แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านอาจารย์เริ่มการแสดงธรรม: ณ บัดนี้จะได้วิสัชชนาพระธรรมเทศนา เป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย พอจะยุติเวลาด้วยเวลา อีกประการหนึ่งก็เพื่อเป็นการตระเตรียมจิตใจของท่านสาธุชนทั้งหลายให้พร้อมพรั่ง ในอันที่จะประกอบพิธีอาสาฬหบูชาในวันนี้ดังที่ทราบกันอยู่เป็นอย่างดีแล้วว่า เป็นวันอาสาฬหปุณณมี เป็นวันสำคัญในพระพุทธศาสนา จึงมีการประกอบพิธีเป็นพิเศษอย่างที่เห็นได้ในวันนี้ก็ว่า อุตส่าห์มากันจนถึงที่นี่ด้วยความยากลำบากและความหมดเปลือง เพื่อว่าจะกระทำให้ดีที่สุด นับตั้งแต่ว่าจะกระทำในบรรยากาศที่คล้ายๆ กันกับในวันอาสาฬหปุณณมี ที่พระพุทธเจ้า ท่านได้ตรัสธรรมเทศนา ธรรมจักกัปปวัตตนสูตร ในป่า อิสิปตนมฤคทายวัน เราพยายามที่ทำในใจว่า ป่านี้ก็เป็นป่าเช่นเดียวกันนั้นที่มีในอุทยาน ชื่อว่าอิสิปตนะ เป็นที่ให้อภัยแก่เนื้อทั้งปวง บรรยากาศเช่นนี้ เพื่อทำให้จิตใจเหมาะสม ในการที่จะเข้าใจในธรรมเทศนานั้น นี้ก็เป็นเหตุผลอันหนึ่ง ที่ว่าจะต้องมาทำพิธี อาสาฬหบูชา ในสถานที่นี้ ในโอกาสเช่นนี้ในบรรยากาศเช่นนี้ให้มีผลดีมากขึ้นไปนั่นเอง ทีนี้ทางหนึ่งก็เกี่ยวกับจิตใจ ในภายใน ขอให้ท่านทั้งหลายทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ส่วนนั้นด้วย เพื่อให้มีจิตใจ ละเอียดปราณีตสุขุมเพียงพอ ที่จะให้ระลึกนึกถึง เหตุการณ์ในครั้งนั้นและเข้าใจธรรมเทศนา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในโอกาสเช่นนั้นและเข้าใจในความหมายอื่นๆที่เนื่องถึงกันและกันอันจะพึงมีแก่สัตว์โลกทั้งปวง นี่เราจะทำพิธีอาสาฬหบูชา ก็ด้วยหวังว่าจะให้สำเร็จประโยชน์เต็มตามนี้ ส่งเสริมศีลธรรมของมนุษย์เราให้ดียิ่งๆขึ้นไป ส่งเสริมปฎิบัติธรรม ในชั้นปรมัตถธรรม ให้ลึกซึ้งกว้างขวาง สว่างไสวยิ่งๆขึ้นไป ให้สำเร็จประโยชน์ โดยสมควรแก่ฐานะ ของตนของตน ทุกประเภทแห่งบุคคลในโอกาสนี้ อาตมาจะได้แสดงธรรมเทศนา เพื่อชักจูงจิตใจให้มีความเข้าใจมีความเลื่อมใสในความหมาย แห่งวันอาสาฬหบูชาเท่าที่จะมากได้ เมื่อท่านทั้งหลายเข้าใจมีจิตใตพอใจเลื่อมใสแล่นไปในความหมายแห่ง อาสาฬหบูชาแล้ว การกระทำของเราในวันนี้ก็จะมีผลใหญ่จะมีอานิสงส์ใหญ่ สมตามความปรารถนาทุกๆประการ
ธรรมเทศนาในโอกาสเช่นนี้เคยมีมาแล้วหลายครั้งหรือหลายสิบครั้งก็ว่าได้ โดยหัวข้อที่ยกมาแสดงนั้นต่างๆกันในวันนี้จะแสดงด้วยความมุ่งหมายเหมือนกับว่าตั้งหัวข้อไว้ว่า โลกเราจะได้อะไรในวัน อาสาฬหบูชา ในฐานะเป็นสิ่งสูงสุด ของย้ำอีกทีหนึ่งว่า เรากำลังจะพูดกันโดยหัวข้อว่า โลกมนุษย์เราจะได้อะไรในวัน อาสาฬหบูชานี้ ในฐานะเป็นสิ่งสูงสุด ท่านทั้งหลายก็เคยทำ อาสาฬหบูชามาแล้วหลายครั้งหรือหลายสิบครั้ง ก็เคยคิดนึกหรือเปล่าว่า เราได้อะไร หรือมนุษย์เราทั้งหมดนี้ได้อะไร เนื่องในวันอาสาฬหบูชา ซึ่งเป็นวันมีความหมายเป็นวัน อาสาฬหปุณณมี ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมโปรดปัญจวัคคีย์ นึกก็ว่าในฐานะเป็นสิ่งสูงสุดด้วย ในพระธรรมเทศนานั้นมีอะไรเป็นสิ่งสูงสุดดังนี้ ถ้าไม่เคยคิดนึกไม่รู้สึกไม่เข้าใจก็จะได้ทำความเข้าใจกันในวันนี้ ถ้าถามว่าในวันอาสาฬะ นี้ โลกได้รับอะไรจ ากพระพุทธองค์ ก็พระพุทธองค์ทรงแสดงธัมมจักร ประกาศอริยสัจจ์ ก็พูดกันว่าโลกได้รับความรู้เรื่องอริยสัจจ์นี่ไม่ค่อยจะมีความหมายที่จะให้เข้าใจลึกซึ้งลงไปยิ่งกว่านั้นอาตมาจึงตอบเสียหน่อยว่าในวันอาสาฬหนี้โลกได้รับสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ คือหาพบแล้ว ทรงเคารพต่อสิ่งนั้นอย่างสูงสุด แล้วก็นำสิ่งนั้นมาเปิดเผยแก่หมู่สัตว์เป็นครั้งแรกซึ่งรู้จักกันว่าอริยสัจจ์ แต่พระองค์ได้ตรัสเรียก อริยสัจจ์นี้โดยชื่ออย่างอื่นก็มี ซึ่งมีความหมายลึกดังบทพระบาลีนิเขภบทนั้ว่า (นาทีที่ 19:13 -19:21) จัตตาริมานิ ภิกฺขเว ตถานิ อาวิตตถานิ อานันยถานิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายตถา มีอยู่ ๔ อย่างเหล่านี้อันไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น อันไม่เป็นอื่นไปจากความเป็นอย่างนั้น (นาทีที่ 19:30 - 19:45) อิทัง ทุกขัง อภิขเว ตัตถเมตัง อวิ ตัตถเมตัง อานันยถเมตัง ภิกษุทั้งหลาย ความเป็นอย่างนั้นความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น ความไม่เป็นอย่างอื่นนอกไปจากนั้น นั่นคือความทุกข์ เป็นอย่างนี้อย่างนี้ (นาทีที่ 20:00-20:09) อิทัง ทุกขสมุทโย ติภิกขเว ตัตถเมตัง อวิ ตัตถเมตัง อานันยถเมตัง ดูก่อนภิกษุทั้งหลายความเป็นอย่างนั้นความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้นความเป็นอย่างอื่นจากความเป็นอย่างนั้นคือนี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ทุกขนิโรโธ(นาทีที่ 20:20) ติภิกขเว ตัตถเมตัง อวิ ตัตถเมตัง อานันยถเมตัง ดูก่อนภิกษุทั้งหลายความเป็นอย่างนั้นความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้นความไม่เป็นโดยประการอื่นจากนั้นคือนี้เป็นความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ อิทัง ทุกขนิโรโธ คามินีปฏิปทา อริยสัจจัง (นาทีที่ 20:46-20:51) ตัตถเมตัง อวิ ตัตถเมตัง อานันยถเมตัง นี้ความเป็นอย่างนี้ ความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนี้ ความไม่เป็นอื่นจากความเป็นอย่างนี้ คือหนทางแห่งความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ดังนี้ นี้คือสิ่งที่พระองค์ทรงค้นพบเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งต่างไปจากที่ได้ยินว่า ทุกขัง อริยสัจจัง ทุกขสมุทโย อริยสัจจัง ถึงเรียกอริยสัจจ์ท่านกลับเรียกว่า ตถา ตถามีความหมายว่าเป็นอย่างนั้น อริยสัจจ์แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ บางทีท่านเรียกของสี่อย่างนี้ว่าความจริงอันประเสริฐ แต่ในกรณีอื่นท่านเรียกว่า ตถา ฟังดูแล้วก็น่าขันที่ว่าความเป็นอย่างนั้นความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้นความไม่เป็นอย่างอื่นนอกไปจากความเป็นอย่างนั้น ก็ยืนยันว่าอริยสัจจ์นี้ เป็นอย่างนี้ หรือว่าจะเป็นอย่างนั้นก็แล้วแต่จะใช้คำไหน คือมันเป็นไปตาม เรื่องของ อริยสัจจ์ เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของอริยสัจจ์ แน่นอนตายตัว ตามกฎเกณฑ์ของ อริยสัจจ์ท่านจึงว่าไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้นหรือไม่เป็นอย่างอื่นนอกไปจากความเป็นอย่างนั้น นี่ท่านทั้งหลายจะไม่เคยได้ยินและก็ไม่เคยคิดความหมายส่วนนี้ หมายความว่าเรื่องที่เกี่ยวกับ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับแห่งทุกข์ ทางให้ถึงความดับแห่งทุกข์นั้นท่านเรียกว่า ตถา คือความเป็นอย่างนั้น เรียกว่า ตถตา ก็ความหมายเดียวกัน เรียกว่า อวิตถา หรืออวิตถตา คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น อนัญญถา หรือ อนัญญถตา ความไม่เป็นไปโดยประการอื่นจากความเป็นอย่างนั้น อิทัปปัจจยตา คือความที่เพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ปฏิจฺจสมุปฺปาโท เป็นธรรมที่อาศัยกันแล้วเกิดขึ้นเรารู้จักกันแต่ว่า อริยสัจจ์ ๔ เป็นความจริงอันประเสริฐแต่เดี๋ยวนี้มาบอกไปอีกทางหนึ่งว่ามันได้แก่ความเป็นอย่างนั้น ไม่อาจจะเป็นอย่างอื่น คือความที่เพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น หรือเพราะการที่ได้อาศัยกันแล้วจึงเกิดขึ้น ไม่มีตัวตนแห่งตัวมันเองต้องมีเหตุปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วก็ปรุงแต่งให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นมา โดยสมควรแก่สิ่งซึ่งเป็นเหตุเป็นปัจจัยนั้น ความเป็นอย่างนี้ก็เรียกว่า ตถา เป็นต้น แต่ท่านทรงสรุปความทั้งหมดไว้ว่า อิทัปปัจจยตา ความสำคัญอยู่ที่คำว่า อิทัปปัจจยตา แปลว่าความที่มีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น หรือถ้าขยายความออกไปก็ว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ นี่คือกฎอิทัปปัจจยตา ความเป็นกฎของธรรมชาติ หรือเป็นกฎของธรรมชาติอันสูงสุด ซึ่งจะต้องพิจารณาดู ให้รู้ว่านี่เป็นสิ่งสูงสุด ในฐานะที่เปรียบกันได้กับพระเป็นเจ้าอันสูงสุด ธรรมะนี้เป็นสิ่งสูงสุด หรือเปรียบได้กันกับพระเป็นเจ้าอันสูงสุด นั้นมีความหมายมากที่จะได้พูดกันต่อไปทีละข้อ สูงสุดก็คือว่าเหนือสิ่งทั้งปวง แล้วก็สูงสุดก็เพราเหตุที่ว่าเป็นที่เคารพของ พระพุทธเจ้าเอง เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทรงดำริว่าจะมีอะไรเป็นที่เคารพ ได้ตรัสรู้ ธรรมะอันสูงสุดนี้แล้วจะมีอะไรเป็นที่เคารพ ทรงคำนึงไปถึงสิ่งต่างๆ หรือทุกสิ่งที่เขาเคยเคารพกันอยู่ ก็ไม่เห็นมีอะไรที่สมควรแก่การเคารพของพระองค์ ยังเหลืออยู่สิ่งเดียว ก็คือ ธรรมะที่ตรัสรู้นั่นเอง ท่านลองคิดดูว่า ธรรมะที่ตรัสรู้โดยตรงเองนั่นแหละเป็นสิ่งที่ท่านทรงเคารพ ไม่มีสิ่งอื่นยิ่งไปกว่านี้ที่จะต้องเคารพ จึงถือว่าสิ่งที่ตรัสรู้นั่นแหละ คือสิ่งสูงสุดจนพระพุทธองค์ทรงเคารพ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า กฎอิทัปปัจจยตา นั้นครอบงำสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่มีสิ่งใด ที่อยู่นอกอำนาจของกฎอิทัปปัจจยตา สิ่งใดทั่วไปทุกหนทุกแห่ง ทั่วทั้งสากลจักรวาล ก็ล้วนแต่อยู่ภายใต้อำนาจกฎอิทัปปัจจยตา
อิทัปปัจจยตาในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาติสิงสถิตอยู่ในทุกสิ่งลึกซึ้งถึงในทุกๆปรมาณูถ้าท่านผู้ใดเคยเรียนวิทยาศาสตร์มาบ้างก็จะรู้ว่า ส่วนเล็กที่สุดของทุกๆสิ่งนั้นคือปรมาณู ปรมาณูมันเล็กเหลือที่จะวัดได้เหลือที่จะกล่าวได้ ด้วยสำนวนธรรมดา ในทุกๆปรมาณูนั้นมีกฎของอิทัปปัจจยตาสิงอยู่ควบคุมอยู่ครอบงำอยู่ มันจึงครอบงำทุกสิ่งเพื่อคนที่ยังไม่เคยรู้เรื่องนี้ ก็จะบอกกันคร่าวๆว่าในร่างกายคนเราก็ดี ประกอบอยู่ด้วยปรมาณูเป็นอันมากทุกๆปรมาณูมีกฎของอิทัปปัจจยตาสิงอยู่ควบคุมอยู่ ในร่างกายสัตว์เดรัจฉานก็ดีในทุกๆปรมาณูแห่งร่างกายของสัตว์เดรัจฉานนั้นมีกฎของอิทัปปัจจยตาสิงอยู่ครอบงำอยู่ หรือว่าในต้นไม้ต้นไร่ที่เห็นอยู่โดยรอบมีชีวิตเหมือนกันนี้ในทุกๆปรมาณูของต้นไม้นั้นก็มีกฎของอิทัปปัจจยตาสิงอยู่ แม้ในสิ่งที่ไม่มีชีวิตเช่นก้อนหินทั้งหลายเหล่านี้ดินทราย อะไรก็ตาม แม้ไม่มีชีวิตแล้วในทุกๆปรมาณูของสิ่งเหล่านี้มีกฎของอิทัปปัจจยตาสิงอยู่ คิดดูเถอะว่าอิทัปปัจจยตานั้นจะไม่สูงสุดได้อย่างไร นี่เรียกว่ากฎของอิทัปปัจจยตา ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้ในวันวิสาขปุณณมี ที่เรียกกันว่าวันตรัสรู้นั้น เป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบกฎของอิทัปปัจจยตา เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาทก็ได้ คืออริยสัจจ์ ๔ นั่นเอง เรียกโดยคำว่า ตถาตา อวิตถตา อนัญญถตา อย่างนี้ก็ได้ เรียกว่า ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา ดังนี้ก็ได้ ความหมายมันเป็นอันเดียวกันหมด คือมันเป็นอย่างนั้นโดยกฎของตัวมันเอง ธัมมัฏฐิตตา-ความตั้งอยู่โดยธรรมดาเช่นนั้น ธัมมนิยามตา-เป็นกฎตายตัวของธรรมดา ตถาตา-ความเป็นเช่นนั้น อวิตถตา-ความไม่เป็นโดยประการอื่น อนัญญถตา-ความไม่เป็นโดยประการอื่นไปจากความเป็นอย่างนั้น นี่เรียกว่ากฎของอิทัปปัจจยตา จะแจกไปในรูปของอริยสัจจ์ ๔ ก็ได้ จะแจกไปในรูปของปฏิจจสมุปบาทก็ได้ แต่โดยเนื้อแท้แล้ว อริยสัจจ์ ๔ก็ดี ปฏิจจสมุปบาทก็ดี เป็เรื่องเดียวกันเราจึงกล่าวได้สั้นๆว่าสิ่งที่ตรัสรู้หรือสิ่งที่ทรงค้นพบนั้นคือกฎของอิทัปปัจจยตา ของให้ท่านทั้งหลายสนใจในคำแปลแปลกๆใหม่คำนี้ไว้ อิทัปปัจจยตา บางคนไม่เคยได้ยิน บางคนได้ยินบ้างก็งงๆอยู่ ขอให้คำว่า อิทัปปัจจยตา นี่แหละ เป็นคำที่แพร่หลายคุ้นกับปากที่จะพูด คุ้นกับจิตใจที่จะเข้าใจกันเสียทุกๆคนเถิด จึงจะไม่เสียทีที่เกิดเป็นพุทธบริษัทนับถือพระพุทธศาสนา
ทีนี้พิจารณากันต่อไปว่าพระองค์ตรัสรู้นั้นคือทรงพบ หาพบกฎอิทัปปัจจยตา ท่านพบกฎของอิ- ทัปปัจจยตาแล้วก็ทรงเคารพกฎนั้นคือธรรมที่ตรัสรู้นั้นในฐานะเป็นสิ่งสูงสุด แล้วจึงทรงนำมาเปิดเผยแก่โลก อิทัปปัจจยตาจึงเป็นสิ่งสูงสุดในฐานะเป็นพระเจ้าคือสิ่งสูงสุด ทีนี้ยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือว่า เหมือนกับเป็นพระเจ้าผู้สร้างทุกสิ่ง ท่านควรจะนึก(นาทีที่ 32:51) ตามท้าวแห่ง สัจธรรมข้อนี้ว่าแต่ก่อนนี้ไม่มีอะไร แต่ก่อนนี้แรกเริ่มเดิมทีไม่มีอะไรมีแต่กฎอิทัปปัจจยตา แล้วกฎนี้เป็นสิ่งที่บังคับให้เกิดมีอะไรขึ้นมา ก่อนแต่มีดวงอาทิตย์ ก่อนแต่มีดวงจันทร์ ก่อนแต่มีจักรวาลทั้งหลาย มีอยู่แต่กฎของอิทัปปัจจยตาควบคุบบังคับให้เกิดสิ่งต่างๆขึ้นมา จึงได้เกิดสิ่งต่างๆขึ้นมาตามลำดับ ก่อนนี้ดวงอาทิตย์ก็ไม่มียกตัวอย่าง เพราะกฎของอิทัปปัจจยตา ดวงอาทิตย์จึงมี ก็ต้องเรียกว่ากฎอิทัปปัจจยตาสร้างดวงอาทิตย์และสร้างโลกนี้ซึ่งก็เป็นสะเก็ดหนึ่งของดวงอาทิตย์ก็ตามหรือว่าเป็นหมอกเพลิงเนื่องด้วยอำนาจบีบคั้นของดวงอาทิตย์มันเกิดเป็นของแข็งเป็นโลกขึ้นมาก็ตามเนี่ยจักรวาลหนึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางมีอะไรต่างๆแวดล้อมนั้นมันก็เกิดขึ้นมาโดยกฎอิทัปปัจจยตา แล้วมันจะมีกี่จักรวาลกี่ร้อยกี่หมื่นจักรวาลก็ตามมันเกิดขึ้นมาทำนองเดียวกันคือเกิดมาจากอำนาจแห่งกฎอิทัปปัจจยตา ซึ่งมีอยู่ก่อนสิ่งใดพูดเป็นภาษาธรรมดาก็หมายความว่ากฎของธรรมชาติมีอยู่ก่อนสิ่งใดแล้วกฎของธรรมชาตินั้นไปสร้างธรรมชาติทั้งหลายขึ้นมา ธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นมาเพราะอำนาจกฎของธรรมชาติ ดังนั้นกฎของธรรมชาตินั่นเองเป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวง
กฎธรรมชาตินั้นก็คือกฎอิทัปปัจจยตา ดังนั้นกฎอิทัปปัจจยตาจึงเป็นเสมือนพระเจ้าผู้สร้างโลกขึ้นมาแล้วก็ควบคุมโลกทุกโลกลึกซึ้งถึงทุกๆปรมาณู เรียกว่า กฎอิทัปปัจจยตาสูงสุด ราวกับว่าหรือไม่ต้องราวกับว่าหรอกคือเป็นจริงๆเลยว่ากฎอิทัปปัจจยตานั่นแหละเป็นผู้สร้างโลกขึ้นมา เมื่อผู้สร้างโลกนี่เรียกกันว่าพระเจ้ากฎของอิทัปปัจจยตา จึงเป็นพระเจ้าด้วยผู้สร้างโลก พระพุทธองค์ทรงค้นพบพระเจ้า พระเจ้านี้ พระเจ้ากฎอิทัปปัจจยตา แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงเคารพ กฎอิทัปปัจจยตา หรือเคารพพระเจ้าสูงสุดนี้ นี่คิดๆดูเถิดพุทธบริษัทเราก็มีพระเจ้าที่สูงสุดที่พระพุทธองค์ก็ทรงเคารพอย่างนี้แล้ว ยังจะโง่ไปหาพระเจ้าที่ไหนกันอีกเล่า โง่ไปหาพระเจ้าที่เป็นผีสางเทวดาเป็นพระอินทร์ พระพรหม ยม ยักษ์อะไรก็ตาม มันเป็นความโง่ ไม่รู้จักพระเจ้าอันสูงสุดและแท้จริง ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเคารพทันทีที่ได้ค้นพบแล้วนำมาสอนเราคือสอนเรื่อง
