะไรนี้เป็นพื้นฐานของสรรพสิ่งทุกอย่างเป็นอะไรอย่างหนึ่งแม้แต่คน ฉะนั้นเมื่อเราถามว่าพระเจ้าคืออะไร เราไปถึงจุดยืนของสรรพสิ่ง คำตอบนี้ที่บริบูรณ์ไม่มีในโลก ไม่ว่าจะถือศาสนาใดที่ยึดพระเจ้าเป็นหลัก เมื่อถามว่าพระเจ้าคืออะไร ก็ตอบไม่ถูก วิธีเข้าใจถึงพระเจ้าที่เราใช้มีสามประการ ประการหนึ่ง เราใช้พูดถึงพระเจ้าแบบปฏิเสธ พระเจ้าไม่มีกิเลส พระเจ้าไม่มีเกิด ไม่มีตาย พระเจ้าอมตะ พระเจ้าอกาลิโก คือใช้ศัพท์ที่ปฏิเสธอย่างหนึ่ง ปฏิเสธข้อบกพร่อง อ้างว่าพระเจ้าไม่มีบกพร่องข้อนั้น พอจะเข้าใจบ้าง แต่จะเข้าใจแค่ไหน นิดเดียว ยังงงๆ อยู่ ยังไม่รู้ว่าพระเจ้าคือใครแน่ คืออะไรแน่ แต่มีวิธีที่สองที่พอจะเข้าใจถึงพระเจ้าได้ โดยเทิดทูนคุณงามความดีที่เราเห็นมีอยู่ในโลก จงเรียกว่าพระเจ้า เป็นผู้สร้าง เป็นเจ้าของโลก เป็นผู้ทรงยุติธรรม เป็นผู้ทรงความดี เป็นองค์ปัญญา เป็นองค์ปรีชาญาณ พี่น้องชาวพุทธชอบเรียกว่าเป็นองค์พระธรรม ถูกทั้งนั้น แต่ไม่มีคำไหนที่เอาหมด เอาพระเจ้าหมด เอาแต่ละอย่างๆ แต่ละอย่างๆ แต่เมื่อเรามาถึงที่นี่เรายังไม่รู้ว่าพระเจ้าคืออะไร เพราะว่าสติปัญญาของเราไม่สามารถรับความหมายของพระเจ้าเข้ามา เขาว่ามีปัญญาชนคนหนึ่งคิดเรื่องนี้เรื่องพระเจ้า แล้วเช้าวันหนึ่งเดินชายทะเล เดินไปเดินมาแบบนักคิด คิดอยู่ว่าฉันจะไปอธิบายที่มหาวิทยาลัยว่าพระเจ้าคืออะไรแน่ คิดไปคิดมา เลยเห็นมีเด็กคนหนึ่งอยู่ชายทะเลเอามือขุดหลุมในทรายแล้วก็เอากะลาตักน้ำใส่เรื่อยๆ ท่านเดินไปเดินมา เด็กก็ทำอย่างนั้นอยู่เสมอ อาจารย์คนนั้นจึงถามเด็กว่าหนูทำอะไรที่นี่ ผมต้องการเอาน้ำทะเลใส่ในหลุมนี้ให้หมด โอ,หนูจะทำได้หรือ ไม่เห็นหรือว่าหลุมมันเล็กน่ะ จะเอาน้ำทะเลทั้งหมดไปใส่ได้อย่างไร เด็กคนนั้นก็มีแสงสว่างแล้วพูดกับอาจารย์นั้นว่า แล้วท่านจะสามารถเอาพระเจ้าซึ่งใหญ่ยิ่งกว่าทะเลมาใส่ในปัญญาของท่านได้หรือ ฉะนั้นเราก็ถึงรู้ว่ามี นี้หนีไม่พ้นเพราะว่าเป็น หากว่าไม่มีพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่อยู่ที่นี้ไม่มีใครอยู่ เป็นผู้สร้าง แต่เป็นอะไรเราไม่รู้ แม้แต่คริสต์ที่ถือพระเจ้า แม้แต่ผู้ที่ถือศาสนาอิสลามก็เหมือนกันตอบไม่ถูก มีชื่อที่เรียกก็หมายถึงอะไรอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ได้หมายหมด มีอีกวิธีหนึ่งที่จะเข้าถึงพระเจ้าได้ คือวิธีพบพระเจ้า หน้าต่อหน้า ถ้าพระเจ้าไม่มีร่างกายไม่มีวัตถุจะพบหน้าต่อหน้าอย่างไร ก็ต้องพบใจต่อใจ จิตต่อจิต โดยวิธีสมาธิ วิปัสสนา เข้าฌาน และกับบางคนพระเจ้าก็ปรากฏองค์ให้เขาเห็น เห็นพระเจ้า เมื่อออกจากการเข้าฌานแล้ว บุคคลนั้นก็รู้ถึงพระเจ้าบ้างมากกว่าคนอื่นๆ แต่จะพูดให้คนอื่นฟังพูดไม่ออก ในพจนานุกรมไม่มีถ้อยคำเพียงพอ รู้แต่พูดไม่ออก เหมือนกับใครรับประทานผลไม้ผลหนึ่งซึ่งไม่มีใครเคยรับประทาน และเขาถามว่ารสชาติอย่างไร ก็ไม่รู้พูดไม่ออก จะเรียกว่าอันเปรี้ยวอะไรต่ออะไร เหมือนกับอันนั้น เหมือนกับอันโน้น พูดตรงทีเดียวไม่ได้นะ คนที่ฟังจะรู้ว่าผลไม้นั้นมีรสชาติอย่างไร คงไม่สามารถรู้ อาจจะรู้บ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่หากว่ารับประทานแล้วรู้ อ๋อ,นี่ รู้แล้วก็บอกคนอื่นก็ไม่ได้ด้วย เรื่องพระเจ้าก็เป็นแบบเดียวกัน ฉะนั้นต้องเข้าพบพระเจ้าก่อน เมื่อพบแล้วรู้ และเมื่อรู้แล้วชีวิตของผู้นั้นเปลี่ยนแปลงไปหมด เปลี่ยนทุกอย่างเลยที่กระทำไป ทำคนละวิธี คนละจิตใจ เพราะว่าได้พบกับพระเจ้า ขอนำท่านพบพระเจ้าวันนี้ ในรูปหนึ่งสักส่วนหนึ่ง ส่วนที่เราต้องการที่โลกต้องการเวลานี้โดยอ่านบทความของพระอัครสาวกของพระองค์ องค์หนึ่ง ท่านฌอน (01.02) เขียนว่าอย่างนี้ เพื่อนรักเอ๋ย จงให้เรารักกันและกันไว้ เพราะความรักย่อมมาจากพระเจ้า ทุกคนที่รักก็เป็นบุตรพระเจ้าและรู้จักพระเจ้า หากว่าไม่รักจะไม่มีวันรู้จักพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงรักเราดังนี้ เขาก็ยกตัวอย่าง อย่าหาว่าอ้างเฉยๆ โดยไม่มีเหตุผล ดูสิพระเจ้าได้แสดงว่าพระองค์ทรงรักเรา แสดงโดยวิธีไหน คือพระเจ้าทรงส่งองค์พระบุตรของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเราจะได้รับชีวิตใหม่ทางพระองค์ ความรักก็เป็นอย่างนี้แหละ ความรักคือการมอบตัว ที่เรียกว่าส่งองค์พระบุตรนั้น คือส่งพระองค์เองมา มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อแสดงว่ารักมนุษย์ ความรักเป็นอย่างนี้แหละ คือการออกจากตัวไปเป็นคนอื่น มาเป็นมนุษย์ ความรักก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ใช่ว่าเรารักพระเจ้า แต่ว่าพระเจ้าทรงรักเราต่างหาก และทรงส่งพระองค์เองมาเป็นทางที่พระองค์จะยกโทษบาปให้เราได้ นี่แหละศาสนิกชนทั้งหลาย เรื่องบาปที่หนักใจทุกคนทุกศาสนิกชนทุกศาสนา บาป ผลของกรรม เราไม่รู้หรอกว่าจะแก้อย่างไร แล้วก็มีวิชาต่างๆ ที่ช่วยให้หมดกรรม ผลของกรรมอะไรต่ออะไรสารพัด แหม,ศึกษาแล้วปวดหัวจริงๆ และเมื่อรู้แล้วไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไรด้วย ไม่รู้จะสำเร็จหรือไม่ นี่พระเจ้ามาแสดงแล้ว บาปเป็นความผิดต่อพระองค์ใช่ไหม พระองค์มายกให้เสร็จไปเลย สมมุติว่ามีใครทำผิดต่อผม เขาจะเอาอะไรมาชดเชย จะทำอะไรต่ออะไรเพื่อชดใช้นั้น หากว่าผมไม่ยอมรับ หมดท่า เขาหมดปัญญาที่จะเข้าดีกับผมถ้าหากว่าผมไม่ยอมรับ แต่หากว่าผมให้อภัย เอาไปเถอะไม่เป็นไร เขาไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว เขาสบายใจ ผลของกรรมของเขาหมดไปแล้ว เราทำกันอย่างนี้แหละมนุษย์ และพระเจ้ามาบอกว่า เรื่องบาป ผลของกรรมนั้น พระองค์เสด็จมาเป็นมนุษย์เพื่อใช้โทษแทน ยกให้ ขอให้รักกันและกัน เลิกเสียที่จะทำบาปแล้วก็รักกันและกัน เพื่อนรัก ถ้าพระเจ้าทรงรักเราถึงเพียงนี้ เราก็ควรรักกันและกันด้วย ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า ถ้าเรารักกัน พระเจ้าจะสถิตอยู่ในเรา และท่านจะเห็นพระเจ้าต่อเมื่อมีความรัก เมื่อเป็นดังนี้เราก็แน่ใจว่าเราสนิทสนมกับพระเจ้า และพระองค์ทรงสถิตในตัวเรา ฉะนั้นเรามองพระเจ้าได้ เห็นเข้าในพระเจ้าได้ พี่น้องที่รัก คิดว่าความรักนี้ทุกคนอยากได้ แต่ก่อนที่จะได้เราต้องให้ และเมื่อเราฝึกหัดตัวให้ความรักต่อคนอื่น เราพบพระเจ้าทีละเล็กทีละน้อยในสติปัญญาของเราในตัวของเรา เราจะพบพระเจ้า อ่านพระคัมภีร์นี้แล้ว แล้วก็ปิดหนังสือ แล้วก็พิจารณา เราเห็นว่าถ้อยคำนี้มันงามจริงๆ พอไหม ไม่พอที่เราจะมองดู พิศเพ่งสิ่งที่ดีงาม หากว่าเราไม่ลงมือปฏิบัติทันที เมื่อเห็นความรักของพระเจ้าแล้ว เราก็ต้องรีบไปปฏิบัติแล้วก็จะพบมากขึ้น สิ่งนี้เราต้องใช้สำหรับอบรมตัวของเรา เมื่อคนหนึ่งทำผิด เป็นต้น เป็นพ่อ เป็นแม่ แล้วก็ตีเด็ก แล้วก็ว่าเขา แต่ว่าเห็นเด็กกราบไหว้ขอโทษคุณพ่อคุณแม่ ผมเป็นทุกข์จะไม่ทำอีก แล้วพ่อแม่ พูดว่าเอาเถอะคราวนี้ยกให้ แต่คราวหน้าอย่าทำอีกนะ เด็กก็สบายใจส่วนหนึ่ง แต่นี่หน้าที่ของพ่อแม่ ยังไม่พอ ยังไม่หมด พ่อแม่ ต้องกำชับเด็กว่าหนู หนูทำผิดต่อพ่อ ต่อแม่ พ่อแม่ ยกให้ แต่หนูทำผิดต่อพระเจ้าด้วย ซึ่งรักหนูมากกว่าพ่อ มากกว่าแม่อีก ไปขอโทษพระเจ้าด้วย เอ้า,ย่อเข่าลงกราบไหว้ขอโทษ แล้วพระเจ้าจะยกให้ เมื่อใครคนหนึ่งกราบลงต่อหน้าพระเจ้า ขอโทษที่ตัวได้ทำผิด ตั้งใจจะไม่ทำอีก เวลานั้นจะได้ฟังเสียงในใจ ที่ว่า ไปเถิด เรายกให้ ยกบาปนี้ให้ พระเยซูเจ้าซึ่งเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ วันหนึ่งได้รับเชิญทานเลี้ยงในบ้านของเศรษฐีคนหนึ่ง ซึ่งเศรษฐีคนนี้เป็นคนถือว่าตัวเป็นคนดี ตัวเป็นคนทำบุญมาก แล้วเวลากำลังนั่งรับประทานอาหาร มีผู้หญิงไม่ดีในเมืองคนหนึ่งเข้ามากราบแทบพระบาทพระเยซูเจ้า ร้องไห้ ใช้น้ำตาล้างเท้าของพระองค์ ล้างพระบาทของพระองค์ แล้วใช้ผมมาเช็ด แล้วร้องไห้อยู่เรื่อยๆ ทำให้เจ้าของบ้านนึกสะดุดใจบอกว่า เอ๊ะ,อาจารย์นี่หากว่าเป็นพระเจ้า หากว่าเป็นอาจารย์ทำไมไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครที่มาแตะต้องพระบาทของท่าน ทำไมไม่ให้ไป พระเยซูเจ้าทราบในใจของบุคคลคนนี้เลยถามว่า ซิมอน มีลูกหนี้อยู่สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้หมื่นบาท อีกคนหนึ่งเป็นหนี้ร้อยบาท เจ้าหนี้ยกให้ทั้งสองเพราะเขาไม่มีชดใช้ ในสองคนนี้ใครควรรักเจ้าหนี้มากกว่า เขาคิดประเดี๋ยวหนึ่งแล้วบอกว่าคนที่ถูกยกมากกว่าใช่ไหมพระอาจารย์ ใช่ เห็นผู้หญิงคนนี้หรือ เธอถือว่ามีบาปมาก คราวใดรับยกมาก เขาจึงรักมาก แล้วก็หันไปถามผู้หญิงคนนั้นแล้วตรัสว่า เจ้าไปเถิด เรายกบาปให้ ไป อย่าทำบาปอีก คิดดูสิ ใจของผู้หญิงคนนั้น โล่งสักเท่าไหร่ ได้ฟังว่าบาปหมด บาปหลุดไป พระเจ้ายกให้ เหมือนกับคนหนึ่งซึ่งถูกตัดสินประหารชีวิตแล้วก็ถวายฎีกา แล้วฎีกามา พระเจ้าแผ่นดินอภัยให้ โอ้, ดีใจเท่าไหร่ ฉะนั้นเหนือบาป เหนือกรรมใดๆ มีพระเจ้า หากว่าพระเจ้ายกให้แก่เรา เราก็จงยกให้ซึ่งกันและกัน ปัญหาปัจจุบันเรื่องสงคราม หรือข้อความที่ให้พูดนี้ว่าศาสนาช่วยสร้างสันติสุขในโลก หากว่าเราไม่ให้อภัยซึ่งกันและกัน เมื่อไหร่สงครามจะเลิก โบราณเขาว่าตาต่อตา ใครควักตาคนหนึ่งคนใดต้องถูกควักตาออกด้วย ฟันต่อฟัน ในประเทศฝรั่งบางประเทศเวลานี้ ใครขโมยถูกตัดมือ กฎหมาย กฎหมายไร้ศีลธรรม เพราะว่ามีแต่ปัญญาอย่างเดียวไม่มีหัวใจ ผิดก็ผิด ใช่ ผมเดินถนนตำรวจจับ เลี้ยวผิด เขาห้ามเลี้ยวทางนี้ ไม่ทันดูป้าย มาจากบ้านนอกเข้ากรุงเทพฯ แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจทำหน้าดุๆ คุณไม่รู้จักกฎจราจรหรือ แล้วก็เขียนใบสั่ง ผมบอกว่าผมเพิ่งมายังไม่เคยเดินสายนี้ ขออภัยที่ไม่ได้เกะกะใครเลย ไม่ได้กีดกั้นการจราจรของใคร ขออภัยสักครั้งหนึ่ง ไม่ได้เป็นอันขาด กฎหมายเป็นกฎหมาย ผลของกรรมมีกรรมแล้วต้องมีผลสนอง ผมก็ชำระค่าปรับ แต่คนหนึ่งชนิดอย่างนี้เกิดศรัทธาต่อกฎจราจรไหม เกิดศรัทธาต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไหม มีปฏิกิริยาต่อสู้ทันที ต่อสู้กับกฎหมายและต่อสู้กับผู้รักษากฎหมาย เพราะว่ากฎหมายเป็นผลของปัญญา และปัญญาไม่มีหัวใจ ปัญญาฆ่าคน กฎหมายฆ่าคน หากว่าหัวใจไม่มาช่วย แต่ผมพบตำรวจจราจร เห็นว่าผมพูดถูกไม่เคยสังเกตดู เอาล่ะสำหรับคราวนี้ไปเถิด แหม,ผมสบายใจ เกิดเคารพต่อกฎจราจรต่อไปให้ระวังมากขึ้น และเคารพต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสักเท่าไหร่ เพราะว่าได้ฟังคำว่า ไปเถอะไม่เป็นอะไรคราวนี้ นี่พระเจ้าทำกับเรา ต่อเมื่อเรารักกันและกัน มีบทภาวนาของคริสตศาสนาที่ว่าขอพระองค์ทรงยกผิดของข้าพเจ้าเหมือนกับข้าพเจ้ายกให้แก่ผู้อื่น นี่เป็นทางแห่งสันติสุข หากว่าสองประเทศที่รบกัน เขาจะไม่เลิกจนกว่าจะมียุติธรรมขึ้น ไม่มียุติธรรมขึ้นหรอก รับรอง เขาจะสงครามอยู่ตลอด ตลอดประวัติของโลก ประวัติของเขา จนกว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอันตรธานหายไป เพราะว่ามีการแก้แค้น จงเอาหัวใจใส่เข้าไป พระเจ้าให้แก่มนุษย์ ไม่ได้ให้แต่สติปัญญาอย่างเดียวสำหรับจะร่างกฎหมาย แต่ให้หัวใจด้วย และเวลาพระเจ้าทรงร่างกฎของธรรมะซึ่งเป็นผลของพระสติปัญญาของพระองค์ พระองค์ทรงประทานหัวใจด้วยแก่เรา ของพระองค์แก่เรา