แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านพุทธทาสภิกขุ : มีปัญหาอย่างไรบ้างล่ะ มีปัญหาอย่างไร หรือว่าจะให้พูดเรื่องอะไร
ดีแล้วนะ พอ (เสียงหวีดฟังไม่ชัด นาทีที่ 0:59) ดีพอแล้ว พอ
มีไหม ใครมีปัญหาจะถาม หรือว่าจะให้พูดเรื่องอะไร เอาเรื่องอะไรมาพูดวิจารณ์กัน
นวกะ : อาจารย์ครับ ผมอยากจะให้ท่านอาจารย์อธิบายเรื่อง พุทธศาสนานิกายมหายานกับหินยาน มันแตกต่างกันอย่างไร แล้วก็เกี่ยวข้องกับประเทศไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบันนี้อย่างไรบ้าง นี้ผมอยากจะทราบรายละเอียดซึ่งคิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนนวกะ แล้วก็ผมอยากนำเรื่องเหล่านี้ไปเผยแพร่กับนักเรียนและผู้ที่สนใจต่อไปครับ เป็นพระคุณอย่างสูงครับ
ท่านพุทธทาสภิกขุ : ถ้า ถ้าตั้งปัญหาว่า มหายานกับเถรวาท หรือมหายานกับหีนยาน เดี๋ยวนี้เขามักจะพูดกันอย่างนั้น เพราะพวกมหายานเขาเป็นคนบัญญัติ บัญญัติคำว่ามหายาน มันก็เลยคู่กับหีนยาน หินยานหรือหีนยาน ในครั้งพุทธกาล อ๊ะ, ไม่ใช่ครั้งพุทธกาล ครั้งโบราณ ไอ้ หลังพุทธกาลเล็กน้อย เกิดแตกกันขึ้นนั้น ไม่เคยเรียกว่า มหายาน หรือ หินยาน เขาเรียกกันแต่เพียงว่า “เถรวาท” กับ “อาจริยวาท” เมื่อแรกแตกกันทีเดียว เรียกกันมาอย่างนี้
“เถรวาท” หมายถึง พระเถระรุ่นแรกที่ได้รวมกันทำสังคายนา ยุติไว้ว่าอย่างไรของสงฆ์หมู่นั้น ห้ามเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัดทอนอะไรหมด แม้ว่าพระพุทธเจ้าจะทรงอนุญาตให้ ให้ยกเลิกสิกขาบทบางข้อได้ก็ไม่เอา นี่พวกเถรวาท เพราะถือตามมติกรรมของพระเถระที่ได้ประชุมกันเป็นครั้งแรก
ทีนี้ ครั้นพวกนี้เขาตั้งหลักกันอย่างนี้แล้ว ก็มีพวกอื่น บางพวก บางคน บางคณะ เขาไม่ยอมรับ เขาก็อธิบายเอาตามความรู้ความพอใจของเขา หรือของคณะของเขา มันก็แปลว่าเริ่มมีอะไรที่ไม่ตรงกับคณะเถรวาท คณะแรกคณะศูนย์กลางที่สุด พวกนี้ก็เรียกกันมาตอนหลังว่า “อาจริยวาท” ในคัมภีร์อรรถกถาก็มีพูดถึงคำนี้บ้างเหมือนกัน คือเป็นมติของอาจารย์บางพวกที่ไม่ยอมรับมติมหาเถรที่ได้เข้าร่วมประชุมกันครั้งแรก มันก็เลยแบ่ง (นาทีที่ 5:26) เป็นสองพวก พวกเถรวาท กับ พวกอาจริยวาท ไอ้ในชั้นแรกมันก็เล็ก ๆ น้อย ๆ ข้อแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ถึงกับว่าถ้าเดินคนละทางนะ แต่มันก็เริ่มยึดถือความคิดของตัว ของพวกตัวขึ้นมาแล้ว
ทีนี้ต่อมา เมื่อการศึกษามันเกิดเปิดเป็น คือ พ.ศ. ราวพันกว่าปีมันมีการศึกษาที่จัดขึ้นในประเทศอินเดีย ในรูปแบบที่เรียกได้ว่า มหาวิทยาลัย มีชื่อเสียงมาก คนไปจากประเทศต่าง ๆ ไปเรียนที่นั่น ที่ประเทศอินเดีย ที่เขาเรียกกันว่า ยุคนาลันทา, โอทันตบุรี และอีกสามสี่ชื่อ ที่สำคัญ ๆ ทั้งนั้น ยุคนี้ถึงกับแต่งสูตรขึ้นใหม่เลย จะเริ่มใช้คำว่า มหายาน กันขึ้นมาแล้ว ยุคนี้ แต่งสูตรขึ้นมาแล้วก็ได้บรรจุในพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าเหมือนกันแหละ คือสูตรนั้นก็จะเขียนว่าเมื่ออยู่กันที่นั่น พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่าอย่างนั้นอย่างนั้นอย่างนั้นเลย นี่พวกมหายานเริ่มเกิดขึ้น แสดงบทบาท อธิบายอะไรให้มันทันสมัยกว่า เหนือกว่า สูงกว่า อะไรกว่าของเดิม ๆ เขาคงจะหมายถึงข้อนี้ คือข้อที่เขาทำได้ดีกว่า เหนือกว่า สูงกว่า เขาจึงใช้คำว่ามหายาน สูตรของมหายาน บางสูตรชื่อว่า มหายานสูตรก็มี โดยรายละเอียดเขาก็เขียนกันไว้มาก หนังสือของนายเสถียร โพธินันทะ อธิบายเรื่องนี้มาก สนใจโดยรายละเอียดก็ไปหาดู อยู่กันเป็นร้อยปี สองร้อยปี กว่าจะสูญสิ้นไปที่นั่นตั้งสามร้อยปี ไอ้สำนักศึกษา รวมกลุ่มใหญ่ที่เรียกว่า กลุ่มนาลันทา รู้กันทั่วเอเชียอาคเนย์ไปเรียนกันที่นั่น จากเมืองจีนก็มาก ทั้งสูตรยาว กว้างขวางละเอียดลออแปลก ๆ เช่น สัทธรรมปุณฑริกสูตร เป็นต้น นี่ก็ถือว่าเป็นสูตรชั้นดีที่สุดของเขา
มีเรื่องอธิบายแตกแยก ไกลออกไปยิ่งกว่าพวกอาจริยวาท ที่มีการแตกแยกจากเถรวาทแต่เพียงเล็กน้อยนี่นะ มหายุ่น มหายาน นี่เขาไปกันไกลกันใหญ่เลย แล้วก็ยกตัวขึ้นสูงกว่า เหนือกว่า สูตรบางสูตรเขาแต่งขึ้นมา จนเอามาเพื่อทำให้พระมหาเถระ อย่างพระสารีบุตรนี่กลายเป็นคนโง่ไปเลยก็มี เช่น วิมลกีรติสูตร อย่างนี้เป็นต้น เยอะแยะ คือว่าประมาณสูตรใหญ่ ๆ มีสามสี่สิบสูตรเห็นจะได้ กระทั่งสูตรยาวอีกสูตรหนึ่งนี่เรียกว่า ลังกาวตารสูตร เขาไปสอน ว่า ว่าจะไปสอน ใช้สอนพวกลังกา สูตรนี้ตอน ตอนปลาย ๆ สูตร ตอนสุดท้ายนี่เน้นเรื่อง ไม่ฉันเนื้อ พูดดีมาก ลังกาวตารสูตร ตอนปลายที่จะพูดก็ไม่ให้กินเนื้อ เขาก็พูดกับพวกยักษ์ ที่ลังกาโน่นเขาเรียกว่า พวกราวณะ ราวณะ คือพวกทศกัณฐ์โน่นแหละ ไอ้ชาติพันธุ์ของพวกนี้เขาเรียกว่า ราพณ์ ราพณะ ราวณะ เขียนเป็นบาลีมัน ราวณะ ราพณะ เออ, ตรงนี้ขอแทรกไอ้ความรู้เรื่องภาษาสัก สักคำหนึ่ง ที่คุณได้ยินว่า ปราบให้ราพณาสูร เอาให้มันราพณาสูร นั้นเป็นคำพูดที่ผิด ไปเอาคำนามมาใช้เป็นกริยาวิเศษณ์ ราพณาสูร มันหมายความว่าพวกอสูรที่มีชื่อว่า ราพณะ พวกทศกัณฐ์นั่นแหละ มันเป็นพวกอสูรที่มีชื่อว่า ราพณ์ ราพณะ ทีนี้พอพระรามยกทัพไปปราบพวกราวณะอสูร ที่เรียกว่า แพ้แหลกลานไปเลย มันเกิดเป็นคำกริยาวิเศษณ์ขึ้นมา ในเมืองไทยนี่พูดกันผิด ๆ ว่าราพณาสูร ตอนนี้กูฆ่ามันราพณาสูรเลย ไอ้คำนั้นเป็นคำนาม คำนามนาม ชื่ออสูร แต่เขามาใช้เป็นกริยาวิเศษณ์ว่า ฆ่าไม่มีเหลือ เอากันราบเรียบวุธไปเลย ราพณาสูร พวกราวณะนี่เขาอยู่กันที่ลังกา ในคัมภีร์ตำราลังกานั้น พระพุทธเจ้าได้ไปถึงลังกา สองหรือสามครั้งกระมัง ทรงชอบเสด็จไปเองที่ลังกา พวกลังกาเขาก็เขียนว่าอย่างนั้น ในพงศาวดารลังกาของเขา ที่เรียกว่า ทีปวงศ์ ลังกาวงศ์ อันนี้ มหาวงศ์ คัมภีร์ของลังกาเขียน พระพุทธเจ้าได้ไปที่ลังกา แต่สูตรนี้เชื่อว่าแต่งขึ้นที่อินเดียยุคมหา ยุคมหายานน่ะ ยุคนาลันทา แต่มันน่าแปลกที่สุดคือว่า ทุกสูตรเลยที่มหายานเขาแต่งขึ้น เขาจะเน้นแต่เรื่องเบญจขันธ์เป็นอนัตตา คือหัวใจของพุทธศาสนานั่นเอง ทุกสูตรจะเน้นเบญจขันธ์เป็นอนัตตา ทุกสูตรเลย แต่จะแถมพกด้วยเรื่องนั้นเรื่องนี้เรื่องโน้นประกอบนั้นก็ มันก็มีเป็นธรรมดา แต่ว่าเนื้อหาของสูตรแล้วก็จะเป็นเรื่องของ อ่า, เบญจขันธ์เป็นอนัตตา ที่เรียกว่า มหาปารมิตาหฤทัยสูตร อันยืดยาวไม่รู้กี่ร้อยหน้าพันหน้าก็เน้นแต่เรื่องนี้ เบญจขันธ์เป็นอนัตตา นี่มหายานก็ได้เกิดขึ้นในฐานะที่ว่าเขาพูดเก่ง เขาอธิบายเก่ง เขาอธิบายได้มากกว่า แล้วเขาทำจนกระทั่งว่า ไอ้แบบเถรวาทสูตรสั้น ๆ ง่าย ๆ นี้เป็นของเด็กอมมือไปเลย ถ้าไปเทียบกับไอ้สูตรมหายาน เขาก็จะเริ่มเรียกฝ่ายนี้ว่า หีนยานกัน ตั้งแต่ ตั้งแต่ยุคนี้ ยุคนาลันทา หีนยาน แปลว่า ต่ำหรือเลว แปลว่าไม่เหมาะสำหรับคนมีปัญญา หีนยาน คือเถรวาทนี้ไม่เหมาะสำหรับคนมีปัญญา สู้มหายาน อาจริยวาทไม่ได้ หลักแหลมลึกซึ้ง กว้างขวางมากมาย นี่ก็เป็นมหายานขึ้นมา
