แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักศึกษาผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายสำหรับวันนี้ตามหัวข้อที่ท่านทั้งหลายกำหนด ให้ว่าเป็นเรื่องธรรมะกับกามารมณ์ โดยเหตุที่สิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์นั่นรบกวนการเรียน ทำให้การเรียนไม่ได้ผลดี ในบางกรณีทำให้ถึงกับเสียอนาคต เสียความประพฤติเพราะเรื่องอันเกี่ยวกับกามารมณ์ในทางเพศกับเพศตรงกันข้าม ก็นับว่าเป็นเรื่องที่มีเหตุผลที่เราจะเอามาพิจารณากันเพื่อแก้ปัญหาที่สำคัญข้อนี้ ท่านให้ หัวข้อโดยคำว่ากามารมณ์ ที่จริงคำนี้ไม่สมบูรณ์ ถ้าจะรู้เรื่องอันเกี่ยวกับกามารมณ์ ต้องรู้ความหมายของคำว่า “กาม” คำหนึ่ง “กามารมณ์” อีกคำหนึ่ง “ความรัก” อีกคำหนึ่ง และ “การสืบพันธุ์” อีกคำหนึ่งด้วย คำว่า “กาม” หมายถึงตัวกิเลส บางทีก็เรียกว่ากิเลสกาม ถ้าเรียกให้เต็มคำกิเลสกาม คำว่า “กามารมณ์” หมายถึงอารมณ์ของกามหรือของกิเลสกาม ถ้ามีแต่กามารมณ์อย่างเดียวไม่มีกิเลสกามก็ไม่มีความหมายอะไรเลย ไม่มีเรื่อง ราวอะไรเลย ไม่มีปัญหาอะไรเลย ไอ้สิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์ในภาษาบาลีนั้นหมายถึงอารมณ์สำหรับกิเลสกาม มันก็คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ก็ได้ รวมด้วยก็ได้ ที่น่ารักน่าพอใจ ส่วนกามหรือกิเลสกามนั้นเป็นกิเลสอยู่ในภายใน มีหลักว่า สังกัปปะราโค ปุริสัสสะ กาโม สังกัปปะราโค คือการกำหนัดไปตามความตริยึด (0:04:06.6) นี้เป็นกามของบุรุษหรือของคน นี่เป็นคำคู่หนึ่งซึ่งต้องรู้จักก่อน กิเลสกามหรือเรียกสั้น ๆ ว่ากาม เป็นความรู้สึกของจิตคือความกำหนัดไปตามความการตริยึด (0:04:06.6) นั้นอยู่ในใจนี้เป็นตัวกามที่จะทำให้มีเรื่อง ส่วน “กามารมณ์” อารมณ์ของกามนั้นอยู่ข้างนอกคือรูปทางตา เสียงทางหู กลิ่นทางจมูก รสทางลิ้น สัมผัสที่ผิวหนังทางผิวกายชนิดที่เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดยินดี นี้เรียกว่าอารมณ์ของกาม ถ้ามันแยกกันอยู่ไม่มีปัญหาเลย ในความใคร่หรือกิเลสนั้นอยู่ข้างใน กามารมณ์อารมณ์แห่งความใคร่นั้นอยู่ข้างนอก ต่อเมื่อพบกันตามคู่ของมันจึงจะมีปัญหาทางกามหรือทางกามารมณ์ ในภาษาไทยรวมเรียกอันนี้ว่ากามารมณ์และเอาไปตรงกับความหมายของคำต่างประเทศว่า sex เราจะวิจารณ์คำว่า sex ก็ได้ คือเชื่อว่าคำนั้นหมายถึงกิเลสกามหรือตัวกามที่อยู่ข้างใน ไม่ได้หมายถึงอารมณ์ของกามที่อยู่ข้างนอก คำว่า sex ก็หมายถึงความรู้สึกในภายในที่เป็นเรื่องของกามนั่นแหละ สำหรับจะออกมาจับคู่กับอารมณ์ของกามข้างนอก นี่เราได้คำ ๒ คำที่จะต้องทำความเข้าใจ ทีนี้ก็จะต้องดูถึงคำว่า “ความรัก” โดยภาษาบาลีก็เรียกว่า เปมะ ความรัก ความรักนั้นแบ่งออกได้เป็น ๒ ชนิด คือความรักในความหมายของธรรมชาติ คืออาการที่อยากจะรวมกันเป็นสิ่งเดียวของของ ๒ สิ่งตามธรรมชาติ ในนิทานที่พวกคริสต์เคยเล่าไว้ที่เป็นนิยายว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าความรักนั้นก็คือความที่มันต้องการจะกลับรวมกันเป็นสิ่งเดียวตามเดิม ก็เล่าไปว่าไอ้ ไอ้ตัวมนุษย์นี่ เมื่อก่อนนี้มันมีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ มีขาออกรอบตัว ๘ ขาในราวนั้น ๘ ซีก มันมีฤทธิ์มาก ฤทธิ์มากเหลือประมาณจนจะไปทำลายพระเจ้าในโลกของพระเจ้า เทพเจ้า แล้วเทพเจ้านั้นก็คิดตัดทอนกำลังของไอ้สัตว์ประหลาดนี้ โดยผ่ามันออกเป็น ๒ ตัว คือให้มันเป็นชายตัวหนึ่ง เป็นหญิงตัวหนึ่ง มันก็มีเพียง ๔ เงี่ยง ๒ ตัวที่เคยมี ๒ ตัวรวมกันเป็น ๘ เงี่ยง ทีเมื่อมันถูกผ่าออกเป็น ๒ ส่วน กำลังมันก็ลดลง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ คือครึ่งหนึ่งก็ไม่เป็นที่หวาดกลัวแก่เทพเจ้า เพราะมันลดกำลังลงครึ่งหนึ่ง ทีนี้สัตว์ ๒ ตัวนี้คือตัวหญิงกับตัวชายนี่ มันประสงค์จะกลับไปรวมเป็นตัวเดียวกันอย่างเดิมเพื่อมีฤทธิ์เดชที่จะทำลายพระเจ้าให้จนได้ แต่มันก็ไม่สำเร็จดังนั้นมันจึงพยายามอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ ไอ้ความพยายามที่จะกลับรวมเป็นตัวเดียวดังเดิมนี่คือสิ่งที่เรียกว่าความรัก mythology ของพวกกรีก มีอย่างนี้แล้วก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะสิ่งที่เรียกว่าความรักนั้นจะมีความหมายเป็นการอยากรวมเป็นตัวเดียวกันของของ ๒ สิ่งหรือมากกว่า ๒ สิ่งเสมอ ความรักอย่างเพศอย่างกามารมณ์ก็คือว่าอยากจะรวมกันของของ ๒ สิ่ง ความรักบริสุทธิ์ของบิดามารดากับลูกอย่างนี้ก็คืออยากจะรวมเป็นอันเดียวกันของของ ๒ สิ่ง ดังนั้นความรักจึงแสดงอาการคือโผเข้าหากัน กอดรัดกันเพื่ออยากจะรวมเป็นอันเดียวกัน นี่เป็นความหมาย ทีนี้เราก็มาดูถึงความรักที่มีความหมายว่าอยากรวมเป็นอันเดียวกันนั่น มันก็มี ๒ ชนิดอีกแหละ ความรักบริสุทธิ์ซึ่งเรามักจะเรียกว่าเมตตา แต่ก็เรียกว่าความรักก็ได้ ในภาษาธรรมดาใช้คำว่า “ความรัก” ในภาษาศาสนาน่าจะศาสนาคริสต์เตียนก็ใช้คำเดียวกันนะคำว่า love นั่นแหละ หมายถึงความรักอย่างเมตตาก็ได้ รักอย่างชาวบ้านธรรมดาด้วยกิเลสก็ได้ แต่ถ้าว่าเราจะศึกษากันในทางของธรรมะ เราต้องแยกออกเป็น ๒ ชนิดนะ รักอย่างบริสุทธิ์อย่างเมตตานี่รักด้วยวิชชา สติปัญญาหรือความรู้ รักด้วยกามารมณ์นั่น มันเป็นกิเลส มันรักด้วยอวิชชา ให้จำกันง่าย ๆ ก็ว่าไอ้ความรักบริสุทธิ์ทำไปด้วยวิชชา กลายเป็นธรรมะชั้นสูงเรียกว่าพรหมวิหาร พรหมวิหารคือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไอ้ความรักบริสุทธิ์โดยวิชชานี่เราเรียกว่าพรหมวิหารข้อ ๑ ใน ๔ ข้อ ส่วนความรักด้วยกิเลสเป็นกามารมณ์นั้นไม่มีทางที่จะเป็นพรหมวิหาร มันทำไปด้วยอวิชชา ฉะนั้นมันเป็นกามารมณ์ของความโง่อย่างสูงสุดก็เป็นกามเทพ กามเทพหรือเทพเจ้าแห่งกามารมณ์ จะเป็นพรหมวิหารไปไม่ได้ นี่ความรักมีอยู่ ๒ อย่างอย่างนี้ ทีนี้สิ่งที่จะต้องมาดูพร้อมกันไปก็คือคำว่า “การสืบพันธุ์” การสืบพันธุ์นี้ไม่ใช่ความรัก มันคนละเรื่องกันแต่ทีหลังเอามาปนกัน การสืบพันธุ์เป็นสัญชาตญาณที่ชีวิตไม่ต้องการจะสูญพันธุ์ จึงมีสัญญาณแห่งสัญชาตญาณแห่งการสืบพันธุ์ ต้นไม้ก็สืบพันธุ์ สัตว์ก็สืบพันธุ์ คนก็สืบพันธุ์ เทวดาก็สืบพันธุ์ เพื่อว่ามันไม่สูญพันธุ์ ทีนี่ก็ดูเถิดว่าไอ้เรื่องการสืบพันธุ์โดยเฉพาะนั้นน่ะ ไม่มีความหมายแห่งกามารมณ์ ต้องรู้จักแยกให้ดีนะว่าไอ้การสืบพันธุ์นั้นไม่มีความหมายแห่งกามารมณ์ เพิ่งเอา เพิ่งจะเอากามารมณ์เข้าไปผนวกเป็นค่าจ้างให้สัตว์สืบพันธุ์ ก็เพราะว่าการสืบพันธุ์นั้นไม่ ไม่ ไม่สนุกเลย สกปรก น่าเกลียด เหน็ดเหนื่อย ไอ้หลายอย่างหลายประการ การสืบพันธุ์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่น่าสนุก ไม่น่าปรารถนา ทีนี้ธรรมชาติมันฉลาดกว่าเรา ฉลาดกว่าคน ธรรมชาติก็เอากามารมณ์เข้าไปใส่ไว้ในเรื่องของการสืบพันธุ์ เมื่อมีการสืบพันธุ์จะมีรสของกามารมณ์เสมอไป ฉะนั้นสัตว์จึงรับจ้างเอารสของกามารมณ์เพื่อทำการสืบพันธุ์ ถ้าไม่มีค่าจ้างอันนี้สัตว์ทั้งหลายไม่สืบพันธุ์ เพราะเรื่องสืบพันธุ์มันเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อย สกปรก น่าเกลียดน่าชัง ลำบากลำบน อะไรต่าง ๆ แต่ก็เอาค่าจ้างคือกามารมณ์ไปปะหน้าไว้ สัตว์ทั้งหลายเลยทนลำบากยากเข็ญเพื่อการสืบพันธุ์ อย่างคนเรานี้ก็เห็นได้ง่าย ๆ อยู่ว่าการสืบพันธุ์นี่เป็นเรื่องเกือบเป็นเกือบตาย ไม่มีใครอยากทำแต่เขาเอาค่าจ้างมาล่อไว้คือกามารมณ์ สัตว์จึงทำการสืบพันธุ์ มองดูให้ดี แยกให้ออกจากกันได้เสียก่อนว่าการสืบพันธุ์มิใช่กามารมณ์ กามารมณ์ก็มิใช่การสืบพันธุ์ แต่ว่าธรรมชาติหรือพระเจ้าเขาเอากามารมณ์มาเป็นค่าจ้างล่อเอาไว้ให้สัตว์ทำการสืบพันธุ์ ความหมายอันนี้ของคนเห็นได้ชัด ทนสืบพันธุ์เพราะเห็นแก่กามารมณ์ ถ้าไม่มีกามารมณ์เข้าใจว่าไม่มีใครทำการสืบพันธุ์ สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกัน เห็นแก่รสของกามารมณ์จึงทนทำการสืบพันธุ์ ยังยุ่งยากลำบากไปถึงการคลอดบุตร เข้าใจว่าต้นไม้ก็เหมือนกันแหละ เพราะธรรมชาติมันจะต้องมีไอ้ความรู้สึกสบาย มีรสชาติเอร็ดอร่อยเมื่อมีการสืบพันธุ์ สัตว์เดรัจฉานแม้แต่ปลาในน้ำ มันก็มีการสืบพันธุ์และเมื่อทำการสืบพันธุ์ถึงระดับสูงสุดคือการฉีดน้ำเชื้อนั้นเป็นเวลาที่มันรู้สึกเป็นสุขที่สุด นี่พูดอย่างชาวบ้านว่าเป็นสุขที่สุดคือทางกามารมณ์ ความรู้สึกทางกามารมณ์มีในขณะนั้น ขณะที่การถ่ายน้ำเชื้อจากตัวผู้ไปยังตัวเมียนั้นน่ะเป็นระยะของกามารมณ์ ดังนั้นสัตว์ทั้งหลายจึงพยายามที่จะทำการสืบพันธุ์ด้วยความยากลำบากที่ไม่น่าทำ และธรรมชาติยังฉลาดกว่านั้นคือสร้างต่อม gland ต่าง ๆ ใส่ลงไปในสัตว์ ในคนหรือ ในต้นไม้ ต่อม gland นั้นก็เจริญเติบโตเต็มที่ มันต้องการไอ้คู่ตรงกันข้ามมาเพื่อสืบพันธุ์ เป็นไปได้โดยสัญชาตญาณไม่ต้องสอน ไม่ต้องมีการสอน คนก็ดี สัตว์เดรัจฉานก็ดี เมื่อต่อม gland ในภายในร่างกายที่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์มันสุกงอมเต็มที่ มันก็ต้องการให้มีไอ้ฝ่ายตรงกันข้าม เป็นฝ่ายตัวเมียก็ต้องการฝ่ายตัวผู้ มันก็มีการสืบพันธุ์เพราะการบีบบังคับของต่อม gland ที่สุกงอมและมีความรู้สึก ในขณะที่มีการสืบพันธุ์มีรสเอร็ดอร่อยที่เรียกว่ากามารมณ์เข้ามาแทรกแซงด้วย นี้สัตว์จึงมีการสืบพันธุ์เพราะการสุกงอมของต่อม gland ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกทางกามารมณ์ การสืบพันธุ์เป็นงานของสัญชาตญาณที่น่าเบื่อหน่าย กามารมณ์ค่าจ้างของธรรมชาติคือความรู้สึกทางอายตนะที่เอร็ดอร่อยเป็นค่าจ้างให้สืบพันธุ์ ทีนี้ดูให้ดีจะเห็นว่าไอ้ความรู้สึกทางกามารมณ์มันไม่ใช่ความรักอันบริสุทธิ์ ความรักที่เจือด้วยกามารมณ์นั่นก็คือความโง่นั่นเอง ไอ้ความรักอันบริสุทธิ์นี่มันขึ้นอยู่กับจิตใจเป็นส่วนใหญ่ ตามสัญชาตญาณที่ต้องการจะรวมกัน ไอ้กามารมณ์มันขึ้นอยู่กับส่วนร่างกาย ความรู้สึกส่วนร่างกายเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นความรักแท้ เช่น ความรักของบิดามารดาต่อบุตร ความรักของครูบาอาจารย์ต่อศิษย์ หรือความรักของอะไรก็ตามที่มันไม่ใช่กามารมณ์ จะเกี่ยวกับสัตว์ตามธรรมชาติที่มันจะมีการสืบพันธุ์ตามธรรมชาตินั้น กามารมณ์มันมาสวมกับความรักตามธรรมชาติ ทีนี้ความรักตามธรรมชาตินี่มันก็เปลี่ยนเป็นความรักด้วยกามารมณ์ แต่ถึงอย่างไรก็ดีเรายังคงแยกได้ ความรักระหว่างพ่อแม่กับลูกคือทำนองนั้นมันบริสุทธิ์ มันไม่มีกามารมณ์แต่ความรักของเพศตรงกันข้ามนี้มันถูกกามารมณ์เข้ามาสวมเอา คนก็ไม่รู้ ชอบกามารมณ์แล้วก็มีความรักแบบที่ถูกเคลือบด้วยกามารมณ์ จึงมียินดีทำงานที่ลำบากคือการสืบพันธุ์ ไอ้ความรักแท้แม้จะเป็นอย่างในนิยายเมื่อตะกี้นี้มันก็ยัง ยังไม่ ไม่เรียกว่าของสกปรกหรือว่าของเลวร้ายอะไรแต่ถ้ากลายเป็นเรื่องของกามารมณ์ไป มันจึงเป็นเรื่องของสกปรกหรือเลวร้าย ฉะนั้นความรักแท้อาจจะพูดได้ว่ามันเป็นคุณโดยส่วนเดียว ส่วนกามารมณ์หรือรักด้วยกามารมณ์นี้ยากที่จะเป็นคุณ มันมีแต่โทษแต่มันมี อัสสาทะ คือเหยื่อน่ะหุ้ม หุ้มห่อเอาไว้ คนมองไม่เห็น ฉะนั้นความรักอย่างกามารมณ์นี้มันยากที่จะเป็นคุณแต่ถ้าจะมีบ้างก็อ้อมเต็มที่ มันใช้กันอย่างอ้อมค้อมเพราะธรรมชาติมันใช้อย่างหลอกลวงมาแล้ว ใช้เป็นค่าจ้างให้มนุษย์ทำงานที่ตามธรรมดามนุษย์ไม่อยากทำคือการสืบพันธุ์แต่เขาเอากามารมณ์มาปะหน้า มาเป็นเหยื่อ มาหลอกแล้วก็จ้างให้ทำ เดี๋ยวนี้มนุษย์มีการสมรสระหว่างเพศ นั่นก็ดูให้ดีเถิดว่าไอ้ความสมรสนั้น ดูมันจะเป็นการเตรียมตัวที่จะเป็นลูกจ้างของธรรมชาติเพื่อกามารมณ์เสียเป็นส่วนใหญ่ มนุษย์เพิ่งเกิดมาในโลกไม่รู้จักอะไรเป็นอะไร