แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ต่อไปนี้จะอนุโมทนาและให้พร เนื่องในวันปีใหม่ อนุโมทนาคือแสดงความยินดีพอใจ ในการกระทำของท่านทั้งหลาย ในการที่ได้ช่วยกันรักษาขนมธรรมเนียมประเพณีที่ดีที่งามไว้ คือการตักบาตรปีใหม่ และก็ทำอะไรอีกบางอย่างเพื่อปีใหม่โดยเฉพาะ เป็นประเพณีที่ดีสำหรับมนุษย์ สำหรับพุทธบริษัทโดยเฉพาะ ปีใหม่เป็นเรื่องของเวลาก็จริง แต่มันไม่ใช่ว่าเหมือนกันเวลาในหนึ่งปี มันย่อมเป็นเครื่องแสดงให้เห็นต่าง ๆ เป็นรอบ ๆ เช่นว่าฝนตกฤดูหนึ่ง แล้งฤดูหนึ่ง ทีนี้มันได้ผ่านไปแล้ว เป็นเครื่องวัดว่ามันผ่านไปแล้วหนึ่งปี เราถือโอกาสนี้ระลึกด้วยความไม่ประมาทในการเกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้ามันไม่มีความเจริญอย่างมนุษย์ ไม่ก้าวหน้าไปตามแบบของมนุษย์ มันก็ป่วยการ ไอ้ปีใหม่นี้เป็นเครื่องวัด มาคิดบัญชีกันเสียสักทีว่าได้ก้าวหน้าในความเป็นมนุษย์นี้อย่างไรบ้าง มนุษย์ต้องปฏิบัติธรรมะของมนุษย์ ถ้าไม่ปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์ มันก็ไม่เป็นมนุษย์ การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์นั้นก็คือการปฏิบัติธรรมะ ขอให้ถือเป็นหลักทั่วไปให้ใช้ได้ทั้งที่บ้านและที่วัด ว่าทำหน้าที่ของมนุษย์นั้นแหละคือการปฏิบัติธรรมะ เรื่องมารับศีล ทำจิตทำใจอะไรก็เรียกปฏิบัติธรรมะเหมือนกัน เพราะเป็นหน้าที่ของมนุษย์จะต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา โดยเฉพาะมนุษย์ที่เป็นพุทธบริษัทในพระพุทธศาสนา มันจะต้องมีหน้าที่ คือมีศีล สมาธิ ปัญญา เราจึงปฏิบัติธรรม ทั้งเพื่อความเป็นมนุษย์ รอดชีวิตอยู่ได้ แล้วก็มีศีล สมาธิ ปัญญาเพื่อความเป็นมนุษย์ที่ดี สมตามที่เป็นพุทธบริษัทในพระพุทธศาสนา เมื่อท่านทั้งหลายได้กระทำหน้าที่อันนี้ย่อมควรแก่การอนุโมทนา เพราะฉะนั้นจึงขออนุโมทนาและด้วยความหวังว่า คงจะรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีวิธีกรรมข้อนี้ไว้สืบไปตลอดกาลนาน เพื่อให้มนุษย์มีธรรมะเป็นเครื่องยึดถือประจำตัวประจำใจตลอดกาลนาน
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องว่าให้พร ตามประเพณีนั้นเอง ปีใหม่ก็ให้พรสำหรับปีใหม่ที่ดีกว่าปีเก่า ถ้าคนมันไม่รู้ว่ามีปัญหาอย่างไร มันก็คงจะคิดไปไม่ถูก ฉะนั้นเราจะต้องรู้ว่าปัญหามันกำลังมีอยู่อย่างไรในพวกเรา สิ่งที่ควรนึกคิดเป็นอย่างยิ่งก็คือว่าเรายังไม่มีความเป็นมนุษย์ที่เพียงพอ คือไม่มีความสุข สมกับคำว่าเป็นมนุษย์ อยากจะอ้างเอาข้อที่ว่า ยังนอนไม่ค่อยหลับ ยังปวดหัว ยังต้องกินยาปวดหัว กินยาแก้นอนไม่หลับ บางคนก็เลยไปถึงโรคประสาท เป็นโรคประสาท บางคนก็เลยไปถึงเป็นโรคจิต ก็มันไม่มีความสุขสมบูรณ์แจ่มใสสดชื่นตามที่มนุษย์ควรจะเป็น สู้หมาแมวเป็ดไก่ก็ไม่ได้ ดูลูกหมากลิ้งอยู่ด้วยความพอใจ ไม่มีความทุกข์ ไม่มีใครเคยเห็นลูกหมาปวดหัว ไม่มีใครเคยเห็นลูกหมานอนไม่หลับ ไม่มีใครเคยเห็นลูกหมาเป็นโรคประสาท ไม่มีใครเคยเห็นลูกหมาเป็นโรคจิต นี่พาลูกหมามาด้วยก็เพื่อให้ได้ทุกคนได้เห็นได้ดู มันกลิ้งอยู่ตรงนี้มันไม่มีปวดหัว ไม่มีนอนไม่หลับ ไม่มีประสาท ไม่มีโรคจิต ถ้าคนยังนอนไม่หลับ ยังต้องกินยานอนหลับ ก็ยังเสียใจแต่ว่ามันยังไม่ถึงขนาด คำนวณว่ายาแก้นอนไม่หลับ แก้ปวดหัว แก้โรคประสาทที่มนุษย์ทำขึ้นในโลกเวลานี้ คงเป็นตัน ๆ เป็นสิบตันเป็นร้อยตัน ยาแก้นอนไม่หลับและปวดหัว ก็กินกันหมด หมาไม่ต้องกินสักเม็ดหนึ่ง เป็ดไก่ก็ไม่ต้องกินสักเม็ดหนึ่ง ใครจะดีกว่าใคร นี่ก็คือปัญหาปัจจุบัน ในสถานะปัจจุบัน เราจะต้องแก้ไขกันอย่างไร ทำอย่างไร มนุษย์จึงจะนอนหลับ ไม่ปวดหัว ไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นโรคจิต มันตอบได้ง่าย ๆ นิดเดียว ว่ามีธรรมะ แต่ที่จะทำให้มีธรรมะนี่มันยาก มันไม่ง่ายเหมือนกับพูด ว่ามีธรรมะ แล้วก็มีอย่างไรนี้มันยาก
ก็สรุปความแล้วก็ว่าเรามันจะต้องปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับธรรมะ เช่นว่าเราจะต้องมีจิตใจที่เกลี้ยงยิ่งขึ้นทุกปี ทุกปี มีจิตใจเกลี้ยง ๆ ๆ ยิ่งขึ้นกว่าทุกปี จะไม่พูดว่าจิตว่าง จะพูดว่าจิตเกลี้ยง เพราะถ้าพูดว่าจิตว่างนะคนโง่มันไม่ชอบโว้ย พูดว่าจิตว่างนะ คนโง่มันไม่ชอบมันฟังไม่เข้าใจ ก็พูดว่าจิตเกลี้ยง ซึ่งมันก็เรื่องเดียวกันนะแหละ จิตเกลี้ยงคือมันไม่ความคิดประเภทว่าสกปรก ความคิดประเภทโลภะ โทสะ โมหะ มันไม่มี ความคิดประเภทโลภะ โทสะ โมหะนั้นมันเนื่องด้วยตัวตน โลภะก็เพื่อตัวตน โทสะก็เพราะตัวตน โมหะก็เพื่อตัวตน เรียกสั้น ๆ ว่าความคิดประเภทมีความหมายแห่งตัวตนนั้นทำให้จิตไม่ว่างไม่เกลี้ยง เราจะต้องรู้จักว่าจิตว่างหรือเกลี้ยงนั้นคือเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้สังเกตจิต คอยระวังจิต ศึกษาจิต ดูจิต มองจิตอยู่ตลอดเวลาที่อาจจะมอง มีว่างเมื่อไร ไปนั่งตรงไหน ก็มองเข้าไปภายในว่าจิตกำลังเป็นอย่างไร ถ้าจิตกำลังคิดนึกรู้สึกไปทางความหมายแห่งตัวตนเรียกว่าจิตมันไม่เกลี้ยง คือมันสกปรกด้วยกิเลสแห่งตัวตน ถ้าจิตมันอยู่ว่าง ไม่ได้มีความหมายแห่งตัวตน ถึงมันจะคิดนึกรู้สึกใด ๆ ก็มันไม่มีความหมายแห่งตัวตน ความรู้สึกคิดนึกอันนั้น มันสะอาด มันไม่สกปรก และมันไม่วุ่นวาย เราจึงเรียกว่าจิตไม่วุ่น จิตว่าง เรียกว่าจิตมันเกลี้ยงจากของสกปรกคือความคิดนึกมีความหมายแห่งตัวตน ถ้าไม่ไปนั่งสังเกตศึกษาให้มากพอ จะไม่รู้จักว่าจิตเกลี้ยงเป็นอย่างไร จิตสกปรกเป็นอย่างไร