แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นภิกษูราชภัฏที่จะต้องลาสิกขาทั้งหลาย การบรรยายชุดธรรมะเล่มน้อยสำหรับผู้ที่จะลาสิกขาเป็นครั้งที่ ๓ ในวันนี้จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า เหตุที่ทำให้เป็นปุถุชน ดูอะไรๆก็จะพูดถึงเรื่องปุถุชนทั้งนั้นแหละเพราะว่ามันเป็นตัวการสำคัญของปัญหาก็คือความเป็นปุถุชน ปัญหามันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ว่าเราไม่รู้จักปัญหาเฉพาะหน้าของเรา เราแม้มีการศึกษาอย่างนี้อยู่ในโลกมานานเท่านี้ ผจญสิ่งต่างๆอยู่ในโลกอย่างนี้เราก็ยังไม่รู้จักว่าอะไรเป็นปัญหาเฉพาะหน้าของเรา ข้อนี้รู้ได้ตรงที่ว่าเรายังไม่อาจจะแก้ปัญหา เรายังมีปัญหามากขึ้นนั่นก็เพราะเราไม่รู้จักว่าอะไรเป็นปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่รู้ว่าอะไรเป็นปัญหาด่วน รีบด่วน หรือเฉพาะหน้าหรือจำเป็นที่จะต้องรีบจัดการนี่เราก็ไม่รู้ และเราก็ไม่รู้ความเป็นปุถุชนของเราซึ่งมันก็เป็นเป็นตัวปัญหาอยู่ที่ความเป็นปุถุชนของเรา ความที่เรามันเป็นอันธพาลปุถุชนนี่แหละคือตัวปัญหา และเราก็ไม่รู้ว่าเรากำลังเป็นอันธพาลปุถุชน คือธรรมชาติแห่งความเป็นปุถุชนหรือความเป็นปุถุชนอยู่ตามธรรมชาตินี่มันไม่เป็นที่แจ่มแจ้งแก่เราเราไม่รู้จักมัน เราจึงเป็นอันธพาลแปลว่ามันมืด มันอ่อนต่อความรู้และมันก็มืดนี่ คำว่าอันธพาลก็แปลอย่างนี้ ถ้าเป็นปุถุชนคือเป็นคนหนาไปด้วยกิเลส เราจึงได้ทำอะไรไปตามแบบของปุถุชนที่เป็นอันธพาลแล้วก็โดยไม่รู้สึกตัว ทุกอย่างเรากลายเป็นทำไปเพื่อความเป็นอันธพาลจึงเรียกว่าลงทุนทุกอย่างเพื่อสิ่งนี้ซึ่งได้เคยพูดมาแล้วในครั้งที่สองนั้นว่า คือคนในโลกกำลังลงทุนเพื่อความทุกข์ ทุกอย่างขวนขวายลงทุนเรี่ยวแรง เวลา เงินทองอะไรก็ตาม ลงทุนเพื่อได้ความทุกข์ เพราะเขาไม่รู้ว่านั่นเป็นความทุกข์เขาเห็นเป็นความสุข เห็นของไม่เที่ยงว่าเป็นของเที่ยง เห็นของไม่ใช่ตัวตนว่าตัวตน มันก็หลงรักสิ่งเหล่านั้น และมันก็ได้ความทุกข์ คือสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน มันเป็นตัวให้เกิดความทุกข์ แล้วไปยึดถือเข้า หมายมั่นเข้าในสิ่งอะไรก็ตามอ้ายความยึดถือนั้นจะเป็นความทุกข์ เราทำอะไรๆก็เพื่อความยึดถือเอาเป็นตัวเราเอาเป็นของเรา เรียกว่าความยึดมั่นถือมั่นอย่างยิ่งด้วยอำนาจของอวิชชา นี่เรายึดมั่นถือมั่นในชีวิต ในร่างกายทรัพย์สมบัติ เงินทองข้าวของในทุกอย่างที่มันเกี่ยวข้องอยู่กับเรา เรายึดถือด้วยความยึดมั่นถือมั่น จึงเป็นเสมือนหนึ่งว่าหิ้วไว้แบกไว้หามไว้ทูนไว้เต็มไปหมดล้วนแต่เป็นของหนัก เพราะความถือไว้ซึ่งของหนักมันก็มีทุกข์เพราะความหนัก ในชีวิตชนิดนี้มันก็เป็นชีวิตแห่งความทุกข์ ก็คือชีวิตของปุถุชนหรือความเป็นปุถุชนที่เรายังไม่รู้จักและมันก็ได้เป็นตามธรรมชาติตั้งแต่ในท้องมารดาก็ว่าได้ ตั้งแต่คลอดออกมาก็หลับหูหลับตาเจริญเติบโตขึ้นเป็นปุถุชนเรื่อยๆ มันก็ไม่รู้สิ่งเหล่านี้ ในที่สุดมันก็ทำไปตามแบบของปุถุชนคือหลับตาทำมันก็ได้แต่ความทุกข์ นี่เรียกว่าปัญหาเฉพาะหน้าที่มีอยู่จริงแต่อยู่ลึกจนมองไม่เห็น เป็นสมบัติของปุถุชน คุณลองคิดดูว่าปุถุชนมันมีทรัพย์สมบัติอะไร มันมีแต่ความทุกข์ที่มันยึดมั่นถือมั่นไว้ตามแบบของปุถุชนอันธพาลที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ความเป็นปุถุชนเป็นไปได้เองตามธรรมชาติก็หมายความว่าความยึดมั่นถือมั่นมันก็เป็นไปได้เองตามธรรมชาติ เมื่อยึดมั่นถือมั่นหนักเข้าทุกทีมันก็เลยมีความทุกข์มากขึ้นทุกที ยิ่งถือไว้มากเท่าไรมันก็หนักเท่านั้น หนักเท่าไรมันก็เป็นทุกข์เท่านั้น นี่มันเป็นอ้ายธรรมะที่ลึกเกินไปหรือเปล่า เรื่องชนิดนี้เขาไม่เอามามาพูดมาสอนมาบอกกัน เขาถือว่ามันลึกเกินไปอย่าเอามาสอนกันเลย มันก็ถูกของเขาที่ว่าอย่าเอามาสอนกันเลยมันลึกเกินไปไม่อาจจะเข้าใจ อ้ายข้อนั้นมันถูก แต่มันไม่ถูกในข้อที่ว่าก็เมื่อปุถุชนมันมีความทุกข์นี่ มันจะต้องรู้เรื่องมันจะต้องรู้เรื่องความดับทุกข์ โดยจะต้องแก้ไขความเป็นปุถุชนของตนให้หายไปให้มีความเป็นอริยะอริยบุคคลเข้ามาแทน นี่มันมันยังโต้แย้งกันอยู่อย่างนี้ เพราะว่าเรื่องชั้นลึกไม่ต้องเอามาสอน มันเป็นเรื่องสำหรับบุคคลที่จะบรรลุนิพพานเป็นโลกุตตระไปอยู่เหนือโลก คนที่พูดมันไม่รู้ว่าโลกุตตระคืออะไรเหนือโลกคืออะไร คิดว่าอยู่ที่อื่นที่ไหนก็ไม่รู้เช่นว่านิพพานอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ นี่มันเป็นคนที่พูดหลับตาพูด มันก็คือปุถุชนที่โง่ที่สุดมาพูด ว่าไม่ต้องเอาเรื่องนี้มาสอนกัน ปุถุชนที่มีความทุกข์นั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้เรื่องนี้เพื่อว่าจะได้อยู่ในโลกนี้โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ เมื่ออยู่ในโลกนี้โดยไม่ต้องเป็นทุกข์นั่นแหละเรียกว่าโลกอุดรคือเหนือโลก คนนั้นมันก็อยู่ในโลกนี้แต่มันอยู่เหนือปัญหาของโลกทั้งหมด ก็ไม่มีความทุกข์อันเนื่องกับโลกนี้ นี่ก็เรียกว่ามันอยู่เหนือโลก เหนืออำนาจของโลก เหนือความบีบคั้นของโลก เราควรจะมีความรู้ข้อนี้เพื่อจะอยู่ในโลกโดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้ามี ถ้าไม่มีความทุกข์มันก็ไม่ต้องมาสนใจเรื่องนี้ เดี๋ยวนี้มันยังมีความทุกข์แล้วมันยังต้องอยู่ในโลก เราก็ต้องมีวิชาความรู้อันวิเศษที่จะแก้ไขไม่ให้มีความทุกข์ และอยู่ในโลกโดยอาการที่เรียกว่าเป็นผู้ชนะ คำว่าชนะนี้อีกคำหนึ่งคุณควรจะจำไว้ในฐานะเป็นคำสำคัญ พระพุทธเจ้าผู้ชนะมารพระศาสดาแห่งศาสนาไหนเขาใช้คำๆนี้ทั้งนั้นแหละว่าชีนะ ว่าชนะ เพราะว่ามันเป็นสิ่งประเสริฐสูงสุด ชนะมาร ชนะโลก ชนะทุกข์ ชนะไปหมด ทีนี้เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าจะมากลายเป็นผู้แพ้ได้อย่างไร มันก็จะต้องเป็นผู้ชนะตามพระพุทธเจ้าไป อยู่ในโลกก็ชนะโลก อยู่ในโลกอย่างชนะโลก ไม่ต้องหนีโลกเหมือนที่เขาพูดพูดกัน หนีโลกแล้วก็ไปอยู่ที่ไหน