แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านนักศึกษาผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย ในการบรรยายครั้งที่ ๒ นี้ อาตมาก็จะได้กล่าวไปตามหัวข้อที่ท่านทั้งหลายเสนอให้ คือธรรมะเกี่ยวกับการศึกษา เมื่อวานธรรมะเกี่ยวกับปัญหาชีวิต วันนี้ธรรมะเกี่ยวกับการศึกษา มีปัญหาเกี่ยวกับการศึกษาซึ่งไม่ค่อยจะเป็นผลดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ดับทุกข์ได้ การศึกษากลายเป็นที่น่าเบื่อหน่าย จำใจเรียน ด้วยความจำเป็นต้องจำใจเรียน ทุกคนกลัวจะหากินไม่ได้ก็เลยต้องจำใจศึกษา แล้วมันจะสนุกสนานอะไร นี่เป็นเหตุให้เบื่อ ให้เกิดความลังเลสับสนอยู่ในจิตใจตลอดเวลา มันก็ไม่ ได้ผลดี การศึกษาก็ต้องเสียไป ได้ยินว่าชอบขอบสนามมากกว่าที่จะเรียนในอาคารเรียน เป็นช่องเพื่อจะหาความสนุกสนานเพลิดเพลิน อย่างนี้มันขบถหรือทุจริตต่อตัวเองแล้ว ได้ยินเขาว่านักศึกษาชายหญิงที่ออกสนามเพื่อประโยชน์แก่การทุบตีกันเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอันบริสุทธิ์ นี่เขาว่าอย่างนี้จะจริงหรือไม่จริง ก็ไม่ทราบ แต่มันก็ต้องเนื่องมาจากการศึกษามันไม่สนุก มันไม่สนุกอยู่ในห้องเรียน ไม่มีธรรมะพอที่จะให้การงานเป็นสุข มันก็ต้องไปหาความสุขนอกการงาน เอาละเป็นอันสรุปความได้ว่าการศึกษานั้นกำลังเป็นปัญหาในข้อที่ไม่ได้รับผลดี ทีนี้เรามาดูให้ดีถึงสิ่งที่เรียกว่าการศึกษาและขอให้ท่านสนใจพิจารณาดูให้ดีด้วยว่าการ ศึกษานั้น พอจะแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภทนะ คือศึกษาเพื่อจะดับความทุกข์ นี่ประเภทหนึ่ง สองการศึกษาเพื่อสนองกิเลสของตนไม่ได้มุ่งหมายเพื่อจะดับทุกข์ ถ้ามีเจตนาบริสุทธิ์ที่จะดับทุกข์ก็ศึกษาเพื่อจะดับทุกข์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทำลายกิเลส ไม่ใช่สนองกิเลสแต่ควบคุมกิเลสทำลายกิเลส หัดควบคุมกิเลสทำลายกิเลสกันไปเสียตั้งแต่บัดนี้ นี่การศึกษาบริสุทธิ์เพื่อทำลายกิเลสและดับทุกข์ ทีนี้การศึกษาอีกชนิดหนึ่งนั้น มันมาตามธรรมเนียมประเพณี ไม่ได้รู้เรื่องกิเลส ไม่ได้รู้เรื่องความทุกข์ เป็นแต่ว่าคนหนุ่มต้องศึกษาเพื่อว่าจะมีความรู้ จะมีวิทยฐานะ จะประกอบอาชีพที่ได้เงินตอบแทนมาก ๆ เพื่อสนองกิเลส ถ้ามุ่งกันเพียงเท่านี้การศึกษานั้นมันเพื่อสนองกิเลส ส่วนการศึกษาที่มุ่งจะดับทุกข์จริง ๆ นั้นมันจะกำจัดกิเลส มันจะเผชิญกับกิเลส จะต่อสู้กับกิเลสไปตั้งแต่ทีแรกทีเดียว เราจึงมองเห็นการศึกษาที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้เป็น ๒ รูปแบบ คือศึกษาเพื่อทำลายกิเลสหรือว่าศึกษาเพื่อสนองกิเลส ถ้าศึกษาเพื่อสนองกิเลสก็หมายความว่ากิเลสมันบังคับเราไปตามความประสงค์ของกิเลส ที่นั่งในห้องเรียบมันไม่สนุกสำหรับกิเลส มันก็ต้องอยากจะทำอะไรนอกห้องเรียน และมันมีผลเพียงว่าให้ได้วัตถุ เงินทอง ประโยชน์มาใช้ให้มาก มันก็ไม่ดับทุกข์ ยิ่งไปสนองกิเลส กิเลสมันก็ยิ่งมาก ไอ้ความทุกข์มันก็ยิ่งมาก ก็เท่ากับว่าการศึกษานั้นทำให้ความทุกข์มากขึ้นนั่นเอง ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ก็เพราะว่าเราเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าการศึกษาไม่ถูกต้อง จำเป็นจะต้องขอร้องผู้ที่เรียกตัวเองว่า นักศึกษานี้ จงได้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าการศึกษาให้ถูกต้อง ขอให้ทนฟังหน่อยแม้ว่าจะซ้ำซากคือข้อที่ว่าเราใช้คำว่าศึกษาเป็นภาษาไทย ถอดรูปแบบออกมาจากคำสันสกฤตที่ว่าศิกษา ถ้าเป็นภาษาบาลีมันเป็นสิกขา มันเป็นคำเดียวกัน ความหมายเหมือนกัน แม้จะเป็นสิกขาในภาษาบาลีหรือศิกษาในภาษาสันสกฤต มันความหมายเดียวกันและเป็นคำ ๆ เดียวกันที่รูปตัวอักษรต่างกันก็เพียงแต่มันคนละภาษา แล้วภาษานี่มันก็พี่น้องกัน ภาษาบาลีกับภาษาสันสกฤตนี่มันก็เป็นพี่น้องกัน ทีนี้เป็นภาษาในอินเดีย ชาวอินเดียมาสู่ดินแดนแถบนี้ตั้ง ๒๐๐๐ ปีเป็นอย่างน้อย ฉะนั้นเขาเอาวัฒนธรรมต่าง ๆ มาให้ เราจึงได้รับวัฒนธรรมทางภาษานี่อย่างอินเดีย ยกตัวอย่างเช่นว่ามีรูปอักษรก็ดี จัดระบบอักษรก็ดี วิธีผสมอักษรอะไรก็ดี มันเป็นแบบอินเดียหมด นี่เป็นตัวอย่างว่าวัฒนธรรมอินเดียเข้ามา แล้วก็พาสิ่งที่เรียกว่าการศึกษามาด้วย แต่ทีนี้ขอให้ฟังให้ดีว่าไอ้การศึกษาหรือคำว่าศึกษานั้นมันเกิดขึ้นในโลกนี้ได้อย่างไร ที่มันเกิดขึ้นในประเทศอินเดียนั่นแหละมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เราจะเอาภาษาอินเดียเป็นหลักคือภาษาสันสกฤตที่ว่าศิกษาหรือสิกขาในภาษาบาลีก็ตาม มันสำเร็จเป็นการศึกษาอยู่ในประเทศนั้นอย่างไรและถ่ายทอดมาสู่ประเทศนี้อย่างไร แล้วได้รับมาเต็มเปี่ยมตรง ถูก จริงหรือไม่ ทีนี้ก็ตั้งต้นถอยหลังไปเป็นพัน ๆ ปี หรือจะเรียกว่า ๑๐๐๐๐ ปี ก็ได้ การศึกษามันได้ตั้งต้นอย่างไร เมื่อหลายพันปีหรือเกือบหมื่นปีในประเทศอินเดียการศึกษามันได้เกิดขึ้นในหมู่คนเหล่านั้นอย่างไร นี่เป็นใจความสำคัญ คือมันเป็นการศึกษาอีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่ใช่การศึกษาอย่างที่เรากำลังมีอยู่ ท่านอาจจะคิดว่าเขาก็เรียนหนังสือกัน แล้วก็ใช้หนังสือให้เป็นประโยชน์แก่การทำมาหากินหรือการศึกษาทางคัมภีร์ ถ้าคิดอย่างนี้แล้วก็จะเรียกว่าผิด ผิดเลย ผิดอย่างหัวกลับเลย หัวปักหัวกลับเลย หนังสือยังไม่มี ไม่มีการเรียนหนังสือเลย ยังไม่มีตัวหนังสือใช้ ยังไม่มีการเรียนหนังสือว่าอย่างนั้นเถอะ แต่มีการศึกษาแล้ว ฉะนั้นคำว่าศึกษานั้นก็หมายถึงเรียนเพื่อจะดับทุกข์ ปฏิบัติเพื่อจะดับทุกข์ เมื่อมนุษย์มันเริ่มอยู่กันเป็นหมู่ได้ ก่อนนี้อยู่กันอย่างสัตว์ป่ากระจัดกระจายเป็นพวกไม่มีที่อยู่ เหมือนกับเงาะป่า เป็นพวกนอร์แมด มันก็ไม่มีการศึกษาจนกว่าว่ามันจะมีปัญหาตั้งต้นขึ้นมา คือจนมาอยู่รวมกันเป็นพวกตั้งสำนักหลักแหล่ง ทำมาหากินด้วยการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ไม่ต้องเที่ยวเก็บตามในป่าเหมือนแต่ก่อน ไม่ไปเที่ยวยิงลิงยิงค่างมากินจากป่า ไม่ใช่เก็บผลไม้ในป่า เก็บข้าวสาลีจากป่า อย่างนั้นปัญหายังไม่เกิด พอมาอยู่รวมกันเป็นหมู่คณะ เป็นเรียกว่า เป็นหมู่บ้าน ปัญหามันเริ่มเกิดตรงที่ว่ามันมีขโมย เอาเปรียบเบียดเบียนฉ้อโกง เขาทนไม่ไหวเขาก็แก้ปัญหานี้ด้วยการจัดให้มีระบอบการปกครอง ก็ต้องมีสมมติคน คนที่ดูเข้าที สามารถให้เป็นหัวหน้า ให้มีการปกครองโดยหัวหน้ามอบอำนาจให้หมด นี่ก็เป็นตั้งต้นประชาธิปไตยตั้งหมื่นปีมาแล้ว ที่ประชาชนคนทั้งหมดเขามอบให้คนเป็นหัวหน้าขึ้นมาคนหนึ่ง ให้ทำเพื่อประโยชน์ของคนเหล่านั้น นั่นแหละคือประชาธิปไตยที่แท้ จริงคือทำเพื่อประโยชน์ของคนทุกคน ไม่ใช่ให้ทุกคนมาเป็นใหญ่เหมือนเดี๋ยวนี้ ประชาธิปไตยบ้า ๆ บอ ๆ ที่ให้ทุกคนเป็นใหญ่มันเป็นไม่ได้และไม่มีทางจะเป็นไปได้ แต่ถ้าให้ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่แล้วมันก็ทำได้ คือมีคน ใครก็ได้หลายคนก็ได้ช่วยกันจัดชวนกันทำให้ประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็มันก็เป็นประชาธิปไตยที่เป็นไปได้ เขาก็ได้ทำอย่างนั้น แล้วคนนั้นก็จัดการปกครองจนไม่มีการลัก ไม่มีการขโมย ไม่มีการเบียดเบียน ประชาชนนอนตาหลับ ร้องออกมาว่าพอใจ ๆ ๆ คำว่าพอใจที่เป็นภาษาอินเดียนั้นคือคำว่า ราชา ๆ ๆ คำว่าราชาเลยเป็นชื่อของบุคคลที่เป็นผู้ปกครองคนแรกในโลก ในโลกอินเดียนเขาเรียกว่าสมมติราช เอ้า, ทีนี้ปัญหามันหมดไปตอนหนึ่งที่ว่าจะอยู่กันอย่างผาสุก ทำมาหากินกันเป็นปกติสุขมีความสุข ทุกคนมีความสุข ไอ้ปัญหามันก็เลื่อนขึ้นไปตรงที่ว่าในใจยังเป็นทุกข์ แม้ว่าภายนอกไอ้เรื่องวัตถุ สิ่งของ ข้าวปลาอาหาร การคบหาสมาคมไม่มีปัญหา เป็นความสุขกันไปหมด ปัญหามันเลื่อนเข้าไปที่จิตใจยังมีความทุกข์เพราะมันยังมีกิเลสอย่างคนธรรมดา นี่จะตั้งต้นการศึกษาแล้ว คือว่าคนบางคนที่มีสติ ปัญญามองเห็นได้ว่าไอ้เท่านี้ไม่พอหรอกสำหรับมนุษย์ จะไปค้นหาอะไรที่ดีกว่านี้ เขาจึงหลีกไปอยู่ในที่สงบสงัดคือในป่า ค้นหาเรื่องการแก้ปัญหาในทางจิตใจคือให้มนุษย์พ้นความทุกข์อีกเปลาะหนึ่ง เปลาะแรกพ้นไปแล้ว อยู่กันอย่างผาสุกเป็นสังคมที่ผาสุกแต่ในสังคมที่ผาสุกยังมีความทุกข์ทางจิตใจคือกิเลส โลภะ โทสะ โมหะรบกวน มันเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ ธรรมชาติสอนให้ เหมือนที่เราพูดกันแล้วเมื่อคืน กิเลสยังเต็มอยู่ในทุกคน ก็มีคนตั้งต้นค้นคว้าศึกษาว่าจะขจัดปัญหานี้อย่างไร นี่คือการศึกษาตั้งต้น คนเหล่านี้ออก ไปแสวงหาในที่สงบสงัดเพราะว่าอยู่คลุกคลีกันนี้มันไม่สะดวกที่จะค้นคว้าหรือศึกษา เขาจึงออกไปแสวงหาในที่สงบสงัด คนพวกนี้เขาก็เรียกกันว่าพวกฤๅษีในภาษาสันสกฤต ฤๅษี ฤษี ในภาษาไทยว่าอิสิ ภาษาบาลีว่า อิสิ (นาทีที่15.00-15.07) ภาษาไทยเอาไปตามสันสกฤต ฤๅษี ฤษี (นาทีที่15.12) มาเป็นฤๅษีในภาษาไทย ฤๅษี อิสิ (นาทีที่15.16) คำนี้แปลว่าแสวง คำ ๆ นี้แปลว่าแสวง พวกฤๅษีก็คือพวกแสวง พวกผู้แสวง นี่คือการศึกษามันตั้งต้นว่าทำอย่างไรเราจะพ้นจากความทุกข์ภายในใจ โลภะ โทสะ โมหะ นี่การศึกษาตั้งต้นที่ตรงนี้ที่จะดับความทุกข์ภายในใจ หนังสือยังไม่มีสักตัวเดียว การใช้หนังสือยังไม่มีอะไร ๆ ก็พูดกันด้วยปากทั้งนั้น วิชาเลขวิชาอะไรก็ยังไม่ ยังจะไม่มี มันมาทีหลัง ไอ้มาก่อนนี่พวกฤๅษีค้นคว้าก่อนนี่ก็คือดับทุกข์กันอย่างไร จึงเห็นได้ว่าคำว่าศึกษาหรือ สิก สิกขาคือวิธีที่จะดับทุกข์ ที่เป็นรูปพุทธศาสนาในตอนหลังนี่ ศีลสิกขาถูกต้องในส่วนศีลคือทางกายวาจา จิตตะสิกขาถูกต้องในทางฝ่ายจิต ปัญญาสิกขาถูกต้องทางในทิฐิ ความคิด ความเห็น ความเชื่อ ความรู้ ความเข้าใจ อะไรก็ตาม มันได้ เลยได้เป็น ๓ สิกขาหรือ ๓ ศึกษา คือศีลศึกษา สมาธิศึกษา ปัญญาศึกษา ค้นคว้าได้สิกขาเหล่านี้เรื่อย ๆ มา ยังไม่สมบูรณ์ ยังไม่สมบูรณ์ เขาก็ปลุกปล้ำกันมาจนกว่าจะเกิดบุคคล เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้พบการศึกษาที่สมบูรณ์ อย่างที่เดี๋ยวนี้มันมาอยู่ในรูปไตรสิกขาในพระพุทธศาสนาเรา ศีล สมาธิ ปัญญา เรียกว่าสิกขา นานต่อมา นานแม้กระทั่งพุทธกาลก็ยังไม่มีหลักฐานที่ไหนแสดงให้เห็นว่าใช้หนังสือ ใช้ตัวหนังสือ ใช้กระดาษดินสอ มันยังไม่มี การจะคิดว่าพอเด็กโผล่ขึ้นมาจะมีการศึกษาอย่างที่เราศึกษาในโรงเรียนเดี๋ยวนี้ มันไม่ค่อยจะมีหลักฐาน เอาเป็นว่าในครั้งพุทธกาลจะเริ่มมีก็ได้ แต่มันมีทีหลังการศึกษาเพื่อจะดับกิเลส ฉะนั้นเราจะเรียกว่าไอ้การศึกษาชนิดหนังสือเรียนหนังสือเรียนวิชาเรียนศิลปะทั่วไปนี่ การศึกษาอย่างปัจจุบันนี้มันมีทีหลังการศึกษาที่เป็นเรื่องทางจิตใจ ถ้าถือตามคัมภีร์ก็พระพุทธเจ้าเกิดมาหลายพระองค์แล้วกว่าจะมาถึงพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ นี่ก็เป็นอันว่าการศึกษาศีล สมาธิ ปัญญา เขาสมบูรณ์มาก่อนโน้นแล้ว ตามประวัติศาสตร์โบราณคดีเกี่ยวกับการศึกษาหนังสือนี้มีมาไม่เท่าไรนี่แหละ เขาเรียกว่าครั้งพุทธกาลหรือก่อนพุทธกาลนิดหน่อย และใน ในทางฝ่ายตะวันตกออกไปทางพวกทางดินแดนทางไอ้เปอร์เซีย บาบิโลนนั้นยังพบซากตัวหนังสือที่เก่ากว่าในอินเดีย เอาเป็นว่า ๓๐๐๐ ปี ก็พอที่จะมีการศึกษาวิชาหนังสือด้วยตัวหนังสือด้วยเครื่องเขียนด้วยอุปกรณ์การเขียนนี่เพิ่งมีก็ ๓๐๐๐ ปี ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่ามีก่อนนั้นเพราะก่อนนั้นเขาไม่ได้ใช้หนังสือนี่ เขาใช้ปาก การส่งข่าวนี้ก็ต้องให้คนไป ไปบอกเลย คน ๆ นี้จะส่งข่าวไปถึงคนโน้นก็ให้คนไปบอกเลย มันไม่มีหนังสือ มันเริ่มมีขึ้นมาสัก ๓๐๐๐ ปี แต่ว่าการศึกษาเพื่อจะเอาชนะกิเลสในจิตใจนั้นมีมาแล้วเป็นพัน ๆ ปี นี่เรามาดูอีกว่าไอ้การศึกษาเพื่อจะเอาชนะกิเลสภายในเป็นการศึกษาที่แท้ จริงตรงกับคำว่าสิกขาหรือศิกษา ไอ้ส่วนศึกษาอย่างเรียนหนังสือ อย่างวิชาหนังสือนี่ทีหลังมาทีหลัง และดูจะเรียกกันในเมืองไทยว่าการศึกษา ในประเทศอินเดียหรือภาษาโบราณจะไม่เรียกว่าการศึกษาหรือสิกขา ไอ้เรียนหนังสืออย่างเรียนหนังสือธรรมดานี้ เขาเรียกอย่างอื่น ถ้าเรียกว่าศิกษาสิกขาละก็คือวิชาที่จะทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ หนังสือยังไม่มีใช้แต่เขาก็เรียนวิชาที่ให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นยอดสุดของมนุษย์ เป็นพระอริยะเจ้า เป็นพระอริยะบุคคลกันมาแล้ว นั่นคือการศึกษาที่แท้จริง ดั้งเดิม เป็นเจ้าของคำว่าสิกขาและศิกษาในภาษาไทย อ้าว, ครั้นตกมาถึงประเทศไทยเรา วัฒนธรรมนี้ตกมาถึงประเทศไทยเรา ก็เรียนหนังสือกันก่อน เมื่อชาวอินเดียมาสู่ประเทศไทยนี่ ๒๐๐๐ ปี ไม่เกิน ๒๐๐๐ ปี มันก็เอาหนังสือมาให้ วิชาหนังสือมาให้ นำตัว นำแบบตัวอักษรมาให้ เราก็ได้รับแล้วก็ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกันเรื่อย ๆ มา จนเราเกิดไอ้ตัวอักษรอย่างที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ อักษร ก ข นี้ นั้นก็เห็นได้ชัดว่าถอดรูปแบบมาจากอักษรนาครีของชาวอินเดีย จะเทียบกันดูได้ทุกตัวก็ว่าได้ มันเห็นรูปแบบอยู่ในนั้นชัด ตัว ก ตัว ข แต่ไม่ใช่เหมือนกันทีเดียว ถ้าคุณเคยเรียนอักษรนาครีก็เอาไปเทียบดูเองจะเห็น เราอาจจะเอาตัวอักษรไทยของเรานี่ซ้อนทับลงบนอักษรนาครีเข้ารูปเหมาะเจาะกันได้เลย แต่ต้องเว้นแง่เว้นมุมเว้นเหลี่ยมให้บางอย่างของมัน ทีเดี๋ยวนี้พอเราศึกษาแล้วก็เรียนหนังสือ กอ ขอ กอ กา เรียนเลขเรียนวิชาศิลปะอะไรต่าง ๆ ไม่มีการเรียนเรื่องศีลธรรมหรือเรื่องทางจิตใจเลย นั่นแหละปัญหามันเกิดเห็นไหม เดี๋ยวนี้เราเรียน เราศึกษา เรามีการศึกษาเรียนหนังสือกันเป็นการใหญ่ ทั้งหนังสืออักษรศาสตร์ วรรณคดี จนกระทั่งเอามารวมกันหลาย ๆ ภาษาเอามาเรียนกัน แต่ไม่เรียนศึกษาหรือตัวศึกษาที่แท้จริงคือจัดการกับกิเลสในภายหน้า ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์มากขึ้นหรือถูกต้องยิ่งขึ้น มันกลับตาลปัตรกันเสียอย่างนี้แล้วจะไปโทษใคร นี่ให้เรารู้เสียทีก่อนว่าไอ้การศึกษาอย่างเรียนหนังสือนี้มันช่วยไม่ได้ มันช่วยดับทุกข์ไม่ได้และจะเพิ่มความทุกข์เพราะว่ายั่วให้เรียนมากเพื่อให้ได้เงินเดือนแพง แต่ถ้าเรียนการศึกษาชนิดของเดิมแท้นั้น มัน มันไม่มัวไปเรียนหนังสืออยู่กัน ไปเรียนเรื่องดับทุกข์โดยตรง จัดการกับกิเลสทางกายทางวาจาทางใจโดยตรงแล้วก็ดับทุกข์ได้ แต่เราก็ไม่ได้เรียน ในโรงเรียนไม่ได้เรียน ในมหาวิทยาลัยไม่ได้เรียน มันทิ้งไว้ให้เป็นหน้าที่ว่าถ้าใครอยากรู้ก็ไปหาเอาเอง ทำให้พวกคุณต้องมาที่นี่ เพราะว่าในโรงเรียนในมหาวิทยาลัยมันไม่มีให้ ใครอยากรู้ไปหาเอาเอง นี่แหละความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงที่ว่าไอ้การศึกษาที่แท้จริงมันไม่อยู่ในสำนักศึกษา มันถูกตัดออกไปเสีย เอาการศึกษาเรียนให้รู้ให้ฉลาดให้เก่งให้รู้จักสนองกิเลสให้มาก ๆ นั้นเอาไปใส่เข้าไปในโรงเรียนในมหาวิทยาลัย พวกฝรั่งเขาตัดไอ้ความรู้เรื่องศาสนาออกไปเสียจากการศึกษาอย่างธรรมดานี่ เขาให้เหตุผลว่ามันไม่เกี่ยวข้องกันและมันทำให้การศึกษาธรรมดานี้ช้าไป อืดอาดช้าไป ตัดไอ้การศึกษาที่เป็นส่วนศาสนาออกไป ให้เป็นหน้าที่ว่าใครอยากรู้ก็ไปหาเอาเอง ได้ข่าวว่าในบางรัฐของประเทศอเมริกามีกฎหมาย เขามีกฎหมายเฉพาะรัฐกันทั้งนั้น รัฐไหนจะออกกฎหมายอย่างไรก็ได้ บางรัฐออกกฎหมายมาว่าเอาการศาสนาวิชาศาสนามาสอนในโรงเรียนไม่ได้ ครูคนไหนขืนเอามาสอนครูคนนั้นผิดกฎหมายจะต้องถูกลงโทษ ดูที่เขาทำแก่ศาสนาหรือทำแก่พระเจ้า พระเจ้าไม่มีที่อยู่ในโรงเรียน ผลก็เปลี่ยนหมด นักเรียนก็ไม่ต้องเรียนเรื่องศาสนา ไม่ต้องเรียนเรื่องศีลธรรม ไม่ต้องเรียนเรื่องสิกขาโดยแท้จริงดั้งเดิม เรียนแต่หนังสือ แม้ว่าจะใส่วิชาศีลธรรมเข้าไปบ้างก็ไม่มี ก็ไม่ใส่ คำว่าศีลธรรมนี้มันไม่ใช่เรื่องการเรียนโดยหนังสือ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมนั้น มัน มันเรียนด้วยการปฏิบัติ ไอ้เรามันเรียนด้วยหนังสืออย่างเดียวเป็นพวก Academic study เรียนในหนังสืออย่างเดียว ไอ้เรื่องปฏิบัติลงไปจริง ๆ นั้นไม่ได้เรียน มันไม่มี ไอ้ ไอ้หลักสูตรหรือความรู้ข้อใดบัญญัติให้ปฏิบัติธรรมะในโรงเรียน การศึกษาตามแบบขนานเดิมขนานแท้ของคำว่าศึกษาหรือสิกขาในประเทศอินเดียนั้นไม่ ไม่ ไม่มี มาเป็น ศิก ศึกษาอย่างใหม่ในประเทศไทยเราคือเรียนหนังสือ เรียนหนังสือ คือเรียนอะไรที่มันเกี่ยวกับหนังสือหรืออะไร ๆ ที่ทำให้มนุษย์ฉลาด แล้วก็เรียนกันอย่างนี้ แม้ว่าจะเรียนกฎหมายหรือว่าจะเรียนวิทยาศาสตร์ เรียนอะไรก็ตามมันอยู่ในพวกที่ทำให้ฉลาดสามารถสนองกิเลสให้ยิ่งขึ้นไป ไม่มีวิชาใดที่จัดกันในรูปแบบของการทำลายล้างกิเลส ข่มขี่กิเลส ฉะนั้นเราจึงไม่มีความรู้เรื่องจะเอาชนะกิเลส เราก็อยู่ใต้อำนาจของกิเลส จนกระทั่งแม้แต่ว่าการเรียนการศึกษาอย่างโลก ๆ ก็ไม่สนุกแก่เรา นี่นักเรียนนักศึกษาอย่างวิชาโลก ๆ นี่ก็ยังไม่สนุกเพราะว่ามันเหน็ดเหนื่อยมันลำบาก กิเลสมันไม่ชอบ ชอบเล่นชอบพักผ่อนชอบอะไรสรวลเสเฮฮา นี่เพราะว่าการศึกษามันเปลี่ยนรูป มาอยู่ในรูปแบบเรียนหนังสือ เรียนความรู้ทุกแขนงเพื่อสนองความต้องการของกิเลส ส่วนการศึกษาเพื่อจะข่มขี่ชนะกิเลสหมดไปแล้ว เลิกไปแล้ว หมดไม่มีเหลือแล้ว ถ้าคุณต้องการการศึกษาแบบนั้นต้องมาหาเอาเองอย่างที่มาที่นี่ ต้องมาหาการศึกษาส่วนนี้ส่วนที่หาไม่ได้ในสถานการ ศึกษาอย่างยุคปัจจุบันซึ่งเรียนหนังสือและเรียนวิชาชีพ เรียนกันแต่หนังสือ รู้หนังสือดีแล้ว ก็เรียนวิชาชีพ ก็ออกไปทำมาหากิน อาตมาเคยบอกว่าการศึกษาเพียงเท่านี้เป็นการศึกษาหมาหางด้วน แล้วก็พูดในวิทยุด้วย เอะอะกันไปพักหนึ่งเลย ว่าการศึกษาในประเทศเราเป็นการศึกษาระบบหมาหางด้วน เรียนแต่หนังสือกับวิชาชีพ จบไปแล้วก็ยังเต็มไปด้วยความทุกข์คือกิเลสครอบงำย่ำยี ไปจัดการศึกษาเสียใหม่อย่าให้หางมันด้วน คือให้ใส่ธรรมะหรือศีลธรรมต่อท้ายเข้าไปอีก อีก อีกอย่างหนึ่งเป็นหนังสือก็เรียน อาชีพก็เรียน ศีลธรรมก็เรียน การศึกษาก็สมบูรณ์หางไม่ด้วน มนุษย์ก็จะมีความเป็นมนุษย์เต็มมากขึ้น เอาชนะกิเลสหรือความทุกข์ได้ ถ้าขืนเรียนกันแต่หนังสือกับอาชีพแล้วก็ไม่ ไม่เอาชนะกิเลสได้ ความเป็นมนุษย์จะไม่สมบูรณ์ แล้วมีแต่จะเป็นทาสของกิเลส เราเรียนเพื่ออยากได้เงินมาสนองกิเลสมาสนองตัณหานี่ ดูเหมือนลูกเด็ก ๆ จะรู้จักกันแต่เพียงเท่านี้ มันก็เป็นเรียนเพื่อกิเลส เรียนเพื่อสนองกิเลส มนุษย์ก็ไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ชนะกิเลส โลกมันก็มีแต่มนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ ก็ทะเลาะวิวาทกัน ต้องเบียดเบียนกันไม่มีที่สิ้นสุดอย่างที่เป็นปัญหาในปัจจุบันนี้ ทั่วทั้งโลกนี้ไม่มีใครรักกัน มีแต่จะเอาเปรียบกัน เอาให้มาก เป็นของเราเป็นของพวกของเรา นั่นแหละคือดี นั่นแหละคือถูก นั่นแหละคือยุติธรรม ที่ดีที่ถูกที่ยุติธรรมคือเราได้ตามที่เราต้องการ เมื่อทุกคนเกิดถือกันอย่างนี้มันก็เลยได้รบกันได้ฆ่ากัน เพราะว่าทุกคนมันก็ต้องการ นี่พูดให้รู้เบื้องหลังภูมิหลังของสิ่งที่เรียกว่าการศึกษากันเสียก่อนว่ามันเป็นอย่างนี้ มันเดินมาอย่างนี้ มันมีวิวัฒนาการมาอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เรากำลังมีปัญหาเกี่ยวกับการศึกษาอย่างไรก็ว่ากันไป ถ้าเราเรียนแต่หนังสือกับอาชีพปัญหามันก็ออกไปไกล ไกลกว่าเมื่อเรียน เรียนจบแล้วเราไม่ค่อยเป็นมนุษย์ที่สามารถจะกำจัดกิเลสข้าศึกภายในคือกิเลส ศัตรูในภายในเราไม่สามารถเอาชนะมัน มันก็ทำเราเดือดร้อนเป็นทุกข์หรือวินาศไปเลย เราจึงได้เห็นคนที่เรียนจบมหาวิทยาลัยหลาย ๆ วิชายาวเป็นหาง มันก็ยัง ยังไม่เป็นมนุษย์ที่น่า น่านับถือ มันก็ยังเป็นมนุษย์ที่ไม่มีความสุข เป็นมนุษย์ที่ฆ่าตัวตายบ้างอะไรบ้าง มันไม่พอ นี่แม้จะเรียนวิชาฝ่ายนี้ การศึกษานี้จบ มันก็ยังไม่ทำให้มนุษย์มีความเป็นมนุษย์ที่เยือกเย็นได้ เราควรจะมีการศึกษาที่สมบูรณ์ตามความหมายเดิมที่มนุษย์มีการศึกษาขึ้นมาในครั้งแรกในยุคแรกแห่งการศึกษา ศึกษาเรื่องจะเข่นฆ่ากิเลสในภายใน ถ้าเราหาไม่ได้ในโรงเรียนในมหาวิทยาลัย เราก็มาหากันตามส่วนตัวภายนอก ถ้าหาได้พอ เราก็จะเอาไปผนวกกันเข้ากับการศึกษาในสำนักศึกษามันสมบูรณ์ เราก็เป็นนักศึกษาที่เป็นนักศึกษาแท้จริง ไม่ใช่การศึกษาหางด้วน เราจะรู้จักควบคุมกิเลส ทำลายกิเลสให้กิเลสรบกวนเราน้อยลง ๆ ๆ จนไม่มีกิเลสรบกวน จนเป็นที่พอใจ นี่มันเข้าโรงเรียนของพระพุทธเจ้า เข้ามหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้า โรงเรียนนั้นอยู่ที่ไหนใครตอบได้ อยู่ในหัวใจของคน ไม่ต้องสร้างอาคาร ไม่ต้องสร้างอะไรให้รุงรัง มหาวิทยาลัยนี้อยู่ในหัวใจของคน คือมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้า เราลองเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยนี้กันบ้างสิ มีผลอะไรเกิดขึ้นก็จะได้รู้เอง มันก็จะเป็นมนุษย์ที่เป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่เยือกเย็น เป็นมนุษย์ที่ไม่มีปัญหาจากกิเลส นี่เป็นอันว่าเราได้รู้ภูมิหลังของสิ่งที่เรียกว่าการศึกษาหมดแล้ว นี้ก็เห็นว่ามันเป็นอย่างไร แล้วมันกำลังมีปัญหาอย่างไร ทีนี้คงจะมองเห็นได้เองแล้วว่าทำไมการศึกษาที่เรามีอยู่นี้มันจึงไม่เป็นที่พอใจ ไม่ทำความเยือกเย็นให้แก่เรา จนเราเบื่อ จนเรารำคาญหรือเราเป็นทุกข์ไปตลอดเวลา กว่าจะเรียนจบได้ปริญญามาก็ทนทุกข์ หรือว่าเรียนชนิดที่ว่ามันไม่ ไม่มีความเยือกเย็นเป็นสุขได้ นี่จะเอาเป็นปัญหาของการศึกษาไหม ถ้าว่าพูดถึงคำว่าศึกษาพอแล้ว ก็พูดถึงคำว่าธรรมะกันอีกที เพราะธรรมะที่เกี่ยวกับการศึกษา พอพูดถึงว่าธรรมะแล้วก็นึกถึง ๔ ความหมายนั่นทันที ให้คล่องปากคล่องใจคล่องอะไรหมด ธรรมะ ๔ ความหมาย ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่อันถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ถ้าหากว่ารู้จักสังเกตก็คงจะตอบได้เอง ดูทีแรกก็จะพบว่าไอ้การศึกษานี้เป็นหน้าที่ของมนุษย์ตามกฎของธรรมชาติ แม้จะเป็นการศึกษาแรกเริ่มที่สุดทั้งยุคโน้นที่ ที่ทำเพื่อเอาชนะกิเลสมันก็เป็นหน้าที่ เพราะว่ากิเลสทำให้เกิดความทุกข์เราก็มีหน้าที่ที่จะดับทุกข์ เราก็จัดการศึกษาชนิดนั้นขึ้นมาสำหรับดับทุกข์ ฉะนั้นการศึกษาจึงเป็นหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ทีนี้กฎของธรรมชาตินั้นมันก็พูดกันแล้วว่าเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ มันจะเกิดทุกข์ ให้เกิดทุกข์ตามกฎของธรรมชาติ จะดับทุกข์ก็ตามกฎของธรรมชาติ เราต้องรู้และทำให้มันถูกกับที่เราต้องการ เนื้อตัวของเรามันเป็นธรรมชาติ จิตของเราเป็นธรรมชาติ มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติที่ปราศจากความรู้ ไม่ใช่ธรรมชาติฝ่ายที่มีความรู้ ฉะนั้นพอเราเกิดมาจากท้องมารดา ไอ้ธรรมชาติมันก็เป็นไปตามธรรมชาติจนมารู้จักมีกิเลสเกิดกิเลส เราก็เป็นทุกข์ไปตามกฎของธรรมชาติ ธรรมชาติสอนให้เกิดกิเลส สอนให้ยึดมั่น สอนให้ถือมั่นแล้วก็เป็นทุกข์ นั่นแหละธรรมชาติที่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติล้วน ๆ ไม่มีความรู้เข้าไปรวมอยู่ด้วย มนุษย์เราจึงมีกิเลสมากขึ้น ๆ แล้วก็เป็นทุกข์มากขึ้น ๆ จึงมีหน้าที่ตามกฎธรรมชาติอีกเหมือนกันที่จะต้องศึกษาเพื่อขจัดปัญหานี้เสีย เราจึงศึกษาเพื่อจะดับกิเลสนี้เสียแต่เดี๋ยวนี้การศึกษามันเปลี่ยนมาอยู่ใน เป็น เป็นรูปการเรียนหนังสือ เรียนวิชาชีพ เรียนอะไรต่าง ๆ ที่จะไปส่งเสริมไอ้กิเลสไปเสียอีก ทำให้อยากมีเงินมาก อยากมีอะไรมาก แล้วก็ต้องเรียนมาก เรียนมาเพื่อหาไอ้สิ่งเหล่านั้นที่ว่า ที่มันต้องการด้วยอำนาจของกิเลส การศึกษามันเลยไปอยู่ฝ่ายกิเลส ไปเป็นสมัครพรรคพวกฝ่ายกิเลสเสีย เราก็ลำบาก ถ้ามันยังอยู่ฝ่ายไอ้ต่อต้านกิเลสตามแบบเดิมดึกดำบรรพ์นั้นมันก็ ก็เรียกว่าการศึกษามันอยู่ฝ่าย ฝ่าย ฝ่ายเราที่จะชนะกิเลส นี่เรามาปรับปรุงกันใหม่ดีไหม เดี๋ยวนี้เราลองดูเรื่องนี้แล้วปรับปรุงเสียใหม่ให้ดี ๆ ให้การศึกษาของเราแม้คนเดียวก็ได้ ให้เป็นไปในลักษณะที่จะต่อต้านกิเลส อย่าทำอะไรให้เป็นไปเพื่อกิเลส ให้เป็นไปเพื่อเอาชนะกิเลส ก็รู้ธรรมะว่ามันมีความเฉียบขาดอย่างไร แล้วก็ประพฤติให้มันเข้ารูปเข้ารอยกันได้ มีหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติเพื่อเอาชนะกิเลส สอนกันมาตั้งแต่เล็ก ๆ แล้ว เด็กเหล่านั้นก็จะเป็นเด็กที่ดี เป็นเด็กที่ไม่สนองความต้องการของกิเลส เขาก็ไม่ดื้อก็เรียนดี เขาก็อยู่ในระเบียบวินัยดีเพราะเขาไม่สนองกิเลส จนกระทั่งมาเรียนเป็นนักเรียน ศึกษาเป็นนักศึกษาผู้ใหญ่แล้ว มันก็ยังมีอะไรที่ถูกต้อง ทุกอย่างทำไปเพื่อชนะกิเลส ยิ่งชนะกิเลสยิ่งเป็นสุข ยิ่งได้เรียนเพื่อชนะกิเลสยิ่งเป็นสุข แล้วเป็นสุขได้จริงด้วย ไอ้ที่เราเรียนเพื่อพ่ายแพ้แก่กิเลสนี้มันเป็นสุขยาก มันต้อง ต้องไม่รู้เอามาก ๆ ต้องหลับหูหลับตามาก ๆ จึงจะเป็นสุขด้วยการสนองกิเลส แต่เมื่อดูแล้วเดี๋ยวนี้มันก็มีปัญหาอย่างนี้ในประชาชนคนไทยเรา เด็ก ๆ เกิดออกมาเติบโตขึ้นมา มันก็มีระเบียบขนบธรรมเนียมประเพณีว่าได้ ต้องศึกษาและศึกษาเป็นลำดับ ๆ ให้ได้วิชาชีพ ให้ได้ปริญญา แล้วก็มุ่งหมายที่ไปหาเงินมาก ๆ มาเป็นสุขสนุกสนานกัน ไม่รู้เรื่องกิเลสเลย มันก็ ก็มีกิเลสอยู่นั่นแหละ มันก็ยังมีกิเลส และกิเลสก็จะ จะ จะได้มากขึ้นด้วย จะได้แข็งแรงขึ้นด้วย พอเรามีเงินมาจากการศึกษา ทำอาชีพแล้วมีเงินมา เราใช้จ่ายไปเพื่อสนองกิเลสทั้งนั้น ต้องการอาหารอย่างนั้น ต้องการเครื่องนุ่งห่มอย่างนี้ ต้องการที่อยู่อาศัยอย่างนั้น ทุกอย่างนี่เป็นไปเพื่อสนองกิเลสทั้งนั้น นี่อนาคตของเรามันจะมีอย่างนี้และเดี๋ยวนี้เราก็กำลังเตรียมตัวเพื่อจะเป็นอย่างนั้นเพราะว่าการศึกษาของเราไม่สมบูรณ์ มารู้จักการศึกษาเสียใหม่ให้ดี ๆ เตรียมพร้อมเพื่อจะชนะกิเลสในอนาคต แม้เดี๋ยวนี้เราก็ยังจะพยายามต่อสู้กับกิเลสที่มันจะทำให้เรา ขี้เกียจเรียน เรียนไม่จริง ไปเหลวไหลนอก นอกโรงเรียน หรือขบถต่อการศึกษาแม้ในโรงเรียน จะไปหาความสนุกสนานโดยกิจกรรมนอกโรงเรียน นี่มันสนองกิเลสเสียแล้ว ดูให้ดีเถิดว่ามันจะต้องมีธรรมะเข้ามาให้เป็นหลักที่ถูกต้องลงไปว่าต้องอย่างนี้ ๆ ๆ แล้วก็จะทำอย่างนั้นจริง ๆ ด้วย แล้วยอมรับหลักธรรมะที่ว่าไอ้หน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั้นคือธรรมะ เมื่อมีธรรมะควรจะพอใจ การที่เราเรียนเดี๋ยวนี้ เรียนอยู่เดี๋ยวนี้ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยมันก็คือการทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ก็จะดับทุกข์ ถ้าเราซื่อตรงต่อหน้าที่ก็ทำเพื่อจะดับทุกข์ ที่เราเรียนนี้ก็เป็นการทำหน้าที่ การเรียนคือการทำหน้าที่ในระยะนี้ในขั้นตอนแห่งชีวิตนี้ การเรียนเป็นการทำหน้าที่ การทำหน้าที่คือการปฏิบัติธรรมะ ดังนั้นเราควรจะพอใจ ควรจะเคารพการเรียนเพราะว่าเป็นการปฏิบัติธรรมะแล้วก็เป็นสุขอยู่ในการเรียนทุกกระเบียดนิ้ว เมื่อทำการเรียนอยู่ในโต๊ะเรียนในห้องเรียนนั้นน่ะทุกกระเบียดนิ้วต้องเป็นสุข เราพอใจว่าตนได้ปฏิบัติธรรมะ ถ้าไม่รู้สึกเป็นสุข คนนั้นไม่มีธรรมะ คนนั้นไม่รู้จักธรรมะไม่เคารพธรรมะ การเล่าเรียนในห้องเรียนจึงไม่เป็นสุข ถ้าคนนั้นมันรู้ลึกลงไปถึงว่าธรรมะคือการทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติแล้ว แม้เราเรียนนั่งเรียนอยู่ที่โต๊ะเรียนในห้องเรียน มันก็เป็นการทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติคือธรรมะ แล้วประพฤติธรรมะอยู่ที่ตรงนั้นไม่ต้องไปวัดก็ได้ ประพฤติธรรมะอยู่ตรงที่ทำการเรียนดีที่สุด สุดชีวิตจิตใจของเรา เราพอใจว่าเราจะทำดีที่สุด แล้วก็เป็นสุขอยู่ที่นั่น สุขนี้ให้เปล่าไม่ต้องเสียสตางค์ไม่เหมือนไปอาบอบนวด เป็นสุขในห้องเรียน กำลังเรียน พอใจตัวเอง ไม่ต้องจ่ายสตางค์ แล้วก็เป็นสุข จิตใจต้องสูงพอที่จะรู้สึกเป็นสุขและเป็นสุข ก็ไม่ต้องไปออกหากิจกรรมที่ไหนให้เพลิดเพลินสนุกสนาน เบื่อเพราะเบื่อหน่ายการเรียนในห้องเรียน นี่ธรรมะจะช่วยได้อย่างนี้ ทีนี้ที่ไหนก็เหมือนกัน กลับไปที่บ้านก็เหมือนกัน ถ้าจะทำหน้าที่ของมนุษย์ก็พอใจ ยินดี เคารพตัวเอง นับถือตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเอง ก็มีความสุข ไอ้สิ่งที่เรียกว่าความสุขนี่ มันต้องมาจากความพอใจเสมอ ถ้าไม่มี ถ้าไม่พอใจแล้วไม่มีรสแห่งความสุข