อิทัปปัจจยตา นี่บางคนคงจะไม่ยอมรับ แล้วจะคิดว่าอาตมาหลอกให้เชื่อเรื่องประหลาดๆอะไรอีกเรื่องนึงก็ได้ กฎอิทัปปัจจยตาหรือกฎของธรรมชาตินั่นแหละเป็นพระเจ้ามีอยู่แล้วในพระพุทธศาสนา พุทธบริษัทโง่ก็ไปหาพระเจ้าอื่นนอกไปจากพุทธศาสนา ถ้าเป็นพุทธบริษัทจริง รู้ธรรมะของตนจริงในพระพุทธศาสนานี้แล้ว ก็จะต้องถือเอากฎอิทัปปัจจยตาซึ่งเป็นกฎธรรมชาตินั่นแหละว่า เป็นพระเจ้าอันสูงสุด ไม่มีพระเจ้าใดเสมอเหมือน ที่เขาพูดกันว่าพระเจ้าสร้างโลกคิดดูเถอะพระเจ้าไหนสร้างโลก พระเจ้าที่เป็นคนเหมือนๆกับคนนี่จะสร้างโลกได้อย่างไร เดี๋ยวนี้พระเจ้าที่เป็นกฎของธรรมชาติอันมิใช่คนอันไม่เหมือนคนเป็นกฎสูงสุดของธรรมชาติ กฎอิทัปปัจจยตา นั่นแหละสร้างสิ่งทั้งปวงให้เกิดขึ้นให้ค่อยๆเกิดขึ้นจนเต็มไปหมดที่รู้จักกันว่าสากลจักรวาล คือเป็นจักรวาลอันมากมายหลายหมื่นจักรวาล แต่ละจักรวาลประกอบไปดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ดวงดาวกลุ่มหนึ่งกลุ่มหนึ่งนี่เป็นผู้สร้างโลก สร้างโลกแล้วก็ควบคุมโลกทุกๆปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นโลกโดยเหตุเป็นกฎของธรรมชาติจึงสามารถเข้าไปควบคุมทุกๆปรมาณูในที่ทุกหนทุกแห่ง
พวกผู้รู้ฝ่ายมหายานเขาพูดเป็นสำนวนล้อเลียนว่า แม้แต่ในกองขี้หมา พระเจ้าแช่นพระพรหม พระอิศวร พระนารายนั้นเข้าไปอยู่ในกองขี้หมาได้ แต่พระเจ้าที่เป็นกฎของอิทัปปัจจยตา นั้นเข้าไปอยู่ในทุกๆปรมาณูของทุกๆสิ่ง แม้ทุกๆปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นกองขี้หมา ถ้าพูดว่าพระเจ้าเข้าไปควบคุมอยู่ในทุกสิ่งแล้ว มันจะต้องเป็นพระเจ้าชนิดนี้เท่านั้นแหละ ที่จะไปควบคุมอยู่ได้ในทุกสิ่งๆ ทุกหนทุกแห่งทุกเวลานั่นให้คอยดูอำนาจอันใหญ่ยิ่งของกฎอิทัปปัจจยตาที่เข้าไปควบคุมอยู่ในทุกๆปรมาณู ที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาล ทุกๆจักรวาล กฎอิทัปปัจจยตามีอำนาจสร้าง กฎอิทัปปัจจยตามีอำนาจควบคุม กฎอิทัปปัจจยตามีอำนาจทำลายยกเลิกเสียเป็นครั้งเป็นคราว ดังกฎเกณฑ์ที่ว่าเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป
ในโลกหรือจักรวาลนี้ นั้นก็มีการเกิดขึ้น แล้วมันก็มีการตั้งอยู่ชั่วขณะนึง แล้วมันก็จะดับไป แล้วมันก็จะเกิดใหม่ แล้วมันก็ตั้งอยู่ แล้วมันก็จะดับไป สากลจักรวาลเป็นเช่นนี้ด้วยอำนาจของกฎอิทัปปัจจยตา แม้ในร่างกายเรานี้ก็มีสิ่งที่ ตั้งอยู่เกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปทุกๆปรมาณู หรือทุกกลุ่มที่ประกอบด้วยปรมาณู เหลียวไปทางไหนก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปด้วยสติปัญญาลึกซึ้ง เรียกว่าคนนั้นมันเห็นพระเจ้า เห็นพระเจ้าคือเห็นพระเจ้าอิทัปปัจจยตา เห็นพระเจ้าที่เรียกว่ากฎอิทัปปัจจยตา มันก็เชื่อเพราะเห็นชัดอยู่ไม่ต้องเชื่อตามคนอื่นเชื่อตามคนอื่นใช้ไม่ได้ เชื่อตามคนอื่นนั้นพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าใช้ไม่ได้แม้เชื่อพระองค์เองก็ยังใช้ไม่ได้ให้ไปอ่านดูตามกาลมสูตร อย่าเชื่อเพราะว่าคนนี้มันน่าเชื่อ อย่าเชื่อเพราะว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา อย่างนี้มันรวมพระพุทธเจ้าด้วย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่าเพิ่งเชื่อ ต้องดูให้เห็นชัดด้วยความรู้สึกของตนเองเสียก่อนแล้วจึงเชื่อ เดี๋ยวนี้เราก็เห็นความตั้งอยู่เกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แล้วเราก็เชื่อ เราไม่เชื่อเพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เรายังไม่เชื่อ จนกว่าเราจะรู้สึกด้วยตนเองเสียก่อนว่ามันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปจริงๆ เพราะว่าทุกสิ่งนั้นมันอยู่ใต้อำนาจของกฎอิทัปปัจจยตา ทุกส่วนแห่งร่างกายเรา ผมขนและฟันหนังก็ดีกำลังเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปตามกฎอิทัปปัจจยตา แม้ว่าจะดูให้ลึกลงไปถึงทุกปรมาณูหนึ่งๆปรมาณูหนึ่งๆที่ประกอบกันขึ้นเป็นผมเป็นขนเป็นหรือฟันหนังก็ตาม ทุกๆปรมาณูมันก็มีอาการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป
ถึงแม้จะวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็ยอมรับข้อที่เปลี่ยนแปลงในหนึ่งปรมาณู มันก็หมุนอยู่รอบๆของการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป อนุภาคที่เป็นบวก อนุภาคที่เป็นลบนั่นแหละทำหน้าที่ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปพระเจ้าอันสูงสุดเข้าไปควบคุมทุกๆปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นสากลจักรวาล กฎอันนี้คือกฎอิทัปปัจจยตา สร้างโลกควบคุมโลกทำลายโลกก็เป็นใหญ่กว่าสิ่งทั้งปวงแล้วก็มีอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่งไอ้สิ่งที่เรียกว่าปรมาณูอยู่ที่ไหนในนั้นก็มีกฎอิทัปปัจจยตา มันจึงมีอยู่ทุกแห่งแล้วเป็นกฎที่มันมีความรู้ครบถ้วนคือ กฎอิทัปปัจจยตาสร้างขึ้นมาได้ทุกสิ่งดังนั้นมันก็เหมือนกับมันมีความรู้ทุกสิ่ง มันจะสร้างดินน้ำลมไฟสร้างอากาศสร้างน้ำสร้างรูปสร้างอะไรได้หมด มันเป็นกฎที่มนุษย์รู้แล้วก็จะสร้างอะไรได้โดยอำนาจของกฎนั้น เช่นกฎวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันนี้มันก็คือกฎอิทัปปัจจยตานั่นเอง แต่มันเป็นส่วนนั้นเฉพาะส่วนนั้น เฉพาะที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงส่วนนั้น เช่นวิทยาศาสตร์ของนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันนี้มีความรู้มากพอที่จะทำยานอวกาศไปดวงจันทร์ไปอะไรก็ตามที่เขาไปๆกันอยู่ทั้งหมดนี้ ก็ไม่พ้นไปจากกฎของอิทัปปัจจยตาที่ว่าเพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ๆไม่มี สิ่งนี้สิ่งนี้ก็ไม่มี สิ่งนี้ๆ ดับสิ่งนี้ก็ดับ กฎเกณฑ์แห่งสิ่งทั้งปวงก็ให้ในโลกนี้เป็นอย่างนั้นเครื่องยนต์กลไลทั้งหลายทั้งกี่ร้อนอย่างกี่พันอย่างมันก็อยู่ในกฎเกณฑ์อันนี้ จึงเรียกว่ากฎอิทัปปัจจยตานี้ มันครอบงำอยู่ทุกสิ่งหรือสามารถเกิดได้ทุกสิ่ง จึงเรียกว่าเหมือนกับพระเป็นเจ้าที่รู้ทุกสิ่ง บทนิยามสำหรับพระเจ้าหรือพระเป็นเจ้าก็มีอยู่สั้นๆว่าสร้างสิ่งทุกสิ่งควบคุมสิ่งทุกสิ่ง ทำลายเลิกล้างสิ่งทุกสิ่งมี่อยู่ในที่ทั้งปวงเป็นใหญ่กว่าสิ่งทั้งปวงรู้สิ่งทั้งปวง พระเจ้าที่เป็นคนๆ จะทำอย่างนี้ได้ไหม แต่พระเจ้าที่เป็นกฎธรรมชาติคือ กฎอิทัปปัจจยตา ทำได้ ทำได้อย่างที่ท่านเองก็มองเห็นว่า มันเป็นกฎธรรมชาติมันลึกซึ้งจนสร้างปรมาณูสร้างทุกสิ่งทุกอย่างที่จะประกอบกันขึ้นเป็นปรมาณูจะเป็นจักรวาลทั้งหลายทั้งหมดที่ประกอบอยู่ด้วยปรมาณูกฎอิทัปปัจจยตา จึงสมควรที่จะได้นามว่าพระเป็นเจ้าอันแท้จริง เป็นผู้สร้างเป็นผู้ควบคุม เป็นผู้ทำลาย เป็นผู้อยู่ในทุกที่ทุกแห่ง เป็นใหญ่กว่าทุกสิ่งและรู้ทุกสิ่งจะมีอะไรเกิดขึ้นมาโดยผิดไปจาก กฎอิทัปปัจจยตาไปได้ ถ้าสมมุติว่าในอนาคตมนุษย์จะรู้จักประดิษฐ์อะไรขึ้นมามันก็ไม่พ้นไปจากกฎอิทัปปัจจยตา ความรู้ทั้งหมดมันก็รวมอยู่ที่รู้กฎของอิทัปปัจจยตา นี่คือพระเจ้าของพุทธศาสนา
ถ้าเอาความหมายของพระเจ้ามาเป็นหลักเราจะพบว่ากฎอิทัปปัจจยตามีคุณสมบัติเป็นพระเจ้าในทุกความหมาย พระเจ้าที่เป็นคนเช่นพระพรหม พระอิศวร พระนารายณ์หรือพระเจ้าอื่นๆที่มีอาการคล้ายคนมันทำไม่ได้ มันจะทำอย่างนี้ไม่ได้เพราะฉะนั้นพุทธบริษัทเราจะโง่กันไปถึงไหน ทั้งที่มีพระเจ้าที่แท้จริงอย่างนี้แล้วก็ยังไม่รู้จักยังไปเที่ยวแสวงหาพระเจ้าอื่นๆเป็นไสยศาสตร์ไกลออกไปจนเอาผีเอาสาง เอาอะไรก็ไม่รู้มาเป็นพระเจ้าขอให้ยอมรับพระเจ้าที่แท้จริงคือ กฎอิทัปปัจจยตา ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบในวันตรัสรู้แล้วก็ทรงเคารพทันที เคารพกฎอิทัปปัจจยตานั้นทันที แล้วก็มาเปิดเผยสั่งสอนให้สาวกรู้ แล้วปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา แล้วบรรลุพระนิพพานได้ หรืออยากจะไปนรกก็ตามใจปฏิบัติตามกฎอิทัปปัจจยตาที่จะลงนรกปฏิบัติได้เหมือนกันแต่ถ้าอยากจะดับทุกข์ ถึงที่สุดแล้วก็จงปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของอิ-ทัปปัจจยตา แล้วก็จะได้ผลสมตามปรารถนา คนบางคนไม่เคยฟังเรื่องนี้ก็ไม่เชื่อ อาตมาขอยืนยันอย่างนี้ว่าขอให้เอาไปศึกษาต่อไปให้ไปศึกษาสอบสวนในพระคัมภีร์ในพระบาลี เมื่อพระพุทธเจ้าออกบวชแล้วทรงค้นคว้า ท่านค้นคว้าว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ท่านก็พบสิ่งนี้ แต่ว่าไล่ไปตามลำดับว่า ความทุกข์เกิดมาจากอะไร เกิดมาจากชาติ ชาติเกิดมาจากอะไรเกิดมาจากภพ ภพเกิดมาจากอะไรเกิดมาจากอุปทาน อุปทานเกิดมาจากอะไรเกิดมาจากตัณหา ตัณหาเกิดมาจากอะไรเกิดมาจากเวทนา เวทนาเกิดมาจากอะไรเกิดมาจากผัสสะ ผัสสะเกิดมาจากอะไรเกิดมาจากอายตนะ อายตนะเกิดมาจากอะไรเกิดมาจากนามรูป นามรูปเกิดมาจากอะไร เกิดมาจากวิญญาณ วิญญาณเกิดมาจากอะไรเกิดมาจากสังขาร สังขารเกิดมาจากอะไร เกิดมาจากอวิชชา นี่คือกฎอิทัปปัจจยตา เรียกให้ยาวเต็มยศ ว่าอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท
ถ้าเราจะใช้เรียกสิ่งทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไรก็เรียกว่าอิทัปปัจจยตา ถ้าจะเรียกกันแต่ในขอบวงของมนุษย์ที่มีความทุกข์เกิดทุกข์ดับทุกข์ ก็เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ขอให้รู้ว่าคำว่า ปฏิจจสมุปบาท นั้นมีความหมายแคบเฉพาะเรื่องของความทุกข์และความดับทุกข์ ของสิ่งที่มีชีวิตมีความรู้สึก แต่ถ้าใช้คำว่า อิทัป ปัจจยตาแล้วหมายถึง ทุกสิ่งทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตครอบไปทุกสิ่งจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตจะมีความรู้สึกหรือไม่มีความรู้สึก ก็เรียกว่าอิทัปปัจจยตานั้น ในวันตรัสรู้นั้น พระพุทธองค์ทรงทบทวนอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท แล้วๆเล่าๆตลอดทั้งสามยาม ได้ความรู้มาที่หนึ่งในยาม ปฐมยาม ก็กล่าวอุทานทีหนึ่ง ได้ความรู้มาอีกข้อหนึ่งในทุตติยามในมัชฌิมยาม ก็กล่าวอุทานทีหนึ่ง ถึงที่สุดในปัจฉิมยามก็กล่าวอุทานสุดท้าย ตรัสรู้แล้วก็มานั่งพิจารณา คำอิทัปปัจจยตานี้ ในที่นี้เรียกว่าพิจารณาอภิธรรมในลักษณะในอาการพิเศษนั่นตลอกเวลาก็ทรงสอนเรื่องนี้แล้วว่างๆก็เอามาท่อง