เพราะร่างกายมันยังต้องอยู่ในโลก มันยังอยู่ในโลกโดยที่ชนะโลก ไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นเพราะโลก อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นผู้อยู่เหนือโลกคือเป็นผู้ชนะโลก เรียกสั้นๆว่าเป็นผู้ชนะ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ชนะ เราเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าเรียกว่าชิโนรส โอรสแห่งบุคคลผู้ชนะ มันเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ทำให้ได้ชื่อว่าโอรสแห่งบุคคลผู้ชนะ แล้วก็อยู่กันในโลก พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายก็ยังคงอยู่ในโลก ผิดกันอยู่แต่ที่จิตใจ จิตใจของปุถุชนนั้นน่ะไปอยู่ใต้โลก ใต้ความบีบคั้นของโลกจึงได้เป็นทุกข์ อริยบุคคลทั้งหลายมีจิตใจอยู่เหนือโลก โลกนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ คือทำให้เป็นทุกข์ไม่ได้ มันจึงสำคัญอยู่ที่จิตใจว่ามันอยู่ใต้โลกหรือมันอยู่เหนือโลก ถ้าอยู่ใต้โลกก็เป็นปุถุชนต่อไป ถ้าอยู่เหนือโลกก็เป็นอริยบุคคลขึ้นมา ถ้าพูดกันถึงขั้นอริยบุคคลอะไรอย่างนี้แล้วก็หลายคนเขาว่าเกินไปแล้วมากเกินไปแล้วหยุดพูดที นี่คนที่มันไม่รู้ว่าความเป็นอริยะบุคคลนั้นคืออะไร ก็ก็ก็ห้ามกันเสีย กีดกันกันเสียไม่เอามาพูดมาจามาสนใจ ให้เราเป็นผู้ชนะโลกอยู่เหนือโลกเหมือนอย่างอริยบุคคลทั้งหลาย ฉะนั้นถ้าใครมองเห็นข้อนี้ก็คงจะยินดีที่จะศึกษาให้แจ่มแจ้ง ไม่เข้าใจข้อนี้ก็ว่าป่วยการเสียเวลาไม่อาจจะรู้ได้ไปทำมาหากินดีกว่า เอ้าก็เชิญเชิญไปทำมาหากิน ขอแต่อย่าให้มีความทุกข์ก็แล้วกัน ปัญหามันก็เกิดขึ้นมาทันทีว่าคุณจะทำมาหากินอย่างไรที่จะไม่เกิดความทุกข์ ฉะนั้นธรรมะนี้มันก็คือสิ่งที่จะเอาไปติดตัวอยู่เสมอไม่ว่าในขณะที่ทำมาหากินหรือทำอะไรก็สุดแท้ แม้แต่พักผ่อนก็ต้องมีธรรมะ ถ้าไม่มีธรรมะมันก็จะเป็นทุกข์ เพราะทำมาหากินทำมาหากินในทุกแง่ทุกมุม ในการจะแสวงหามาในการจะเก็บไว้ ในการจะทำให้มันมากขึ้นไป อันนั้นก็เป็นทุกข์ไปหมดเพราะมันไม่รู้จักทำจิตใจให้ถูกต้องคือไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะไม่มีความทุกข์ ทำงานจะสนุก ทำให้ทุกอย่างก้าวไปด้วยดีไม่มีความทุกข์ แม้แต่จะพักผ่อนนะเวลาที่จะจัดไว้สำหรับพักผ่อนก็ต้องมีธรรมะ ถ้ามันไม่มีธรรมะแล้วจะไม่เป็นการพักผ่อน จิตใจมันจะไม่พักผ่อน มันก็จะได้เป็นโรคประสาทเป็นต้น จะทำอะไรในระยะไหนในชั้นไหนก็ต้องมีธรรมะ มันก็จะแก้ปัญหาได้จะไม่มีความทุกข์ ผู้ที่แก้ปัญหาได้คือพระอริยเจ้า ผู้ที่จมอยู่ใต้ปัญหานั่นคือปุถุชน นี้เราจึงพูดกันแต่เรื่องปุถุชนก็ได้ แต่ก็คิดว่าอย่างนั้นแหละ คำพูดชุดนี้จะพูดกันแต่เรื่องปุถุชนในแง่มุมต่างๆ เดี๋ยวนี้มันได้ความว่าเราเป็นปุถุชนโดยธรรมชาติมาแต่อ้อนแต่ออกแล้วเราก็ยังโง่ขณะที่ไม่รู้ว่าเราเป็นปุถุชน เราก็ทำไปด้วยความเป็นปุถุชนมันก็มีความทุกข์ ทีนี้จะมาแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้มันเป็นไปในทางที่ดีก็ต้องรู้เรื่องนี้ไปตามลำดับ ในครั้งแรกก็พูดว่ามันไม่รู้จักปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดอยู่แก่ปุถุชน พูดครั้งที่สองเรื่องไม่รู้ว่าเป็นปุถุชนตามธรรมชาติตลอดมา ทีนี้ในการพูดครั้งนี้ก็พูดเรื่องเหตุที่ทำให้เป็นปุถุชน คือกิเลสเป็นเหตุทำให้เป็นปุถุชน กิเลสนั้นแหละทำให้เป็นปุถุชนเพราะว่าในจิตนั้นมันมีกิเลส กิเลสนั้นแหละคือของหนา แล้วก็หุ้มปัญญาหุ้มจิตใจเป็นฝ้าหนาทึบ จิตที่ปัญญามองไม่เห็นอะไรมันก็มืดโง่เหมือนกับคนตาบอด คือว่าอันธพาล อันธะแปลว่าตาบอด พาละแปลว่าอ่อน พึ่งเกิดยังอ่อนอยู่ อันธพาลก็มันยังอ่อนอยู่ด้วยความบอด นี่เป็นปัญหา อ้ายความบอดนั้นแหละคือกิเลสทำให้บอด มันหุ้มปัญญาหุ้มจิตใจหุ้มดวงตาไม่มองเห็น เราก็มาสนใจกันเรื่องกิเลสที่เป็นเหตุให้เป็นปุถุชน เลิกมีกิเลสก็เลิกเป็นปุถุชนกันได้
เอ้า, ทีนี้พูดกันถึงเรื่องกิเลสโดยเฉพาะ อ้ายคำว่ากิเลสนี่ตามตัวหนังสือแปลว่าของสกปรกน่าขยะแขยงน่าสะอิดสะเอียน อ้ายเรื่องนี้จะขอพูดแทรกว่าพูดแทรกนะเพื่อให้รู้ว่า อ้ายคำธรรมะนี่คำธรรมะในพระศาสนานั้นเขาเอาคำชาวบ้านมาใช้ทั้งนั้นแหล ที่ชาวบ้านเขาพูดกันอยู่อย่างไรแต่ก่อน เมื่อเขาคิดธรรมะอะไรขึ้นมาได้ข้อหนึ่ง มีลักษณะหรือความหมายคล้ายกับเรื่องอะไรที่ชาวบ้านเขาพูดกันอยู่ก่อน เขาก็เอาคำนั้นของชาวบ้านไปใช้เป็นภาษาธรรมะ ฉะนั้นอ้ายคำธรรมะกับคำภาษาชาวบ้านมันก็ตรงกัน คำพูดตรงกันแต่ความหมายเท่านั้นแหละที่มันไปกันคนละชั้น ภาษาชาวบ้านหมายความวัตถุในภาษาคนพูด ภาษาธรรมะเป็นเรื่องทางจิตใจละเอียดที่คนธรรมดาพูดไม่เป็นมองไม่เห็น จะพูดเป็นพูดได้แต่ผู้ที่มีสติปัญญาลึกซึ้งและมองเห็น เช่นว่ากิเลสเป็นของสกปรก พอค้นพบของสกปรกในจิตใจก็ยืมคำว่ากิเลสของชาวบ้านของสกปรกนี่ไปใช้เรียกกิเลส พระศาสดาหรือพระพุทธเจ้าไม่ได้ตั้งถ้อยคำขึ้นมาใหม่ ขอยืมคำชาวบ้านที่มีอยู่เก่าๆแล้วไปใช้ เช่นคำว่านิพพานนี้แปลว่าเย็น ซึ่งใครๆก็รู้ว่าความเย็น ของเย็น เยือกเย็น ก็ยืมคำนี้ไปใช้เรียกเย็นทางจิตใจ ฉะนั้นเย็น ชีวิตจิตใจเยือกเย็นก็นั่นแหละคือนิพพาน ของร้อนกินไม่ได้ต้องรอให้นิพพานก่อนจึงจะกินได้ ของที่มันเย็นในทางจิตใจนี้ก็เรียกว่านิพพาน ทุกคำก็ว่าได้ที่ได้ยืมคำชาวบ้านไปใช้ แม้คำว่าหนทางซึ่งแปลว่ามรรคก็แปลว่าหนทาง ก็ไปยืมไปใช้เป็นชื่อของข้อปฏิบัติที่เรียกว่ามรรค อริยมรรคหรือมรรคมีองค์แปด ชาวบ้านเขาก็เรียกมรรค มรรคา มรคาอย่างที่มันเป็นภาษาไทย คือ ทาง แต่นั่นคือทางเดินด้วยตีนด้วยเท้า ส่วนมรรคในภาษาธรรมะมันเดินด้วยใจ คำว่าโยคะอ้ายของผูกมัด ผูกมัดชาวบ้านก็คือผูกมัดด้วยเชือก แต่ภาษาธรรมโยคะผูกมัดด้วยกิเลส ผูกมัดด้วยอวิชชาด้วยความโง่ เอาเป็นว่าให้รู้ไว้ซะเลยว่าอ้ายคำธรรมะทั้งหลายยืมคำชาวบ้านไปใช้ทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ท่านก็ยืมคำว่า กิเลส