แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในวันแรกเราพูดกันเรื่องขันธ์ห้าที่เรารู้จักแล้วก็ประพฤติให้ถูกต้องทันท่วงที เพื่อจะไม่ยึดถือแต่ละขันธ์นั้นให้เป็นทุกข์ วันที่สอง เราก็พูดเรื่องอายตนะ 6 เพื่อให้รู้จักควบคุมอย่าให้เกิดเป็นความทุกข์ขึ้นมาอีกเหมือนกัน ในขณะที่มีการสัมผัสทางอายตนะขอให้ดูให้ดี เพราะมันล้วนแต่เป็นเรื่องที่จะทำให้ไม่เกิดทุกข์ ทำไม่ให้เกิดทุกข์นั่นแหละเป็นพุทธศาสนา เป็นความรู้ที่มีไว้สำหรับทำให้ไม่เกิดทุกข์ ทีนี้วันนี้ก็คิดว่าจะพูดเรื่อง ปฏิจสมุทปบาท ซึ่งก็เป็นเรื่องรู้สำหรับไม่ให้เกิดทุกข์อีกเหมือนกัน หรือถึงกับว่าบอกให้รู้ว่าไอ้ความทุกข์นี้มันเป็นเรื่องเกิดขึ้น เกิดขึ้นมาได้เพราะความไม่รู้อะไรบางอย่างของคนนั่นเอง ไอ้ความที่รู้สึกเป็นทุกข์เกิดขึ้นนี่มันเป็นเรื่องธรรมดาแต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่สามารถป้องกัน ถ้าเรามีความรู้ถูกต้องเราก็สามารถไม่ให้เกิดเป็นทุกข์ขึ้นมาได้ แม้ตามธรรมชาติ แม้ว่าทุกข์เกิดขึ้นตามธรรมชาติเราก็สามารถจะทำให้ไม่รู้สึกเป็นทุกข์ได้ เพราะฉะนั้นอย่าได้เข้าใจว่า พุทธศาสนานี่มัวแต่จะสอนว่า อะไรอะไรก็เป็นทุกข์ไปซะหมด แล้วก็เข้าใจผิดไปถึงกับว่าเราไม่สามารถจะควบคุมความทุกข์อย่าให้เกิด หรือขจัดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ที่มันเกิดขึ้นแล้วนั้นออกไปเสียจากจิตใจ ขอให้มองเห็นจนถึงกับรู้สึก ยึดถือเป็นหลักว่าพุทธบริษัทนั้นต้องไม่เป็นทุกข์นะ คุณดำเกิงต้องมองให้เห็น หรือว่าถือเป็นหลักได้เลยว่า พุทธบริษัทนั่นต้องไม่เป็นทุกข์ ถ้าเป็นทุกข์มันไม่ใช่พุทธบริษัท เอากันอย่างนี้ดีกว่า ถ้ามันเป็นทุกข์มันไม่ใช่พุทธบริษัท พุทธะ ต้องเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วมันจะเป็นทุกข์ที่ตรงไหนได้ เพราะว่ามันมีทั้งความรู้แล้วก็ตื่นจากหลับ แล้วก็เป็นผู้เบิกบาน งั้นการที่กล่าวหาพุทธศาสนาว่าสอนแต่เรื่องทุกข์ พุทธบริษัทยินดีในเรื่องที่จะเป็นทุกข์ นี่มันไม่ถูกมันก็เป็นเรื่องชั้นหลังอีกเหมือนกัน งั้นก็ต้องถือว่ามันเป็นพุทธที่เก๊ พุทธที่เก๊เรียกให้มันประหลาดๆ ถ้ามันเป็นทุกข์มันก็ไม่ใช่พุทธ ถ้ามันเป็นพุทธมันก็เป็นพุทธเก๊ เดี๋ยวนี้ชอบเป็นทุกข์กันเสียอีก เห็นได้ที่ชอบไว้ทุกข์ ไว้ทุกข์ให้คุณว่าบ้าหรือดี นี่ผมรู้สึกในทางตรงกันข้ามเสมอ ให้ทำพิธีไว้ทุกข์ แสดงความทุกข์ช่วยกันร้องไห้ ไม่ใช่พุทธบริษัท พุทธบริษัทมันก็ควรจะมองเห็นว่ามันเป็นธรรมดา เมื่อใครตายลงก็ควรเห็นเป็นธรรมดาไม่ต้องเป็นทุกข์ มันควรจะพูดว่าขอแสดงความยินดีด้วยที่คนนี้มันจบเรื่องทุกข์ไปเสียที ไม่มาเสียใจด้วยหรอก ซึ่งมันเป็นพิธี ไม่เคยพบในบาลีนะที่พระพุทธเจ้าจะแสดงความเสียใจมันป็นทุกข์เมื่อมีใครตาย หรือว่าสาวกองค์ไหนมันทำพิธีไว้ทุกข์ให้ เสียใจด้วย ไอ้เรื่องเป็นทุกข์แล้วมาช่วยกันร้องไห้มันเป็นเรื่องของพวกอื่นที่ไม่ใช่พุทธนะที่ไม่ใช่พุทธศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีในเมืองจีนเค้านิยมว่ามีคนมาร้องไห้เนี่ยมันป็นเรื่องได้หน้าได้ตา ได้เกียรติ ถือว่าเป็นคนที่มีค่ามันก็เลยเกิดอาชีพรับจ้างร้องไห้ สมน้ำหน้ามันเลย มันมีอาชีพมารับจ้างร้องไห้เมื่อคนตายเค้าจ้างมานั่งร้องไห้ มันบ้าหรือดี คิดดู เราจะต้องรู้จักพุทธศาสนาของเราไว้ว่ามันต้องชนะความทุกข์ ถ้าเป็นพุทธบริษัทมันต้องชนะความทุกข์ เราไม่ไปพยายามแกล้งทำให้เป็นทุกข์หรือว่าประกอบพิธีเป็นทุกข์ให้ ให้แก่ไอ้คนนั้น นี่ก็เกิดเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่จะต้องถือว่าไม่ใช่พุทธไม่ใช่ประเพณีพุทธและเสียเกียรติแก่ความเป็นพุทธ ถ้าใครเป็นทุกข์คนนั้นไม่มีความเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้องงั้นใครจะว่าอะไรก็ตามใจผมอยากจะผมพูดว่าเป็นพุทธเป็นชาวพุทธแล้วต้องไม่ทุกข์งั้นขอให้ยึดเป็นหลักแน่นแฟ้นอยู่ในจิตใจว่าเราไม่เป็นทุกข์เราจะไม่เป็นทุกข์อะไรจะเกิดขึ้นเราก็จะไม่เป็นทุกข์ เมื่อพ่อแม่ของเราตายเราก็จะไม่เป็นทุกข์ใครจะหาว่าเราไม่รู้คุณเราเป็นคนเนรคุณก็ตามใจเขาซิ ถ้าเป็นทุกข์ก็คือคนธรรมดาไม่ใช่พุทธบริษัท คือเราไม่ต้องทุกข์ก็ได้เราจะรู้คุณ จะบูชาคุณจะสนองคุณอะไรก็ได้โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์นี่ผมก็พูดโดยอิสระ คุณก็ควรจะเอาไปคิดไปนึกไปคิดดูเองแต่มันคงจะเกิดเรื่องนะ ถ้าคุณเอาไปพูดยืนยันกับไอ้พวกที่เค้าอยากจะทุกข์ก็ต้องเกิดเรื่องแน่ก็อย่าไปพูดดีกว่าเก็บไว้ส่วนเราที่จะไม่เป็นทุกข์ก็แล้วกันเดี๋ยวนี้มันก็มี จะเรียกเป็นวัฒนธรรมก็ได้ที่มันต้องร้องไห้เมื่อใครตายลงเนี่ย เค้ากำลังงมศพนักบินที่เรือบินจมลงไปในแม่น้ำก็มีคนร้องไห้กันใหญ่โดยทางบิดามารดาโดยเฉพาะมารดาก็ร้องไห้จนจะตายตามไป จนเค้าจะต้องยึดจับไว้กลัวแกจะกระโดดแม่น้ำตายอีกคน คู่หมั้นนั่นก็ร้องด้วยไม่รู้เพื่อประโยชน์อะไรแก่คนที่ตายแล้ว นี่มันเป็นเรื่องธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมที่ว่าตายแล้วต้องร้องไห้ถ้าใครเกิดไม่ร้องไห้จะถูกหาว่าเป็นคนที่ใช้ไม่ได้เนี่ยเรื่องโลกมันกลับกันอยู่อย่างนี้กับเรื่องของธรรมะ พอใครตายลงเราก็มีประเพณีขนบธรรมเนียมไปแสดงความเศร้าโศกเสียใจไว้ทุกข์หรือก็พลอยร้องไห้กับเจ้าภาพด้วย เป็นเรื่องที่ต้องหยิบขึ้นมาดูว่ามันกระทบ กระเทือนความเป็นพุทธบริษัทอย่างไร ทีนี้ที่อยากจะให้ปฏิบัติกันง่าย ๆ ก็คือให้ถือเป็นหลักว่าพุทธบริษัทเป็นทุกข์ไม่ได้ พอมันจะเกิดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ขึ้นมาก็จะต้องนึกถึงข้อนี้ถ้ามีความทุกข์ขึ้นก็ไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้า หรือเป็นน้อยเกินไปไม่สมควรกัน จะใช้วิธีง่ายๆ ไม่ใช่ธรรมะอะไรนักก็ได้คือกูจะไม่เป็นทุกข์ใช้คำหยาบๆ ใช้ความรู้สึกกระด้างๆ พูดกับตัวเองขับไล่ความทุกข์ออกไป กูจะไม่เป็นทุกข์ เพราะกูไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทุกข์นี่คิดว่าอย่างนี้ก็ได้ กูจะเป็นทุกข์ให้อายหมาอายแมวทำไมมันก็คงจะลดลงทันที แล้วก็ค่อยๆ หาเหตุผลหาความรู้ หาธรรมะมาจัดการให้ความทุกข์ละลายสูญหายไปจากจิตใจ ในครั้งแรกก็จะต้องขับไล่ออกไปอย่างทื่อๆบ้าๆ ไอ้วิธีอย่างนี้เค้าก็มีนะ ในหลักปฏิบัติของพุทธบริษัทนิกายอื่น นิกายมันตรยานนิกายพวกนั้น เค้ามีบทสั้นๆอย่างนี้ บทประโยคสั้นๆที่จะตวาดกิเลส ตวาดตัวเอง ตวาดอะไรให้มันเปลี่ยนความรู้สึกทันที เช่นในกรณีที่พูดนี้เราจะใช้คำว่า กูไม่ได้เกิดมาเป็นทุกข์ เป็นไทยๆพูดเป็นไทยๆ อันนั้นเค้าว่าเป็นบาลีเป็นสันสกฤต เราพูดเป็นไทยๆของเรา กูไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์ แล้วมันได้ประโยชน์อะไร ถ้าว่าคนไม่เป็นทุกข์แล้วมันจะเป็นยังไงมันจะดีกว่าหมาหรือว่าจะเลวกว่าหมา คิดอย่างนั้น ในเมื่อหมามันไม่เป็นทุกข์ทุกข์ไม่เป็น แล้วคนเราไม่เป็นทุกข์แล้วเราจะเลวกว่าหมาหรือว่าดีกว่าหมา ถ้าเอาหลักธรรมะในพุทธศาสนาหรือคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นหลัก ก็ต้องไม่เป็นทุกข์ ถ้าเราเป็นทุกข์เราเป็นคนธรรมดาเป็นปุถุชนเกินไปและตามธรรมดา มันก็เป็นทุกข์กันอยู่แล้วมันก็เป็นทุกข์ร้องไห้กันอยู่แล้วเมื่ออะไรเกิดขึ้นอย่างนี้ก็เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ทำไมจะต้องทำตามธรรมดาหรือว่าจะไปส่งเสริมธรรมดากันเหล่านั้น เราจะเป็นพุทธบริษัท เราก็ต้องทำชนิดที่มันดีกว่านั้น มันจึงไม่ควรจะเป็นทุกข์ ไม่ควรจะร้องไห้ เมื่อผมเด็กๆ ผมก็ได้ยินได้ฟัง ได้สังเกตุเห็นขนบธรรมเนียมประเพณีแต่โบราณ ทั้งคนแก่ ปู่ตา ย่ายายถอยหลังกันไปอย่างนั้น เค้าก็นิยมอย่างนั้นนิยมไม่ให้ร้องไห้ แล้วก็ไม่ให้เป็นทุกข์ ถ้าเอามานั่งร้องไห้มาเป็นทุกข์เค้าก็ถือว่ามันยังไม่รู้อะไร มันเป็นเด็ก ๆ ไม่รู้อะไร ผู้ที่เข้าวัดเข้าวารู้ธรรมะธรรมโมแล้วจะร้องไห้ไม่ได้ เค้าถือกันอย่างนั้น เมื่อตาของผมเองจะตาย โยมเค้าเล่าว่าไอ้คนที่ไม่แน่ใจว่าจะไม่ร้องไห้ ถูกไล่ออกไปหมดเลยถูกไล่ออกไปให้พ้นหูพ้นตาหมด ให้นั่งอยู่แต่ที่นั่งเฉพาะไอ้คนที่แน่ใจว่าจะไม่ร้องไห้ แล้วก็มีโยมของผมคนนึงด้วยโยมผู้หญิงทีได้รับอนุญาตให้นั่งดูตาตายดับชีวิต เนี่ยมันเป็นวัฒนธรรม มันมีลักษณะเป็นวัฒนธรรมเป็นธรรมเนียมเป็นประเพณี ผมจึงอยู่พูดเสมออยู่ว่าศีลธรรมหรือ ปรมัตถธรรมของปู่ย่าตายายของเราสมัยก่อนมันดีกว่าเดี๋ยวนี้มาก มันดีกว่าเดี๋ยวนี้มาก มันไปกันถึงขั้นนั้น ตามที่ได้ทราบมา คุณตาของผมคนนี้ก็ยังเป็นผู้ที่รักษาวัฒนธรรม พุทธบริษัทดั้งเดิมไว้ได้ เฉพาะไอ้ความเจ็บมันมากเข้าแล้วก็ (นาทีที่ 17:54) จะไม่กินอาหารที่เค้ามาขอร้องให้กินที อาหารดี อาหารอย่างนั้นอย่างนี้ ไอ้คนเจ็บมากไม่กินไล่กลับไป เห็นว่ามันมากไปกว่านั้นอีกก็ไล่ให้ยาเอากลับไปหยูกยาทั้งหลายไม่กิน กินแต่น้ำ ในที่สุดแม้แต่น้ำก็ไม่กิน ก็ตาย ตายด้วยเจตนา ตายด้วยสติสัมปชัญญะ ฟังดูแล้วไม่ใช่วิเศษวิโสอะไรแต่เค้าเกิดนิยมนับถือเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีกันมาอย่างนั้นในหมู่คนที่มีธรรมะรู้ธรรมะ ศึกษาธรรมะกันแบบเก่า ๆ แบบโบราณไม่ได้เรียนนักธรรมไม่ได้เรียนบาลี ไม่ได้เรียนแต่เค้าก็ยังมีหลักอย่างนั้นขึ้นมาจนได้จะว่าโง่จะว่ายึดมั่นไปอีกทางหนึ่งก็ได้เหมือนกันแต่เป็นที่พอใจของเขาแล้วในยุคนั้นสมัยนั้นนี่เกิดเป็นธรรมเนียมขึ้นมาอย่างหนึ่งสอนธรรมะกันไม่กี่คำในยุคนั้นในสมัยนั้นเค้าสอนธรรมะธรรมโม กันไม่กี่คำบอกกัน (นาทีที่ 19:24) ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ไม่ต้องอ่อนแอก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ แล้วก็ดำเนินชีวิตที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ เค้าจึงนิยมสรรเสริญไอ้ผู้ที่ทำอย่างนี้ได้แม้แต่เมื่อเจ็บเมื่อไข้นี่ก็ไม่ครางถ้าใครครางก็ถือว่ามีธรรมะน้อยคือตำหนิคนที่คราง ไอ้พวกที่มีธรรมะจริงๆ ไม่กล้าครางให้ใครได้ยินก็เห็นว่าไม่มันไม่ถูกในการที่ครางเจ็บไข้แล้วครางเป็นที่น่าละอาย คุณลองศึกษาดูคำนวนดูว่าบรรพบุรุษเค้าเคยไปกันไกลถึงไหนแม้กระทั่งเด็ก ๆ ที่ไม่อดทนที่ร้องไห้เก่งเขาก็ถือว่าไม่มีธรรมะเหมือนกัน แม้แต่เด็ก ๆ เนี่ยมันก็ต้องอดทนมันก็ต้องร้องไห้ยากทนเจ็บทนปวดทนอะไรได้ก็มีธรรมะคือมันเก่งเรียกว่ามันเก่งมันสรุปรวมอยู่ในคำว่าไม่ทุกข์ไม่ยอมทุกข์ไม่เป็นทุกข์ กูไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทุกข์นี่คือหลัก แต่การที่ให้ประพฤติอย่างนั้นด้วยเหตุผลเพียงเท่านั้นมันก็มันก็ไม่มีธรมมะธรรมโมอะไรที่มันละเอียดลึกซึ้งเพราะมันอธิบายได้ว่าทำไมมันจึงไม่ควรจะเป็นทุกข์จึงต้องไม่เป็นทุกข์ไม่ได้สอนกันในยุคนั้นแต่ว่า อย่า สอนมาจากข้างนอกว่าอย่าเป็นทุกข์แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราก็มาถึงสมัยที่อาจจะเรียนข้อความทั้งหลายทั้งสิ้นในพระไตรปิฎกได้ในพระพุทธวัจนะทั้งหลายได้ เราอาจจะเรียนรู้ว่ามันควรจะเป็นอย่างไร เราไม่ควรจะปล่อยให้จิตใจเป็นทุกข์และเมื่อใครเป็นทุกข์ก็ควรจะเตือนสติอย่าให้เป็นทุกข์ เราก็ไม่ต้องมาชวนกันร้องไห้หรือไว้ทุกข์ให้มันเสียรูปแบบของพุทธบริษัท ผมเคยเห็นจำได้ติดตาเมื่อหนังสือพิมพ์หนังสือข่าวหนังสือไรก็ตามเขียนถึงคนที่ที่ตายที่มีเกียรติที่เป็นผู้ทำประโยชน์ใหญ่หลวงให้แก่สมาคมเค้าเขียนให้คนน้นก็ต้องหยอดลงท้ายด้วยแสดงความเสียใจมีหนังสือพิมพ์มหาโพธิครั้งหนึ่งฉบับหนึ่งและครั้งเดียวมันไม่รู้ใครมันจะบ้าเขียนแสดงความ ขอแสดงควมยินดีที่ได้เป็นไปตามธรรมชาติพ้นไปจากความว่ายเวียนในความทุกข์ ขอแสดงความยินดีและก็ไม่แน่ใจว่าจะมีคนเห็นด้วยหรือมีคนสรรเสริญอาจจะมีคนด่าแยะก็ได้ถ้าเราไม่รู้ข่าวที่ติดต่อกันไป (นาทีที่ 