แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เกี่ยวกับผู้จะลาสิกขา เป็นครั้งที่ ๔ ที่จะพูดเรื่องสามัญญลักษณะหรืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรื่องขันธ์ ๕ เรื่องอายตนะ เรื่องปฏิจจสมุปบาท พูดมาแล้ว แล้วก็ได้พูดแบบที่เรียกว่าประยุกต์ คือนำมาใช้ปฏิบัติได้สำหรับฆารวาสผู้ครองเรือน โดยมากก็ถือกันว่าเรื่องเหล่านี้มันเรื่องไปนิพพาน ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่เกี่ยวกับฆราวาส แต่ตามความจริงนั้น มันเป็นเรื่องสำหรับดับทุกข์ ปัญหาหรือความทุกข์มันมีอยู่ที่ไหน มันก็ต้องให้มีธรรมะสำหรับดับทุกข์ที่นั่น เรื่องขันธ์ เรื่องธาตุ เรื่องอายตนะ เรื่องปฏิจจสมุปบาท กระทั่งเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นต้น มันก็เพื่อจะดับทุกข์ทั้งนั้นแหละ พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้เพื่ออย่างอื่นเลย หรือว่าธรรมะของพระองค์ที่ทรงนำมาสั่งสอนทุกข้อทุกกระทงเพื่อจะดับทุกข์ ดังนั้น ความทุกข์มีอยู่ที่ไหนมันก็ต้องเอาไปใช้ที่นั่น
เมื่อฆราวาสก็มีความทุกข์เหมือนกัน บางทีจะมีมากกว่าบรรพชิตเสียอีก มันก็ยิ่งต้องการ แล้วความทุกข์อยู่ที่บ้านธรรมะมันก็ต้องไปใช้ที่บ้าน และโดยเฉพาะนิพพานก็ต้องมีอยู่ที่บ้าน เพราะว่าที่บ้านมันก็มีความทุกข์ ถ้าดับทุกข์เสียได้มันก็เป็นนิพพาน และ นิพพานแปลว่าเย็น ชีวิตที่เยือกเย็นนั่นแหละคือชีวิตที่อยู่ด้วยนิพพาน ไม่มีร้อนก็แล้วกัน ดังนั้น แม้แต่เรื่องนิพพานก็เป็นเรื่องที่พุทธบริษัททุกคนต้องสามารถจะเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ไม่เป็นหมัน
ถ้าไม่เกี่ยวกับนิพพานแล้วก็ไม่ใช่พุทธศาสนา แต่เดี๋ยวนี้เขาเข้าใจคำว่านิพพานนั้นผิดเสียหมด เอาไว้ต่อตายแล้วตายอีก ตายแล้วตายอีก กี่หมื่นกี่แสนกี่ชาติ กี่แสนชาติจึงจะนิพพาน แล้วอีกที่ไหนเมื่อไรก็ไม่รู้ ไอ้นั้นมันทำให้ผิดไปจากวัตถุประสงค์ความมุ่งหมายของพระพุทธเจ้า มีความทุกข์ที่ไหนต้องดับทุกข์กันที่นั่น ดับทุกข์กันได้ที่ไหนก็มีนิพพานที่นั่น เมื่อนั้นก็ว่าพระนิพพานคือมันดับทุกข์
ดังนั้นการที่คนหนุ่มเข้ามาบวชกันเพื่อศึกษาธรรมะนั้น ผมไม่คิดว่าจะมาศึกษาเรื่องที่ปฏิบัติในนวโกวาท ซึ่งเอาไปท่องเอาก็ได้ ไปดูไปอ่านเอาก็ได้ แต่ว่าอยากจะให้รู้ธรรมะชนิดที่ฆราวาสจะไม่ต้องมีชีวิตที่ร้อนเป็นไฟ เป็นที่เชื่อได้ว่า เมื่อท่านทั้งหลายลาสิกขาสึกออกไป คงจะไม่เป็นคนเลวขนาดที่ทำอบายมุขหรือทำอะไรผิดหลักธรรมะของฆราวาสเหล่านั้น
ที่นี้ก็ไม่ทำเลว ไม่ผิดอบายมุข ไม่ผิดอะไรต่าง ๆ แล้ว ไม่ใช่ว่าความทุกข์จะไม่มี ความทุกข์ยังคงมีต่อไป ในเรื่องของธรรมชาติของสัตว์ที่มีชีวิตจิตใจ มีกิเลสและก็มีอารมณ์ มีเวทนา เราจึงต้องสนใจส่วนนี้ อย่าให้ต้องมีทุกข์ ที่ฆราวาสก็ไม่ควรจะมี จึงเอาธรรมะสำหรับพระนิพพานเอาไปใช้ด้วย
เขาเข้าใจกันว่านิพพานเป็นเรื่องของอนาคาริก คือผู้ไม่เกี่ยวข้องกับบ้านเรือน อยู่ในวัด อยู่ในป่า อยู่ในดง ประพฤติปฏิบัติเป็นฤๅษีมุนี ไม่มีความทุกข์ กล่าวธรรมะไว้สูง แต่ผมมาพิจารณาดูแล้วทุกข้อ ตั้งแต่ต่ำๆขึ้นไปจนถึงสูงสุด เป็นเรื่องสำหรับมนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แม้แต่เป็นฆราวาสก็ต้องเอาเรื่องเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ให้จนได้
เช่นว่าถ้าฆารวาสสมันร้อนเป็นไฟ เพราะความโลภ ความโกรธ ความหลงขึ้นมา อย่างนี้จะให้ทำอย่างไรเหล่า จะเอาธรรมะไหนไปบำบัด ขจัด ปัดเป่าออกไป เคยพูดแล้วพูดอีกว่า กิเลสมีตัวเดียวเท่านั้น คือไม่ ไม่ มีอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่มีกิเลสอย่างบรรพชิต หรือกิเลสอย่างชาวบ้าน โลภะ โทสะ โมหะมันเหมือนกันแหละ ทั้งของชาวบ้านและของชาววัด มันต้องกำจัดด้วยเครื่องมืออย่างเดียวกัน ที่นี่ผลของมันคือความทุกข์มันก็อย่างเดียวกัน ชาวบ้านมีความทุกข์อย่างไร ชาววัดก็มีความทุกข์อย่างนั้น เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตาย โสกะ ปริ เทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จนกระทั่งไปถึงว่าปัญจุปาทานักขันธ์ ยึดมั่นในอุปาทานักขันธ์แล้วก็เป็นทุกข์ มันสรุปความอยู่ที่นั่น
ฆราวาสก็เป็นอย่างนั้น บรรพชิตก็เป็นอย่างนั้น เพราะไปยึดมั่นอะไรเข้าแล้วก็เป็นทุกข์ เรื่องนี้ก็ได้พูดกันไปแล้วในเรื่องของขันธ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นต้น ดังนั้นชื่อว่าความทุกข์ก็เหมือนกัน ไม่มีความทุกข์ชนิดที่เป็นฆราวาส ไม่มีความทุกข์ชนิดที่เป็นของพระ ไม่มีกิเลสชนิดสวมเสื้อกางเกง ไม่มีกิเลสชนิดห่มจีวร มาบวชเป็นพระห่มจีวรแล้วกิเลสก็ยังอย่างเดิม มันไม่ได้มาบวช พลอยบวชห่มจีวรด้วยได้ ดังนี้ถือว่าความทุกข์ก็ดี กิเลสก็ดี มันก็มีอย่างนั้นแหละ
เพราะฉะนั้นผู้ที่มาบวชควรจะได้ศึกษาธรรมะที่เป็นหลักสำคัญในพระพุทธศาสนา แล้วก็เอาไปใช้ที่บ้านที่เรือนเมื่อสึกหาลาเพศไปแล้วไปเป็นฆราวาส ไอ้เรื่องมาแบ่งเป็นธรรมะสำหรับฆราวาส ธรรมะสำหรับบรรพชิตนี่มันเป็นเรื่องที่แบ่งกันทีหลัง เกิดแบ่งกันทีหลัง ดังนั้นเราจะถือให้ถูกตรงว่า
ฆราวาสและบรรพชิตนี้ก็ไม่ต่างอะไรกันนัก นอกจากว่าคนหนึ่งมันสะดวก สำหรับจะไปเร็ว ๆ ไอ้คนหนึ่งมันลำบากต้องไปช้า ๆ แต่มันก็ต้องไปทางเดียวกัน คือไปหาจุดจบของความทุกข์ ของกิเลสหรือที่เรียกว่านิพพาน ถ้าฆราวาสเกิดบรรลุนิพพานขึ้นมา มันก็นิพพานเดียวกันกับที่บรรพชิตจะบรรลุ ไม่มีสองนิพพานสามนิพพานที่จะปันกันได้ แต่การที่จะบรรลุนิพพานนั้น ถ้าอยากให้เร็ว ให้ง่าย ให้สะดวก ก็มาบวชนั้นมันดีกว่า ถ้ายังไม่บวช มันก็ต้องมาช้า ๆ เดินมาช้า ๆ เพราะว่ามันมีภาระหนัก แต่ว่าเรื่องของจิตมันก็ไม่ได้ตายตัวอย่างนั้น ถ้าทำถูกต้องมันก็เร็ว แม้เป็นฆราวาสถ้ามันทำถูกต้องมันกระโจนไปหน้า หน้าพระเสียอีก ไปก่อนพระเสียอีก ถ้ามันถือหลักถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เรื่องราวที่เชื่อได้ ก็พอจะเชื่อได้ว่า เขาเป็นฆราวาสไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วเป็นพระอรหันต์เลย ที่ตรงนั้น แล้วพระอีกเป็นฝูง ๆ ก็ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ อย่างนี้จะเรียกว่า ฆราวาสคนนั้นกระโจนพรวดเดียวข้ามหน้าพระไปเลย นี่ปรารภเรื่องพระกับฆราวาสมันต่างกันแต่บัญญัติสมมติแต่ภายนอก ภายในยังมีกิเลสอย่างเดียวกัน มีความทุกข์อย่างเดียวกัน มีหลักที่ต้องปฏิบัติอย่างเดียวกัน เมื่อยังจะมาบวชเป็นบรรพชิตเลยตลอดไป มันไม่ได้ ก็ต้องเป็นฆราวาสที่สามารถที่จะเดินได้ในลักษณะที่น่าพอใจ ไม่ต้องเป็นเต่าคลานต้วมเตี้ยม