เพื่อเรารู้ว่าผลของกรรมเราลบได้ด้วยเป็นทุกข์ โดยขออภัยและยกให้กับผู้อื่น แม้แต่เราถูก ไม่เป็นอะไรยกให้ ฉันก็เคยผิดหลายครั้ง เอาล่ะยกกันและกัน ดูนาฬิกาของผมก็เกือบหมดแล้วใช่ไหม อีกห้านาที ขอบใจ มีบทหนึ่ง เรื่องความรักนี้ ความรักนี้เราก็ต้องแสดงในชีวิตของเรา ในกิจกรรมต่างๆ ที่เราทำ ทรงเป็นหัวใจที่ปรากฏในพฤติกรรมทั้งปวงของเรา มีคนหนึ่งถามอาจารย์คนหนึ่งว่า การทำงานต้องทำอย่างไรจึงจะบันดาลความสุข แล้วอาจารย์คนนั้นตอบว่า ขออนุญาตอ่านนิดหนึ่งคิดว่าในระยะห้านาทีอาจจะจบ เมื่อท่านทำงาน ท่านทำให้แผ่นดินและกิจทั้งหมดบนแผ่นดินเดินเป็นขบวนแห่ที่มีจังหวะ พระเจ้าตรัสว่า ท่านจงทำงานแล้วแผ่นดินจะบังเกิดผลสนองท่าน งานเป็นความรัก เมื่อท่านทำงาน ท่านทำให้ชีวิตของท่านเป็นเหมือนปี่หรือขลุ่ย ซึ่งทำให้ทุกลมหายใจเข้าออกของท่านเป็นเพลงที่มีมนต์ หากว่าไม่มีขลุ่ยนะ เราหายใจเข้าหายใจออกไม่มีเสียง แต่หากว่าเอาขลุ่ยใส่ปากเอาปี่ใส่ปาก การหายใจเข้าและออกเป็นเพลงเลย นี่แหละความรักทำให้ทุกอย่างเป็นเพลง ใครบ้างที่อยากเป็นไม้ท่อนหนึ่งที่อยู่นิ่งเฉยในขณะที่สิ่งอื่นๆ ในธรรมชาติต่างพยายามร้องประสานเสียงอย่างน่าจับใจ เรามาในสถานที่นี้เราเห็นต้นไม้แตกกิ่งแตกก้านมีดอกมีผล นกร้องบนต้นไม้ สัตว์บนพี้นดินก็ล้วนแต่ให้ความบันเทิงแก่เรา มีชีวิตตื่นเต้น แล้วเราจะนิ่งเฉยเหมือนไม้ท่อนหนึ่งได้ที่ไหน ท่านคงเคยได้ยินเขากล่าวว่า การทำงานเป็นคำสาปเป็นกรรมที่โหดร้าย แต่ข้าขอบอกท่านว่าเมื่อท่านทำงาน ท่านทำให้ความฝันส่วนหนึ่งของแผ่นดินเป็นจริง มาเป็นความฝันที่ถูกมอบให้แก่ท่านเมื่อท่านเกิดเป็นคน เมื่อท่านเกิดเป็นคน ผู้ให้เกิด ฝันว่าเราจะทำอะไรดีขึ้นเพื่อส่งเสริมความรักในมนุษยชาติสักอย่างหนึ่ง แล้วเมื่อท่านทำงานอย่างขยันหมั่นเพียรท่านจะกลับเป็นคู่รักแท้กับชีวิต จะไม่มีวันเบื่อชีวิต จะไม่มีวันปรารถนาจะตาย และการรักชีวิตโดยอาศัยการงาน เป็นการเข้าถึงส่วนลึกของหัวใจแห่งชีวิตนั้นเอง หากว่าท่านตกทุกข์ได้ยากและเรียกการเกิดเป็นทุกข์เป็นกรรม และเรียกการทำงานหาเลี้ยงชีพเป็นการสาปแช่งหรือเป็นกรรมลิขิตทางเวทย์มนต์ที่ถูกพิมพ์จารึกไว้ในเนื้อหนังของท่าน เหมือนแต่ก่อนตีตราสำหรับคนที่เป็นทาสตลอดชีวิต ถ้าหากท่านเป็นเช่นนี้จริง ข้าขอบอกท่านว่า น้ำเหงื่อจากหน้าผากของท่านเวลาทำงานจะเป็นน้ำทิพย์ที่จะลบล้างการสาปและลบล้างกรรมสิทธิ์นั้นเสีย เวลามันหมดขอยุติแค่นี้ อาจารย์คนนี้กล่าวสุดท้ายว่า หากว่าท่านทำงานด้วยความรักไม่ได้ เวลาทำงานกลุ้มใจ ท่านอย่าทำงานเถิด ไปนั่งอยู่หน้าโบสถ์พระวิหาร ขอทานจากคนที่ทำงานด้วยความรักดีกว่า จะได้ไม่หนักแผ่นดิน พี่น้อง เวลาไม่ให้ที่จะพูดมากกว่านี้ แต่ผมดีใจที่ได้ระบายอะไรในใจออกสักอย่างหนึ่ง และอยากจะให้ได้เห็นทุกๆ ท่านได้พบกับพระเจ้า ท่านจะพบพระเจ้าเมื่อรักเพื่อนมนุษย์ เมื่อรักคนโรคเรื้อน เมื่อรักคนตาบอด ปีนี้ปีของคนพิการ เมื่อช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก เวลานั้นเราจะพบพระเจ้า และพระเจ้าจะกล่าวแก่เราว่า ลูกเอ๋ยบาปที่เคยกระทำมาเรายกให้ ต่อไปรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแล้วอย่าทำบาปอีก ผมขอยุติ ขอบคุณทุกท่าน//
(ผู้ดำเนินรายการ) ครับ คุณพ่อยอห์น อุลลิอานา ผู้แทนศาสนาคริสต์ ได้ให้ความรู้ทางศาสนา คริสต์ศาสนานะครับ และแนวปฏิบัติเพื่อบรรลุผลด้านสันติภาพของโลกนะครับ มาพอสมควร พอเหมาะกับเวลาพอดิบพอดีไม่ขาดไม่เกิน และโดยที่ท่านจะต้องเดินทางกลับจากไปก่อนครับ รายการอภิปรายของท่านก็หมดเพียงแค่นี้ เราขอเชิญชวนทุกท่านได้ปรบมือส่งท่านเป็นให้เกียรติแก่ท่านอีกครั้งหนึ่ง ผมไม่สรุปในคำบรรยายของท่านตามหน้าที่ของผู้ดำเนินการ แต่จะขอผ่านไปถึงศาสนาอิสลามครับ ช่วงต่อไปนี้ เวลาและกติกาของการอภิปรายแก่ที่ประชุมนี้บ้าง ก็ได้กล่าวแล้วในเบื้องต้น เพราะฉะนั้นขอเชิญคุณวินัย สะมะอุล ผู้แทนศาสนาอิสลามครับ//