อาตมาเชื่อว่าจะต้องไปพยายามนั่งคอยกำหนดศึกษาว่าอย่างไรเกลี้ยง อย่างไรไม่เกลี้ยง อย่างไรเกลี้ยง อย่างไรไม่เกลี้ยง นี่เรื่อย ๆ ไปเลย สิบครั้ง ร้อยครั้ง พันครั้งก็ยิ่งดี จนรู้จักว่าจิตใจชนิดไหนมันเกลี้ยง มันสังเกตได้ง่าย ถ้ามันไม่รู้สึกว่าหนักหรือร้อนหรือมืดมัว หม่นหมอง เมื่อนั้นนะมันเกลี้ยง เมื่อใจสบาย รู้สึกสบาย เมื่อใดรู้สึกสบายให้รีบดูเถิด รีบดูไปในจิตใจว่าจิตใจมันกำลังเกลี้ยง เกลี้ยงคือพรรค์นั้นพรรค์นั้น เข้าใจให้ดี กำหนดไว้ให้ดี รักษาไว้ให้เกลี้ยงชนิดนั้นไว้เสมอ พอมันจะมืดมัวขึ้นมาเป็นหม่นหมอง เป็นตัวตน แล้วรีบตะเพิดตวาดออกไปว่าอันนี้ไม่เอา อันนี้ไม่เอา นี่ไม่ใช่ที่เราต้องการ นี่ไม่ใช่จิตใจของมนุษย์ เดี๋ยวมันก็เกลี้ยง มันเหมือนกับผี พอรู้จักแล้วก็หนีไปทันที เพราะเรารู้สึกว่านี้อ้าว, นี่ไม่เกลี้ยง แล้วมันก็ไปทันที มันก็จะเริ่มเกลี้ยง
ทีนี้มันไม่ได้สนใจ มันประมาท มันไม่ได้เคยพบว่าไม่เกลี้ยงหรือเกลี้ยงไหม ไม่เคยสนใจทั้งนั้น ปล่อยไปตามบุญตามกรรม คนคนนี้ยังไม่รู้ว่าจิตใจชนิดไหนเกลี้ยง จิตใจชนิดไหนไม่เกลี้ยง จึงขอร้องว่าต่อไปนี้ให้พยายามเฝ้าดูจิตใจของตนตลอดเวลาที่อาจจะทำได้ ที่จริงมันมีเวลามาก เวลาที่การงานยุ่งจนดูไม่ได้นั้นน้อยที่สุด เวลาที่เราว่างพอก็จะพิจารณาดูจิตใจนั้นมากที่สุดในวันหนึ่ง ๆ แต่เราไม่ทำเอง เวลาที่สิ้นสุดแห่งการงาน เวลาที่อยู่ในห้องน้ำ กำลังอาบน้ำ กำลังกินข้าว กำลังอยู่ในส้วม อะไรก็ตาม มันมีโอกาสที่จะดูว่าจิตใจเกลี้ยงหรือไม่เกลี้ยง ถ้าเกลี้ยงนั้นมันว่าง มันเย็น มันหยุด มันอิสระ มันพรรค์นี้แหละ ศึกษาให้เข้าใจและให้มันมีเกลี้ยงมากขึ้นทุกปี ๆ ๆ ก็เรียกว่าเป็นปีใหม่ที่ใหม่ คือดีกว่าปีเก่า ไม่ซ้ำกับปีเก่า เราจะต้องปรับจิตใจให้ดีขึ้นทุกปี ๆ ให้เห็นว่าสิ่งทั้งหลาย มันมีความเป็นเช่นนั้นเองของมันตายตัว ภาวะแห่งความเป็นเช่นนั้นเองมีอยู่เป็นระบบ ๆ ของคนเฉพาะคน ๆ ๆ สิ่งทั้งหลายต้องเป็นไปตามระบบ ความเป็นเช่นนั้นเองของมันเอง ตามเหตุปัจจัยของมันเอง ฉะนั้นอย่าเป็นทุกข์ อย่ารัก อย่าโกรธ อย่าเกลียด อย่ากลัว อย่าวิตกกังวล นั้นแหละมันจะแก้ได้ ไม่ต้องอายแมว คือโรคนอนไม่หลับจะไม่มาเบียดเบียน โรคปวดหัวจะไม่มาเบียดเบียน โรคประสาทจะไม่มาเบียดเบียน เราเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของสังขารทั้งหลายทั้งปวง จึงไม่ยินดีที่มายั่วยินดี ไม่ยินร้ายที่มายั่วยินร้าย มันก็ปกติ มันก็ว่าง มันก็เกลี้ยง จะต้องหาสิ่งซึ่งเป็นที่พึ่งแห่งจิตใจให้แน่นอน ให้มั่นคง เช่นว่ารู้จักพระพุทธเจ้าให้มากพอก็จะมีศรัทธาในพระพุทธเจ้าอย่างแน่นแฟ้น เหมือนกับปฏิบัติตามคำสอนอย่างแน่นแฟ้น ให้รู้จักพระธรรมว่าเป็นที่พึ่งได้จริง แล้วก็มีศรัทธาในพระธรรม