เราต้องทำให้ตัวเราเป็นที่พอใจของเราคือเรากำลังปฏิบัติธรรมะ ทำหน้าที่ของมนุษย์ตามกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นเราจะช่วยถูเรือน จะช่วยล้างจาน จะช่วยกวาดบ้านอะไรก็ตามมันควรจะพอใจ ถ้าจิตใจมันสูงมันจะพอใจเพราะมันเป็นการทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติด้วยเหมือนกัน คือการปฏิบัติธรรมะด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นมาที่บ้านก็เป็นสุขอย่างยิ่งเมื่อได้กวาดบ้าน ล้างจาน ถูเรือนหรือทุกอย่างที่มันจะทำได้ที่บ้าน ไม่ต้องไปหาไอ้ความสุขหลอกลวงที่ไหนซึ่งต้องใช้เงินมาก ความสุขชนิดนี้ไม่ต้องใช้เงินเลยแต่กลับเป็นความสุขที่ไม่หลอกลวง นี่เพราะว่าศึกษามาดีเห็นไหม เพราะเรามีการศึกษาถูกต้องตามหลักของการศึกษาที่แท้จริงของมนุษย์คือการเอาชนะกิเลสให้ได้ ฉะนั้นเมื่อเราได้ทำหน้าที่ของมนุษย์ตามกฎของธรรมชาติแล้วก็ควรจะพอใจ แต่นี่เรามันโง่ เราไม่มองเห็นอันนี้ เราไม่มองเห็นว่าวิเศษวิโสที่ไหน ไม่เห็นว่าเป็นการทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติที่ไหน ก็ไม่พอใจ อย่างถ้าคุณอาบน้ำ ถ้าคุณรู้ว่า อ้าว, นี่มันเป็นการทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติคุณก็จะพอใจในการอาบน้ำ เป็นสุขในการอาบน้ำในการถูขี้ไคลให้หมดไม่ให้เหลือสักอณูเดียว มันก็จะเป็นสุขได้เหมือนกัน เพราะแม้แต่การอาบน้ำนี้มันเป็นการทำหน้าที่ของมนุษย์ตามกฎของธรรมชาติซึ่งจะต้องอาบน้ำจะต้องบริหารกาย อย่าไปทำชนิดที่ต้องใช้เงินต้องลำบากต้องเสี่ยงอันตรายแล้วก็หลอก โง่ โง่หลอกตัวเองว่ามีความสุข ความสุขที่แท้จริงหาได้เมื่อมีความพอใจแล้วก็ไม่ต้องใช้เงิน ทำอะไรที่รู้สึกว่าทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติแล้วก็พอใจ จะเลยไปถึงว่าถ่ายอุจจาระก็ควรจะพอใจเพราะทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ทำให้ดีที่สุด ทำด้วยความพอใจมันก็หาความสุขได้ ความพอ ใจมีที่ตรงไหนความสุขจะมีที่ตรงนั้น ถ้าความพอใจผิดไอ้ความสุขก็ผิด ถ้าความพอใจโง่ความสุขก็โง่ ถ้าเป็นความพอใจชนิดหลอกลวงหลอกตัวเองไอ้ความสุขก็หลอกลวงและหลอกตัวเอง นั้นจึงเรา เราจึงหมายถึงความพอใจที่บริสุทธิ์ ที่ถูกต้อง ที่ตรงไปตรงมาและหาง่ายที่สุดถ้าเรารู้ธรรมะ คือเรารู้ว่าทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั้นเป็นธรรมะ ให้มัน ให้มันมีการเคลื่อนไหวทุกกระเบียดนิ้วเป็นการทำหน้าที่ของมนุษย์ตามกฎของธรรมชาติที่เป็นอย่างธรรมดาสามัญที่ต้องทำ เช่น การกินอาหาร การอาบ การถ่าย การกระทำให้ดีที่สุดตามกฎของธรรมชาติแล้วก็พอใจด้วย ทีนี้ที่มันสูงขึ้นไปจะต้องศึกษาเล่าเรียนก็ยิ่งทำดีที่สุดและพอใจที่สุด และเมื่อเรียนแล้วจะต้องออกไปประกอบการงานก็ยิ่งทำดีที่สุดพอใจที่สุด มีความสุขอยู่ที่โต๊ะทำงาน ไม่มี เดี๋ยวนี้ไม่มีใครชอบทำงานอยู่ที่โต๊ะทำงานและมีความสุขเพราะอยากจะปิดออฟฟิสเร็ว ๆ ไปเที่ยวสถานเริงรมย์จะมีความสุข เขาโง่เขาชอบความสุขหลอกลวงซึ่งไม่ใช่หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เพราะฉะนั้นคนพวกนี้จะต้องถูกธรรมชาติลงโทษอย่างแรงคือยิ่งโง่ ยิ่งหลงใหลในกามารมณ์ ยิ่งหลงใหลในความผิดความชั่ว เขาก็ได้ฆ่าตัวเองโดยการคอรัปชั่นอะไรต่าง ๆ แต่ถ้าเรามันเป็นคนมีธรรมะเข้าถึงธรรมชาติ ได้ทำหน้าที่ของมนุษย์ที่ตรงไหนมีความสุขที่ตรงนั้น ที่โต๊ะทำงาน ที่โต๊ะทำงานหรือห้องทำงานหรือที่ตรงไหนก็แล้วแต่ แล้วแต่ทำงานที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นเราควรจะหาความสุขให้ได้เต็มที่ รู้สึกว่าได้ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติเป็นการปฏิบัติธรรมะเพราะหน้าที่นั้นคือธรรมะ ก็เลยอยากจะทำเพราะมันเป็นความพอใจและเป็นสุขอยู่ที่ตรงนั้นไม่อยากจะปิดออฟฟิสเร็ว ๆ ไปเที่ยวกามอารมณ์ มันก็เป็นมนุษย์ที่ ที่ดี เป็นมนุษย์ที่ชนะกิเลส เป็นมนุษย์ที่ไม่มีโอกาสไปทำชั่วเพราะมันหาความสุขได้ที่นี่อย่างถูกต้อง ไม่อยากจะปิดออฟฟิส ไม่อยากจะเลิกออฟฟิสกลับบ้านด้วยซ้ำไปเพราะที่นี่มันหาความสุขได้ เอาละเป็นอันว่าไปที่บ้านก็จะหาความสุขได้ ฉะนั้นเมื่อเวลามันสมควรที่จะปิดออฟฟิสแล้วกลับไปบ้าน ก็ไปบ้านก็ไปหาหน้าที่ของมนุษย์ตามกฎของธรรมชาติทำอีก แล้วก็พอใจอีกเป็นสุขอีก เป็นสุขจนกระทั่งนอนก็ยังเป็นสุขเพราะว่าการนอนก็เป็นการทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นไม่ต้องไปดูหนัง ไม่ต้องไปทำอะไรให้มัน มันเสียการนอน จนกระทั่งมันจะตื่นขึ้นมาอีกก็ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ แล้วเป็นสุขตลอดเวลา ฉะนั้นถ้าว่างานบางอย่างมันถูกสมมติว่าเป็นงานเลวงานต่ำก็ตามใจ เรามัน ไม่ ไม่ ไม่ถืออย่างนั้น การที่เราจะต้องถูบ้าน กวาดบ้าน ล้างจาน ทำความสะอาดบ้านโดยประการใดก็ตาม ไม่ใช่งานต่ำ เป็นธรรมะเสมอกันเพราะว่ามันเป็นการทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติของสิ่งที่มีชีวิต ฉะนั้นเราอย่าดูหมิ่นดูถูกคนที่เขามีอาชีพต่ำ ถีบสามล้อ กวาดถนน แจวเรือจ้าง ล้างท่อสกปรกหรือทำอะไรก็ตาม เขาก็ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติสุดความสามารถที่เขาจะทำได้ ฉะนั้นเมื่อใครได้ทำหน้าที่สุดสามารถที่เขาจะทำได้แล้วก็ควรจะได้รับความเคารพนับถือเท่ากัน เขาไม่มีสติปัญญาที่จะไปเป็นนายกรัฐมนตรี เขาก็เป็นคนถีบสามล้อก็ได้ แต่ว่าเขาทำด้วยความสำนึกในหน้าที่ของมนุษย์ตามกฎของธรรมชาติเขาทำดีที่สุด ควรได้รับความเคารพที่สุด เราก็ไม่ต้องรังเกียจใคร ที่อยู่ในระดับกลาง ๆ ก็ทำดีที่สุดพอใจที่สุด ระดับสูงก็พอใจที่สุด เขาฉลาดมากเขาก็เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นประธานาธิบดีเป็นอะไรก็เป็นไป ไอ้คนที่เป็นไปได้ก็พอใจยินดีเท่าที่ตัวเป็นได้ ทุกคนประพฤติธรรมะเสมอกัน ทำหน้าที่ของมนุษย์ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติในความหมายที่ ๓ ฉะนั้นขอให้ศึกษาที่เป็นการศึกษาแท้จริงตามกฎของธรรมชาติแล้วมันก็จะเป็นการทำลายกิเลสทั้งนั้นแหละ ถ้าเรายึดถือหลักของธรรมะตามธรรมชาตินี้แล้วมันจะเป็นการทำลายกิเลสทั้งนั้น แม้แต่เราจะกวาดเรือนอยู่ก็เป็นการทำลายกิเลส แม้เราจะซักผ้าล้างจานอยู่ก็เป็นการทำลายกิเลส ซึ่ง ซึ่งกิเลสมันไม่อยากจะทำ มันเห็นว่างานต่ำ มันจะไปเที่ยวเริงรมย์นั่นคือกิเลส นี่เรามาถูบ้านเสีย กวาดบ้านเสีย มันก็ทำลายกิเลส นี่คือธรรมะตามหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นอะไรที่มนุษย์จะต้องทำตามกฎของธรรมชาติก็ทำ แล้วก็พอใจว่านั่นคือการประพฤติธรรม ทำมาหากินก็เป็นการประพฤติธรรม กินก็เป็นการประพฤติธรรม อาบ ถ่ายก็เป็นการประพฤติธรรม บริหารกายก็เป็นการประพฤติธรรม ทำหน้าที่ที่ดีกว่านั้นก็เป็นการประพฤติธรรม ความรักผู้อื่นก็เป็นการประพฤติธรรม ช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้อื่นก็เป็นการประพฤติธรรมเพราะมันไม่สนองกิเลส มันข่มขี่กิเลสทั้งนั้น นี่ถ้าเรามีการศึกษาอย่างเดิมแท้จะรู้สึกอย่างนี้จะมองเห็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้รู้จักการศึกษาอย่างใหม่ เรียนเพื่อรู้เพื่อเอาเปรียบตัวเองคือไม่ต้องทำงานหนัก ทำงานเบาได้เงินมาก นี่เอาเปรียบตัวเองและสนองกิเลส การศึกษาอย่างนี้จะทำลายมนุษย์ มนุษย์จะไม่รู้จักทำไอ้สิ่งที่เสียสละหรือเป็นประโยชน์ผู้อื่น มนุษย์จะไม่รู้จักควบคุมกิเลสเพราะเขาสมัครที่จะสนองกิเลสเสียแล้ว เป็นอันว่าขอให้ปรับปรุงการศึกษาให้ถูก ให้ถูกทุกระบบงานหรือระบบชีวิต จะเอาวิวัฒนาการเป็นหลักตั้งแต่เด็กตั้งแต่วัยรุ่นหนุ่มสาวพ่อบ้านแม่เรือนขอให้มันถูกไปเสียให้หมด มันถูกต้องตามการศึกษาเสียให้หมด จะอยู่ในสภาพอย่างไร หน้าที่การงานอย่างไรเป็นลูกจ้างเขา เป็นผู้บังคับบัญชาเขา เป็นอะไรก็ตาม ให้มันถูกต้องตามกฎของธรรมะ ตามกฎของธรรมชาติ แล้วได้ทำเมื่อไรพอใจเมื่อนั้น พอใจเมื่อไรจะมีความสุขเมื่อนั้น พอใจต้องถูกต้องและบริสุทธิ์ ถ้าพอใจผิด พอใจหลอกลวง พอใจเลว ๆ ไอ้ความสุขก็หลอกลวงและไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เช่น การพอใจในเหยื่อของกิเลสนี้ มันก็พอใจเหมือนกันแต่แล้วมันก็ได้ความสุขอย่างหลอกลวง ได้เป็นทาสของกิเลส อย่าเอากับมันเลย มัน มันไม่คุ้มกัน ถ้าอยากจะเป็นทาสแล้วเป็นทาสของธรรมะดีกว่า ถ้ายังรักที่จะเป็นทาสอะไรอยู่ละก็เป็นทาสของธรรมะดีกว่า ดีกว่าที่จะเป็นทาสของกิเลส นี่คือการศึกษาที่สมบูรณ์ ศีลสิกขาอย่าให้มีความผิดพลาดทางกาย ทางวาจา จิตตะสิกขาอย่าได้มีความผิดพลาดทางจิต ปัญญาสิกขาอย่าได้มีความผิดพลาดทางความคิด ความนึก ความรู้สึก ความเชื่อถือ ความคิดเห็นอะไรก็ตามใจ เรียกว่าศึกษาที่แท้จริงนี่ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นการศึกษาที่แท้จริง ให้มันอยู่กับเราทุกกระเบียดนิ้วและทุกลมหายใจเข้าออก ให้มันมีความถูกต้องอยู่ที่เนื้อที่ตัวทุกกระเบียดนิ้วและทุกเวลาที่หายใจเข้าออก อย่าให้มีความผิดพลาดทางกาย ทางวาจา ไอ้ผิดน่ะคือผิดหรือชั่วหรือบาปนั่นคือทำให้เกิดความทุกข์ ถ้าไม่ให้เกิดความทุกข์เราก็จะเรียกว่าถูกต้อง หรือดี หรือบุญ ข้อนี้อยากจะขอเตือนเสมอ ๆ ที่ว่าจะไปตัดสินเอาว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรดี อะไรชั่ว อะไรบุญ อะไรบาป นั้นน่ะ เขามีหลักต่าง ๆ กันแล้วในที่สุด ไป ไป ไปเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว เราได้น่ะเป็นดี ไอ้เราได้น่ะคือถูก ไอ้ผิดถูกจริง ๆ ดีชั่วจริง ๆ บุญบาปจริง ๆ ไม่สนใจ นี่คือหลักที่คนอันธพาลเขาถืออยู่ อันธพาลที่เต็มไปทั้งกรุงเทพเดี๋ยวนี้ อันธพาลเหล่านั้นเขาถือว่าไอ้บุญก็คือฉันได้ ดีก็คือฉันได้ ถูกก็คือฉันได้ตามที่ฉันต้องการ ฉะนั้นเขาจึงทำอะไรอย่างที่เห็น ๆ กันอยู่ จนเดือนร้อนกันไปทั้งบ้านทั้งเมือง อย่างนี้มันเป็นความถูกความดีหรือว่าเป็นบุญของอันธพาล ไม่ถูกตามหลักของธรรมชาติ กิเลสกำลังขึ้นบงการในจิตใจของเขา ที่กิเลสมันได้ตามที่ต้องการนั่นเขาถือว่าดี ว่าถูก ว่าบุญ ถ้าธรรมะเป็นใหญ่ ธรรมะเป็นหลักแล้ว มันก็กลายเป็นว่าไม่มีใครเดือดร้อน ไม่ว่าฉันต้องการหรือใครต้องการ ไม่ว่าฉันได้หรือฉันไม่ได้ มันอยู่ที่ว่าไม่มีใครเดือดร้อน ตัวเราก็ไม่เดือดร้อนผู้อื่นก็ไม่เดือดร้อน นั่นคือถูก นั่นคือดี นั่นคือบุญ ไม่ใช่ว่าฉันได้แล้วก็เป็นถูกเป็นดี ฉันไม่ต้องได้ก็ได้ ฉันได้ก็ได้ ถ้าไม่มีใครเดือดร้อนนั่นนะคือดีหรือถูก ฉะนั้นถ้าว่าจะต้องตัดสินกันว่าอะไรดีอะไรผิดอะไรถูกแล้วก็ให้ถือหลักพระพุทธศาสนาอย่างนี้ อย่าไปถือหลักปรัชญาฝรั่งตะวันตก กรีกอะไรนี่เขาก็มีเหมือนกันนะ อย่างนั้นเรียกว่าดี อย่างนั้นเรียกว่าถูก แต่ยุ่ง เอาเป็นหลักที่แน่นอนไม่ได้เพราะว่าเขาไม่เพ่งเล็งตรงที่ว่าไม่ทำให้ใครเดือนร้อนคือดี ถ้ามีคนเดือดร้อนละก็ผิด ไม่ถูกแล้ว ก็ถือกันเป็นหลักไว้อย่างนี้เพื่อจะไปตัดสินกันในอนาคตข้างหน้าว่าอะไรผิดอะไรดีอะไรเป็นบุญเป็นกุศล อะไรชั่ว อะไรบาป อะไรอกุศล การศึกษาอย่างนี้คือการศึกษาที่แท้จริงคือการศึกษาที่มุ่งจะอยู่เหนือกิเลส คือการศึกษาที่แท้จริง ถ้าอยากจะจำสั้น ๆ นะ การศึกษาที่ทำให้เราอยู่เหนือกิเลสนั้นคือการศึกษาที่แท้จริง การศึกษาที่ตรงกันข้ามคือการศึกษาที่ทำให้เราพ่ายแพ้แก่กิเลส จนต้องสนองกิเลส เป็นบ่าวเป็นทาสของกิเลสนี่เป็นการศึกษาผิด แล้วเรากำลังมีศึกษาอย่างไร เรามุ่งการศึกษาอย่างไรหรือเรามุ่งว่าศึกษาเสร็จแล้วเราจะทำอะไร ขอให้ไปแยกดูให้ดี อย่าให้ไปเป็นผู้สนองความต้องการของกิเลสจะเป็นทุกข์ มีความทุกข์ไม่สิ้นสุด ฆ่าตัวตายกี่หนก็ไม่หมดความทุกข์เพราะมันเป็นเรื่องของสนองกิเลส อวิชชา ฉะนั้นเตรียมตัวสำหรับจะชนะกิเลส แล้วก็เรียนนี่ก็เรียนวิธีที่จะชนะกิเลส และเมื่อชนะกิเลสแล้วการเรียนก็สนุกเพราะว่าการเรียนนี้มันเป็น ไม่ใช่เรื่องกิเลส เป็นเรื่องความถูกต้องตามกฎของธรรมะ เพราะเราไม่มีกิเลสมาเป็นนายเรา การเล่าเรียนนี้จะเป็นสุขเหมือนอย่างที่ว่ามาแล้ว ข้างต้น จะเป็นสุขอยู่ที่การเรียนนั้นเอง นี้ก็เตรียมสำหรับที่จะชนะกิเลสตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ในอนาคตจนกว่าจะเข้าโลง จะเป็นผู้ชนะกิเลสตลอดไป นี่คือการศึกษาที่แท้จริงที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ไม่ใช่ถูกต้องตามความต้องการของคนโง่ ไม่ใช่ถูกต้องตามความต้องการของคนอันธพาล เป็นต้น แต่มันถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ถูกต้องตามการศึกษาของผู้มีปัญญา เป็นฤๅษี เป็นมุนี เป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด มันถูกต้องตามนั้น เมื่อเรามีการศึกษาหลักปฏิบัติถูกต้องแล้วปัญหาไม่มี ปัญหาจะไม่เกิดกับการศึกษา จะไม่เกิด ขึ้นเกี่ยวกับการศึกษาเพราะการศึกษาจะเป็นสิ่งที่ให้ความสุข เป็นสวรรค์อยู่ที่นี่ นักเรียนอาจจะ นักศึกษาอาจจะสร้างสวรรค์ได้ที่การศึกษา ที่โต๊ะ ที่ห้องที่ทำการศึกษา สวรรค์จะอยู่ที่นี่คือพอใจอย่างยิ่งเป็นสุขอย่างยิ่งอยู่ที่การศึกษา สวรรค์ก็อยู่ที่นั่น สวรรค์ที่อยู่บนฟ้าต่อตายแล้วนะไม่แน่หรอก ไม่แน่เหมือนสวรรค์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ นรกก็เหมือนกันที่เขาว่าอยู่ใต้ดินไปถึงก็ตายแล้วนั้นน่ะยังไม่ต้องนึกก็ได้ เก็บไว้ก่อนก็ได้ แต่ที่ทำผิดเกี่ยวกับการศึกษาเป็นไฟติดอยู่ในอกในใจที่นี่นั้นน่ะนรกที่แท้จริง อย่าได้ตกกันเลย ปิดทิ้ง ปิดกั้นเสียให้หมด เพราะว่าถ้าไม่ตกนรกที่นี่เดี๋ยวนี้แล้วไม่ต้องกลัว ตายแล้วก็ไม่ตกนรกที่ไหนหมด เราปิดนรกหลังจากตายแล้ว นรกใต้ดิน นรกอะไรก็ตามที่เขาพูดกันอยู่นั้นน่ะเราปิดมันหมดได้ โดยการปิดนรกที่นี่ ปิดนรกที่มันจะเกิดขึ้นในหัวใจของเราที่นี่ คนที่เป็นทาสของกิเลส สนองกิเลสจนกิเลสทำให้ร้อนใจเป็นไฟอยู่ตลอดเวลานั้นน่ะคือนรกที่นี่ ทีนี้ปิดนรกที่นี่เสียให้ได้แล้วไม่มีนรกไหนจะเหลืออยู่อีก ถ้ามันมีนรกที่นี่อกหักอกแตกอะไรกันอยู่ที่นี่แล้วก็ไม่ต้องกลัวหรอก ตายไปก็ได้ตกนรกใต้ดินหรือนรกที่ไหนกันอีก ไอ้นรกที่นี่ สวรรค์ที่นี่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสนะ ไอ้ที่ว่านรกว่าอยู่ใต้ดินอย่างนั้น ๆ สวรรค์อยู่บนฟ้าอย่างนั้น ๆ มีคนพูดก่อนพระพุทธเจ้านะ มีอยู่ในคำพูดในคำสอนในวัฒนธรรมอะไรของพวกคนที่มีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า พอพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาท่านก็ได้ยินได้ฟังอย่างนี้เหมือนกัน ตามแบบของพระพุทธเจ้าท่านไม่คัดค้านใคร ท่านก็ปล่อยไปตามที่เขาอยากจะนั่น ก็ไม่ไปทะเลาะกัน ต่อมาพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าไอ้นรกที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉันเห็นแล้วคือฉันพบ ไอ้สวรรค์ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉันเห็นแล้วคือฉันพบ คือมันไม่ตรงกับที่เขาพูดกันอยู่ก่อนว่านรกใต้ดินสวรรค์บนฟ้าน่ะเขาพูดไปสิ ถ้าพระพุทธเจ้าจะต้องพูดตรัสถึงนรกชนิดที่เขาพูดกันอยู่ก่อนบ้างท่านก็ตรัสเพื่อ เพื่อให้เขามาปฏิบัติให้มันถูกต้อง เพื่อไม่ต้องตกนรกชนิดไหนหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งนรกที่นี่เดี๋ยวนี้ที่อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่เราทำมันผิดนี่ มันเป็นนรก ถ้าเราทำมันถูกมันก็เป็นสวรรค์ ปู่ย่าตายายของเรารู้เรื่องนี้ดีว่าสววรค์ในอกนรกในใจ พระนิพพานก็อาศัยอยู่ที่นี่ ลูกหลานมันโง่ ลูกหลานเดี๋ยวนี้โดยเฉพาะมันโง่ มันเอานรกสวรรค์ไปไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ ปูย่าตายายเขาพูดไว้ถูกต้องแล้วว่าสวรรค์ในอกนรกในใจ ตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามันอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราศึกษากันเสียใหม่ นี่คือไอ้การศึกษาที่จะช่วยได้โดยไม่ให้ตกนรกและให้ได้สวรรค์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ นี่อาตมาเห็นว่าเป็นการศึกษาที่มีค่ามากที่ควรจะเข้าใจไว้และป้องกันเสียให้ได้ ถ้าคุณทำผิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วการศึกษานี้เหลวหมดแหละไม่ต้องได้ปริญญากัน ถึงได้มาก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะคนมันทำผิดที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเสียแล้ว ฉะนั้นทำให้มันถูกทุกเรื่องที่มันมาเกี่ยวข้องกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเรา คือเรื่องของกิเลสนั้นนะ ไม่เกิดกิเลส มีสวรรค์ที่นี่ เรียนสนุกเรียนหนังสือสนุก ทำอะไรก็สนุก กวาดบ้านก็สนุก ล้างจานก็สนุก โกยขี้หมาก็สนุก พูดอย่างนี้ขออภัยหยาบ หยาบคายไปหน่อย มันสนุก มันชีวิตที่สนุกเพราะทำถูกต้องทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในสิ่งที่ควรศึกษา ศึกษาให้ครบสวรรค์ที่ตา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ศึกษาให้ครบนรกที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำผิดที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็ตกนรก ทำถูกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็เป็นสวรรค์ นี้ทำให้มันเหนือผิดเหนือถูก อยู่เหนือผิดเหนือถูกโดยประการทั้งปวงที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็จะได้เป็นนิพพาน ถ้า ถ้าถึงนิพพานการศึกษาจบ ไม่มีการศึกษาอะไรที่เลยนิพพานไปได้เพราะมันหมดเท่านั้น มันหมดปัญหาจริง ๆ ฉะนั้นเราจงรู้จักธรรมชาติ รู้จักกฎของธรรมชาติ รู้จักหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ รู้จักผลที่เกิดจากหน้าที่อันนั้น จนกระทั่งว่าเราไม่มีการทำผิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีแต่ทำถูกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าดีไปกว่านั้นมีจิตอยู่เหนือผิดและเหนือถูกเป็นนิพพานไปเลยที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่การศึกษาชนิดที่อาตมาเห็นว่าควรจะทราบควรจะศึกษา ควรจะศึกษาให้ได้ อย่าให้การมาที่สวนโมกข์นี้มันเป็นหมันเปล่าแก่ท่านทั้งหลาย ขอร้องให้พูดเรื่องการศึกษา นึกดูแล้วมันก็มีอยู่อย่างนี้นี่ไม่มีอย่างอื่น การศึกษาหมาหางด้วนเต็มไปทั้งโลกอย่าไปเอากับมัน มันไม่ป้องกันนรกที่นี่หรือไม่สามารถสร้างสวรรค์ที่นี่ได้หรอกการศึกษาหมาหางด้วน ต้องสมบูรณ์ไม่ด้วน คือรู้ถึงเรื่องคน เรื่องความเป็นมนุษย์ เรื่องกิเลส เรื่องแพ้กิเลส เรื่องชนะกิเลสคือเรื่องธรรมะนี่เรื่องพระธรรมก็มาอีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่สามและการศึกษาของเราก็สมบูรณ์ เพียงแต่รู้หนังสือกับรู้อาชีพ ๒ เรื่องนั้นไม่พอ แม้จะเรียนให้ปริญญายาวเป็นหางมาอย่างไรมันก็ยังหางด้วนอยู่นั่นแหละ ฉะนั้นเราทำให้มีความเป็นการศึกษาที่สมบูรณ์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ความสุขจะมีแก่เราไม่ว่าจะนั่งนอนยืนเดินอยู่ที่ตรงไหนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องเรียน เดี๋ยวนี้หน้าที่ของเรามันจำกัดอยู่ที่การเรียนเพราะมีวัยเรียนมีอายุที่จะต้องเรียนก็ให้มันหาความสุขจากการเรียน จนกว่าจะต้องไปทำการงานหาความสุขจากการงาน จนกว่าจะเป็นพ่อบ้านแม่เรือนเป็นคุณปู่คุณตาคุณย่าคุณยายอะไรก็ตาม มันมีความสุขอยู่ที่นั่นได้ตลอดไปเพราะการศึกษามันถูกต้องและสมบูรณ์ นี่เวลาสำหรับการพูดตามที่กำหนดไว้มันก็ ก็หมดแล้ว ทีนี้เราก็หยุดพูด แล้วเราก็ถามปัญหาถ้าต้องการ ตามที่ตกลงกันไว้ว่าจะต้องต้องการจะมีการถามตอบปัญหาเมื่อบรรยายแล้ว ๔๕ นาทีพอนะ ถามปัญหา ๔๕ นาทีพอ มีอะไรก็ถาม ๆ มา