(คุณวินัย สะมะอุล) ขอแสดงความคารวะต่อท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ และท่านผู้มีเกียรติที่เคารพในทุกศาสนา กระผมได้ฟังท่านพุทธทาสและท่านอาจารย์คุณพ่อยอห์นได้พูดเกี่ยวกับเรื่องของพระเจ้าและเรื่องของศาสนา คิดว่าพี่น้องที่มานั่งฟังอยู่ ณ ที่นี้คงจะมีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าที่จริงแล้วสัจธรรมของศาสนานั้นมันเป็นสิ่งเดียวกัน กล่าวคือมุ่งที่จะสอนให้คนทุกคนนั้นบรรลุไปสู่เป้าหมายหนึ่งอันเป็นแกนหลักนำชีวิตของสังคมมนุษย์ ไม่ว่าเขาจะใช้วิถีทางของศาสนาไหน ถ้าสามารถที่จะบรรลุไปสู่แกนนำของชีวิตดังกล่าวนั้นได้ ความสงบและศานติ มันก็จะต้องเกิดขึ้นแก่สังคมมนุษย์โดยแน่แท้ กระผมอยากจะเข้าสู่เป้าของเรื่องที่เราจะพูดกันเลยว่า ต่อปัญหาที่ผู้ดำเนินการอภิปรายได้ตั้งเป็นหัวข้อในการอภิปรายว่าศาสนาเพื่อสันติภาพของโลก ซึ่งความหมายของคำว่าสันติภาพของโลกนี้ก็คือโลกนั้นจะต้องไม่มีสงคราม นั่นมันจึงจะเกิดสันติภาพ คำของคำว่าสันติภาพนี่มักจะใช้คู่กับคำว่าสงครามเสมอ ท่านคงจะเคยได้ยินภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่บอกว่าสงครามกับสันติภาพ หรือเคยได้ยินข่าวสารการเมืองต่างๆ ถ้าพูดถึงการสงบสุขของประชาชนก็หมายถึงว่า ประชาชนในสถานที่แห่งนั้นไม่มีสงคราม เมื่อไม่มีสงครามสันติภาพก็เกิดขึ้น เราจำเป็นที่จะต้องหันมาพินิจถึงสัจธรรมของชีวิตอันแท้จริงว่า ตัวสงครามนี่มันเป็นตัวทำลายสันติภาพแน่ๆ แต่ว่าสงครามจริงๆ มันเกิดขึ้นที่ไหน สงครามที่อเมริกันได้กระทำต่อเวียดนามนั้นเป็นสงครามปลายเหตุ สงครามที่รัสเซียเอาทหารเข้าไปบุกอัฟกันนั้นมันก็เป็นสงครามปลายเหตุ สงครามที่พยายามจะยั่วยุให้เกิดกันที่ตะวันออกกลางมันก็เป็นสงครามปลายเหตุครับ แต่สงครามที่เป็นต้นเหตุอันแท้จริงนั้นก็คือความขัดแย้งที่มันมีอยู่ในตัวของเรานี่แหละ ความขัดแย้งที่อยู่ในตัวของเราที่เรายังไม่สามารถไปสร้างดุลยภาพทางชีวิตให้เกิดขึ้น ในชีวิตของคนทุกคนเรานี้มันมีอะไรอยู่สองอย่างที่มาประกบกันขึ้นเป็นอย่างเดียวกัน และเราปล่อยให้มันขัดแย้งกันเอง มันจึงเกิดสงครามตั้งแต่ชีวิตแรกของเรา เพราะฉะนั้นในเมื่อปัจเจกชนมันมีสงครามมหาชนมันก็ต้องเกิดสงคราม มันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ถ้าเราต้องการที่จะสงบสงครามของมหาชนก็มีความจำเป็นที่จะต้องสงบสงครามในปัจเจกชนในส่วนเอกชนหรือในส่วนของคนทุกคน แล้ววิธีการที่เราจะสงบสงครามของปัจเจกชนก็จะต้องให้รู้ว่าในปัจเจกชนนั้นมันมีอะไรที่มันขัดแย้งกันอยู่ แล้วเราก็สร้างดุลยภาพให้เกิดขึ้นเสีย ในเมื่อมันมีดุลยภาพที่แท้จริงในส่วนที่ประกอบกันขึ้นมาของส่วนปัจเจกชนมันก็สงบ พอสงบสงครามก็ไม่มี ท่านจะเรียนศาสนาพุทธ ท่านจะเรียนศาสนาฮินดู ท่านจะเรียนศาสนาคริสต์หรือจะเรียนศาสนาไหนก็ตาม เมื่อเข้าไปเรียนแล้วเขาจะต้องสอนให้ท่านรู้ว่าองค์ประกอบในชีวิตมันมีอยู่สองส่วน หนึ่งส่วนที่เป็นจิตภาพ และสอง ส่วนที่เป็นกายภาพ ทั้งส่วนที่เป็นจิตภาพและส่วนที่เป็นกายภาพนี้มันจะต้องมีความขัดแย้งกันเพราะมันมีอารมณ์ส่วนกลางเป็นตัวประสาน เจ้าตัวอารมณ์นี้แหละบางทีมันไปรับใช้ส่วนจิตภาพ เจ้าอารมณ์นี้บางทีมันไปรับใช้ส่วนที่เป็นกายภาพ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่สามารถที่จะสร้างตัวอารมณ์นี่ให้ไปรับใช้ทางจิตภาพแล้ว ความขัดแย้งระหว่างจิตภาพกับกายภาพมันจะเกิดขึ้น