พอต่อม gland ของเพศโตเต็มที่ มันก็มีความรู้สึกทางกามารมณ์แล้วก็ต้องสืบพันธุ์ ก็ไปกินค่าจ้างเข้าคือกามารมณ์ ฉะนั้นคนที่ยังมีอวิชชา มันจะมีการสมรสโดยหวังกามารมณ์ ถ้าเป็นพระอริยะเจ้าจะมีการสมรสโดยหวังสืบพันธุ์บริสุทธิ์ไม่ต้องเจือด้วยกามารมณ์ ถ้าเราได้ยินได้ฟังว่าพระอริยะเจ้าชั้นพระโสดาบัน สกิทาคามี อย่างนี้เขาก็ยังมีชีวิตชาวบ้านหรือเป็นฆราวาสนี่ครองเรือนมีบุตร ภรรยา สามี พวกนี้จะผิดกับไอ้คนธรรมดาปุถุชนก็ตรงที่ว่าปุถุชนนี้มันรับจ้างธรรมชาติ เอากามารมณ์เป็นค่าจ้าง แล้วก็สมรสและสืบพันธุ์ แต่ถ้าจิตเป็นพระอริยะเจ้ามันไม่เป็นอย่างนั้น มันไม่ ไม่เป็นลูกจ้างหรอก มันไม่กินค่าจ้าง มันรู้สึกถึงหน้าที่ของการสืบพันธุ์โดยตรง โดยหน้าที่ตามธรรมชาติ เมื่อเราไปกินค่าจ้าง ไปรับค่าจ้างคือกามารมณ์ มันก็คืออวิชชา คือความโง่ความหลง มันก็ทำให้ทุกอย่างที่ตามธรรมดาทำไม่ได้ คุณไปศึกษากันเองก็ได้ เมื่อไปรับค่าจ้างของธรรมชาติคือกามารมณ์คือการสืบพันธุ์ ไอ้เรื่องการสืบพันธุ์นั้นไม่ชอบนะ ที่จริงไอ้คนเหล่านั้นไม่ได้ชอบ น้อยนักน้อยหนาที่อยากจะสืบพันธุ์หรืออยากจะมีลูก ไอ้ที่มันทำไปมันด้วยกามารมณ์ ฉะนั้นจึงว่าไอ้ความรักอย่างกามารมณ์นี้มันเหมือนกับตาบอด นี่เขาพูดถูก ถ้ามันไม่เกี่ยวกับกามารมณ์เพื่อการสืบพันธุ์นี้ล้วน มันจึงจะเป็นเรื่องลืมหูลืมตา ตัวอย่างเช่นว่า การจุมพิตกันระหว่างเพศ มันก็คือสูดเหงื่อไคลที่สกปรกเข้าไปจากฝ่ายหนึ่ง แต่ถ้ามันหลงมันก็ทำได้หรือจะทำกันแบบฝรั่งมันก็ดูดไอ้น้ำลาย ดูดขี้ฟันของอีกฝ่ายหนึ่งเข้าไป มันน่าอาเจียนมากกว่าที่จะน่าชื่นใจ มันก็ยังทำได้ นี่เพราะว่ามันได้กินเหยื่อของธรรมชาติคือกามารมณ์เข้าไปแล้วโดยไม่รู้สึกตัวและทำทุกอย่างที่ตามธรรมดามันทำไม่ได้ มันสกปรกบ้าง มันน่าเกลียดบ้าง มันเหน็ดเหนื่อยที่สุดบ้าง มันก็ทำได้ นี่พอจะแยกกันได้แล้วว่าไอ้กามารมณ์กับการสืบพันธุ์นั้นเป็นคนละอย่าง ธรรมชาติของกามารมณ์มันจ้างให้คนทำการสืบพันธุ์ซึ่งธรรมดาเขาไม่ยินดีจะทำ แต่แล้วเมื่อกินค่าจ้างนี้เข้าไปแล้วทำได้ทุกอย่างเลย ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ไม่เห็นแก่สกปรก ไม่เห็นแก่ความน่าเกลียดน่าชังอะไร นี่ทางธรรมะเขาจึงแยกกันออกไปเด็ดขาด ความรักบริสุทธิ์กับความรักกามารมณ์ ความรักบริสุทธิ์นั้นทุกศาสนาต้องการ ทุกศาสนาต้องการให้มีความรักบริสุทธิ์ รักเพื่อนมนุษย์ เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เพื่อนอะไร รักในความหมายที่ว่าคืออยากจะรวมเป็นอันเดียวกัน แต่ว่าการรวมอันเดียวกันนี้ ไม่ต้องเป็นกามารมณ์ก็ได้ เหมือนกับพ่อแม่รักลูก หรือแม้เพื่อนรักเพื่อนนี้ ไม่ต้องเป็นกามารมณ์ก็ได้ แต่ความหมายมันก็ยังอยู่ที่นั้นคืออยากรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน นี้อาการแห่งความรักซึ่งเลยไปเป็นอาการแห่งการสมรส สมรสภาษาบาลีเขามีความหมายดีนะ ไอ้สมนี่ไม่ใช่ผสมนะ ภาษาบาลีคำว่าสม นี้ไม่ใช่ผสม สะมะแปลว่าเสมอกัน รสก็คือรสนั่นล่ะ รสเสมอกัน เรียกว่าคนละครึ่ง เรียกว่าสมรส ไอ้ภาษาไทยฟังดูแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นเรื่องจะผสมไอ้ความรัก นี้การที่จะเข้าเป็นอันเดียวกันหรือว่าสมรสกันนี่ ถ้าฝ่ายกามารมณ์ ฝ่ายสัตว์ที่บูชากามารมณ์ มันก็เพื่อกามารมณ์ แล้วมันก็ต้องการกระทำทางกายแหละ ต้องการกระทำทางกาย ให้กายถึงกัน สัมผัสกันระหว่างเพศก็มีรส มันเกิดขึ้นเท่า ๆ กันแหละ คนละครึ่งว่าอย่างนั้น แล้วก็เป็นเรื่องกามารมณ์เรื่องกิเลสทั้งนั้น นี่สมรสของกามารมณ์ของอวิชชา แต่ถ้าสมรสของธรรมชาติอันบริสุทธิ์แม้จะเพื่อการสืบพันธุ์ก็ดี ไม่ใช่เพื่อการสืบพันธุ์ก็ดี มันไม่ต้องเป็นอย่างนั้น และถ้าเป็นเรื่องสมรสของธรรมะแล้วมันก็เป็นเรื่องทางจิต ทางวิญญาณมากกว่าเรื่องทางเนื้อหนังจะสัมผัสกัน ดังนั้นจึงมีการสมรสกันโดยที่ไม่ต้องมีเนื้อตัวถึงกัน ถ้าเป็นเรื่องการสมรสทางจิต ทางธรรมะนะ เราจะรักใครอย่างขาดใจก็ได้ด้วยความรักบริสุทธิ์เพื่อจะรวมกัน ก็มีการสมรสคือมีรสเสมอกันโดยทางจิตใจก็ได้ โดยไม่ต้องให้ร่างกายมันถูกกัน ฉะนั้นเราอาจจะรักเพื่อนของเราโดยบริสุทธิ์ อย่างนี้เรียกว่าสมรสเหมือนกันโดยทางจิตใจ ไม่ใช่สมรสระหว่างเพศหรือแม้ว่าสมรสระหว่างเพศ ถ้าเป็นอีกแบบหนึ่งมันก็ไม่ต้องมีร่างกายที่ถูกกัน ไม่ต้องถูกต้องกันในทางร่างกาย อย่างนี้มันเป็นสมรสทางวิญญาณคือทางจิต แต่ธรรมดาคนทั่วไปมันก็สมรสทางกายหรือทางเนื้อหนัง การสมรสทางเนื้อหนังก็คือกินค่าจ้างของธรรมชาติคือกามารมณ์เข้าไปแล้ว มันเรื่องมันมาก ลำบากมาก ถ้าสมรสทางจิต ทางวิญญาณ ทางธรรมะ จิตใจเหมือนกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อยู่คนละมุมโลกก็ได้ สมรสกันได้แล้วก็ไม่ ไม่ต้องมีความทุกข์ยากลำบากเกี่ยวกับเนื้อหนัง ไอ้ความที่เรารักเพื่อนโดยบริสุทธิ์ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ด้วยกันทั้งสองฝ่ายนี้คือสมรสทางวิญญาณ แต่ถ้าว่าเมื่อร่างกายต้องถึงกันคือสมรสทางกิเลสทางกามารมณ์ นี่ก็พอจะมองเห็นได้นะ เป็นได้ต่อไปว่าไอ้สัตว์ปุถุชนทั้งหลาย ทั้งสัตว์มนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน มันเป็นลูกจ้างของธรรมชาติเพื่อทำการสืบพันธุ์ด้วยกันทั้งนั้น แล้วก็รับค่าจ้างเป็นกามารมณ์ นี่คือความเป็นปุถุชน สัตว์ทั้งหลายไม่ยกเว้นใครเป็นลูกจ้างธรรมชาติ เอากามารมณ์เป็นค่าจ้างเพื่อการสืบพันธุ์ พวกนี้สมรสทางเนื้อหนังทั้งนั้น ผู้รู้ ผู้มีความรู้ ผู้มีจิตใจสูงไม่ใช่ปุถุชน ไม่ ไม่ยอมเป็นลูกจ้างเพราะฉะนั้นจึงไม่กินค่าจ้างคือกามารมณ์ แม้จะทำการสืบพันธุ์กันก็ยังได้ นี่มัน มันก็บริสุทธิ์กว่ากันว่าอย่างนั้น ทีนี้ความรักที่แท้จริงก็คือธรรมชาติเดิม สัญชาตญาณเดิม อยากรวมกันเพื่อประโยชน์อย่าง อย่างอื่นซึ่งไม่ใช่เรื่องกามารมณ์ ความรักกันอย่างแท้จริงซึ่งไม่ใช่กามารมณ์นี่เป็นหัวใจของทุกศาสนาเลย ศาสนาคริสต์เตียนจะเน้นมากเรื่องความรัก เต็มไปคำว่าความรักในพระคัมภีร์แต่ก็คือรักผู้อื่นชนิดที่ไม่ใช่กามารมณ์ พระเจ้าเป็นจุดยอดสุดของความรัก รักสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายควรจะรักซึ่งกันและกันอย่างที่พระเจ้ารักเรา ทุกศาสนามีความรักเป็นหัวใจ ศาสนาพุทธเราไม่มีคำว่าพระเจ้าแต่ก็ต้องการให้ทุกคนรักกันในฐานะเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ความรักแท้เป็นหัวใจของศาสนาถือว่าเป็นบุญ เป็นกุศล เป็นของสะอาด ส่วนกามารมณ์นั้นเป็นสิ่งสาปแช่ง กามารมณ์นั้นจัดไว้ในฐานะเป็นสิ่งสกปรก เลวทราม สาปแช่ง ไม่เป็นบุญไม่เป็นกุศลเพราะมันทำให้เราเรียนหนังสือไม่ได้ใช่ไหม เพราะมันทำให้เราล้มเหลวในหลาย ๆ อย่าง คำว่ากามารมณ์สร้างปัญหาให้แก่เรา ทีนี้เราก็ไม่รู้จักว่าอะไรเป็นกามารมณ์ อะไรเป็นความรักบริสุทธิ์ แล้วก็ไม่รู้สิ่งที่ควรจะทำ คู่สมรสโดยธรรมดาสามัญในโลกนี้ คู่สมรสทุกคู่มันไม่รู้จักแยกความหมายของคำว่ากามารมณ์ออกมาเสียจากการสืบพันธุ์ มุ่งที่กามารมณ์แล้วเกลียดการสืบพันธุ์แต่ทนกามารมณ์ไม่ไหวก็เลยยอมสืบพันธุ์ อันนี้มันเป็นลูกจ้าง มันจึงเกิดปัญหายุ่งยากขึ้นมากมายในโลกนี้ที่เกี่ยวกับกามารมณ์ อยากจะให้มองว่าวิธีที่ธรรมะมีอยู่หรือสอนไว้ มันมีมูลมาจากกามารมณ์ นี่จึงทำบาปกรรมอย่างอื่น ถ้าเราเชื่อไอ้ ไอ้ความรู้ของคนสมัยใหม่ เช่น Sigmund Freud เขาก็เน้นที่กามารมณ์เป็นมูลเหตุให้มนุษย์ทำอะไรต่าง ๆ ในทางธรรมเขาก็พูดอย่างนั้นเหมือนกัน เขาพูดไว้ก่อนหน้า มันลุ่มหลงกามารมณ์ มันจึงอยากได้ปัจจัยแห่งกามารมณ์ ดังนั้นมันจึงทำผิดศีลธรรมต่าง ๆ นา ๆ เช่น อันธพาลในกรุงเทพ คนอันธพาลจี้ปล้นข่มขืนอะไรก็ตาม อันธพาลทั้งหลายเหล่านั้น มันไม่มีปัจจัยสำหรับกามารมณ์โดยบริสุทธิ์ มันก็ทำอันธพาล ทำอาชญากรรมเพื่อได้กามารมณ์ นี่จึงจี้ปล้นเอาเงินมาไปซื้อหากามารมณ์หรือบางทีก็ทำการข่มขืนจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร หนังสือพิมพ์วันนี้น่าอนาจใจ มีลงข่าวเรื่องคนข่มขืนเด็กหญิงอายุ ๗ ขวบ มันต้องการอะไรคิดดูเถิด มันก็คือความต้องการกามารมณ์อย่างเดียวเท่านั้นแหละ ไม่มีเรื่องสืบพันธุ์ ไม่มีเรื่องอะไรเข้าไปเจืออยู่ ฉะนั้นเราดูกันให้ดีว่าความรักบริสุทธิ์กับความรักกามารมณ์มันคนละ มันเป็นของคนละทิศละทาง เมื่อเรามันตกอยู่ใต้อำนาจของไอ้ความรักอย่างหลังนี่จึงมีการกระทำสิ่งที่ไม่ควรกระทำ อวิชชามาก มีอวิชชามาก โง่มาก ไม่รู้ว่าอะไรคือความรัก อะไรคือกามารมณ์ อะไรคือศัตรู อะไรคือมิตร มันก็บูชากามารมณ์ ดังนั้นไอ้การชิงสุกก่อนห่าม มันก็เกิดขึ้นทั่วไปหมด แล้วกลายเป็นของที่ไม่ผิดศีลธรรมไป การชิงสุกก่อนห่ามจะกำลังจะกลายเป็นไม่ ไม่ผิดศีลธรรม คือการสมรสที่ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมนี่คือเป็นทาสของกามารมณ์แล้ว จะไปทำพิธีสมรสคราวหลังจะมีความหมายอะไรเพราะคนที่เป็นทาสกามารมณ์ของกิเลส วินาศไปหมดแล้ว จะมาทำพิธีสมรสให้มีเกียรตินี้มันก็เป็นเรื่องหลอกกันทั้งนั้น ควรจะระวังให้ดี ถ้าเราอย่าตกเป็นทาสของกามารมณ์ มันจะไม่มีศีลธรรมเหลืออยู่ แล้วมันก็จะทำให้เกิดอาการผิดจังหวะกันหมด เช่น ชิงสุกก่อนห่ามอย่างนี้ เมื่อคนที่ชิงสุกก่อนห่าม ไปดูทุกคนเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องเพราะว่ากามารมณ์ครอบงำจิตใจ ดังนั้นการเรียนของเขาเหลวไหล เขาไปเป็นทาสกามารมณ์เร็วเกินไป มากเกินไปอย่างหลับหูหลับตา เสียอนาคตเพราะการเรียนล้มเหลวหรือถูกว่าประณาม ถูกตัดออกไป ถูกลบชื่อ มันก็เพราะว่าบูชากามารมณ์ โดยที่ไม่รู้จักว่ากามารมณ์นั้นเป็นอะไร ล้มเหลวในการเรียนนี้เป็นธรรมดาเพราะว่าไอ้คน เด็กที่เรียกว่ายุวชนน่ะมันเป็นวัยเรียนทั้งนั้น มีมาแล้วตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ก่อนพุทธกาลนั้น วัยยุวชนเขาเรียกว่าวัยพรหมจารี ตั้งแต่คลอดออกมาจากท้องแม่จนกระทั่งจะเป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มที่จะแต่งงานนี่ ก่อนแต่งงานนี่ก็เรียกว่า พรหมจารี วัยพรหมจารีจะต้องเคร่งครัดต่อระเบียบปฏิบัติของยุวชน มันไม่มีเรื่องกามารมณ์ ในเรื่องที่เขาจัดไว้ เขากำหนดไว้ เขามีข้อระเบียบ ระเบียบกฎมาก แม้จะดูก็ยังไม่ได้ จะดูเพศตรงกันข้ามก็ไม่ได้ เขาถือเป็นผิดระเบียบ ผิด ใช้ไม่ได้ จะถูกลงโทษ ที่เหลือเขาจะแยกออกจากกันเลย ไม่มีสหศึกษาถ้าถือตามแบบโบราณ เพื่อความสะดวกในการที่จะไม่มีอาการชิงสุกก่อนห่าม ไม่มีอำนาจกามารมณ์มาย่ำยี นอกจากเรียนหนังสือแล้วเขาก็จะต้องเรียนมรรยาท เรียนวิธีประพฤติปฏิบัติ การเป็นอยู่ ชีวิตเป็นอยู่อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องไปจนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของอาศรมพรหมจารี ที่เขาเรียกว่าอาศรมหมายความว่าคนอยู่กันมากๆ เพื่อทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในวัตถุประสงค์เดียวกันแล้วก็เรียกว่าอาศรมทั้งนั้น อยู่กันมาก ๆ ทำอะไรเหมือนกัน วัตถุประสงค์เดียวกัน กลุ่มนั้นก็เรียกว่าอาศรม อาศรมพรหมจารีในโลกนี้ควรจะเป็นพรหมจารี อย่าเพิ่งไปเป็นทาสของกามารมณ์ เดี๋ยวนี้เราไปบ้าตามคนบางพวก เรื่องสหศึกษาเรื่องอะไรต่าง ๆ เขาก็ว่าดีนะจะฝึกฝนกันเสียเร็ว ๆ ให้มันรู้เรื่องนี้กันได้เร็ว ๆ แล้วก็ไปดูเถอะมันดีที่ตรงไหน มันกลับเพิ่มปัญหามาก ยุ่งยากจน จนไม่มีใครยอมรับ ฉะนั้นเรามันอยู่ในความเปลี่ยนแปลงถึงขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังควรจะรู้ไว้ว่าไอ้เรื่องกามารมณ์มันเป็นอย่างนี้ มันทำอันตรายคน มันจะร้อนเป็นไฟ ถ้าความรักบริสุทธิ์มันเย็นเป็นน้ำ ถ้าความรักกามารมณ์มันร้อนเป็นไฟก็ทนได้ จนหัวใจไหม้ไปแล้วก็ทนได้ เดี๋ยวนี้เมื่อเราจะมาพูดกันอย่างหลักธรรมะมันก็ต้องพูดอย่างนี้ ควรจะรู้จักมัน อย่าให้ทำอันตรายแก่เรา คือเราอย่าไปกินค่าจ้างของธรรมชาติโดยเอากามารมณ์มาจ้างให้สัตว์สืบพันธุ์ นี่ มันมีเท่านี้ ฟังดูแล้วมันก็น่า น่าอัศจรรย์ พระเจ้าหรือธรรมชาติหรืออะไรก็ไม่รู้ เก่งเหลือเกิน จัดกามารมณ์ไว้จ้างสัตว์ให้ทำการสืบพันธุ์ ทีนี้เรามันทำเร็วเกินไปยังไม่ถึงฤดู ยังไม่ถึงคราวที่ต้องสืบพันธุ์ มันก็มาหลงในกามารมณ์ เอาค่าจ้างกันล่วงหน้านะ มันก็เลยเสียในทางศีลธรรม ขอให้มองดูให้เห็นไอ้สภาพแท้จริงของสิ่งเหล่านี้ หัวข้อของเราว่าธรรมะกับกามารมณ์ ถ้าเป็นธรรมะในความหมายเรื่องสืบพันธุ์ เรื่องความรัก เรื่องไอ้กามารมณ์นี้ก็เป็นธรรมะธรรมชาติ เป็นตัวธรรมชาติมีอยู่อย่างนั้นแหละ สัตว์เกิดขึ้นมาก็เติบโตขึ้นมามีต่อม gland ทางเพศเติบโตขึ้นมา แล้วก็ทำการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติ เมื่อมันทำผิดหลักสำหรับจะให้สงบเย็น มันก็ต้องร้อน เราควรจะรู้ทางของความสงบเย็น อย่าให้มันร้อน มีชีวิตอยู่เติบโตขึ้นมา ทำการสืบพันธุ์ สำหรับเรื่องกามารมณ์นั้นทางธรรมะทางศาสนาเขาก็ไม่ได้ห้ามกันอย่างเด็ดขาด แต่ให้เรารู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ มันเป็นค่าจ้างที่ทำให้คนหลงใหลแล้วก็ทำสิ่งที่ยุ่งยากลำบากขึ้นมา ธรรมะในพุทธศาสนานี้ก็ไม่ได้ห้ามว่าไม่ต้องแตะต้องกับกามารมณ์แต่ให้รู้ว่ามันเป็นกามารมณ์ มันมีลักษณะอย่างนั้น มีความหมายเช่นนั้น มันมี อัสสาทะ อัสสาทะคำนี้แปลว่าเสน่ห์ที่ยั่วยวนใจที่สุด เคลือบอยู่ แล้วมันก็มี อาทีนวะ คือเลวร้าย ความเลวร้ายของมันอยู่ข้างใน มันเคลือบไว้ด้วย อัสสาทะ คือเสน่ห์อันน่ารักน่ายวนใจ นี่ก็เหมือนกับเบ็ดหุ้ม หุ้มไว้ด้วยเหยื่อ ไอ้ปลาโง่มันก็กินเข้าไปแล้วมันก็ต้องเป็นทุกข์ การปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทางธรรมะนะ ตามหัวข้อที่คุณกำหนดว่าธรรมะกับกามารมณ์ ถ้าเป็นธรรมะมันก็รู้เรื่องนี้สิ มันรู้ด้วยว่าเป็นอย่างนี้ แล้วก็มีสติสัมปชัญญะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถ้าจะรับเข้ามาในฐานะเป็นกามารมณ์ มันก็เพียงแต่รู้สึกว่ามันอร่อยแต่อย่าให้มันครอบงำจิตใจเราได้ ของอร่อยก็อร่อย ก็คืออร่อย อย่างนี้ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ เรื่องของความอร่อย ในทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางไอ้ผิวหนังอะไรก็ตาม มันมีเรื่องอร่อยทั้งนั้นแหละ ถ้าถึงขนาดจับจิตจับใจนั้นมันก็จะเป็นความหมายทางกามารมณ์ขึ้นมา ที่เรามีสติรู้ทันว่านี้มันก็คืออร่อย อันนี้ไม่อร่อย อันนี้อร่อย อันนี้สวย อันนี้ไม่สวย อันนี้ไพเราะ อันนี้ไม่ไพเราะ อันนี้นิ่มนวล อันนี้กระด้าง นี้ก็รู้ได้แต่อย่าให้มันครอบงำจิตใจเรา ดึงเราไปทำไอ้สิ่งที่เป็นบาปเป็นอกุศลแล้วเป็นทุกข์ทรมานแก่ตนเอง มันคงจะหลีกไม่พ้นเรื่องกามารมณ์นี้ รู้จักกับมันว่ามันเป็นเรื่องของกามารมณ์ เป็นเรื่องค่าจ้างให้มนุษย์สืบพันธุ์ นี้เรามันไม่ต้องกินค่าจ้าง แม้ว่าอร่อยมันก็สักว่าอร่อย นี่เป็นคำพูดที่น่าหัวในทางธรรมะกับศาสนา ไม่อร่อยก็สักว่าไม่อร่อย ไม่ต้องโกรธแค้น อร่อยก็สักว่าอร่อย ไม่ต้องหลงใหลยินดี มันจึงหยุดอยู่ที่ตรงนั้น หยุดที่ว่าอร่อยหรือไม่อร่อย น่ารักหรือไม่น่ารักอะไรก็ตาม มันหยุดอยู่ที่ตรงนั้น มันไม่มาครอบงำจิตใจของเราจนดึงพาให้ไปให้ทำบาป ทำอกุศล ทนทุกข์ทรมาน นั้นธรรมะในความหมายที่ ๓ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ มันจะช่วยได้ ธรรมะในความหมายที่ ๒ คือกฎของธรรมชาติก็เป็นอย่างที่ว่านี้ กามารมณ์เป็นอย่างนี้แล้วมันมีอิทธิพล มีอะไรอย่างนี้ ๆ ๆ เนื่องกันไปอย่างนี้นี่เป็นกฎของธรรมชาติเกี่ยวกับกามารมณ์ ทีนี้ธรรมะที่ ๓ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์ก็ดี เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ก็ดี เกี่ยวกับคำว่าความรักก็ดี เราจะต้องทำให้ถูกต้องตามนั้น นี่เรียกว่าธรรมะที่จะเอามาปรับหรือมาเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์ เมื่อเรารู้ธรรมะข้อที่ ๓ นี้ดี คือหน้าที่นี้ดี มันก็ไม่มีปัญหา ถ้าเรามีขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีด้วยยิ่งง่ายขึ้น แต่ประเพณีเอามาทำสหศึกษานี่ทำให้ลำบากมากขึ้นในการที่จะควบคุมความรู้สึกอันนี้ ใครเชื่อว่าฝรั่งฉลาด เอ้า, ก็ไปรับเอาระบบสหศึกษามาแต่ว่าไอ้บรรพบุรุษของคนตะวันออกนี่เขาไม่เห็นด้วย มันก็มีระบบไอ้พรหมจารีอาศรมนี้อย่างเคร่งครัดยังไม่มีสหศึกษา นี่ธรรมะในความหมายที่ ๔ คือผลเกิดจากหน้าที่ แล้วก็ไปตามเรื่องของมัน ทำผิดก็ ก็ลำบากตกนรกทั้งเป็น ทำถูกก็สบายไป ทำผิดก็มีนรกที่นี่ นรกในอกอยู่ที่นี่ ทำถูกก็เป็นสวรรค์ในใจอยู่ที่นี่ อย่าให้สิ่งนี้กลายเป็นเรื่องเผาผลาญจิตใจของเรา ไอ้สิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์ เมื่อไปเกี่ยวข้องกับมันอย่างโง่เขลา อย่างหลับตา อย่างอวิชชา มันก็เป็นพิษร้ายกาจที่สุดแต่ถ้าไปเกี่ยวข้องด้วยปัญญา ด้วยวิชชา ลืมหูลืมตา มันก็คือธรรมชาติชนิดหนึ่งที่เราไม่ไปหลง ไม่มีการหลงไอ้เพศตรงกันข้าม ไม่มีการหลงอะไรทำนองนั้น กามารมณ์ก็ไม่ ก็ไม่มี มันมีแต่สติปัญญา แม้จะไปเกี่ยวข้องกับกามารมณ์มันก็กลายเป็นการศึกษาไปหมด ถ้าเรามีธรรมะ มีสติ มีสัมปชัญญะ มีปัญญา ไปเกี่ยวข้องกับอารมณ์อะไรก็เป็นการศึกษาไปหมด คือสอนให้เรารู้จักสิ่งนั้น จะทำอะไรกับสิ่งนั้นก็ทำถูกต้องไปหมด ไม่มี ไม่มีเรื่องที่จะต้องเป็นทุกข์ แต่ถ้าเราไม่มีธรรมะนะคือไม่มีสติสัมปชัญญะปัญญา เข้าไปเกี่ยวข้องกับอะไรก็ตาม เป็นโทษไปหมดแหละ เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่น่ารัก มันก็ตกเป็นทาสของความรัก เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่น่าเกลียด มันก็ตกเป็นทาสของความโกรธ ความเกลียด ไม่มี ไม่มีความสุขเลย โดยเฉพาะไอ้สิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์นี่ก็ยากที่ใครจะ จะรอด จะรอดตัวไปได้ รอดตัวออกไปได้จากการบีบคั้นของมัน เว้นไว้แต่ผู้รู้เท่านั้น นี่ถ้าว่าตามหลักของธรรมะเกี่ยวกับกามารมณ์มันก็มีอยู่อย่างนี้ ถ้าเราไม่รู้เท่าทันมัน มันก็ลาก ลากคอเราไปเป็นทาสของมัน แล้วก็เริ่มทนทุกข์ ตั้งใจจะทำอะไรที่มีประโยชน์ มันก็ล้มเหลว เมื่อ เมื่อมีการเล่าสมัยที่เล่าเรียนก็ล้มเหลว สมัยที่ไปทำการทำงานทำอาชีพมันก็ล้มเหลว เป็นทาสกามารมณ์ก็ล้มเหลว หรือว่าจะไปเป็นผู้ครองบ้านครองเมืองมันก็ล้มเหลว ถ้าว่ามันพ่ายแพ้แก่กามารมณ์ เขาจะต้องมีธรรมะมีสติสัมปชัญญะควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้ ปัญหาก็หมดไป นั้นคุณก็ทบทวนความหมายของคำบางคำไว้ให้ดี ๆ นะ ไอ้คำว่า “กาม” คือตัวกิเลสที่ต้องการกามารมณ์ กามารมณ์นั้นเหยื่อของกิเลสอยู่ข้างนอกที่ให้เราไปสนองไอ้ความต้องการของสิ่งที่เรียกว่ากาม ภาษาธรรมะแท้ ๆ เขาเรียกว่า กิเลสกาม วัตถุกาม กามารมณ์ในบาลีเขาเรียกวัตถุกาม คือวัตถุเป็นที่ตั้งแห่งความใคร่ วัตถุกามคือที่พวกเราเรียกกันเดี๋ยวนี้ว่ากามารมณ์ ส่วนกิเลสกามนั้นคือตัวกิเลส ความรู้สึกในทางนี้เรียกว่ากิเลสกาม แต่บางทีเราเอาความหมายของทั้ง ๒ รวมกันเข้าเรียกว่ากามารมณ์ก็ได้ ดูมันกำกวมอย่างไรชอบกลอยู่คำพูดที่ใช้กันอยู่เวลานี้ในเรื่องนี้ ถ้าถือเอาบาลีเป็นหลักมันก็ ก็ไม่ปนกันยุ่งหรอก กิเลสกามคือความรู้สึกทางกามอยู่ข้างใน วัตถุกามคือสิ่งที่จะสนองไอ้ความใคร่ของกามอยู่ข้างนอก เรียกว่าอยู่ข้างนอก แล้วมันก็เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราเรียกกันว่าความรัก มีความหมายตามธรรมชาติว่ามันอยากจะรวมกันเป็น เป็นสิ่งเดียว คำว่าความรักในความหมายว่าอยากจะรวมกันเป็นสิ่งเดียว ถ้าว่ามันบริสุทธิ์มีปัญญา มันก็รวมกันโดยไม่ ไม่ ไม่เป็นอันตรายหรืออะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องความโง่ อวิชชา มันก็รวมกันอย่างมีอันตรายคือกินเหยื่อกินค่าจ้างของธรรมชาติ ยอมทนทุกข์ทรมาน การสืบพันธุ์นั่นเป็นของที่น่า น่าเบื่อหน่าย ไม่มีใครอยากทำแต่พระเจ้าหรือธรรมชาติมันฉลาดกว่า มันเอาค่าจ้างคือกามารมณ์นี่ไปปะหน้าไว้ที่การสืบพันธุ์ ไอ้คนก็กินค่าจ้าง รับค่าจ้างแล้วยอมทำการสืบพันธุ์ที่ตามธรรมดาจะไม่ยอมทำ เพราะมัน มันไม่สนุก เราจะต้องรู้จักสิ่งเหล่านี้ตามชื่อเหล่านี้ ปัญหานับตั้งแต่ว่าพออายุมันผ่านขึ้นมาถึงขนาดต่อม gland เพื่อการสืบพันธุ์มันสุกงอม มันก็ต้องการการสืบพันธุ์ เขาถึงจัดให้มีการสมรสที่ถูกต้องโดยไม่ต้องโง่ ไม่ต้องเอากามารมณ์มาเป็นเหยื่อล่อก็ทำได้ คือด้วยสติสัมปชัญญะ ด้วยสติปัญญา แต่เดี๋ยวนี้คนเขาไม่สนใจนี่ เขาเอากามารมณ์เป็นใหญ่แล้วก็มีการสมรสเพื่อกามารมณ์กันทั้งนั้น เกือบจะพูดได้ว่าถ้าไม่มีกามารมณ์ ไม่มีกามารมณ์รวมอยู่ด้วยคนสมัยนี้คงไม่สมรสหรอก คงไม่อยากจะทำการสมรส นี่คืออวิชชา สมรสเพื่อกามารมณ์ ไม่ได้สมรสเพื่อการสืบพันธุ์อันบริสุทธิ์ ไอ้มนุษย์นี้มันแปลกตรงที่ว่ามีความ มีมันสมองดี มีมันสมองสูงคิดเร็วคิดเก่งอะไรของมัน มันจึงหลงกามารมณ์มากเกินไป สัตว์เดรัจฉานก็มีมันสมองต่ำคิดได้น้อย คิดอะไรมันก็หลงในกามารมณ์น้อย ฉะนั้นการถูกทนทรมาน การถูกทำให้ทนทรมานโดยกามารมณ์นั้นมีน้อย สัตว์เดรัจฉานมีน้อยกว่ามนุษย์ มนุษย์ก็ดีกว่าแหละก็ถูกแล้ว แต่มันก็ไอ้ความดีกว่านี้มันก็ทำให้มนุษย์ต้องเป็นทุกข์ทรมานมากกว่า เพราะไปลุ่มหลงลึกกว่า ขยายขอบเขตของกามารมณ์ออกไปได้กว้างกว่า ฉะนั้นเราจึงเป็นทุกข์ในแง่นี้มากกว่าสัตว์เดรัจฉานอย่างที่น่าละอายมันทีเดียว ส่วนต้นไม้พฤกษาชาติทั้งหลายน้อยไปกว่านั้นอีก ดูเถอะต้นไม้ก็ต้องการการสืบพันธุ์มีความขวนขวายเพื่อสืบพันธุ์เหมือนกัน ถ้าศึกษากันโดยละเอียดแล้วเดี๋ยวนี้ก็ไม่เป็นที่สงสัยแล้ว ต้นไม้ก็มีความรู้สึกได้ รู้สึกกลัว รู้สึกกลัวตาย รู้สึกต้องการ รู้สึกหนีภัย รู้สึกอะไรได้ ต้นไม้ก็พยายามที่จะให้มีการสืบพันธุ์ ธรรมชาติก็ช่วยส่งเสริมให้ต้นไม้มีการสืบพันธุ์ ต้นไม้ก็มีความรู้สึกที่จะสืบพันธุ์ แต่ความรู้สึกนั้นน้อยมาก เล็ก เล็กนิดเดียว เพราะฉะนั้นความทุกข์ทรมานเกี่ยวกับเรื่องนี้มันจึงน้อยมาก น้อยจนจะมองไม่เห็น สัตว์เดรัจฉานมากกว่านั้น มนุษย์มากกว่านั้นและมนุษย์ชั้นที่เป็นเทวดาร่ำรวยด้วยกามารมณ์แล้วจะมากกว่านั้น คือจะทนทุกข์ทรมานเกี่ยวกับการเผาผลาญของกิเลสกามารมณ์นี่มากที่สุด คำว่า “กามเทพ” ….. (0:57:31) หรือว่ากิเลสกามนี้เป็นพระเจ้าองค์หนึ่งเหมือนกันเรียกว่ากามเทพ แล้วก็ทำให้มนุษย์เป็นอย่างไรบ้างก็ดูเอา ในอินเดียไอ้หลักลัทธิต่าง ๆ มีมาก บางลัทธิมันก็ไปไกลจนถึงกับว่าบูชากามารมณ์ บูชากามเทพ จัดเป็นเรื่องถูกเรื่องดีไปเสียเรื่องหนึ่งเลย ไอ้พวกนี้เขาหาสมาชิกได้ง่ายแต่แล้วมันก็พิสูจน์ความเป็นอันตราย เดี๋ยวนี้เดี๋ยวนี้ก็จะถูกเกลียดชังแล้วไอ้ลัทธิบูชากามเทพ เราเรียนเรื่องนี้อย่างธรรมชาติที่มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ เรามีหน้าที่ที่จะเอาชนะมันให้ได้ อย่าให้สิ่งนี้มันชนะมนุษย์ อย่าให้ชนะเรา มันก็เป็นการดีแล้วที่จะศึกษาถึงเรื่องนี้กันบ้าง ตามหลักแห่งพระศาสนาเขา เขารู้กันอย่างนี้แล้วเขาก็สอนกันอย่างนี้ อย่าให้ตกเป็นทาสของกามคุณ คำว่ากามคุณ นี้เขาก็หมายถึงไอ้ ไอ้สิ่งที่จะสนองความอยากของ ของกิเลสกาม มีความหมายอย่างเดียวกับกามารมณ์ เอาล่ะเป็นอันว่าคำอธิบายของไอ้หัวข้อนี้หัวข้อที่บรรยายในวันนี้ว่าธรรมะกับกามารมณ์มันมีอยู่อย่างนี้ ก็เอาไปทบทวนให้ดี อย่าให้กามารมณ์มันกัดเอา ถ้าทำผิดแล้วมันจะกัดเอายิ่งกว่าอะไร ๆ หมดแหละ ให้เราชนะไว้เสมอ ให้ ให้มันเป็นเพียงสิ่งที่มีอยู่ในโลกที่จะเกี่ยวข้องด้วยก็ได้แต่อย่าให้มันกัดเอา อย่าให้มันมาเป็นนายเรา ให้เราเป็นนายมันเสมอไป ไม่รับจ้างธรรมชาติสืบพันธุ์โดยการรับค่าจ้างเป็นกามารมณ์เป็นที่น่าละอายสำหรับมนุษย์ผู้มีจิตใจสูง ใจความเกี่ยวกับเรื่องนี้มีเท่านี้ เพราะฉะนั้นก็ ก็ขอยุติการบรรยายหัวข้อนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้