ท่านเอามาท่องนั่งอยู่พระองค์เดียวก็ท่องเรื่อง อิทัปปัจจยตา แต่เรื่องนี้ไม่เคยได้ยินได้ฟังกัน มีอยู่ในพระไตรปิฎกไม่ค่อยมีใครเก็บมาบอกมาเล่าให้ชาวบ้านรู้ ก็ขอถือโอกาสบอกเสียเดี๋ยวนี้ วันหนึ่งพระองค์ทรงอยู่พระองค์เดียวก็ท่องกฎอิทัปปัจจยตา ว่า(นาทีที่ 50:55 – 51:27) จะขุญจะปฎิจะอะวิชชาปัจจะยาสังขารา สังขาระปัจจะยา วิญญาณัง วัญญาณะปัจจะยานามะรูปัง นามะรูปะปัจจะยา สาฬะยะตะนะปัจจะยา ผัสโส ผัสสะปัจจะยา เวทะนา เวทนาปัจจะยา ตัณหา ตัณหาปัจจะยาอุปาทานัง อุปาทานะปัจจะยา ภะโวภะวะปัจจะยาชิ ชาติปัจจะยา ชะร ามะระณัง โสกะปะริเทวะโทมะนัสสุปายาสา ทุกข์ๆ ทั้งปวงมันเกิดขึ้นโดยการอย่างนี้ ทั้งเรื่องตา เกิดทางตาเสร็จแล้วก็เลือก เกิดทางหู ทางจมูกทางลิ้นทางผิวกายเป็นลำดับไปเนี่ยถ้าว่าแต่เปรียบแล้วก็ไม่ใช่จะว่าดูถูกดูหมิ่นพระพุทธเจ้า คนเราเมื่ออารมณ์สบาย ก็มักจะพูดหรือจะท่องอะไรเล่นเด็กสมัยนี้ก็ร้องเพลงเล่น แต่พระพุทธเจ้าท่านจะร้องเพลงอย่างนั้นได้อย่างไร ท่านก็ร้องเพลงอิทัปปัจจยตา ทีนี้ท่านเหลียวไปอ้าวพระองค์หนึ่งมาแอบฟังอยู่ข้างหลัง พอเหลียวไปเห็นพระองค์นั้นก็อ่าวว่าดีแล้วแกมาดีแล้ว นี่คืออาทิพรหมจรรย์ จงจำเอาไป จงศึกษา จงเล่าเรียน จงปฎิบัติท่านบัญญัติอิทัปปัจจยตาให้เป็นอาทิพรหมจรรย์
ฉะนั้นของให้เรารู้เถอะว่าสิ่งสูงสุดที่พระพุทธองค์ก็ทรงเคารพนั้นคือกฎของอิทัปปัจจยตา ตั้งอยู่ในฐานะที่เป็นพระเจ้าสูงสุด สูงสุดตามหลักศาสนาในกล่าวก็ตามแต่ กฎอิทัปปัจจยตาทำได้อย่างนั้นทั้งนั้น ฉะนั้นขอให้พุทธบริษัทเรามีพระเจ้าแต่ที่ถูกต้องอย่างนี้เถิด อย่าได้มีพระเจ้าไสยศาสตร์โง่เง่าอย่างที่กำลังหลงกำลังนั้นกันอยู่เลย มาถือพระเจ้าบูชาพระเจ้าเคารพพระเจ้าที่พุทธองค์ทรงค้นพบดีกว่า คือพระเจ้าอิ-ทัปปัจจยตาเป็นพระเจ้าชนิดที่แม้นักวิทยาสตร์สมัยปัจจุบันนี้ก็ต้องยอมรับ พระเจ้าที่พูดกันอยู่ในคัมภีร์ที่ถือพระเจ้าทั่วๆไปนั้นนักวิทยาศาสตร์ไม่ยอมรับ แม้นักวิทยาศาสตร์ฝรั่งก็ไม่ยอมรับศาสนาคริสเตียนมีกล่าวถึงลักษณะของพระเจ้าเช่นนั้น แต่ถ้าว่านักวิทยาศาสตร์ฝรั่งทั้งหมดในโลกนี้มาฝึกพระเจ้าอิทัปปัจจยตาก็จะยอมรับได้ทันทีว่านี่เป็นพระเจ้าจึงเรียกว่าเป็นพระเจ้าที่นักวิทยาศาสตร์ก็ยอมรับอย่างสนิทใจยอมรับว่าพระพุทธเจ้าอ้างว่าพระเจ้าเช่นนี้มันสร้างโลกจริงๆ สร้างตั้งแต่ก่อนมาจนกระทั่งบัดนี้มันควบคุมอยู่ในทุกๆปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นโลกจะเป็นพระเจ้าจริงนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่มีทางจะค้าน เป็นพระเจ้าจริงในลักษณะที่ว่าทุกคนจะรู้สึกได้ด้วยจิตใจของตนเองไม่ต้องเชื่อตามผู้อื่นมาคิดดูอย่างนี้แล้วจะมองเห็นพระเจ้าองค์นี้จริงๆว่า ก็มีอยู่ในทุกๆปรมาณูแห่งร่างกายของเราจริงๆก็เห็นพระเจ้านี้อย่างเป็นสันทิฎฐิโกไม่ต้องเชื่อตามผู้อื่นซึ่งเป็นหลักของพระพุทธศาสนาว่า ธรรมะที่แท้จริงนั้นต้องเป็นสันทิฎฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ พระเจ้าชนิดนี้มันครบถ้วน ในองค์ของพระธรรม
พระเจ้าที่แท้จริงก็คือพระธรรม พระธรรมที่แท้จริงก็คือพระเจ้า สัตว์ทุกชนิดจะรู้สึกว่าด้วยตนเองได้ว่ามีสิ่งสูงสุดแม้จะไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรอยู่ที่ไหนก็ตาม สัตว์ทั้งปวงก็สะดุ้งกลัวต่อสิ่งสูงสุดที่มันยังไม่รู้จัก แม้แต่สัตว์เดรัจฉานวัวควายไร่นา ในไร่ในนามันก็ยังรู้จักกลัวฟ้าผ่าฟ้าร้องหรืออะไรก็สุดแท้ที่มันรู้จักไม่ได้เข้าใจไม่ได้ แต่มันรู้ว่ามีสิ่งสูงสุดที่มันต้องกลัว ฉะนั้นสัตว์ทุกชนิดจะรู้สึกว่ามีสิ่งสูงสุดได้โดยสัญชาตญานของมันเอง พระพุทธเจ้าทรงค้นพบกฎอิทัปปัจจยตา ในวันวิสาขปุณณมีที่ทรงตรัสรู้ และต่อมาคือวันอาสาฬหปุณณมีคือวันนี้ สองเดือนต่อมาท่านก็นำมาเปิดเผย มาสั่งสอนสอนแก่ปัญจวัคคีย์ที่อิสิปตนมฤคทายวัน ดังนั้นของให้ทุกคนถือว่าโลกได้อะไรในวันวิสาขบูชาคือโลกได้สิ่งสูงสุดเหมือนกับพระเจ้าสูงสุดผู้สร้างโลกผู้ควบคุมโลก ผู้ทำลายโลก ผู้อยู่ในที่ทั่วไป ผู้เป็นใหญ่กว่าทุกสิ่ง ผู้รู้ทุกสิ่ง คือกฎของ อิทัปปัจจยตาพระพุทธองค์ทรงนำมาเปิดเผยแก่โลกเป็นครั้งแรกในวันอาสาฬหปุณณมี คือวันเช่นวันนี้เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้วที่อิสิปตนมฤคทายวัน เพราะฉะนั้นขอให้มองเห็นว่าวันนี้เป็นวันที่โลกได้รู้จักพระเจ้าอันแท้จริงโดยการแนะนำของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงพบพระเจ้า เคารพพระเจ้า ทรงนำมาเปิดเผยแก่พวกเรา เป็นกฎของธรรมชาติแล้วพระองค์ก็ตรัสว่า