ทีนี้ของอย่างนี้มันก็เป็นธรรมดาอยู่เองนะที่ว่า จะต้องมีคนชอบ คนที่มีสติปัญญาเขาชอบของอย่างนี้ จึงแพร่หลายไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ประเทศทิเบต ประเทศทิเบตเขาหลงใหลในไอ้เรื่องพระคัมภีร์ใหม่มหายานนี้มาก ทุกสูตรถ้าแต่งขึ้นแล้วก็จะต้องไปทิเบตทั้งนั้นแหละ เป็นสันสกฤตไปทิเบต เป็นสันสกฤตไปทิเบตทุกสูตร สูตรเล็ก สูตรน้อย สูตรใหญ่ สูตรยาว สูตร ถ้าว่าแต่งขึ้นทีแรกนี่เป็นตัวบทนี่เขาเรียกว่า สูตร แต่ถ้าเป็นคำอธิบายที่เราเรียกกันว่า อรรถกถา นั่นเขาเรียกว่า ศาสตร์ เรียกว่า ศาสตร นี่คือศาสตร์ หรือสิทธิศาสตร์ ถ้าตัวบทขึ้น เอวัมเม สุตัง (นาทีที่ 17:00) เป็นข้อความ เป็นขั้นแรกก็เรียกว่า สูตร เหมือนกัน ทีนี้คำอธิบายนี่เขาทำเอาไว้ยืดยาวดี สำหรับสูตรในนั้นเขาเรียกว่า สิทธิศาสตร์ สิทธิศาสตร์ กว้างขวางมากมายไอ้ ไอ้ยุคคัมภีร์มหายานนี้ “อติสะทีปังกะระ” หรืออีกชื่อเรียก “อารยานะ” “ศรียานะ” (นาทีที่ 17:21) ที่ในอะไร ตำนานเขียนว่า พระเจ้าแผ่นดินฝ่ายทิเบต ต้องเอาทอง ทองคำหนักเท่าตัวอาจารย์มาให้สำนักในอินเดีย สำนักนาลันทา กลุ่มนั้นแหละ แล้วก็เอา เอาตัวอาจารย์นี้ไปทิเบต ดังนั้นสูตรมหายานทั้งหลายที่เป็นสันสกฤต มันแปลเป็นทิเบต แปลเป็นทิเบต มากที่สุด จนกระทั่งไอ้ที่เป็นตัวสันสฤตเดิมสูญ เหลือแต่ทิเบต เหลือแต่ทิเบต เดี๋ยวนี้ก็เหลืออยู่มาก เขากำลังแปลกลับกันอยู่บ้าง พระที่เคยอยู่ที่วัดเรา เอ่อ, ปาสาติโก (นาทีที่ 18:35) พระเยอรมัน ก็กำลังทำงานนี้ แปลสูตรที่เหลืออยู่แต่ภาษาทิเบตกลับเป็นภาษาสันสันสกฤต ไม่ต้องแปลเป็นอังกฤษเลย เมืองจีนก็ไปในยุคยวนชาง ฮวนจาง ฮ่วนเจียง ถังซัมจั๋ง (นาทีที่ 18:57) แถวบ้านเรียกถังซัมจั๋ง ฮ่วนเจียง ยวนชาง นั้นก็ไปเรียนที่นั่น เช่นที่นาลันทา และองค์อื่น ๆ อีกมากก็ไปเรียนที่นาลันทา ถ้าจะว่าทางแหลมมลายูนี้ก็มีบ้าง ไอ้เรื่องเบ็ดเตล็ดมีว่าพระเจ้าแผ่นดินภารปุตร (นาทีที่ 19:23) แห่งสุวรรณภูมินี่ก็ส่งเงินไปช่วย สุวรรณภูมิหมายความบ้านเรานี่ แถบอินดือ อินโด อินโดจีนนี่ ตรงไหนก็รู้ไม่ได้ รู้ว่าตั้งแต่แผ่นดินใหญ่ลงมาปลายแหลมมลายู ส่งเงินไปช่วยที่นาลันทา เขาจารึกแผ่นทองคำไว้ที่นั่น เขาขุดพบกันตอนหลัง ๆ นี่แสดงว่า เขาเกี่ยวข้องกันมาถึงนี่ ถึงเอเชียอาคเนย์นี่ การศึกษามันแพร่หลายมาก พระเจ้าแผ่นดินสนับสนุนมาก แล้วก็ชอบกันมากขึ้น เพราะเป็นของใหม่ แปลก เข้มข้น รุนแรง ก็แพร่หลายในอินเดีย ไอ้ของเราอย่างที่เราเรียนกันอยู่เดี๋ยวนี้ที่เรียกว่า เถรวาท นี่นะมันก่อนหน้านั้น แล้วมันก็ได้ไปตั้งรกรากอยู่ที่ลังกา ลงไปทางอินเดียใต้ ลงไปลังกา ที่ตามตำนานว่า พระเจ้าอโศกมหาราชส่งพระเถระ ไปเที่ยวเผยแผ่ไว้ที่นั่นที่นี่กระทั่งมาที่สุวรรณภูมิ นั่นน่ะยุคเถรวาท ยุคนั้นยุคเถรวาท ยุคนั้นยังไม่ค่อย ยังไม่มีมหายาน
พ.ศ.สามสี่ร้อยนี่ที่เถรวาทแพร่ออกไปทั่วแผ่นดินนี้ พ.ศ.พันสองร้อยสามร้อย ตอนนี้ที่ว่ามหายานเขาเกิดขึ้นแล้วแผ่ไปทั่ว แล้วส่วนใหญ่มันไปทาง ทาง ทาง ทางเหนือ คือไปทางทิเบตนั่นแหละ ทิเบตเป็นรังใหญ่ เป็นไอ้ฐานทัพใหญ่ของมหายาน ส่วนเถรวาทเรานี้ขึ้นไปไม่ได้ พวกทิเบตไม่เอา อย่างของเรานี้พวกทิเบตไม่เอา มันก็ลงมาทางใต้ ก็เลยเรียกว่า นิกายใต้ มหายานเรียกว่า นิกายเหนือ ขึ้นไปทางเหนือ เหนืออินเดียนะ เถรวาทเราก็ลงมาทางใต้ นี่คือ เกิด เกิด เกิดชื่อขึ้นมาอีกคู่หนึ่งว่า นิกายเหนือ นิกายใต้ อุตรนิกาย นิกายเหนือ มหายาน ขึ้นไปเหนือ ไปทิเบต ไปเมืองจีน ตั้งแต่สมัยนาลันทา แล้วเถรวาทเราแต่ก่อนนั้นก็มาอยู่ทางใต้ มาหารกรากกันอยู่ทางใต้แล้ว ก็เรียกว่าพวกใต้ พวกที่ถือใต้ก่อนแล้วก็มาใช้มั่นคงอย่าง อย่างลังกานั้น ไม่ค่อยยอมเปลี่ยน มหายานเข้าไปได้ยาก ลังกาถึงแน่นแฟ้นด้วยเถรวาทอยู่มาจนกระทั่งทุกวันนี้ ร่องรอยของมหายาน ของพุทธศาสนามหายานในลังกานั้นไม่ค่อยมี มีแต่ร่องรอยของเถรวาท ทีนี้ไอ้ที่พระเจ้าแผ่นดินในอินเดีย ที่เขามาแสวงหาเมืองขึ้น หาอะไรกันทางนี้ หรือพ่อค้าวาณิชมากันทางนี้ ที่เรียกว่าทางเอเชียอาคเนย์นี่ พวกนี้เอาพุทธศาสนาอย่างมหายาน ร่องรอยของมหายานจึงมีที่สุวรรณภูมินี้เข้าใจ เข้าใจว่าเป็นจุดศูนย์กลาง ก็ขึ้นไปถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยาเลยขึ้นไปถึงเขมร นี้มหายาน แล้วทางใต้มันก็ลงไปเรื่อยไปจนแหลมมลายู ไปสุมตรา ไปชวา ไปบาหลี นี่ของมหายาน นี้มันตอนหลัง มหายานมา มารุกเนื้อที่ทางใต้ เต็มที่เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่มันไปรุกเอาทางเหนือหมดแล้วมันยังมารุกเอาทางใต้ถึงขนาดนี้ พุทธศาสนาอย่างมหายานมีซากร่องรอยเหลืออยู่มาก ถ้าพระเจดีย์เป็นรูประฆัง รูประฆังมียอด ระฆังคว่ำมียอดนั่นคือลัทธิเถรวาท ถ้าเป็นพระเจดีย์ชนิดที่มีกลีบมาก มีแฉกมาก มียอดมาก ๆ นี่นะ พระเจดีย์ฝ่ายมหายาน เมื่อพวกมหายานเขาเกิดขึ้นทีหลังแล้ว เขาก็ไม่ชอบพระเจดีย์แบบของพวกเก่า ซึ่งมันง่ายเกินไป เพราะว่าในคัมภีร์ในอรรถกถามันเขียนว่าพระเจดีย์ก็คือว่า เอาบาตรคว่ำลงแล้วก็เอาผ้าไตรพับพับพับ วางบนก้นบาตรที่คว่ำแล้ว แล้วก็เอาธมกรกวางบนนั้นอีกที ธมกรกกรองน้ำตัวแหลม มันเข้ารูปกันเลย ไม่รู้จริงเท็จแต่มันมีเขียนไว้อย่างนั้น นี่คือพระสถูป เรียกว่าพระสถูป ของฝ่ายเถรวาท ดังนั้นเจดีย์เถรวาทโดยเฉพาะที่อินเดียเป็น เออ, ที่ลังกาเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ที่ในอินเดียไม่ ไม่มี ไม่พบ ที่ลังกา ที่บ้านเรา ที่ตรงไหนเคยเป็นเถรวาทแล้วจะมีพระเจดีย์แบบนี้ แม้ที่นครปฐมนั้นน่ะ องค์ข้างในก็เป็น เป็นแบบ แบบอย่างที่ว่า แต่ว่าไอ้ ไอ้ส่วนที่สูงที่คล้ายระฆังมันลดต่ำลงมามาก จนคล้าย ๆ กับว่าเอาทะ เอาเอาเอากระทะ กระทะลึก ๆ หน่อยคว่ำเข้า แล้วก็มียอดขึ้นไปบนหลังกระทะ ท้ายกระทะนั่นแหละถือเป็นเจดีย์แบบเถรวาทแบบโบราณ นครปฐมองค์ข้างในเขาว่าอย่างนั้น ที่เขาถือว่ามีจำลองอยู่ข้าง ๆ องค์หนึ่งทำอย่างนั้นแหละ ก่อนแต่ที่เขาจะมาครอบให้ใหญ่อย่างเดี๋ยวนี้ เขาได้จำลององค์เก่าไว้ให้ดูอยู่ข้าง ๆ นั้น เขาเชื่อกันอย่างนั้น หรือมิฉะนั้นก็ให้ไปดูองค์ที่เรียกว่าพระประโทน ไอ้ฐานสี่เหลี่ยมข้างล่างมันคล้าย ๆ กับไอ้บาตรคว่ำ กระทะคว่ำ แล้วก็มียอดคล้าย ๆ กับปรางค์พุ่งขึ้นไป นี่มันเป็นพระเจดีย์แบบเถรวาท ซึ่งเขาเรียกกันมาแต่เดิมว่า สถูป เรียกตามสันสกฤตว่า สถูป ถ้าเรียกเป็นบาลีเฉย