ที่แปลว่าสกปรกไปใช้เป็นชื่อของกิเลสที่เกิดอยู่ในใจที่เขาพึ่งค้นพบพึ่งมองเห็นว่าอ้ายนี่สกปรก อ้ายคำว่าสกปรกมันก็มีอยู่ใช้อยู่ที่ชาวบ้านกันชาวบ้านอยู่แล้ว แต่นี่มันเป็นภาษาอินเดียเราฟังแล้วเป็นคำแปลก ภาษาแปลก ภาษาสูง ภาษาศักดิ์สิทธิ์ไปเลย ที่จริงก็คือภาษาธรรมดาของคนในถิ่นนั้น เช่นพุทธศาสนาเกิดในอินเดียก็ใช้ภาษาชาวอินเดียทั้งนั้นเลย เรียกอะไรต่างๆที่จะต้องพูดจะต้องใช้ เหมือนคำว่ากิเลสคือคำว่าสกปรกในภาษาไทยชาวบ้านเขาใช้พูดกันอยู่ก่อน ผู้รู้และมาค้นพบสิ่งสกปรกในจิตใจจึงยืมคำนี้มาใช้ เรียกว่าของสกปรกที่มันมีอยู่ในจิตใจ เราจะต้องรู้จักว่ากิเลสนั้นมันมีอยู่ ๒ ความหมาย คืออ้ายวัตถุเป็นของสกปรกธรรมดา ทางจิตใจคือสกปรกที่จิตใจ โดยความหมายก็คือสกปรก เมื่อสกปรกแล้วมันก็ยุ่งยากเป็นธรรมดา อ้ายสกปรกนี่มันทำให้ยุ่งยากลำบากให้มืดมัวให้ปรกติไม่ได้ จึงเป็นที่น่ารังเกียจ มันก็เรียกว่าของสกปรกทั้งหลายในบ้านในเมืองในโลกนี้มันทำให้เกิดผลอย่างไร ในทางจิตใจก็คล้ายกันมันทำให้เกิดผลต่อจิตใจอย่างนั้นคือหาความสงบสุขไม่ได้
ทีนี้กิเลสนี้พูดกันอีกทีก็ดีว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่ใช่ของใหม่เอ้อ,ไม่ใช่ของเก่าติดมาแต่ชาติก่อนหรือมีมาแต่ในท้อง กิเลสนี้เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์มันรู้จักโง่ ถ้าคนมนุษย์มันยังไม่รู้จักโง่กิเลสมันยังไม่มี เด็กอยู่ในท้องแม่ไม่มีสัมผัสคิดนึกอะไรไม่ได้ ไม่มีของเข้าไปทำให้ยินดียินร้าย มันก็มันก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้โง่ ไม่ต้องรู้ว่าอะไรเป็นอะไร พอคลอดมาจากท้องแม่ไม่กี่วันเขาก็เริ่มใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ อย่างนี้สัมผัสนั่นสัมผัสนี่ ก็ดูเอาเองก็แล้วกันว่าเด็กๆมีตาเห็นอะไร มีหูฟังอะไร เด็ก ๆ เขาให้ของสวย ๆ มาแขวนให้ดู นอนอยู่ในเบาะในอู่แล้วก็ร้องเพลงกล่อมให้ฟังกล่อมให้เด็กนอนหรือกล่อมให้ สุดท้ายนะแล้วก็ให้ดื่มให้กินกินนมโดยเฉพาะ(นาทีที่ 0:26:10) ให้ของหอมของเหม็นก็แล้วแต่ทาแป้งทาอะไรกันก็ไม่รู้ แล้วก็ให้สัมผัสที่นิ่มนวล พวกเบาะเมาะหมอนที่นิ่มนวลต่อผิวหนัง ถ้าผิดไปมันก็กระด้าง ฉะนั้นเด็กเขาจึงได้สัมผัสกับของที่เรียกว่าสวยและไม่สวย ไพเราะหรือไม่ไพเราะ หอมหรือเหม็น อร่อยหรือไม่อร่อย นิ่มนวลหรือกระด้าง เขาสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ตอนนี้แหละที่เขาจะโง่ระวังให้ดี ถ้าเขาไม่รู้ว่าไอ้นี่มันสวย มันหอม มันหวาน มันอร่อย เขาก็โง่สำหรับจะรักมันยังไงจะเอามันจะยึดถือมัน ส่วนที่ไม่อร่อยไม่ไพเราะไม่นิ่มนวลนี้เขาก็โง่อีกเหมือนกันที่จะเกลือก(นาทีที่0:27:12)มัน ที่จะไปรักมันก็คือโง่ ที่จะไปเกลือก(นาทีที่0:27:17)มันก็คือโง่มันก็มีเท่านี้ เด็กๆก็เติบโตขึ้นมาในท่ามกลางความโง่ โง่จะไปรักแล้ว(นาทีที่0:27:26)พวกหนึ่ง โง่ที่จะไปเกลียด(นาทีที่0:27:28)อ้ายพวกหนึ่ง นี้จิตที่มันเคยเกลี้ยงเกลามันไม่เคยโง่อย่างนี้เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นจิตโง่แล้ว ถ้าความโง่ของมันนั้นเป็นในทางอยากชอบใจ ยินดี อยากได้เขาก็เรียกว่าความโลภ กิเลสคือความโลภได้เกิดขึ้นแล้วได้สกปรกแก่จิตใจแล้วด้วยอำนาจแห่งความโลภ ทีนี้ถ้าว่าอ้ายเรื่องนั้นมันทำให้ไม่ชอบ เป็นโกรธเป็นเกลียด หรือเป็นกลัวอะไรก็ตาม มันก็โง่ แล้วมันมีกิเลสที่เรียกว่า อ้ายโทสะหรือโกรธะขัดแค้นโกรธเคืองเกิดขึ้นแล้วทำจิตใจของเด็กที่เคยสะอาดนั้นให้สกปรกด้วยโทสะแล้ว ที่นี้อ้ายที่มันโง่อย่างนั้น(นาทีที่0:28:25) มันเป็นความโง่แล้วเป็นกิเลสที่เรียกว่าโมหะ คือ โง่หลงไม่รู้จริงอยู่แล้ว ฉะนั้นสิ่งทั้งสามมันก็เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในจิตใจของเด็กทารก พอเกิดบ่อยเกิดซ้ำเกิดใหญ่เกิดขยายออกไปขยายออกไปจนเป็นตัวโตๆ ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่คือกิเลส ทำจิตใจที่เคยสว่างไสว อ้ายที่ไม่สกปรกนั้นให้กลายเป็นสกปรก ข้อนี้มีคำที่เขากล่าวไว้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้วเป็นคำพิเศษที่เรียกว่า ประภัสสร จิตเดิมนั้นเป็นประภัสสรเหมือนกับว่ากระจกใส แก้วใส เพชร น้ำ น้ำของเพชร หรือว่าดวงอาทิตย์เมื่อมีความเป็นประภัสสรจนเราดูไม่ได้ อ้ายขาวสว่างเรืองแสงอย่างยิ่งเขาเรียกว่าประภัสสรคือมันไม่มีสกปรก จิตนี้ก็เหมือนกันทีแรกเป็นประภัสสร เดี๋ยวนี้พอเขาได้สัมผัสทางกาย ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มันก็เกิดอย่างที่ว่า เกิดได้ตามธรรมชาติไม่ต้องมีใครไปสอนให้เกิดหรือแนะให้ทำ เด็กทารกก็ทำของเขาไปเองได้ เป็นยินดีและยินร้าย ถ้ายินดีก็เกิดพวกความโลภหรือราคะกิเลสเข้าไปเกิดในจิตนั้นไม่ประภัสสรแล้ว จิตเหมือนกับถูกสาดด้วยโคลนชนิดหนึ่งแล้ว ถ้าว่าสิ่งที่ไปสัมผัสทำให้เกิดยินร้ายเกิดความโกรธ เกิดโทสะมันก็ไม่ประภัสสรแล้ว มันก็เป็นจิตสกปรกแล้วสูญเสียประภัสสร ถ้ามันโง่มันหลงมันก็ไม่ประภัสสร ดังนั้นที่จะทำให้ไม่ประภัสสรก็คือกิเลส ๓ หมู่นี่แหละ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันก็เกิดขึ้นมาได้ในจิตตามธรรมชาติ เพราะว่าอ้ายเด็กทารกนั้นมีอวัยวะสำหรับติดต่อ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อมันออกไปติดต่อทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กับสิ่งใดได้ผลอะไรกลับเข้ามานี้มันก็ต้องเกิดอย่างนี้ที่น่ารักมันก็รักเกิดความโลภ ที่ไม่น่ารักมันก็ไม่รักมันก็เกิดความโกรธความเกลียด ที่มันไม่รู้ว่าอะไรมันก็ฉงนสงสัยไม่รู้ยิ่งขึ่นไปอีกในสิ่งนั้น ๆ นี่เรียกว่ากิเลส โลภะ โทสะ โมหะ รู้จักเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติในจิตของสัตว์ มันก็ไม่มีใครช่วยขูดช่วยแก้กันได้หรอกในตอนนี้ ปล่อยมาจนเป็นเด็กโตเป็นวัยรุ่นเป็นหนุ่มสาวกิเลสก็เกิดได้สบายไม่มีใครรู้เท่าทันมันไม่มีใครช่วยป้องกันมันได้ มันก็เกิดมาโดยสบายจนเดี๋ยวนี้เราก็มีกิเลสโลภ โกรธ หลง กันถึงขนาดจิตไม่ประภัสสรแล้ว เว้นไว้แต่เมื่อใดมันไม่เกิด จิตจะกลับประภัสสรเป็นระยะเป็นระยะ ที่มันว่างกิเลสหรือกิเลสไม่ทันเกิดหรือไม่มีโอกาสจะเกิดมันก็เป็นประภัสสรว่าง แต่แล้วมันก็กลับเกิดอีก จิตมันไม่สามารถจะต่อต้านอ้ายสิ่งที่เข้ามาปรุงแต่งให้เกิดกิเลส จิตเช่นนี้มันก็จะต้องเป็นทุกข์ เป็นจิตปุถุชนเป็นทุกข์เรื่อยไป จนกว่าเมื่อไรด้วยเหตุอะไรก็ตามเขาเกิดสังเกตเห็นขึ้นมาว่า อ้าว, มันอย่างนี้ ก็เที่ยวหาวิธีที่จะแก้ไขป้องกัน ไต่ถามปรึกษาพบผู้รู้ได้พบธรรมะได้พบศาสนา เป็นคำสอนว่าแกทำอย่างนี้สิ แกทำอย่างนี้สิ จิตจะไม่อาจจะเกิดกิเลส แกดำรงจิตไว้อย่างนี้สิกิเลสนั้นจะไม่อาจจะเกิดขึ้นในจิต ใช้คำว่าแกอบรมบ่มจิตของแกอยู่อย่างนี้ ๆ ๆ ทั้งวันทั้งคืน กิเลสนั้นไม่อาจจะเกิด ฉะนั้นอ้ายคนนี้เมื่อได้รับความรู้อย่างนี้ รับความฉลาดอย่างนี้ก็พยายามเรื่อยไป ดำรงจิตเสียใหม่ฝึกฝนจิตเสียใหม่อบรมจิตเสียใหม่พัฒนาจิตเสียใหม่จนจิตอยู่ในสภาพที่จะไม่ไปโง่เช่นนั้นอีกต่อไป แม้ว่าเขาจะยังคงสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจอยู่ตามเดิม แต่เดี๋ยวนี้เขาจะไม่ไม่เป็นโอกาสไม่ปล่อยให้เป็นโอกาสให้กิเลสมันเกิดแล้ว ถ้าเขาทำได้อย่างนี้ถึงที่สุดกิเลสไม่อาจจะเกิดขึ้นต่อไป มันก็กลับประภัสสรอย่างยิ่ง ประภัสสรครั้งที่สองนี้มันเป็นผิดจากครั้งแรก ครั้งแรกจิตมันยังอยู่ในวิสัยที่กิเลสเกิดได้ ครั้งหลังนี้จิตมันอยู่ในสภาพที่กิเลสเกิดไม่ได้ ฉะนั้นความเป็นประภัสสรมันก็ถาวร ถ้าทำได้อย่างนี้ก็เป็นพระอรหันต์คือดำรงจิตไว้ในลักษณะที่กิเลสเกิดไม่ได้อีกต่อไปนั่นแหละคือความเป็นพระอรหันต์ ถ้ายังเกิดได้เหมือนเดิมเกิดได้ง่ายเหมือนเดิม ก็ยังเป็นปุถุชนกันไปเถอะ มันก็ต้องระคนปนอยู่กับความทุกข์ นี่ลักษณะของจิตเป็นอย่างนี้ ลักษณะของกิเลสที่จะมาเกิดแก่จิตมันเป็นได้อย่างนี้ เพราะจิตนั้นมันเป็นยังเป็นธรรมชาติไม่ได้รับการอบรมกิเลสมันจึงเกิดได้ เมื่อเกิดแล้วก็ไม่ประภัสสรแล้วก็เป็นทุกข์ ทีนี้อ้ายจิตนั้นเองมันไม่มีใครมาแต่ไหน มันรู้จักสังเกต รู้จักเข็ดหลาบ รู้จักเก็บตัวอ้ายที่ความเป็นอย่างนั้น มันก็รับการศึกษาเสียใหม่มาดำรงตัวเองไม่ให้กิเลสเกิดได้ ทีนี้กิเลสเมื่อไม่ได้เกิด มันก็ค่อย ๆ เหือดแห้งไป สูญหายไปทีละนิดละนิดจนกว่าจะหมด คือเรามีสติระวังไว้อย่าให้กิเลสเกิดได้ กิเลสนั้นจะค่อย ๆ หมดไปจนหมดสิ้น แต่ถ้าเราปล่อยให้มันเกิดได้เกิดได้ มันก็ชินที่จะเกิดมันมีอนุสัยที่จะเกิดมันก็เกิดมากขึ้น ถ้าปล่อยให้มันเกิดมันก็งอกงามมากขึ้น ถ้าไม่ยอมให้มันเกิดมันก็ทรุดโทรมเหือดหายไป นี่เรื่องของกิเลสที่จะเกิดกับจิต คนอื่นเขาอาจจะพูดอย่างอื่น แต่อาตมาไม่ไม่พูดอย่างอื่น พูดอย่างนี้ว่ากิเลสไม่ได้ติดมาแต่ชาติก่อน กิเลสไม่ได้ติดมาแต่ในท้องแม่ เพราะอยู่ในท้องแม่นั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันไม่ได้ทำงานมันไม่ได้สัมผัสมันไม่มีเรื่องที่จะยินดียินร้าย มันจึงไม่เกิดความอยาก ความโง่ ความหลงที่จะเป็นกิเลส แต่พอออกจากท้องแม่แล้วไม่เท่าไรมันก็รู้จักใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของมันสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามา พวกหนึ่งทำให้ยินดีก็เกิดกิเลสฝ่ายยินดี พวกหนึ่งทำให้ยินร้ายก็เกิดกิเลสฝ่ายยินร้าย พวกที่ยังเป็นกลาง ๆ อยู่ ก็เลยโง่ต่อไปไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ดังนั้นเราจึงได้กิเลสมา ๓ รูปแบบ คือโลภะ โทสะ โมหะ กิเลสได้เกิดขึ้นแล้วและได้เจริญเติบโตจนกว่ามันจะมันจะตายไปกับตัว หรือว่าจนกว่าเจ้าของเขาจะรู้จักทำให้หมดสิ้นเสียก่อนแต่ที่จะตายไปกับตัว กิเลสมันเลยมี ๓ หมู่ หมู่ที่ ๑ คือโลภ หมู่ที่ ๒ คือโกรธ หมู่ที่ ๓ คือหลง จำไว้เป็นหลักมันง่ายไม่ยากหรอก หมู่ที่ ๑ คือโลภ มันจะเอาเข้ามา มันจะดึงเข้ามา มันจะเอามาเข้ามาไว้กับตัว มันจะกอดรัดไว้เรียกว่า ความโลภนี่หมู่ที่ ๑ หมู่ที่ ๒ มันไม่เอา มันจะผลักออกไป มันจะตีเสียให้ตาย ฆ่าเขาให้ตาย นี่คือโทสะหรือโกรธะนี่หมู่ที่ ๒ หมู่ที่ ๓ มันไม่รู้อะไรทั้งหมด มันก็ได้แต่สงสัย กังวล ระแวงอยู่ไปตามเรื่อง คือทำอะไรไม่ถูกกับสิ่งทั้งปวง จึงมีลักษณะเหมือนกับว่าวนอยู่รอบ ๆ ใช้คำว่าอย่างนี้สังเกตง่าย กิเลสหมู่ที่ ๑ คือโลภะ ราคะ นี่เป็นกิเลสที่จะดึงเข้ามาหาตัวเอามากอดรัดไว้ กิเลสหมู่ที่ ๒ คือโทสะหรือโกรธะนี้จะผลักออกไป จะทำลายเสียให้หมดสิ้น นี่กิเลสหมู่ที่ ๒ ผลักออก กิเลสหมู่ที่ ๓ โง่จนไม่รู้ว่าจะทำอะไร ก็ได้แต่เดินเวียนอยู่รอบ ๆ ดังนั้นเมื่อเราอยากจะรู้ว่ากิเลสที่เกิดอยู่ในใจของเราเป็นกิเลสประเภทไหน เราก็สังเกตดูอาการถ้ามันมีอาการดึงเข้ามาหานั้นก็เป็นพวกที่หนึ่ง โลภหรือราคะกำหนัดยินดี ถ้ามันมีลักษณะไม่ชอบอยากจะทำให้พ้นไปเสีย จะตีให้ตาย มลายหายสูญไปก็เป็นกิเลสประเภทที่สองคือโทสะหรือโกรธะ ถ้ามันยังทำให้โง่หลงอยู่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็มันก็เป็นโมหะ เราได้ยินชื่อว่าโลภะ โทสะ โมหะกันมาแล้วก็จริง แต่อาจจะไม่เข้าใจจนถึงกับว่าเกลียดมัน แม้จะเป็นโลภะหรือราคะ ทำให้คนนั้นรู้สึกสบายเอร็ดอร่อยแต่มันก็กัดเอามันทำให้เป็นทุกข์เหมือนกัน ถ้ามีความยึดถือแล้วเป็นทุกข์ทั้งนั้น อ้ายของยิ่งน่ารักก็ยิ่งยึดถือ ยิ่งรักก็ยิ่งยึดถือ ยิ่งยึดถือมันก็ยิ่งเป็นทุกข์ ของน่าเกลียดน่าชังมันก็ยึดถือไปในทางตรงกันข้ามคือยึดถือว่าไม่น่ารัก ยึดถือว่าเป็นศัตรู ก็เลยเกิดความทุกข์เพราะความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ฉะนั้นเมื่อมีความทุกข์ ก็คือความรัก ความพอใจ ความหึงหวง ความอิจฉาริษยา ความตระหนี่ถี่เหนียวอะไรก็ตามมันก็เกิดทุกข์ไปในแบบที่มันรัก ส่วนอันนี้มันเกิดความทุกข์ไปในแบบที่มันไม่รัก ส่วนโมหะนี่มันมืดทำอะไรไม่ถูกมันตัดสินใจไม่ได้ อ้ายความสงสัยมันก็รบกวน เราก็มักจะเป็นโรคประสาทกันเพราะอ้ายตัวที่๓ คือไม่รู้ว่าอะไรตามที่เป็นจริง แล้วมันก็วิตกกังวล ระแวง อาลัยอาวรณ์อยู่ ได้เป็นโรคประสาทกันเพราะอ้ายกิเลสตัวที่ ๓ นี้มากกว่า แต่มันเนื่องกันนะเพราะอ้ายกิเลสตัวที่ ๓ คือไม่รู้นั้นมันทำให้มันรัก เพราะโง่มันจึงไปรักเข้า และเพราะโง่มันจึงไปโกรธไปเกลียดเข้า นี่ตัวที่ ๓ เป็นเหตุให้เกิดยุ่งยากลำบากกว้างขวางกว่า ถ้าเราไม่พูดอย่างนี้เราพูดแค่ว่าอ้ายทั้ง ๓ ตัวนี้มาจากความโง่ก็ได้เหมือนกัน มาจากอวิชชาทำให้ยึดมั่นถือมั่นแล้วจึงเกิดความโลภ จึงเกิดความโกรธ จึงเกิดความหลง แม้จะเรียกชื่อผิดแผกกันแต่เรื่องมันก็เรื่องเดียวกัน คือเพราะความโง่ เพราะความไม่รู้ จึงได้ไปหลงรักอ้ายที่มันน่ารักที่มันหลอกให้รัก ความจริงมันไม่มีอะไรที่น่ารัก ที่ไปรักก็เพราะมันโง่ ที่มันมาให้โกรธให้เกลียดหรือโกรธเกลียดกันตามที่อบรมให้โกรธให้เกลียด มันก็คือความโง่ที่ไปโกรธไปเกลียด คือไปกลัว ทีนี้ความหลงก็หลงรักหลงเกลียดอีกเหมือนกัน วนเวียนอยู่ในเรื่องรักเรื่องเกลียดเรื่องโกรธเรื่องกลัวเหมือนกัน ดังนั้นขอให้จับใจความสำคัญให้ได้ว่า ถ้ามันโง่มันจะต้องเกิดกิเลส เกิด---(นาทีที่0:42:18)ยึดถือ ยึดถืออันนี้น่ารัก ยึดถืออันนี้ไม่น่ารัก ยึดถือว่อันนี้น่าสนใจน่าสงสัยน่าทึ่งน่าค้นคว้าอย่างนี้เป็นต้น ดังนั้นจึงมีความยึดถือซึ่งแยกไปได้เป็นสองอย่างคือยึดถือสำหรับรัก ยึดถือสำหรับเกลียด ถ้าอย่ายึดถือก็ไม่มีเรื่องที่ต้องรักหรือต้องเกลียดมันก็สบายดี อยู่ในระหว่างกลางสิอย่าไปรักอย่าไปเกลียด อยู่ตรงกลางนั่นละสบายที่สุด จุดว่างมันอยู่ที่ตรงนั้นละสบายที่สุด เอียงไปทางนั้นก็รักก็ลุกเป็นไฟไปตามอำนาจของความรัก เอียงไปทางนี้ก็โกรธเกลียดก็ลุกเป็นไฟตามแบบของความโกรธความเกลียด เป็นทุกข์ทั้งนั้น เมื่อได้ก็เป็นทุกข์อย่างได้ เมื่อเสียก็เป็นทุกข์อย่างเสีย ได้มาเป็นของรักมันก็รักก็หลงรักก็เป็นไฟเพราะความรัก นอนไม่หลับทั้งนั้น กินไม่ได้ ได้มาอย่างเป็นของที่ไม่น่ารัก มันก็นอนไม่หลับเหมือนกัน ดังนั้นอย่าให้มีรัก อย่าให้มีไม่รัก อย่าให้มีได้ อย่าให้มีเสีย ทั้งได้ทั้งเสียล้วนแต่อัปรีย์ ถ้าเราไปหลงยินดีเมื่อได้มันก็กัดเอา ไปหลงโกรธเมื่อไม่ได้มันก็กัดเอา ได้มาก็กัดเอาเสียไปก็กัดเอา ทั้งได้ทั้งเสียล้วนแต่อัปรีย์ เมื่อมีกำไรมันก็ยินดีหลงรัก มันก็กัดเอาเมื่อขาดทุนมันไม่ชอบใจมันก็โกรธมันก็กัดเอา ทั้งได้และทั้งเสียทั้งกำไรและทั้งขาดทุนมันกัดเอาทั้งนั้น ดังนั้นอยู่ตรงกลาง ๆ นั่นอย่ามีได้อย่ามีเสีย อย่ามีแพ้อย่ามีชนะ อย่าดีอย่าชั่ว อย่าบุญอย่าบาป อย่าสุขอย่าทุกข์ ตรงนั้นละคือว่างระหว่างกลางเป็นจุดที่เย็นที่สุด สบายที่สุด เพราะไม่ใช่กิเลส เอียงไปทางรักก็เป็นกิเลส เอียงไปทางไม่รักก็เป็นกิเลส เอียงไปทางไม่รู้ก็เป็นกิเลส อยู่ตรงกลางๆอย่าเอียงไปทางไหน นี่คือเรื่องของกิเลสแปลว่าของสกปรก เข้าไปในใจเกิดขึ้นในใจทำใจสกปรก ก็มืดมัวก็โง่มันก็สร้างแต่เรื่องความทุกข์ เมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัสผิวหนัง ใจได้คิดนึกอารมณ์อะไรก็ระวังให้ดีอย่าให้เกิดความโง่ หลงรักอะไรหรือ หลงเกลียดอะไร ว่าเอ้า,มันอย่างนี้เอง มันเท่านี้เอง รูปสวยน่ารักก็แค่นี้เอง ไม่น่ารักก็แค่นี้เองเท่านี้เอง เช่นนี้เอง เขาเรียกว่ามันเช่นนี้เอง ไปรักให้มันบ้า ไปโกรธไปเกลียดให้มันบ้า มันเช่นนี้เอง มันเช่นนี้เอง หัวใจธรรมะ ธรรมะมีหัวใจอยู่ที่ว่ามันเช่นนั้นเอง อย่าไปหลงรัก อย่าไปหลงเกลียด อย่าไปหลงอะไรกับมัน ถ้าไม่มีกิเลสก็เกลี้ยงก็สะอาด ก็สบาย ก็หยุด ก็เย็นเป็นอิสระ ถ้าสกปรกมาหุ้มห่อแล้วมันก็หมดแล้ว มันไม่เป็นอิสระแล้ว กิเลสมันก็ทำไปตามอำนาจของกิเลสก็เรียกว่าร้อนทั้งนั้นแหละ ราคะรักมันก็ร้อน โทสะไม่รักหรือโกรธหรือเกลียดมันก็ร้อน โมหะไม่รู้อะไรเป็นอะไรมันก็ร้อน ของร้อนในใจมีอยู่ไฟ ๓ ชนิดนี้ อ้ายข้างนอกก็มีไฟที่ก่อขึ้นด้วยไม้ฟืน ด้วยน้ำมัน นั่นมันไฟข้างนอกก็เป็นเรื่องข้างนอก เป็นเรื่องวัตถุสิ่งของมันก็เผากันแต่วัตถุสิ่งของ มันเผาใจใครไม่ได้ ไฟข้างนอกก็เผาสิ่งของไปแต่ว่าไฟข้างในนั่นมันเผาใจเลย ใจมันก็ร้อนเพราะราคะ เพราะโทสะ เพราะโมหะ นี่อย่าลืมนะว่าธรรมะนั้นเอาคำชาวบ้านไปใช้ ที่ว่าราคะเป็นไฟ โทสะเป็นไฟ โมหะเป็นไฟ คำว่าไฟนี่ยืมมาจากชาวบ้าน ที่เขามีพูดกันอยู่แล้วว่า ไฟ ไฟ เดี๋ยวนี้แม้ว่าเรามีไฟเผาอยู่ เราก็ไม่รู้ว่าเป็นไฟ แล้วเราก็รักไฟนั้นแหละ เราก็จะวิ่งเข้าไปหากองไฟ เราร้อนอยู่ในความรัก เราก็วิ่งเข้าไปหาความรักให้มันหนักเข้าไปอีก บางคนไฟมันไหม้หัว ไหม้ตัวอยู่แล้ว มันคิดว่าจะดับไฟ แล้วมันก็วิ่งเข้าไปในกองไฟเลย มันโง่เท่าไรคิดดู นี่เพราะมันไม่รู้นี่ว่านี้คืออะไรมันก็ดับไม่ได้ กลับเข้าไปหาให้มันมากขึ้นไปอีก เราจะต้องรู้กันเสียทีว่าว่านี้คือกิเลส มีอย่างนี้เกิดขึ้นได้อย่างนี้ในหมู่มนุษย์ และทำให้มนุษย์ร้อนและเป็นทุกข์ตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะดับมันเสียได้ เรื่องของกิเลสนี้ยังมีที่น่าสนใจอีกว่า เกิดขึ้นเป็นโลภะโทสะโมหะเราเรียกว่ากิเลส เกิดขึ้นในใจเป็นทุกข์แล้วแหละโลภะก็เป็นทุกข์ตามแบบโลภะ ราคะก็เป็นทุกข์ตามแบบราคะ โทสะก็ทุกข์ตามแบบโทสะ โมหะก็เป็นทุกข์ตามแบบโมหะ นี่เป็นทุกข์กันเสียจะแย่อยู่แล้วนะ ทีนี้มันไม่ใช่มีแต่เท่านั้น มันยังสร้างความเคยชินที่จะเป็นอย่างนั้นไว้อีก เช่นว่าเราไปรักอะไรเข้าทีหนึ่งมันก็มีเรื่องตามความรักและมันยังสร้างความเคยชินที่จะรักให้มันมากให้เก่งให้เร็วยิ่งขึ้นไป เขาเรียกว่าความชินที่จะเกิดกิเลส กิเลสคือโลภะโทสะโมหะ ความเคยชินที่จะเกิดกิเลสเช่นนั้นอีกเรียกว่าอนุสัย มันชินที่จะโลภ ที่จะโกรธ ที่จะหลง ให้มันเร็วขึ้น ให้มันแรงขึ้น ให้มันมากขึ้น ฉะนั้นพอเราเกิดมาในโลกนี้เราไปรักอะไรเข้า มันจะเกิดความเคยชินที่จะรักเก็บไว้ในสันดาน ไปโกรธอะไรเข้ามันก็เกิดความเคยชินที่จะโกรธเก็บไว้ในสันดาน เราโง่เราก็จะเก็บความชินที่จะโง่จะสะเพร่าเป็นต้น