24:05) ไปมันมีครั้งเดียวไม่เคยเห็นอีกนี่เอามาพูดกันให้รู้ว่าดูเหมือนเราจะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรไม่รู้ว่าควรจะเดินกันไปทางไหนซะแล้วก็เกิดประเพณีไว้ทุกข์ แสดงความทุกข์มาก ๆ เข้ามันจะเดินคนละทางกับพุทธศาสนาหรือเปล่า จึงจะพยายามสอนให้ไม่เป็นทุกข์สอนให้เห็นว่าไอ้ความทุกข์นี่มันไม่ใช่ของที่เด็ดขาดหรือว่าที่มีอำนาจที่เราต้องยอมแพ้ ต้องอย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัสไว้สองขั้นตอน คือคนธรรมดาก็ดูว่าเราจะต้องเกิดต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายหลีกไม่พ้น เกิดก็อีกทางหนึ่ง พระองค์ก็ตรัสว่าถ้าได้อาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้วสัตว์เหล่านั้นจะพ้น ที่จะมีความตายเป็นธรรมด าจะพ้นจากความตาย ที่มีความแก่เป็นธรรมดาจะพ้นจากความแก่ ที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาจะพ้นจากความเจ็บไข้ ที่มีความตายเป็นธรรมดาจะพ้นจากความตาย ที่ว่าพ้นจากความตายนี่ฟังยาก ความอะไร ถ้าเราไปพูดขึ้นเดี๋ยวนี้ก็จะไม่มีใครฟังออกฟังถูกเดี๋ยวก็จะหาว่าพูดแกล้งพูดหรือพูดผิด ๆ พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่าต้องตายเป็นธรรมดา เดี๋ยวนี้มาตรัสว่าเรามาพ้นจากความตายเรามองดูด้วยหลักใหญ่ๆว่าพุทธศาสนานี่ถ้ามันดับทุกข์ไม่ได้หรือทำให้อยู่เหนือความตายไม่ได้ จะเกิดขึ้นมาทำไมอ่ะ มันก็ไม่ดีกว่ากลัทธิอื่นศาสนาอื่นที่มันมีมาอยู่แล้วในที่นั้นสมัยนั้นก็ล้วนแต่ยอมรับความแก่ความเกิดความตายกัน แต่เขาก็ได้หาอมัตธรรมคือความไม่ตายกันอยู่แล้วก่อนพระพุทธเจ้าเกิดหมายความว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเกิดในโลกนี่เค้ามีคำว่าอมัตธรรม หรืออมฤตธรรมคือความไม่ตายพูดกันอยู่แล้ว พูดตามที่สอนกันมา ซึ่งมันก็ไม่ถูกไม่จริงพอที่จะเห็นด้วยได้ จนกว่าจะมาพูดกันใหม่ตามแบบพุทธศาสนาที่ว่าเป็นอมัตธรรมคือธรรมที่ไม่ตาย สิ่งที่ไม่ตาย นั่นก็คือสอนให้รู้ว่าไม่มีคนที่จะตายนั่นเอง อมัตธรรมของผู้อื่นก่อนพุทธกาลมีหลายแบบแบบนั้นแบบนี้กระทั่งทำอะไรกินก็มี หรือจะมีกันทั่วโลกถ้าสังเกตุดูให้ดี เพื่อความไม่ตายหรืออะไรที่กินแล้วไม่ตายทำแล้วไม่ตาย มีกันทั่วๆ โลก เพราะมีคำนั้นใช้กันในทุกภาษา ภาษาอังกฤษมีคำว่า โบรเชียร์
(นาทีที่ 28:03) คำนั้นมันหมายถึงสิ่งที่กินแล้วไม่ตายมันแต่อะไรก็ไม่รู้ เค้าก็แสวงหาไอ้สิ่งที่กินแล้วไม่ตายไอ้คำนี้ผมจำไม่ได้แม่นนักแต่คล้าย ๆ อย่างนี้หมายว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้ไม่ตาย ในศาสนาฮินดูเค้าก็มีพิธีอะไรมีอะไรที่ทำให้ไม่ตายแล้วก็มีพิธีกวนน้ำอมฤตไปกินกินแล้วก็ไม่ตายนี่ก็มีพูดอยู่มาก นี่ก็พอที่จะให้รู้ได้ว่ามนุษย์รู้จักคิดนึกถึงเรื่องความไม่ตายกันมานานแล้ว แล้วก็ไม่ประสพความสำเร็จเพราะมันไม่รู้อะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับอนัตตาสูญญตามันมีตัวอยู่เรื่อยไปแล้วมันจะทำให้ตัวนั้นไม่ตาย นี่มันก็เป็นไปไม่ได้มันมีตัวที่จะต้องตายอยู่เรื่อยมันก็ต้องตายเรื่องที่ใหญ่โตมโหราฬคือกวนน้ำอัมฤตในมหาสมุทรเอาภูเขาพระสุเมรหรือภูเขาอะไรนั่นมาเป็นหลักปักลงไปแล้วเอานาคพันเขาพระสุเมรแล้วก็เทวดาดึงฝ่ายหัว พวกอสูรดึงฝ่ายหางดึงนาคดึงไปดึงมามันก็เหมือนกับเชือก พันไม้จนดึงให้ไม้มันหมุนภูเขามันหมุนจนหยูกยาภูเขาอะไรต่าง ๆ ทั้งภูเขามันละลายไปในมหาสมุทรจนมหาสมุทรข้นเป็นยาที่กินแล้วไม่ตาย แล้วเทวดาก็ขโมยกินกลายเป็นพวกที่ไม่ตายพวกอสูรไม่ได้กินกลายป็นพวกที่ตาย มันเลอะเลอะเทอะอย่างนี้ เราเอาแต่เพียงว่าไอ้เรื่องนี้มันได้เกิดขึ้นแล้วในความคิดของมนุษย์ที่ต้องการจะไม่ตาย นี่มันก็เลยพูดกันอยู่ภาษาชาวบ้านทั่วไปว่าอมฤตธรรมอมฤตธรรม แล้วก็ไม่มีใครทำให้เป็นที่พอใจได้ เรื่องสอนให้มีตัวตนพ้นจากบาปเป็นอยู่ถาวรเป็นปรมาตมรรณเรื่องนั้นมันก็สอนแต่ก็ไม่ทำให้คนทุกคนเห็นด้วยโดยแท้จริงได้ จนกระทั่งพระพุทธเจ้ามาสอนเรื่องไม่มีตัวคนที่จะตายจึงเป็นจุดจบของคำว่าไม่ตายหรือว่าอมฤตธรรมจนมาสอนให้รู้ว่าไอ้ความคิดว่าเราว่าตัวชั้นหรือตัวเรานี่มันเป็นความคิดที่เกิดขึ้นมาในการปรุงแต่งของจิต จิตปรุงแต่งหรือการปรุงแต่งของจิตกระแสแห่งการปรุงแต่งของจิตที่จะเอา ในกระแสนั้นมันมีตอนหนึ่งที่มีความคิดอวิชชาโง่เขลาว่ามีตัวเราความตายก็เป็นของเราความเกิดเป็นของเราความแก่เป็นของเรา ความตายเป็นของเรามันก็ต้องตายเพราะมันสร้างตัวขึ้นมาสำหรับจะตายคือเรื่องปฎิจสมุทปบาทของพระพุทธ เจ้าก็คือเรื่องแสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้มีตัวที่เป็นตัวตนจริง ๆ อะไรที่เป็นความคิดโง่เขลาคืออุปปาทานเกิดขึ้นตามการปรุงแต่งของจิตเรื่องนี้ก็ได้พูดหลายคราวแล้วโดยรายละเอียดก็ไปหาอ่านดูได้แต่ในที่นี้ก็อยากจะซ้อมความจำโดยหลัก เพราะว่าแต่ละวันแต่ละวันเรามันมีการสัมผัสทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจคือเป็นอายตนะ 6 ที่พูดไปแล้ว อายตนะแต่ละคู่ เป็นตากับรูป คู่แรก ถึงกันเข้ามันก็เกิดเป็นการเห็นทางตา ให้มองเห็นซะก่อนว่าไอ้ตามันก็คือธรรมชาติ ไอ้ลูกตาเนื้อหนังนี่คือเรื่องธาตุ ดินน้ำลมไฟประกอบกันขึ้นเป็นลูกตามีระบบประสาทพร้อมบริบูรณ์เป็นฝ่ายตา ทีนี่ฝ่ายรูปมันก็มีอยู่ตามธรรมชาติและข้างนอกสำหรับจะกระทบกับตาแล้วมีความรู้สึกขึ้นเป็นการเห็นทางตาเรียกว่าวิญญาณ เมื่ออายตนะภายใย อายตนะภายนอกถึงกันเข้าเป็นโอกาสของวิญญาณธาตุที่มีอยู่ตลอดกาลหรือในที่ทั่วไปมันก็ทำหน้าที่ของมัน มันจึงเกิดจักษุวิญญาณการเห็นทางตาขึ้นมา นี่ก็เพื่อจะให้สังเกตุดูให้ดีว่ามันไม่มีตัวตนที่ตรงไหน ไอ้ตาก็ไม่ใช่ตัวตนไอ้รูปก็ไม่ใช่ตัวตนถึงกันเข้า จักษุวิญญาณมันก็ไม่ใช่ตัวตนมันคือวิญญาณธาตุมีอยู่ตามธรรมชาติแสดงบทบาทเมื่อตากระทบกับรูปเกิดการเห็นทางตานี่ในทางพุทธเราบอกอย่างนี้ แต่พวกอื่นที่เค้ามีตัวตนเค้าจะเอาไอ้นั่นนะ วิญญาณเป็นตัวตนเพราะมันอยู่ข้างในออกมารับอารมณ์ทางตาไอ้อย่างนี้ก็มีถือเป็นตัวตนขึ้นคือเค้าไม่ต้องอธิบายก็คือมันเป็นอัตมันเป็นตัวเป็นตนเป็นเป็นสัตว์เป็นบุคคลอยู่ข้างในเดี๋ยวนี้ออกมารับรู้อารมณ์ทางตาคือมาเป็นมาเกิดเป็นคู่เห็นทางตา คนในอินเดียสมัยนั้นก็เคยศึกษาเล่าเรียนกันอย่างนั้นแล้วก็ยังมีผู้ที่มาบวชในพุทธศาสนานี้แล้วก็ยังแย้งพระพุทธเจ้าในรูปแบบนี้ จะเป็นวิญญาณทางตาวิญญาณไอ้ตัวตนออกมาทำหน้าที่ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางใจ มาจนกว่าว่าจะถึงเวลาสุดท้ายที่ร่างกายมันจะตายวิญญาณนี้มันก็ไปหาร่างใหม่แล้วมันก็ไปทำอย่างนั้นต่อไป พวกนั้นเค้าก็ว่ามีตัวตนไอ้เรานี่มันไม่ยอมให้มีอะไรเป็นตัวตน ไอ้ตาก็ไม่ใช่ตัวตนรูปก็ไม่ใช่ตัวตน ถึงกันเข้าเกิดจักษุวิญญาณ วิญญาณทั้งสองไม่ใช่ตัวตน วิญญาณทางอนัตตา สามอย่างนี้ ตา รูป จักษุวิญญาณ สามอย่างนี้สังฆฎิกันเข้า ถึงกันเข้าก็เรียกว่าผัสสะ ไอ้ผัสสะนั้นจะเป็นตัวตนไปได้อย่างไรมันก็ไม่ใช่ตัวตนอีกมันมาจากไอ้สิ่งสามสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน ผัสสะก็ไม่ใช่ตัวตนแต่ว่าผัสสะของคนที่ไม่มีความรู้ทางธรรมะเป็นผัสสะโง่เพราะมันจึงสัมผัสกันในลักษณะที่โง่ มันก็ออกมาเป็นเวทนาโง่เวทนาสำหรับจะหลอกให้คนนั้นหลงรักเมื่อน่ารักหลงโกรธเมื่อน่าโกรธน่าเกลียดจึงเป็นสุขเวทนาทุกขเวทนาอทุกข์อสุขเวทนา ไอ้เวทนานั้นก็เป็นเพียงปฎิกิริยาที่ออกมาจากผัสสะจึงเป็นตัวตนไปไม่ได้ ไอ้พวกนู้นไอ้พวกฝ่ายอื่นเค้าก็ยังคิดว่าเอ้อมันรู้สึกได้มันก็ควรจะเป็นตัวเป็นตนซิ นี่เวทนาที่ไม่ใช่ตัวตนเป็นผลมาจากการสัมผัสด้วยอวิชชามันก็ทำให้เกิดตัณหาคือความอยาก อำนาจอวิชชาเข้ามาอีก เวทนาน่ารักทำให้เกิดความอยากได้เวทนาไม่น่ารักทำให้เกิดความอยากไม่ได้ อยากจะทำลาย ตัณหาเป็นตัวความอยากมันก็ไม่ใช่ตัวตน ธรรมชาติ ตามธรรมชาติจิตปรุงแต่งเกิดขึ้นเรียกว่าความอยากเป็นตัณหาตาม ธรรมชาติเกิดขึ้น ตัณหาเป็นความอยากเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นความอยากตามธรรมชาติไม่ต้องมีผู้อยาก เมื่อจิตมีเวทนาแล้วมันก็มีความคิดเกิดขึ้น อยากเป็นความอยาก เมื่อมีความอยากแล้วจิตมันก็โง่ต่อไปอีกขั้นหนึ่ง มีฉันผู้อยากมีตัวกูผู้อยาก เกิดตัวกูตัวตน จิตเป็นเพียงมายาไม่ใช่ตัวตนจริง อุปปาทานตัวตน มีอุปปาทานเป็นตัวเป็นตนเป็นเจ้าของความอยากก็เป็นเจ้าของแห่งการกระทำนั้น อะไรที่เกิดขึ้นเช่นว่ามันมีอุปปาทานมีความเป็นตัวตน มีชาติ มีความเกิดก็เป็นความเกิดของตน มีชราเป็นตามธรรมชาติ ก็เป็นชราของตน มีเจ็บไข้เป็นตามธรรมชาติก็เจ็บไข้ของตน มีความตายเป็นธรรมชาติก็เป็นความตายของตน อะไรจะเกิดขึ้นแก่กลุ่มอุปาทานนี้ มันก็เป็นตัวตน เป็นของตัวของตนทั้งหมดนี้มันจึงได้เกิดได้แก่ ได้เจ็บ ได้ตาย ได้โศกะ ปริเทวะได้ทุกขะ โทมนัสอุปายาตเพราะความเข้าใจผิดในสิ่งเหล่านี้ วันแรกเราพูดในรูปที่มันเป็นขันธ์ทั้งห้า พระบัญญัติว่าเราพูดอย่างนั้น ก็คือยึดถือขันธ์แต่ละขันธ์เป็นตัวตนแล้วก็เป็นทุกข์เดี๋ยวนี้มันก็ยึดถือไอ้ทุกขั้นตอนนะ ยึดถือผัสสะเวทนา ตัณหา อุปปาทาน ภพชาติ เกิดแก่เจ็บตาย ทุกอย่างเป็นของเรามันแล้วก็ได้เป็นทุกข์ เรียกว่ามันเหลวคว้างตลอดศาสตร์ ไม่มีตัวตนที่แท้จริง เป็นตัวตนของความสำคัญมั่นหมายเอาเองเรียกว่าสัญญาก็มีเรียกว่ามัญนาก็มี เรียกว่าอุปปาทานก็มี ล้วนแต่เป็นความสำคัญมั่นหมายของจิตที่ประกอบด้วยอวิชชามันจึงมีตัวตนของเรา จะเป็นอย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้แหละที่สำคัญที่สุดก็ คือเป็นทุกข์ ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ไม่ได้เกิดขึ้นในจิตจริง ในกระแสแห่งจิตจริง แต่มันเป็นของธรรมชาติเช่นนั้นเอง ไม่ได้เป็นของตน ของใคร ไม่ได้เป็นตนของมันเอง หรือไม่ได้เป็นตนของใคร เพราะเราเห็นไอ้ความไม่มีตนอย่างนี้ที่จะเกิดแก่เจ็บตายอย่างนี้ก็เรียกว่าเห็นอมัตธรรม เห็น เรื่องหรือความจริงหรือภาวะที่มันไม่ตายมันมีแต่กระแสปรุงแต่งเป็นสายของธรรมชาติ ซึ่งเป็นรูปเป็นนามล้วนแต่เป็นเรื่องของธรรมชาติทั้งนั้น ในพุทธประวัติมันก็มีเรื่องพระอัสชิ ได้รับ ได้สอนให้เกิดความรู้แก่อุปสติคสโกฤทธิ์ ซึ่งต่อมาเป็นพระสารีบุตร พระโมคลานะ ไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกันเรียกว่ามันมีแต่เหตุ เยธรรมา เหตุปัธวา เตสันเหตุโรโทสะ เตสังเหตุจภาคโต เตสันโยนิโรโทสะ เอวังวาทีมหาสมโน มหาสมนะผู้เป็นครูของเราพูด ธรรมเหล่าใดมันมีเหตุ มหาสมณะก็แสดงเหตุ ธรรมเหล่านั้นก็แสดงความดับแห่งธรรมเหล่านั้น คือมีการเกิดขึ้นดับไปแห่งสิ่งเหล่านั้น ซึ่งไม่ใช่อะไรเป็นแต่เพียงธรรมชาติ มันก็ถือว่าเป็นการรู้อมัตธรรม ในฝ่ายพุทธศาสนา เป็นอมัตธรรม ในฝ่ายพุทธศาสนา เมื่อฝ่ายอื่นเค้าพูดกันไปอย่างอื่นมากมายหลายสิบอย่าง ก็ไม่ใช่อย่างเดียวกันแล้วก็ไม่สามารถจะดับตัวตนหรือดับทุกข์ไปได้มันก็เป็นเรื่องมีตัวตนไปหมด มันมีตัวกูผู้เป็นผู้รู้สึก ผู้เป็นเจ้าของความรู้สึกมันก็ต้องตาย ถ้าไม่ให้สิ่งที่มีความรู้สึกได้โดยเฉพำคือจิต จิตนี่เป็นของธรรมชาติไม่ได้เป็นตัวตน มันก็ไม่มีตัวตนของอะไร ที่จะอยู่ คิดจะพูดจะทำ หรือจะตายหรือจะเกิดอีก เรื่องของความทุกข์เป็นเรื่องมายาไม่มีตัวจริงพร้อมกันไปกับเรื่องตัวตน ไอ้สิ่งที่เรียกตัวตนไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงความคิด คิดขึ้นมาทั้งความรู้สึกที่เป็นทุกข์มันเป็นเรื่องของธรรมชาติความรู้สึกปรุงแต่งมาอย่างเดียวกัน มันจึงมีคำว่าอยู่เหนือทุกข์หรือดับทุกข์ได้ อยู่เหนือตัวตัน ไม่มีตัวตน อยู่เหนือโลก อยู่เหนือสิ่งทั้งปวง ถ้าเรามองเห็นถึงขนาดนี้ จะมองเห็นไม่มี มีแต่ที่เรียกสมมุติว่าเป็นทุกข์ เพราะตามความรู้สึกของคนที่ไม่รู้ ตัวผู้ทุกข์ก็ไม่มี ไอ้ความรู้สึกที่คุณเรียกมันว่าความทุกข์มันก็มี มันก็มีตามธรรมชาติ เพราะจิตที่มันปรุงแต่งตามอายตนะแล้วมันก็มีความรู้สึกที่เราเดี๋ยวนี้เรียกกันว่าทุกข์ หรือความทุกข์ก็มี แต่ไม่ได้เป็นตัวตนของความทุกข์ที่แท้จริง มันเป็นอย่างนี้เอง รู้สึกอย่างนี้ ตัวผู้ที่จะไปเป็นเจ้าของความทุกข์มันก็ไม่มีเหมือนกัน ไอ้นี่มันละเอียดนะ รู้ว่าไอ้ความรู้สึกอย่างนั้น รู้สึกอย่างนั้น รู้สึกอย่างนั้น รู้สึกอย่างนั้นเกิดขึ้นมาตามธรรมชาติเป็นลำดับๆ นี่เรียกว่าปฏิจสมุปบาท เรื่องปฏิจสมุทปบาท หรืออิทัพปัจเจยตา หรือเรื่องธรรมะ (นาทีที่ 44:42)... แล้วแต่จะเรียกชื่อ แต่ไอ้ความหมาย ความหมายเหมือนกันหมดคือมันไม่ได้มีตัวตนอันแท้จริงอยู่ มีแต่การปรุงแต่งไปตามแบบของธรรมชาติเช่นนั้นเอง แต่ไอ้คนธรรมดามันต้องรู้สึกว่าตัวฉันตัวตน ตันฉันของตนของฉัน รู้สึกอย่างนั้นทีไรก็จะเป็นทุกข์ทุกทีไป เพราะมันมีปัญหา เมื่อรู้สึกเป็นตัวตนขึ้นมามันก็ต้องมีปัญหา ตนได้หรือตนเสีย รู้สึกว่าตนได้ของรักมันก็เป็นทุกข์ไปแบบตนได้ของรัก ตนสูญสียของรักก็เป็นทุกข์ไปตามแบบของรัก เพราะฉะนั้นการได้มา หรือการสูญเสียไปล้วนแต่อัปรีย์ หนังสือเล่มนี้มันแต่งขึ้นที่แม่น้ำบันดร ปลายแม่น้ำบันดรแถวน้ำรอบแถวนั้น มันมีท่านอาจารย์แก่ๆเก่า ถ้าอยู่เดี๋ยวนี้อายุร้อยกว่าปี แต่งขึ้นมันเป็นหนังสือเล่มนึงแสดงธรรมะเพื่อสอนแก่ชาวบ้าน พอผมเห็นตกตะลึง ไม่เชื่อว่าจะแต่งกันได้อย่างนี้ อาจารย์แก่ๆที่แถวนี้ (นาทีที่ 46:42) ก็มาว่าใหม่มาเขียนคัดลอกแล้วก็พิมพ์ มันเสียดายที่แจกไปพรึบเดียวหมดไม่มีเหลืออยู่เลยเดี๋ยวนี้ จะแจกให้คุณดูก็มันไม่มี แต่ว่ากำลังสั่งให้พิมพ์ใหม่เป็นคำกลอน ไอ้กลอนชนิดกาพย์ ประโยคนั้นกระทบใจลืมไม่ได้ เป็นลาภเป็นสูญล้วนแต่อัปรีย์ คร่าวๆ ทางเหนือน้ำคนโง่คนเซ่อคนป่าคนดอยแต่งหนังสือเล่ม สามสิบกว่าหน้า แต่งเรื่องปฏิจสมุปบาทแต่งเอาไว้ถูกต้อง ไอ้เรื่องที่เรากำลังพูดนี่ ไม่รู้เค้าเรียนกันอย่างไรน่าประหลาด อาจารย์แก่ๆสมัยนั้นพูดเรื่องปฏิจสมุทปบาทถูกต้อง แล้วจับใจความของธรรมะที่ชั้นลึกมาพูดเป็นคำพูดธรรมดาของเมืองนี้ เป็นเรื่องตลอดเล่มเลยสำหรับผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่สุดไม่คิดว่าจะมีได้ในหนังสือเล่มนั้นมีหลายประโยคที่แสดงธรรมะชั้นลึกชั้นสูงชั้นดีแต่แล้วก็ดูก็เหมือนกับว่าเอาแก้วให้ลิง เอาแก้วให้ลิงไม่มีใครได้ประโยชน์หนังสือเล่มนี้ก็ไม่ใช้ประโยชน์อะไรได้เมื่อไม่มีคนสนใจเราจะพยายามให้มันประโยชน์พิมพ์ชี้แจงเป็นลาภเป็นสูญล้วนแต่อัปรีย์มันติดในวรรคมันสำคัญมันมีว่าอย่างนี้ข้างหน้าก็มีอีกมากข้างหลังก็มีอีกมากหลวงพ่อองค์นี้ก็สรุปความได้ดีที่เป็นลาภก็คือได้มาก็ดี มันสูญสูญไปก็ดีมีแต่อัปรีย์ ถูกลอตเตอรรี่ก็อัปรีย์ไม่ถูกก็อัปรีย์ ถ้าามันรู้ถึงขนาดนี้เป็นทุกข์ไม่ได้ การได้มาก็ไม่มีความหมายอะไรการสูญไปมันก็ไม่มีความหมายอะไร คุณรู้ไว้แต่ว่าคนชั้นปู่ย่าตายายของเราเคยรู้ธรรมะสูงลึกกว่าคนชั้นปัจจุบันแต่ไม่ใช่ทุกคนแต่ก็บางคน ซึ่งเดี๋ยวนี้เราก็ไม่ค่อยสนใจธรรมะเราก็ไม่รู้ธรรมะเรื่องที่ว่าสูญญตา อนัตตา ไม่มีตัวตนไม่ยึดถืออะไรเลยแล้วก็ไม่เป็นทุกข์ นี่ผมก็มาบอกคุณซึ่งเกิดในในยุคปรมาณู ยุคคอมพิวเตอร์ คุณไปคิดดูซิว่ามันจะต้องใช้มั้ยไอ้ความรู้อย่างนี้ในยุคคอมพิวเตอร์ยุคอิเลคโทรนิคที่ว่าทำอะไรก็(นาทีที่ 50:12) เป็นปาฎิหารซึ่งมันก็ดับทุกข์ไม่ได้นอกจากธรรมะที่เข้าถึงความจริงสูงสุดของธรรมชาติ จนไม่มีตัวผู้ ผู้นั้นผู้นี้ ผู้เกิดผู้ตาย กูได้ กูเสีย กู้แพ้ กูชนะะ กูหิว กูไป ไม่มีตัวผู้ คือตัวตน คำที่เค้าพูดไว้ในความหมายอย่างนี้มันก็ถูกเก็บเงียบอยู่ในพระไตรปิฏกไม่เอามาใช้ไม่เอามาพูดกันเช่นเรื่องปฎิจสมุทปบาทไม่มีใครเอามาพูดกัน จนเข้าใจผิดไปว่าเป็นเรื่องฝ่ายมหายานเป็นเรื่องฝ่ายอื่น เรื่องสูญญตา เรื่องอนัตตาเป็นเรื่องฝ่ายอื่น ไม่ใช่เป็นพุทธศาสนาอย่างของเรา ที่จริงพุทธศาสนานี้ พุทธศาสนาเถรวาทมีอยู่ในพระไตรปิฏกของเถรวาท เรื่องปฏิจสมุปบาท เรื่องอนัตตา ไอ้คำพูดที่ว่า ไอ้ความทุกข์มันก็มี แต่ว่าผู้เป็นทุกข์มันไม่มี ไอ้การเกิดมันก็มี แต่ผู้เกิดก็ไม่มี ไอ้การตายกริยาที่เรียกว่าตาย มันก็มี แต่ผู้ ผู้ที่ทำการตายมันก็ไม่มี การเดินมี แต่ว่าผู้เดินไม่มี (นาทีที่ 52:08) พูดกับคนสมัยนี้ไปขอให้เขาเชื่อเขาจะไม่เชื่อ ว่าการเดินมันมีแต่ผู้เดินมันไม่มี เป็นอย่างนี้เป็นต้น ถ้าคุณไปพูดทุกๆคำ การกินมันมีแต่ผู้กินมันไม่มี แล้วก็ถือว่าตัว ผู้ นี่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาด้วยอวิชชา เมื่อมีผัสสะ มีเวทนา มีตัณหา มีอุปปาทานในขณะนั้นมีผู้ มีผู้กิน ถ้าจะให้มีนะ มันต้องมีการกินตามธรรมชาติ แล้วมันอร่อยหรือไม่อร่อยก็ตาม ไอ้ความอร่อยหรือความไม่อร่อยมันทำให้เกิดความรู้สึกว่า กูไม่อร่อย กูมายา กูเหลว ๆ คว้างๆ (นาทีที่ 53:00) มันก็เกิดขึ้นในความรู้สึกว่ากูไม่อร่อย ตัวกูมันก็มีขึ้นมา นี่มันก็เลยเป็นผู้กินขึ้นมา กูเป็นผู้กิน อร่อยหรือไม่อร่อย แล้วก็เข้าใจคำสอนว่าการกินมี ผู้กินไม่มี การห่มจีวรนี้มันมี แต่ผู้ห่มจีวรมันไม่มี มันบ้าไปใหญ่ ปัจจเวกก็คือว่าอย่างนั้นนะ (นาทีที่ 53:23) การบิณฑบาตรการฉันบิณฑบาตรมันก็มีแต่ผู้ฉันมันก็ไม่มี (นาทีที่ 53:30) เรียกบทปัจจเวกที่เราปัจจเวกกันอยู่มันไม่ใช่เล่น มันลึกถึงหัวใจพุทธศาสนาแต่เราไม่เข้าใจ เราไม่เข้าใจจะทำยังไง จะไปทำเล่นกับบทยถาปัจจยัง (นาทีที่ 53:48) บอกว่า มันไม่มีผู้ที่ใช้สอยจีวรก็ไอ้จีวรเป็นธาตุตามธรรมชาติและผู้ที่จะใช้สอยจีวร ก็ไม่ได้เป็นสัตว์บุคคลตัวตนอะไรเป็นสังขารปรุงแต่งตามธรรมชาติ ถ้าเราปฎิบัตตรงตามหลักตามวิธีการ ทุกคราวที่เรา นับอะไรก่อน ในบาลีเค้าก็นับจีวรก่อนเครื่องนุ่งห่มก่อน เมื่อเอาเครื่องนุ่งห่มมาห่ม ก็ระลึกได้ว่าไม่มีตัวตน มีแต่ผู้ห่ม มีแต่การห่มได้ก็จะตรงหัวข้อ (นาทีที่ 54:45) เมื่อกินอาหารก็รู้ รู้สึกการกิน นั้นไม่มีเป็นตัวผู้กิน ผู้อยู่อาศัยใช้สอย เครื่องใช้ไม้สอยบ้านเรือนต่างๆ ก็ได้มีการใช้สอยเป็นอาสนะเครื่องใช้สอยแต่ตัวผู้ใช้สอยมันก็ไม่มี เจ็บไข้กินยา ตัวผู้กินยาเจ็บไข้กินยาไอ้เรื่องนี้มันต้องเรียกว่าดีเกินไป ถ้าจะพูดกับคนสมัยนี้โดยเฉพาะไปพูดกับฝรั่งดีเกินไปจนพูดกันไม่รู้เรื่องเพราะมันดีเกินไป เรื่องจะ ดับทุกข์ เรื่องจะพ้นทุกข์ เรื่องจะอยู่เหนือความทุกข์มันจึงยากที่จะสอนกันเดี๋ยวนี้ในยุคนี้สมัยนี้ เพื่อจะดับทุกข์เสียเพื่อจะให้ไม่มีทุกข์ แต่พวกฝรั่งโชคมันดี มันไม่มีทุกข์ ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วใช่มั้ยว่าฝรั่งมาหลาย ๆ คน ผมถามไม่มีความทุกข์ทั้งนั้นไม่มีอะไรที่เป็นความทุกข์ไม่มีอะไรที่มันเป็นปัญหา ก็ถามว่าคุณมาศึกษาพุทธศาสนาทำไมเล่าก็ศึกษาไว้เป็นความรู้ (นาทีที่ 56:22) ไม่มีความทุกข์ ไม่มีปัญหา กลับเถอะคุณไม่ต้องพูดกับเรา คุณกลับไปดีกว่า ไม่ต้องมาศึกษาพุทธศาสนาให้สียเวลา เพราะว่าพุทธศาสนามันต้องการจะดับทุกข์แล้วคุณไม่มีความทุกข์ มันไม่มองเห็นว่าเป็นทุกข์ไม่ว่าเขาไม่ศึกษาธรรมะ เขาไม่ได้ศึกษาเรื่องปฎิจสมุทปบาท เขาไม่ได้ศึกษาเรื่องที่เรากำลังพูด แต่เขาก็ไม่มีความทุกข์เพราะเขาไม่ยอมคิดไม่ยอมรู้สึกไม่ยอมให้ความหมายว่าเป็นความทุกข์หรือว่าไม่ถือว่าเป็นปัญหาเพราะเป็นเรื่องเล็กน้อย เจ็บไข้กินยา ไอ้ยานี่จะตัดความทุกข์ได้ แต่ถ้าไม่หายเค้าก็ยังตัดมันได้ด้วยการฆ่าตัวตายแล้วไม่ต้องเป็นทุกข์ ใช้การฆ่าตัวตายขจัดไอ้ความรู้สึกที่เป็นทุกข์มันก็ถูกของเขาเหมือนกัน เขาก็เดินทางลัดวิธีนั้นของ เขาจะไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นทุกข์หรือมีปัญหา ไอ้เราเลยแพ้พูดไม่ถูก เมื่อเขาสมัครจะถือหลักแบบนี้น้อยคนที่ว่าจะสนใจเรื่องมีความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไรจนกระทั่งเราต้องอธิบายเรื่องปฎิจสมุทปบาทต้องเขียนแผนผังของปฎิจสมุทปบาทอธิบายให้ฟัง ก็มีเหมือนกันนะฝรั่งครูบาอาจารย์บางคนพอใจสนใจทำถูกกลับไปแต่มีน้อยเราจะพบแต่ผู้ที่ไม่มีความทุกข์มาเที่ยวเมืองไทยมาเที่ยวหาความสนุกสนานเพลิดเพลินไม่ได้มาดับทุกข์ ถ้าว่าจำเรื่องปฎิจสมุทปบาทได้ก็จะเป็นการดี เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พระองค์ตรัสว่าเป็นตัวพรมจรรย์ เป็นตัวธรรมะเป็นตัวพรมจรรย์เป็นเงื่อนต้นของพรมจรรย์เราต้องรู้เรื่องนี้เราปฎิบัติแล้วดับทุกข์ได้คือเราจะรู้ว่าไอ้ความทุกข์มันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ตามหลักของปฎิจสมุทปบาทแล้วมันก็เป็นเงื่อนต้นที่เราจะสกัดมาฉีดคือเรามีสติ ทันควันในเมื่อมันมีผัสสะ จุดตั้งต้นการปฎิบัติมันก็ได้ตั้งต้นขึ้นแล้วเราฝึกให้เป็นผู้มีสติ สมบูรณ์รวดเร็วว่องไวมีปัญญามีวิชชามีสติสัมปชัญญะ สติมาทันเมื่อมีสัมผัสทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจ กระแสแห่งปฏิจสมุทปบาทมันก็เหมือนชงัดทันทีที่ผัสสะที่มีสติแล้วมันก็เลี้ยวไปทางวิชชาทางปัญญาเป็นเวทนาที่มาสอนให้รู้ แต่ไม่เกิดตัณหาไม่เกิดอุปาทาน ไม่เกิดตัวกู ไม่รับเอาเกิดแก่เจ็บตายมาเป็นของกู มันก็ไม่มีเกิดแก่เจ็บตายไม่มีความทุกข์ ในกรณีที่ไม่มีสติไม่มีปัญญา ผัสสะมันก็เป็นอวิชชามันก็เป็นเวทนาอวิชชาเป็นความอยากอวิชชาคือเป็นตัณหาเป็นอุปปาทานเป็นตัวกู รับเอาเกิดแก่เจ็บตายมาเป็นของกูทุกอย่างมาเป็นของกูก็เกิดความทุกข์ ซึ่งที่แท้มันก็เป็นเรื่องที่เรียกว่าประจำวันของแต่ละคน แต่ละคนมีปฎิจสมุทปบาทแท้จริงเต็มรูปวันนึงไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ถ้าเรารู้สึกเป็นทุกข์หม่นหมองเป็นปัญหาอะไรขึ้นมาก็ดูมันมีปฎิจสมุทปบาทอยู่สายหนึ่ง ตั้งต้นมาจากทางตาก็ได้ ทางหูก็ได้จมูกก็ได้ในหกทางนั้น ในวันหนี่งวันหนึ่งมันเกิดความทุกข์ความหม่นหมองเกิดปัญหาอะรขึ้นมา ก็ดูว่ามันจะมีปฎิจสมุทปบาทอยู่สายหนึ่ง ถ้าว่าการกระทบเดี๋ยวนี้ทางตาไม่มีมันก็เป็นเรื่องเก่าเป็นเรื่องความจำเป็นสัญญาในอดีตของจิตผุดขึ้นมาจิตก็ถืออารมณ์นั้นเป็นอารมณ์สำหรับมีปฎิจสมุทปบาทไปตามแบบเดียวกันบางทีจะมากกว่าปฎิจสมุปบาทของเราแต่ละวันละวันที่มันเกิดเป็นเรื่องหม่นหมองหนักอกหนักใจขึ้นมา มันกระทบอารมณ์เดิม อารมณ์เก่า อารมณ์ใหม่ในปัจจุบันนี้มันก็มีแต่ดูจะเหมือนไม่ค่อยรบกวนมากเหมือนอารมณ์เก่าเรานึกถึงเรื่องเก่ามันก็เอามาปรุงแต่งเป็นไอ้อย่างนี้ของเรา จะเกิดปฎิจสมุปบาทและเป็นทุกข์เพราะเรื่องที่มันอยู่ในความจำมันมีมาก เรื่องรักเรื่องโกรธคนนั้นคนนี้สิ่งนั้นสิ่งนี้ที่นี้เรื่องนั้นเรื่องนี้มันมีอยู่ ที่นี้ไอ้ที่จะเกิดกันเดี๋ยวนี้มันก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวมันก็จะต้องมี ต้องมีเรื่องเห็นๆ เพศตรงกันข้ามได้ยินได้ฟังได้ดมได้สัมผัสอะไรต่างๆมันก็ ไปรูปนี้จนได้เรื่องไปในความทุกข์ ไอ้ที่มันไม่เกี่ยวกับกามารมณ์มันก็ยังมีอีกแต่มันเป็นของอร่อยมันก็ยังมีอีกมากแต่ดูให้ดีเลยนะว่ามันเป็นเรื่องอร่อยในที่สุดไปเข้าพวกกามารมณ์ เช่นเราจะกินอาหารตามปรกติ ไม่เกี่ยวกับความอร่อยนี่มันก็ยังเป็นธรรมชาติอยู่ ถ้าอร่อยอย่างนี้มันก็ยังเป็นปฎิจสมุปบาทและก็ยังเป็นทุกข์ได้เหมือนกันถ้ามันอร่อยเพื่อกามารมณ์จะมากกว่าเร็วกว่า ใหญ่กว่า เราให้อยู่ให้เป็นเรื่องของธรรมชาติอย่าให้กลายเป็นเรื่องของกามารมณ์ หรือความคิดที่ปรุงแต่งเกินธรรมชาติถ้าใครจะถือว่ากามารมณ์เป็นเรื่องธรรมชาติก็ได้เหมือนกันแต่มันคนละแขนง เราจะกินอาหารหรือว่าเราจะทำอะไรที่มันอร่อยอร่อยเป็นของตามธรรมดาธรรมชาติก็ได้ แต่เมื่อถ้าควบคุมความอร่อยไม่ได้ก็ไปหาเรื่องกามารมณ์ เรามักจะให้กามารมณ์ทางเพศเข้ามาเจืออยู่ด้วยเสมอไปคือมันจะอร่อยยิ่งขึ้นไป มันจึงมีร้านอาหารร้านอะไรต่าง ๆที่ใช้เพศตรงกันข้ามมาช่วยทำให้ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางผิวหนังทางจิตใจ เรื่องเพศตรงกันข้ามมาเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้มันก็กลายเป็นกามารมณ์หมด