ๆ ก็เรียกว่า ถูป ถูปเฉย ๆ ถูปะ ถูปะ คำว่าถูปะนี้แต่ก่อนมันใช้เป็นชื่อกองดินเหนือหลุมฝังศพ พระเจดีย์ของเถรวาทก็ไปเอาแบบกองดินเหนือหลุมฝังศพนั่นแหละมาใช้ เขาพูนดินสูงขึ้นบน บนหลุมศพแล้วก็ใส่ยอดใส่อะไรนิดหนึ่งเรียกว่า สถูป ทีนี้ฝ่ายมหายานเมื่อเขาเกิดขึ้น เขาไม่ชอบเจดีย์แบบนี้ เขาก็จะถือว่าเป็นของคนโง่หรืออะไร คือมันง่าย หรือมันเก่า หรือมันอะไร มันครึคระโบราณ เขาไปรับเอาแบบของฝ่ายพราหมณ์มา เขาไม่เรียกว่าสถูป เพราะเขาไม่อาจจะเรียกว่าสถูป เขาไปเรียกมันว่า สีขระ มกุฏสีขระ หรือสีขระ (นาทีที่ 28:25) คือสิงขร สิงขรภูเขา ซึ่งพวกฮินดูเขาสร้างขึ้นตามคติของเขา ว่าภูเขา นั่นน่ะภูเขาที่สุเมรุที่อยู่ของพระอิศวร เป็นภูเขาสูงขึ้นไปในฟ้าแล้วก็มียอดลด ๆ ลด ๆ ต่ำ ๆ ลงมาชั้นหนึ่ง แล้วมียอดลดต่ำลงมาอีกชั้น ๆ พวกเป็นชั้น ๆ ด้วยยอดแหลม ยอดมาก ๆ พระเจดีย์บุโรบุโด (นาทีที่ 29:01 บุโรพุทโธ) ที่ประเทศชวาสร้างตามคตินี้ คือมียอดมาก เรียกว่า สีขระ แปลว่ายอดภูเขา พระเจดีย์มหายานทุกแห่งที่มีในประเทศไทยเราก็ดี ขึ้นไปถึงทางเหนือ ลงไปแหลมมลายู ลงไปสุมาตรา ลงไปชวา ถ้ามันยังเหลืออยู่นะ มันจะเป็นหลายแบบหลายยอด ที่ดูได้ง่ายที่สุดก็คือ พระธาตุไชยา คุณไปดูเถอะ พระธาตุไชยามียอดเป็นชั้น ๆ นั่นแหละความหมายของคำว่า สีขระ สีขระ พระธาตุนครศรีธรรมราช เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนเป็นแบบเถรวาท แบบลังกา ตามที่กรมพระยาดำรงฯ ศึกษาและเขียนไว้ว่า เมื่อก่อนต้องอย่างเดียวกับพระธาตุไชยา ที่นครศรีธรรมราช เพราะของยุคเดียวกัน แล้วพอพวกลังการุ่นหลังนี่ พวกลังการุ่นหลังเข้ามา มาตั้งที่นครศรีธรรมราช พวกลังกาที่อยู่ในจารึกสุโขทัย ที่ว่าทุกคนลุกแต่ศรีธรรมราชมา บอกว่าพบ กว่าปู่ครูเมืองนี้ (นาทีที่ 30:22) ที่ ที่สุโขทัยนะ ที่จารึกอันนั้น นั่นแหละคือเขาขนเอาพระลังกาที่นครศรีธรรมราชเป็นภัยฟื้นฟูพุทธศาสนาใหม่ที่สุโขทัย ทีนี้พวกลังกาเขาก็เกลียดการกระทำ หรือลัทธิของมหายาน เขาก็เปลี่ยนพระสถูปที่ทรวดทรงสีขระเหมือนที่ไชยา กลายเป็นทรงลังกาเหมือนที่อยู่เดี๋ยวนี้ ที่นครศรีธรรมราชนั่นแหละพระเจดีย์องค์ใหญ่เป็นทรงลังกา แต่เชื่อว่าข้างใน องค์เดินข้างในจะเหมือนที่นี่ แล้วเผอิญมันมีเจดีย์เล็ก ๆ แต่ก็ไม่เล็กนักอยู่ ๆ แอบอยู่ข้าง ๆ นอกกำแพง ทำเป็นยอดเยอะแยะ สี่ยอดหลายยอดเหมือน ๆ ที่ เหมือนที่พระธาตุไชยานี่อยู่องค์หนึ่ง สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงเคยถามว่า นี่ เขา เขา เขามีแก่ใจทำไว้ให้ดูว่าองค์เดิมมันคือรูปร่างอย่างนี้ และต่อมาเขาก็พุ่มเป็นแบบระฆัง แบบลังกาไปเสีย คราวนี้มันมีเหตุผล เขาว่าสมัยที่นครศรีธรรมราชรุ่งเรืองที่สุดนั้นเป็นแบบมหายานเหมือนกัน สมัยศรีวิชัยสมัยเดียวกันที่ลอด (นาทีที่ 31:51) แหลมมลายูทุกอย่างเป็นแบบศรีวิชัย แบบสมัยศรีวิชัย พอไปถึงสุโขทัยก็ไปเป็นแบบลังกากันหมดเพราะ เพราะลังกาไปสอน แต่ที่ศรีวิชัย หรือมหายาน ศรีวิชัยมันขึ้นไปถึงไปถึงลพบุรี แล้วเลยเข้าไปในเขมร ในอะไรต่าง ๆ แล้วมันก็เป็นแบบมหายานหมด มหายานแบบที่ดูได้ง่ายที่สุดคือบุโรบุโด (นาทีที่ 32:23 บุโรพุทธโธ) พระเจดีย์นั้น ทำเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป มี มี มียอดล้อมรอบทุกชั้น ทุกชั้น ทุกชั้น กระทั่งชั้นกลางสุดมียอดเดียว มีร่องรอยที่แสดงให้เห็นว่าพุทธศาสนาอย่างมหายานนี่มันมาที่นี่อย่างไร บรรดาโบราณสถานที่มาทิ้งไว้เป็นรองรอยนี่ ปรากฏว่า พระเจดีย์ก็ดี รูปพระโพธิสัตว์อะไรก็ดี ที่อยู่แถวนี้ แถวกลาง ตรงกลางของแหลมมลายูนี่ มีลักษณะเป็นอินเดียมากที่สุด พอเหนือขึ้นไป ไปเขมรทางโน้นแหละ ไอ้เค้าอินเดีย ความเป็นอินเดียลดไป ๆ พอลงไปสุมตรา ชวา บาหลีนั้น เค้าความเป็นอินเดียก็ลดไป ๆ ฉะนั้นความเป็นอินเดียเข้มข้นอยู่ที่นี่ แถวนี้ อ้างตัวอย่างโพธิสัตว์พวกนี้ โพธิสัตว์อวโลกิเตศวรนี่ถึงยังสวยที่สุด ยังเป็นอินเดียที่สุด พอลงไปถึงไอ้ชวา บาหลีแล้วยิ่งก็จะดูไม่ค่อยได้ มันเป็นไอ้แบบพื้นเมืองปนเข้าไป ขึ้นไปถึงญวน เลย เลยเขมรขึ้นไปถึงญวน ญวนเหนือเมืองเว้ ที่นั่นมีซากโบราณสถานของสมัยศรีวิชัย มาที่เขมรนี้ก็มีมาก พอเข้ามาในเขตไทยที่ลพบุรีนั้นมีมาก ศรีมหาโพธิแถวนั้นก็มีมาก แล้วก็มีไอ้ตรง ตรงกรุงเทพนั้นมันยังเป็นทะเล มันไม่ค่อยมีอะไร ซากโบราณสถานเก่า ๆ แถวกรุงเทพ แถวนั้นยังเป็นทะเล กว่าทะเลจะขึ้นไปถึงปากน้ำโพ ที่ที่ว่าเก่ามากทีนี้ก็มามีที่ไชยานี้ที่มีมาก แล้วแต่ละชิ้นมีความเป็นอินเดียมาก แล้วก็นครสรีธรรมราชด้วย และเนื่องจากที่แหลมมลายูนี้มันมีโลหะมาก ดังนั้นเขาก็จะสร้างพระพุทธรูป สร้างโพธิสัตว์ สร้างอะไร เขาจึงหลอมด้วยโลหะ เช่นอย่างองค์นี้เป็นต้น ในอินเดียไม่ค่อยมีไอ้โลหะ ดีบุก ทองแดงไม่ค่อยมี เขาทำด้วยหิน หินสวย เวา เงาแว้ง นั่นแหละทำสวย แล้วเราก็ไม่มีหินอย่างนั้นก็ทำด้วยโลหะอย่างนี้ บางองค์เหมือนสวยดิก ผมเคยถ่ายรูปมา ไอ้อวโลกิเตศวรองค์นี้ถ้าไปต่อมือต่อขาเข้าไปแล้วก็จะเหมือนกับที่อินเดีย บางองค์ แต่เค้าหน้าเหมือนอย่างเป็นอินเดียเข้มข้น สวยงามมาก เขาเรียกกันว่าสมัยคุปตะ ปี พ.ศ. พันสองร้อยสามร้อยนั่นแหละอินเดียเขาเรียกว่าสมัยคุปตะ ศิลปกรรมสูงสุด ยุคทองของศิลปะในอินเดีย สมัยคุปตะ อวโลกิเตศวรองค์นี้เป็นแบบสมัยคุปตะ แต่ที่เมืองไทยเขาไม่ค่อยยอมรับ เขาว่าลายคุปตะหรือเจือปาละ คุณไปคุยกันนะ ไอ้พวกอาจารย์ใน ใน ใน ในพิพิธภัณฑ์ที่ศิลปากรนี้ ผมเอาไปอินเดียรูปหนึ่ง พอดึงจากย่ามเท่านั้นแหละ ทุกคนมาคุปตะ คุปตะหมดทั้ง ทั้ง ทั้งห้องในพิพิธภัณฑ์ที่สารนาถ ใจเดียวกัน มันรู้จักดี หรือมันเข้าใจกันดี อย่างที่เราไม่ต้องถาม แล้วมันประหลาดตื่นเต้นที่ว่า ทำไมถึงพบที่เมืองไทย ไอ้คุปตะสูงสุดอย่างนี้ว่าทำไมไปพบ พบที่เมืองไทย อวโลกิเตศวรองค์นี้เราจะถือว่าเป็นแบบคุปตะระดับสุดของอินเดีย ไม่ใช่เป็นแบบครึ่งปาละ คุปตะครึ่งปาละ เหมือนที่เขาสอนนักเรียนกันอยู่ในโรงเรียนศิลปากร โบราณคดี
เขาเชื่อกันว่าพุทธศาสนาอย่างมหายาน ที่นาลันทาน่ะ มันภาคกลางของอินเดีย มันลงไปทางใต้ มันลงมาทาง เออ, ภาคกลางแล้วมันลงมาทางใต้ มันเจริญอยู่มาก ฉะนั้นการที่มันจะมาไชยานั้นเพียงแต่ข้ามมาตรง ๆ ข้ามมาตรง ๆ ไชยา ตะกั่วป่า แล้วพุ่งตรง ๆ ไปนั่นแหละ ไปอินเดียนั่นแหละ แถวนั้นก็มีพุทธศาสนาอย่างมหายาน ถ้าไม่อย่างมันนั้นต้องมาจากทางเหนือโน่น คือทางไอ้พวกกัลกัตตาเดี๋ยวนี้ มันก็มีทางเหมือนกัน มาด้วยเรือ การเดินเรือจากประเทศอินเดีย มาฝ่ายนี้ ฝ่ายอาเชียอาคเนย์นี้คงมีมาตั้งแต่พุทธกาล ก่อนพุทธกาลก็ได้ พวกนักเสี่ยงโชคในอินเดีย พวก พวกเก่ง ๆ พวกฮีโร่ทั้งหลาย ก็มาหา หาเสี่ยงโชคทางนี้ทั้งนั้นแหละ ทางสุวรรณภูมิทั้งนั้น ได้เงินได้ทองมากกลับบ้าน เพราะที่นี่ทองหาง่าย ไอ้ที่เรียกว่าสุวรรณภูมินั้น ก็เพราะว่าแผ่นดินเต็มไปด้วยทอง แล้วพวกนั้นมาขนหมดตั้งแต่ครั้งกระโน้น เดี๋ยวนี้หายากนะ ไอ้ทองบ้านเรานี้ตั้งแต่ว่าเมืองนพคุณ เมืองอะไร ตลอดแหลมมลายูมาขนไปอินเดียตั้งแต่ครั้งกระโน้น ไปมากอยู่ที่อินเดีย ซึ่งไม่ค่อยมีทอง หาทองยาก แต่อินเดียกลับมีทองมาก เพราะว่าคนมา มาขนเอาไปเสียตั้งแต่พุทธกาลเรื่อย ๆ มา จน จนทองที่นี่หมด