แล้วก็ตัวอารมณ์นี้แหละที่จะเป็นตัวกลางอันสำคัญยิ่งที่จะสร้างสงครามภายในชีวิตของเราให้เกิดขึ้น ศาสนาทุกศาสนานั้นมาเพื่อตรงนี้ มาเพื่อที่จะดับอารมณ์ให้มันนิพพานไปเสียเพื่อที่จะไปรับใช้จิตภาพ แล้วจิตภาพก็จะค่อยๆ ลอยสูงส่งๆออกไป จนกระทั่งไปพบกับสิ่งเบื้องสูงอย่างที่ท่านพุทธทาสได้พูดไว้เมื่อสักครู่นี้ แต่มันเป็นปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเราเข้าใจศาสนากันเท่าไหร่ และเมื่อเราเข้าใจกันแล้วเราเอาไปประพฤติปฏิบัติกันอย่างไร กระผมอยากจะเรียนว่า ก่อนที่เราจะมาต่อสู้กับขบวนการภายในร่างกายของเราเองนั้น จากความเป็นจริงตรงนี้แหละมันก่อให้เกิดระบบที่เป็นขบวนการทำลายชีวิตของสังคมที่เป็นซาตานร้ายอยู่ระบบหนึ่ง ซึ่งเรายังไม่อาจจะบอกกันได้ว่ามันเป็นระบบที่ใครเป็นคนคิดกันขึ้นมา แต่ความจริงจากประวัติศาสตร์ตั้งแต่อดีตมาจนกระทั่งถึงยุคปัจจุบันนี่ ถ้าเราจะสังเกตดูให้ดีแล้ว สงครามต่างๆ ที่มันเกิดกันขึ้นมาแต่ละครั้งนั้น มันเป็นสงครามของการยื้อแย่งระหว่างจิตภาพกับกายภาพ แต่มันออกมาในรูปแบบของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สงครามโลกครั้งที่สองหรือสงครามครูเสด (crusade)หรือว่าจะเป็นสงครามความขัดแย้งใดๆ ก็ตาม ที่จริงแล้วอันนั้นก็คือสิ่งกดเก็บอยู่ภายในที่มันออกมาในรูปของการขัดแย้งระหว่างจิตภาพกับกายภาพ แล้วมนุษย์ซึ่งที่ไปหลงในเรื่องของกายภาพมันก็กลายออกมาเป็นวัตถุนิยม นำความคิดขึ้นมานั้นจากลักษณะของความคิดแบบปรัชญาสมัยกรีกเรื่อยมา เราจะพบระบบปรัชญาออกมาในรูปจิตนิยมและวัตถุนิยมซึ่งมีลักษณะสองสายกันมาอยู่ตลอด แต่บังเอิญระบบปรัชญาของกรีกนั้นมันไม่มีตัวศาสนาเข้าไปบังคับอารมณ์ ไม่มีตัวศาสนาเข้าไปบังคับอารมณ์ว่าจะต้องไปรับใช้จิต เพราะฉะนั้นจึงหาข้อสมบูรณ์ใดๆ ไม่ได้จนกระทั่งมาถึงระบบปรัชญาและแนวความคิดที่เรายอมรับกันในสมัยปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นแนวความคิดของ เฮงกินส์(1.31.38) ไม่ว่าจะเป็นแนวความคิดของ ฟอยโอบับ(1.31.41) ซึ่งเป็นต้นแบบสำหรับแนวความคิดของคาร์ล มากซ์ (karl mark)นั้น เราก็พบความจริงว่าบุคคลที่ถูกระบุชื่อดังกล่าวนั้น เป็นผู้ที่พยายามจะบอกแก่เราว่าความสัมพันธ์ในมนุษยชาติทั้งหลายไม่มีความเกี่ยวข้องด้วยกับเรื่องของจิตภาพแต่ประการทั้งปวง แต่มันเกิดขึ้นมาจากเรื่องของกายภาพแต่เพียงประการเดียว เพราะฉะนั้นระบบเศรษฐกิจที่เขาคิดออกมานี่ ความสมดุลทางจิตใจเขาไม่ต้องพูดถึง แต่เขาจะพูดกันแต่เพียงว่าการจัดสัดส่วนทางวัตถุแต่เพียงประการเดียว ดังนั้นระบบคอมมิวนิสต์มันก็เกิดขึ้นมาจากพื้นฐานของความขัดแย้งดังกล่าวที่ไม่มีศาสนาเข้าไปควบคุมและเข้าไปกำกับ ดังนั้นในเมื่อมันเกิดสงครามแต่ละครั้งกันขึ้นมานี่ เราจึงจะเห็นชัดว่าที่จริงนั้นมันเป็นลักษณะรูปแบบจำลองออกมาจากปัจเจกชนนี่แหละครับ มันเป็นรูปแบบจำลองของสงครามระหว่างกายภาพกับจิตภาพแต่มันออกมาเป็นรูปธรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทิฏฐิมานะ เรื่องเกี่ยวกับความโลภโมโทสัน เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจะเอาผลประโยชน์แต่เพียงประการเดียวโดยคลั่งไคล้แต่ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับวัตถุนิยม จนกระทั่งเรามายอมรับกันในสมัยปัจจุบันนี้ว่า ลักษณะแนวความคิดวัตถุนิยมวิภาคที่นักศึกษาสมัยใหม่กล่าวว่ามันเป็นความคิดที่วิทยาศาสตร์แล้ว เป็นความคิดที่พิสูจน์แล้วว่ามันเป็นสัจธรรมของชีวิต ศาสนาต่างๆ มันเป็นเรื่องของจิตนิยม ศาสนาต่างๆ นั้นมันเป็นเรื่องที่หาสาระอันใดไม่ได้ ศาสนาต่างๆ ไม่สามารถที่จะช่วยคนให้อยู่ในฐานะเป็นผู้ที่มีความสุขในสังคมได้ เขาก็มีความคิดกันไปแบบนั้น