คำถาม ท่านอาจารย์ค่ะ แบบที่ท่านอาจารย์บอกว่าอย่างสมัยก่อนนี้นะค่ะ เรามีการเรียนแบบระบบสห ไม่มีการเรียนแบบระบบสหศึกษาซึ่งมีการแยกผู้หญิงเรียนต่างหาก ผู้ชายเรียนต่างหากนี่นะค่ะ ทีนี้ มองว่าอย่างเช่นสภาพนั้นมันเป็นสภาพสังคมเราสมัยก่อนใช่ไหมค่ะ แล้วทีนี้พอผู้หญิงเรียนจบ ผู้ชายเรียนจบนี่ ก็จะมี จะมีการแต่งงานกันระหว่าง ๒ ฝ่ายนี้นะค่ะ ซึ่งแบบบางทีนี่ผู้หญิงกับผู้ชายที่เขามาแต่งงานกันนี่ เขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย ไม่ได้เรียนรู้อุปนิสัยอะไรกันมาเลยนะค่ะ แล้วการที่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างนั้น แล้วมาแต่งงานกันเข้า เกิด ๒ คนนี่มีลักษณะนิสัยหรือทัศนคติอะไรที่ไม่ตรงกันนี่ มันก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาครอบครัวได้ไม่ใช่หรือค่ะ
คำตอบ ไม่ได้หมายความอย่างนั้น เมื่อ เมื่อเรียนเสร็จแล้วก็ดูกันให้พอเสียก่อนสิ ดูกันให้พอเสียก่อนสิ ก่อนที่สมรสหรือแต่งงานนะ ดูซึ่งกันและกันให้มันพอเสียก่อน จะเป็นอิสระกว่า นั้นเป็นเหตุผลของคนโบราณ เหตุผลคนเดี๋ยวนี้มีอย่างนี้ก็ได้เหมือนกันแหละ ไม่ได้ ไม่มาเถียงกันเรื่องนี้ว่าของใครจะดีกว่าหรือ กลับไปคิดดูเถิด ดูหรือว่าดูผลที่มันเกิดขึ้นเถิด ดูผลที่มันกำลังเกิดอยู่ ในบางประเทศนั้นเขายอมให้นักเรียนมีบุตร แล้วเป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีอะไรไม่มี ไม่เป็นที่ตำหนิติเตียนทั้งนั้น ไม่ได้พูดว่าอันไหนมันจะผิด อันไหนมันจะถูก แต่พูดว่าให้ดูให้ดีว่าอันไหนที่จะไม่ทำ ทำเรื่องร้ายให้เกิดขึ้น ก็เอาทางนั้นแหละ เอาเรื่องฝ่ายนั้นแหละ
คำถาม เป็น เป็นไปได้ไหมคะที่ว่าจะมีการสืบพันธุ์ชนิดที่แบบเป็นความรักอย่างบริสุทธิ์
คำตอบ จะได้หรือไม่ได้ ก็ ก็สุดแท้นะ มันเป็นเรื่องของผู้ทำ ผู้กระทำ แต่ว่าหลักมันมีอยู่อย่างนี้ แต่ว่าโดยธรรมดา ๆ ทั่ว ๆ ไปแล้วก็เพื่อกามารมณ์ รับจ้างโดยกามารมณ์เป็นค่าจ้างแล้วก็เพื่อสืบพันธุ์ เพราะตอนนี้เรายังหลับตาอยู่นี่ ยังมีอวิชชาครอบงำอยู่ มันก็ต้องทำอย่างนี้ เพราะว่าการสั่งสอน การอบรม หรือวัฒนธรรม ไม่ได้สอนกันถึงขนาดนี้ แต่ก็ต้องการให้ทุกคนรู้สึก รู้ มีความรู้เพียงพอ รู้สึกตัว มีสติปัญญา สัมปชัญญะ เลือกคู่สมรส ทำการสมรส ก็ด้วยความหวังดี อย่าให้ อย่าให้ปัญหามันเกิดขึ้น
คำถาม ผมอยากจะเรียนถามเกี่ยวกับต่อเนื่องจากปัญหาเมื่อกี้นี้ว่า ในการที่ผู้ใหญ่คลุมถุงชนอย่างที่ประเพณีเก่าทำกันนั้น มีประโยชน์หรือว่ามีโทษอย่างไรบ้าง มีจุดมุ่งหมายอย่างไรในการทำอย่างนั้นครับ
คำตอบ ไอ้ ๆ ปัญหานี้มีมานานแล้ว ปัญหายืดเยื้อ ไม่ยุติได้ เขาก็มีเหตุผลของเขาทั้งนั้น ไอ้ บางพวก คนบางพวกเขาจัดให้ลูกเด็ก ๆ มาแต่งงานกันตั้งแต่ยัง ยังไม่มีความรู้สึกทางกามารมณ์ เพื่อจะควบคุมให้ถูกต้องมาทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย จนกว่าจะถึงวันที่มันจะมีความรู้สึกทางกามารมณ์กันอีกทีหนึ่ง นี้เรียกว่าควบคุมเต็มที่ จัดทำไปโดยผู้ใหญ่เต็มที่ มันไปใช้คำว่า “คลุมถุงชน” นี่มันดูจะเป็นการดูถูกคนแก่มาก คล้ายว่าคนแก่ไม่มีหูมีตาเสียเลย เอาคำนี้ไปใช้กับคน บิดามารดา เขาก็ไม่ได้บังคับเด็ดขาดนะ เขาแนะว่าดี แล้วเราก็ ก็ ก็ต้องโต้แย้งได้ วิพากษ์วิจารณ์ได้ ต่อรองกันได้ เพราะว่าเรายังเป็นเด็กมักจะพลุ่งพล่าน อารมณ์พลุ่งพล่าน ตกไปในฝ่ายผิดพลาดได้ง่าย ให้ ให้คนแก่เข้ามาควบคุม อย่าให้มันผลุนผลันผลีผลาม มองกันในแง่ดีไว้บ้าง แล้วก็ในสมัยโบราณ เขาก็มากันอย่างนั้นทำไมเขาถึงรอดมาอยู่ได้ จนมาเป็นบรรพบุรุษของคนสมัยนี้
คำถาม อยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่าแล้วอย่างในสังคมอินเดียสมัยโบราณที่ให้เด็ก ให้ ให้เด็กชายกับเด็กหญิงแต่งงานกันตั้งแต่ยังเด็กนี่มีจุดประสงค์อะไรค่ะ
คำตอบ เพื่อจะควบคุมให้ดีไง ทั้งเด็กหญิงเด็กชายนั้นยัง มันยังรับการศึกษา รับการเล่าเรียนอบรมอะไรอยู่ คงจะสอนหมดแหละ สอนให้รู้ทั้งวิชาหนังสือวิชาอะไรต่าง ๆ จนกระทั่งว่าเขา ถึงวันหนึ่ง เขาก็สมรสกันเองอย่างเป็นที่พอใจของบิดามารดา มันเป็นการเตรียมที่ลึกซึ้งมาก เพื่อจะได้อย่างอกอย่างใจ ไปขอเด็กชายหรือว่าเด็กหญิงก็ตาม มาสมรส มาอยู่กัน มันก็เป็นลูกที่เพิ่มขึ้นมาในครอบครัวแล้วก็ดูแลให้มันดี ให้มันสำหรับที่มันจะเป็นคู่สมรสที่ดีต่อกันและกัน คงจะมาจากไอ้ความนิยม ไอ้ความเป็นพรหมจารีที่สุด คือไม่ให้เด็กสูญเสียพรหมจารีก่อนการสมรส
คำถาม อาจารย์ครับในเมื่อ ในเมื่อการสืบพันธุ์นี่ หรือว่าการรวมกันนี่เป็นหน้าที่ทางธรรมชาติ ทีนี้ในแง่ของพระอริยะเจ้านี่จะสามารถกระทำหน้าที่นี้ได้อย่างไรโดยที่ โดยที่ไม่ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับ
ท่านพุทธทาส ไม่อะไรนะ
คำถาม โดยที่ไม่มีส่วนของกามารมณ์มาเคลือบคลุมด้วยครับ คือเป็นภารกิจล้วน ๆ ได้อย่างไรครับ