ทีนี้พวกเหล่านี้ บางทีก็มาอย่างผู้มีความสามารถมาครองบ้านครองเมือง มาครองเมืองอย่างเมืองเขมร เมืองที่เขียนไว้ไม่รู้เมืองไหนบ้าง แต่ แต่เห็นได้ชัดว่า พวกอินเดียเข้ามายึดครองเมือง เช่น เมืองศรีวิชัย เมืองไอ้แถวรอบอ่าวบ้านดอนก็ดี ทางเขมรโน้นก็ดี ชื่อว่าโกณฑัญญะ ตั้งสองสามคน ชาวอินเดียที่มาเป็นเจ้าบ้านผ่านเมืองมาครองเมืองชื่อว่า โกณฑัญญะ น่ะมีตั้งสองสามคน แต่เขาเรียกกันแบบสันสฤตว่า เกาณฑิณยะ เกาณฑิณยะ (นาทีที่ 40:33) ดังนั้นพวกนี้ก็เอาพุทธศาสนา ไอ้อย่าง เอา เอา มหา พุทธศาสนาอย่างมหายานมา และยิ่งกว่านั้น ซึ่งผมก็เชื่อเพราะเห็นหลักฐานมั่งทุกทีว่า เขาก็เอาศาสนาฮินดู ที่ปฏิวัติใหม่แล้ว พัฒนาใหม่แล้วมาด้วยกัน คงเอามาให้ทั้งสองศาสนานั่นแหละ ข้อนี้เห็นได้ง่าย ไอ้วัดเก่า ๆ ไชยาอย่าง อย่างวัดพระธาตุนี้ก็ดี วัดไชยารามก็ดี วัดใหม่ท่าโพธิ์ก็ดี วัดอื่นๆ ก็ดี มันจะมีโบสถ์โบราณสถานของพุทธ แล้วทางทิศตะวันออกออกไปตรงหน้าจะมีโบสถ์อีกโบสถ์ของฝ่ายฮินดู ฝ่ายพราหมณ์ ไว้พระนารายณ์ก็มี ไว้ศิวะก็มี อย่างวัดพระธาตุ ตรงพิพิธภัณฑ์ตรงนั้นน่ะเป็นโบสถ์ โบสถ์พราหมณ์แต่ก่อน แล้ววัดไชยาราม วัดศาลาทึงน่ะ ถัดออกไปนอกรั้วรถนั่น (นาทีที่ 41:51) ที่จริง เดี๋ยวนี้เป็นบ้านคนแล้วตรงนั้นเขาเรียกว่า เรียกว่านัยรายณ์เหมือนกัน (นาทีที่ 41:55) โบสถ์พระนารายณ์ วัดใหม่ท่าโพธิ์ก็เหมือนกัน ตรงหน้าไปมีวัด มี มี มี มีโบสถ์โบราณสถานของฝ่ายฮินดู วัดอิฐวัดอะไรทางฝ่ายโน้น ผมไปดูแล้วมีทั้งนั้น ตรงหน้าทางทิศตะวันออกจะมีโบสถ์ฝ่ายฮินดู หรือว่าที่บาง บาง บางแห่ง บางอะไรก็เป็นของฝ่ายฮินดูล้วนก็มี ที่ตะกั่วป่าก็มีทั้งนั้นแหละ มีโบสถ์แล้วก็มี มีโบสถ์พุทธแล้วก็มีโบสถ์ฮินดู และยิ่งแน่นอนอีกก็เมื่อเขาขุดแต่งพระเจดีย์วัดแก้ว องค์ที่ องค์ใหม่ ๆ นี่ ไปดูเถอะ เขาขุด ขุดออก ขุดดินออก น่าดูไว้ ไอ้ในซุ้มกลางลึก ซุ้มใหญ่ ซุ้มกลางมีศิวลึงค์อยู่ด้วย มีฆเนศอยู่ด้วย มีพระฆเนศอยู่สองตัว มีศิวลึงค์อยู่หนึ่งอัน อยู่ในศูนย์กลางของพระเจดีย์นั่นแหละ ซึ่งเต็มไปด้วยพระพุทธรูป นี่แสดงว่า เขา เขาถือรวมกัน มันไปรวมอยู่ กันอยู่ โดยพระเจ้าแผ่นดินเขาถือว่า ไอ้เรื่องจะอยู่กันเป็นบ้านเป็นเมืองในโลกนี้ศาสนาฮินดูดีกว่า ถ้าจะไปนิพพานไปอื่นนั้นน่ะศาสนาพุทธ ฉะนั้นประชาชนเลือกเอาเอง ใครอยากจะไปนิพพานหรือว่าอยากจะอยู่กับพระเจ้า เป็นที่เชื่อได้ว่าพระเจ้าแผ่นดินเห็นประโยชน์อย่างนี้ จึงสนับสนุนทั้งสองอย่างพร้อมกัน กระทั่งเหลืออยู่จนทุกวันนี้ พระราชพิธีทั้ง ทั้ง พระราชพิธีทั้งหลาย มีทั้งพุทธและพราหมณ์แฝดกันอยู่เสมอ มันไม่ได้เป็นฆ่าศึกจนถึงกับว่าไม่ร่วมโบสถ์กัน เพราะผู้มีอำนาจเขาต้องการ นับถืออย่างลัทธิฮินดูมันง่ายนี่ มันอ้อนวอนขอเอาได้ ขอร้องอ้อนวอนบนบานอะไรก็ได้ ไม่มีลูกขอลูกก็ได้ มันก็ได้ มันได้ทุกอย่าง มันสะดวกสำหรับประชาชนทั่วๆ ไป แต่ถ้าเรื่องสละ หลุดพ้น นิพพาน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานี้มันได้แต่บางคน
นี่พูดถึงไอ้ความเป็นมา ประวัติโบราณวัตถุ โบราณสถานที่เหลืออยู่ให้เห็นเป็นอย่างนี้ เกิดในอินเดียขึ้นไปทิเบต แล้วกระจายไปเมืองจีน ไปเหนือ มหายาน แล้วต่อมาก็ ยุคหลัง ๆ มาอีก จึงมาแผ่ลงใต้ ก็กินหมดเลย พวกอินเดียไปถึงไหนพุทธศาสนาอย่างมหายานได้ไปถึงนั่นแหละ พวกอินเดียที่ ที่ ที่เป็นนักเสี่ยงโชค นักแสวงหาโชค มันคงจะเอาไปอวด ไปแลกเปลี่ยน ไป ไป ไปแสดงความมีอำนาจเหนือ ความเก่งกว่า แล้วเขา เขาเรียกกันว่า มหาอินเดีย Greater India พวกอินเดียไปอยู่ถึงไหน มัน มัน มันพลอยเรียกที่นั่นเป็นอินเดียไปเสียหมดเลย เพราะว่าไม่มีใครจะบังคับใครได้ มันไป มันไปอยู่อย่างเหนือกว่านี่ มัน มันตั้งชักชวนอะไรสอนกันก็เอาหมด เพราะฉะนั้นไอ้ ไอ้ชื่อเมือง ชื่อเมืองในอินเดียนั่นแหละ มันเอามาตั้งกันแถวนี้ แถวนี้หมด ชื่อเมืองอินเดียทั้งหลายน่ะเอามาตั้งกันแถวนี้หมด เมืองจำปา เมืองกัมโพชะ เมืองอะไรมาตั้งให้แถวนี้ เมืองจำปาอยู่ที่ญวน กัมโพชะคือประเทศเขมร แล้วอะไร ๆ อีกก็เอาชื่ออินเดีย อย่างเช่นภูเขาสิเนรุ ภูเขาเมืองนครนี่ภูเขาสิเนรุ เขาถือว่า ไอ้ดินแดนทั้งหมดนี้เป็นเมืองขึ้นของอินเดีย อย่างน้อยก็ทางวัฒนธรรม Cultural colony of Siam อย่างนี้ Indian cultural colony of Siam นี่ ถือว่าประเทศไทยนี่เป็นเมืองขึ้นทางวัฒนธรรมของอินเดีย หนังสือชื่ออย่างนี้เขียนขึ้นมากที่สุด คือเขา เขาจะพยายามพิสูจน์ว่าทุกอย่างเป็นอินเดีย ถือศาสนาอย่างอินเดีย วัฒนธรรมอินเดีย กินอยู่อย่างอินเดีย ภาษาพูดอย่างอินเดีย อินเดียหมด หรือว่าดินแดนแถบนี้ทั้งหมดเป็น colony เป็นเมืองขึ้นของอินเดีย ทางวัฒนธรรม มันก็จริงของเขาแหละ ตอนนั้นคนไทยยังไม่รู้อยู่ทีไหน ยังเป็นคนป่าเป็นอะไรกันก็ไม่รู้ มันก็มาแล้ว มันก็ยึดครองแล้ว มันก็สอนแล้ว นี่เรื่องอินเดียเข้ามายึดครองดินแดนแถวนี้จน จน จนเรียกรวมเสียว่าเป็นอินเดีย เป็น Greater India ให้เรียกเป็นภาษาบาลีเขาเรียกว่าอะไรก็ไม่ทราบ แต่ไอ้หนังสือโบราณคดีมันใช้คำว่า Greater India กันทั้งนั้นแหละ อินเดียมาตรงนี้ขึ้นไปทางนี้ ญวน เขมร ไทย สุมตรา ชวา ถึงบาหลี สุดบาหลี เลยไปถึงหมู่เกาะซีลิบิส (นาทีที่ 48:36) เพราะว่าแม้แต่หมู่เกาะซิลิบิสที่ไกลสุดไปทางโน้นซึ่งไม่น่าเชื่อก็มีพระพุทธรูป เก่าขนาดเป็นพันปี เขาขุดพบใต้ดินด้วยการทำเหมืองแร่ ขุด ขุดใต้ดินพบพระพุทธรูปเก่ากว่าพันปี เกินกว่าพันปีในหมู่เกาะซิลิบิส นี่แสดงว่ามัน มันไปแล้ว มันไปอย่างไม่น่าเชื่อ มันแผ่ไปทั่วหมด นี่เรื่องทางฝ่ายวัตถุ
ไอ้เรื่องทางฝ่ายธรรมะ ก็อย่างที่บอกแล้วว่า มหายานทั้งหลายก็เน้นอนัตตาของเบญจขันธ์ บางสูตรอธิบายน่าฟัง น่าฟังมาก คมคายมาก ฉลาดมาก แต่มันก็ไม่พ้นไปจากเบญจขันธ์ นั่นแหละอนัตตา ที่ถือไม่ได้เหมือนกันแหละ ก็เรียกว่าเขาทำผิดก็ไม่ได้ เพราะหัวใจอันนี้เขายังเน้นอยู่ทุกสูตรเลยในสูตรมหายาน แต่ข้ออื่น ๆ เขาก็จะทำให้มันแปลกออกไป ก็เรื่องฝอย แล้วก็น่าเห็นใจเขาแหละที่ว่า เขาต้องต่อสู้กับฝ่ายฮินดู มันก็ต้องมีอะไรให้ทันฮินดู ต้องมีอะไรให้ทันฮินดู ของเขาจึงต้องทำมันขึ้นมา อย่างที่เรียกว่าดื้อ ๆ make up ขึ้นมาดื้อ ๆ ให้มีพระเจ้า ให้มีอะไรขึ้นมา ให้ ให้ไม่แพ้กับฮินดู ส่วนนี้เราเรียกว่า เขาทำแย่มาก คือไม่ใช่ธรรมะแล้ว มันเป็นเรื่อง เป็นเรื่องอะไร เป็นเรื่องหาแนวร่วม ซื้อประชาชน อย่างพวกคอมมิวนิสต์เขาจะใช้คำนี้ แล้วก็มีอะไรอย่างที่จะดึงประชาชนมาให้เป็นของเราให้มาก ถ้าปล่อยไปตามบุญตามกรรมก็สู้พวกฮินดูไม่ได้ นี่จึงเกิดไอ้ มหายานฝ่ายที่เรียกว่า ไม่ ไม่ใช่ธรรมะ ไม่เป็นธรรมะ ไม่ใช่ธรรมะ แต่เป็นลัทธิขึ้นมาแล้ว นอกลัทธิมหายาน แล้วก็คงไปจากนาลันทานั้นเหมือนกันนะ เพราะไอ้รูปของพระพุทธเจ้าชนิดนั้น หรือพระโพธิสัตว์ของพระพุทธเจ้านั้นก็พบที่นาลันทา เพราะว่านาลันทานั้นเขาเป็นไอ้ ไอ้ ไอ้ป้อมค่าย เป็นฐานทัพ ดังนั้นนาลันทาจึงเปิดการหล่อ หล่อพระพุทธรูป หล่อเทวรูป หล่อทุกอย่าง ที่จะต้องส่งไปตามทิศทางต่าง ๆ ดังนั้นเขาเขียนไว้ละเอียดมาก เรื่องไอ้ความเป็นโรงหล่อของมหาวิทยาลัยนาลันทา แล้วไปดูได้จนกระทั่งเดี๋ยวนี้นะไอ้เตาหล่อยัง ยังดำปี๋อยู่นั่นแหละ แผ่นดินยังดำปี๋เต็มไปด้วยเตาหล่อทั่ว ๆ ไปทั้งบริเวณนาลันทา ไอ้รูปที่หล่อแล้วก็ยังตกค้างอยู่มาก ในประเทศอินเดีย ในสารนาถ และที่มหาวิทยาลัยนาลันทาเองก็แยะไปหมดเลย ไอ้ ไอ้รูปสำริดที่หล่อขึ้นแล้ว เขาจะพูดแต่ปากมันไม่ มันไม่ มันไม่ ไม่ขลัง มันต้องหล่อมันขึ้นมาเลย ครบหมด ครบ ครบชุดแหละ ไอ้คณะพระเจ้า คณะพระเป็นเจ้า คือเขาตั้งเรื่อง เริ่มเรื่องขึ้นมาว่ามีองค์ปฐมอาทิพุทธะ นี่เพื่อที่จะไม่ ไม่ไม่ไม่ ไม่แพ้ฮินดู ก็ต้องมีสยัมภู มีอาทิพุทธะ ที่เรียกว่า อาทิพุทธะอยู่องค์หนึ่ง และอาทิพุทธะนี่ก็จะต้องมีธยานิพุทธะ พุทธะที่เกิดขึ้นเพราะกำลังจิตของอาทิพุทธะนี่ทั้ง 5 องค์ แล้วพระธยานิพุทธะนี่ไปคลอดมานุษีพุทธะเป็นมนุษย์ มนุษย์นี่องค์หนึ่งอีกหลาย ๆ องค์ พระพุทธเจ้าของเราสมณโคดมนี่เป็นแต่เพียงมานุษีพุทธะองค์หนึ่งเท่านั้นแหละ และเกียรติก็ไม่ค่อยมีเท่าไรหรอก ทีนี้พระพุทธเจ้าอาทิพุทธะนั่นเป็นอะไรกัน เทียบกันกับสูงสุดของฝ่ายฮินดู แล้วไอ้อย่างที่เป็นธยานิพุทธะ อย่างเช่น อมิตาภะ รัตนสัมภวะ อักโษภยะ ไอ้ห้าองค์นี้ หรือสี่องค์ก็ไม่รู้ลืม ๆ ไปแล้ว ที่เขาสำคัญที่สุด ถ้าเป็นวิหารที่สมบูรณ์แบบต้องมีสี่องค์นี้เสมอ แต่พอไปดูเข้าจริงที่ไหนได้ ก็พระพุทธรูปอย่างที่เราเห็น ๆ อยู่ แต่ปาง เป็นปางสมาธิบ้าง ปางมารวิชัยบ้าง ปางเผยธรรมจักรบ้างนี่ บางปางเท่านั้น ที่สี่ สี่องค์นั้น ที่เอามาจากชวาโดยตรง เมื่อในหลวงรัชกาลที่ 5 เสด็จชวา ท่านจะขอหรือเขาให้มาชุดหนึ่ง อยู่ที่วัดราชาธิวาสนั่นไปดูเถอะ ถ้าไปกรุงเทพก็ไปเที่ยวที่วัดราชาธิวาสดูพระที่หน้าจั่วนั่น นั่นแหละพวกที่เขาถือกันว่าเป็นธยานิพุทธะ แบบมหายานเอามาจากชวาโดยตรง
ทีนี้พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ๆ ก็มีผู้รับสนองพุทธโองการ นี่คือโพธิสัตว์ เช่นพระพุทธเจ้าอมิตาภะ มีโพธิสัตว์ชื่อ อวโลกิเตศวร องค์นี้องค์ที่เราเอามา เอามาทำไว้ที่สนามนี่ อวโลกิเตศวร พระพุทธเจ้าทุกองค์จะมีผู้สนองโองการเป็นโพธิสัตว์ชื่อใดชื่อหนึ่ง มันจำไม่ไหว มันมากนัก เราคงจำแต่ที่มันมีชื่อเสียง แล้วก็ใช้กันอยู่เป็น เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย นั่นคือ อวโลกิเตศวร บางองค์มี มีชื่อเป็นเภสัชคุรุ นี่เรียกว่าเก่งไปในทางหยูกยา เป็นหมอ เป็น แล้วก็มีโพธิสัตว์ทำให้สำเร็จตามนั้น ถ้าจำกันพระพุทธเจ้าทุกองค์น่ะ มันก็เลยมีมากสิ มีองค์ยอดสุด แล้วก็มีองค์รองลงมา องค์ชั้นสอง องค์ชั้นสาม แต่ละองค์พระพุทธเจ้ามีโพธิสัตว์ พอถึงคราวจะยุ่งขึ้นมานี่ มันบัญญัติให้มีตารา คือมีเมียด้วย โพธิสัตว์แต่ละองค์มีตารา คือมีผู้หญิงคู่กัน ก็เลยชักจะยุ่ง มันเลือนไปหาไอ้เรื่องนั้นได้ง่าย มีพระนางตารา ชื่อ เออ, ชื่อพระชายาปารมิตรา ก็ฝ่ายโน้นเขามีนี่ พระ พระอิศวรก็มีพระอุมา พระพรหมก็มีสรัสวตี (นาทีที่ 57:13) พระนารายณ์ก็มีพระลักษมี ฝ่ายนี้มันจะ จะไม่มียังไงได้ ถ้าไม่มีมันก็ไม่เก่งเท่า มันค่อยมีหมดเลย ดังนั้นตาราก็แยะ โพธิสัตว์ก็แยะ จน จนไม่มีอะไรที่จะน้อยหน้ากันน่ะ ในลัทธิความเชื่อทางศาสนามันก็เต็มที่ เต็มที่ ทัน สู้ฝ่ายฮินดูได้ ก็เจริญรุ่งเรืองสู้ฝ่ายฮินดูได้ แล้วตอนหลังนี่คงจะคิดญาติดีกัน มาเป็นเพื่อนกันดีกว่า ถือทั้งสองศาสนา มันก็เป็นความจำเป็น ผมเชื่อว่ามันเป็นความจำเป็น ไม่ ไม่ใช่ว่าพอใจ ที่พระราชาต้องอนุญาตให้พลเมืองถือสองศาสนาพร้อมกัน เพื่อประโยชน์ผลดีทางการเมือง ถ้าว่าเรื่องทำมาหากิน รบทัพจับศึก เรื่องอย่างนี้ มันสู้ฝ่ายโน้นไม่ได้ มันสู้ฝ่ายฮินดู ฝ่ายพราหมณ์ไม่ได้ ไอ้ฝ่ายนี้มีแต่จะไปนิพพาน จะไปนั่งจำศีลกี่วาตา (นาทีที่ 58:33) มันก็สู้ใครไม่ได้ ถึงฉลาด ๆ ก็ ก็แยกไว้พวกหนึ่งสิ พวกจะ จะดีเกินไป จะไปนิพพานก็เอา เป็นพุทธไป ไอ้พวกที่จะอยู่กันที่นี่จะต่อสู้ก็เอา นี่ก็ทั้งเรื่องโลกเรื่องนี่ก็สู้ศาสนาฮินดูไม่ได้ เป็นอันว่าเรามีครบกัน ฝ่ายฮินดูมีอย่างไรฝ่ายนี้ก็มีอย่างนั้น นี่พวกมหายานนะ ไม่ใช่พวกเถรวาทนะ ไม่มีลูกขอลูกก็ได้ อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ สกปรก ลามกอะไร ก็ ก็มีกันขึ้นจนเป็นไอ้อย่างเดียวกันแล้ว ที่เรียกว่า Tantric Tantric (นาทีที่ 59:17) มีกันทั้งฝ่ายฮินดู และฝ่ายพุทธ Tantric พุทธนี่เพิ่ง เพิ่งเกิดทีหลัง ไอ้คน คน คนใช้ไม่ได้ คนคดโกง คนหลอกลวงอย่างนี้ บัญญัติ Tantric Buddhism (นาทีที่ 59:37) ขึ้นมา เลอะเทอะ สกปรก ลามก อย่างเดียวกันกับฝ่าย ฝ่ายฮินดู ที่ประเทศเนปาลนี่ยัง ยัง ยังมีเหลืออยู่เขา แม้ที่ใน ใน ในเขตอินเดียผมไป ที่ดาร์จีลิง ที่เมืองดาร์จีลิง เขาชี้ให้ดูไอ้โบสถ์ โบสถ์หลังนั้นเป็นโบสถ์อย่างลัทธิ Tantric เนปาลยังมีอยู่ ผมยังเข้าไปดูข้างในก็ไม่เห็นไอ้อะไรที่มันน่าเกลียดน่าชัง มีภาพเขียนสวย ๆ พอตอนหลังมันเกิดมีรูปพระพุทธรูปที่ประกบด้วยนางภรัทยา (นาทีที่ 1:00:30) ผู้หญิงประกบอยู่ข้างหน้าในลักษณะเดียวกันกับรูปฝ่ายฮินดู ก็ต้องให้พระ พระนาง ฝ่ายพระ พระ พระเทวี พระ พระเจ้าฝ่ายหญิงมาประกบอยู่ข้างหน้า แบบที่น่าเกลียดน่าชัง พระพุทธรูปก็เคยมีแบบนี้ในลัทธิ Tantric Buddhism นี่มันไม่เกี่ยวกับธรรมะ มันเกี่ยวกับประโยชน์ทางการเมือง ประโยชน์ทางไอ้ นี่ทาง ทางปุถุชนนะ ทำกันจนครบ ทุกอย่าง ทุกแบบ ทุกประการ เขาหลอกผู้หญิงว่าทำอย่างนั้นได้บุญ คือไปให้ผู้ชายทำอะไรกันในนั่นต่อหน้าพระ พระ พระเจ้านั่นได้บุญ ผู้หญิงที่โง่ ๆ มันก็เอาก็ได้บุญ ผู้ชายมันก็ มันก็เอาสิเพราะมันไม่ต้องทำอะไรมาก มันก็ได้สกปรกอะไรกัน แล้วต่อมานี่มันค่อยคิด ค่อยเปลี่ยนรูปเป็นการค้า เก็บ เก็บค่าบ้าง เพื่อไป ไปบำรุงโบสถ์ นี่ความสกปรกมันก็มากขึ้น ทั้งไอ้การค้า ทั้งไอ้การไอ้กามารมณ์ มันจึงมีคนติดโบสถ์ โบสถ์นี่เปิดกลางคืนเสียด้วย จนมหาตมะคานธีพยายามต่อสู้ดิ้นรน ขอร้อง บังคับเอย ให้ ให้ ให้เลิกลัทธินี้ให้หมดจากอินเดีย ก็คงไม่หมด ไม่หมดแท้ มันตูม ๆ ซ่อน ๆ (นาทีที่ 1:02:33) กันอยู่อย่างนี้ ตอนพลบค่ำหนุ่ม ๆ สาว ๆ ไปโบสถ์กันเป็นฝูง ไปโบสถ์นี่ ไอ้พวกที่มัน มันไม่ไปมันก็ได้ยืนบุ้ยปากกันอยู่ เพราะมันไม่เอาด้วย ไอ้พวกที่เอาด้วยมันก็ไปทำกันตามเคย อย่างนี้จะไปเรียกว่ามหายานก็ไม่ถูกแล้ว มันเลยเถิด เป็น Tantric Buddhism สกปรก ลามก มันไม่ ไม่ใช่ความมุ่งหมายของมหายาน