ที่นี้เราจะไม่พูดชนิดที่ว่าจะต้องอ้างนั่นอ้างนี่ มันก็จะมีคำถามขึ้นมาว่า ไอ้อย่างที่ฆราวาสเป็น เป็นกันอยู่นั้น มีความทุกข์อย่างนั้น มันมีทางที่จะบรรเทาเสียได้อย่างไรไหม มันก็มีหลักธรรมะก็มี ที่ฆราวาสเป็นอยู่เป็นอย่างมีความทุกข์บรรเทาได้ เอาธรรมะในพระพุทธศาสนาบรรเทาได้ เป็นฆราวาสที่มีทุกข์น้อย แล้วเขาก็เป็นอริยบุคคล โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี กันในรูปแบบฆราวาสนั้นก็มี อย่างนี้เป็นต้น
ดังนั้นผมจึงอยากให้ถือว่า การที่มาบวชชั่วคราวนี้ มันก็เพื่อมาหาลู่ทางสำหรับจะกลับออกไปเป็นฆราวาสที่สามารถจะเป็นอยู่อย่างที่มีความทุกข์น้อย น้อย น้อยเท่าที่มันจะน้อยได้ไปเรื่อย ๆ เพราะว่าเรื่องทั้งหมด ไม่ว่าเรื่องพระ เรื่องฆราวาสมันอยู่ตรงที่ว่าจะ จะไม่มีทุกข์ ต้องการจะไม่มีทุกข์ ต้องการจะดับทุกข์ เมื่อมันดับทุกข์ได้ก็เป็นเรื่องถูกต้อง เรามาบวช ๓ เดือนก็เตรียมตัวศึกษาค้นคว้ารวบรวมความรู้หรือหลักปฏิบัติ สำหรับจะเอาไปใช้เมื่อกลับออกไปเป็นฆราวาส เรียกว่ากลับออกไปที่นี้มันจะมีอะไรติดตัวไปสำหรับจะใช้ดับทุกข์ในชีวิตได้มากกว่าที่มันจะไม่ได้มารู้ มาค้นคว้า มาศึกษา มาหาลู่ทาง สำหรับจะกลับออกไปเป็นผู้ที่มีความทุกข์น้อย ขอให้ทำสำเร็จอย่างนี้ ก็เรียกว่าคุ้มค่า คุ้มค่าที่มาบวช แล้วก็ไม่ ไม่เสียเที่ยว คือว่าไม่ ไม่เสียในส่วนที่ว่าจะไปนิพพาน มันก็ไม่เสีย คือมันเอาไปสำหรับจะไปปฏิบัติที่เหมาะสม ที่จะบรรลุนิพพานอยู่ในชีวิตฆราวาสนั่นเอง
พูดอย่างนี้เขาไม่ค่อยมีใครเชื่อ แล้วคนที่เรายึดถืออะไรต่างๆ เขาก็ไม่เชื่อ แล้วก็ยังหาว่าเราพูดไม่จริง พูดเรื่องที่ไม่จริง หรือเกือบจะใช้คำว่าโกหกหลอกลวงประชาชน ให้รู้ว่าธรรมะไปนิพพานเอาไปใช้ที่บ้านได้ และอยู่ที่บ้านก็ประพฤติปฏิบัติทำนองเดียวกับผู้ที่จะบรรลุนิพพานอยู่หลาย อย่างหลายประการด้วยเหมือนกัน มีคนเขาด่าว่าพูดอย่างนี้เหมือนกับขนมปังทาเนย ๒ หน้า ไม่มีใครเขาทำกัน ไอ้เราว่าไม่ใช่อย่างนั้น มันเหมือนแซนวิชต่างหาก มันประกอบ ๒ ข้าง มันก็ยังใช้ประโยชน์ได้ดีกว่าที่ข้างเดียว ด้านเดียว ดังนั้น ถ้าเมื่อคุณเข้าใจและมองเห็น เราก็ขอให้มันเป็นไปตามที่ ที่แนะนำ ให้ได้อะไร ๆ ติดตัวไปสำหรับจะดำรงชีวิตแบบที่ดีที่สุดสำหรับเป็นมนุษย์ ที่เลวที่สุดสำหรับไปถึงสุด จุดหมายปลายทางของ ก็ควรจะรู้ไปด้วยเลย แม้ในรูปแบบของชีวิตเดียวหรือชีวิตโสด หรือชีวิตรุ่มร่ามเป็นพวง ฟังแล้วมันไม่น่าเชื่อ ถ้าไม่แต่งงานก็ชีวิตเดียว ถ้าแต่งงานเข้าก็มีชีวิตคู่ มีลูกมีหลานเข้าเป็นชีวิตที่เป็นพวง ถึงอย่างนั้นก็ขอให้ไปได้เถอะ ขอให้มันเป็นไปได้ แม้มันจะเป็นพวงก็ขอให้เป็นไปได้ ถ้ามีสติปัญญาฉลาดสามารถ มันก็ไปกันได้ทั้งพวง
บางคนจะฟังเป็นว่านี่คงจะแกล้ง แกล้งพูดไม่ให้คนมาบวช พูดชักชวนทำนองไม่ต้องมาบวช อยู่ที่บ้านก็ยังไปกันทั้งพวงได้ ก็ขอให้สังเกตดูเองก็แล้วกัน ว่าชีวิตคู่หรือชีวิตที่เป็นพวงใหญ่มันยังละไม่ได้ มันก็ต้องทำให้ดีที่สุด ที่ให้มันเคลื่อนไปตามที่มันจะเป็นไปได้ อย่าได้ตายด้าน ดังนั้นมันก็เท่ากับว่ามาหาลู่ทางวิธีการที่ให้มันเป็นไปได้ ชีวิตเดี่ยวก็ตาม ชีวิตคู่ก็ตาม ชีวิตเป็นพวงก็ตาม สามารถที่จะก้าวไปข้างหน้าได้ ทำนองเดียวกันกับอริยสาวกในครั้งพุทธกาลที่เขาเป็นฆราวาสมีลูกมีหลาน เขาก็กำลังเคลื่อนไปข้างหน้าเรื่อยไป เป็นอย่างนี้ ดังนั้นขอให้เตรียมตัวรวบรวมวิชาความรู้ลู่ทางที่จะไปเป็นฆราวาสที่มีทุกข์น้อย มีการเคลื่อนไปข้างหน้า มีนิพพานเป็นจุดหมายปลายทางด้วยเหมือนกัน อีก ๑๕ วันก็จะออกพรรษา ไม่กี่วันคุณก็จะต้องลาสิกขา รีบรวบรวมวิชาความรู้ที่จะใช้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด มันก็จะได้ผลเต็มที่เหมือนกัน เต็มที่ตามที่มันควรจะได้เหมือนกัน
แล้วทีนี้มันก็มาถึงเรื่องที่ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งเป็นหลักสำคัญในพระพุทธศาสนา แต่ว่าเดี๋ยวนี้สมัยนี้มันกลายเป็นว่าเป็นเรื่องของยายแก่ตาแก่อยู่วัด หรือยายแก่ตาแก่ที่ทำอะไรไม่ได้ มันเข้าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่ พวกเด็ก ๆ หรือแม้นักศึกษาสมัยปัจจุบันนี้เขาก็ไม่เห็นว่าเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานี่น่าสนใจ หรือมันจำเป็นเกี่ยวข้องกับมนุษย์กับเขาเอง ไม่อยากฟัง เป็นครูบาอาจารย์ เป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยังไม่อยากจะฟังเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นว่าเป็นเรื่องของคนแก่หงำเหงือก เหมือนกับที่เด็กวัยรุ่นมันเข้าใจ เด็กวัยรุ่นหรือหนุ่มสาวเขาจะเข้าใจอย่างนั้น ว่าเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานี้ไม่มีประโยชน์อะไรกับเรา ทีนี้คนเรานี้มันโตเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นผู้ใหญ่เข้ามันก็นำไปผิดหมด ไม่รู้จักใช้ประโยชน์เกี่ยวกับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งเป็นหลักสำคัญของพระพุทธศาสนา
ก็คุณได้ยินว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะคำว่าอนัตตานั้นเป็นใจความสำคัญกว่า กว่าอีก ๒ คำ และก็เป็นหัวใจของพุทธศาสนา ก็คือว่าผู้ที่จะบรรลุมรรคผล ก็คือผู้ที่รู้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ยิ่งๆ ขึ้นไปจนถึงสูงสุด ที่ในวิธีปฏิบัติตั้งแต่ต้นจนจบ จนถึงตั้งแต่ปุถุชนจนถึงนิพพาน ล้วนแต่เป็นเรื่องเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งนั้น