ก็เก็บไว้ในสันดานทุกคราวที่มีกิเลสเกิดขึ้น กิเลสเกิดขึ้นร้อยคราวมันก็มีเก็บไว้ร้อยร้อยหน่วย ร้อยความเคยชิน เมื่อความเคยชินมันเพิ่มขึ้นตั้งร้อยเท่าอย่างนี้มันก็เกิดเร็วกว่าแต่ก่อน มันยิ่งโตขึ้นมาเราก็รักเร็วกว่าแต่ก่อน โกรธเร็วกว่าแต่ก่อน โง่เร็วกว่าแต่ก่อน เพราะเราสั่งสมอ้ายความเคยชินของกิเลสนั้นไว้ในสันดาน ส่วนที่ความเคยชินนี่เขาเรียกว่าอนุสัย ส่วนที่เป็นตัวกิเลสเรียกว่ากิเลส ที่เป็นความเคยชินของกิเลสเรียกว่าอนุสัย คือ ความเคยชินของกิเลสที่จะเป็นเหตุให้เกิดกิเลสเร็วขึ้น แรงขึ้น กว้างขวางขึ้น ทุกคนมีอนุสัยเก็บไว้ในสันดานสำหรับจะรัก จะโกรธ จะเกลียด จะกลัว มันแรงขึ้นเร็วขึ้นกว้างขวางขึ้นนี้คือปัญหา กิเลสนั้นมันก็สร้างความเคยชินไว้สำหรับจะให้เป็นทุกข์เร็วขึ้น เพราะว่าเมื่อสร้างความเคยชินไว้ข้างในมาก สร้างไว้มากเก็บไว้มากมันก็เต็มอัด เมื่อเต็มอัดมันก็จะไหลออกมาได้ง่าย เมื่อมันเต็มอัดอยู่ข้างในมันก็จะไหลออกมาข้างนอก ซึ่งเรียกได้ว่าเราเอาน้ำใส่ตุ่มมากขึ้นมากขึ้นมากขึ้น อ้ายความอัดของน้ำในตุ่มที่จะออกมาข้างนอกมันก็มีมากสิ ฉะนั้นถ้ามันมีรูรั่วอะไรสักนิดมันก็ออกมาทันที ถ้ามันมีน้ำน้อยความอัดดันที่จะออกมาข้างนอกมันก็มีน้อยไม่รุนแรง แต่ทีนี้เราเก็บไว้มาก อ้ายความเคยชินของกิเลสเก็บไว้มาก เก็บไว้มากมันก็จะไหลออกมาสำหรับเกิดข้างนอก ปรากฏออกมาข้างนอก เรียกว่าเกิดขึ้นในความรู้สึก อ้ายส่วนที่จะไหลออกมานี้ก็เรียกว่าอาสวะ
กิเลสทีแรกเรียกว่ากิเลสเฉยๆ กิเลสที่เก็บไว้เป็นความเคยชินเรียกว่าอนุสัย กิเลสที่กดดันไว้มากจนไหลออกมาเรียกว่าอาสวะ ถ้าไม่มีอาสวะมันก็ไม่ไหล ไม่มีความกดดันมันก็ไม่ไหล แต่มันมีสะสมไว้ข้างในมันก็มีความดันออกมันก็ไหล พระอรหันต์คือผู้ที่ไม่มีกิเลส ไม่มีอนุสัย ไม่มีอาสวะ ในสันดานของท่านไม่มีอนุสัยคือการเก็บกักไว้สำหรับกิเลส แล้วก็ไม่มีการที่ดันออกมาเป็นกิเลส ก็เรียกว่าไม่มีอาสวะ ส่วนปุถุชนนี่รวย รวยกิเลสมากแล้วก็รวยอนุสัยเหลือเกิน แล้วก็มีอาสวะที่จะดันออกมาได้มากเหลือเกินต่างกันอย่างนี้ เมื่อเราเป็นปุถุชนอยู่เราก็รู้อ้ายข้อเท็จจริงของปุถุชนกันเสียให้มันถูกต้องว่าเรามีกิเลสด้วย เรามีความเคยชินที่จะเกิดกิเลสคืออนุสัยด้วย เรามีอาสวะคือความกดดันที่ดันออกมาเป็นกิเลสอีกมากด้วย มีทั้งกิเลส มีทั้งอนุสัย มีทั้งอาสวะนี่มันจึงหาความสุขไม่ได้ ในเมื่อเป็นปุถุชนกันเต็มที่อย่างนี้ เราจะบรรเทาอาสวะก็อย่าสร้างอนุสัย เมื่อไม่สร้างอนุสัย เมื่อไม่อยากมีอนุสัยก็อย่าอย่าอย่าให้เกิดกิเลส ถ้าอย่าเกิดกิเลสก็ไม่มีอนุสัย เมื่อไม่มีอนุสัยก็ไม่มีอาสวะ ก็สบาย กิเลสก็ของสกปรก อนุสัยนี้แปลว่าเก็บกักเอาไว้นอนเนื่องอยู่ในสันดาน อาสวะก็ไหลออก ไหลออก ดังนั้นขอให้ทุกคนไปสังเกตดูจนรู้จักสื่งทั้ง ๓ นี้ของตนเอง ซึ่งเป็นเหตุ ต้นเหตุ มูลเหตุให้เป็นปุถุชน เหตุให้เป็นปุถุชนก็คือกิเลส ในฐานะที่เป็นกิเลสโดยตรงก็มี ในฐานะที่กักตุนเอาไว้เป็นอนุสัยในสันดานก็มี ในฐานะที่ดันจะปรี่ออกมาข้างนอกเป็นอาสวะนี้ก็มี ศึกษาเท่านี้พอ เหมือนกับศึกษากันหมดทั้งพระธรรม รู้จักกิเลส รู้จักการสะสมความเคยชินของกิเลส รู้จักการที่มันจะดันออกมาที่ควบคุมอย่าให้เกิดกิเลส อย่าให้เกิดอนุสัย ทำลายอนุสัย ลดอนุสัยไปเรื่อยๆโดยการที่ลดกิเลส ลดอนุสัยแล้วมันก็เท่ากับลดอาสวะ คือมีสติก็ได้ เมื่อมันจะไหลออกมามีสติที่จะแก้ไขป้องกันเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมาก็ได้เหมือนกัน แต่ว่าถ้ามันสะสมไว้มากในภายในแล้วมันก็ยากที่จะควบคุมหรือ---(นาทีที่ 0:55:55)มันไหลออกมา เมื่อมีกิเลสมาก มีอนุสัยมาก มีอาสวะมากเป็นปุถุชนเต็มขั้น จะใช้ว่าเต็มขั้นก็ยังไม่ค่อยเหมาะมันเกินขั้น เป็นปุถุชนเกินขั้น เพราะเหตุมีเรื่องราวเขาก็จะเป็นทุกข์ ไม่ควรจะเป็นทุกข์ไม่ควรจะเป็นทุกข์มันก็เอามาเป็นทุกข์จนได้เพราะความโง่ เพราะไม่รู้ธรรมะ ปุถุชนคือไม่ได้ยินไม่ได้ฟังธรรมะของพระอริยเจ้า ไม่ได้นั่งใกล้พระอริยเจ้า ไม่ได้รับการสั่งสอนฝึกฝนแนะนำดีโดยพระอริยเจ้า.(นาทีที่56:53-58:40) อัดเทปมาซ้ำเริ่มตั้งแต่คำพูดที่ระบายเป็นสีเหลือง มันก็เต็มไปด้วยความโง่ ความหลง เต็มไปด้วยกิเลสนี่คือปุถุชน มันก็จมอยู่ในกองทุกข์ตามแบบของปุถุชน ก็สนุกดีก็ได้ไม่เป็นไรไม่ต้องไปหาทางดับทุกข์เวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์มันก็สนุกดี ก็ดูคนที่เขามีกิเลสมีความทุกข์เขาก็สนุกไปตามแบบของเขา เขาก็ไม่อยากจะดับกิเลสไม่อยากจะละกิเลส ถ้าเราทนได้ก็เอาสิ ไปเข้าฝูงนั้น แต่ถ้าเห็นว่ามันไม่ไหวโว้ยแล้วก็ ปลีกตัวมาหาวิธีแก้ไขศึกษาปฏิบัติแก้ไขก็จะพ้นไปจากความเป็นปุถุชนที่จมอยู่ในกองทุกข์ ขึ้นอยู่เหนือกองทุกข์เหนือโลกอย่างที่ว่า เขาเรียกว่าเหยื่อของกิเลส หาได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนังผิวกาย ทางจิตใจเหมือนที่เขากำลังหากันอยู่ทั่วไป ลงทุนซื้อหาแพง ๆ มันอุตส่าห์ทำงานเหงื่อไหลไคลย้อยได้เงินมาแล้วไปซื้อเหยื่อให้กิเลส โง่กี่มากน้อยทั้งหญิงทั้งชาย อุตส่าห์หาเงินหาทองเกือบตายได้เงินมาแล้วไปซื้อเหยื่อให้กิเลส นี้ก็สนุกอยู่ด้วยกิเลส อ้ายเหยื่อเลว ๆ หยาบ ๆ นี้เราเรียกว่าอบายมุข อบายมุขดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน เหนืออีกขึ้นไปก็เป็นพวกกามารมณ์ชั้นธรรมดา ๆ ยิ่งขึ้นไปเป็นกามารมณ์ชั้นละเอียด ชั้นหลอกลวงมากจนจนมันเป็นทุกข์ นี่มันมีเงินเดือน ๆละสามหมื่นมันก็ใช้ไม่พอเพราะเอาไปซื้อเหยื่อให้กิเลสอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแล้วก็แพง ดังนั้นหยุดเป็นทาสกิเลสหยุดซื้อเหยื่อให้กิเลสเดี๋ยวเงินเดือนก็เหลือใช้ ฉะนั้นพวกคุณที่จะสึกลาสิกขาออกไปนี้ก็ตั้งต้นกันเสียใหม่ ไปเปลี่ยนวิธีการตั้งต้นกันเสียใหม่จะไม่เป็นทาสของกิเลส จะไม่ลงทุนเหน็ดเหนื่อยเพื่อซื้อเหยื่อมาเลี้ยงกิเลส มันน่าละอายสำหรับความเป็นมนุษย์โดยเฉพาะเป็นพุทธบริษัทมันน่าละอายอย่างยิ่ง ลงทุนซื้อหาเหยื่อของความทุกข์เอามาสำหรับจะเป็นทุกข์ นี่คือความเป็นปุถุชน เรียกว่ามีมูลเหตุอยู่ที่กิเลส เรื่องนี้มันเกี่ยวกับธรรมชาติอยู่มาก ธรรมชาติมันสร้างเรามาสำหรับที่จะไม่รู้อะไร เกิดมาในท้องแม่ไม่ได้มีสติปัญญาที่ติดมาก่อโดยที่ธรรมชาติมันสร้างให้ ธรรมชาติมันปล่อยไปตามธรรมชาติ ฉะนั้นทารกนั้นมันก็เติบโตขึ้นมาด้วยการทำผิด โง่มากขึ้นโง่มากขึ้นเพื่อจะหลงรักหรือหลงเกลียดมากขึ้นมากขึ้นมากขึ้นจนเป็นกิเลสเต็มตัว นี่ธรรมชาติมันสร้างมาให้เป็นอย่างนี้ให้มันเจ็บปวดก่อน เมื่อมารู้สึกก็มาแก้ไขก็เอาชนะกันทีหลัง มนุษย์คนไหนมาสังเกตเห็นรู้สึกตัวได้ทันท่วงทีก็จะหาทางดับทุกข์ได้ในเวลาอันสมควรไม่ต้องเกิดมาตายเปล่า ไม่ได้พบกับความไม่มีกิเลสเลย