ทีนี้คุณก็ดูสิว่า ความมุ่งหมายของมหายานนั่นเขาจะอธิบายให้มันลึกซึ้งกว้างขวางเหลือประมาณเรื่องเบญจขันธ์เป็นอนัตตา สูตรแต่ละสูตรยาวเฟื้อยเลย เขาควรจะเรียกเขาว่ามหายานนะ คือเขาอธิบายได้ดีกว่า นี่มหายานเมื่อยังถูกต้องอยู่เป็นอย่างนี้ คืออธิบายเบญจขันธ์เป็นอนัตตาได้ ได้กว้างขวางที่สุด มากที่สุดในนั้นคือความเป็นมหายาน ถึงคำอธิบายประกอบทั้งหลายก็ละเอียดลออน่าฟังทั้งนั้น
นี้ต่อมานี่ ทีนี้ต่อมา มันไม่ว่า ไม่ว่าของอะไรเล่า มันก็เปลี่ยน เปลี่ยนแปลงทั้งนั้นแหละ เปลี่ยนแปลงไปตามยุค ตามสมัย ตามท้องถิ่นที่มันเปลี่ยนไป มหายานบางนิกาย แต่งไอ้คัมภีร์แบบสวรรค์ สุขาวตีวยูหสูตร (นาทีที่ 1:04:25) เรื่องสวรรค์เรื่องเมืองสวรรค์ของพระพุทธเจ้าอมิตาภะ พรรณนาเมืองสวรรค์เสียมันไม่แพ้เมืองสวรรค์ของฝ่ายฮินดู แล้วเราจะไปที่นั่นได้โดยทำบุญตามแบบเท่านั่นแหละ แต่ที่มันง่ายสำหรับทุกคนก็คือ ออกชื่ออมิตาภะ กี่หมื่นครั้งก็ไม่รู้ ออกชื่ออมิตาภะ นะโม อมิตาภะ นะโม อมิตาภะ นะโม อมิตาภะ นี่ ให้ได้กี่หมื่นครั้งแล้วก็เป็นอันว่าไปสุขาวดี ถ้าเป็นอย่างนี้มันก็ใหญ่สิ ใคร ๆ ก็ทำได้สิ เด็ก ผู้ใหญ่ โง่เง่ามันก็ทำได้ นิกายมันก็ใหญ่ออกสิ มันทำได้ทุกคน ก็เรียกว่ามหายานได้ คนก็ไปได้แม้แต่คนโง่ที่สุด เพียงแต่ว่าออกชื่ออมิตาภะ ให้ได้ตามจำนวนที่ต้องการ นี่ก็เป็นมหายานแบบหนึ่ง คือจะพาคนทุกคนไปให้ได้ แม้แต่คนโง่ที่สุด พวกอาซิ้มนั่นอย่างไรถือพวกลัทธินี้กันมาก อาซิ้มโรงเจ สวดมนต์นั่งสวดมนต์ชักลูกประคำ นะโม นอมี ทอฮุก นะโม นอมี ทอฮุก (นาทีที่ 1:05:53) เขาว่า นะโม อมิตาภะ พออายุมากเข้า เขาก็เตรียมพร้อมเพื่อที่จะไปสวรรค์สุขาวดีของพระพุทธเจ้าอมิตาภะ มีรถมารับ พอคนนี้ไม่สบายจวนจะตายแล้ว รถมาอยู่บนหลังคาบ้าน พอตายก็ไปเลยไม่ต้องรอ นี่ลัทธิมันดีอย่างนี้ ลัทธิมัน มันง่ายอย่างนี้ มันก็เป็นมหายานทีนี้ ใครก็ไปได้ ใครก็ถือได้ ใครก็นั่นได้ นี่ความเป็นมหายานฝ่ายโง่เง่า เขาก็เป็นมหายานจริง ถ้ามาถืออย่างนี้จะไปได้กี่คน ถ้าถืออย่างที่ถืออยู่ก่อนจะไปสวรรค์ได้กี่คน มันลำบาก มันยุ่งยากลึกซึ้ง เราออกชื่ออมิตาภะอย่างเดียวเราก็ไปสวรรค์ได้ พวกรุ่นหลังนี่ที่เขาเผยแผ่ลัทธิง่าย ๆ แบบนี้นะ ก็แพร่หลายมากที่สุดเหมือนกัน ที่มันเกิดโรงเจ โรงอะไรขึ้น พวกนี้ทั้งนั้นแหละ ยานวัว สำหรับขนคนมหายานไป เป็นยาน ยานเทียมด้วยวัว ในหีนยานเถรวาทนี่เทียมด้วยแพะ ยานเทียมด้วยแพะ บางสำนักเขียนไว้เลย ยานวัว เขียนภาพยานวัวเลย แล้วเขียนภาพยานแพะ ตัวนิดเดียว แค่นิดหน่อย นี่เพื่อด่าเถรวาท ด่า ด่าหีนยาน ดังนั้นควายที่จะทำกับประชาชนคนโง่เขาก็ทำได้ ได้ใหญ่มากกว่าเป็นมหายาน ควายที่ลึกซึ้งอธิบายให้มีปัญญามากให้เป็นนั่นเขาก็ทำได้ผล ได้ ได้ ได้กว่า ควรที่จะเรียกว่ามหา มหายานนะ อธิบายกว้างขวางลึกซึ้งมาก แต่ก็ไม่แปลกไปจากที่เรานี่อยู่หรอก เบญจขันธ์เป็นอนัตตาทั้งนั้น มีเท่านั้น คำอธิบายของเขามากกว่า ลึกซึ้งกว่า กว้างขวางกว่า เป็นมหายานไป ใน ในด้านฝ่ายนิยาย เขาก็จะทำให้มันต่อสู้กับฝ่ายฮินดูได้ เขาก็ทำได้ใหญ่เหมือนกัน เกิดครอบครัวพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ขึ้นมากมายมหาศาล ก่อนนี้มัน มันไม่ค่อยมี เรามีพระเจ้าองค์เดียว นาน ๆ มีสักองค์หนึ่ง มีแคบ ๆ แค่นั้น เดี๋ยวนี้มหายานเขาให้มีครอบครัวพระพุทธเจ้านับ ไม่หวาดไม่ไหว นับไม่หวาดไม่ไหว มีอาทิพุทธะออกลูกออกมาเอาสี่คูณห้าคูณไปเรื่อย มนุษย์ในโลกได้มีความคิดก้าวหน้า ขยายไอ้สิ่งที่จะดึงมนุษย์กันเองออกไปอย่างนี้เรียกว่า มหายาน ทีนี้พวกญี่ปุ่นเขาก็ชอบอธิบายอย่างนี้ มหายานสำหรับคนฉลาด หีนยานสำหรับคนโง่ พวกเราเป็นพวกสำหรับคนโง่ถือหีนยาน มหายานสำหรับคนฉลาดต้องศึกษามากต้องเรียนกว้างขวางลึกซึ้งกว่า
ผมเคยเห็นหนังสือเล่มหนึ่ง อาจารย์ญี่ปุ่นเขียน ความแตกต่างระหว่างมหายานกับหีนยาน เขาเขียน ตามพอใจ ตามสบาย ไอ้เราเป็นคนโง่ ไอ้เขาเป็นคนฉลาด แล้วคุณจะไปสอนนักเรียนอย่างไร เมืองพุทธมันเป็นเถรวาท ไม่เป็นมหายาน เมืองไทยน่ะมันเป็นเถรวาทไม่ใช่เป็นมหายาน จะสอนกลับไปมหายานก็คงไม่ได้แล้ว เดี๋ยวเกิดเรื่อง สอนอย่างเป็นเถรวาทที่ถูกต้อง ที่ดี ต่อ ๆ ต่อไป ๆ พระไตรปิฎกมีพอแล้วก็จะสอนให้ครบถ้วน เรื่องในพระไตรปิฎกมีพอจะสอนให้ครบถ้วน แต่คำอธิบายมันสั้น ๆ ลุ่น ๆ หรือไม่ได้อธิบายเสียเป็นส่วนมาก สู้พวกนั้นไม่ได้ เขาอธิบายเสียอิ่มเลย เหลือเฟือ อิ่มตัวหมดเลย นี่เราก็พูดกันถึงมหายานกับเถรวาท โดยสังเขปมันก็มีเท่านี้
ทีแรกมีแต่พระพุทธเจ้า ซึ่งไม่เป็นเถรวาท ไม่เป็นมหายาน พอพระพุทธเจ้านิพพานลงพระมหาเถรชั้น ชั้น ชั้นใหญ่ ๆ น่ะเขาก็ประชุมทั้งหมู่คณะขึ้น สอบสวนรักษาพระพุทธโอวาท ซึ่งประชุมกันว่าข้อนี้แน่ ข้อนี้ถูกต้องแน่ ข้อนี้ถูกต้องแน่ รับรอง ๆ ๆ ๆ ๆ สวดท่องจำกันไว้ เพราะไม่มีกระดาษจะเขียน นี่เรียกว่า คณะเถระ พระเถระ คือพระอรหันต์ทั้งหลายที่ร่วมกันประชุมทำสังคายนานี่ ต่อมาเกิดมีพวกที่ไม่ยอมรับ จะให้ทำก็ทำ ฉันก็ทำของฉัน ก็เกิดอาจารย์ปลีกย่อยออกไป สอนอย่างนั้น สอนอย่างนี้ ปรับปรุงอย่างนั้น ปรับปรุงอย่างนี้ แก้ไข มีหวังจะแก้ไขด้วยว่าที่จริงไอ้พวกอาจริยวาทนี่ต้องการจะแก้ไข เช่น วัชชีบุตรก็แก้ไขเรื่องเกี่ยวกับวินัยเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นแหละพวกอาจริยวาทได้เกิดขึ้น เมื่อสมัยอโศก ส่วนพวกเดิมไม่ยอมแก้ไขถือกระต่ายขางเดียวไม่ยอมแก้ไข ก็เป็นเถรวาทไป พวกที่แก้ไขตามพอใจเรื่อย ๆ มันก็เป็นอาจริยวาทไป นี่มันได้เป็นแล้วตั้งแต่ พ.ศ. สามสี่ร้อย มันเกิดแยกกันแล้ว เพียงเท่านี้ เพียงอาจริยวาทกับเถรวาท ครั้นมาถึง พ.