ก่อนที่จะแยกจากปุถุชน ปุถุชนหนา ๆ นี่ไปสู่ความเป็นพระโสดาบัน ถ้าปฏิบัติตามหลัก เรียกว่าหลักเทคนิคโดยเฉพาะที่จัดไว้เป็นรูปแบบตายตัว ก็มี ศีล สมาธิ แล้วก็มีปัญญา ตามแบบที่เรียกว่าวิสุทธิจิต ซึ่งอันสุดท้ายหมายถึงวิปัสสนาญาณ ๙ เจริญดีแล้วถึงที่สุดแล้วก็จะบรรลุโสดาบัน การบรรลุนั้นก็เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในชั้นแรกก็ต้องเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พอเป็นโสดาบันขึ้นมาแล้วจะปฏิบัติต่อไปอีก ก็ปฏิบัติอย่างเดียวกันนั่นแหละ แล้วก็มองเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตายิ่งขึ้นไปอีก แต่ธรรมะที่จะเอามามองให้เห็นอนิจจัง หรือทุกขัง หรืออนัตตา ก็อันเดียวกันนั่นแหละ เพียงแต่ว่ามองมากขึ้นไปอีก เห็นยิ่งขึ้นไปอีก จึงไปเป็นพระสกิทาคามี แล้วก็อย่างเดียวกันนี่แหละ เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ยิ่งขึ้นไปอีก จึงจะเป็นอนาคามี กระทั่งว่าสุดท้ายที่จะเป็นพระอรหันต์ ก็เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เต็มขนาดเต็มที่เต็มเปี่ยมทั้งหมด
รู้ไว้เถอะว่าจะบรรลุนิพพานนั้นก็เพราะเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นแกนกลาง จึงถือว่าเป็นหัวใจของพุทธศาสนาที่ทำให้มีการบรรลุมรรคผลนิพพาน
ที่นี้เราจะเอาธรรมะนั้นมาใช้ที่บ้าน มันก็เกิดคนสงสัยขึ้นมาจะนำมาใช้ได้อย่างไร ดังนั้น มันจึงต้องพูดกันบ้าง จึงต้องแนะนำกันบ้าง หรือจะมีวิธีพิเศษเฉพาะสำหรับพวกฆราวาส จะใช้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในแบบชีวิตฆราวาสให้เป็นประโยชน์ที่สุดได้อย่างไร นี่ขอให้มองกว้างๆ กันทีแรกเสียก่อนว่า ที่แล้วมาปู่ย่าตายายบรรพบุรุษของเราก็ได้ใช้สิ่งนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง จนติดปากติดใจ
ในพุทธบริษัทยุคโน้น เขาถือเอาเป็นที่พึ่ง แม้จะถูกสอนให้เชื่อ มันก็เป็นการเชื่อที่ถูกต้อง แล้วก็มันกลายเป็นสิ่งที่เห็นได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่ออย่างเดียว มันเห็นได้ด้วยตนเอง พอนึกถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขึ้นมาแล้วก็ไอ้ความทุกข์มันหายวูบไป แล้วจะต้องไปเชื่อใครทำไม จะต้องไปเชื่องมงาย ด้วยเชื่ออย่างเดียวทำไม มันประจักษ์อยู่ด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจึงถือเอาเป็นที่พึ่ง คน พุทธบริษัท ผู้เฒ่าสมัยโน้น ก็ถือเอาเป็นที่พึ่ง เขาจึงพากันเรียกว่า พระอนิจจัง พระทุกขัง พระอนัตตา แล้วก็มาช่วยคุ้มครอง ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องร้อนเป็นไฟเหมือนปัจจุบันนี้
แล้วเขาสลัดออกไปได้ ปลงออกไปได้ คนสมัยนี้ปลงออกไปไม่ได้ มันก็เข้ามาอัดอยู่ร้อนเป็นไฟ ยิ่งกว่าไฟโพลงๆ เสียอีก มันร้อนเหมือนกับถ่านไฟอยู่ในหลุมถ่านไฟ ดังนี้เขาได้รับประโยชน์ที่ไม่ต้องอยู่ในหลุมถ่านไฟ เขาจึงไม่ค่อยมีเรื่องเลวร้ายเหมือนคนยุคปัจจุบัน คุณก็รู้เอาเองว่าอย่างที่หนังสือพิมพ์เขาลงข่าวลงภาพลงอะไรกันอยู่ทุกวันนี้ เลวร้ายขนาดนั้นมันไม่ค่อยมี ไม่เคยมี ไม่ค่อยจะมี ในยุคสมัยบรรพบุรุษของเรา ทีนี้มันมี แล้วก็มีอย่างน่าเกลียดน่าชัง มีทั้งผู้ชาย มีทั้งผู้หญิง มีทั้งวัยรุ่น หนุ่มสาว เด็ก ๆ อะไรมันก็เป็นอันธพาลเลวร้ายมีความทุกข์ แล้วก็แก้ความทุกข์ด้วยความเลวร้าย หลงบูชากามารมณ์เป็นพระเจ้า และก็ทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่เคยทำกันมาแต่ก่อน ทีนี้การทำร้ายผู้อื่นก็ดี ในการทำลายตัวเองก็ดี มันรุนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาแต่ก่อน
บอกไปในพูดวิทยุครั้งที่แล้วมา ถ้าเอามาพูดอีก มันสกปรกปาก ขออย่าต้องพูดเลย ถ้าว่าคุณไม่กลัวสกปรกตา คุณก็ไปซื้อหนังสือพิมพ์มาอ่านมาดูเอาเองก็แล้วกัน เราไม่ต้องพูด ถึงนี้ก็เหมือนกันแหละ มันไม่ควรจะมาพูด ถ้ามันมีความรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันก็ไม่ ไม่ทำกับเพื่อนฝูงมนุษย์ถึงขนาดนั้น ก็ไม่ทำกับตัวเองถึงขนาดนั้น ยิงคนที่เป็นศัตรู ยิงตัวเอง ยิงลูกเมียตัวเอง ยิงอะไรเพื่อให้มันหมดปัญหาหมดเรื่อง แล้วเรื่องที่เขาเอามาเป็นปัญหา เป็นเรื่องกามารมณ์ เป็นแกน เป็นแกนกลางด้วยเรื่องกามารมณ์ คนสมัยโน้นเขาไม่ได้บูชากามารมณ์ ถึงขนาดกามารมณ์มันเป็นแกนกลางของจิตใจ เขาสอนให้ควบคุมกามารมณ์กันมาตั้งแต่เล็ก ๆ ก็ไม่แคล้วไอ้เรื่องนี้ให้เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ชื่ออนิจจังมันก็เรื่องมันอย่างนั้นเอง ที่มันต้องเปลี่ยนแปลงไปมันก็คือมันเป็นอย่างนั้นเอง แล้วก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เมื่อมันเปลี่ยนไป หรือมันเปลี่ยนผิดไปจากที่เราหมาย คาดหมายไว้ เรื่องผิดหวัง เรื่องอะไรก็ตาม เป็นเรื่องอย่างนั้นเองของอนิจจัง นี่เรื่องทุกขัง มันก็เป็นอย่างนั้นเอง มันมีลักษณะอย่างนั้นเอง ที่มันจะต้องทรมานผู้ที่เข้าไปหลงรักหลงยึดถือ ที่เราปัญจุปาทานขันธ์ เพราะเราไปหลงรักไปหลงยึดถือ เป็นธรรมดาของคนโง่ คนไม่มีวิชชา คนมีแต่อวิชชา ก็มีความทุกข์ แต่ว่าแม้ที่มันเป็นไปตามธรรมชาติ มันก็ต้องเป็นความทุกข์ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความวิบัติ อุบัติเหตุตามธรรมชาติอะไรก็ดี มีความทุกข์เป็นธรรมดา เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา มันจึงสมัครที่จะ ไม่พูด หรือแม้จะต้องตาย ก็ไม่ต้องพูดอะไรกันมากตายก็ตาย ไอ้เรื่องอนัตตานั้นมันก็ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไปอีก ไม่ใช่ตัวตนความหมายมันลึกมาก เอามาพูดให้ถึงจุดไม่ได้ พูดยาก ก็ไม่ค่อยพูดกันนัก เอาแต่เพียงให้ถือว่า มันไม่ใช่ตัวตนเพราะว่ามันไม่ มันไม่ไปตามความต้องการของเรา ที่ว่าไม่ใช่ตนนี่ มันไม่ ไม่ใช่สิ่งที่มาตกลงกันได้ว่าเอาอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นไปตามความต้องการของเรา ดังนั้นเราอย่าแปล ถ้าเอา ๓ อันนี้มารวมกัน มันจะกลายเป็นคำใหม่ขึ้นมาว่าสุญญตา เราทำได้อย่างนั้น ความหมายของอนิจจัง ของทุกขัง ของอนัตตา เอามารวมเป็นอันเดียวกันเสีย จะเกิดความหมายใหม่ว่าสุญญตา