(นาทีที่ 57:14) อุปปาทา วาภิกขเว ตถาคตานัง อนุปปาทาวา ตถาคตานัง ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตจะเกิดก็ดีตถาคตจะไม่เกิดก็ดี ฐิตาวะสาธาตุ ธรรมธาตุนั้นมีอยู่แล้ว ที่เรียกว่า ตถาตา อวิตถตา อนัญญถตา อิ-ทัปปัจจยตา หรือในบาลีบางแห่งว่า ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา อิทัปปัจจยตา ธัมมนิยามสูตรที่พระนำมาสวดกันอยู่กันเป็นประจำนั้นมันคนละสูตร ระบุแต่ ธัมมัฏฐิตตา กับธัมมนิยามตา แล้วก็ไปว่าสัพเพสังขารา อนิจจา สัพเพสังขาราทุกขา สัพเพธัมมาอนัตตา ไปทางนู้น แต่สูตรในสังยุตตนิกายกลุ่มหนึ่งจะระบุว่า ฐิตาวสาธาตุ ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา อิทัปปัจจยตา สูตรอย่างนี้ชาวบ้านคงไม่เคยได้ยิน มันเป็นธัมมนิยามสูตร สูตรอื่นเน้นที่อิทัปปัจจยตา ได้ความว่าพระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นก็ตาม พระพุทธเจ้าจะไม่เกิดขึ้นก็ตาม สิ่งนี้มีอยู่แล้ว สิ่งนี้คือ ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา และ อิทัปปัจจยตา แล้ว รับกันสั้นๆว่า อิทัปปัจจยตา มีอยู่แล้วพระตถาคตจะเกิดหรือพระตถาคตจะไม่เกิด กฎแห่งอิทัปปัจจยตามีอยู่แล้วพอพระตถาคตพระพุทธเจ้าเกิดท่านค้นท่านพบท่านตรัสรู้แม้กระทั่งเคารพแล้ว ท่านก็เอามาสอนพวกเราแล้วก็สอนวันแรกครั้งแรก เช่นวันนี้แก่ปัญญจวคีย์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
ขอให้คิดดูให้ดีว่าใคร ใครนะที่เก่งจนไม่ถูกควบคุมด้วยกฎอิทัปปัจจยตา ใครนะที่เก่งเกิดขึ้นมาโดยไม่ต้องอาศัยอำนาจกฎอิทัปปัจจยตา พ่อแม่ของเราก็เติบโตขึ้นมาโดยกฎอิทัปปัจจยตา พ่อแม่ของเราอยากจะสืบพันธ์กันก็โดยกฎของอิทัปปัจจยตา พ่อแม่ของเราสืบพันธ์กันแล้วก็เกิดลูกในครรภ์ขึ้นมาก็โดยกฎ อิทัปปัจจยตา ทุกๆปรมาณูของลูกในครรภ์นั้นมันเป็นมาตามกฎของอิทัปปัจจยตา อย่างนี้จะไม่เรียกว่าพระเจ้าอิทัปปัจจยตาสร้างขึ้นมาอย่างไรเล่า นั่นแหละขอให้รู้จักพระเจ้าผู้สร้างจริงๆอย่าไปคิดว่าพระพรหมณ์ พระอิศวร พระนารายณ์แล้วไปนั่งบูชาศิวลึงค์ อยู่เลย เมืองอื่นเขาบูชาศิวลึงค์ในฐานะเครื่องหมายของพระพรหมณ์ พระนารายณ์ อะไร แล้วก็เอาเป็นผู้สร้างโลก พูดอย่างนั้นมันฟังไม่ได้หรอก เว้นแต่จะตีความหมายกันเสียใหม่ว่าศิวลึงค์นั่นแหละคือสัญลักษณ์ของอิทัปปัจจยตาถ้าอย่างนี้ก็ยอมรับได้ แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่เคยมีใครตีความอย่างนี้ ศิวลึงค์ก็ยังเป็นสัญลักษณ์ของพระอิศวร โยนิก็เป็นสัญลักษณ์ของพระอุมา เขาไปมองกันที่นั่นไม่รู้ว่าอะไรอะไรมันก็เกิดขึ้นตั้งอยู่เป็นไปโดยกฎของอิทัปปัจจยตา แม้จะเอากันที่นี่ปัจจุบันนี้ก็เห็นได้ว่ามนุษย์เกิดขึ้นมาคลอดมาจากท้องแม่ตั้งครรภ์ในท้องแม่คลอดมาจากท้องแม่เติบโตมาจากท้องแม่เป็นหนุ่มเป็นสาวก็โดยอำนาจกฎอิทัปปัจจยตา ให้เห็นชัดว่าอิทัปปัจจยตา เป็นพระเจ้าที่สร้างเรามาอย่างนี้
นี่ขอให้ใช้สติปัญญาของพุทธบริษัทกันสักหน่อยเถิดจะพบว่าพระเจ้าแท้จริงนั้นคือกฎอิทัปปัจจยตาเป็นพระเจ้าของพุทธบริษัทเรียกได้เต็มปากเลยพระพุทธเจ้าค้นพบ ทรงเคารพแล้วนำมาบอกพวกเรา สิ่งที่ทำให้เป็นเหตุให้เกิด โลกคุมโลก ทำลายโลกอยู่ในที่ทั่วไปตามที่กล่าวว่าเป็นคุณสมบัติของพระเจ้านั้น คือกฎอิทัปปัจจยตา ทรงค้นพบในวันตรัสรู้ แล้วก็มาสอนในวันอาสาฬหปุณณมีเช่นวันนี้ ฉะนั้นไม่มีใครอยู่นอกอำนาจของพระเจ้านี้ไม่มีใครอยู่นอกอำนาจของพระเจ้านี้ เพราะว่าสัตว์ทั้งปวงมันก็มีความรู้สึกว่ามีสิ่งสูงสุด คนโง่ที่สุด ต่อให้คนโง่ที่สุดมันก้รู้ว่ามีพระเจ้าที่น่าเกรงขามคือมัจจุราช นี่มันโง่เพียงแค่เห็นมัจจุราชเป็นสิ่งสูงสุด มันไม่เลยไปถึงกฎอิทัปปัจจยตา ถ้าอย่างนี้แล้วหมาหรือแมวมันก็มีความรู้ข้อนี้ เพราะหมาหรือแมวมันก็กลัวตายทั้งนั้นแหละมันกลัวมัจจุราชทั้งนั้น มันรู้พระเจ้าเพียงแค่จะทำให้ตาย อย่างนี้มันไม่พอหรอกมันเด็กๆเกินไป รู้พระเจ้าแท้จริงคือกฎอิทัปปัจจยตา ต่อให้ต้นไม้ต้นไร่มันก็รู้จักกลัวตายนะ เดี๋ยวนี้นักวิทยาศาสตร์ในโลกเขาพิสูจน์ได้ว่าต้นไม้มีความรู้สึก ต้นไม้กลัวตายนะ พอเราไปขู่ ขู่ให้ต้นไม้เอาไฟเผาก็ดี เอามีดสับก็ดีทำเหมือนจะให้มันตาย มันจะรีบออกลูกมาทันที เพราะมันกลัวตายกลัวจะสูญพันธุ์แล้วมันก็รีบออกลูกมาทันที ของง่ายๆเช่นนี้พวกเราก็ควรจะรู้ได้แต่ว่านักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายเขาพิสูจน์แน่ชัดแล้ว ทั้งเครื่องมือวัดได้ว่าต้นไม้มีความรู้สึกและกลัวตาย ใครอยากรู้ก็ไปหาเรื่องนั้นมาอ่านดู เดี๋ยวนี้เขาทำเครื่องวัดๆได้ว่าต้นไม้มีความรู้สึกและกลัวตาย เป็นอันว่าแม้แต่ต้นไม้มันก็รู้สึกและกลัวตาย รู้แค่นั้นมันไม่พอ สิ่งที่มีชีวิตรู้จักกลัวตาย ก็ได้รู้สึกว่ามีสิ่งสูงสุดที่เราต้องกลัว เราไปรู้จากสิ่งที่ควรกลัวให้ถูกต้องกันเสียดีกว่า สิ่งใดมีความรู้สึกแล้วสิ่งนั้นจะต้องกลัว กลัวตายทั้งนั้นแหละ แม้แต่ต้นไม้ก็กลัวตาย สิ่งที่เรียกว่าชีวิต ชีวิตนี่จะเป็นชีวิตชนิดไหนต้องมีความรู้สึกกลัวตายทั้งนั้นเพราะตัวชีวิตคือการไม่ตาย ชีวิตจะมีความรู้สึกกลัวตายมันก็จะด้วยกันลึกไปถึงสิ่งที่ยิ่งกว่าทำให้ตาย คือสิ่งที่สร้างขึ้นมาก็ได้ ควบคุมขึ้นมาก็ได้ ทำให้ตายก็ได้ และคุมอยู่ในทุกๆปรมาณูของร่างกายเลย