กิเลสที่ต่อสู้กับมันยากคือกิเลสประเภทโลภะหรือราคะ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ธรรมชาติมันแกล้งจัดมาให้ ใช้คำว่าแกล้งนี่แกล้งพูดว่าธรรมชาติมันจัดมาให้ คือธรรมชาติอันลึกซึ้งที่เราไม่รู้ว่าอะไรมันลึกลับเหลือประมาณ ที่มันสร้างโลกนี้ขึ้นมาสร้างดวงดาว ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ สร้างโลกขึ้นมา สร้างสัตว์ขึ้นมา สร้างชีวิตขึ้นมาจนเป็นชีวิตเป็นสัตว์เป็นต้นไม้เป็นอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ในธรรมชาติมันจัด คนบางจำพวกเขาว่าพระเจ้าจัด ก็ได้เหมือนกันถ้าเขาพูดว่าพระเจ้าจัด อ้ายเรานี่พูดว่าธรรมชาติมันจัด ใครจะจัดก็ตามใจเถอะ แต่ดูให้ดีก็แล้วกันว่าในสิ่งนั้นมีสิ่งเลวร้ายอยู่อย่างหนึ่ง คือความต้องสืบพันธุ์ ธรรมชาติมันใส่ความต้องสืบพันธุ์มาในนั้นในตัวธรรมชาติ เช่นมนุษย์เราก็มีเรื่องที่ต้องสืบพันธุ์ใส่อวัยวะสืบพันธุ์ความต้องการที่จะสืบพันธุ์มาให้เสร็จ พอเด็กทารกโตขึ้นถึงขนาดมันก็ต้องการสืบพันธุ์อย่างยิ่งไม่มีใครห้ามได้ สัตว์เดรัจฉานก็เป็นอย่างนี้ เมื่อถึงขนาดถึงความเจริญเติบโตที่จะสืบพันธุ์มันก็ต้องสืบพันธุ์ไม่มีใครห้ามได้ แม้แต่ต้นไม้การศึกษาเรื่องต้นไม้มันก็ต้องการสืบพันธุ์ ฝ่ายที่เป็นพันธุ์ผู้พันธุ์เมียต้องการสืบพันธุ์ต้องการจะออกลูก ความที่ต้องการจะสืบพันธุ์นั้นแหละไม่รู้ว่าธรรมชาติมันสร้างมาให้ทำไมนอกจากจะมาให้ทรมานคนอย่างยิ่งเลย คือมันเป็นสิ่งที่ละไม่ได้เป็นสิ่งที่บังคับไม่ได้มันก็ต้องการจะสืบพันธุ์ มันมีความลับที่น่าหัวอยู่อย่างว่าอ้ายการสืบพันธุ์นี้ไม่ใช้เรื่องสนุก ถ้าให้สืบพันธุ์กันเฉย ๆ แล้วก็ มันไม่มีใครสืบพันธุ์แน่ ทีนี้ธรรมชาติมันมาเหนือเมฆมาเหนือกว่า มันใส่อ้ายความอร่อยสูงสุดไว้ในการสืบพันธุ์ที่เรียกว่ากามารมณ์ ให้คนหลงแก่กามารมณ์ก็ต้องทำการสืบพันธุ์ เพราะกามารมณ์ใส่ไว้กับการสืบพันธุ์แปะติดกันอยู่ คนเราก็ต้องลงทุนเพื่อกามารมณ์ แล้วก็ต้องชดใช้สิ่งนี้ด้วยการสืบพันธุ์ ทนยากทนลำบากโดยเฉพาะเพศมารดาต้องทนลำบากอย่างยิ่งเพื่อการสืบพันธุ์ ถึงบิดาก็ไม่ใช่สนุกมัน---(นาทีที่01:06:19)ภาระมาก แต่แล้วก็เอาก็ไปเอาค่าจ้างของธรรมชาติเข้าแล้วคือกามารมณ์ อย่าเป็นทาสของกามารมณ์ก็ไม่ต้องสืบพันธุ์ ก็ไม่ต้องชดใช้ด้วยอาการที่ทนทุกข์ทรมาน ในสัตว์ในคนในสิ่งที่มีชีวิตมันมีความต้องการที่จะสืบพันธุ์ แต่ถ้าดูให้ดีแล้วมันไม่ใช่สิ่งเดียวกับกามารมณ์ อ้ายการสืบพันธุ์ทำให้มีพันธุ์ออกมา แต่กามารมณ์นั้นคือเหยื่อล่อให้คนสืบพันธุ์ แต่อ้ายพวกบางคนมันเอาไปรวมกันเสียเป็นเรื่องเดียวกันเสีย แต่ความจริงมันคนละเรื่อง มนุษย์ตกเป็นทาสของกามารมณ์จึงจำเป็นต้องสืบพันธุ์ทั้งที่ไม่ปรารถนา ดูให้ดีว่าปัญหามันมากถึงขนาดนี้ เรื่องกิเลสมันมีปัญหามากถึงขนาดนี้ ที่ว่าธรรมชาติมันเป็นฝ่ายกำหนดมา สร้างมาให้มีกิเลสคือพอใจในกามารมณ์ แล้วก็ยอมทนทุกข์ใช้หนี้ก็ไปกินเหยื่อของของมารของพญามารคือกามารมณ์เสียแล้ว ก็ต้องชดใช้ด้วยความทุกข์ยากลำบากอันเนื่องมาจากกามารมณ์ แต่คนเราก็ไม่รู้สึก ทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานหาเงินให้มาก ๆ จะไปซื้อหากามารมณ์กันทั้งนั้น มันก็โง่สองต่อ ต้องเหน็ดเหนื่อยไปซื้อหากามารมณ์มา แล้วก็ถูกชดเชยด้วยการสืบพันธุ์ก็ต้องลำบากด้วยการสืบพันธุ์อีกต่อหนึ่ง คุมกำเนิดหรือทำแท้งกันไม่หวาดไหวเพื่อความโง่อันนี้เพื่อจะชดเชยกับความโง่อันนี้
นี่คือเรื่องที่เป็นปัญหาของปุถุชน ปุถุชนมันโง่ขนาดนี้มันจมปลักขนาดนี้ มันแก้ปัญหาของมันไม่ได้ ใคร ๆ เห็นก็ไม่ไหวแล้ว เอ้าเมื่อมันไม่ไหวแล้วก็รีบเตรียมตัวสิเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ต้องเป็นอย่างนั้น อวิชชานั้นเป็นธาตุแห่งความโง่ ทางธรรมะก็ถือว่าอวิชชานี้เป็นธาตุชนิดหนึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติ ที่เราได้ยินได้ฟังมีแต่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณ นั้นเราได้ยินกันอยู่แถวนั้น นั่นคือธาตุที่จะมาปรุงปรุงกันเข้าเป็นตัวที่สมมติว่าสัตว์ว่าคน สัตว์หรือคนมีธาตุ ๖ ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ เรารู้กันแต่ธาตุอย่างนี้ ธาตุที่เป็นกลาง ๆ ไม่ดีไม่ร้ายไม่ชั่วไม่ดีอย่างนี้ก็จะเป็นที่ตั้งอ้ายอ้ายของอ้ายเรื่องของเรื่องราวที่เป็นเป็นตัวเป็นตัวคนขึ้นมาอย่างนี้ ทีนี้อะไรจะเข้ามายึดครองตัวคน ธรรมดามันก็ถ้าปล่อยไปตามธรรมดามันก็อ้ายความไม่รู้ อวิชชาธาตุธาตุแห่งความไม่รู้คือเรารู้อะไรไม่ได้ จิตนี้รู้อะไรไม่ได้เพราะอวิชชาธาตุมันเข้ามายึดครองจิตนี้ มันก็พูดยากแต่ว่าเปรียบให้เห็นก็ได้ว่าอวิชชาธาตุมันมีทั่วไปทุกหนทุกแห่งยิ่งกว่าอากาศธาตุนี้เสียอีก พอจิตโง่จิตเผลอหรือจิตทำผิดอวิชชาธาตุก็เข้าสวมเป็นจิตอวิชชาเป็นจิตโง่ มันก็ทำไปตามความโง่ พระพุทธเจ้าตรัสว่าอวิชชานี้มันมีอยู่พร้อมอยู่เสมอที่จะเข้าไปสวมจับเอาสิ่งทั้งปวง ที่นี้หมายถึงสิ่งที่มีชีวิต จิตมีชีวิตมีความรู้สึก พอทำผิดพลาดอวิชชาก็เข้าสวมยึดครองจิตนั้นหรือชีวิตนั้น จิตนั้นชีวิตนั้นก็ทำอะไรไปตามอวิชชา ส่วนวิชชานั้นหายากไม่รู้อยู่ที่ไหนมาต่อต้านขึ้นมา