มันก็ยังคงว่างจากตัวตนอยู่แหละ คำว่าว่าง ว่างจากตัวตน ในรูปของอนิจจัง ในรูปของทุกขัง ในรูปของอนัตตา ล้วนแต่มันว่างจากตัวตน คือสิ่งที่จะจับฉวยเอาได้ เอามาเป็นตัวตนตามความต้องการของเรานั้นมันไม่มี ไม่มีเรา ไม่มีของเรา หมายความว่าไม่มีสิ่งใดที่จะเอามาเป็นตัวเราได้ คือไม่มีสิ่งใดจะเอามาเป็นของ ๆ เราได้ เป็นตัวกูก็ไม่ได้ เป็นของกูก็ไม่ได้ แต่มันก็เป็นในความรู้สึกอย่างเต็มปรี่ของผู้ที่มีความไม่รู้มีแต่อวิชชา เพราะธรรมชาติแวดล้อมเด็ก ๆ ตั้งแต่แรกคลอดมาล้วนแต่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตัวกูว่าของกูทั้งนั้น ข้อนี้ต้องเป็นมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่แรกที่มีสิ่งที่มีชีวิตมีคน พอคลอดมาจากท้องแม่ ไอ้สิ่งแวดล้อมทั้งหลายที่มันแวดล้อมอยู่ มันจะแวดล้อมให้ไอ้ทารกนั้นค่อยๆเกิดเกิดความรู้สึกไปทางมีตัวกู มีของกู แล้วก็รุนแรงยิ่งขึ้น ๆ ๆ ก็มีความทุกข์มาพร้อมกับความรู้สึกอันนั้น แต่ว่าแม้ว่าจะไม่ได้ศึกษาพุทธศาสนาเพราะยังไม่มีพุทธศาสนา หรือธรรมะอะไรก็ตาม ธรรมชาติมันก็สอนให้เองเหมือนกัน ว่าถ้าไปคิดกันมากอย่างนั้น หมายมั่นกันมากอย่างนั้นมันเป็นทุกข์ ดังนั้นในบางกรณีมันก็จะรู้จัก ขยาด เข็ด หลาบด้วยตนเอง ก็หยุดความคิดที่หมายมั่นกันได้บ้างตามสมควร แล้วคนฉลาดมันก็ได้เกิดขึ้นเองแล้วตามธรรมชาติ แล้วมันก็ไปบอกเพื่อนกันว่าอย่าไปคิดอย่างนั้น พวกฤๅษีมุนีคนแรกในโลกที่ออกไปนั่งค้นคว้านี้มันก็รู้ แล้วมันก็บอกมนุษย์ ให้รู้เรื่องดำรงจิตใจให้ถูกต้อง แต่ไม่ถึงขนาดสูงสุดที่จะเป็นพระอรหันต์ มันเป็นเพียงขนาดที่ว่า จะบรรเทาความทุกข์ลงได้บางส่วน คนก็เคารพนับถือ คนเหล่านั้นยกเป็นบุคคลสูงสุด สมมติเรียกกันว่าพระอรหันต์หรือพระภควันต์ พระผู้มีพระภาคกันมาตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด แต่ไม่สูงสุด พระอรหันต์ หรือ พระภควันต์ หรือ พระตถาคตอะไรก็ตามที่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด มันไม่ถึงระดับแท้จริงหรือสูงสุด แต่มันก็ได้มีแล้ว มันเห็นรู้ได้จากเรื่องราวหลักฐานที่ปรากฏอยู่ เขาก็รู้โดยธรรมชาติ ค่อย ๆรู้โดยธรรมชาติ ปล่อยไปอย่างนี้เป็นทุกข์มาก ควบคุมเสียบ้างมีความทุกข์น้อย บังคับจิตได้เท่าไรก็เป็นการดี มันเลยเกิดเรื่อง ศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา พอสถานประมาณ พอสถานประมาณกันมาก่อน แล้วก็ค่อย ๆ สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ๆ จนกว่าจะเกิดบุคคลที่เรียกว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ก็เพื่อจะบอกให้รู้ว่าแม้ตามธรรมชาติแท้ ๆ สิ่งที่มีชีวิตมันก็รู้จักคิด นึก รู้สึก โง่ เขลา เป็นตัวกูของกูขึ้นมาได้ มันไปตามแบบของสัญชาตญาณของธรรมชาติ สัญชาตญาณแห่งความมีตัวกู ตัวเรา มันมีได้ ลูกสัตว์เล็ก ๆ เกิดขึ้นมาก็รู้จักรักชีวิต รู้จักตัวกู รู้จักต่อสู้ รู้จักอะไรในลักษณะที่มีตัวกู แต่แล้วในที่สุดไอ้ตัวกูนี่ของที่มันควรจะเป็นมิตรมันกลายเป็นศัตรูขึ้นมา ไอ้ความคิดประเภทตัวกูเป็นอุปาทานนี้มันกลายเป็นศัตรูมากขึ้น ๆ ทำให้เกิดความทุกข์มากขึ้นจนต้อง แก้ไข ต้องกำจัด มันกลายเป็นว่าไอ้ความรู้สึกตัวกูที่มันเคยมีประโยชน์สำหรับจะดำรงชีวิตมาเรื่อย ๆ เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นศัตรู ทำให้เกิดความทุกข์ ความหนักเสียแล้ว อ้าว,ก็มาเปลี่ยน ปรับ เป็นไม่ต้องมีไอ้สิ่งเหล่านี้ มีชีวิตอีกแบบหนึ่งที่บริสุทธิ์กว่า ดีกว่า เย็นกว่า เพราะไม่ต้องมีตัวกู นี่พื้นฐานของความจริง พื้นฐานของสัจจะเกี่ยวกับชีวิตของคนมันเป็นนี้ มันตั้งต้นมาจากไม่มีตัวกูก็แล้วกัน มันในท้องแม่หรือว่าก่อนแต่นั้น มันไม่มีตัวกู คิดไม่เป็น ทารกในครรภ์ยิ่งคิดไม่เป็น มันไม่มีตัวกูอยู่เป็นทารกอยู่ในครรภ์ พอมันคลอดออกมา มันมีอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เริ่มให้เกิดเวทนา แล้วก็เวทนาทำให้เกิดความรู้สึกเป็นตัวกูของกู ดังนั้นทารกก็เริ่มรู้จักมีความคิด ตัวกู ของกู นิด ๆๆๆๆๆ ขึ้นมาเรื่อยจนโตเป็นผู้ใหญ่มันก็มีมาก ได้ของ ๆ ใหม่คือตัวกูของกูนี่กลายเป็นยาพิษ กลายเป็นศัตรูอะไรขึ้นมา เอ้า,ต้องกำจัดกันอีก ด้วยวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง กำจัดตัวกูของกูจนหมดไปตามลำดับของพระโสดา สกิทาคา อนาคาและอรหันต์ แล้วว่างตัวกูกันถึงที่สุดเมื่อเป็นพระอรหันต์ ไม่มีความทุกข์ใด ๆ เหลืออยู่ได้ เพราะมันว่างจากตัวกู แต่ว่าว่างครั้งหลังนี่ มันไม่ใช่ว่างตามธรรมชาติ มันว่างเพราะการปฏิบัติ การอบรม การทำให้จิตดีขึ้น ให้มันดีขึ้น เรียกว่ามันว่างเพราะมีการกระทำที่ยังไม่เคยมี ไม่เคยมี เดี๋ยวนี้ก็มี ก็กำจัดตัวกูของกูหมดไป ก็ว่าง ว่างจากตัวกูของกู ก็ไม่มีความทุกข์เลย ที่ว่าพระอรหันต์หมายถึงผู้ที่ไม่มีความทุกข์เลย เพราะจิตไม่มีทางที่จะเกิดตัวกูของกู ก็จะว่างอยู่เสมอไปจากตัวกูของกู คิดนึกอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ ทำดีเสียด้วย แต่ไม่มีความหมายอย่างตัวกูเท่านั้นเอง ก็ว่างจากตัวกู เขาพูดโดยสมมติก็ตั้งต้นมาจากว่าง แล้วก็ไม่ว่าง วุ่นวาย ๆ ๆ แล้วก็จบลงด้วยความว่าง รูปภาพพุทธประวัติของพวกจีน ที่พวกจีนเขาเขียนกันที่เมืองจีนน่าสนใจมาก จะต้องยอมรับว่าเขาฉลาดกว่าเรา รูปแรกคือรูปวงกลมว่าง แล้วก็เกิดเป็นพระสิทธัตถะ พระกุมาร พระอะไรก็ตาม มีเรื่องเหมือนกันตอนนี้ มีเรื่องเหมือนพุทธประวัติของเรา แล้วก็จบลงด้วยปรินิพพาน ภาพปรินิพพาน อย่างที่เราก็มี แล้วภาพสุดท้ายก็คือวงกลมว่าง เข้าใจได้ง่าย ภาพแรกที่สุดของพุทธประวัติคือวงกลมว่าง แล้วพอจบสุดท้ายภาพ พุทธประวัตินั้นก็คือวงกลมว่างอีกที แสดงว่าเขามีความรู้เหมือนกันอย่าไปดูถูก ดังนั้นเราจะมองเห็นว่าไอ้ชีวิตนี้มันก็ตั้งต้นจากความว่างในท้องแม่มีจิตก็ว่าง ไม่มีตัวกูของกู รู้สึกอะไรก็รู้สึกไปตามธรรมชาติ พอคลอดออกมาแล้ว มันใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใช้อายตนะ สร้างเวทนา สร้างสังขาร สร้างอะไรเป็นความรู้สึกเป็นตัวกูของกู