แต่ความเป็นจริงแล้ว ถ้าเราจะมาวิเคราะห์กันถึงแก่นกันแล้ว เราจะเห็นว่านั่นมันเป็นความเข้าใจผิดของบุคคลกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เป็นบุคคลกลุ่มซึ่งที่ไม่พยายามจะมองถึงความสัมพันธ์อันแท้จริงในชีวิต มันควรจะตั้งเป้าหมายกันอยู่ตรงไหน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีของคาร์ล มากซ์ หรือของใครก็ตาม เราจะต้องยอมรับว่าสิ่งนั้นมันยังขาดความสมบูรณ์ในตัวเอง จะเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ความเป็นจริงที่จะเป็นพิสูจน์ได้ว่าเป็นวิทยาศาสตร์นั้นจะต้องมีความพิเศษอยู่ในตัวคือความสมบูรณ์แบบอยู่ในตัวเอง ในเมื่อชีวิตของคนเราประกอบด้วยกับกายภาพและจิตภาพ เราก็จะต้องยอมรับทั้งสองอย่างว่ามันมีความสำคัญ เพียงแต่เอาศาสนาไปสร้างดุลย์เท่านั้นเอง เมื่อเอาศาสนาเข้าไปสร้างดุลยภาพ เอาอารมณ์ไปรับใช้จิต แล้วควบคุมร่างกาย ควบคุมความสมส่วนและสัดส่วนของการดำเนินชีวิตทางกายภาพมันก็เกิดความสงบสุข เมื่อมีความสงบสุขกันขึ้นมาแล้ว นั่นแหละครับเป็นเป้าหมายของศาสนาล่ะ ท่านผู้ฟังบางคนที่เป็นนักศึกษาสมัยใหม่อาจจะบอกว่าศาสนายังไม่เห็นว่าจะมีลักษณะที่แก้ไขปัญหาสังคม แต่ในขณะเดียวกันท่านก็ยังไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ว่าระบบคอมมิวนิสต์นั้นแก้ไขอะไรได้บ้าง เมื่อสมัยก่อนนั้นเราอาจจะมาชื่นชมกับการปฏิวัติของรัสเซีย การปฏิวัติของจีนแดงหรือของใครก็ตาม แต่ในที่สุดในปัจจุบันนี้ทั้งจีนแดงและทั้งรัสเซียกำลังที่จะมีความเสียใจต่อนโยบายที่ตนดำเนินกันไปที่ทอดทิ้งศาสนา พยายามเข้าหาศาสนากันแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่าระบบคอมมิวนิสต์ที่มาต้นรากออกมาจากวัตถุนิยมวิภาคนั้นเป็นลักษณะที่หาความสมบูรณ์แบบในตัวไม่ได้เลย นอกจากว่าเราจะต้องเข้าหาศาสนา แล้วบุคคลที่ไปคลั่งไคล้ต่อระบบความคิดที่เป็นวัตถุนิยมดังกล่าวนี้เขาก็จะต้องเอาสิ่งที่วัตถุมันเป็นผู้กำหนดขึ้นมานี่มาเป็นพระเจ้า เอามาเป็นหลักธรรมของตนเองแล้วก็เอามาเป็นศาสนา แต่เดิมนั้นเราเคยถือธรรมะเป็นศาสนา แต่เดิมเราเคยถือพระผู้เป็นเจ้าเป็นพระสรณะของเรา แต่ในเมื่อเราหันไปหลงคลั่งไคล้อยู่กับวัตถุนิยมแต่เพียงประการเดียว รถยนต์จะมาเป็นศาสนาเป็นพระเจ้าของเรา เงินในแบงค์ ๒๐ ล้านเป็นพระเจ้าของเรา เกียรติยศจอมปลอมเป็นพระเจ้าของเรา ตำแหน่งต่างๆ ทางการเมืองมาเป็นพระเจ้าของเรา สิ่งเหล่านี้มันเป็นพระเจ้า เพราะอิทธิพลของความคิดที่ไปยอมสิโรราบกับวัตถุนิยม แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นมานอกจากความขัดแย้งที่หาข้อจุดจบอันใดไม่ได้ เพราะฉะนั้นลัทธิวัตถุนิยมไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้ เรามามองความคิดอีกมุมหนึ่งของนักจิตวิทยาวิเคราะห์ ผมจะยกตัวอย่างเพียงคนเดียวคือซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ซิกมันด์ ฟรอยด์ เคยบอกว่าศาสนาวิวัฒนาการมาจากไสยศาสตร์ เป็นจริงรึเปล่าครับท่านพี่น้องที่เคารพ ผมขอปฏิเสธ ผมศึกษาเอกสารจากท่านพุทธทาสเขียน ไม่เคยพบกันเลยว่าศาสนาพุทธสอนในเรื่องไสยศาสตร์ ตรงกันข้ามศาสนาพุทธนั้นถือว่าไสยศาสตร์เป็นเดรัจฉานวิชา แล้วซิกมันด์ ฟรอยด์บอกว่าศาสนาวิวัฒนาการมาจากไสยศาสตร์นั้นมันมีอะไรมาเป็นข้อพิสูจน์ ไปมองศาสนาอิสลาม ศาสนาอิสลามตั้งพระเจ้าเป็นสิ่งสูงสุด แล้วสิ่งที่เรียกกันว่าเป็นตัวจะทำลายหัวใจของเรานั้น เราเรียกกันว่าเป็นภาคีของพระเจ้า ส่วนหนึ่งของภาคีพระเจ้านั้นอิสลามถือว่าได้แก่พวกไสยศาสตร์ ได้แก่มายาศาสตร์ ได้แก่การเล่นเครื่องรางของขลัง ได้แก่เรื่องการเล่นเสน่ห์ยาแฝด