ท่านพุทธทาส อ๋อ, ไอ้นั่นมันเป็นเรื่อง คือว่ามันไม่มากเหมือน เหมือนคนธรรมดาก็แล้วกัน ที่จะไม่รู้สึกเลยนั้นมันคงจะเป็นไปไม่ได้ แต่เขา เขาต้องรู้ว่าอันนี้ไม่ใช่เพื่อความลุ่มหลง ในความรู้สึกทางกามารมณ์มันเป็นสัญชาตญาณ มันรู้สึกได้ มันก็รู้สึกได้แต่ไม่หลง ไม่ลุ่มหลง ไม่เกิดเป็นค่าจ้างอะไรขึ้นมา แล้วก็เป็นพระอริยะเจ้าขั้นต้น ๆ ไม่ใช่พระอรหันต์นะที่พูดนี้ อย่าเอาไปเกี่ยวกับพระอรหันต์ เอาแต่ว่าไม่ลุ่มหลงกามารมณ์ เป็นถึงกับว่าเป็นหลับหูหลับตา เพราะว่าเขามุ่งหมายจะควบคุมกามารมณ์ มนุษย์สมัยปัจจุบันนี้จะส่งเสริมกามารมณ์คือจะไม่ลดฤทธิ์ที่ร้ายของกามารมณ์ เขาจะส่งเสริม สมัยก่อนเขาต้องการจะควบคุม พวกยิวมีวิธีลดความรู้สึกทางกามารมณ์ทั้งฝ่ายเด็กหญิงและฝ่ายเด็กชาย เคยอ่านพบในเรื่องของพวกยิว วัฒนธรรมยิว
คำถาม อาจารย์ลองขยายคำว่าความรักที่บริสุทธิ์
คำตอบ ความรักที่บริสุทธิ์คือความต้องการที่จะรวมกำลังแต่ไม่ใช่เพื่อกามารมณ์ ไม่เอากามารมณ์มาเป็นไอ้แรงกระตุ้นเพราะว่าไอ้ความรักซึ่งกันและกันนั้นมันไม่เป็นอันตราย มันเป็นทางแห่งสันติภาพ เอาเรื่องบิดามารดารักลูก เอาเรื่องเพื่อนรักเพื่อนอย่างนี้ไปก่อน แล้วก็ดึงเข้ามาหาไอ้ ไอ้ความรักชนิดที่มีกามารมณ์ ให้รู้ว่ามันต่างกันที่ตรงไหน แล้วอันไหนมันร้อน เป็นเรื่องร้อน เราไม่ต้องการจะร้อน มันต้องมองเห็นเสียก่อนว่าไอ้เรื่องกามารมณ์นี้เป็นเรื่องธรรมชาติ มันหลีกไม่พ้น มันต้องเข้ามา ทีนี้เราจะต้อนรับมันอย่างที่ไม่ ไม่ ไม่เป็นไอ้ความร้ายกาจ ความไอ้ที่ทุกข์ทนทรมานบาปกรรม เหมือนกับว่ามีบาป มองอีกทีหนึ่งก็เห็นว่าถ้าไม่มีเรื่องกามารมณ์ ไม่มีการสืบพันธุ์จะไม่มีสิ่งที่มีชีวิตเหลืออยู่ เดี๋ยวนี่จะไม่ ไม่มีสิ่งที่มีชีวิตเหลืออยู่มาจนถึงบัดนี้ นั่นคือค่าจ้างของธรรมชาติ ทำให้สัตว์มีการสืบพันธุ์ มีสัตว์เหลืออยู่จนกระทั่งวันนี้ และจะมากขึ้น ๆ มองดู ดูด้านหนึ่งมันก็เป็นพระเจ้าจริงเหมือนกัน ความรู้สึกทางกามนี่ คือมัน มัน มันบังคับได้ทุกอย่าง มันดลบัลดาลได้ทุกอย่าง เหมือนคำอธิบายของ Sigmund Freud ทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ ทำได้ทุกอย่าง เรื่องที่จะพูดเอาเปรียบว่าไอ้ความผลักดันของกามารมณ์ เมื่อเห็นโทษอันร้ายกาจของกามารมณ์แล้วก็ออกไปบวชหรือเป็นพระพุทธเจ้าไปเลยก็ได้ ก็มองเห็นความเลวร้ายของกามารมณ์ เพราะกามารมณ์เป็นเหตุให้ทำชนิดที่ตรงกันข้ามกันก็ได้ ไม่มีอะไรที่ไม่เนื่องอยู่กับความผลักดันของความรู้สึกทางกามารมณ์ ไม่ทางตรงก็ทาง ทาง ทางอ้อมคือว่าตรงกันข้าม แล้วไอ้หลักธรรมะของศาสนานี้ไม่ ไม่ใช่ต้องการจะมาหาอะไรกับเรื่องนี้เกินกว่าที่ว่าจะควบคุมมัน อย่าให้มันเป็นทุกข์ อย่าให้มนุษย์ต้องเป็นทุกข์ เรื่องสมรสนี่ศาสนาคริสต์เตียนเขาสรรเสริญมาก เน้นมาก ต้องมี ต้องทำ ถือเป็นบุญ เป็นการสนองประสงค์ของพระเป็นเจ้าไปเลย มนุษย์ต้องมีการสมรส แต่ก็เน้นในข้อที่ว่าอย่าให้มันเกิดเป็นไอ้เรื่องเลวร้ายขึ้นมา อย่าเอามาเป็นทั้งหมดของชีวิต นี้คนบางคนเขาเอาเรื่องกามารมณ์เป็นทั้งหมดของชีวิตเลย มันมากเกินไป
คำถาม อาจารย์ครับอย่างที่ชาวต่างประเทศในปัจจุบันนี้ทั้งในยุโรปและในอเมริกานี่ เขามีทัศนะใหม่อันหนึ่งที่เรียกว่าการแต่งงานในทัศนะใหม่ การแต่งงานในทัศนะใหม่ที่ว่านี่ เขาจะเปิดโอกาสให้ชายหญิงนี่มา มีใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ทีนี้การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันนี่ ชายหญิงคู่นั้นนี่เขาก็จะพิสูจน์ หรือจะลองทบทวนดูว่าการใช้ชีวิตของเขานี่มี ถ้าจะใช้คำอย่างที่ท่านอาจารย์พูดก็คือสมรส ถ้าหากว่าเขามีรสชาติอย่างเดียวกันนี่ เขาก็จะอยู่ร่วมกันต่อไป ถ้าเขามีรสชาติที่ต่างกันนี่ เขาก็จะแยกจากกันไปโดยที่ไม่ได้มีความเกลียดชังกันนี่ ในการแต่งงานในทัศนะใหม่นี่ ท่านอาจารย์มีความเห็นอย่างไรครับ
คำตอบ เขาก็พยายาม ขอให้เขาพยายามให้รสมันเสมอกัน ให้รสมันเหมือนกัน ถ้าเห็นว่ามันไม่เหมือนกันไม่เสมอกัน ก็ทำให้มันเหมือนกันหรือเสมอกัน เขาจะอยู่กันตลอดไป ไม่ต้องหย่ากัน แล้วก็ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย ๆ มันเป็นสิ่งที่ทำได้ จิตใจมันเป็นสิ่งที่ปรับปรุงได้ด้วยการศึกษา ด้วยการพยายาม อย่าให้มันเป็นเรื่องลำบากมากมายนัก เดี๋ยวนี้เขาจะ จะหย่ากันหัวเดือนท้ายเดือน หัวปีท้ายปีแล้ว คนสมัยนี้
คำถาม ถ้าอย่างนั้นการที่เขามาลองมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันสักระยะหนึ่ง แล้วก็เกิดมีรสชาติไม่ตรงกันแล้วแยกจากกันไปนี่ ถ้าหากมีกรณีอย่างนี้มากขึ้น ๆ นี่ เอ้อ, มัน มันจะไม่เป็นการทำลายศักดิ์ศรีหรือคุณค่าของความเป็นมนุษย์ลงไปหรือเปล่าครับ
คำตอบ มันก็ดูเอาเองสิ ดูเอาเองสิ ถ้าว่ามัน มันเป็นเรื่องที่ปล่อยตามความรู้สึกของกิเลสมาก แล้วไม่ทันไรก็จะต้องวินาศกันหมด แล้วมันเป็นข้อแก้ตัวให้ทำอย่างอื่นสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้น มันไม่ยุติ ไอ้ ไอ้การ ไอ้ความคิดที่มันไม่ซื่อตรงต่อธรรมชาตินั้นมันไม่ยุติ มันไปขึ้นอยู่กับปัญหาที่ว่าเกิดมาทำไม ไม่ค่อยสนใจกัน เกิดมาทำไม ถ้าเกิดมาเพื่อกามารมณ์ มันก็ไป ก็หาทาง หาทางออก หาทางเดินไปอย่างที่ประหลาด ๆ เหมือนกับที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ ถ้าเกิดมาเพื่อสันติสุขก็สงบเยือกเย็นแล้วก็ ก็มีทางไปอีกทางหนึ่ง
คำถาม อาจารย์ครับในเมื่อการสืบพันธุ์นี่เป็นภารกิจตามธรรมชาติครับ ไม่ ไม่ทราบว่าพระอรหันต์นี่สืบพันธุ์หรือเปล่าครับ แล้วก็ถ้าพระอรหันต์ไม่สืบพันธุ์นี่เป็นเพราะเหตุใดครับ
คำตอบ อ๋อ, มันไม่ ไม่เกี่ยวกันกับพระอรหันต์ เป็นผู้ที่มองเห็น มองเห็นอย่างที่ว่านี่ อย่างที่ว่าไม่ ไม่ยอมรับค่าจ้าง การสืบพันธุ์คือการกินค่าจ้าง รับค่าจ้างด้วยอวิชชา ไปทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ ไม่เห็นมันลำบากไม่ยุ่งยาก คือเห็นไอ้ ว่ามันเป็นอย่างนั้นตามธรรมชาติ ไม่น่ารัก ไม่น่าพอใจ ก็อยากอยู่นิ่ง ๆ ไม่อยากจะยุ่ง วันนี้ต้องขอปิดประชุมเร็วหน่อย มันมีธุระอะไรบางอย่าง เอาล่ะ, ต้องขอปิดประชุม ไปวิจารณ์กันเอง ไปวิจารณ์กันเอง ทุกคนมีปัญญา