มากขึ้น ๆ ๆ มันสุดเหวี่ยงจนทนไม่ไหว ถ้ามันไม่มีโชคดีก็ตายเปล่าไม่ต้องว่าง ไม่ต้องว่างอีก ไม่มีโอกาสที่จะว่างอีก ก็ตายไปก็คงจะมีเป็นอันมาก ทีว่าถ้าโชคดีที่ได้มาศึกษาธรรมะ ศึกษาพุทธศาสนา มารู้เรื่องทำให้มันว่าง จะกำจัดความทุกข์ให้สิ้นไปนี้ก็ต้องกำจัดตัวกูของกู จึงมาศึกษาธรรมะกันเพื่อทำให้ดับเสียซึ่งตัวกูของกู ดับได้หมดเป็นพระอรหันต์ มันก็คือว่างจากตัวกูของกูอย่างถาวร นี่เรียกว่าโชคดีมาก ถ้ามนุษย์คนไหนสามารถตั้งต้นด้วยความว่าง แล้วก็เป็นความวุ่น ๆๆๆ แล้วมันว่างได้ครั้งสุดท้ายก่อนแต่ตายต้องนับว่าโชคดีมาก ก็คือคนที่เกิดมาทั้งทีได้เป็นพระอรหันต์นั่นเอง ต้องถือว่าเขาโชคดีมาก เป็นพระอรหันต์ตั้งแต่เด็ก ๆ ก็มีถ้าว่าตามพระคัมภีร์ พระอรหันต์อายุน้อย ๆ ก็มี แต่ไม่ค่อยมาก แต่เอาเถอะ ขอให้เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้สูงอายุแล้วเป็นพระอรหันต์แล้วว่างกัน ไม่มีความทุกข์เลยกันได้สักคนละ ๑๐ ปี ๒๐ ปีก็ยังดี ถ้าสำหรับ ๑๐๐ ปีตาย ๗๐ – ๘๐ ปีให้มันว่างเป็นพระอรหันต์ จะได้ชมพระนิพพานอยู่ด้วยความว่าสัก ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี ก็นับว่ามีโชคดี เกิดมาได้ว่างซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิต เพราะถือว่าความว่างนั้นเป็นนิรันดร เป็นอนัตตกาล เป็นอมตะ ความว่างนี่เรามันกระจายออกเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รวมเป็นเดียวกันเรียกว่าสุญญตา ทีนี้ไอ้เรื่องที่จะต้องจับให้ได้ก็คือว่า เมื่อใดไม่ว่างเมื่อนั้นเป็นทุกข์ เมื่อใดมันมีตัวกูของกูเกิดขึ้นมาคือไม่ว่าง เมื่อนั้นเป็นทุกข์ ดังนี้คือคำว่าคำแนะนำ คำขอร้อง ให้เพียงคำเดียวที่จะฝากพวกคุณไปให้ศึกษา สังเกต ระวัง สังวรณ์ตลอดชีวิต ว่าเมื่อใดเกิดตัวกูของกูเมื่อนั้นเป็นทุกข์ ถ้าไม่มีตัวกูของกู มันว่างอยู่ มันก็ไม้เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ไม่ได้ ดังนั้นไปศึกษาดูให้ดีว่าความรู้สึกชนิดไหน เรียกว่าตัวกูของกู ก็คือความรู้สึกที่เป็นปัญจุปาทานขันธ์นั่นเอง สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ความหมายของคำว่า ปัญจุปาทานนักขันธานั่นแหละ คือในนั้นมันมีตัวกูมีของกู ที่รูปบ้าง เวทนาบ้าง สัญญาณบ้าง สังขารบ้าง วิญญาณบ้าง พูดกันคืนก่อนแล้วเรื่องขันธ์ ๕ ดังนั้นก็มีความจริงอยู่ว่าเมื่อไหร่เกิดตัวกูของกู มันก็ต้องเป็นทุกข์ คำว่าเป็นทุกข์นี่ก็ รู้เอาเองบ้างก็ได้ ถ้าเอาตามภาษาบาลีนี้มันก็แปลว่า เลวร้าย น่าเกลียด น่าชัง เป็นทุกข์ ดูแล้วน่าชังก็คือความทุกข์ เพราะมันทนไม่ค่อยจะไหว ถ้าทุกข์ลงไปถึงสิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจก็หมายความว่ามันน่าเกลียด น่าชัง เพราะมันเปลี่ยนแปลง หลอกลวง มายา ไม่มีตัวตน เดี๋ยวนี้ผมคิดว่าทุกคนความคิดไม่ได้ปรุงตัวตนจึงไม่รู้สึกเป็นทุกข์ ถ้ามีสักองค์หนึ่งคิดอุตริเป็นมีตัวตนกำลังเป็นทุกข์อยู่ก็ตามใจ แต่ถ้าว่ากำลังฟังอยู่ด้วยความสนใจศึกษาอยู่นี่ มันไม่ได้เกิดเวทนาหรือสังขารอะไรที่จะให้เป็นตัวตน มันจึงไม่เป็นทุกข์ ดังนั้นถ้าเราว่างอยู่ได้อย่างนี้ก็จะดีสิ จะเขียน จะเรียน จะอ่าน จะคิด จะนึกได้ดี เพราะมันกำลังว่างจากตัวตน แต่ถ้าว่ามันเกิดปรุงเป็นตัวตนแล้วมันทำอย่างนี้ไม่ได้ เช่นว่ามันมีอารมณ์ปรุงแต่งอะไรในชีวิตประจำวันที่เคยผ่านมาแล้วแต่หนหลัง เมื่อไรมีตัวกูของกู มันมีความโลภ ความโกรธ ความหลงอย่างหนึ่งแล้วมันก็เป็นทุกข์ ดังนั้นเราควรจะพอใจจิตที่กำลังไม่มีตัวกูของกู กำลังว่างจากตัวกูของกู ซึ่งจะเรียกว่าจิตว่าง ผมเรียกเอาเองว่าจิตว่าง คือจิตกำลังไม่มีตัวตนเป็นของกูเรียกว่าจิตว่าง แล้วเขาก็เข้าใจไม่ได้ แล้วเขาเอาไปด่า ด่าจิตว่าง ด่าบุคคลผู้พูดเรื่องจิตว่าง ผู้สอนด้วยจิตว่าง ประมาณดูสัก ๑๐ แบบเห็นจะได้ ไอ้พวกที่มันด่าผม เพราะว่าพูดเรื่องจิตว่าง เป็นการพูดที่ไม่มีประโยชน์ ไม่จริงเพราะเขาไม่เข้าใจคำว่าจิตว่าง ไอ้จิตว่างของเราคือจิตที่กำลังไม่มีตัว ไม่มีความรู้สึกเป็นตัวกูของกูแล้วมันทำอะไรอยู่ก็ได้ กำลังทำสิ่งที่ดีมีประโยชน์ที่สุดอยู่ แต่ในนั้นมันไม่มีความหมายแห่งตัวกูหรือของกู พวกแรกก็จะเป็นพวกที่บ้าบอที่สุด มันก็ด่าว่า จิตนี่มันว่างไม่ได้เพราะมันต้องมีความคิดนึก ก็จริง จิตมันจะอยู่โดยไม่มีความคิดนึกไม่ได้ เขาว่ามันมีความคิดนึกแล้วก็ไม่ว่าง แล้วก็ด่าในแง่นี้ ทีนี้มันก็ไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับ คำแนะนำว่าอยู่ด้วยจิตว่างเถิดไม่มีความทุกข์ แม้เราจะว่า บอกว่ามันว่างจากตัวกูของกู เขาก็ตีความผิด จนไม่รับผิดชอบอะไร จนไม่รักตัวเอง ไม่รักลูกรักเมีย ไม่รักชาติบ้านเมือง มีคนเอาไปพูดด่าผมทางวิทยุ ทางอะไรก็เคยมี ว่าถ้าถือจิตว่าแล้วก็ ไม่มีใครรักชาติ รักบ้านเมือง ไม่มีใครป้องกันประเทศ ประเทศก็จะสูญเสียแก่ข้าศึกอย่างนี้เป็นต้น เขาก็มีจิตว่างแบบอันธพาล พวกหนึ่งว่าจิตว่างแล้วก็ไม่ต้องมีอะไร ไม่ต้องมีดี ไม่มีชั่ว ก็ทำอะไรตามพอใจ ทำอะไรก็ไม่มีบาป จะไปทำเลวร้ายอะไรก็ได้ จนกระทั่งเขาว่าบริโภคกามด้วยจิตว่าง แล้วก็ย้อนคำนี้มาด่าผมว่าสอนเรื่องบริโภคกามด้วยจิตว่าง ซึ่งเราก็ไม่เคยมี แต่ยังจะพูดว่าถ้าใครทำได้ก็ดี ดีกว่าทำด้วยจิตวุ่น มันยังมีความทุกข์น้อยกว่า แม้จะบริโภคกามนี้ ถ้าทำด้วยจิตที่ไม่หมายมั่นด้วยกิเลส ทำด้วยสติปัญญา รู้จักสืบหน้าที่ตามธรรมชาติ อย่าทำด้วยจิตวุ่นหมายมั่น ก็ยังดีกว่าที่ทำด้วยจิตหมายมั่นด้วยกิเลสเป็นตัวกูของกู โยม,พูดไปแต่กลาง ๆ ว่า เป็นกลาง ๆ ว่า ถ้าไม่ทำด้วยจิตวุ่นเป็นตัวกูของกูแล้วไม่มีความทุกข์ ไม่มีความทุกข์ ดังนั้นจะบริโภคกามหรือจะทำอะไร จะสืบพันธุ์หรืออะไรก็ตาม ถ้าทำได้โดยจิตที่ไม่หมายมั่นเป็นตัวกู มันก็จะไม่มีความทุกข์ ไม่มีความหนักอกหนักใจ ไม่มีความกลัว ไม่มีความระแวง ไม่มีความหึงหวง ไม่มีอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง มันก็ไม่เป็นทุกข์ เดี๋ยวนี้เรามีจุดมุ่งหมายกันในข้อที่ว่าไม่เป็นทุกข์กัน ไม่เป็นทุกข์ ในชีวิตประจำวันจะไม่เป็นทุกข์ คุณก็นึกย้อนหลังไป เพราะว่าคนมาบวชนี่มันก็เคยทำอะไร และอะไรมันทำให้เป็นทุกข์ ทำงานกันทั้งนั้นแหละ มันต้องทำงานกันทั้งนั้น แล้วเมื่อมันเกิดความทุกข์ขึ้นมาคราวไหน มันเป็นเพราะเหตุอะไร โดยสรุปแล้วมันก็เพราะความยึดถือที่สลัดออกไปไม่ได้ เราต้องโลภ ต้องโกรธ ต้องหลง นั้นจึงได้เป็นทุกข์ ทีนี่เราจะกลับสึกออกไปมันก็จะต้องไปเผชิญเหตุการณ์เหล่านั้นอีก ก็มีความรู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือที่รวมเรียกว่าความว่าง ความว่างนี้ไปให้พอ คุณก็จะสามารถขจัดปัดเป่าเหตุการณ์ที่เคยทำให้เป็นทุกข์ออกไปได้ หรือไม่ทำให้เป็นทุกข์ขึ้นมาได้ ในบางกรณี เราจะต้องดู เห็น ว่า โอ้,เพราะมันไม่เที่ยง มันจึงเป็นอย่างนี้ ก็ไม่เป็นทุกข์ เอาพระอนิจจังเข้าไปไล่ออกไปเสีย และในบางกรณี ก็เห็นว่ามันเป็นอย่างนี้เอง เป็นทุกข์ตามธรรมชาติ หรือทุกข์อะไรตามธรรมชาติ เช่นเจ็บไข้บ้าง อะไรบ้าง ในบางกรณีเมื่อมันไม่เป็นไปตามที่เราต้องการก็เอาพระอนัตตาเข้ามา ทีนี้จะอยู่เป็นพื้นฐาน เป็นไม่มีเหตุการณ์อะไร ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรก็อยู่ด้วยพระสุญญตาคือว่าง
ผมจะลองจำแนกไอ้ชีวิตเป็นรูปแบบให้ดู ซึ่งคุณจะต้องดู จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้ และเพราะมันไม่ได้ถูกต้องอยู่ที่การพูดนี้ มันอยู่ที่มันเป็นจริง คุณก็ไปดูเอาเอง เมื่อชีวิตของเรา เอาแต่ที่มันสำคัญ เอามาแต่ที่มันสำคัญ เมื่อ เมื่อทำงานที่ ๑ เมื่อทำงานคุณ คุณ คุณสังเกตดู ๑ มันเมื่อทำงาน ๒ เมื่อพักผ่อน เมื่อเราพักผ่อน และ ๓ เมื่อเราบริหารกาย บริหารชีวิต และ ๔ เมื่อเจ็บไข้ ทุกข์ยากลำบาก เมื่อเจ็บไข้ และก็ ๕ เมื่อหลับ เมื่อหลับ เอ้า, คุณลองคิดดูซิ มันมีอะไรมากไปกว่านี้อีก เพียง ๕ อย่างนี้จะพอกระมั่ง เมื่อทำงานนี่ ถ้าว่ามันเป็นนักเรียน นักศึกษา การเรียน การศึกษามันก็เป็นงาน ถ้ายังอยู่ในวัยเรียน การศึกษามันก็คืองาน แล้วงานของเรานั้น ไอ้งานอาชีพ ทำงานที่บริษัท ที่ออฟฟิตนั่นมันก็งาน แล้วงานที่บ้านมันก็มีงาน แล้วงานการกุศลสาธารณะประโยชน์ผู้อื่นมันก็คืองาน ยกแม้แต่ว่ามันหน้าที่ที่จะเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน ดูแลลูกหลาน ถ้ามีลูกมีหลาน บุตร สามี ภรรยา นี่มันก็งาน ที่จริงผู้ที่มีสติปัญญาสมบูรณ์ เขาคงจะคิดแม้แต่การสืบพันธุ์ก็คือหน้าที่ ดังนั้นเขาจะต้องทำหน้าที่หรือทำงานนี้ไม่ให้บกพร่องด้วยเหมือนกัน แต่มันทำอย่างกับว่าเป็นงาน ไม่ใช่สำหรับลุ่มหลง ลุ่มหลงอย่างกามารมณ์ ดังนั้นคำว่างานคุณไปแจกเอาเอง เมื่อเรียนก็เรียน เมื่อทำงานก็ทำงาน เมื่อต้องช่วยผู้อื่นก็ต้องช่วยผู้อื่น เมื่อดูแลลูกหลานก็ทำไป งานบุญ งานกุศลก็มี งานหนักงานเบาอะไรก็ตามก็รวมเรียกว่างานหมด ทุก ๆ ชนิดของงานนี้เราจะต้องไม่เป็นทุกข์ เขาเอาอย่างไร คือจะว่ายังไง ต้องไม่เป็นทุกข์ในงานเหล่านี้ทุกรูปแบบ ถ้าทำได้ก็ได้แล้วแหละ ถ้าทำได้เองมันก็หมดปัญหาแล้วแหละ ถ้าไม่ทำได้เอง ก็จึงต้องมาศึกษาเล่าเรียนว่าทำอย่างไร ไอ้งานในชีวิตทุกรูปแบบจะไม่เป็นทุกข์ ถ้าถามผม ผมก็ว่าทำด้วยจิตว่างอย่างเดียวไม่มีอย่างอื่นเลย คุณทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่างหมดปัญหา ที่เมื่อพักผ่อน ดังนี้มันต้องมี ใครจะทำงานได้ตลอดเวลา เวลาที่พักผ่อนมันก็มี พักผ่อนระยะสั้น ๆ ในชั่วโมงทำงาน อยู่ที่ออฟฟิต ที่ไหนก็ตาม ที่ทำงานอยู่ สมมติว่า ๘ ชั่วโมง นี้มันต้องมีพักผ่อนได้ตามสมควร มันจึงจะถูกต้องกับหลักของธรรมชาติ ถ้ามันเหนื่อยนักก็ต้องขอพัก ๕ นาที เหนื่อยนักขอร้องนายจ้างพัก ๕ นาที ถ้าเขาจัดการดี เขาก็จัดให้มีการพักผ่อนตามสมควร ไม่เสียการงาน ดังนั้นก็เรียกว่าพักผ่อนนิด ๆๆๆ ที่สลับอยู่กับชั่วโมงทำงาน ที่เรียกว่าพักผ่อนเลิกงานมาบ้าน ไปเที่ยวพักผ่อน ไปอะไรพักผ่อนนี้มันระยะยาว บางทีเราก็ไปพักผ่อนระยะยาว ปิดเทอม หยุดพักร้อน ๑๐ วัน มันเป็นเทอมไปอย่างนี้ก็มีการพักผ่อน เราจะมารวมเรียกสั้น ๆ กันหมดว่ามันพักผ่อน ถามผม ผมก็บอกอีกว่าถ้าจิตไม่ว่างไม่มีพักผ่อน คุณจะพักผ่อนที่ไหนอย่างไรก็ตามใจ ถ้าจิตไม่ว่างจะไม่เป็นการพักผ่อน เหมือนเช่นว่าไปดูหนัง ไปเที่ยวอาบอบนวด จะไปพักผ่อนที่ไหน หรือไปหัวหิน ไปพัทยา มันไม่เป็นการพักผ่อนได้ เว้นไว้แต่ว่าทำจิตให้ว่างได้ แล้วมันจะเป็นการพักผ่อนที่ไหนก็ได้ ถ้ามันไม่ว่างหมายความมีตัวกูของกู มันจะเป็นการทำงานในด้านจิตด้านวิญญาณอยู่อย่างเหน็ดเหนื่อยเสมอ ไอ้ความมีตัวกูของกูมันไม่เป็นการพักผ่อน มันจะเหน็ดเหนื่อยเสมอ ดังนั้นเราจะพักผ่อน ๑ นาที ๕ นาที ๒๐ นาที ๑ ชั่วโมง ถ้าทำให้มันว่างไม่ได้แล้วก็มันไม่เป็นการพักผ่อน ถ้าทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาก็ทำอานาปานสติ ไล่ตัวกูของกูออกไปเสียชั่วเวลานั้น มันก็เป็นการพักผ่อนทันที ถ้าที่เราคิดขอให้คุณพักผ่อน ๕ นาที ๕ นาทีนั้นอยู่ด้วยอานาปานสติง่าย ๆ แบบที่มันก็จะเป็นการพักผ่อน เพราะมันไล่ตัวกูของกูออกไปเสีย จะไปพักผ่อน ๑ วัน ๑ สัปดาห์ ไปที่ไหนที่ไหนก็ตาม ก็ไปแสวงหาโอกาสที่จะไม่ให้เกิดตัวกูของกูขึ้นในจิต ก็เป็นการพักผ่อน ที่นี้มันก็เมื่อบริหารกาย ระยะแบบหนึ่งก็คือบริหารกาย คนเราต้องบริหารกายนะ อย่าลืม เพราะว่ากินอาหารก็คือบริหารกาย ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ไปออกบริหารทางกาย บริหารจิต บริหารสุขภาพอนามัยทางกายทางจิต นี่เรียกว่าบริหารกาย ก็ต้องทำด้วยจิตว่างเหมือนกันไม่อย่างนั้นมันจะเป็นทุกข์ มันจะทนทุกข์ เราจะนอนพัก หรือว่าจะบริหารโดยวิธีใดก็ตาม จะกินอาหาร จะดื่มเครื่องดื่ม จะทำให้ร่างกายปกติได้ ก็เรียกว่าบริหารกาย คุณก็ต้องทำด้วยจิตที่ ที่ว่างนี่เหมือนกัน มิฉะนั้นจะไม่เป็นการบริหาร จะเป็นการให้เกิดทุกข์ เกิดโทษ เกิดอันตราย อย่างใดอย่างหนึ่ง ในตำราบริหารกายที่ดี บริหารกายดัดตน นี่กายบริหารดัดตน หรือแม้แต่ชั้นดี ชั้นไทกั๊กของจีน ของสมัยใหม่ที่เรียกว่ารำ รำมวย ก็เหมือนกัน บริหารนั้นเขาจะกำชับอยู่ข้อหนึ่งว่าต้องจิตว่าง ถ้าไม่งั้นจะไม่เป็นการบริหารที่ได้ผล