ปฏิบัติพระธรรมอย่างเข้มแข็งมั่นคงแน่นแฟ้น รู้จักพระสงฆ์ว่ากำลังปฏิบัติถูกต้อง เอาเป็นตัวอย่างได้ แล้วก็มีศรัทธาในพระสงฆ์ ก็มีการปฏิบัติอย่างถูกต้องมั่นคงและก็แน่นแฟ้น นี้เรียกว่าศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันยิ่ง ๆ ขึ้นไป อย่าศรัทธาแต่ว่าศรัทธา ศรัทธาแต่ว่าเชื่อนั้นนะ มันยิ่งกว่างมงาย คือไม่รู้ว่าจะเชื่ออะไร เชื่องมงายก็ยังดีกว่านี้ ไม่รู้ว่าจะเชื่ออะไรแล้วว่าเชื่อ เชื่อนะถ้ามันไม่มีจุดวัตถุสำหรับเชื่อ มันเชื่อไม่ถูก มันต้องมีอะไรที่จะเชื่อ สำหรับจิตใจมันไปถือและไปเชื่อ สิ่งที่จะเชื่อก็สิ่งจะเป็นที่พึ่งได้ สิ่งใดจะเป็นที่พึ่งให้เราดับทุกข์ได้ ไอ้นั้นแหละเป็นสิ่งที่จะควรเชื่อ ต้องเชื่อ ศึกษาให้เข้าใจและความเชื่อมันเกิดเอง สัมมาทิฏฐิมีแล้ว ศรัทธามันย่อมจะมีเองและถูกต้องตามสัมมาทิฏฐิ ฉะนั้นเราจะรอดปลอดภัยได้อย่างไร เราก็ไปทำให้มันเกิดความเชื่อในสิ่งนั้น เช่น บ้านเรือน ประตู หน้าต่าง ฝาเรือน รั้ว รั้วบ้าน ถ้ามันยังไม่เป็นที่เชื่อว่าจะปลอดภัยก็ไปทำเสียให้มันปลอดภัย บุคคลที่อยู่อาศัยด้วยกันก็ปรับปรุงกันให้ดี ให้เชื่อได้ว่าไม่มีใครทรยศ กบฏ ไม่มีใครที่จะทำให้เรื่องเกิดขึ้น มันก็เชื่อกันอยู่ได้แค่ในหมู่บุคคลที่เกี่ยวข้องกัน การกระทำที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ ระบบการเงิน ระบบอนามัย ระบบการงาน ทำให้เป็นที่เชื่อได้ว่าปลอดภัย มั่นคงและปลอดภัย มีฐานะการเงินปลอดภัย มีอนามัยที่เป็นที่พอใจ มีทุน มีรับประกัน มีการประกันปลอดภัยอะไรเป็นที่พอใจ แล้วมันควรจะนอนหลับ ถ้ามันยังนอนไม่หลับ ก็ไม่มีใครช่วยได้ ถ้ามีศรัทธาถึงที่สุดในสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งที่พึ่งแล้ว มันยังนอนไม่หลับอีก คน ๆ นั้นมันบ้ามาก่อนแล้ว แก้ไขกันไม่ไหว
ขอให้ทำให้มันมีความเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่เราจะถือเอาเป็นที่พึ่ง เหมือนกับพูดเมื่อคืนโดยรายละเอียดมากมายแล้ว ไปจัดไปทำให้เป็นที่แน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้ไว้ใจได้ มีความมั่นใจ มีความแน่ใจ เรามีความเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นที่พึ่ง เรามีความแน่ใจมั่นใจว่าสิ่งนี้เป็นที่พึ่งได้จริง เราก็มีความจงรักภักดีในสิ่งที่ถือเอาเป็นที่พึ่ง คือไม่เอาสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง เช่นเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ก็ต้องมีสิ่งนี้เป็นที่พึ่ง ทีนี้มันไม่ฉลาดถึงขนาดนั้น มันไม่มองเห็นแจ่มแจ้งถึงขนาดนั้น ไม่มีความรู้ปัญญาถึงขนาดนั้น มันเลยมีที่พึ่งคือฟุ้งซ่าน ไม่แน่นอน เพราะกิเลสมันมาครอบงำมากเกิน