ศ. พัน พันขึ้นไปนี่ มันเกิดมหายานจริงขึ้นมา มาแก้ไข มันแต่ง มัน มันแต่งสูตรยาว ๆ ๆ ขึ้นมาก บรรจุพระโอษฐ์พระพุทธเจ้า นี่มหายานสมบูรณ์แบบ สมัยนาลันทา พวกเถรวาทก็เท่าเดิม พวกเถรวาทเท่าเดิม จะไม่มีแผ่นดินอยู่ในอินเดีย ต้องไปอยู่ที่ลังกา ตามตำนานเขาว่าส่งไปลังกาแล้วตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศก มาสุวรรณภูมิ มาอะไรบ้าง แต่มันเหลืออยู่เป็นหลักฐานที่ลังกานี่ ที่ในอินเดียมันก็เจริญด้วยมหายาน ๆ จนเต็มอินเดีย เพราะมันมีประโยชน์ทางการเมืองอะไรมากกว่า เป็นประโยชน์แก่พระราชา แก่การบ้านการเมือง แก่ระหว่างประเทศ มหายานมันก็เจริญรุ่งเรืองในอินเดีย จนกระทั่งว่าสร้างพระพุทธเจ้าครอบครัวใหม่ขึ้นมา แล้วก็หล่อหมดทุกองค์ เขาบัญญัติพระพุทธเจ้าธยานิพุทธะ มานุษีพุทธะ โพธิสัตว์ ตารา และองค์รอง ๆ ลงมามากมายนับเป็นสิบ ๆ ร้อย ๆ แหละ เขาหล่อขึ้นทุกองค์ เขาประดิษฐ์รูปร่างแบบหล่อขึ้นมาทุกองค์ ไปดูที่นาลันทาจะพบจนเวียนหัว ชื่อนั้น ชื่อนี้ ชื่อโน้น ชื่อรชรา เหมวัชรา (นาทีที่ 1:15:13) อะไรก็ตาม จำไม่หวาดไหว เขาก็สอนธรรมะด้วย แล้วเขาก็หล่อพระพุทธเจ้าขึ้นมาด้วย หล่อพระพุทธเจ้า และพระอะไรผู้ช่วยครบหมดเลย จนกลายเป็นโรงเรียนหล่อ วิชา สอนวิชาการหล่อ การช่าง สุดเหวี่ยงเลยที่นาลันทา นอกจากสอนธรรมะ สอนปารัชญา สอนอะไรตามแบบของมหายานอย่างสุดเหวี่ยง แล้วก็ต่อสู้กับฝ่ายโน้น ฝ่ายฮินดูโน่น ต่อสู้กันอย่างสุดเหวี่ยง คล้ายว่าจะเอาชนะ จะยึดครองกันเสียทั้งฝ่ายวิชา หรือการพูดจา หรือฝ่ายวัตถุ ฝ่ายโบราณสะ เออ, พุทธ เออ, ปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุ และที่เขาเขียนไว้ยังมีอีกแผนกหนึ่ง คือ แผนกหมอ แผนกหมอ แผนกวิชาแพทย์ที่นาลันทาก็ ก็เรียนกันใหญ่ สอนกันใหญ่มาก รวมอยู่ในชุดนี้แหละสอนวิชาแพทย์อย่างยิ่ง มันก็มีประโยชน์ มันก็มีประโยชน์แก่บ้านเมือง และวิชาหล่อโลหะนี้มันก็มีประโยชน์ แล้วธรรมะก็สอนอะไรก็สอน
เมื่อพวกอิสลามเข้ามา พวกศาสนาอิสลาม พวกอิสลามเขามุ่งหมายที่จะทำลายศูนย์นี้ ศูนย์กลางนี้ เพราะว่ามันเป็นที่มั่นอย่างยิ่งของพุทธศาสนา ดังนั้นที่นาลันทาจึงถูกทำลายมาก ทำลายโดยมูฮัมหมัด เอาไฟเผาทั้งนั้นแหละ เอาไฟเผาเข้าไป แต่สำหรับผม ผมรู้สึกว่าเอาไฟเผานี้ไม่หมดเพราะมันอยู่ในหัวใจคน เพราะมันอยู่ในหัวใจคนจะหมดได้อย่างไร แต่ถ้าจะให้หมดแล้วสอนให้ผิดสิ สอนให้ที่มีอยู่ในหัวใจคนน่ะเปลี่ยนเป็นผิดให้หมด จะให้มันหมดเกลี้ยงเลย จะมาเผาโบสถ์เผาวัดให้หมด นี้ไม่หมด มันอยู่ในหัวใจคน ยังรักษาไว้ได้อย่างถูกต้อง ที่มาสอนให้มันผิดซะสิ มันก็ผิดหมด พุทธศาสนาหมดเพราะว่าผู้สอนสอนผิด สอนเป็นอะไรไปไม่รู้ ไม่สอนเรื่องเบญจขันธ์เป็นอนัตตา สอนเป็นพวกแบบฤทธิ์เดชเวทมนต์ เป็นไอ้ ไปทางนั้นเหมือนกัน ตอนหลังนี่ก็ได้ยินว่าอย่างนั้น จึงแตกสลายล่มจมไปเองโดยอัตโนมัติ เหลืออยู่แต่เหมือนกับศาลเจ้า ทำพิธีรีตอง พวกอิสลามมาช่วยเผาให้อีกทีหนึ่งก็เรียบวุธ เหลือแต่ภูเขาอิฐ อิฐที่ก่อไว้เป็นภูเขา ๆ มีมาก
อ่านหนังสือบันทึกของฮ่วนเจียง (นาทีที่ 1:19:00) เรื่องเมืองนาลันทา ที่เป็นภาษาไทยก็มี นายศรีบุญเรืองก่อนนี้เคยแปลออกมาพิมพ์ขาย บันทึกของฮ่วนเจียง เรื่องมหาวิทยาลัยนาลันทา เมื่อเขาไปอยู่ศึกษาที่นั่น ๑๔ ปี หรืออะไรเหล่านั้น ฮ่วนเจียง พระถังซัมจั๋ง (นาทีที่ 1:19:21) เป็นคนจีน ทำชื่อเสียงให้เมืองจีน ไปเล่าเรียนจนเก่ง จนสอนไอ้พวกอินเดียได้ จนพวกอินเดียนับถือเป็นครูบาอาจารย์ แล้ว แล้ว บาง บาง บางคราว บางลายพระ พระถังซัมจั๋งนี่เป็นฝ่าย ฝ่ายพุทธ โต้วาทีกับฝ่ายฮินดู ไปแสดงฝีมือไว้ที่อินเดียนะ ไม่เสียทีที่เป็นจีนไปจากเมืองจีน ไปด้วยแตกฉานหลักธรรมะในพุทธศาสนา โต้วาทีกับฝ่ายฮินดู เรียกว่ามีชนะเหมือนกัน อาจารย์ชื่อ ศังกระ ศังกราจารย์ (นาทีที่ 1:20:15) ฝ่ายฮินดูคนนั้นมีชื่อเสียงมาก เคยโต้วาทะชนะฝ่ายพุทธบ่อย ๆ ถ้าเรามาพูดกันเดี๋ยวนี้ก็ไม่ต้องแล้ว มันจะไม่ต้องมีเถรวาท มหายานอะไร อยู่ที่ว่ารู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทให้ดี ๆ ถูกต้อง แล้วก็ปฏิบัติระวังอย่าให้เกิดอวิชชาเมื่อมีผัสสะ แล้วก็ ตัวพุทธศาสนาที่ถูกต้อง ไม่ควรจะเรียกว่าเถรวาทหรือมหายาน ควรเรียกพุทธศาสนาเดิมแท้ให้ถูกต้อง
ทอม เอ้า, นั่นเธอจะทำอะไร (นาทีที่ 1:21:09 เรียกชื่อคน มีเสียงรับ “ครับ” และมีเสียงคุยกันเบา ๆ)
อย่าให้เกิดกิเลส ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดโดยความเป็นตัวตนของตน มันก็ไม่มีความทุกข์ มันก็เท่านั้นเอง เหลือเท่านั้น
เอ้า, เอาไป มีพอกันไหม ทำไมมีนิดนักล่ะ หา, (นาทีที่ 1:21:09 มีเสียงตอบ “เอามาไม่หมด เดี๋ยว”) เอา เอา เอามา ๆ ให้เราลูกหนึ่งสิ นี่กัดแล้วอมไว้ ลูกสมอ เอ้า, เอ้า, งับ ๆ งับ ๆ พอแตก แตกแล้วอมไว้
ทีนี้มันก็มีเรื่องปน ก็มีพุทธศาสนาที่ปน อย่างไปทิเบตก็ไปปนอะไรเข้าไป อย่างไปชวา บาหลีก็ไปปนอะไรเข้าไป หรือไปเมืองจีนก็ปนอะไรเข้าไป อันนี้มันช่วยไม่ได้เรื่องปน ปนจนเลอะเทอะ จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็มี แต่ก็ยังคงเรียกว่าพุทธศาสนาอยู่
ทอม (นาทีที่ 1:23:23 เรียกชื่อคน มีเสียงรับ “ครับ” และเสียงพูดตอบเบา ๆ) นี่เธอว่าพอกันเหรอ? หา? เออ, ไปดูสิ พอกันหรือไม่พอกันน่ะ เอาให้พอกัน ให้พอกัน ลูกสมอไทย แบบนี้เขาเรียกว่า ลูกสมอไทย เป็นยาประเภท กันบูด เป็น antiseptic กันบูด ทำให้ท้องไส้ดี ลูกสมอมีรสทั้งเปรี้ยว ทั้งเผ็ด ทั้งหวาน ทั้งขม ทั้งฝาด ทั้งอะไร มีครบทุกรสล่ะ ลูกสมอน่ะคุณลองนั่นดู เคี้ยวแล้วก็ลองอมดูไว้มันจะครบทุกรส นี่ที่วัดสระธาตุ (นาทีที่ 1:24:55) เขาเอามาให้
ทีนี้ผมก็จะพูด พูดเสริม ผมก็จะมี เป็นมหายานเหมือนกัน มหายานแบบผม ผมก็จะมีมหายานไปอีกแบบหนึ่ง ธรรมะทุกข้อทุกหมวดสำหรับไปพระนิพพานนั้น จะเอามาใช้ทำอะไรก็ได้ สำหรับประชาชนชาวบ้านทั้งหลาย ทำไร่ทำนา ค้าขาย แล้ว แล้วแต่เถอะ ไอ้ธรรมะไปนิพพานนั่นแหละเอามาใช้ให้ได้หมด ไอ้ที่หมวดที่ว่า เขาว่าถือกันว่าสูงนะ เช่นอริยมรรคมีองค์ ๘ นะ คุณไปคิดดูเองเถอะ ประชาชน ชาวบ้าน ชาวไร่ ชาวนา ค้าขาย เอามาถือได้ครบทั้งแปดแหละ ไอ้ที่ว่าโพชฌงค์ ๗ สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา นี่มันจวนจะ จะบรรลุแล้วแหละ จวนจะบรรลุมรรคผลแล้ว เอามาใช้ได้ ชาวนาทำนานี่ประกอบด้วยโพชฌงค์ ชาวสวน คนค้าขาย คนทำงานทุกอย่างทุกชนิด ประกอบอยู่ด้วยธรรมะคือ โพชฌงค์ ดังนั้นก็แปลว่าพระธรรมในพระพุทธศาสนานี้เอาไปใช้กว้างขวางหมด ไม่ว่าอะไรใช้ได้หมด ที่เขารู้จักใช้กันอยู่ก่อนแล้ว และพูดกันอยู่มากก็คือ อิทธิบาท ๔ ซึ่งมันรวมอยู่ในโพธิปักขิยธรรมด้วยเหมือนกัน อิทธิบาท ๔ นี่เอาไปใช้ได้สารพัดอย่าง สัมปทาน ๔ ก็เหมือนกัน อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี่เอาไปใช้ครอบจักรวาลเลย