คุณจะมาทำกายบริหารอยู่อย่างที่เขาบอกบท แต่จิตวุ่นอยู่ด้วยตัวกูของกู ด้วยกิเลส จะไม่ได้ผลของการบริหาร บางทีจะเป็นโทษด้วยซ้ำ ถ้ามันเป็นการฝืนแล้วก็มีโทษทันที คือเราไม่อยากทำ หรือว่าเราด้วยเหตุใดก็ตามเราไม่อยากทำ แล้วต้องมาทำกายบริหารดัดตัว ดัดแขน อะไรอยู่นี้ ไม่ได้ผล จะไม่มีผล จะให้โทษเสียด้วยซ้ำไป จึงให้เป็น ให้ถือเป็นหลักขึ้นมา แม้แต่เมื่อจะบริหารกาย จะกิน จะถ่าย จะอาบ ก็ขอให้ทำด้วยจิตว่าง จึงจะได้รับผลแห่งการบริหารกาย แล้วก็ทีนี้เมื่อเจ็บไข้ ซึ่งมันก็มีน้อยมากว่าที่จริง เจ็บไข้ตั้งแต่นิดเดียวขึ้นไปจนถึงเจ็บไข้มาก เป็นมะเร็งจะตายอยู่ใน ๒-๓ วันนี้แล้วก็ตาม นับตั้งแต่ว่าปวดหัว เคล็ดยอกอะไรนิดหน่อยๆ จนกระทั่งว่าโรคภัยไข้เจ็บร้ายกาจจนว่ามันเป็นมะเร็งไม่มีทางรอดต้องตายวันนี้ก็รวมเรียกว่ามันเจ็บไข้ ก็เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำจิตให้ว่าง มันจะเจ็บน้อย ถ้าหายมันก็จะหายเร็ว ถ้าตายมันจะตายอย่างดีที่สุด มันดีทุกอย่างใช่ไหม มันจะเจ็บน้อยถ้าทำจิตว่าง มันจะเจ็บน้อย ถ้าจะหายมันจะหายเร็วที่สุด ถ้าจิตมันว่างจิตมันดี และถ้ามันจะตายนั้นคือตายดีที่สุด จะเป็นพระอรหันต์เมื่อตายเลยก็ได้ มันมีอยู่แบบหนึ่งเขาเรียกว่าชีวิตสมสีสี แปลว่าพร้อมกับสิ้นชีวิต ชีวิตสมสีสี พร้อมกับสิ้นชีวิต คือเป็นพระอรหันต์พร้อมกับสิ้นชีวิต ที่เราเขียนเรื่องดับไม่เหลือ เขียนเป็นภาพเป็นอะไร ๆ ให้ระวังให้ดี ให้ดับไม่เหลือพร้อมกับสิ้นชีวิตได้ก็ยิ่งดี จะโดยเจ็บไข้หรือโดยอุบัติเหตุ โดยอะไรที่มันจะต้องตายแน่ ๆ เมื่อมันมีความคิดครั้งสุดท้ายก็สมัครดับไม่เหลือเลย แล้วตายไปเลยอย่างนั้น จะตาย จะมีโอกาสดีถึงกับว่าเป็นพระอรหันต์พร้อมกับดับจิต มันอาจจะเป็นศิลปะที่ยากซักหน่อย แต่มันทำได้เหมือนกัน แต่ที่เรามันจิตว่างอยู่ก่อนแล้วนี่ มันตายด้วยจิตว่าง มันก็เป็น เป็นเรื่องที่ไม่มีกิเลสแล้วตาย ก็ต้องจัดไว้ในพวกที่ ชีวิตสมสีสี ได้รับผลถึงที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ แต่ว่ามันพร้อมกับตาย พร้อมกับดับจิต ไม่ได้มานั่งดื่มอะไรอยู่มาก ๆ ดังนั้นก็ต้องเรียกว่าตายก็ดีที่สุด หายก็ ถ้าหายก็หายเร็ว ถ้าเจ็บก็เจ็บน้อย นั่นขอให้เจ็บไข้ด้วยจิตว่าง
ที่นี้หลับ ข้อสุดท้ายมันนอนหลับ ไอ้นอนหลับนี่เป็นธรรมชาติที่ทุกคนจะต้องนอนหลับ แม้แต่ต้นไม้กระผมคิดว่ามันหลับ ถ้าจิตไม่ว่างไม่ใช่หลับที่ดี ถ้าจะเป็นการหลับที่ดีที่สุดต้องให้จิตได้ว่าง แต่ตามธรรมดามันจะว่างเอง มันว่างเองตามธรรมชาติ ธรรมชาติมันจะจัดให้เองและจิตมันจะว่าง แล้วมันก็จะหลับ หลับไปอย่างแท้จริง ถ้าจิตไม่ว่างมันมีอะไรแทรกแทรงมาก มีกดดันมากอะไรมากมันก็ฝันร้าย มันก็ไม่เป็นการหลับ มันก็ทรมาน หรือมันนอนไม่หลับ หรือมันไม่หลับชนิดที่ ที่ตื่นแล้วรู้สึกว่าสบายหรือมีกำลัง มันจะหลับชนิดที่ตื่นขึ้นมาก็ระโหยโรยแรงอย่างนี้ก็มี เพราะมันไม่ได้หลับด้วยจิตว่าง หรือเมื่อหลับนั้นจิตมันไม่ว่าง คุณไปหัดหลับชนิดหลับสนิทจิตว่าง ไม่ต้องหลับนาน ก็มีความแข็งแรงเรี่ยวแรงกลับมา ถ้าหลับสนิทด้วยจิตว่างแล้วก็ ๔ ชั่วโมงก็พอ เหมือนที่ว่าทำชาคริยานุโยค มันหลับก่อนเที่ยงคืน ๒ชั่วโมง ตื่นหลังเที่ยงคืน ๒ชั่วโมงรวมเป็นหลับ ๔ ชั่วโมง นอกนั้นไม่ได้หลับ ๔ ชั่วโมงก็ถมไปตามแบบของผู้บำเพ็ญเพียรทำกรรมฐาน เขาจะหลับกันเพียง ๔ ชั่วโมง ถ้าเขาหลับด้วยจิตว่างจริงๆ ๔ ชั่วโมงมันก็พอ หรือจะเรียกว่าเกินพอก็ได้ ถ้าจิตมันไม่ว่างนอน ๑๒ ชั่วโมงมันก็ยังไม่มีผลแห่งความหลับ ถ้าเรามีจิตปกติมันก็หลับง่าย หลับลึก หลับสบาย ไม่ฝัน ไม่ดิ้นรน ไม่อะไรเมื่อหลับ ดังนั้นการที่ว่ามีข้อปฏิบัติวางไว้เป็นระเบียบที่เรียกว่า สีหไสยา ให้เตรียมเป็นผู้มีสติ สติ สติ แล้วก็หลับด้วยสติ กำหนดด้วยสติ ตื่นด้วยสติ นั่นคือว่าหลับโดยมีจิตว่างตลอดเวลาที่หลับ ไอ้มันนอนแล้วมันไม่อยากตื่น ปลุกก็ไม่ค่อยอยากตื่น คือมันนอนไม่พอ มันนอนไม่หลับพอ มันไม่อยากตื่น เพราะเขาไม่ได้หลับด้วยจิตว่าง เขาหลับด้วยจิตที่มันมีกิเลส ตัณหา มีตัวกูของกู (นาทีที่ 1:12:56 ไม่ชัดเจน) ปล่อยให้คอจุกไว้เรื่อย หลับไม่สนิท นี่ดูมันจะ จะพอกระมัง ผมนึกไม่ออกแล้ว ถ้าคุณนึกออกก็ลองว่ามาสิ มันมีอะไรอีก ไอ้การที่เราจะมีชีวิตอยู่ ระยะที่ทำงานก็ทำด้วยจิตว่าง ระยะที่พักผ่อนก็พักผ่อนด้วยจิตว่าง เมื่อบริหารกายให้ชีวิตสบายเข้มแข็งก็บริหารมันด้วยจิตว่าง เมื่อเจ็บไข้ก็เจ็บไข้ด้วยจิตว่าง เมื่อหลับก็ต้องหลับด้วยจิตว่าง นึกออก ๕ อย่าง ใครนึกออกอะไรได้อีก นอกจาก ๕ อย่างนี้ ไอ้การทำงานเมื่อทำงานนั้น หลายรูปแบบ จะว่ากี่รูปแบบก็รวมเรียกว่าทำงานหมด คุณทำงานไปพลาง เรียนกฎหมายไปพลางนี้ ทั้ง ๒ อย่างมันก็เป็นทำงานทั้งนั้น หรือบางทีคุณทำงานไปพลาง จะต้องเลี้ยงบุตรภรรยา หรือทำอะไรไปพลาง นี้มันก็เป็นงานเหมือนกันแหละ หรือว่าทำงานไปพลางจะต้องดูพ่อแม่ที่แก่เฒ่าไปพลาง ก็เรียกว่าทำงานทั้งนั้น ไอ้คำว่าทำงานมันมีมากหลายแขนง แต่ว่าต้องทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง ไม่เข้าใจมันก็ ก็ด่า ด่าคำว่าทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง มีคนก็ยืนยันเสียงแข็งว่าทำไม่ได้ จิตว่างนี่ทำอะไรได้ จิตว่างนี่คิดนึกอะไรทำอะไรได้ เราบอกว่าจิตที่มันไม่มีตัวกูของกู คิดนึกได้ดี อีกทั้งทำงานได้ดี ทำงานได้สนิท ทำงานได้ถูกต้อง ทำงานอย่างมีสติสัมปชัญญะละเอียดลออ ก็ยังสนุกในการงานด้วย ถ้าทำด้วยจิตว่างงานนั้นจะสนุกด้วย เรียกว่ามีความสุขในการงาน และเมื่อพักผ่อนก็ขอให้พักผ่อนด้วยจิตว่าง สมาธิจะช่วยได้มาก เราจะเอาเปรียบได้แม้แต่เมื่อนั่งอยู่บนรถเมล์ ไปทำงานนั่นแหละ ใครจะว่าว่าบ้า ๆ บอ ๆช่างหัว นั่งหลับตาพักผ่อน เมื่อนั่งรถไฟมาก็สบายเลย ทำสมาธิมาได้ตลอดทาง เสียงล้อนั่นแหละเป็นอารมณ์ที่ดี ไอ้ล้อใต้ถุนที่มันกระทบราง กุ๊ง กุ่ง กุ๊ง กุ๊ง กุ่ง กุ๊ง กับเป็นสร้างสมาธิ อารมณ์ของสมาธิได้ดี หรือเราจะหาความพักผ่อนที่ลึกถึงที่สุดได้ แม้เมื่อกำลังเดินทางอยู่ด้วยรถไฟ ด้วยรถบัส หรืออะไรก็ตาม มันพักผ่อนได้ ถ้ารู้จักทำจิตว่างเมื่อไรก็เป็นพักผ่อนเมื่อนั้น เมื่อบริหารกายก็ด้วยจิตว่าง เมื่อเจ็บไข้ก็เจ็บไข้ด้วยจิตว่าง เมื่อหลับก็หลับด้วยจิตว่าง จะมีอะไรอีกมากกว่า ๕ อย่างนี้ก็ไปคิดเอาเอง แต่ผมก็สั่งล่วงหน้าว่าทำด้วยจิตว่าง พอ ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง เป็นสุขอยู่ในการงาน สนุกอยู่ในการงาน แล้วก็เป็นการก้าวหน้าในทางธรรม เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานอยู่ใน ในชีวิตนั้นเอง ที่คำว่าว่างหรือสุญญตานี้มันแจกรูปออกเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในบางกรณีเราต้องใช้ความหมายแห่งอนิจจังมาทำให้ว่าง บางกรณีใช้ความหมายแห่งทุกขัง ทุกขังอย่างนี้เอง มาทำให้มันว่าง ถ้าเจ็บขึ้นมาดูความเจ็บให้เป็นว่างไปเสียเลย บางกรณีก็ต้องใช้ความหมายแห่งอนัตตามาทำให้มันว่างโดยง่าย หรือถ้ารวมกันเข้าก็ได้ว่ามันว่าง ไม่มีอะไรที่จะเป็นดุ้น เป็นชิ้น เป็นก้อน เป็นตัวตน เป็นของตน ดังนี้เรียกว่าอยู่กับพระนิพพาน พระนิพพานคือว่างถึงที่สุด เพราะเมื่อมันไม่มีกิเลสมันก็ว่าง เมื่อว่างก็เป็นนิพพานคือเย็น มันเย็นถึงที่สุดเมื่อจิตมันว่าง ในทางธรรมะก็มีคำสรุปว่านิพพานว่างอย่างยิ่ง เป็นคำอธิบายในคัมภีร์ปณิธรรมภิทามะ ไม่ใช่พระพุทธภาษิต แต่เชื่อถือได้ ที่พูดว่านิพพานว่างอย่างยิ่ง นิพพานคือสิ่งที่ว่างอย่างยิ่ง ไม่ว่างยังไง ก็ไม่มีกิเลสตัวกูของกู จะไม่ว่างยังไง ในธรรมบทมีแต่นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งหรือเป็นสัมปทามรรค มีนิพพานว่างอย่างยิ่ง แต่ไม่ใช่พุทธภาษิต นี้ธรรมบทมันแสดงอยู่เป็นรูปพุทธภาษิต นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ก็เพราะมันว่างจากกิเลส เมื่อว่างจากตัวกูของกูแล้ว ก็ว่างจากกิเลสทุกประเภท ทุกแขนง คือว่างจากโลภะ โทสะ โมหะ และกิเลสชื่ออื่น ดังนี้ก็เลยเป็นสุขอย่างยิ่ง แล้วก็เย็นเป็นนิพพาน ชีวิตเย็น เราก็ได้ชีวิตเยือกเย็น แล้วทำงานก็เย็น เมื่อพักผ่อนก็เย็น เมื่อบริหารก็เย็น เมื่อเจ็บไข้ก็เย็น เมื่อนอนหลับก็เย็น เรียกว่าถึงอุดมคติสูงสุดของมนุษย์ จำไว้หรือเปล่า จดไว้หรือเปล่า ให้ถือว่าพุทธบริษัทมีอุดมคติว่าชีวิตของเราไม่มีความทุกข์ แล้วเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ตัวชีวิตของเราอยู่โดยไม่ต้องมีความทุกข์ แต่มันไม่ใช่ว่าไม่มีความทุกข์อยู่เฉย ๆ เคว้งๆ คว้าง ๆ มันทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นนั้น ดังนั้นแหละอุดมคติ ถ้ามีความทุกข์ใช้ไม่ได้ มันไม่ถึงอุดมคติ แล้วมี มีความไม่มีทุกข์เป็นสุขอยู่เฉย ๆ ก็ใช้ไม่ได้นะ มัน มัน มันเอาเปรียบเกินไป เมื่อไม่มีทุกข์แล้วมันก็ต้องบันดาลให้เกิดความสุขแก่ทุกฝ่าย ตัวเองด้วยผู้อื่นด้วย พระพุทธเจ้าทรงแนะนำเหมือนที่เราสวดทุกวัน เมื่อเห็นประโยชน์ตนก็ทำให้เต็มด้วยความไม่ประมาท เมื่อเห็นประโยชน์ผู้อื่นก็ทำให้เต็มด้วยความไม่ประมาท พอเห็นประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่ายก็ทำให้เต็มด้วยความไม่ประมาท หมายความว่าเราไม่มีความทุกข์ ก็ทำให้มันเป็นประโยชน์รอบด้าน ดังนั้นอุดมคติ ไม่ต้องมากกว่านั้น เท่านั้นมันพอแล้ว คือมันถึงความหมายของนิพพานอยู่ในตัวแล้วและยังเป็นประโยชน์ด้วย พระอรหันต์ท่านต้องทำอย่างนั้น ไม่ใช่พระอรหันต์เป็นคนไม่ทำอะไร ฉันข้าวสุกของเขาเปล่า ๆ ต้องเป็นผู้ไม่มีความทุกข์และทำประโยชน์อยู่รอบด้าน แต่ว่าไม่ใช่พูดอย่างเอาเปรียบ ว่าแม้ว่าท่านไม่ได้ทำอะไรโดยตรง ท่านก็เป็นตัวอย่างที่ดีอยู่ในโลก นี่ก็เรียกว่าทำประโยชน์อย่างยิ่งแล้ว เรื่องนี้ไม่ลึกลับนี่ ก็เอาไปพิจารณาดูเองตลอดเวลา เราต้องไม่มีความทุกข์ แล้วชีวิตของเราต้องเป็นประโยชน์รอบด้าน เราทำให้ได้อย่างนั้นแล้วกัน ผมก็มีคำอธิบายว่าให้ทำทุกอย่างด้วยจิตว่าง แล้วเราก็จะมาถึงจุด ๆ นี้คือจุดที่ว่าไม่มีความทุกข์ เป็นประโยชน์รอบด้าน ประโยชน์จะไหลออกมาจากผู้นั้นเหมือนกับน้ำพุ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ดังนี้เรียกว่ามีชีวิตด้วยจิตว่าง ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง พักผ่อนด้วยจิตว่าง บริหารกายด้วยจิตว่าง เจ็บไข้ด้วยจิตว่าง นอนหลับด้วยจิตว่าง สรุปแล้วเรียกว่ามีชีวิตด้วยจิตว่าง จะเป็นคนไม่มีความทุกข์เลย แล้วผู้นั้นจะเป็นประโยชน์โดยรอบด้านแก่ทุกฝ่ายและทุกคน มันหมดเท่านี้แหละสำหรับผม เท่าที่ผมศึกษาเล่าเรียนมามันหมดเท่านี้ พุทธศาสนามันก็หมดเพียงเท่านี้ ตั้งต้นด้วยว่างแล้วก็จบลงด้วยว่าง แล้วไม่กลับวุ่นอีกต่อไป เพราะว่ามันมาอบรมเสียดีแล้ว ก่อนนี้มันว่างตามธรรมชาติไม่มีการอบรม มันจึงวุ่นได้ พอมันวุ่น ๆ ๆ มันฉลาด ๆ มันรู้จักอบรมให้ว่าง ทีนี้มันจะกลับวุ่นอีกไม่ได้ ดังนั้นว่างแรกกับว่างหลังไม่เหมือนกัน ว่างทีแรกมันจะวุ่นก็ได้ แต่ว่างทีหลังจะวุ่นอีกไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านก็ตั้งต้นด้วยความว่าง เพราะท่านเกิดในครรภ์มารดาก็เป็นเด็กทารกเหมือนคนทั่วไป ว่าง ก็เกิดมาแล้วก็ตรัสรู้แล้วก็ว่างที่สุด นิพพานก็ว่างจริง เรื่องจิตประภัสสรก็อย่างนั้นแหละ ธรรมดาเรามีจิตประภัสสรแต่ชนิดที่มันยังจะกลับมีกิเลสได้ กิเลสจะเกิดได้ จิตประภัสสรตามธรรมชาติ ทีนี้เราก็อบรมจิตประภัสสรเพียงแค่ธรรมชาตินั้น เป็นจิตประภัสสรเพราะว่าการบรรลุมรรคผล ทีนี้จิตมันถูกอบรมเสียแล้ว มันจะเป็นที่เกิดแห่งอุปกิเลสอีกไม่ได้ ความเป็นประภัสสรก็ถาวรและตลอดกาล ผมอธิบายจิตประภัสสรอย่างนี้ก็ถูกด่า ใคร นายเสถียร โพธินันทะ หรือใครก็ ไม่รู้เอาไปด่า แต่เราก็อธิบายอย่างนี้อยู่ ชั่วโมงครึ่ง เวลาเย็น วันนี้ก็พูดเรื่องสุญญตา ซึ่งแจกรูปออกไปเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขอให้มีชีวิตอยู่ด้วยสุญญตา ทำงานด้วยจิตว่าง พักผ่อนด้วยจิตว่าง บริหารชีวิตด้วยจิตว่าง เจ็บไข้ด้วยจิตว่าง นอนหลับด้วยจิตว่าง
...... จบแล้วโว้ย มันไม่รู้จะไปไหน ถ้ามันว่าง คุณคิดดู ถ้าว่างแล้วมันจะไม่จบยังไง มันไม่รู้จะไปไหน ไม่มีใครจะไปไหน นั่นคือไม่มีที่ไปไหน ....