เพราะเอาเพศตรงกันข้ามมาเป็นคนเสริฟ์มาประเล้า ประโลมปรนนิบัติ ก็กลายเป็นเรื่องกามารมณ์ไปหมดปัญหามันก็ตกลึกเข้าไปทุกที ๆ ยากที่จะถอนถ้าทำกามารมณ์ให้เป็นของธรรมดาไปได้ นั่นแหละคือก้าวหน้าในทางธรรมะซึ่งมันเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง มันต้องพูดกันคราวอื่น(นาทีที่ 1:04:52) มันยาวมาก แต่ไอ้ความหมายมันก็อยู่ที่ว่าอย่าให้เกิดมีความหมายเป็นกามารมณ์ ไม่ที่สุดแต่การสืบพันธ์ที่ขอให้เป็นเรื่องธรรมชาติบริสุทธิ์อย่าให้มีความหมายเป้นกามารมณ์ พระอริยเจ้า พระโสดาบัน พระสกิทาคามี มีชีวิตสมรสมีลูกมีหลานแต่ท่านสามารถทำให้เป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติเรื่องสืบพันธ์ก็เป็นเรื่องสืบพันธุ์เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ไม่เป็นที่ตั้งแห่งกามารมณ์ ไม่มีความหมายแห่งกามารมณ์ความทุกข์มันก็น้อยกว่าปัญหาก็น้อยกว่า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นที่ตั้งแห่งความรักความยึดถือมากเหมือนกัน รักลูกไม่ได้รักในกามารมณ์แต่ก็เป็นเหตุให้ร้องไห้กันไม่หวาดไม่ไหว ความรักลูกรักแม่เนี่ย ถ้ามันตายลงมันก็ร้องไห้กันแย่ไม่มีความหมายแห่งกามารมณ์ ถ้ากามารมณ์เข้ามาด้วยรักผัวรักเมียมีความหมายทางกามารมณ์มันก็ยิ่งร้องไห้มากกว่า บางทีไม่เป็นกามารมณ์เป็นอารมณ์ธรรมดาก็มีปัญหามากพออยู่แล้วสำหรับจะยึดถือและมีความทุกข์ ถ้าเอากามารมณ์ปะทะอารมณ์เหล่านั้นมันเปลี่ยนเขยิบขึ้นมามีความหมายทางเพศทางกามารมณ์ มันก็ยิ่งมีน้ำหนักมาก เรื่องรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ธรรมดา ก็เป็นปฏิจสมุทปบาทธรรมดาแต่ถ้ามันเป็น เรื่องรูป เสียง กลิ่น รสโผฎฐัพพะ ที่เป็นเพศ เรื่องเพศเป็นกามารมณ์ มันก็หนัก วุ่นวาย (1:06:54) มันคงจะเป็นบทเรียนที่ยาก ที่เราจะอยู่ในโลกสมัยปัจจุบันนี้ที่ไม่ให้อำนาจนี้มันบีบคั้นเราคลอบงำเราทำความทุกข์ให้แก่เรา คุณจะลาสิกขาบทอออกไปในชีวิตเดิมเป็นฆราวาส คุณจะต้องเผชิญปัญหาเหล่านี้ ศึกษากันซะบ้าง ให้รู้เท่ารู้ทันกันซะบ้างคงจะมีประโยชน์ คือไม่ต้องเป็นทุกข์เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์คือจะไม่หลงไหลยึดถือเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ นี่เรียกว่าเรื่องปฎิจสมุทปบาทที่บอกให้รู้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติเป็นไปตามธรรมชาติปรุงแต่งตามธรรมชาติ แต่เราก็ไม่เห็นเป็นธรรมชาติ เราเห็นเป็นตัวตนยึดมั่นถือมั่นแล้วก็เป็นทุกข์ มีสติพอ ดึงเอาไว้เป็นเรื่องธรรมชาติก็ค่อยยังชั่ว ถ้าปล่อยเป็นเรื่องกามารมณ์ก็มักจะแพ้สู้มันยังไงได้ ก็จะเป็นเรื่องใหญ่โตในทางศาสนาเป็นเรื่องใหญ่โตจึงเรียกมันว่ามาร พญามาร ชั้นพญามาร คำว่ากามารมณ์ มันเป็นความหมายของคำว่ามาร คำว่ามารในพุทธศาสนา มีความหมายเป็นกามารมณ์ ที่เรียกว่ามารโลกที่อยู่ของมาร คือว่าสวรรค์ชั้นที่สมบูรณ์ด้วยกามารมณ์ที่สุด ในบรรดาสวรรค์ 6 ชั้น กามารมณ์มีอยู่ 6 ชั้น ชั้นสุดนั่นแหละเรียกว่ามารโลก บททำวัตรก็มี (1:09:31) เทวโลก มารโลก พรหมโลก จริงไอ้มารโลกก็คือเทวโลก เป็นอันสุดท้ายให้เรียกมารโลกทางกามารมณ์สูงสุด ก็คือกามารมณ์เป็นปัญหาใหญ่ขนาดใหญ่เลยเรียกเป็นชั้นสูงสุด ชั้นพญามาร เราเป็นเด็ก ๆ สวดพาหุง (1:10:06) สวดคำนั้นพญามารขี่เมฆ ขี่ช้างขี่เมฆมาเผชิญกับพระพุทธเจ้า เราก็ว่าไปไม่รู้นี่เด็ก ๆ มันกลายเป็นเรื่องนิทานพญามาร (1:10:20) จากแต่ละโลกขี่ช้างมาเผชิญพระพุทธเจ้ามันกลายเป็นเรื่องงนิทานขึ้นมา จริง ๆมันคือเรื่องของจิตใจที่ไปหลงไหลในกามารมณ์ชั้นสูงสุดพญามาร ที่เค้าจะต้องพูดไว้ในรูปนิยายนิทานและฟังดูคล้ายกับนิทานมันเป็นความจำเป็นที่เขาต้องพูดอย่างนั้น พูดให้กิเลสเป็นพญามารเป็นตัวยักษ์ตัวมารอยู่ในเมืองขี่ช้างลงมาฆ่าฟันพูดอย่างนั้นมันจำง่ายและเหมาะกับคนสมัยนั้นด้วย บางทีมีความจำเป็นที่ต้องเขียนภาพเขียนภาพให้เป็นรูปภาพมันเป็นนามธรรมเป็นจิตเป็นกิเลสมันเขียนไม่ได้ ต้องสมมุติให้เป็นเรื่องให้เป็นบุคคลจึงจะเขียนภาพได้ มันช่วยให้จำง่าย มันจึงติดอยู่ในการศึกษาของเราไอ้เรื่องยักษ์เรื่องมารอะไรต่างๆ เป็นอันว่าไอ้ความทุกข์มันเป็นมายาไม่ใช่ตัวจริงที่มีอยู่เป็นความปรุงแต่งของจิตที่มันมีความรู้สึกขึ้นแก่จิตและมันก็ไม่เห็นเป็นมายาเพราะว่ามันป็นทุกข์จริงอะไรจริง จริง ๆ เป็นของที่ไม่ได้มีอยู่จริงเป็นของปรุงแต่งตามธรรมชาติ ว่ามีรสชาติอย่างนั้นซึ่งตรงกันข้ามกับฝ่ายสุขที่เรียกว่าไม่ทุกข์ ที่รู้สึกเป็นสุขก็มายาเท่ากันที่เรียกว่าเป็นทุกข์ก็มายาเท่ากันแต่เราไม่อาจจะรู้สึก เป็นจริงทั้งฝ่ายสุขฝ่ายทุกข์ ก็ยิ่งหลงไหลสองเท่า จำคำกลอนของหลวงตาองค์นั้น เป็นลาภเป็นสูญอัปรีย์เท่ากันเป็นลาภเป็นสูญอัปรีย์เท่ากัน ที่ได้มาที่พอใจก็ดีที่สูญหายไปเป็นอัปรีย์เท่ากัน อัปรีย์แปลว่าไม่น่ารักอัปแปลว่าไม่ปรียะแปลว่าน่ารัก(1:12:58)คำว่าอัปรีย์แปลว่าไม่น่ารัก ในภาษาไทยความหมายมันมากกว่านั้นคำว่าอัปรีย์ในความหมายภาษาไทยความหมายมันมากกว่านั้นในภาษาบาลี อัปรีย์เมีความหมายอย่างเดียวว่า ไม่น่ารักอย่าไปหลงรัก ไปกำหนดจดจำให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ตากับรูปถึงกันเข้าเกิดจักษุวิญญาณ สามประการเรียกว่าผัสสะ มีอวิชชามายึดครองเกิดเวทนาโง่ เกิดตัณหาโง่ เกิดอุปทานโง่ ยึดถือเป็นตัวตนอะไรก็เป็นของตนแล้วก็ได้เป็นทุกข์ไป อีกทางหนึ่งตากับรูปถึงกันแล้วเกิดการเห็นทางตาเกิดผัสสะวิชชามาทัน สติมาทันเวทนาตัณหาก็ไม่โง่อุปาทานก็ไม่เกิดจิตก็ไม่โง่ไม่เอาอะไรมาเป็นของตนไม่มีอะไรมาเป็นของตนไม่มีความเกิดแก่เจ็บตายเป็นของตนไม่มีอะไรเป็นทุกข์ของตนเราก็ไม่ทุกข์นี่เราจะฉลาดพอที่ จะควบคุมกระแสจิตอันรวดเร็วในวันหนึ่ง วันหนึ่งที่จะเข้ามาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ต้องเป็นทุกข์พอยึดถือหนักเข้า ๆ ก็กลายเป็นของที่หลีกไม่พ้นไป แต่ถ้าเราศึกษาธรรมะเราปฎิบัติธรรมะด้วยมีสติเพียงพอมันจะควบคุมไว้ได้ มันจะควบคุมไว้ล่วงหน้าด้วยก่อนจะไปกระทบมันเตรียมพร้อมอยู่เสมอที่จะควบคุมมันจะไม่มีการกระทบ หรือไม่มีความหมายแห่งการกระทบมันก็เฉย ๆ กันไปซึ่งเราจะเข้าไปที่นี้สถานที่นี้มันเต็มไปด้วยอารมณ์อย่างนั้น เรารู้สึกตัวไว้ก่อนอารมณ์อย่างนั้นก็ไม่มาครอบงำจิตใจไปได้เราก็ผ่านไปได้เรียกว่าเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า ที่ ๆ มัน มีอันตรายมากแบบนี้ไม่จำเป็นก็อย่าเข้าไป มันเป็นบทเรียนที่ยากแต่ถ้าต้องเข้าไปมันหลีกไม่พ้นก็เข้าไปด้วยสติสัมปชัญญะ ไอ้ที่เข้าไปแล้วเกิดเรื่องต้องเป็นทุกข์ถึงตายเป็นทุกข์เกือบตายเรียกว่าอโคจรสำหรับพระเรียกว่าอโคจรสำหรับชาวบ้านก็เรียกว่าอโคจร โคจรแปลว่าที่ควรจะเข้าไป อโคจร แปลว่าไม่ควรจะเข้าไปเป็นคำใช้ในทางธรรมะในหมู่พระ พระองค์ไหนชอบไปในที่อโคจรมันก็ต้องตายซิ (1:16:41) ไม่ใช่วิสัยแห่งบิดาตนก็คือพระอริยเจ้าทั้งหลายไม่นิยมเข้าไปในที่อย่างนั้นมันเป็นอโคจรไม่ใช่วิสัยแห่งบิดาตน ภิกษุหนุ่มภิกษุใหม่ที่อยากเข้าไปเข้าไปแกจะต้องตายคือจะต้องหมดความเป็นภิกษุเดี๋ยวนี้เราก็เอาแต่เพียงว่าเป็นทุกข์มันจะเป็นทุกข์ก็ไม่เข้าไป ถ้าจะเข้าไปจำเป็นต้องจะเข้าไปก็ต้องหมายมั่นปั้นมือให้ดีๆ ก็อย่าตกไปเป็นเหยื่อของมัน กูจะไม่เป็นทุกข์กูจะต้องรู้สึกตัวจะไม่ต้องเป็นทุกข์จะไม่พลัดไปในอำนาจของสิ่งเหล่านั้นการที่ต้องเป็นทุกข์ไปตามนั้นเป็นของธรรมดา เรียกว่าปฏิจสมุทปบาทฝ่ายทุกข์ ถ้าเรามีสติปัญญาพอมันจะไม่เป็นไปจนถึงมีความทุกข์มันจะไปชะงัดเมื่อผัสสะหรือเวทนาต่อให้ถึงตัณหาก็ได้ถ้ามันเกิดสติสัมปชัญญะ ในขณะที่เกิดตัณหาแล้วมันก็หยุดซะได้เหมือนกัน มีเหมือนกันบาลีกล่าวหยุดตัณหาเปลี่ยนกระแสไม่เกิดอุปาทานไม่เกิดทุกข์ก็มีแต่ยากมากเข้าไปถึงตัณหาแล้วเปลี่ยนกระแสนี่ยากมากมันต้องควบคุมกันให้ได้ในระยะแห่งผัสสะ เป็นเวทนาน่ารักมันรักไปแล้ว น่าเกลียดน่าโกรธมันโกรธไปแล้วก็ยาก ยากทำยากเป็นเรื่องที่ถลำเข้าไปมาก
เรื่องปฏิจสมุทปบาทจึงไม่ใช่เรื่องที่เก็บไว้ที่วัดไม่ให้สอนไม่ต้องสอนไม่ต้องพูดเก็บไว้ในพระไตรปิฎกโน่น ในวัดก็ไม่ได้พูดพระเณรก็ไม่ได้พูดที่นี้เรามองเห็นว่ามันต้องพูดแล้วมันต้องใช้ ถ้าไม่ใช้มันก็ดับทุกข์ไม่ได้ ถ้าดับทุกข์ไม่ได้มันก็ไม่ใช่พุทธศาสนา ถ้าขบวนการอันนี้มันดับทุกข์ไม่ได้ก็ไม่ใช่พุทธศาสนาต้องเอามาทำมาใช้ดูที่เป็นเรื่องที่เค้าไม่ให้เอามาสอนไม่ให้เอามาพูด ลึกเกินไปไม่หมาะกับคนสมัยปัจจุบัน
แต่ผมก็ได้พูดมาสามวันสามเรื่อง เรื่องขันธ์ 5 เรื่องอายัตนะ 6 เรื่องปฏิจสมุทปบาท ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เค้าห้ามพูดเรามันดื้อคุณก็ไปใคร่ครวญดูว่ามันมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์เรื่องอื่นไม่มีประโยชน์
ไม่พอที่จะสกัดกั้นมารที่เกิดขึ้นในจิตในใจ มีความรู้ในขั้นนี้ในระดับนี้ขั้นนี้ที่จะช่วยดับทุกข์คือต้องปฎิบัติกันในขั้นนี้คือมีสติให้พอ เมื่อมันต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้มีสติให้พอ ที่มันที่ฝึกกันอย่างจริงจังมันก็เป็นเดือนเป็นปีคุณก็ไม่มีเวลา แต่คุณก็ใช้วิธีธรรมชาติธรรมดารู้จักเข็ดรู้จักหลาบ สติมันก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นมาเอง คือธรรมชาติมันสอนเองถ้าเราเผลอไม่มีสติปล่อยให้เรื่องมันถลำเข้าไปอย่างนั้นเราเจ็บปวดมาก นี่มันก็จะทำให้เข็ดหลาบทีหลังก็ระวังได้เอง ไม่กล้าคิดอย่างนี้ฟัง ๆดูดิเราเคยคิดอย่างนี้มันทำเราเจ็บปวดเราก็ไม่กล้าคิดอย่างนั้นอีก มันสอนให้มีสติโดยอัตโนมัติ เช่นเดียวกับเรื่องทางวัตถุเราขาดสติเราก็หกล้มบ้างเราตกร่องบ้างเรามีอะไรบ้างอย่างที่จะเป็นทุกข์หรือเจ็บปวดแล้วมันก็สอนให้เองเช่นเราเดินไม่หกล้มเดินไม่สะดุดเดินไม่ชนของเดินไม่ตกร่องเดินไม่ นี่ธรรมชาติมันสอนเรื่องทางจิตก็เหมือนกันปล่อยจิตอย่างนี้มันเจ็บปวดทุกทีมันก็ไม่กล้าคือสติค่อย ๆ มีมากขึ้น ถ้ามันมีมากพอมันมีผลอย่างเดียวกันที่ว่าจะไปนั่งฝึกอยู่ในป่าเป็น 10 ปี 20 ปีให้มีสติมันก็เพื่อประโยชน์อันนี้ทั้งนั้นไม่มากกว่านี้ เราเรียกว่าให้ชีวิตเป็นบทเรียนเป็นการสอนเป็นการสอบไล่เป็นการได้ผลแล้วพร้อมกันอยู่ในเรื่องชีวิตประจำวัน พยามให้มันเป็นอย่างนี้ให้ชีวิตเป็นการเล่าเรียนเป็นการสอบไล่ เป็นการรู้ว่าได้หรือตกเป็นการได้ประโยชน์แล้วก็เตือนอย่างทีแรกว่าถ้ามันกัดเอาอย่าเป็นทุกข์อย่ามาร้องไห้อยู่อย่ามาเป็นทุกข์ให้มันมากเกินความจำเป็นเอาทางไม่ทุกข์กูไม่ทุกข์อ่ะมันจะกัดเราเจ็บปวดอย่างไรก็จะไม่เป็นทุกข์แต่เพื่อจะไม่ให้เป็นอย่างนั้นอีก
ไม่ใช่เพื่อจะไปหลงทนอยู่ในกองทุกข์มานั่งร้องไห้อยู่ไม่มีประโยชน์อะไร จะไปฆ่าตัวตายก็ไม่มีประโยชน์อะไรมาแก้ไขให้ลุล่วงไปด้วยดีเราจะได้มีชีวิตที่ไม่มีความทุกข์ เป็นชีวิตที่เป็นประโยชน์ตั้งแต่ตนองและผู้อื่นนี่จุดจบมันอยู่ที่นี่พูดทุกเรื่องทุกเรื่องมันต้องไปมีจุดจบอยู่ที่ตรงนั้นนะคือกูไม่มีความทุกข์กู เป็นคนมีประโยชน์ตั้งแต่ตนเองและผู้อื่น ขอให้มันเป็นอย่างนี้เรื่องการศึกษาก็ดีเรื่องการปฎิบัติก็ดีชีวิตก็ดีให้มันจบลงในลักษณะอย่างนี้คือไม่เป็นทุกข์และก็มีประโยชน์อย่างยิ่งตั้งแต่ตนเองและผู้อื่น เข้ามาบวช สามเดือนขอให้มันได้ลู่ทางอันนี้กลับไปลู่ทางแห่งชีวิตอย่างนี้ข้อนี้ศึกษาให้รู้ให้ได้ให้ลู่ทางสำหรับไปดำเนินชีวิตที่จะไม่มีความทุกข์แต่มันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งตั้งแต่ตนเองและผู้อื่น ชั่วโมงครึ่งอีกนิดเดียวอย่าให้พลาดอย่าให้กลายเป็นเรื่องเหลวไหล ให้เป็นเรื่องที่เราได้รับความรู้ได้รับความเข้าใจผ่านไปด้วยการปฎิบัติด้วยจะได้เป็นพุทธบริษัท ถ้ายังมีความทุกข์อยู่ยังไม่ถึงขนาดพุทธบริษัทไม่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานปิดประชุม