แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ชดเชยเมื่อวานซึ่งไม่ได้พูด วันอาทิตย์ ผมก็นึกว่าควรจะพูดเรื่องอะไรดี เราก็พูดมาถึงเรื่องอายตนะ ทีนี้วันนี้ก็อยากจะพูดอีกเรื่องหนึ่งคือไม่ ๆ ได้ติดต่อกัน โดยเห็นว่าจำเป็นกว่า แล้วค่อยวกไปหาเรื่องนั้นได้ง่าย คอยกำหนดให้ดีเถอะ แล้วมันก็จะไปสู่เรื่องอายตนะอีกนั่นเอง คือว่าเราจะต้องรู้หลักใหญ่ ๆ หรือลักษณ ลักษณะใหญ่ทั้งหมดของพุทธศาสนากันก่อน ไอ้หลักใหญ่ ๆ หรือลักษณะเฉพาะที่เป็นเครื่องสังเกตว่าพุทธศาสนามันคืออะไรหรืออย่างไร นั่นนะสำคัญมาก ผมขอร้องให้ทุกคนสนใจศึกษา สังเกตไว้ให้ถูกต้อง ให้เพียงพอโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่จะต้องติดต่อสัมพันธ์กันกับชาวต่างประเทศ ผู้ที่จะต้องไปต่างประเทศ จะต้องพูดเรื่องศาสนาของตัวนะให้ถูกต้อง เมื่อพูดโดยหลักใหญ่ ๆ ก็พูดได้ง่ายแหละถ้าเราจะพูดตามที่เขาใช้เป็นวิธีพูดหรือคำพูดกันอยู่แล้วนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับศาสนา เช่นว่าเราไปที่ต่างประเทศแล้วฝรั่งเขาถามว่า ศาสนาของคุณเป็นอย่างไร เพียงแต่เราตอบเออสั้น ๆ ว่า evolutionist ไม่ใช่ creationist เท่านี้มันฟังออกโล่งโถงไปหมด แล้ว ๆ เรายังฟังไม่ถูกใช่ไหม เออเรา ๆ รู้คำสำหรับจะพูด คือว่าศาสนาเดี๋ยวนี้เขาก็แบ่งออกเป็น ๒ พวกแหละ พวก creationist creation create พระเจ้าสร้างนะ create creation creationist ถ้าพวก creationist ละก็ศาสนาที่ถือว่ามีพระเจ้าสร้าง นี้เราบอกว่าของเราเป็น evolutionist evol โดยธรรมชาติ เป็น evolution ของธรรมชาติ ไม่มีใครสร้างโลกไม่ถือว่าใครสร้างโลก ไอ้โลกนี่เป็นวิวัฒนาการของธรรมชาติ เดี๋ยวนี้เขาพูดกันอย่างนี้แล้ว เขาพูดคำเดียวพอว่า evolutionist แล้วก็คือว่าศาสนาที่มีหลักถือว่าทุกสิ่งเป็นวิวัฒนาการตามธรรมชาติ ไม่มีพระเจ้าซึ่งเป็นผู้สร้าง ผู้create ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามและศาสนาอื่น ๆ อีกเป็นอันมากนะเขาถือว่ามีพระเจ้าสร้าง ที่ศาสนาพุทธนี่ไม่มี ถือว่าวิวัฒนาการของธรรมชาติ ทีนี้ที่ผมอุตริพูด ๆ ที่นี่หรือว่าเขียนก็มากแล้วว่าเรามีพระเจ้าเหมือนกัน พระเจ้าสร้าง แต่พระเจ้าของเราไม่ใช่คนอย่างนั้น เป็นกฎของธรรมชาติ
กฎของธรรมชาติเขาสร้างสิ่งทั้งปวง บันดาลให้สิ่งทั้งปวงเป็นไป เรามีกฎของธรรมชาติเป็นพระเจ้า ครั้งสุดท้ายก็ยังพูดว่าเราจะต้องอ้อนวอนพระเจ้าของเราอย่างไร ขอร้อง ขออย่างไร อะไรอย่างไร ถ้าพระเจ้าอย่างชนิดนี้ก็ต้องอ้อนวอนร้องขอโดยประพฤติ กระทำให้ถูกกฎของธรรมชาติ มันก็ได้ผล แต่ถ้าเป็นอย่างโน้น อย่างพระเจ้ามีตัวมีตนอย่างนั้น เขาก็มีพิธี พิธีอ้อนวอน พิธีขอร้อง พิธีมากมายก่ายกองนะ ไม่พูดถึงว่าการปฏิบัติให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ คือมีวิธีในโบสถ์ คุกเข่า ขอร้อง อ้อนวอน นั่นนะเป็นวิธีของพวกที่มีพระเจ้าสร้างโลก นอกจากนี้เราเพื่อจะให้คบกันได้ ที่เราพูดว่าเราก็มีพระเจ้า เพื่อจะไม่ให้เกิดกระทบกระทั่งกันเกินไป เราก็ขอมีพระเจ้ากับเขาด้วย มีกฎของธรรมชาติเป็นพระเจ้า เรามีวิธีอ้อนวอน ขอร้องหรือะไรต่าง ๆ ตามแบบของเรา มันก็เลยต้องแบ่งพระเจ้าเป็น ๒ ประเภท คุณช่วยจำไว้ให้ดี นี่มันจะไปโต้กันนะ ใน ๆ ชั้นแรกนะ แต่แรกก็จะปรับความเข้าใจกันได้ ถ้าเขาถามว่า ในศาสนาคุณไม่มี god สิ เพราะว่า evolutionist นะคือไม่มีพระเจ้าสร้าง เป็นวิวัฒนาการของธรรมชาติ ถ้าไม่มี god แล้วจะเป็นศาสนาได้อย่างไร ดังนั้นเราก็ตอบว่ามี มีพระเจ้า มี god แต่มีคำจำกัดความข้างหน้าว่า non personal หรือ impersonal, god .god ที่ไม่ใช่เป็นอย่างบุคคล impersonal god, non personal god เราก็มี god ส่วนของเขาเราก็ต้องยอมรับว่า personal god พระเจ้าอย่างบุคคล เมื่อเรามีพระเจ้าด้วยกัน เราก็ควรเป็นศาสนาด้วยกันสิ คุณอย่ามาเล่นหาว่าพุทธศาสนา ไม่ใช่ศาสนาเพราะไม่มีพระเจ้าสิ เพราะไม่มี god สิ ถ้าเรามันมี..มันเป็นศาสนาขึ้นมาได้เพราะเพียงแต่มี god เราก็มี god แต่ว่ามันเป็น impersonal นี่คุณจำคำว่าไอ้ creationist evolutionist ไว้ให้ดี ๆ ศาสนาเขาแบ่งเป็น ๒ ชนิดอย่างนั้นนะ นี้เขาจะให้เราไม่มี god เพราะเป็น evolution เราก็มี god แต่เป็น impersonal god ดังนั้นเราก็มีสิทธิที่จะเรียกตัวเราว่า religion ด้วยเหมือนกัน ฝรั่งก็ต้องตั้งข้อเกี่ยงงอนแหละ ว่าถ้าไม่มี god ละก็ไม่ใช่ religion ให้เป็นเพียงระบบความรู้ ระบบปรัชญาอันใดอันหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ศาสนานะ เขาไม่ยกให้ว่าเป็นศาสนา กลายเป็นมนุษย์ที่ไม่มีศาสนาไป นี้เราว่าไม่ใช่อย่างนั้น เราเป็นศาสนาเหมือนกันเพราะมี god แต่เป็น impersonal god นี่เป็นสิ่งแรกที่ ๆ จะต้องเข้าใจเป็นหลัก นี่เป็นหลักพื้นฐาน
ทีนี้ก็มาถึงรายละเอียดที่เราจะต้องเข้าใจให้ครบ พระเจ้านะมันมีหน้าที่สร้าง คำว่าพระเจ้าเขาบัญญัติความไว้ บัญญัติความหมาย qualification นะไว้ว่าเป็นปฐมเหตุ เป็นปฐมเหตุ เป็นที่ออกมาแห่งสิ่งทั้งปวง มีอยู่ก่อนใคร ๆ เพราะเป็นปฐมเหตุ แล้วมันก็เลยเป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวงเพราะมีอยู่ก่อนใคร ๆ นอกจากเป็นผู้สร้างแล้วก็เป็นผู้ควบคุมสิ่งทั้งปวงด้วย มันก็ปกครอง บีบคั้น ให้รางวัลอะไรทั้งหมดเลย เป็นหน้าที่ของพระเจ้าหมด ไอ้โลกจะต้องเป็นไปตามการกระทำของพระเจ้านะ นี่พระเจ้า หน้าที่ใหญ่ ๆ ของพระเจ้าคือสร้าง ควบคุมและทำลาย หน้าที่ใหญ่ ๆ มันมี ๓ สร้างขึ้นมาและควบคุมอยู่และก็ทำลายเมื่อถึงคราวควรทำลาย แล้วก็สร้างใหม่ แล้วก็ควบคุมและก็ทำลาย มันหน้าหัวที่ว่ามันมาตรงกับหลักธรรมะของเราว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อำนาจขึ้นมาเป็นอำนาจที่เรียกกันว่าเป็นพระเจ้า เขาว่ามีพระเจ้าอย่างบุคคลทำหน้าที่อย่างนั้น เขาก็ว่าสิ เพราะเขาว่าไม่ ไม่ ไม่ ไม่ใช่ว่าเอามาดูให้เห็นได้ ไม่ใช่เขาเอาตัวพระเจ้ามาให้เราเห็นได้ ไอ้ทีนี้เราก็ว่าเรามีกฎของธรรมชาตินะเป็นพระเจ้า ทีนี้ไอ้กฎ ไอ้กฎของธรรมชาตินั่นแหละ มันเป็นผู้ทำให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นหรือมีอยู่ก่อนสิ่งใด พระเจ้าอย่างที่เราถือเอาคือกฎของธรรมชาตินี่ มีอยู่ก่อนสิ่งใดและทำสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น อย่างนี้แล้วนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันรับได้นะกลายเป็นว่าไอ้พระเจ้าอย่างของเรา ไอ้นักวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันยอมรับได้ ส่วนพระเจ้าในศาสนาโน้นที่ว่าเป็นผู้สร้าง ผู้ไม่ ไม่มองให้เห็นนี่ เกณฑ์ให้เชื่อนี่ บังคับให้เชื่อ ไม่มองเห็น ส่วนพระเจ้าอย่างที่เราว่าที่ไม่ใช่บุคคลนะคือกฎของธรรมชาติ ทำให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างนี้วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน มันก็มี และเป็นที่ยอมรับและมันเห็นได้ มันเข้าใจได้ ว่ากฎของธรรมชาติให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น เกิดขึ้น เกิดขึ้น แล้วกฎของธรรมชาตินี่ควบคุมอยู่ ให้เป็นไป ก็เหมือนพระเจ้าที่ควบคุมอยู่ ในที่สุดที่มันจะดับ เลิกเป็นคราว ๆ ก็คือกฎของธรรมชาตินั่นอีกแหละ ที่ว่าไอ้โลกนี้มันจะหมดไปเป็นคราว ๆ แหละแล้วเกิดใหม่ ไอ้คำพูดที่ว่าโลกนี้จะต้องถูกเลิกและลบล้างเป็นคราว ๆ นี่มันมีอยู่ในคัมภีร์ศาสนาทุกศาสนาเลย โดยเฉพาะศาสนาในอินเดียมันก็มี ถึงยุค ถึงกัลป์ กัลป์ไหนที่ว่าโลกมันจะต้องเลิกไป เป็นน้ำท่วม เป็นไฟไหม้ เป็นอะไรก็สุดแท้ละ หมดไปทีหนึ่ง แล้วก็มาเออตั้งต้นกันใหม่ ทีนี้ในศาสนาคริสเตียนมันก็มี ในศาสนาที่ออกมาจากคริสเตียนก็ ๆ ยิ่งมี ดังนั้นทำให้เราเข้าใจได้ว่า ไอ้เรื่องศาสนาที่สอนว่ามีโลก เป็นยุค ๆ ยุค ๆ นี้เข้าใจว่าไปจากอินเดียทั้งนั้นแหละ หรือมิฉะนั้นก็ต้องมีที่มาที่ร่วมกันนะ เช่นศาสนาที่เก่าแก่อยู่ที่แถวเมโสโปตาเมีย พวกอินโดอารยันนั่นนะ มันคงจะเป็นต้นความคิดเรื่องนี้ เขาถือว่า เขาถือกันว่ามนุษย์มันตั้งต้นที่นั่นนะ ไอ้ดินแดนระหว่างแม่น้ำไทกรีส ยูเฟรทีส ซึ่งเป็นอิรัก อิหร่านเดี๋ยวนี้ ก็ถือว่ามนุษย์ตั้งต้นที่นั้น วัฒนธรรมตั้งต้นที่นั่น ศาสนาตั้งต้นที่นั่น ถ้าว่าที่นั่นมัน ๆ มีหลักอย่างนี้ แล้วมันก็ มันก็ต้องสอนตรงกันนะ ที่เข้ามาในอินเดียมันก็สอนอย่างนี้ ที่ไปทางตะวันตกไปยุโรปมันก็สอนอย่างนี้ ว่าโลกนี้มันเป็นยุค ๆ ยุค ๆ โลกนี้ต้องมีการเกิดขึ้น แล้วก็เป็นอยู่ พอถึงยุคก็ดับไป ด้วยน้ำ ด้วยไฟ ด้วยลม ด้วยแล้วแต่ ไอ้เราว่าพระเจ้านี่คือกฎธรรมชาติ กฎของธรรมชาติทั้งนั้น จะทำให้ไอ้โลกนี้มันสิ้นสุดไปเป็นคราว ๆ คราว ๆ มันก็ค้านไม่ได้ มันเป็นกฎของธรรมชาติ ดังนั้นพระเจ้าของเราซึ่งเป็นกฎของธรรมชาตินะ สร้างโลกก็ได้ ควบคุมโลกก็ได้ ดับโลกเสียเป็นคราว ๆ ก็ได้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันแท้ ๆ มันก็ต้องยอมรับแหละ ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปถึงอย่างนั้นก็โดยอำนาจของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ ตอนนี้มันชักจะคุยโตว่าพระเจ้าอย่างของเรานี่ มันเข้ากันได้กับความรู้ของนักวิทยาศาสตร์แห่งยุคปัจจุบัน นี่พระเจ้าที่เขามี ๆ กันอยู่นั้นเข้ากันไม่ได้ เพราะมันเป็นบุคคลแล้วมันที่มีอะไรเหนือบุคคลจน ๆ จนแทบจะยอมรับไม่ได้ นี่ถ้าเขาถามว่าศาสนาพุทธมีพระเจ้าไหม แต่ก่อนจะต้องตอบกันว่าไม่มีพระเจ้าทั้งนั้นนะ ผมนะอุตริบ้า หาพระเจ้ามาให้ พุทธศาสนามีพระเจ้า แล้วบางคนเขาก็ด่า ก็พูด เขาเองผิด ๆ เสีย ถ้าอย่างนั้นก็เรายืนยันว่าพระเจ้านะทำอะไรได้บ้าง ก็สร้างโลก ควบคุมโลก ดับโลก เราก็มีกฎของธรรมชาติ ทีนี้เรา ๆ ไม่ ๆ จริงกว่าหรือของเรามันเห็นกว่านี่ เห็นได้ง่ายกว่า ของเขาเกณฑ์ให้เชื่อ ดังนั้นเราก็มีพระเจ้าที่จริงกว่า แต่เราไม่อาจจะเรียกว่าพระเจ้าอย่างบุคคล มีคนมาเล่าให้ฟังว่าที่ประเทศอินโดนีเชีย มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือว่าไอ้พวกที่มันถือศาสนาพุทธหรืออะไรก่อน แต่ก่อน แต่ก่อนโน้นนะ มันไม่ยอมนับถือศาสนาอิสลามนะ มันเป็น ๆ ชนส่วนน้อยอยู่พวกหนึ่งในอินโดนีเชีย มันไม่ถือศาสนาอิสลามหรือศาสนาคริสต์ มันก็ถือพุทธ พุทธที่ก่อน ก่อน ก่อนคริสต์ ก่อนอิสลามที่จะเข้ามาในอินโดนีเชีย มันก็ถือศาสนาอย่างที่ไม่มีพระเจ้าสิ มันก็บอกตรง ๆ ไม่มีพระเจ้า ทีนี้ไอ้ฝรั่งที่ ตั้ง ตั้งแต่ยุคที่ฝรั่งมันยึดปกครองอินโดนีเชียจนถึงปัจจุบันนี้ เขาจะเปลี่ยนเป็นนี่แล้วเขาก็ถือว่าพวกนี้ไม่ใช่มีศาสนา เพราะไม่มี ไม่มีพระเจ้า เมื่อไม่ ไม่มีพระเจ้าก็ไม่มีศาสนาเพราะพวกนี้เป็นพวกที่ไม่มีศาสนา เป็นพวกปะแกนปะอะไรไปไม่รู้นะแล้วแต่จะเรียกไม่มีศาสนา ทีนี้ตามกฎหมายของอินโดนีเชียนั้นมีอยู่ว่า ประชาชนที่ถูกต้องตามกฎหมายนั้นต้องมีศาสนา ต้องถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นหลักฐาน รัฐบาลเขาก็จัดไอ้ชนส่วนน้อยพวกนี้คือชาวพุทธดั่งเดิมนะ เขาว่าไม่ ไม่ใช่เป็นประชาชนที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่เล็กน้อยนะ ไม่เป็นประชาชนของประเทศที่ถูกต้องตามกฎหมายเพราะว่าไม่มีศาสนา ได้ยินว่าพระองค์หนึ่งเขาต่อต้านรัฐบาล โดยนี่ โดยคำพูดนี่ เขาจะเอามาแต่ไหนก็ไม่ทราบ เมื่อเร็ว ๆ นี้นะ ว่ามันมีพระเจ้าอย่างนี้ มีพระเจ้าอย่างนี้ โต้กันไปโต้กันมา รัฐบาลยอมรับว่ามีพระเจ้าอย่างนี้ก็ได้ impersonal god ก็ถือว่ามีศาสนา ประชาชนส่วนน้อยนี้ก็เลยเป็นผู้ที่มีศาสนา และก็เป็นผู้มีสิทธิเต็ม เต็มตามฐานะของประชาชนของประเทศ ถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็ถือว่าไม่ใช่ประชาชนของประเทศ เขาไม่ช่วยเหลือบางอย่าง ไอ้เงินช่วยเหลือหรืออะไรต่าง ๆ ที่มีสิทธิที่จะได้รับ เขาไม่ให้นะ ทีนี้เขายอมให้ ว่าเป็นประชาชนที่มีถูกต้อง มีความถูกต้องตามกฎหมายเหมือนกับประชาชนที่ถือศาสนาอื่นๆ นะ นี่เรื่องพระเจ้านี้ มันก็ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์เสียเลย มันแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ฉะนั้นคุณจำไอ้คำว่า creation หรือ creationist กับ evolution, evolutionist ๒ คำไว้ดี ๆ ถ้าเขาถามพุทธศาสนาเป็นอย่างไรก็บอกว่า evolutionist คราวนี้มัน ๆ มันเข้าใจหมดแหละ ไม่ต้องพูดกันอีกหลาย ๆ คำนะ มันรู้ว่าเป็นศาสนาที่ไม่ยอมรับว่ามีผู้สร้างโลก สร้างสิ่งทั้งปวง ถือว่าเป็น evolution ของธรรมชาติ ทีนี้ถามว่ามีพระเจ้าไหม ก็มี impersonal god มีพระเจ้า ทำอะไรได้เหมือนกับพระเจ้าของคุณนั่นแหละ ที่คุณว่ายังไง แต่ของคุณพิสูจน์ไม่ได้นะ มองไม่เห็น เกณฑ์ให้เชื่อ ไอ้นี้มันมองเห็นอยู่นี่เลย มีพระเจ้าที่จริงกว่า ฉะนั้นก็จำไอ้คำว่า personal god หรือ non personal god นี่ไว้ดี ๆ ถ้าจะไปพูดกับฝรั่งที่เมืองนอกหรือแม้ในเมืองไทยนี่ก็เหมือนกัน ถ้าพวกฝรั่งเขาจะถาม เขาจะเกณฑ์ให้เราพูดให้ถูกต้องหรือเขาอยากจะรู้ เราก็ต้องพูดให้มันถูกต้อง ทีนี้มันก็ได้ใจความหัวข้อสำคัญว่า พุทธศาสนาไม่มีพระเจ้าสร้างสิ่งทั้งปวง เป็นเพียงวิวัฒนาการ วิวัฒนาการ evolution ของธรรมชาติ ทีนี้ก็มาดูข้างในสิ ย้อนมาดูข้างในตัวพุทธศาสนาสิ ว่าไอ้ตัวพุทธศาสนาแท้ ๆ นะ เดี๋ยวนี้มันเป็นอะไร มันเป็นอย่างไร คำสอนในพระพุทธศาสนา มัน มัน มันสอนเรื่องวิวัฒนาการอยู่แล้ว อยู่เต็มที่แล้ว ก็คือเรื่องปฏิจจสมุปบาท มันเป็นเรื่องที่คุณควรจะศึกษาให้เข้าใจที่สุดเลย เรื่องปฏิจจสมุปบาทนะ นี่จะเป็นเครื่อง อะไร เป็นเครื่องมือหรือเป็นหลัก ไอ้ที่จะให้เราพูดให้มันถูกต้อง อธิบายให้เขาได้โดยถูกต้อง เมื่อมันเป็นกฎของธรรมชาติ เป็นเหตุปัจจัยอยู่ในตัวกฎของธรรมชาติ เมื่อสิ่งหนึ่งมันมีอำนาจ มันมีการปรุงแต่งให้สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นอย่างนี้เสมอไป นี่ความเป็นอย่างนี้ไม่ใช่พระเจ้าสร้าง ความเป็นอย่างนี้ก็คือกฎวิทยาศาสตร์ ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า "อิทัปปัจจยตา" และถ้าเราเรียกให้กว้างที่สุดนะ ใช้กับทุกสิ่งทั้งรูป ทั้งนาม ทั้งมีชีวิต ทั้งไม่มีชีวิต เราใช้คำว่า " อิทัปปัจจยตา" กฎวิทยาศาสตร์ของธรรมชาติของโลก คือกฎว่าอิทัปปัจจยตา เพราะความที่มีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น จะพูดสักกี่ร้อยครั้งก็ได้ เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น นั่นนะคือความเป็นวิทยาศาสตร์ของพุทธศาสนา ศาสนามีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ มีความเป็นวิทยาศาสตร์เพราะมีหลักพื้นฐานคือกฎอิทัปปัจจยตา ให้เขาเรียน biology โดยเฉพาะ คือเรียน biology ที่ว่าแผ่นดินมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร พืชสัตว์มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ กระทั่งไปถึงไอ้พวกวิทยาศาสตร์ วิทย์ วิทยาศาสตร์พื้นฐานนะ จุดตั้งต้นมาแต่เรื่องอณู เรื่องปรมาณู เรื่องแสง เรื่องเสียง เรื่องความร้อน เรื่องทุกอย่าง อย่างที่เขามีสอนกันอยู่ว่า ว่า ไอ้โลกมันมาได้อย่างไร แม้จะถือว่าโลกมันเกิดกะเทาะออกมาจากดวงอาทิตย์ มันก็เพราะอันนั้นคือปัจจัยให้โลกมันเกิดขึ้น มันไม่ผิดกฎอิทัปปัจจยตา แม้จะถือว่าไอ้โลกนี้มัน มันจับกลุ่มของมันเองขึ้นมาจากไอ้ nabu nebular จนข้นเข้าเป็นโลก มันก็ไม่ผิดจากกฎอิทัปปัจจยตา ดังนั้นที่พูดไว้ในหนังสือวิทยาศาสตร์ว่าโลกเกิดขึ้นมาอย่างไร กี่อย่าง ๆ มันเป็นเรื่องของกฎอิทัปปัจจยตาไปหมดนะ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา เราเอากฎอิทัปปัจจยตาเป็นพระเจ้า ผู้สร้างสิ่งทั้งปวง ผู้ควบคุมสิ่งทั้งปวง ผู้ทำลายล้างสิ่งทั้งปวง แล้วผู้สร้างสิ่งทั้งปวง แล้วควบคุมสิ่งทั้งปวง แล้วทำลายล้างสิ่งทั้งปวงวนรอบ ๆ อยู่อย่างนี้ นี่คือพระเจ้าตามหลักของพุทธศาสนา ที่เป็นวิทยาศาสตร์อยู่ในตัวเองและเข้ากันได้กับหลักวิทยาศาสตร์แห่งโลกในยุคปัจจุบัน วิทยาศาสตร์แห่งโลกยุคปัจจุบันทั้งหมด มันก็ ก็ไม่ผิดไปจากนี้ คือไม่ผิดไปจากเพราะมีสิ่งนี้เป็นเหตุ สิ่งนี้มันจึงเกิดขึ้น แต่เขาใช้คำว่าปัจจัย เพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น และนั่นนะคือลักษณะที่เป็น evolutionist ไม่ใช่ creationist ซึ่งพระเจ้าสร้าง ฉะนั้นเรา เราจะมีนักวิทยาศาสตร์นะเป็นพวกมากขึ้น ในโลกปัจจุบันนี้พุทธศาสนาจะมีนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายเข้ามาเป็นพวก พวกที่ยอมรับ ยอมเห็นด้วย เอออวยด้วยมากขึ้น ๆ เพราะอย่างนี้ ทีนี้กฎอิทัปปัจจยตานั้น มีความหมายกว้าง ทุกสิ่งนะ จะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต จะเป็นเรื่องจิตใจหรือเป็นเรื่องวัตถุ เป็นอะไรก็ตามเถอะ เรียกว่าทุกสิ่งก็แล้วกัน มัน ๆ ๆ เป็นไปโดยกฎอันนี้ แต่ถ้าว่าจะพูดกันให้มันแคบเข้ามาคือเรื่องของสิ่งที่มีชีวิตและมีความทุกข์แหละ หากกฎอันนี้จะต้องแคบเข้ามา แล้วเปลี่ยนชื่อเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท ที่จริงกฎนี้มีความหมายอย่างเดียวแหละ แต่อิทัปปัจจยตามันกว้างไปถึงทุกสิ่ง ไม่ยกเว้นอะไร แต่ถ้าพูดว่าปฏิจจสมุปบาทละก็เราจะหมายเฉพาะเกี่ยวกับสิ่งที่มีความรู้สึกเป็นทุกข์ได้ คือสิ่งที่มีชีวิตและเป็นทุกข์ได้นะ และมุ่งหมายจะแสดงการเกิดขึ้นแห่งความทุกข์ เพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นปัจจัยความทุกข์จึงเกิดขึ้น นี่คุณ ๆ ต้องเข้าใจดีนะว่า ไอ้ อิทัปปัจจยตากับคำว่าปฏิจจสมุปบาท มันไม่เหมือนกัน เหมือนกันโดยความหมาย แต่ว่าขอบเขตมันไม่เท่ากัน อิทัปปัจจยากว้างคลุมไปหมด ปฏิจจสมุปบาทเอากันแต่สิ่งที่มีชีวิตและมีความทุกข์ นี้อย่าพูดให้ผิดในเรื่องนี้นะ และกำลังมีผู้พูดผิดในประเทศพุทธบริษัทนี่ เมื่อผมไปที่ประเทศเขมร ก็ไปพักอยู่ที่วัดที่เขาทันสมัยที่สุดแหละ อาจารย์คนนี้เคยเป็นอาจารย์ดำเนินงานมหาวิทยาลัยฝรั่งเศสในสมัยที่ฝรั่งเศสยึดครอง แกแตกฉานทั้งบาลี ทั้งสันสกฤต ทั้งภาษาฝรั่ง ทั้งหลักธรรมนี่ ทีนี้แกมันพูดใช้คำไอ้ ๒ คำนี้ไม่ถูก เช่นว่าโลกเกิดขึ้นมาเพราะกฎปฏิจจสมุปบาท เพราะแกมันไปเข้าใจความหมายที่ว่าสิ่งนี้ปัจจัย สิ่งนี้เกิดขึ้น ใช้คำผิด แทนที่จะใช้คำว่าอิทัปปัจจยตานะ โลกเกิดขึ้นโดยกฎอิทัปปัจจยตานะ แกพูดว่าโดยปฏิจจสมุปบาท แล้วจนกระทั่งว่าอะไรเหตุการณ์ในบ้านเมือง ในโลกปัจจุบันนี้ก็เพราะเป็นไปตามกฎปฏิจจสมุปบาทไปเสียหมด ฝนไม่ตก ฝนตกอันนี้มันเป็นเรื่องปฏิบัติ ไม่ถูกนี่ ใช้คำผิดไปกลับ ไปกลับกันเสียหรือว่าใช้ไม่ถูก ถ้าไอ้เรื่องอย่างนั้นก็ต้องใช้คำว่าอิทัปปัจจยตา เพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เป็นความหมายที่กว้าง แต่ถ้าให้แคบเข้ามา เกี่ยวกับมนุษย์ที่มีความรู้สึกและเป็นทุกข์นี้ จึงจะใช้คำว่าปฏิจจสมุปบาท ความหมายมันเหมือนกันเพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้จึงดับลง สิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้จึงดับลง มันเหมือนกัน มันมีใจความนะเหมือนกัน แต่ใช้กับไอ้สิ่งที่ไม่ ไม่ไม่ได้ตรงกันหรือไม่เท่ากัน คำอันมาใช้กับไอ้สิ่งทั่วไปทั้งหมด เราก็ใช้คำว่าอิทัปปัจจยตา เรียกชื่อว่าอิทัปปัจจยตา ถ้าให้ใช้กับไอ้ที่มีชีวิตและเป็นทุกข์ได้จึงใช้ปฏิจจสมุปบาท หรือถ้ามันจำกัดชัดลงไปเลยว่าเมื่อพูดเกี่ยวกับความทุกข์จึงจะใช้คำว่าปฏิจจสมุปบาท เช่นว่าต้นไม้ต้นนี้มันเติบโตขึ้นมาอย่างนี้เพราะอะไร เพราะกฎของอะไร มันก็ต้องของอิทัปปัจจยตา อย่าใช้ว่ากฎของปฏิจจสมุปบาท เพราะมันไม่เกี่ยวกับความทุกข์หรือความสุข มันเพียงแต่ มันโตขึ้น โตขึ้น เมื่อเหตุการณ์ผันแปรในโลก ในบ้านเมืองอะไรต่าง ๆ นี้มัน ถ้ามันเกี่ยวกับมนุษย์ทำ เป็นความทุกข์ของมนุษย์ มันก็เป็นปฏิจจสมุปบาท แต่ถ้ามันเป็นเรื่องกลาง ๆ เรียกว่าเป็นอิทัปปัจจยตา เช่นปีนี้ฝนไม่ค่อยตกเพราะเมฆไม่ค่อยมีหรืออะไรก็ตามนี่ควรจะเรียกตามว่าตามกฎอิทัปปัจจยตาอย่าไปเรียกว่าตามกฎปฏิจจสมุปบาท ดังนั้นไอ้ปฏิจจสมุปบาทมันจึงแคบเข้ามาอยู่ในคน มันใช้แคบเข้ามาเพียงในภายในคน อิทัปปัจจยตาใช้ครอบจักรวาลหรือครอบหมดยิ่งกว่าจักรวาล ครอบโลกธาตุไปเลย อิทัปปัจจยตา ทีนี้เราก็ควรจะพูดเรื่องปฏิจจสมุปบาท มันก็ไปเข้ากับเรื่องที่พูดไว้แล้ว ๒ ครั้ง มัน ๒ ครั้งคราวก่อนนั้นนะ เรื่องอายตนะ เรากำลังเป็นทาสของอายตนะแล้วก็มีความทุกข์ ทีนี้เรื่องปฏิจจสมุปบาทนะเป็นเรื่องเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ดับลงแห่งความทุกข์ในภายในสิ่งที่มีชีวิต กระแสนั้นนะ กระแสปฏิจจสมุปบาทมันตั้งต้นที่อายตนะ อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ข้างใน อายตนะคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ มันอยู่ข้างนอก อ้อ,มันมีอยู่อีกคำหนึ่งซึ่งควรจะรู้ไว้ในตอนต้นนะ คือว่าพุทธศาสนานั้นเมื่อถือว่าเป็น evolutionist จะต้องมีพระเจ้าสร้างนี่ มันเอาอะไรมาแต่ไหน พุทธศาสนานี่มีหลักที่ประหลาด ถ้า ถ้าไม่ได้เคยฟังแล้วก็จะประหลาด คือว่ามีสิ่งที่เรียกว่าธาตุนะ ธาตุ ธา -ตุ ธาตุนี่ตามธรรมชาติ มีธาตุอยู่ตามธรรมชาติ นับไม่ไหว ธาตุนี้ว่าจะมีกี่ธาตุ นับไม่ไหว จะมากกว่าธาตุตามวิทยาศาสตร์วัตถุเดี๋ยวนี้ร้อยกว่าธาตุแล้วไม่ใช่หรือ ไอ้ธาตุไหน พุทธศาสนาจะมากกว่านั้นอีก นับตั้งแต่อวิชชาธาตุ อวิชชาธาตุ ธาตุแห่งความไม่รู้ วิชชาธาตุ ธาตุแห่งความรู้ และก็ อู้, ทุก ๆ อย่างจัดเป็นธาตุหมด ที่เป็นวัตถุก็เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ แล้ว ๆ ฟังแล้วก็อย่าตกแต่ธาตุตา ธาตุหู ธาตุจมูก ธาตุลิ้น ธาตุกาย ธาตุใจ ไม่เคยได้ยินใช่ไหม ธาตุตา ธาตุหู แล้วธาตุรูป ธาตุเสียง ธาตุลิ้น ธาตุรส ธาตุโผฏฐัพพะ ธาตุธรรมารมณ์ แล้วก็แจกจนจำไม่ไหวแหละ คือว่าทุกอย่างก็เรียกว่าธาตุก็แล้วกัน เวทนาธาตุ รูปธาตุ เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ สังขารธาตุ วิญญาณธาตุ สุภธาตุ ธาตุที่ความงาม อสุภธาตุ ธาตุไม่งาม มันไม่มีอะไรที่จะไม่เรียกว่าธาตุนี่ ดังนั้นนะตามธรรมชาติมีอยู่อย่างนั้น ก็มีธาตุนี้เป็นปัจจัย ธาตุนี้จึงเกิดขึ้น หรือว่าธาตุนี้เป็นปัจจัย ผลอย่างใหม่นี้จึงเกิดขึ้น เกี่ยวเพราะสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ จึงเกิดขึ้น เช่นว่าเพราะอวิชชาธาตุเป็นปัจจัย มันก็เกิดการปรุงแต่งจนเกิดทุกข์แหละ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นธาตุเหมือนกันแหละ แต่ไม่ค่อยจะได้เรียก เราก็ไม่ค่อยจะได้ยิน วิชชาธาตุ อวิชชาธาตุ เวทนาธาตุ สังขารธาตุ แม้แต่ธาตุดี ธาตุชั่ว ธาตุบุญ ธาตุบาปมันก็ ก็ ก็มี ธาตุกุศล ธาตุอกุศล ธาตุ.. อัพยากฤตนี่ มันไม่มีอะไรที่มิใช่ธาตุ นี้ก็ต้องจำไว้ด้วยว่านี้มันเป็นไอ้หลักของพุทธศาสนา แล้วมันก็เนื่องกันหมดแหละ มันก็จะให้โอกาสแก่กันและกันบ้างเป็นปัจจัยแก่กันและกันบ้าง เช่นว่าธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณนี้ มันก็ถึงกันอยู่ ปรุงกันอยู่จนมาเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นต้นไม้ เป็นอะไรอย่างที่เป็น ๆ อยู่นี่ เข้ามาในจิตใจมันก็ปรุงกันอยู่ ถ้ามันปรุงกันในลักษณะเหมาะสมเป็นปัจจัยให้อวิชชาธาตุเกิดอวิชชาธาตุก็เกิดขึ้นในใจนะ ก็ทำไปตามแบบของอวิชชาธาตุจนได้เป็นทุกข์กันนะ แต่ถ้ามันทำเป็นลักษณะที่ไม่ให้โอกาสแก่อวิชชาธาตุ อวิชชาธาตุมันก็ไม่เกิดในจิตใจ ไม่มีอวิชชาธาตุในจิตใจก็ไม่ได้ปรุงแต่งอะไรให้เป็นทุกข์ได้ ปรุงแต่งกันหลายขั้นตอนนะ ตามแบบของปฏิจจสมุปบาท เต็มขนาดยาวก็มี สั้นก็มี กลางก็มี เพราะบางกรณีมันต้องปรุงกันมากเลยยาว บางกรณีไม่ต้องมาก มันก็มีผลเกิดขึ้นเสียแล้วตามที่มันจะเกิด แต่ถ้ามันมาเกิดในสิ่งที่มีชีวิตคือคน มันเป็นเรื่องของมนุษย์เกี่ยวกับสุขหรือทุกข์นะ เราก็เรียกว่ากระแสแห่งปฏิจจสมุปบาททั้งนั้นแหละ กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท กระแสสั้น กระแสยาว มันก็แล้วแต่ว่ามันจะมีเรื่องอะไรจักกี่มากน้อย แต่คำว่า อิทัปปัจจยตานั้นคลุมนี้หมดนะ คลุมปฏิจจสมุปบาทนี้ทั้งหมดนะ บางทีก็เรียกชัดโดยคำ ๒ คำควบกันเลยเช่นว่า อวิชชาปรุงแต่งจึงเกิดความทุกข์ขึ้นในบุคคลคนหนึ่งนี้ก็เรียกว่า อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปาโท ยาวเลย คล้าย ๆ กับจะบอกว่าเป็นอิทัปปัจจยตาชนิดปฏิจจสมุปบาท จะเป็นเรื่องเกิดความทุกข์ขึ้นในบุคคล นี่อันนี้เป็นอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปาโท ก็หมายความว่าเรียกกันเต็มยศเลย เต็มรูปแบบของคำ ๆ นี้ แม้แต่ความทุกข์ก็เป็นธาตุ ความสุขก็เป็นธาตุ ไม่ทุกข์ ไม่สุขก็เป็นธาตุ แม้แต่พระนิพพานก็เป็นธาตุ เรียกว่านิพพานธาตุ ความว่างก็เรียกว่าธาตุ สุญญธาตุ ความไม่ตายก็เรียกว่าธาตุ อตมธาตุ ไอ้ธาตุที่นับ ไม่ไหว นั่นนะคือตามธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติที่มีธาตุอยู่แล้ว ๆ มันก็ปรุงแต่ง ยักย้ายกันจนเป็นเกิดนั่น เกิดนี่ขึ้นมา เป็นสังขาร มีการปรุงแต่ง เราใช้คำว่าสังขารก็คือสิ่งที่มีการปรุงแต่งตามกฎของปฏิจจสมุปบาท เป็นทุกสิ่งนะ เป็นสังขาร ส่วนสิ่งที่ไม่ปรุงแต่งนั้นจะมีอยู่แต่พระนิพพานหรือว่าอะไรที่แทนพระนิพพานเท่านั้น มันไม่มีการปรุงแต่ง แต่ถึงยังไงก็ดีแหละ ทำให้ปรากฏออกมาได้ก็ด้วยวิธีแห่งปฏิจจสมุปบาทเหมือนกันแหละ ด้วยวิธีดับอวิชชา ดับอะไรต่าง ๆ ตลอดจนความทุกข์มันดับ จนอวิชชาดับ พระนิพพานก็จะปรากฏออกมา นี่คือความเป็นวิทยาศาสตร์ของพุทธศาสนา ที่ตั้งรากฐานอยู่บนของจริง มันไม่ต้องให้คำนวณโดยปรัชญา เพราะฉะนั้นไม่ใช่ปรัชญาเพราะไม่ต้องคำนวณโดยสมมติฐาน และอีกอย่างก็ไม่ใช่ศาสนาแห่งความเชื่อ เพราะไม่ต้องการให้เชื่อตามคัมภีร์ ตามพระ เขียนว่าพระเจ้าเป็นอย่างนั้น พระเจ้าเป็นอย่างนี้ มันเป็นศาสนาแห่งความเชื่อ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์นะ หรือแม้จะเป็นปรัชญา ยุติ มติด้วยการใช้หลักปรัชญาอย่างนี้ มันก็เป็นปรัชญาไป ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ คุณไปสอบสวนเรื่องนี้ให้ดีว่าไอ้วิทยาศาสตร์กับปรัชญานั้นนะ มัน ๆ เดินกันคนละทาง วิทยาศาสตร์นะของจริงมาว่ากันเลย ถ้าปรัชญาต้องสมมติอะไรขึ้นมาแล้วคำนวณเพื่อหาข้อเท็จจริงให้มัน แวดล้อมให้มันนั้นมันเป็นปรัชญา พุทธศาสนามิใช่ปรัชญา ก็ไม่ต้องสมมติอะไรขึ้นมาสำหรับพิสูจน์ค้นคว้าหาข้อเท็จจริง แล้วพุทธศาสนาก็ไม่ใช่ลัทธิแห่งความเชื่อ ที่จะต้องเชื่อตามตัวหนังสือที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์อีก แม้ว่าเราจะมีคัมภีร์พระไตรปิฎก แต่ก็ไม่ใช่สำหรับเชื่อ สำหรับศึกษาให้รู้แล้วไปจับเอาตัวจริงมาดู มาทำกันอย่างวิทยาศาสตร์ ซึ่งเราก็จะต้องทำลงบนสิ่งเหล่านี้ บนสิ่งที่เรียกว่าธาตุทั้งหลายนะ ธาตุทั้งหลาย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณ ธาตุตา ธาตุหู ธาตุจมูก ธาตุลิ้น ธาตุกาย ธาตุใจ รูปธาตุ สัททธาตุ คันธธาตุ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนี่ ให้เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นอะไรขึ้นมาก็เพราะมันมีธาตุเช่นนั้นอยู่ตามธรรมชาติ แล้วเดี๋ยวนี้ได้ปรากฏออกมาโดยการกระทำของเรา ถ้าจะเรียกให้ตลก ๆ ว่าเป็นศาสนาแห่งธาตุก็ได้ พุทธศาสนานี่เป็นศาสนาแห่งธาตุก็ได้ ไม่มีอะไรนอกจากธาตุ ทีนี้เมื่อมันไม่มีอะไรนอกจากธาตุแล้ว มันก็ไม่ใช่ตัวตนแหละ ไม่เหมือนกับศาสนาฮินดู ที่เขาให้มีตัวตนเอาหรือเอาธาตุนั้น ธาตุนี้เป็นตัวตนนี่ ไม่ได้สำหรับพุทธศาสนา ให้เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติทั้งนั้น จิตก็เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ อย่าเอามาเป็นตัวตน นิพพานก็สักว่าธาตุตามธรรมชาติ อย่าเอามาเป็นตัวตน ไม่ต้องพูดถึงว่าไอ้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้ จะเอามาเป็นตัวตนนี้ ไม่ได้ เพราะมันเป็นธาตุตามธรรมชาติ ไม่ใช่ตัวตน ทีนี้มันก็มาถึงคำที่อธิบายยาก ๆ ลำบากที่ว่าถ้ามันไม่ใช่ธาตุ ถ้ามันเป็นธาตุตามธรรมชาติไม่ใช่ตัวตนแล้ว ก็ทำไมต้องพูดว่าบาป ว่าบุญ ว่าดี ว่าชั่ว ที่มายึดเป็นตัวตนนี้มันตามความรู้สึกของอวิชชา เรา เมื่อ ๆ ธาตุนี้ตามธรรมชาติมันรู้สึกได้ คิดนึกได้ อะไรได้ มันก็คิดนึกว่าเป็นตัวตนได้ ฉะนั้นตัวตนเป็นความปรุง เป็นผลแห่งการปรุงแต่งของอวิชชา พุทธศาสนาว่ามีแต่ธาตุและก็ไม่ต้องมีตัวตน ความตัวตน ของใคร ตัวตนของมันเองหรือของใคร ก็เลยไม่มี ไม่มีตัวตน จึงเรียกว่าศาสนาแห่งความไม่มีตัวตน ไม่มีอัตตา ไม่มี Self ไม่มี Soul ที่แปลว่าตัวตน ศาสนาแห่งความไม่มีตัวตน เป็นศาสนาแห่งธาตุ เป็นศาสนาแห่งอะไรก็คุณว่าเอาเองได้นี่ ศาสนาแห่งกฎของธรรมชาติ ศาสนาแห่งอิทัปปัจจยตาก็พูดได้ ศาสนาแห่งอะไร แห่งอะไร ไปคิดดูเองบ้างแล้วก็เขียนออกมาสิ นั่นมันถูกหมดแหละ เพราะฉะนั้นไม่ต้องเชื่อใคร นี้ไอ้ตัวกู ของกูนี่ มันเป็นความรู้สึกโง่ ๆ เขลา ๆ ปรุงแต่งออกมาจากอวิชชา เพราะว่าอวิชชาได้เข้าไปยึดครองจิตใจ แล้วก็เกิดความรู้สึกชนิดนี้ขึ้นมาได้ โดยการปรุงแต่งแวดล้อมภายนอกด้วย ถ้าว่าเด็กทารกไม่เคยได้ฟังคำว่าตัวกู ของกู มันก็พูดไม่เป็นหรอก แล้วมันก็จะไม่รู้จักเรียกหรอก มันต้องรู้สึกอย่างอื่น พูดอย่างอื่น เดี๋ยวนี้ไอ้พ่อแม่หรือคนแวดล้อมมันพูดแต่คำว่าตัวกู ของกู ตัวตน ของตน ไอ้เด็กมันก็มีความรู้สึกชนิดนั้นได้เองเหมือนกัน เมื่อมัน เช่นสมมติว่ามันอร่อยขึ้นมา มันรู้สึกว่าอะไรว่าอร่อย มันก็ตัวกู เอาตัวกูเข้าไปใส่ให้หมด เมื่ออร่อยหรือไม่อร่อย เมื่อชอบ ไม่ชอบ เมื่อรัก เมื่อโกรธ แต่มันมีตัวกู เป็นมายา สิ่งเหล่านี้เรียกว่ามายา เพราะว่าเป็นผลจากอวิชชา ตัวตน ตัวกู อะไรก็ตามที่สมมติให้เป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลนี่ ต้องเรียกว่ามายาเพราะเป็นผลแห่งอวิชชา แต่เราก็อยู่ด้วยมายานี้เกือบตลอดเวลา จนกว่าเราจะหมดอวิชชา เราจะเป็นพระอรหันต์ ถ้าถืออย่างศาสนาโน้นนะ เป็นพวก creationist นะ ความสุขหรือความทุกข์มาจากพระเจ้า The creator เขาสร้างให้ หรือบันดาลให้ หรือควบคุมให้เราเป็นสุข เป็นทุกข์ ทุกอย่างมันมาจากพระเจ้า แต่ถ้าว่าเป็นอย่างพุทธศาสนา มันก็มาจากอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปาโท สุข ทุกข์ของเรามาจาก อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปาโท แต่ถ้าเราถือศาสนาโน้นต้องว่าสุข ทุกข์มาจากพระเจ้า ทีนี้ไอ้สุข ทุกข์ ที่มันเกิดอยู่แก่เราแต่ละวัน ๆ เป็นประจำวันนั้น ก็ต้องถือเป็นไอ้ case เป็น evolution เหมือนกัน ไม่ใช่ creation ของพระเจ้า เป็น evolution ของธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ อยู่ตามธรรมชาติ เราจึงมีความรู้สึกเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง ไม่สุขบ้าง ไม่ทุกข์บ้าง พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง แล้วแต่อะไรมันเป็นปัจจัยให้เกิดผลอย่างไร
เอ้า,ทีนี้รู้จักปฏิจจสมุปบาทโดยรวบรัดกันเสียที ถ้าไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาทแล้วมันไม่ใช่พุทธบริษัทคือไม่เป็นพระ ไม่เป็นเณร ไม่เป็นพุทธบริษัทในพุทธศาสนาได้ ถ้าไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาทนะ แต่ไม่มีใครมากล้านะ ว่ากันอย่างนี้ แต่ความจริงมันเป็นอย่างนั้น เพราะว่าไอ้ตัวพุทธศาสนานั้นมันคือตัวเรื่องปฏิจจสมุปบาท ข้อนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เองว่า นี่เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี่เป็นอธิพรหมจรรย์ เป็นตัวศาสนาที่เป็นอธิ เบื้องต้นหรือสำคัญ อธินั้นแปลว่าสำคัญเดิม พรหมจรรย์เดิมหรือว่าเดิมแห่งพรหมจรรย์ อธิมัน ๆ คำเดียวกับปฐมเหตุ เช่นพระเจ้าเป็นปฐมเหตุ The first cause, The first cause, cause หรือเหตุอันทีแรก นั่นนะคืออธิ เออ,ตรงนี้ก็อยากจะบอกว่า พวกมหายานเขา เขา อะไรดี เขามีวิธีของเขาแหละ ที่จะต่อสู้กับฝ่ายโน้นนะ ฝ่ายที่เขามีพระเจ้าทำแบบโน้น พุทธบริษัทฝ่ายมหายาน เขาก็อุปโลกน์เรื่องขึ้นมาเป็นชุดหนึ่งเลยนะ มีพระเจ้า มีอะไรให้มันพอ ๆ กับไอ้ฝ่ายโน้น คือมีอาทิพุทธะ อาทิพุทธะ เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรก แล้วก็มีญาณ มีกำลังอะไรให้เกิดพระ พระพุทธเจ้าขึ้นมาอีก เรียกว่าพระยานิพุทธะ พุทธะที่ออกมาจากกำลังฌานของอาทิพุทธะ แล้วก็พระพุทธเจ้าธยานิพุทธะชั้นนั้น ชั้นที่ ๒ นะ ก็คลอดพระพุทธเจ้าแบบมานุสสีพุทธะออกมา พระเจ้าอย่างมนุษย์ พระพุทธเจ้าสมณโคดมของเรา ก็เป็นเพียงมามานุสสีพุทธะองค์หนึ่งเท่านั้น ดังนั้นเรื่องของมหายานก็มีมาก ๆ ๆ จนให้มีพระเจ้า มีอะไรครบ สู้กับพวกนั้นได้แล้วนะ ไม่ต้องเรียนก็ได้ แต่บอกให้รู้ไว้ว่ามีคนพูดแล้ว ที่จะสร้างพระอิศวร พระอะไรให้ครบหมดสู้กับศาสนาพราหมณ์ได้นะ องค์ที่อยู่ครึ่งท่อนที่อยู่สนามหญ้าของเราที่บ่อนั่นนะนั่น ๆ เรียกว่า อวโลกิเตศวร พระอิศวรผู้มองดูโลก ซึ่งเขาบัญญัติให้ว่ามันเกิดขึ้นมาอย่างนั้น ๆ นะ เป็นอะไร เป็นโพธิสัตว์ สัตว์บารมี เป็น ๆ โพธิสัตว์ของพระพุทธเจ้าอมิตตาภะในระดับธยานิพุทธะ มีอำนาจเท่าพระอิศวร เท่าพระอิศวรในฝ่ายฮินดู เอาชื่อมาเรียกเขาซะด้วย อวโลกิเตศวร อิ-ศะ-วะ-ระ นั่นนะ อะ-วะ-โล-กิ-ตะ-อิ-ศะ-วะ-ระ นั่นนะเป็นอวโลกิเตศวร พระอิศวรผู้มองดูโลก เล่าเรื่องนี้สักหน่อยนะ มัน มันมีมั่งแหละ คุณต้องไปหาอ่านเอาเองก็ได้ เท่านั้นเล่าหมดเป็นวัน ๆ นะเรื่อง ๆ of courses of Mahayanist (นาทีที่ 54.30.1) จนเขา เขามีครบ ให้ครบฮินดูมีอะไรเราก็มี ผู้หญิงก็มีเพราะว่าพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งก็ต้องมีสัตติที่เป็นผู้หญิง พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งก็มีสัตติเป็นผู้หญิง ก็บัญญัติเพิ่ม เพิ่มเรื่อยขึ้นไป เรียกว่าคู่ คู่ คู่สัตติ เช่นปัญญาบารมีนี่เป็นสัตติของพระพุทธเจ้า ทำเป็นรูปผู้หญิง ไอ้รูปเคารพของเขาก็จะมีรูปผู้หญิงคนหนึ่งประกบอยู่ข้างหน้าพระพุทธเจ้านั่นนะ ท่าที่อวัยวะเพศสอดกันนั่นนะ นั่นแหละพระพุทธรูปแบบพุทธศาสนาที่ปรับปรุงใหม่ เพื่อให้ทันกับฝ่ายโน้น ฝ่ายฮินดูนั่นนะ เขาไปเรียกกันเป็น เป็น Tantric Buddhism คือพุทธศาสนาที่ อะไรหละ ที่ ที่ ที่ปรับปรุงกันใหม่นะ ปรับปรุงกันใหม่ให้มันหมดปัญหาต่าง ๆ สรุปความก็เพื่อว่าจะให้สู้ฝ่ายฮินดูได้ คล้าย ๆ กับว่าแย่งประชาชนกับคอมมิวนิสต์เท่านั้น ไอ้ ๆ ฝ่ายนี้ก็จะแย่งประชาชนเอามาให้ถือของเรา ฝ่ายโน้นเขาก็แย่งประชาชนให้ถือของเขา ฉะนั้นถ้าเราไม่มีอะไรดีเท่ากัน เขาก็เอาไปหมดสิ เราไปแย่งประชาชนไม่ได้ ดังนั้นพวกมายันกลุ่มนี้นะ ไม่ใช่ว่าทุกกลุ่ม ว่าตั้งอะไรขึ้นมา นี่ไอ้ความที่ว่ามันเลอะเทอะออกไป และมันเป็นอย่างนี้ ก็เลยเป็นไม่ต้องมีธรรมะกันแล้วทีนี้ พอมีพระเจ้า พระอะไรคอยช่วยกันอย่างนี้ก็อ้อนวอนนะ เช่นลัทธิถืออมิตาภะพระพุทธเจ้าอมิตาภะ พระพุทธเจ้าของพระอวโลกิเตศวร เหมือนจะ ๘๐,๐๐๐ ถ้าออกชื่อพระพุทธเจ้าอมิตาภะ ๘๐,๐๐๐ ครั้งแล้วก็ไม่มีตกนรก หรือว่าถึงกับว่า เขาส่งรถมาจาก จากโลก จากโลกของพระเจ้าอมิตาภะมา มา รออยู่บนหลังคา พอคนนี้มันตายลงก็ขึ้นรถไป ไปที่พุทธเกษตรของอมิตาภะ มีผู้หญิงจีนอาซิ้มที่เพชรบุรีคนหนึ่ง เป็นหัวหน้าโรงเจแกเชื่อ เชื่ออย่างเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แกมานั่งคุยให้ผมฟังว่าพูดกันเหอะเรื่องนี้ตามแบบของแก ไอ้ผู้หญิงทุกคนในโรงเจนั้นต้องถืออย่างแก่หมดแหละ เขาถือ ลัทธิอมิตาภะ ไม่ต้องปฏิบัติอะไรนอกออก ๆ ชื่ออมิตาภะให้ได้ ๘๐,๐๐๐ ครั้ง ทำอะไรก็นึกถึงอมิตาภะ นโม อมิตาภะ นโม อมิตาภะ นโม อมิตาภะ เขาว่าตั้ง ๘๐,๐๐๐ ครั้งนะ นโม ออ นี ทอ ฮุก นโม ออ นี ทอ ฮุก นโม ออ นี ทอ ฮุก ออ นี ทอ ฮุก นี่คล้าย ๆ ว่าขอนมัสการพระพุทธเจ้าอมิตาภะ นี่ไม่ใช่พุทธศาสนานะ รีบ present ออกไปเดี๋ยวเขาจะโห่นะ ที่เราพูดมาข้างต้นว่าพุทธศาสนาเป็น evolutionist เป็นไอ้อย่างนี้ มันใช้ไม่ได้กับไอ้ลัทธิมหายานอย่างนี้ มันก็ไปสวมรอยเป็นไอ้มีพระเจ้าสร้าง มีอะไรมีอาทิพุทธะสร้างโลกสร้างอะไรหมด นั่นไม่ใช่พุทธศาสนาที่เรากำลังจะพูด มหายานฝ่ายนั้นไม่ต้องมีลัทธิอย่างนี้ เชื่ออมิตาภะแล้วก็รอดตัว มันไปเข้ารูปไอ้พวกเชื่อแล้วก็รอดตัวเหมือนกับศาสนาอื่น ๆ ส่วนที่มันจะต้องปฏิบัติทำจิต ทำใจให้ถูกต้องนั่นแหละคือของเดิม พุทธศาสนาเดิมของเรา เป็นกฎของธรรมชาติ พระพุทธเจ้าไปค้นพบเอามาสอนก็คือเรื่องปฏิจจสมุปบาทอีกมั้ง เอามาสอน นี่พุทธศาสนาของเดิมให้รู้เรื่องธรรมชาติ เรื่องกฎของธรรมชาติ และก็ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ แล้วความทุกข์ก็ดับไปตามกฎของธรรมชาติ มีเวลาก็ไปอ่านหนังสือเอง ปฏิจจสมุปบาทเล่มใหญ่โน่น เรื่องปฏิจจสมุปบาทโดยสมบูรณ์
เอ้า,ทีนี้จะพูดเรื่องปฏิจจสมุปบาทซึ่งไม่ต้องเกี่ยวกับพระเจ้า ไม่ต้องเกี่ยวกับความเชื่อ เพราะว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ เอามาดูได้เดี๋ยวนี้ เอาของจริงมาวางลงดูแล้วก็ว่าไปตามนั้น ทีนี้ก็ต้องพูดถึงว่ามันมีนะ ธาตุตา ธาตุหู ธาตุจมูก ธาตุลิ้น ธาตุกาย ธาตุใจ ที่จะเข้ามาสิงอยู่ในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำหน้าที่ของมันเมื่อมีโอกาส เมื่อมีการปรุงแต่งที่เหมาะสม เมื่อมีการปรุงแต่งที่เหมาะสมแล้วตาก็มีไอ้ธาตุตาเข้ามาทำหน้าที่ หูก็มีธาตุหูเข้ามาทำหน้าที่ จมูกก็มีธาตุจมูกเข้ามาทำหน้าที่ เห็นหรือฟัง หรือดม หรือลิ้ม หรือสัมผัส หรือรู้สึกนี่ นี่ให้ดูอย่างนี้ มันก็คงจะไม่เห็น แต่ให้ดูอย่างนี้มันยังเป็นไอ้ ไอ้วิทยาศาสตร์มากกว่าจะให้เชื่อ เป็นอันว่าเราเดี๋ยวนี้ก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ ๖ ธาตุทำหน้าที่ ที่ อวัยวะนั้น อวัยวะมันก็เป็นเรียกว่ารูปธาตุ รูปธาตุนะ ที่เป็นเนื้อหนังสำหรับจะเป็นดวงตา เป็นหู เป็นจมูกก็เป็นรูปธาตุ นี้ธาตุตา ธาตุหู ธาตุจมูก ธาตุลิ้นนี้ก็เป็นธาตุรูปธาตุชนิดที่เป็นธาตุแฝง ที่เป็นธาตุที่ไม่ใช่ธาตุวัตถุแต่ซ้ำยังสงเคราะห์ให้พวกรูปธาตุ ขาเรียกอะไรผมก็ลืมไปแล้ว แล้วมันก็มาเป็นตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่ทำหน้าที่ได้ ทีนี้มันก็รับเอาไอ้ ๆ ธาตุรูป ธาตุเสียง ธาตุกลิ่น ธาตุรส ถ้ามันอยู่ตามธรรมชาติ ดังนั้นตาจึงสามารถจะเห็นรูป หูจึงสามารถจะได้ยินเสียง จมูกจึงสามารถจะดมกลิ่น ไอ้ลิ้นก็สามารถที่จะรู้รส ผิวหนังผิวกายนี้ก็สามารถจะรู้สึกตามผิวหนัง ใจก็สามารถจะรู้สึกสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ ประสบเข้ากับใจนั้นก็เรียกว่าธาตุข้างนอก ธาตุข้างในถึงกันเข้าได้ก็ได้นี่ ไอ้ธาตุข้างในก็เรียกว่าอายตนะภายใน ธาตุข้างนอกก็เรียกว่าอายตนะภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเรียกว่าอายตนะภายในมี ๖ ธาตุข้างนอกคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เรียกว่าอายตนะภายนอกก็มี ๖ ดังนั้นอายตนอก-ใน เป็นคู่ ๆ คู่ ๆ ๖ คู่นี่ มันก็ทำงานกันทีละคู่ไปตามเหตุการณ์ของมัน นี้คู่แรกตากับรูปมาถึงกันเข้า มาเนื่องกันเข้า มาถึงกันเข้าก็เกิดวิญญาณธาตุทางตา ทำหน้าที่เรียกว่าจักษุวิญญาณ คุณต้องไปรู้จักตา ที่ตา ไปรู้จักรูป ที่รูป แล้วเกิดจักษุวิญญาณขึ้นมาอย่างไรก็ไปรู้ที่ตรงนั้น ไม่ใช่รู้ในหนังสือ ไม่ใช่รู้ในกระดาษ ถ้าจะเป็นวิทยาศาสตร์จริง ๆ คุณต้องรู้จักตานี้ให้มันดีนี่ รูปที่มากระทบตาให้มันดี ๆ พอกระทบกันแล้วก็เกิดการเห็นทางตาขึ้นมาก็ต้องรู้จักมันให้ดี ๆ เพราะว่านั่นคือวิญญาณทางตา อายตนะภายใน อายตนะภายนอกถึงกันเข้า ก็เกิดวิญญาณทั้ง ๖ คู่แหละ วิญญาณทางตา วิญญาณทางหู วิญญาณทางจมูก วิญญาณทางลิ้น วิญญาณทางกาย วิญญาณทางใจ ไม่ให้ไปเชื่อว่าเขาเขียนว่าอย่างไร ไม่ได้ให้เชื่อ แต่รู้สึก รู้จักมันเองเมื่อ ๆ มันมีการกระทบ เมื่อตากระทบรูปเกิดจักษุวิญญาณการเห็นทางตา ก็ไปรู้จักให้ดี ๆ ศึกษากันที่ตรงนั้น นั่นแหละคือความเป็นวิทยาศาสตร์ ความไม่ต้องเป็นปรัชญาหรือความไม่ต้องเป็นลัทธิแห่งความเชื่อ ให้มันรู้จักว่ามันจริง ๆ เหมือนกับมีของมาวางอยู่ตรงหน้า ทีนี้ในเรื่องหู เรื่องจมูก เรื่องอะไร ก็เหมือนกันแหละ เหมือนกับเรื่องตา เมื่อตาถึงเข้ากับรูปก็มีจักษุวิญญาณการเห็นทางตาเกิดขึ้น เมื่อหูกระทบกับเสียงก็ได้มีการได้ยินทางหูเรียกว่าโสตวิญญาณ จมูกได้กลิ่นก็เรียกฆานวิญญาณ ลิ้นได้รสก็เรียกว่าชิวหาวิญญาณ เขียนใส่กระดาษแผ่น ๆ เต็ม ๆ แผ่นนี่ แล้วมันก็แจกรูปมันก็ต้องมีมากแหละ ตากับรูป - จักษุวิญญาณ หูกับเสียง – โสตวิญญาณ จมูกกับกลิ่น – ฆานวิญญาณ ลิ้นกับรส - ชิวหาวิญญาณ กายกับโผฏฐัพพะก็กายวิญญาณ มโนกับธรรมารมณ์ก็เรียกว่ามโนวิญญาณ เดี๋ยวนี้มันเป็น ๓ ไปหมดแล้ว อายตนะภายใน อายตนะภายนอกและก็วิญญาณ หรือตามบาลี ติณณัง ธัมมานัง สังฆาฏิผัสโส ธรรมะ ๓ ประการนี้ถึง ถึงเข้าด้วยกัน นี้คือผัสสะ ผัสสะการกระทบ ถ้าการกระทบนั้นอาศัยตาก็เรียกว่าจักษุสัมผัส สัมผัสนั้นอาศัยหูก็เรียกโสตสัมผัส เขียนไปอีกเป็นแถวเลย จักษุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส นี่แหละสัมผัสครบสิ่งทั้ง ๓ นี่เรียกว่าสัมผัส ตรงนี้มันเป็นจุดที่สำคัญ ถ้าว่ามันมี ไม่มีเหตุปัจจัยที่เพียงพอ มันก็เปิดโอกาสให้อวิชชาธาตุ อวิชชาธาตุที่อยู่ในที่ทุกหนทุกแห่งเข้าไปทำงาน สัมผัสนั้นมันก็สัมผัสด้วยอวิชชาธาตุ มันก็พร้อมที่จะโง่ ๆ แล้วก็เกิดผลโง่ไปจนตลอดสาย ดังนั้นเมื่อมีการสัมผัสอะไรนะ ถ้าว่าอบรมมาดี อะไรมาดีมันมีสติสัมปชัญญะคุ้มครอง อวิชชาไม่อาจจะเข้ามาเกิด วิชชาก็มาเกิดอยู่แทน แล้วมันก็เลยจะรู้ถูกต้อง อะไรถูกต้องไปตามลำดับ ถ้าทำให้อวิชชาเข้ามายึดครองเกิด มันก็โง่ผิดไปตามลำดับ มันเกิดแยกทางกันเดินที่ตรงนี้ อันหนึ่งสำหรับจะโง่และไปเป็นทุกข์ อันหนึ่งสำหรับจะฉลาดและไม่เป็นทุกข์ ท่านกล่าวไว้เป็นกลาง ๆ นะ ว่าแยกเป็นโง่ เป็นฉลาด ท่านกล่าวว่ามีเป็นผัสสะเป็นปัจจัยก็เกิดเวทนา เห็นอะไรคือสุข ทุกข์ ทุกข์ก็มาสุขเรียกว่าเวทนา ก็แจกไปตามนั้นอีกจักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา อุตส่าห์เขียนหน่อยอย่าขี้เกียจ อย่าเห็นแก่ เขียนให้หมดชื่อเหล่านี้เขียนให้มันหมด มันลืมยาก มันจะเข้าใจได้ชัด กระดาษแผ่นใหญ่ ๆ แผ่นหนึ่งก็เขียนพอ เขียนหมด ถ้ามันออกมาเป็นเวทนาจากผัสสะ มันก็แล้วแต่ว่าผัสสะมีวิชชาหรือผัสสะมีอวิชชา ถ้าผัสสะมีอวิชชาก็เป็นเวทนา เวทนาที่ออกมาจากผัสสะโง่ มันจะเป็นเวทนาหลอกลวงให้หลงรัก หลงเกลียด หลงอะไร ถ้าเวทนามันออกมาจากผัสสะที่เต็มไปด้วยวิชชา เวทนานั้นก็จะไม่หลอกให้หลงถึงขนาดนั้น แต่จะมาบอกให้รู้ว่าความจริงมันเป็นอย่างไร เวทนานี้มีความจริงเป็นอย่างไร สักว่าอะไร ดังนั้นถ้ามีเวทนามาโง่ ทางผัสสะแล้วมันก็เกิดตัณหา ตัณหาคือความต้องการที่โง่ ที่เรียกว่ากามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ทีนี้ตัณหานี้ก็แจกไปตามอายตนะละก็ รูปตัณหา ตัณหาเพราะรูปตัณหาในรูป สัททตัณหาโส สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา ก็แจกไปตาม ๖ อยู่ ตัณหาความอยาก ความอยากสุดเหวี่ยงอยู่ในจิต ในรู้สึก เมื่ออยากสุดเหวี่ยงมันก็ปรุงความอยากถัดไปอีก ตัณหาปรุงให้เกิดอุปาทาน ยึดมั่น ถือมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่าเป็นคู่ คู่อยาก อุปาทานหมายมั่นมีตัวกูอยากก็เกิดขึ้น เป็นผี มายาไม่มีตัวจริง แต่ว่ามีอำนาจมาก ทำจิตให้รู้สึกอย่างนั้น จนเกิดอะไรต่อไปอีกเป็นกิเลส เป็นอะไรยุ่งใหญ่โตไปละ เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยก็เกิดภพ รู้สึกว่าเราเป็นอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเข้าแล้ว ความเป็นภพก็ทำให้เกิดชาติ คือเป็นกันอย่างเปิดเผย มีตัวตน เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เมื่อมีชาติแล้วก็เป็นที่อาศัยของชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ก็เป็นทุกข์เพราะข้อนั้น คือความเกิดก็เป็นของกู ความแก่ก็เป็นของกู ความตายก็เป็นของกู โสกะก็เป็นของกู ปริเทวะก็เป็นของกู ทุกข์เป็นของกู โทมนัสเป็นของกู อุปายาสเป็นของกู เหมือนที่แจกเมื่อสวดมนต์นะทั้งหมดนะ จะมาเป็นของกู ปัญจุปาทานักขันธ์เป็นของกู ก็ได้มีความทุกข์ ถ้าอย่าเอามาเป็นของกูเหมือนของธรรมชาติไม่ทุกข์ เดี๋ยวนี้เอาความเกิด แก่ เจ็บ ตายมาเป็นของกู มันก็ต้องมีความทุกข์ มันมีเท่านี้นะ เกิดทุกข์ ทีนี้ถ้าฝ่ายที่ไม่เกิดทุกข์ ก็กลับเป็นตรงกันข้ามก็เลยมีเท่านี้ มี ๒ สาย อันหนึ่งเกิดทุกข์ อันหนึ่งไม่เกิดทุกข์ พุทธศาสนามีเท่านี้ สอนเรื่องทุกข์เกิดอย่างนี้ ทุกข์ดับอย่างนี้ ก่อนที่จะไปปฏิบัติกันอย่างไรอย่าให้เกิดอวิชชา แล้วมันก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าตัวแท้ของพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นอธิพรหมจรรย์ เป็นเงื่อนต้น เป็นตัวต้น มีเท่านี้ มี มี มี ๒ แถวเท่านั้น แถวหนึ่งทุกข์เกิดอย่างไร แถวหนึ่งทุกข์ดับอย่างไร มี ๒ แถวเท่านั้น พุทธศาสนามีเท่านั้น คุณก็ไปดูให้ดีว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ปรัชญาและไม่ใช่ศรัทธา ว่าถือทุกอย่างเป็นตามธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ ตามเหตุปัจจัยของธรรมชาติ ดังนั้นจึงจัดเป็น evolutionist ไม่เป็น creationist เดี๋ยวนี้ผมเห็นหนังสือหลายเล่ม พูดเพียงเท่านี้ เลยรู้กันแล้ว ไม่ต้องพูดมากกว่าคำ ไม่ต้องพูดคำที่ ๒ ที่๓ พอพูดว่า creationist มันรู้เลยว่าอะไร ๆ ๆ มันก็รู้หมด พุทธศาสนาเป็น evolutionist มันก็รู้หมายความว่าอย่างไร ดังนั้นเพื่อจะไม่ให้ผิด เพื่อจะไม่ให้เสียเหลี่ยมหรือเพื่อจะไม่ให้เสียเวลามาก เราก็ใช้คำที่เขาพูดกันอยู่แล้วนะแหละให้ถูกต้อง มันก็พอ นี่ผมก็พูดวันนี้ โดยหลักที่มันจะใช้เป็นหลัก ที่มันจะเป็นหลักเป็นเป็น Zipper หรือมันจะเป็นไอ้ลักษณะสังเกตเป็น character ที่ติดของพุทธศาสนา มันคืออย่างนี้ คุณถ้า ๆ จำเป็นจะต้องไปพูดกับชาวต่างประเทศแล้วคุณก็จะต้องเข้าใจอย่างนี้แล้วก็ไปพูดให้ถูกต้อง เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นปรัชญา ไม่เป็นไอ้ความเชื่องมงาย เป็นวิทยาศาสตร์อย่างไรก็อธิบายด้วยคำว่าอิทัปปัจจยตาสำหรับสากลโลกธาตุ และอธิบายด้วยหลักปฏิจจสมุปบาท สำเรื่องสำหรับเรื่องของคนและในคน ความทุกข์เกิดขึ้นมาอย่างไร ความทุกข์ไม่เกิดขึ้นมาอย่างไร นี่หัวข้อใหญ่ ๆ มันมีเท่านี้แล้วมันก็จบเท่านี้ หัวข้อใหญ่ ๆ รายละเอียดมันไปหาเอาเองส่วนไหน อะไรมันจะมาจากอะไร มันจะประกอบกันอย่างไร มันจะทำอย่างไร เมื่อไร ที่ไหน ก็เป็นรายละเอียดปลีกย่อย อย่าให้เกิดเป็นปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนั้นแล้วก็ไม่เกิดทุกข์ เกิดปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนี้ละ ก็ดับทุกข์ ฉะนั้นเราตะโกน " เราเป็นศาสนาวิทยาศาสตร์ " เป็นศาสนาเป็น evolutionist มี Impersonal God มีกฎอิทัปปัจจยตา คือกฎที่ว่าอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น Dependant Origination , Origination