ได้แก่การเล่นคาถาอาคมทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้อิสลามถือว่าเป็นตัวภาคีต่อพระเจ้า ถ้าใครมีแล้วถือว่าผู้นั้นไม่มีความเชื่อในพระเจ้า เพราะฉะนั้นเราก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าศาสนาไม่มีในเรื่องไสยศาสตร์ แล้วซิกมันด์ ฟรอยด์ เอาที่ไหนมาบอกกันว่าศาสนานั้นวิวัฒนาการมาจากไสยศาสตร์ เพราะฉะนั้นนี่มันเป็นลักษณะของการมอมเมาคนในรุ่นใหม่ของคนในโลกนี้ ด้วยกับเอารูปแบบของความทันสมัยเข้ามาจำลองแล้วก็พยายามที่จะแย่งชิงประชาชนของศาสนา เข้าไปสู่ความเป็นคนไม่มีศาสนา และถ้ามนุษย์ไปหลงคลั่งไคล้กับรูปแบบของการกระทำและรูปแบบของคำสอนของซิกมันด์ ฟรอยด์หรือของคาร์ล มากซ์หรือของแม้กระทั่งของอดัม สมิธ เจ้าของลัทธิทุนนิยมก็ตาม เขาจะต้องมารู้สึกในความเสียใจว่าเขากำลังทอดทิ้งความสงบสุขของชีวิตไปแล้ว และเขาไม่สามารถที่จะมาหามรรคาใดๆที่จะดำเนินไปสู่ความสันติอันแท้จริงนี้ให้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เพราะฉะนั้นท่านพี่น้องที่เคารพทั้งหลาย กระผมอยากจะขอเรียนต่อท่านพี่น้องด้วยความคารวะอย่างจริงใจว่าท่านจะนับถือศาสนาอะไรนั้น นั่นเป็นเรื่องของท่าน เราไม่มีเวลาที่จะมานั่งถกเถียงกันว่าทำไมศาสนานั้นจะต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมศาสนานี้จะต้องมาเป็นอย่างนี้ มันหมดสมัยแล้วหมดเวลาไปแล้ว ในสมัยปัจจุบันนี้เราจำเป็นจะต้องมาพูดกันว่า หลักเกณฑ์ของศาสนาส่วนใดที่จะไปสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นแก่โลกได้ เราจะเอาคำสอนของศาสนาส่วนไหนจะไปแก้ไขปัญหาสงครามได้ เราจะเอาหลักธรรมะของศาสนาในส่วนไหนส่วนใดของแต่ละศาสนานี่ เข้าไปแก้ไขความขัดแย้งและกิเลสตัณหาตลอดจนอบายมุขทั้งหลายที่ความคิดแบบวัตถุนิยมมันสร้างสมกันขึ้นมา ท่านพี่น้องที่เคารพทั้งหลาย ความคิดในระบบวัตถุนิยมมันทำลายศีลธรรมโดยสิ้นเชิง เขาถือกันว่าความสัมพันธ์ของมนุษย์น่ะไม่มีศีลธรรมเข้าไปควบคุม ดังนั้นการที่มนุษย์ต่อมนุษย์จะมาเสพสมแล้วก็มาส้องเสพซึ่งกันและกันนั้น มันเป็นเรื่องของวัตถุล้ำเข้าไปในวัตถุธรรมดาเท่านั้น มันไม่ได้มีอะไรที่จะต้องไปถือว่ามันน่าเกลียดน่าชังแต่ประการทั้งปวง ในเมื่อเกิดความคิดวัตถุนิยมกันขึ้นมาอย่างนี้ ศีลธรรมศาสนาสอนเสียหายหมดเลยครับ ศาสนาพุทธบอกว่าอย่าไปผิดลูกเมียเขานะ ศาสนาอิสลามบอกว่าอย่าไปทำซีนา วีนาคืออะไร ครับ(1.39.27) วีนาคือการไปผิดประเพณีลูกเมียเขา ประเวณีได้เฉพาะเมียเรา เมียเขาไม่ได้ ลูกเขาไม่ได้ต้องแต่งงานกันก่อน เพราะฉะนั้นในเมื่อความคิดของซิกมันด์ ฟรอยด์ และของวัตถุนิยมมันออกมาในรูปการอย่างนั้น มันจึงทำให้เกิดระบบของฟรีเซ็กส์ขึ้นมาอย่างมากมายในโลกปัจจุบันนี้ ตะวันตก ยุโรปอะไรต่ออะไร แม้กระทั่งในประเทศไทยของเราบางส่วนในเวลานี้ที่รับเอาอารยธรรมแบบตะวันตกแบบวัตถุนิยมเข้านี่ เราก็จะเห็นว่ามันคืบคลานตามเขามากับความคิดนั้นก็คือความเสื่อมแล้วก็ความสำส่อนทางวัฒนธรรม เราจะเห็นกันว่าเรื่องของกามารมณ์สามารถที่จะซื้อกันได้อย่างเสรีที่สุด มีเงินเพียงสามสิบบาทสามารถที่จะไปซื้อกามารมณ์กันได้แล้ว เราไม่จำเป็นจะต้องเข้าไปหาที่ลับๆ อีกแล้ว เดินข้างถนนก็มีแล้ว ยืนแอบอยู่ข้างๆ ต้นไม้แล้วก็เข้ามากวักมือถามบอกว่าจะไปเสพสมกับหนูไหมล่ะคิดสามสิบบาทเท่านั้นหรือแถมบุหรี่ตัวเดียวอะไรทำนองนี้ ลักษณะที่มันมีอย่างนี้มันมาจากอะไรครับ มันมาจากตรงที่ว่าเราไปถูกมอมเมาด้วยกับความคิดของ ความคิดของวัตถุนิยมซึ่งไม่เอาเรื่องของจิตภาพ ไม่เอาในเรื่องของศีลธรรมไม่เอาในเรื่องของคุณธรรมแต่ประการทั้งปวง แล้วอันตรายเหล่านี้แหละครับมันเป็นอันตรายที่จะก่อให้เกิดแก่สังคมมนุษย์... (จบไฟล์)