คุณคึกฤทธิ์เขาด่าผมเรื่องนี้มากที่สุด ก่อน ว่าเอาพระธรรมะสูง ๆ มาเป็นของต่ำไปหมด แต่เราก็ยังพูดอยู่จนกระทั่งบัดนี้ ก็มันใช้ได้นี่ เป็นอะไรไป กระทั่งพระนิพพานนี่ก็เอามาใช้ได้ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ เอามาใช้น้อย ๆ เอามาใช้ตามเท่าที่จำเป็น ไม่มีพระนิพพานเข้ามาช่วยเสียเลยบ้าตายหมด ไม่มีเหลือสักคนในโลกนี้ เวลาที่จิตมันสงบจากกิเลสน่ะมันต้องมีอยู่บ้าง คนจึงจะไม่เป็นบ้าและตาย นี่คือพระนิพพานเอามาเป็นเพื่อนแท้จริง ช่วยเหลือให้รอดอยู่ได้
ยกตัวอย่าง โพชฌงค์ ๗ น่ะ สติ นะ อย่างเป็นชาวนาชาวสวนน่ะ ชาวนาชาวสวนนี่ต้องมีสติ เป็นผู้รู้ มี รู้จักใช้สติระลึกให้รอบครอบ แล้วธัมมวิจยะ ชาวไร่ชาวนาก็เลือกธรรมวิจัยอะไร จะปฏิบัติอย่างไร เกี่ยวกับทำนาทำสวนนี่เป็นธัมมวิจยะ นี้วิริยะเขาก็ต้องใช้อยู่แล้ว ชาวนาชาวสวนพากเพียรอยู่แล้ว ปีติ แล้วต้องรู้จักทำจิตให้ปีติในสิ่งที่กระทำได้เพิ่มขึ้น ๆ มิฉะนั้นมันก็เป็นบ้าตายหมด มันต้องพอใจสลับกันอยู่กับงานที่ทำ ปัสสัทธิมันระงับความอยากความดิ้นรนกระวนกระวายได้ตามสมควร ปัสสัทธิ สมาธิ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ ปัสสัทธิสงบ รักสงบ รำงับเข้า เข้ารูปเข้ารอยแล้วก็ สมาธิ ระดมกำลังจิตหมดเลย สมาธิ พอเสร็จแล้วก็อุเบกขา คือรอ รอ อย่าไปทำอะไรให้มันเกิน รอกว่าข้าวมันจะออกรวง นี่คือโพชฌงค์ ๗ โดยสมบูรณ์ในการทำนาของชาวนาที่มีความถูกต้อง มีความสงบสุขอยู่ในการทำนา ถ้าคุณเข้าใจเรื่องนี้ดี จะเอาไปใช้ได้หมดทุก ๆ ทุกการงาน ไม่ว่างานอะไร จะเอาโพชฌงค์ ๗ นี่ไปใช้ได้หมด จะเป็นเรื่องเล่าเรียนก็ดี ประกอบอาชีพก็ดี ต่อสู้ฆ่าศึกศัตรูก็ดี อะไรก็ดี แม้แต่รบทัพจับศึกก็เอาโพชฌงค์ ๗ นี่ไปใช้ได้ทั้งนั้น สติ หมายความว่าระลึกให้ครบถ้วนที่มันควรจะรอบรู้ แล้วธัมมวิจยะ ก็เลือกดูอันไหนเหมาะที่สุดที่จะใช้ในกรณีไหน ทีนี้วิริยะก็พากเพียร ปีติหล่อเลี้ยงวิริยะ เราต้องพอใจที่เราทำได้ ไม่อย่างนั้นมัน มันเหนื่อยตายแล้ว มันเหนื่อยใจตาย เราควรจะได้รับความพอใจที่ทำได้เท่าไร นี้เรียกว่าปีติ หล่อเลี้ยงให้มันมี มี มีกำลังใจอยู่เสมอ ปัสสัทธิ มันสงบระงับลง ไอ้ความต้องการ ความกระวนกระวายกระหาย ไอ้เหล่านี้มันสงบระงับลงเพราะมันเข้ารูปเข้ารอยของเรื่องแล้ว ปัสสัทธิ ทีนี้สมาธิ เทกำลังจิตทั้งหมดลงไปในงานนั้น แล้วก็รออุเบกขา นั่งดูอยู่ นั่ง นั่ง นั่งดู นั่งรอดูว่ามันจะดำเนินไปอย่างไร แล้วมันก็มีสติมีอะไรควบคุมอยู่ทุกอย่าง ผิดไม่ได้ แม้ว่าเราจะนั่งรออยู่ นั่งดูอยู่ มันก็ผิดอีกไม่ได้ นี่เรียกอุเบกขา แล้วมันก็ถึงที่สุดของมันนะ เพราะมันไปเรื่อย นี่มันเป็นธรรมะที่ประหลาด น่าอัศจรรย์จริง ๆ มันมีลักษณะอย่างนี้ เรียกว่าเราเอาธรรมะที่เมื่อก่อน ก่อน เขา เขา เขา เขาจำกัดไว้แคบ ๆ นี่ใช้กว้างทั่วโลก ครอบ ครอบโลกเลย มหายาน มหายานอย่างของเรา ที่พูดขึ้นแล้วคนเขาไม่เห็นด้วย เขาคัดค้าน เขาด่า เขาว่า
จำเอาไปสอนไอ้คนเลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู โพชฌงค์ ๗ คุณจะเลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู เลี้ยงปลา ใช้โพชฌงค์ ๗ แล้วจะสำเร็จ เป็นธรรมะที่สำคัญ ใครไปยิ่งศึกษาแตกฉานในเรื่องโพชฌงค์ ๗ ก็จะยิ่งนับถือพระพุทธเจ้ามากขึ้น จะเคารพศรัทธาในพระพุทธเจ้ามากขึ้น เห็นว่าสมกับที่เป็นพระพุทธเจ้า แล้วพระธรรมนี้ก็ดีเหลือเกิน ผู้ปฏิบัติตามคงจะเอาตัวรอดได้ ผมยิ่งอ่านพระไตรปิฎกแล้วก็ยิ่ง ยิ่งเป็นอย่างที่ว่า ยิ่งเคารพรับ เออ, เคารพรัก นับถือศรัทธาในพระพุทธเจ้ามากขึ้น ๆ จนบางทีก็ชักจะลังเลไปเหมือนกันนะว่า โอ้, นี่ใครมันช่วยแต่งนะ ใครมันช่วยเขียน ช่วยรวมเป็นแต่ง ๆ นะ (นาทีที่ 1:36:36) ให้พระพุทธเจ้า มันชักจะไม่เชื่อว่าทั้งหมดนี้พระพุทธเจ้าองค์เดียวว่า แต่ถ้าเราคิดเป็นมุมกลับว่า โอ้, ท่านเป็นผู้ บุคคลพิเศษ เอ้า, ก็ได้เหมือนกัน ถ้าพิเศษก็ทำไป พูดได้เท่านี้ นึกได้เท่านี้ คิดได้นี้ มากมายเหลือเกินแล้วก็ลึกซึ้งทั้งนั้น ฉลาดเฉลียวที่สุดทั้งนั้น เรื่องอริยมรรคมีองค์ ๘ ก็ดี โพชฌงค์ ๗ ก็ดี วิธีพูดสกัดแสกงให้พ่ายแพ้ไปโดยวาทะนี้มากและเก่ง ไม่ ไม่ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีมากถึงขนาดนั้น เมื่อต้องปะทะกับฝ่ายอื่น ฝ่ายเดียรถีย์อื่น มีวิธีพูดที่ เราควรจะศึกษาไว้ให้หมด วิธีโต้วาทะกับฝ่ายอื่น กับของพระพุทธเจ้าที่ท่านได้เคยใช้มาแล้ว แต่มีมากสูตรที่แปลยาก และแปลไม่รู้เรื่อง แล้วคนที่แปลไม่รู้เรื่องมันก็ไม่อาจเอามา มาเขียนมาใช้ให้รู้เรื่องได้ มันเลย เลยตกค้างเงียบอยู่ในพระไตรปิฎก เพราะมันแปลยาก เรื่องนั้น มาก มากเรื่องเหมือนกัน
เมื่อวันก่อน วันเสาร์ก่อนที่ผมออกมาพูดเรื่อง ธรรมะของพวกพราหมณ์ จนเดี๋ยวนี้ไม่อยู่ในพวกพราหมณ์ ไปอยู่ในหมาหมดแล้ว เออ, คุณ คุณฟังไว้สิ คุณที่นั่งอยู่ตรงนี้ใครเคยฟังบ้าง ที่ผมพูดวันก่อนเสาร์ถัดไปจากโน้น หา? เออ, นั่นแหละคุณไปคิดดูเถอะ มันมีอยู่ในพระไตรปิฎก ในคำพูดของพระพุทธเจ้า มันไม่น่าเชื่อ คล้าย ๆ ว่าท่านก็เป็น เป็นอะไรมันหยาบคาย มันด่าเขาอย่างหยาบคาย ไม่น่าเชื่อว่าเป็น เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า พวกพราหมณ์เดี๋ยวนี้ไปสมสู่กับวรรณะอื่นแล้ว ก่อนนี้พวกพราหมณ์เขาไม่สมสู่กับวรรณะอื่น เดี๋ยวนี้พวกพราหมณ์ไปสมสู่กับวรรณะต่ำทราม จัณฑาล คนชั้นต่ำสุดแล้ว แต่หมามันยังไม่ ไม่ ไม่ ไม่ทำ หมามันยังจะไม่ไปเสพกับสิ่งอื่นนอกจากหมาด้วยกัน ก่อนนี้พวกพราหมณ์จะอยู่กับสตรีเฉพาะเวลาที่ถูกต้อง คือมีฤดูมีอะไรเท่านั้นนะ เป็นครั้งคราว ตามฤดูที่ถูกต้อง แต่เดี๋ยวนี้พวกพราหมณ์เขาไม่เลือกฤดูแล้ว แต่หมายังเลือกฤดูอยู่ มีเสพกับเพศตรงกันข้ามเมื่อถึงฤดูเท่านั้น เป็นอย่างนี้เป็นต้น แล้วทำไมถึงไม่เกิดเรื่องไอ้ ไอ้ ไอ้พราหมณ์คนนั้นชกปากเอา เพราะมันว่ากันเกินขนาดนะ นี่มันก็ชักจะสงสัยเหมือนกัน เค้าความหลังนี้มันมี (นาทีที่ 1:41:04) อยู่เดิมจริงหรือเปล่า นี่พูดกันเฉพาะที่เป็นพระบาลีนะ คือ คือในพระไตรปิฎกนะ ไอ้ที่นอกพระไตรปิฎกก็ยังมีร้ายกาจกว่านี้มาก ผมไม่เชื่อ เพียงแต่ในพระไตรปิฎกเองนี่ก็ชักจะไม่ค่อยเชื่อ จะเป็นชั้นอรรถกถา ชั้นอะไรรอง ๆ ไปมันมีคำที่ไม่น่าเชื่อว่าพระพุทธเจ้าจะไม่ ร้ายกาจถึงขนาดนั้น โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงลัทธิอื่น พวกอรรถกถาจารย์พูดรุนแรงมาก พูดรุนแรงจนไม่มีอะไรเหลือ
เคี้ยวลูกสมอน่ะ อมไว้ มันจะ จะป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นเน่ากลิ่นเหม็น เศษอาหารที่ติดอยู่ในซอกฟันบ้าง ถ้ามี ไอ้ลูกสมอนี่จะหยุดการเน่า