มันไม่ต้องการที่พึ่ง มันต้องการแต่ความเอร็ดอร่อย สนุกสนาน เท่านั้นแหละ คิดดูให้ดี จิตใจของคน มันไม่นึกถึงที่พึ่งที่แท้จริงและถาวร มันต้องการแต่ความสนุกสนาน เอร็ดอร่อย มันจึงไม่ได้คิดเรื่องที่พึ่ง คิดแต่เรื่องสุขสนุกสนาน เอร็ดอร่อย เพราะมันเรียนมาโง่ ๆ จึงไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม มันก็รู้สึกเอาเอง ตามสัญชาตญาณว่าเกิดมาเพื่อความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อย ทุกคนไม่มีที่พึ่ง ไม่ได้หวังที่พึ่ง ทุกคนจึงไม่มีศรัทธา ยังไม่มีศรัทธานี่มันเลวมากนะ ยังไม่มีศรัทธานี่มันไม่มีอะไรจะเลวเท่าแล้ว เพราะมันเป็นจุดตั้งต้นของชีวิตจิตใจ จะต้องมีศรัทธาความเชื่อความแน่ใจในสิ่งที่เป็นที่พึ่งได้ จนกว่าจะหลุดพ้นจากความทุกข์ แล้วก็ไม่ต้องการที่พึ่ง เป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ต้องการที่พึ่ง ไม่ต้องมีศรัทธาในสิ่งใดก็ได้ แต่เรามันยังไม่เป็นพระอรหันต์ เรายังต้องมีสิ่งที่เป็นที่พึ่งและศรัทธาในสิ่งที่จะถือเอาเป็นที่พึ่ง ถ้าไม่มีศรัทธา มันไม่มีอะไรกระตุ้นให้ทำ ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์อันเป็นที่พึ่ง เราจะต้องเข้าใจในสิ่งที่เป็นที่พึ่งเสียก่อนและมีศรัทธา มีแรงกระตุ้นให้เกิดวิริยะ ให้เกิดการกระทำ เรื่อยไปจนถึงที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์
ฉะนั้นขอให้ทุกคน ปีใหม่นี้ มีศรัทธาเพิ่มขึ้น มีปัญญาที่จะหล่อเลี้ยงศรัทธาให้มากขึ้นและมีความสุขที่เกิดมาจากศรัทธามากขึ้น คือนอนหลับมากขึ้น ปวดหัวน้อยลง โรคประสาทน้อยลง โรคจิตน้อยลงจนหายไปหมด ก็เลยไม่อายแมว เราไม่ต้องอายแมว เรามีธรรมะในพระพุทธศาสนา ขอให้ถือว่าถ้ามันเป็นชาวพุทธแท้จริง มันหมดปัญหา ถ้าเป็นชาวพุทธแท้จริงจะหมดปัญหา พูดวิทยุนัดหน้าจะพูดด้วยหัวข้อว่าถ้าเป็นชาวพุทธแท้จริง ปัญหาจะหมด จะหมดปัญหา ถึงพูดเสียวันนี้ก่อน ให้ถือว่าถ้าเป็นชาวพุทธแท้จริงจะหมดปัญหา จะไม่มีความทุกข์ในแง่ใด จะมีแต่ความสุขความเจริญในทุก ๆ แง่ทุกมุม นี้ก็คือการให้พรปีใหม่ในวันนี้ ใครรับเอาได้ก็รับเอาไป ใครรับไม่ได้มันก็ทิ้งอยู่ที่นี้ ก็กลับไปเท่าเดิม เรื่องนี้มันช่วยกันไม่ได้ มันเป็นถึงตอนที่จะต้องปฏิบัติ ถ้าใครปฏิบัติ คนนั้นมันก็มีมันก็ได้สิ่งที่เรียกว่าพรปีใหม่ มัวแต่ส่งบัตร มัวแต่ร้องเพลง มัวแต่ทำอบายมุข มันจะมีความทุกข์ปีใหม่ จะไม่มีความสุขปีใหม่ ระวังให้ดี ขอให้มีความแน่ใจในการที่จะรู้จักตัวเองในความเป็นมนุษย์ ทำหน้าที่ของมนุษย์ ชื่อว่าได้ปฏิบัติธรรมะ แล้วก็มีความสุขอันเกิดจากธรรมะซึ่งมีศรัทธา มีปัญญา เป็นพื้นฐานเป็นหลักเป็นประธานอยู่ด้วยกัน จงเป็นสุขเถิด
(เสียงสวดมนต์ นาทีที่ 27:30 – 31:43)