มันจึงเป็นหน้าที่ที่ต้องจะมาสร้างกันทีหลัง โดยธรรมชาติแท้ ๆ แล้วมันก็คืออวิชชาธาตุพร้อมอยู่เสมอที่จะสิงจิตของมนุษย์ให้มนุษย์เป็นไปตามอำนาจของอวิชชา ท่านยังตรัสว่านิวรณ์เป็นอาหารของอวิชชาหรือเป็นปัจจัยโดยอ้อมของอวิชชา เพราะเรามีนิวรณ์มีจิตที่อ่อนแองัวเงียด้วยเรื่องกามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา อย่างนี้เป็นต้น มันก็เป็นโอกาสให้อวิชชาเข้ามายึดครองเลย ที่เห็นง่ายๆก็เรื่องถีนมิทธะ---(นาทีที่ 1:12:05) ถีนมิทธะคือความมึนชา ง่วงเหงาอ่อนเพลีย ละเหี่ยละห้อย มันกินอิ่มจนมึนง่วงนอนจนอ่อนแออย่างนี้ นั้นละโอกาสของอวิชชาจะครอบงำจิตใจนั้นได้ง่ายเพราะจิตใจเสียความปรกติไปแล้ว อย่างเช่นว่ามีจิตใจน้อมไปทางกามมันก็เสียปรกติไปแล้ว อวิชชาก็ครอบงำเป็น----(นาทีที่1:12:31)อวิชชา แล้วก็ทำไปตามอวิชชา มันก็ส่งเสริมเรื่องกามารมณ์ไปต่อไป หรือว่าจิตมันหงุดหงิดอยู่ด้วยความไม่ชอบใจ งัวเงียอยู่ด้วยความไม่ชอบใจอวิชชามันก็เข้าสวมเป็นจิตที่อวิชชาเต็มที่ก็ทำไปตามอำนาจของอวิชชา เมื่อใดงัวเงีย เพลีย อ่อนเพลีย ละเหี่ยละห้อย อวิชชาก็เข้า เมื่อใดฟุ้งซ่านเหมือนคนบ้าอวิชชาก็เข้า เมื่อใดลังเลไม่แน่นอนว่าจะเอาอย่างไรอวิชชาก็เข้าสิงเข้าจัดให้บุคคลนั้นเป็นไปตามอำนาจของอวิชชา อย่าปล่อยให้จิตมีนิวรณ์ มันจะเป็นโอกาสของอวิชชาเข้ายึดครอง จงมีจิตแจ่มใสมีสติสัมปชัญญะอยู่เสมออวิชชาธาตุที่มีอยู่ทั่วไปมันจะไม่เข้ามายึดครองได้ก็มีสติสัมปชัญญะป้องกันอยู่เสมอแล้วก็ไม่ปล่อยให้อ่อนแอเป็นนิวรณ์ มีจิตปรกติแจ่มใสสดชื่นมีสติมีปัญญาอยู่มันก็ไม่มีอวิชชา มันก็ไม่อาจจะเกิดกิเลสแล้วก็อยู่สบาย เราเราเผลอให้อวิชชาเข้ามาปรุงแต่งในจิตใจนี้แต่ละวันละวันไม่รู้ว่ากี่สิบครั้งกี่ร้อยครั้งกี่พันครั้ง นั่นคือเราโง่กี่ครั้งมันก็เท่านั้นแหละ ถ้าเราฉลาดกี่ครั้งมันก็มีวิชชาเข้ามาปรุงแต่งเท่านั้นเหมือนกัน มันมีอยู่ว่าอวิชชา(นาทีที่1:14:18)จะเข้ามาหรือว่าอวิชชาจะเข้ามา ถ้าอวิชชาเข้ามามันก็ให้ทำทุกอย่างที่เลวร้าย ที่ไม่ควรจะปรารถนา ถ้าวิชชาเข้ามาหรือเกิดขึ้นในใจมันก็ให้ทำทุกอย่างที่ควรปรารถนาที่พึงปรารถนา ฉะนั้นกำจัดอวิชชาออกไปอย่าให้โอกาสแก่อวิชชา แล้วก็ยังดำรงจิตไว้ถูกต้องตามที่ได้เล่าเรียนมาในทางธรรมนี้ดำรงจิตไว้อย่างไรจิตจึงจะมีวิชชา ให้จิตอยู่กับวิชชากิเลสก็ไม่เกิด มันก็ไม่ทำผิดก็ไม่ทุกข์ร้อนปัญหาก็ไม่มี ความเป็นปุถุชนจะลดลงลดลงลดลงจนหมดความเป็นปุถุชน ไม่เป็นคนอันธพาลปุถุชนอีกต่อไป แต่ถ้าเราอวดดีไม่ระมัดระวังปล่อยให้อวิชชามันเข้ามากขึ้นบ่อยเข้าเราก็ต้องเป็นปุถุชนมากขึ้น เป็นอันธพาลปุถุชนมากขึ้นมากขึ้น แต่ไม่รู้ว่าจะพูดกันอย่างไรมันเป็นคนหลับ นอนหลับด้วยอวิชชาไม่รู้จักตื่น ก็มีทำผิดและเป็นทุกข์ทุกประการทุกอย่างจะต้องเป็นทุกข์ อวิชชาเป็นเหตุให้เกิดปัญหาก็มี เป็นเหตุให้แก้ปัญหาไม่ได้ก็มี อ้ายนักศึกษานักปรัชญานักปราชญ์ของฝรั่งคนที่ชื่อฟรอยด์นั้นเขาว่าความรู้สึกทางกามารมณ์เป็นต้นเหตุ นี่มันก็จริงเหมือนกันแหละเพราะว่าธรรมชาติมันใส่ความรู้สึกกามารมณ์มาเป็นค่าจ้างให้คนสืบพันธุ์ อะไร ๆ มันก็เนื่องอยู่ด้วยการสืบพันธุ์หรือกามารมณ์ เช่นเราอยากจะมีเงินมากก็เพื่อกามารมณ์ เราอยากมีอำนาจวาสนาก็เพื่อใช้มันหากามารมณ์หรือทำประดิษฐ์นั้นสร้างนี่ ส่งเสริมนั่นนี่กว้างขวางออกไปก็เพื่อประโยชน์แก่กามารมณ์ จะไปสวรรค์จะไปนรกอะไรก็ทำผิดทำถูกนี่ก็เพราะกามารมณ์ เขาจำกัดไว้เพียงแค่กามารมณ์ เราไม่เห็นด้วยเราว่ามันจำกัดอยู่แค่อวิชชา อวิชชามันเหนือกามารมณ์มันจะควบคุมกามารมณ์ก็ได้ มันเหนือกว่ากามารมณ์ อวิชชาให้ทำผิดได้ทั้งทางฝ่ายกามารมณ์และมิใช่กามารมณ์หรือตรงกันข้ามจากกามารมณ์ นี้ตัวร้ายกาจของมนุษย์ก็คืออวิชชาไม่ใช่กามารมณ์อย่างนายฟรอยด์เขาว่า นี่กลัวว่าเราจะมาเรียนกันแต่เพียงเท่านั้นแล้วก็เชื่อฝรั่งว่ามันถูกจำกัดอยู่เพียงเท่านั้น เป็นทาสปัญญาของเขาจำกัดอยู่เพียงเท่านั้น คิดว่าไม่ถูก พุทธบริษัทควรจะอิสระและไปไกลกว่านั้นจนกระทั่งมองเห็นว่าอะไร ๆ มันขึ้นอยู่กับอวิชชา ปัญหาทั้งหลายของมนุษย์ขึ้นอยู่กับอวิชชาไม่ขึ้นอยู่กับกามารมณ์ กามารมณ์ก็ขึ้นอยู่กับอวิชชาอย่างนี้ดีกว่า ฉะนั้นจึงพยายามมีวิชชาทำลายอวิชชา ปัญหาจะหมดไปกิเลสไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ ความเป็นปุถุชนโง่บรมโง่มันก็หมดไป ถ้ายังเพิ่มอวิชชากันอยู่เรื่อยความเป็นปุถุชนมันก็จะแก่กล้ามากขึ้น ฉะนั้นขอให้การศึกษานี้เป็นอุปกรณ์แก่การปฏิบัติเพื่อจะกำจัดเสียสิ้นอวิชชา อวิชชาเป็นแม่บทของกิเลสเป็นขั้วเป็นรวมขั้วรวมของกิเลสทั้งหลาย ทำลายอวิชชาเสียกิเลสมันก็จะไม่อาจจะเกิดหรือหมดไป เหตุแห่งความเป็นปุถุชนถูกทำลายแล้ว ความเป็นปุถุชนก็หายไป เลิกเป็นคนหนาด้วยไฝฝ้าในดวงตากันเสียทีลืมหูลืมตากันเสียที ต่อไปนี้ก็เป็นผู้ทำถูก เป็นพุทธะผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทีนี้ปัญหามันหมด ที่นี้เราเป็นปุถุชนด้วยเหตุคือกิเลสเราก็ยังไม่รู้จักกิเลส เราก็ยังไม่รู้จักความเป็นปุถุชนของเราเอง
วันนี้พูดกันเรื่องเหตุที่ทำให้เป็นปุถุชนคือกิเลสนานาชนิดทุกขั้นทุกตอนขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า อวิชชา ประกาศสงครามกับอวิชชากันเสียที อย่างน้อยที่สุดก็อย่าให้มันมาทำอะไรเราได้ อวิชชามีอยู่ทั่วไปในโลกประจำโลกสำหรับโลกอยู่ทุก ๆ หนทุก ๆ แห่ง ในทุกปรมาณูก็พร้อมที่จะมีอวิชชายึดครอง แต่เราก็ฉลาดพอตัวเหมือนกันที่จะมีความรู้มีสติมีสัมปชัญญะมีปัญญาไม่ให้อวิชชาเข้ามายึดครองจิตนี้ได้ อย่าให้เข้ามาปรุงขึ้นในจิตนี้ได้ ให้ปรุงแต่วิชชาเสมอไป ปรุงแต่ฝ่ายความรู้แจ้งแสงสว่างเสมอไป จนกระทั่งว่าจิตนี้มันเปลี่ยนสภาพไปอยู่ในสภาพหนึ่งใหม่ที่อวิชชาจะเข้ามาแตะต้องด้วยไม่ได้แล้วทีนี้ นี่ก็จะเป็นจิตประภัสสรตลอดกาล เอาละ,เป็นอันว่าเราพูดเรื่องเหตุที่ทำให้เป็นปุถุชนพอที่จะทำให้เห็นได้แล้ว