นี่เป็นอันว่าโลกได้อะไร ในวันอาสาฬหบูชา ในฐานะเป็นสิ่งสูงสุด คำตอบก็คือโลกได้รับความรู้เรื่องพระเจ้าสูงสุดคือกฎอิทัปปัจจยตา ที่พระองค์ทรงค้นพบทรงเคารพแล้วทรงนำมาเปิดเผยจำแนกแจกแจง คือเรื่องอิทัปปัจจยตา วันนี้มนุษย์หายโง่ในข้อที่ว่ามีพระเจ้าอิทัปปัจจยตาเป็นสิ่งมีอำนาจสูงสุด ในการสร้างในการควบคุม ในการทำลายล้าง เป็นผู้บรรดาลให้มีการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป โดยน้ำมือพระเจ้าองค์นี้ แล้วก็ควบคุมอยู่ในที่ทุกแห่งยกเว้นที่ไหน และเป็นใหญ่เหนือสิ่งใดทุกสิ่งไม่มีสิ่งใดอยู่นอกอำนาจของกฎอิทัปปัจจยตา ควรจะพอใจหรือยังว่าวันนี้เป็นวันประเสริฐที่สุดที่มนุษย์ได้รับความรู้สูงสุดเรื่องอิทัปปัจจยตา โดยพระพุทธเจ้าทรงนำมาประธานให้ในรูปที่เรียกว่าธรรมจักกัปปวัตตนสูตรนั่นแหละ เรารู้กันเพียงว่าเป็นเรื่องอริยสัจจ์ ๔ ไม่รู้ว่านั่นแหละพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า ตถา ๔ ตถาแห่งความทุกข์ ตถาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ตถาแห่งความดับแห่งทุกข์ ตถาเรื่องพาทำให้เห็นถึงความดับแห่งทุกข์ คำว่าตถาขยายความเป็น อวิตถา อนัญญถา อิทัปปัจจยตา สรุปความเป็นอิทัปปัจจยตา ปฏิจฺจสมุปฺปาโท เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมีอาศัยกันเกิดขึ้น นอกจากกระทำให้ได้สิ่งที่เราประสงค์ก็คือ การกระทำให้ถูกตรงตามกฏอันนี้ว่าจะอาศัยอะไรว่าจะทำให้อะไรเกิดขึ้น ในการปฎิบัติสำเร็จได้รู้กฎอันนี้คือกฎอิทัปปัจจยตา เราควรจะขอบพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่มาสอนเรื่องนี้ให้ แล้วเราก็จะรู้จักพระเจ้าแท้จริงในพุทธศาสนา คือกฎของอิทัปปัจจยตา เราจะได้ประพฤติต่อกฎนี้ให้ถูกต้อง เราจะบูชาคือยอมรับว่าเป็นสิ่งสูงสุดจริงเราจะอ้อนวอนคือพยายามปฏิบัติให้ตรงตามกฎอิทัปปัจจยตา เราจะขอร้องคือจะประพฤติให้ถูกตามกฎนี้ ไม่มีความทุกข์เลยอยู่ตลอดเวลา เราบูชา เราขอร้อง เราอ้อนวอนพระเจ้าของเรา ตามแบบของเรา ไม่เหมือนแบบของคนพวกอื่นนอกไปจากพุทธศาสนา พุทธบริษัทมีพระเจ้าของตนเองก็บูชาอ้อนวอนไม่ใช่นั่งอ้อนวอนเหมือนกับคนโง่ อ้อนวอนด้วยการปฎิบัติตามนั้นปฎิบัติให้ถูกให้ตรงตามกฎนั้นแล้วเราก็จะได้รับผลของการอ้อนวอนไม่ใช่งมงาย ที่จะไปนั่งอ้อนวอนผีสางจอมปลวกอย่างนั้นมันงมงาย อ้อนวอนอย่างพุทธบริษัทนี้คือพยายามทำให้ถูกตรงตามกฎเกณฑ์อันนั้นแล้วก็ได้รับผลจากกฎเกณฑ์อันนั้น
เป็นอันว่าวันนี้วันอาสาฬหปุณณมีนี้ เรามาประชุมกันในที่นี้เพื่อประกอบพิธีอาสาฬหบูชา ในฐานะเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์อันสำคัญที่สุดในโลกคือวันนี้เป็นวันที่โลกหายโง่ลืมตาขึ้นมาจากพระเจ้าอิทัปปัจจยตา ในฐานะเป็นสิ่งสูงสุดที่แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ทรงเคารพ ท่านประกาศว่าพระองค์เคารพธรรมะที่ได้ตรัสรู้และธรรมะที่ได้ตรัสรู้นั้นคือกฎอิทัปปัจจยตาเรื่องในพระคัมภีร์มีว่าสามบดีพรหมณ์ก็ลงมาว่า มากราบทูลว่า ถูกแล้วถูกแล้วถูกแล้วพระเจ้าขา นี่ไม่รู้ว่าจะลงมาทำไมในเรื่องมันมีอย่างนั้นทรงเคารพอยู่แล้วพระองค์ก็ยอมตรัสว่าพระพุทธเจ้าในอดีต พระพุทธเจ้าในอนาคตหรือแม้ว่าในปัจจุบันนี้ก็ล้วนแต่เคารพธรรมะที่ตรัสรู้เอง คือกฎของอิทัปปัจจยตา ในเรื่องของสิ่งที่ตรัสรู้นั้นเราเรียกว่าอริยสัจจ์ แต่เนื้อแท้แกนกลางนั้นคือกฎของอิทัปปัจจยตา ถ้าท่านไม่เคยได้ยินได้ฟังอย่างนี้มาก่อนก็ได้ยินได้ฟังเสียสิเดี๋ยวนี้ ได้ยินได้ฟังแล้วไม่เชื่อก็ไปค้นดูใน พระคัมภีร์ในพระสูตร ในพระไตรปิฏก จะมีว่าพระพุทธองค์ทรงเคารพธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ทันทีที่ตรัสรู้ และสิ่งที่ตรัสรู้คือปฏิจจสมุปบาท ถ้าย่อยให้เหลือสัก ๔ ก็เป็น อริยสัจจ์ ๔ ถ้าย่อลงไปอีกก็เหลือแต่ อิทัปปัจจยตาคำเดียวเท่านั้น
เป็นอันว่ายุติการบรรยายกันได้แล้วคือเรารู้จักความสำคัญของวันอาสาฬหบูชาแล้ว แม้เราจะประกอบพิธีอาสาฬหบูชากันที่นี่เดี๋ยวนี้ เราก็ไม่ได้ทำกันอย่างงมงายเราไม่ได้ทำกันอย่างคนโง่ที่เขาบอกให้ทำก็ทำไปแต่เราทำกันด้วยความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องว่าทำไมเราจึงต้องทำ เราจะทำฉลองชัยชนะของมนุษย์ที่ได้รับความรู้อันสูงสุดคือพระเจ้าอิทัปปัจจยตา ซึ่งแม้แต่พระองค์ก็ทรงเคารพ เราก็พลอยเคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงเคารพพร้อมกันไปในตัว ในฐานะที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ธรรมเทศนาที่ชี้แจงให้ท่านทั้งหลายเห็นความสำคัญของวันอาสฬหบูชา ก็สมควรแก่เวลาแล้วและเป็นการเพียงพอแล้วที่จิตใจของท่านทั้งหลาย จะสว่างไสวแจ่มแจ้งต่อสิ่งที่เราจะพากันบูชาในวันนี้ ขอให้มีจิตใจนี้ ความรู้นี้ แจ่มแจ้งในจิตใจแล้วประกอบพิธีอาสาฬหบูชา เต็มตามความหมายคุณค่าของพระธรรมอันนี้จงทุกคนทุกๆคนเทอญจบธรรมเทศนาสมควรแก่เวลาเอวังจงมีด้วยประการฉะนี้ (หลังจากจบการบรรยายท่านอาจารย์ได้น้อมนำให้พระภิกษุสงฆ์ ทายก ทายิกา นำการปฏิบัติบูชาต่อไป)