คือว่ามันก่อ ก่อกันขึ้นมา Dependant แปลว่าซึ่งต้องอาศัยซึ่งกันและกัน Dependant Origination การก่อตัวขึ้นมาเพราะการอาศัยซึ่งกันและกัน คืออิทัปปัจจยตาและคือปฏิจจสมุปบาท ไปศึกษาให้มันเข้าใจแจ่มแจ้งนี่มันจะเป็นวิทยาศาสตร์ มันไม่ต้องคาดคะเนตามแบบปรัชญา มันไม่ต้องหลับตาเชื่อตามแบบศรัทธา ดังนั้นเขาจึงสัด เขาจึงจัดพุทธศาสนาไว้เป็นประเภทปัญญาธิกะ คือยิ่งด้วยปัญญา ไม่ได้ยิ่งด้วยศรัทธา ไม่ได้ยิ่งด้วยกำลังจิตอย่างหลับหูหลับตา ศาสนานี่ ที่เขาพูดไว้แต่ก่อน ไม่เคยพบในบาลีนะ แต่ว่าเขาพูดกันมาแต่ก่อนในระดับอรรถกถาทั่ว ๆ ไป มีอยู่ ๓ ประเภท ศาสนาประเภทที่ ๑ เขาตั้งรากฐานอยู่บนศรัทธาก็เลยเรียกมันว่า "ศรัทธาธิกะ" นี้ศรัทธาเป็นใหญ่ ประเภทที่ ๒ เรียกว่า "วิริยาธิกะ" คือเอากำลังจิตเป็นใหญ่ อันที่ ๓ เรียกว่า " ปัญญาธิกะ " เอากำลังของปัญญาเป็นใหญ่ พุทธศาสนาโดยเฉพาะนี่เป็นพวกที่ ๓ เอาเรื่องของปัญญาเป็นใหญ่ เป็นเบื้องหน้า เป็นรากฐาน เป็นตัวกลาง เป็นล้วนแต่เป็นไปด้วยปัญญา ดังนั้นมันจึงตรงกันกับคำว่า "พุทธะ" พุทธะแปลว่ารู้ รู้คือปัญญา คำว่าพุทธะแปลว่ารู้ รู้ตื่น รู้เบิกบาน ดังนั้นเมื่อเราเป็นพุทธบริษัทก็ไปดำเนินชีวิตอยู่ด้วยปัญญา เช่นดำเนินชีวิตโลก ชีวิตธรรม ชีวิตอะไรก็ตามเถอะ ถ้าเป็นพุทธบริษัทก็ไปดำเนินชีวิตด้วยปัญญา คือรู้ตามที่เป็นตามเป็นจริงของธรรมชาติ ไม่มีทางที่จะฝืนธรรมชาติและก็ไม่มีทางที่จะผิดกฎของธรรมชาติ นี่มันเป็นรากฐาน เป็นแกน คุณไปลงหลักให้มันมั่นเสียก่อนสิ ในส่วนหลัก หรือส่วนที่เป็นแกน อย่าให้มันผิดได้ อย่าให้มันไขว้เขวได้ อย่าให้มันมืดมัวสลัวได้ แล้วอะไร ๆ ที่เป็นความรู้ทั้งหลายมันก็จะมาเกาะอยู่ที่แกนนี่ เราก็จะรู้ได้ มากออกไปจนถึง ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์
หลวงพ่อพุทธทาส : ทอง .. ท่านทอง อ้าว, ไปไหนอีกแล้ว ... ไปไหนหมดหล่ะ ... ทอง .. ท่านทอง อ้าว.ไปไหน ก็เธอว่ามีอะไรที่จะเก็บไว้เลี้ยงเพื่อนก็เอามาสิ เดี๋ยวเขาจะปิดประชุมนี้แล้ว ในกล่องแดงมีไหม เอามาสิ...... นี่ก็เป็นธาตุ พิจารณาเร็ว ๆง นี่ก็เป็นธาตุ ผู้กินก็เป็นธาตุ ผ่านเข้าไปในท้องในไส้มันก็เป็นธาตุ แล้วมันจะเป็นธาตุออกไปจากร่างกาย จนเขาเอาไปล้อ ไปล้อเป็นเรื่องว่าเป็นธาตุแล้วก็ไม่ต้องมีบุญ มีบาปสิ มันสักว่าธาตุ จะฆ่าใครให้ตายมันก็ไม่มีใครตายเพราะมันสักว่าเป็นธาตุ นี่คือมิจฉาทิฐิ เพราะว่าเป็นธาตุไปเสียหมด มีลัทธิอะไร ลัทธิสกปรกหรือลัทธิหาซ่อง ผู้หญิงก็เป็นธาตุ ผู้ชายก็เป็นธาตุ พระเขาก็เป็นธาตุ สีกาก็เป็นธาตุ เขาก็เลยว่าทำอะไรกันได้ เลยไม่มีความหมายอะไร นั่นแหละเขาเรียกว่ามิจฉาทิฐิ ต้องป้องกันไว้บ้างว่าหลักเกณฑ์อะไรที่เขาพูดไว้ดี ๆ แล้วอย่าไปพลิกเป็นแบบนั้น มันก็ฉิบหายกันหมด ถ้าเขาถามว่าอะไรเป็น a b c d ของพุทธศาสนา ก็บอกว่านี้แหละ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นี้เป็นจุดแรกที่จะต้องเรียน ก ข กา ของพุทธศาสนา แล้วก็เรียนไปอย่างที่ว่านี่แหละ ปฏิจจสมุปบาท ท่านจะไปตอบว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ศีลอะไร..เป็น เป็น ก ข กา นั่นมันไม่ถูกหรอก ตามที่พระพุทธเจ้าท่านว่านั้นก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รสนั่นนะ ก ข กา เอ้า, ถ้ายังมีมากส่งอีกรอบหนึ่งซิ ส่งไปอีกรอบหนึ่ง ให้ธาตุหมุนสัก ๒ รอบ คนหนุ่ม ๆ ไม่เป็นไร .XXXXX (นาทีที่ 1.22.40) คนแก่ ๆ ให้โทษ ยุ่งยากลำบากหลายอย่าง สมัยโน้นเขาก็ศึกษาเรื่องธาตุจนขึ้นใจ จนขึ้นสมองกันเหมือนกันนะ แต่แล้วเขาเลยลดมาเป็นเครื่องล้อกันเล่นนี่มันเสียหาย เอามาพูดเป็นเรื่องล้อกันเล่น แต่ความจริงเขาอุตส่าห์ศึกษาแล้วจนรู้เรื่องธาตุเรื่องอะไรพอสมควร ไอ้เณรมันลุกขึ้น โดน..ไอ้หิ้งนี่นะ เจ็บ อาจารย์ยังเขาบอก เอ้า, มันธาตุต่อธาตุไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่แก่พูดเล่นนะ แก่พูดให้เณรนึกได้แล้วไม่เจ็บ ไม่โกรธอะไร แต่มันกลายเป็นพูดเล่นเสีย ดังนั้นเดี๋ยวนี้เขามาเป็นเรื่องพูดเล่นเสียหมด ไอ้ธรรมะสูง ๆ มันเป็นความจริงที่ควรจะรู้และพูดอย่างนั้นได้ ธาตุต่อธาตุไม่เป็นไร สมัยก่อนเขาไม่ได้รู้อะไรมากมายแตกฉาน หยุมหยิม เขารู้แต่หัวข้อใหญ่ ๆ แบบนี้ ไอ้สักว่าเป็นธาตุนี่ ยะถาปัจจะยัง ปะวัตตะ มานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง ธาตุมัตตะเมเวตัง สักว่าธาตุตามธรรมชาติเท่านั้น เขาขึ้นใจมาก แล้วไม่ค่อยเผลอหละ พอมันจะโกรธ จะรัก จะอะไรขึ้นมามันก็ธาตุ นึกธาตุขึ้นมาได้ ก็หยุดความรัก ความโกรธอะไรได้
เอาหละเป็นอันว่าเมื่อเราเรียนพุทธศาสนาแล้วก็ต้องเรียนเผื่อไว้สำหรับจะไปพูดจากับชาวต่างประเทศ เพราะมันเป็นหน้าที่หรือเป็นสิ่งที่เราคงจะหลบเลี่ยงได้ยาก นี่ขอให้รู้เผื่อ ๆ ไปทำหน้าที่เหล่านี้ได้บ้าง เมื่อไปเมืองนอกก็ดีหรืออยู่ในเมืองไทย มันก็มีชาวต่างประเทศไปมาก็ถามเหมือนกัน พุทธศาสนาที่มิใช่พุทธศาสนาก็มี มันบอกเอา ไปเห็นอะไรมาจะให้เป็นพุทธศาสนาหมดนี่ไม่ได้ พุทธศาสนาต้องอย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้ เราก็บอกเขา
ทบทวนให้ดี จดให้ถูกแล้วก็ วันนี้เอาเท่านี้ " พุทธะ " ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ตื่นนอนแล้วก็รู้ แล้วก็เบิกบาน ถ้าไม่เบิกบานไม่ใช่พุทธบริษัท มนุษย์มันต้องมีสิ่งสูงสุดนะ มนุษย์ในโลกมันต้องมีสิ่งสูงสุด ใครจะถือเอาอะไรเป็นสิ่งสูงสุดก็ตามใจ พุทธบริษัทถือเอากฎของธรรมชาติ สัจจะอันเป็นกฎของธรรมชาติเป็นสิ่งสูงสุด เราจะเรียกว่าพระธรรมก็ได้ แต่ที่แท้เป็นกฎธรรมชาติ มันเป็นของจริงสูงสุด ดังนั้นเราถือเอามาเป็นสิ่งสูงสุด ถ้าจะสมมติโดยภาษาคนเรียกว่าพระเจ้าก็ได้เหมือนกัน ถ้าไม่สมมติก็เรียกว่าพระธรรม ธรรมชาติ กฎของธรรมชาติสูงสุด แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็เคารพธรรมะ ท่านได้ตรัสรู้สิ่งนี้และก็ท่านเคารพสิ่งที่ท่านได้ตรัสรู้นั้นเอง มีคำกล่าวอย่างนี้ตรง ๆ ตถาคตเคารพธรรมที่ได้รู้และได้ตรัสรู้ ที่เอามาสอน อยู่โดยไม่มีที่เคารพนั้นเป็นทุกข์ ดังนั้นเราต้องมีสิ่งสูงสุดเป็นที่เคารพ มีสิ่งเป็นที่เคารพแล้วก็ไม่เป็นทุกข์ เดี๋ยวนี้มักจะอยู่กันอย่างไม่มีที่เคารพมันก็ยุ่ง อ่านหนังสือพิมพ์แล้วเวียนหัว ก็ไม่มีที่เคารพกันนะ ในสภาก็ดี รัฐบาลก็ดี อะไรก็ดี มันไม่มีที่เคารพ จะเหลืออยู่แต่ในหลวงที่เคารพ จะเคารพกันจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ นายกรัฐมนตรีนี่กลายเป็นตัวตลกสำหรับใคร ๆ ก็ล้อเล่นได้ ในทางโลกหรือทางการเมืองนี่ เห็นจะช่วยไม่ได้แล้ว ที่จะเป็นที่หยอกและล้อเล่นของคน เอ้า,นิมนต์ขอปิดประชุม นิมนต์กลับไปทบทวนที่กุฏิบ้าง.