ถาม – คือ คือหนูอยากจะเรียนถามท่านคือหนูมีปัญหาที่บอกว่า อย่างในเมื่อระบบการศึกษานะค่ะ หนูพูดถึงระบบการศึกษาในโรงเรียนหรือว่าในมหาวิทยาลัยในปัจจุบันนี้ เรา เรา ในเมื่อเรายอมรับว่ามันมีความพิการบางส่วนที่ว่าไม่ได้ส่งเสริมการศึกษาทางด้านศีลธรรมให้กับเยาวชนอะไรอย่างนี้แล้วขณะเดียวกันเราไม่สามารถ คือระบบการศึกษาปัจจุบันก็ยังไม่ได้เพิ่มหรือว่าส่งเสริมศีลธรรมในจิตใจของเยาวชนเนี่ย ขณะเดียวกันระบบการศึกษา ก็ไม่สามารถ เราเองก็ไม่สามารถวางใจระบบการศึกษาได้เลยว่าจะให้สิ่งที่ถูกต้องแก่ชีวิตของเรานี่ เพราะฉะนั้นการที่ว่าเราจะสร้างความพึงพอใจในการศึกษาเล่าเรียนนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้นะคะ หนูคิดในแง่นี้
ตอบ – ปัญหาว่ายังไงนะปัญหาว่ายังไง ฟังไม่ค่อยถูก ตัวปัญหาแท้ ๆ น่ะว่ายังไงนะ อย่าใกล้นัก ดังนัก ยิ่งดังฟังไม่ถูก
ถาม - ตัวปัญหาแท้ ๆ นะคะคือขณะที่แบบระบบการศึกษาปัจจุบันนี้ยังพิกลพิการอยู่ แล้วเรานี่ไม่สามารถจะวางใจระบบการศึกษาได้เลย การที่เรานี่จะสร้างความพึงพอใจในการเรียนการศึกษามัน มันเป็นไปได้ยาก คิดว่าอย่างนั้นคะ
ตอบ - มันก็เป็นปัญหาจริงคือว่าเราอยากจะพอใจยินดีในการศึกษาแต่ว่าระบบการศึกษาที่เขามีให้เราเวลานี้มันไม่เป็นที่น่าพอใจ นั้นน่ะมันขึ้นอยู่กับไอ้วงการที่มันทรงอำนาจอยู่ในโลก เราคงทำอะไรไม่ได้เพราะเราไม่มีอำนาจที่จะไปบังคับการศึกษา มันกลายเป็นว่ามันเป็นเรื่องผิดของผู้จัดการศึกษา ไม่ใช่ปัญหาของสวนโมกข์ แต่ถ้าว่าต้องการจะนั้นกันจริง ๆ ก็ชักชวนกันแสดงความประสงค์ให้มันชัดออกไปว่าเดี๋ยวนี้การศึกษานี้มันไม่ช่วยเราได้ เราอยากจะได้การศึกษาที่มีศีลธรรม การศึกษาที่มีศาสนารวมอยู่ด้วยซึ่งเป็นการศึกษาจริงเพราะว่าคำว่าสิกขา สิกขาของเดิมนั้นหมายถึงศาสนา ศีลสิกขา จิตตะสิกขา ปัญญาสิกขา นี้ขอให้ผู้มีอำนาจในการจัดการศึกษานั้นจัดการศึกษาให้เราใหม่ ให้มีการศึกษาที่เป็นการสิกขาหรือศึกษาจริง อย่าเพียงแต่เรียนหนังสือกับวิชาชีพ เดินขบวนไปเถียงเรียกร้องการศึกษาที่ว่ามันมีไอ้การ มีสิกขาที่แท้จริง เราก็พิจารณาดูเถิดว่าส่วนที่เขาให้เราเรียนอะไรที่มันจะเป็นประโยชน์บ้าง มันคงไม่ ไม่เหลวไปทั้งหมดหรอก มันคงมีอยู่ที่มีอยู่บ้างที่ควรจะพอใจจะใช้เป็นประโยชน์ได้ เอาส่วนนี้พอใจส่วนนี้ พอใจส่วนที่มันจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง เรียนให้จริงให้เป็นสุขให้สนุก แม้แต่เขียนหนังสือให้ตัวสวย ๆ หน่อยก็ยังควรจะพอใจและเป็นสุข เดี๋ยวนี้ดูเขียนหนังสือไม่ค่อยจะเป็นตัวกันแล้ว ไอ้กระดาษที่เสนอกันมาอ่าน อ่านลำบากเหลือเกิน เขียนหนังสือให้สวย ๆ ให้เรียบร้อย ก็ ก็ควรจะพอใจในการศึกษานิดนึงที่จะต้องปรับปรุง
ถาม - เรื่องนั้นก็มีปัญหาต่อไปอีกว่า ถ้าในเมื่อเราเห็นว่าแบบมันไม่ถูกต้องนี่ แล้วเราแบบพยายามคล้าย ๆ เป็นการจำยอมหรือว่ายอมจำนนต่อมันนี่เป็นการกระทำที่ถูกหรือคะ
ตอบ – ไอ้ในโลกมันมีกฎธรรมชาติอยู่อย่างหนึ่งว่า อำนาจเป็นใหญ่ในโลก ดูจะเป็นพุทธภาษิตด้วย วโส อิสฺสริยํ โลเก อำนาจเป็นใหญ่ในโลก ต้องรู้ไว้ด้วยข้อนี้ ถ้ายังไม่ได้อำนาจเราก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ หรือว่าเราจะต้องต่อรองกันโดยทำความเข้าใจกันนั้นแหละคือให้มัน มันเป็นที่น่าพอใจบ้าง ถ้าการศึกษาไม่น่าพอใจเสียเลย แล้วก็ผู้มีอำนาจเขาจัด ในโลกมันยังมีอำนาจเป็นใหญ่อยู่ พยายามทำความเข้าใจ เรียกร้องกันตามสมควร แล้วมาเลือกเอาเถิด ส่วนที่ควรจะพอใจได้มันมี มันก็มีเหมือนกัน เอาแต่ว่าเดี๋ยวนี้เราอย่าเพิ่งนึกมากเอาเรื่องเรียนหนังสือให้ดีก็ขอให้เรียนหนังสือให้สนุก ถ้าเราจะต้องเรียนวิชาชีพก็ขอให้เรียนวิชาชีพให้ดี ให้การเรียนวิชาชีพมันสนุก เอาเท่านี้ก่อนก็ได้ การศึกษาหมาหางด้วนนั้นน่ะ ไอ้ส่วนที่มันจะเรียนได้นี่ก็เรียนให้ดีที่สุด ให้เป็นสุข ให้สนุก เรียนหนังสืออย่างบริสุทธิ์ เรียนอาชีพอย่างบริสุทธิ์ ให้สนุก ไอ้ส่วนที่มันด้วนอยู่น่ะว่ากันทีหลัง ค่อยไปหาเพิ่มเติมทีหลัง ดูจะหวังยากแล้วล่ะที่ว่าจะหวังจากรัฐบาลหรือผู้จัดการศึกษาของรัฐบาล เราก็หาเอาเองใหม่สิ ไอ้ที่เขาให้เราเรียนเท่าไร เราเรียนให้ดีที่สุดเสียก่อนให้เป็นสุขในการเรียนอยู่ตลอดเวลาเสียก่อน พอจบเรื่องการศึกษาเกี่ยวกับหลักสูตรนั้นแล้ว เราก็มาหาเอาใหม่เรื่องศีลธรรมเรื่องศาสนามาหาเอาใหม่ทีหลัง สมัยนี้ไม่ ไม่ลำบากแล้วล่ะเพราะว่ามันมีแพร่หลายมาก อย่าพูดให้ ให้ใกล้นักมันฟังไม่ค่อยถูก พูดพอสมควร
ถาม - อยากจะเรียนถามท่านอาจารย์ ปัญหานี้คงไม่ใช่ปัญหาที่เรา มันคงไม่ใช่ปัญหาโดยตรงสำหรับหมาหางด้วนนะครับแต่คงเป็นปัญหาที่ ที่เสริมให้มีหางขึ้น คือผมอยากจะขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์เกี่ยวกับการศึกษาธรรมะจากธรรมชาติครับ อยากขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์
ตอบ - ว่ามาให้ชัด ๆ สั้น ๆ ปัญหาว่ายังไง
ถาม - ตัวปัญหามันคืออยากขอคำแนะนำของท่านอาจารย์เกี่ยวกับการศึกษาธรรมะจากธรรมชาติ การเฝ้าดูใจตนเอง
ตอบ – วิธี วิธีศึกษาธรรมะจากธรรมชาตินี้ก็ดี นี้ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นด้วย ศึกษาธรรมะจากธรรมชาตินั่นแหละคือตรงตามกฎของธรรมชาติ เพราะว่าธรรมะคือธรรมชาติในทุกความหมาย ฉะนั้นศึกษาธรรมะจากธรรมะถูกแล้ว เมื่อพูดถึงตำราเรียนแม้แต่พระไตรปิฎกนี่มันก็เป็นบันทึก บันทึกของการศึกษาจากธรรมชาติของบุคคลที่เคยศึกษามาก่อนแล้ว เช่น พระพุทธเจ้าเป็นนักศึกษาธรรมชาติ ศึกษาหมดรู้จักหมดแล้ว นี้มันมีการบันทึกไว้การกระทำของท่านก็ดี คำพูดของท่านก็ดีที่ได้ผ่านการศึกษาจากธรรมชาติมาแล้วก็มันมีอยู่ในรูปตำรับตำราเป็นตัวหนังสือ ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาโดยตรงก็เรียกว่าพระไตรปิฎก ฉะนั้นพระไตรปิฎกก็คือบันทึกการศึกษาตามธรรมชาติจากธรรมชาติของพระพุทธเจ้า เราก็ใช้เป็นประโยชน์ก่อนในส่วนที่เราจะอาศัยให้เป็นประโยชน์ได้ แล้วเราจึงค่อยไปศึกษาจากธรรมชาติโดยตรงตามรอยของพระพุทธเจ้าอีกทีหนึ่งอย่างนี้มันช่วยได้มาก มันประหยัดได้มาก พระพุทธเจ้าท่านศึกษาธรรมะจากธรรมชาติก็เหมือนอย่างที่ว่านี่เพราะตัวธรรมชาติคือธรรมะ กฎของธรรมชาติคือธรรมะ ท่านจึงบอกให้รู้ว่ามัน มันมีส่วนประกอบคือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณ ๖ อย่างนี้คือประกอบกันเข้าเป็นโลก เป็นโลก โลกแผ่นดินก็ได้ โลกต้นไม้ก็ได้ โลกสัตว์เดรัจฉานก็ได้ โลกคนก็ได้ มนุษย์นี่ก็ได้ นี้คือท่านรู้ตัวธรรมชาติ โลกนี่มันเกิด มันประกอบอยู่ด้วยธรรมชาติคือธาตุ ๖ อย่าง นี้ก็มีบันทึกอยู่ในพระบาลีและกฎของธรรมชาติคือกฎแห่งการปรุงแต่ง ปรุงแต่งตามกฎของธรรมชาติตามวิธีของธรรมชาติ เกิดนั่นเกิดนี่เกิดโน่นขึ้นมาเรื่อยๆ ๆ ๆ นี่กฎที่ทำให้มันเกิดขึ้นมา และกฎที่มันทำให้เปลี่ยนแปลงไป ๆ ก็มี และกฎที่มันจะต้องเป็นไปตามธรรมชาติของมันเองมันไม่ฟังใครก็มี เช่นว่ามันต้องเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่ ไม่ดูหน้าใคร ไอ้ธรรมชาติเหล่านี้ก็จะเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไปเรื่อย อย่างนี้เรียกกฎของธรรมชาติ แล้วมีอีกมากก็ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ค้นพบแล้ว ที่ท่านเรียนจากธรรมชาติค้นพบแล้วมาพูดไว้ก็มีบันทึกอยู่ ทีนี้หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติพระองค์ก็ได้ลองดูแล้วทุกอย่างแหละ ว่าทำอย่างนี้ ๆ ๆ จะมีผลอย่างนี้ ทำอย่างนี้จะมีผลอย่างนี้ ทำอย่างนี้จะมีผลอย่างนี้ อย่างไรไม่ควรทำ อย่างไรควรทำ ท่านก็สอนไว้ มันจึงเป็นระบบว่าทำมาหากินในโลกทำกันอย่างนั้น ถ้าจะอยู่เหนือความบีบคั้นของธรรมชาติจะต้องทำอย่างนั้น ต้องศึกษาให้จิตใจของเราอยู่เหนือการบีบคั้นของธรรมชาติ เช่นว่าธรรมชาติมันจะต้องมีวิบัติ มีไอ้อุบัติเหตุ มีอะไรไปตามแบบของธรรมชาติในโลก เดี๋ยวน้ำท่วม เดี๋ยวไฟไหม้ เดี๋ยวฟ้าผ่าอะไรก็ตาม เราก็รู้จักทำจิตใจไม่ให้มันเป็นความทุกข์แก่เรา ที่เป็นภายนอกนะ ที่เป็นภายในนี้เราจะต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้อง โสกะ เทวะ ทุกขะ โทมะ อะไรก็ตาม เราก็มีความรู้พอที่จะทำให้จิตใจของเราไม่ต้องเป็นทุกข์ แม้ว่าความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายจะมายืนอยู่ตรงหน้านี้เราก็ไม่มีความทุกข์ หัวเราะเยาะได้ ที่จะให้เรามานั่งร้องไห้อยู่นี่ไม่มีนะ เราไม่มีความโศกเพราะเราสามารถที่จะเอาชนะได้ ท่านก็ได้ตรัสเอาไว้แล้วว่าทำอย่างไร ทำอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะอยู่เหนือปัญหาเหล่านี้ ท่านตรัสไว้ประโยคหนึ่งว่า ถ้าสัตว์เหล่านี้นะได้อาศัยตถาคตเป็นกัลยาณมิตรแล้ว พวกที่มีความเกิดเป็นธรรมดาก็จะพ้นจากความเกิด พวกที่มีความแก่เป็นธรรมดาก็จะพ้นจากความแก่ พวกที่มีความเจ็บเป็นธรรมดาก็จะพ้นจากไอ้ความเจ็บ พวกที่มีความตายเป็นธรรมดาก็จะพ้นจากความตาย พวกที่มี โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส เป็นธรรมดาก็จะพ้นจาก โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส อย่างนี้เป็นต้น ที่ท่านตรัสว่า ถ้าได้อาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้วนี่หมายความว่าถ้าทำตามท่าน จะเอาพระพุทธเจ้ามาเป็นกัลยาณมิตรของเราคือทำตามท่าน ตามที่ท่านสอนไว้ได้ สอนไว้อย่างไร แล้วทำจิตใจอย่างไรไอ้ความเกิดแก่เจ็บตายถึงจะไม่ ไม่ทำอันตรายเรา นี่กลายเป็นเรื่องของธรรมชาติไป มันก็เกิดแก่เจ็บตายไปตามธรรมดาของขันธ์ของสังขารของไอ้ธาตุเหล่านั้น ไม่ ไม่เป็นแก่จิตใจของเราก็แล้วกัน นี่เราศึกษาถึงขนาดนี้เอาการตรัสรู้ตามธรรมชาติ จากธรรมชาติของพระพุทธเจ้ามาเป็นหลักสำหรับศึกษา แล้วก็มีผล มีผลตามที่ท่านว่าไว้อย่างไร นี่เราก็มาศึกษาจากธรรมชาติ ก็ภายในไง ดูเข้าไปข้างใน ดูร่างกาย ดูจิตใจปรุงแต่งกันอย่างไรและเกิดอะไรขึ้น เมื่อเราไม่ปรารถนาอย่างนั้นเราก็ไม่ให้มันเกิดขึ้น เมื่อเราปรารถนาอย่างนี้เราก็ทำให้มันเกิดขึ้น นี่เรียกว่าธรรมชาติภายใน คำว่าธรรมชาติในทางธรรมะนี้เล็งถึงภายในมากกว่าภายนอก ไม่ต้อง ไม่ต้องนึกถึงภายนอกก็ได้เพราะเรื่องต่าง ๆ มันมี มีเป็นเรื่องเป็นราวเป็นปัญหาอยู่ที่ภายใน เมื่อคืนก็บอกว่าให้ศึกษาถึงข้อที่ว่าพอคลอดมาจากท้องแม่ มันก็ได้รับสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วก็พอได้พบของอร่อยมันก็พอใจ แล้วมันก็เกิดกิเลสคือความพอใจ ถ้าศึกษาโดยตรงอย่างนี้ลงไปที่นี่แล้วก็นั่นน่ะคือศึกษาจากธรรมชาติที่เป็นภายใน ถ้าเป็นภายนอก ภาษาวัด ๆ นี่เขาหมายถึงของผู้อื่น ถ้าเป็นภายในก็คือภายในของเราเอง ศึกษาจากภายในง่ายกว่าศึกษาจากภายนอกแต่การศึกษาจากภายนอกก็ต้องศึกษาบ้างเหมือนกันให้มันสมบูรณ์ นี่เกี่ยวกับมนุษย์ นี่ก็ให้ย้อนมองไปภายในให้เข้าใจทุกอย่างทุกประการที่เป็นเรื่องในภายใน ปรุงแต่งกันอย่างไรจึงเป็นทุกข์ แล้วมันก็จะไปตรงกับเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้และได้บันทึกไว้ มันจะตรงกันที่นั่น ความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไรและป้องกันไม่ให้ความทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไรมันก็มีบันทึกไว้แล้ว นี่เรามาศึกษาเอาเองอีกทีหนึ่ง แล้วมันก็จะตรงกับบันทึกนั้น ถ้าว่าดับทุกข์ได้ก็พอแล้ว ศึกษาจากภายใน ถ้าศึกษาจากภายนอกของผู้อื่นบ้างก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น กระทั่งศึกษาจากภายนอกออกไปอีกคือภายนอกแผ่นดิน ไอ้ธรรมชาติภายนอกนี่ ต้นไม้ต้นไร่ ดินฟ้าอากาศอะไรก็ตามตามธรรมชาติ อย่างที่เรามีวิธีศึกษามันก็มีอีกส่วนหนึ่ง แต่ไอ้ส่วนนี้ยังนับว่าไกลออกมาอยู่ข้างนอกไกลออกมา ถ้าทำได้ก็ดี ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่เสียหายอะไรนัก เราอยากจะให้สังเกตว่าเมื่อเราไปสู่สถานที่ใด ความรู้สึกเปลี่ยนไปอย่างไร เราควรจะศึกษามันทันที นี่เรียกว่าศึกษาจากธรรมชาติเหมือนกัน เช่นว่ามานั่งอยู่ที่ตรงนี้ใต้ต้นไม้นี้บนพื้นทรายนี้ จิตเปลี่ยนเป็นอย่างไร ต่างจากเมื่ออยู่ที่กรุงเทพฯอย่างไร เราก็ควรจะศึกษาไว้ มันก็ช่วยได้มากเหมือนกัน เพราะว่าเรามานั่งอยู่ตรงนี้จิตของเราว่างจากกิเลสได้ง่ายกว่าที่นั่งอยู่ที่กรุงเทพฯ นี่มานั่งอยู่กับต้นไม้ก้อนหินดินทรายอย่างนี้จิตมันว่างจากกิเลสได้ง่ายกว่าที่กรุงเทพฯ คือปัจจัยที่จะก่อให้เกิดกิเลสมันมีน้อยกว่า เราก็เลยรู้เรื่องความว่างจากกิเลสได้มากขึ้น เมื่อเราไปเที่ยวทะเลไปยอดภูเขาไปป่าอันเงียบสงบนี่กิเลสมัน มันเกิดยาก เราก็ศึกษาลงไปที่นั่นแหละที่จิตที่มีกิเลสน้อยหรือไม่เกิดนั่นว่ามันสบายอย่างไร เป็นสุขอย่างไร น่าพอใจอย่างไร นี่จะช่วยให้เราชอบพระนิพพานมากขึ้น ถ้าเราเข้าถึงรสชาติอันนี้ได้ว่าเป็นรสชาติที่บริสุทธิ์เป็นสุขแล้วเราก็จะชอบอย่างนี้มากขึ้น นั่นน่ะคือจะทำให้เราชอบพระนิพพานได้มากขึ้น คือความว่างจากกิเลสนั้นเราจะชอบมากขึ้น เราไปเที่ยวชิมไอ้ความว่างจากกิเลสที่ได้รับจากธรรมชาติโดยตรงที่ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็มีประโยชน์เหมือนกัน เช่น บางคนเขาเดินมาจากถนนเข้ามาถึงตรงนี้นั่งลงตรงนี้เขาก็บอก แหม, มันสบายใจบอกไม่ถูก บอกว่าตรงนี้ไม่มีอะไรยั่วให้เกิดกิเลส กิเลสมันหยุด มันเย็น มันเงียบไป มันก็สบายใจบอกไม่ถูก เขาก็ได้ชิมรสของความว่างจากกิเลสบ้างแล้ว นี้ก็เรียกว่าศึกษาจากธรรมชาติได้เหมือนกัน มันมีวิธีเต็มไปหมดที่จะศึกษาจากธรรมชาติ อะไรมันเกิดขึ้นในใจหรือในกายก็ศึกษาให้รู้ไว้ว่ามันเป็นอะไร เป็นอย่างไร เป็นทำไม เป็นเพื่ออะไร เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เราก็เลือกเอาแต่ที่มันจะไม่เป็นทุกข์ ถ้าสรุปความแล้วก็เรียกว่าธรรมชาตินั่นแหละสอนมากที่สุด สอนดีที่สุดและมนุษย์ทุกคนก็เรียนจากธรรมชาติทั้งนั้นแหละ ที่เรียนมากที่สุด แต่เดี๋ยวนี้คนก่อน ๆ เขาได้เคยเรียนแล้ว เขาผ่านไปแล้วเขาเขียนบันทึกไว้ให้ เราก็เอามาเรียนได้ง่ายขึ้น ประหยัดเวลามากขึ้น แต่โดยเนื้อแท้แล้วธรรมชาติก็ได้สอนคนนั้นมาก่อนแล้ว เพราะไม่มีอะไรสอนดีเท่าธรรมชาติ ความทุกข์เป็นธรรมชาติมันสอนในใจ มันสอนอย่างที่ต้องเชื่อฟัง ความสุขถ้าเราฉลาดศึกษาเราก็เห็นว่าอย่างนั้นเป็นสุขได้ แต่ว่าไอ้ความสุขนี้มันมักจะทำให้เพลินให้ลืมไป ไม่ค่อยเรียน ไม่ค่อยสังเกต ที่ ที่ธรรมชาติสอนให้เกิดกิเลสคนสอนไม่ได้หรอก เด็กทารกเกิดออกมาพอได้กินของอร่อยก็เกิดความอยากเป็นกิเลส เพราะมันโง่ มันไม่รู้ว่าอร่อยนี่เป็นอันตราย นี่ธรรมชาติสอน คนสอนไม่ได้ ถ้าเราดูสัตว์เดรัจฉานแล้วเราจะเห็นว่ามันเรียนจากธรรมชาติทั้งนั้นแหละ อย่างสุนัขนี่มันจะรู้ว่าทำอย่างไรจะดีจะมีประโยชน์เป็นที่รักของเจ้าของ นี้มันเรียนจากธรรมชาติทั้งนั้น แล้วมันรู้ มันรู้หลาย ๆ อย่าง รู้ว่านอนตรงไหนสบายนี่ใครสอนมันล่ะ ธรรมชาติน่ะมันสอน ฉะนั้นไอ้สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายมันรู้จักทำอะไร ๆ ได้น่าดูมากมายก็ธรรมชาติสอนทั้งนั้น สอนสืบกันมาในสายเลือดเป็น instinct เป็นไอ้สัญชาตญาณนั้นก็มีแล้วก็มากเสียด้วย ก็แรงเสียด้วย เรียกว่ามันเรียนจากธรรมชาติ ธรรมชาติสอนจนเป็นหลักตายตัวไป คนทำรังนกกระจาบอย่างที่แขวนนั้นได้มั้ย มีรังนกกระจาบแขวนอยู่นั้น คุณทำได้ไหม นี่มันทำไม่ได้ ไอ้นกกระจาบมันเรียนมาจากธรรมชาติแล้วสืบต่อกันมาในสายเลือด สัตว์เดรัจฉานมัน มันได้ผ่านอะไรไปแล้ว มันก็ได้ความรู้ อย่างมันกินน้ำมันก็รู้ว่าไอ้น้ำนี้มันเป็นอย่างไร จะกินได้หรือไม่ได้ ถ้ากินผิดก็ไปอันตรายมันก็รู้ทีหลังมันก็ไม่กิน มันรู้จักมากขึ้น ๆ ดูสัตว์เดรัจฉานเป็นหลักแล้วก็เห็นว่ามันเรียนจากธรรมชาติ นี้คนก็เหมือนกันแล้วก็ดีกว่านั้น แล้วคนก็เรียนเรื่องที่ประณีตวิเศษสูงสุดกว่านั้น เรียนจากธรรมชาติ บางอย่างต้องเรียนจากธรรมชาติหรือตามที่ธรรมชาติมันจะสอนให้ ไม่มีทางที่คนจะสอนให้กันได้ แล้วธรรมชาติมันลึกลับ ลึกลับเหลือที่เราจะคำนวณคาดคะเน เช่น ความรู้สึกทางเพศนี่ธรรมชาติใส่มาเสร็จถึงเวลาก็รู้ได้เอง คนไม่ต้องสอน กิจกรรมทางเพศไม่ต้องสอนโดยคน ธรรมชาติสอนได้ ทั้งหมดนี้เรียกว่าธรรมชาติสอน เรียนจากธรรมชาติจนเป็นของตายตัวไปเลยก็มี เป็นอันว่าสรุปความว่าให้คอยสังเกตดูว่าทำอย่างไรผลออกมาเป็นความทุกข์ อย่าเอากับมัน ทำอย่างไรออกมาเป็นความสุขก็เอากับมัน ถ้าว่าทีแรกผิดพลาดออกมาเป็นความทุกข์ก็ไม่เอาสิ ก็เลิกสิ มันอาจจะไปทำผิดเป็นความทุกข์เข้าก็ได้ แล้วธรรมชาติก็สอนให้เจ็บปวด เราก็ไม่เอาต่อไป หลักเกณฑ์อย่างนี้มันมีมาโดยธรรมชาติ สอนโดยธรรมชาติ เมื่อสอนเรื่องไอ้ภายนอกทางเนื้อนี้หนังจบแล้ว มันก็สอนเรื่องภายใน คิดอย่างไรเกิดกิเลสและเป็นทุกข์ เกิดโลภะ เกิดโทสะ เกิดโมหะ ก็ไม่คิดอย่างนั้นก็ไม่ทำอย่างนั้น ก็ไม่เกิดโลภะ โทสะ โมหะ แบบที่พระอริยะเจ้าหรือพระพุทธเจ้าท่านเรียนจากธรรมชาติ แล้วสอนกันไว้ บันทึกกันไว้ เราก็ทำอย่างนั้นแหละเรียนจากธรรมชาติอย่างนั้น กิเลสเกิดขึ้นทีคือมีนรกเข้าไปอยู่ในอกในใจ ก็รู้จักเข็ดจักหลาบจักกลัวเสียบ้างสิ เรียนจากธรรมชาติ ทำถูกไม่มีนรก มีความพอใจชอบใจตัวเองเป็นสวรรค์ ก็รู้จักทำต่อไปอีก จนกว่าจะเบื่อทั้งนรกทั้งสวรรค์จึงจะทำว่างเป็นนิพพานตามธรรมชาติ หลายร้อยหลายพันหลายหมื่นหลายแสนหลายล้านเรื่องเรื่องของธรรมชาติไปสังเกตดูเถิด เพียงแต่คอยสังเกตให้ดี ๆ ก็เรียกว่าเรียนจากธรรมชาติได้ คือให้มองจนเห็นว่าเมื่อ เมื่อก่อนมันไม่มีใครสอนใคร ไม่มีใครรู้นี่ ไม่ ไม่มีคนแรกที่รู้ แล้วมันก็เริ่มรู้กันมาโดยมันกระทบกับธรรมชาติ แล้วธรรมชาติมันสอนให้ ผิดถูกคือทุกข์หรือสุข ก็จดจำกันไว้ ที่บอกกันได้ด้วยปากก็บอกกันเรื่อย ๆ มา ในชั้นแรกก็เป็นเรื่องตื้น ๆ ง่าย ๆ เรื่องกายเรื่องร่างกายเรื่องภายนอก ค่อย ๆ เป็นเรื่องลึกภายในเรื่องกิเลสเรื่องอะไรต่าง ๆ ไอ้คนแรกมันเป็นคนเรียนจากธรรมชาติแล้วจึงบอกคนที่หลัง ๆ ๆ สืบมาเพราะว่าก่อนหน้านั้นมันไม่มีใครรู้นี่ มนุษย์คนแรกที่เป็นคนรู้คนแรกมันอยู่ที่ไหนเราก็ไม่ ไม่รู้เหมือนกัน เราก็ค้นไม่พบเหมือนกันแต่เรารู้ได้ว่ามันไม่มีใครสอนใครทีแรก เขาเรียนจากธรรมชาติ เขาไปทำผิดอย่างนี้เข้า เขาก็เดือดร้อน เขาก็ไม่ทำอีก เหมือนกับเราไปเหยียบไฟเข้าเราก็กระโดดผลุง มันก็รู้ สอนรู้ว่าไม่ควรเหยียบ ไม่ต้องเหยียบ ระวังอย่าให้เหยียบ เรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งในภายในก็เหมือนกัน โลภะเกิดขึ้นมันก็กัดเอาเจ็บปวด โทสะเกิดขึ้นมันก็เผาเอาเจ็บปวด โมหะเกิดขึ้นมันก็ผูกมัดเอาเจ็บปวด รู้ ๆ ๆ ๆ ตามลำดับ จนคนชั้นหลังสุดมันก็ต้องเรียนจากธรรมชาติตามนัยยะแนวที่เขาสอนไว้ก่อน ที่เรียนจากหนังสือโดยตรงยังไม่ทันเรียนจากธรรมชาตินั้นยังไม่ไปสำเร็จประโยชน์ สำเร็จประโยชน์น้อยกว่ามาก เราเรียนคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วเตรียมไว้พร้อมที่จะเรียนจากธรรมชาติอีกทีหนึ่ง ตอนนี้จะได้ประโยชน์ที่สุด นี่คือวิธีเรียนจากธรรมชาตินับตั้งแต่เรื่องวัตถุภายนอกลึกลงไปถึงเรื่องจิตใจ วิญญาณในภายใน เป็นจิตที่รู้ธรรมชาติสูงสุด ธรรมชาติสูงสุดคือพระนิพพาน ได้ชิมรสของพระนิพพานในที่สุด ความว่างจากความทุกข์ไม่มีทุกข์เลย จิตได้ชิมได้สัมผัสธรรมชาติสูงสุดคือพระนิพพาน แม้แต่พระนิพพานก็เขาจัดเป็นธรรมชาติเหมือนกัน อะไร ๆ ก็เป็นธรรมชาติทั้งหมดเลย แล้วมันมีเรื่องของมันอย่างนั้น มีลักษณะของมันอย่างนั้น ไอ้ที่มันทำให้เป็นทุกข์เราจัดเป็นฝ่ายไม่เอาฝ่ายชั่วฝ่ายผิด ที่ไม่เป็นทุกข์เราจัดเป็นฝ่ายถูกฝ่ายดี ถ้าดียิ่งขึ้นไปอีกก็อยู่เหนือสุข เหนือทุกข์เหนือสุขเป็นนิพพาน ฉะนั้นขอให้ทำความเข้าใจคำสั้น ๆ ว่าทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ความทุกข์ก็เป็นธรรมชาติ วิธีดับทุกข์ก็เป็นไปตามธรรมชาติ ดับทุกข์แล้วก็ยังคงเป็นธรรมชาติ อยู่อย่างไม่มีทุกข์เลยก็ยังคงเป็นธรรมชาติ เตรียมไว้ให้ดี สังเกตดี ๆ จะได้เรียนจากธรรมชาติมากมายเลยโดยแน่นอน เอ้า, มีปัญหาอะไรอีก
ถาม - ท่านอาจารย์คะหนูคิดว่าแบบการที่ว่าจะปลูกฝังความเข้าใจเกี่ยวกับอะไรนี่ ความเข้าใจในวัยเด็กนี่จะสำคัญมาก ทีนี้หนูคิดว่าสำหรับในวัยเด็กนี่ การที่เด็กจะพิจารณาว่าอะไรสุขอะไรทุกข์นี่จากกฎธรรมชาตินั้น มัน มัน มันคงเป็นไปได้ เป็นไปได้ยากนะคะ หนูคิดว่าถ้าสมมติว่าเราเป็นเด็กนี่เราจะรู้สึกสุขเมื่อการกระทำของเรานั้นน่ะ พ่อแม่หรือว่าคนรอบข้างยอมรับชมเชย สิ่งนั้นคือสิ่งที่ทำให้เป็นสุข ถ้าอะไรที่เราทำไปแล้วเพื่อนไม่ยอมรับ ไอ้ ไอ้นั้นคือความทุกข์นะคะ แล้วทีนี้ถ้าหากว่าสภาพ สภาพที่เป็นอยู่คือเรา คือในปัจจุบันนี้สังคมมันจะเน้นหรือจะมองในด้านวัตถุกันมากนี่ เด็กก็อาจคือมีพัฒนาการทางด้านจิตใจไปในแง่ที่มองว่าวัตถุนี่คือธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเขา เพราะว่าถ้าเรามองว่าปัจจุบันนี้เด็ก ๆ มีความ จะมีลักษณะที่ว่าใกล้ชิดกับธรรมชาติน้อยมาก แล้วก็จะคุ้นเคยกับพวกวัตถุนี่ ความเคยชินตั้งแต่เด็กจนโตนี่เขาอาจจะมองว่าวัตถุ ไอ้เรื่องรถยนต์ บ้าน ตึกอะไรพวกนี้คือธรรมชาติที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขา มันเป็นความเคยชิน เพราะฉะนั้นการที่ว่าจะเรียนรู้จากธรรมชาติมันจะเป็นไปได้ไหมคะ คือ คือมองในแง่ที่ว่าสังคมนี่มีอิทธิพลที่จะทำให้พัฒนาการของเด็กแคระแกรนไปแล้วตั้งแต่เล็ก
ตอบ - สรุปปัญหาว่าอย่างไร เอาล่ะ, พอจะฟังถูกละว่าที่ถามมานั้นมันเป็น เป็นชั้นนอก ไอ้รอบนอก ชั้นรอบนอกที่เอาวัตถุเป็นหลัก เอาสังคมเป็นหลัก เอาความนิยมชมชอบของคนนอกเป็นหลัก อย่างนี้มันเอาเป็นหลักไม่ได้หรอก มันต้องเอาไอ้ที่จริงที่เป็นธรรมะเป็นจริงเป็นหลัก ไอ้สังคมเขากำลังนิยมผิด ๆ เราจะเอามาเป็นหลักไม่ได้ ไอ้สังคมที่มันไม่รู้เรื่องของธรรมชาติไม่เคยรู้ธรรมะมันก็ต้องยึดถือผิด ๆ เราจะไปตามสังคมที่ผิด ๆ ก็ไม่ถูก หรือแม้แต่บิดามารดาก็เหมือนกันถ้าเขามีหลักมาผิด ๆ ก็ยังไม่ได้เรียนรู้เรื่องธรรมชาติมันก็ต้องพูดกันใหม่ เด็ก ๆ มันก็ถูกแวดล้อมด้วยสังคมจน จนนิยมเป็นอย่างเดียวกันหมด ก็ไม่ถูก มันก็ไม่ถูก ถ้าสังคมมันผิดมันก็ผิด ในครอบครัวนี้มีหลักอย่างนี้มันก็ มันก็แล้วแต่ว่ามันถูกหรือมันผิดจากกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นเราจึงให้ถือเป็นหลักว่าถ้ามันมีความทุกข์แล้วมันไม่ใช้ได้หรอก ถ้ามันมีความไม่ทุกข์โดยแน่นอนนั้นแหละก็ใช้ได้ อย่าเอาสังคมหรือเอาอะไรหรือขนบธรรมเนียมประเพณีหรือวัฒนธรรมอะไรมาเป็นหลัก ให้เอาว่ามันทุกข์หรือไม่ทุกข์เป็นหลัก เมื่อเขาถือกันอย่างอื่น เราถืออย่างอื่น มันก็ต้องกระทบกันเป็นธรรมดา แต่เราเลือกเอาที่มันไม่เป็นทุกข์ สมัยประชาธิปไตยเสรีภาพนี้ยิ่งง่ายนะ ใคร ใครเลือกเอาตามตนชอบก็ได้ แล้วก็อย่าไปเข้า เข้าฝูงที่มันถือหลักผิด ๆ เด็กเกิดมายังไม่รู้ ยังไม่เป็นอิสระที่จะรู้ มันก็ มันก็ต้อง ต้องพลอยไปกับเขาด้วย ตามสิ่งแวดล้อมตามผู้แวดล้อมบิดามารดาหรือสังคมหรืออะไร ถ้ามันผิดมันก็ผิดไป ไป ไปก่อนแหละจนกว่ามันจะรู้ว่ามันผิด ถ้ารู้ว่าผิดแล้วก็กลับตัว ถ้าไม่รู้ว่าผิดมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ก็เรียกว่ามันโชคไม่ดีที่ไม่ได้มีโอกาสกลับตัว ในทางธรรมะไม่ ไม่ ไม่มีคำว่าโชคดีโชคร้ายหรอก แต่นี่เรามาพูดอย่างสมมติว่าถ้ามัน มันไม่มีทางจะดีได้ก็เรียกว่าโชคร้าย ถ้ามันยังดีได้มันก็ยังโชคดี เอาสมมติเรียกเข้าไปที่มันเป็นไปในทางฝ่ายผิดโดยธรรมชาติตามธรรมชาติ เดี๋ยวนี้เราศึกษามากขึ้นเรา เราคงจะสามารถถอนตัวเองออกมาจากความผูกมัดของไอ้ขนบธรรมเนียมประเพณี ความนิยมชมชอบหรือความนิยมของสังคม ถอนตัวออกมาเสียจากอิทธิพลของสังคมที่มันไม่รู้อะไร มาสร้างสังคมใหม่ของบุคคลที่มันรู้อะไร ถ้ายังสงสัยตรงไหนถามอีกก็ได้ ถามอีกก็ได้
ถาม – คือ คือถ้าอย่างนั้น ถ้ามองว่าเป็นเรื่องโชคดีโชคร้ายนี่ก็เท่ากับเราโยนปัญหาไปให้โชคชะตาสิคะ
ตอบ - ในทางธรรมะแท้จริงไม่มีหรอกไม่มีโชคชะตา ไม่มีโชคดีโชคร้ายแต่พอมันเป็นไปในทางเป็นทุกข์เราเรียกว่ามันโชคร้าย สมมติเรียกว่าโชคร้าย ทีนี้เราก็สามารถจะทำเสียให้ถูก โชคร้ายมันก็หมดไป ถ้าเราเห็นว่าไอ้โชคดีโชคร้ายนี้เป็นเรื่องสมมติแล้วมันก็ไม่มีปัญหา
ถาม – คือเท่าที่ เท่าที่ฟังมานะคะหนูพอจะจับได้ว่าถ้าสมมติว่า สมมติว่าเราเห็นว่าไม่ดีแล้วเราแก้นี่ เท่าที่อาจารย์เสนอมานะคะ มันเป็นลักษณะว่าเป็นการแก้เฉพาะที่ตัวบุคคล มันเป็นเรื่องที่ว่าแต่ละบุคคล ๆ ที่จะต้องทำคือแก้ปัญหาของตัวเองไป
ตอบ - แล้วเป็นยังไงล่ะทีนี้ ข้อแรกเราจะต้องแก้ความทุกข์ของเราให้ได้เป็นอันแรก แล้วก็ต้องกำจัดความทุกข์ของเราออกไปเสียให้ได้ ถ้ามันเนื่องด้วยสังคมเราก็พูดจาหารือกันไปในทางที่ถูกต้อง อย่าไปหลงในสังคมที่มันเป็นมิจฉาทิฐิ
ถาม – แล้วอาจารย์คะ แล้วอย่างนี้ในขณะที่ว่าคนส่วนน้อยนี่มีสัมมาทิฐิแต่ว่าส่วนใหญ่นี่มีมิจฉาทิฐินี่ แบบการที่ว่าจะเจรจาอะไรกันอย่างนี้ด้วยดี มันจะ มันจะก่อ มันจะก่อ ก่อให้เกิดขึ้นได้ในลักษณะไหน
ตอบ - ในโลกมันเป็นอย่างนั้นเอง คอยดูไป ไอ้ที่มันจะมีสัมมาทิฐิมันเป็นได้น้อย ไอ้ส่วนใหญ่มันจะเป็นไปอย่างมิจฉาทิฐิเพราะว่าพอเราคลอดมาจากท้องแม่ ธรรมชาติมันก็สอนให้ไปเป็นกิเลสแล้ว จนกว่าจะรู้สึกตัว จนกว่าจะแก้ไขให้กลับ กลับเป็นคนอย่างตรงกันข้ามนี่ต้องรอ มันจึงจำเป็นใช่ไหมที่ว่าจะต้องศึกษาธรรมะจากบันทึกของผู้ที่เรียนมาแล้วจากธรรมชาติโดยสมบูรณ์ เช่น พระพุทธเจ้า เป็นต้น เอามาเผยแผ่กันให้มากเข้า พวกที่จะมาเข้าฝ่ายสัมมาทิฐินี่คงจะมากขึ้นเอง ต่อสู้พญามารของมนุษย์คือมิจฉาทิฐิให้ชนะแล้วก็มีสัมมาทิฐิอยู่ด้วยกันในโลก เอ้า, อีก ๕ นาที
ถาม – อยากจะเรียนถาม เรียนถามท่านอาจารย์ว่าเมื่อเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สงบก็โน้มจิตใจให้สงบว่างจากกิเลสไปด้วย แล้วเมื่อเรากลับไปที่กรุงเทพฯ นี่ สภาพแวดล้อมมันจะเปลี่ยนไปนี่ เราจะสามารถดำรงจิตให้สงบได้อย่างไร เราไม่จำเป็น เราจำเป็นจะต้องมาอยู่กับธรรมชาติตลอดไปหรือเปล่า
ตอบ – นี่มันก็เป็น เป็นไปตามกฎของธรรมชาติคือสิ่งที่แวดล้อม สิ่งที่แวดล้อมอยู่อย่างไร มันก็ให้เกิดผลโดยสมควรแก่สิ่งแวดล้อม เราก็มาที่นี่แล้วก็ได้พบอะไรใหม่ที่แปลกไปจากเก่า ๆ ที่กรุงเทพฯ ศึกษาให้ดี กำหนดให้ดี ให้มันยังคงติดอยู่ในใจให้ ให้มั่นคงจนกระทั่งว่ากลับไปกรุงเทพฯแล้ว ไอ้สิ่งแวดล้อมที่กรุงเทพฯนั้นจะแวดล้อมเราอย่างแต่ก่อนอีกไม่ได้ เพราะเรามีจิตใจที่เตรียมไว้อีกรูปแบบหนึ่งแล้ว หรือว่าจิตใจของเราได้เปลี่ยนไปอีกรูปแบบหนึ่งแล้ว ชนิดที่ว่าสังคมแวดล้อมที่กรุงเทพฯจะแวดล้อมให้เกิดผลอย่างแต่ก่อนนั้นอีกไม่ได้ เพราะว่าเดี๋ยวนี้จิตใจของเราได้เปลี่ยนไปตามสมควร ได้ศึกษาธรรมะรู้เรื่องของธรรมะ รู้เรื่องกิเลส รู้เรื่องการป้องกันกิเลสตามสมควร หรือจะเรียกว่าได้รับการอบรมจิตใจพอสมควร จิตใจเปลี่ยนแล้ว แม้กลับไปสู่ที่เดิมที่มีสิ่งแวดล้อมอย่างเดิมก็จะไม่เกิดผลอย่างทีแรกโน้น ต้องเกิดผลที่ ที่ดี ดีขึ้นบ้าง มา มาอยู่ในฝ่ายที่ถูกต้องมากขึ้น ให้มันดีขึ้นนิดหนึ่ง แล้วก็วิ่งไปวิ่งมากับสวนโมกข์บ่อย ๆ นี่ ดีขึ้นทีละนิด ๆ คงจะถึงระดับที่พอใจ ไม่เชื่อก็ขอให้สังเกตดูถ้าเราไปเผชิญกับสิ่งแวดล้อมเก่านั้นน่ะ เราคงจะรู้เท่าทันมันบ้างไม่มากก็น้อย เราก็ต้องสู้ได้บ้างไม่มากก็น้อย เอ้า, หมดเวลาสำหรับวันนี้ สามทุ่มพอดี ไอ้ที่เราพูดกันนี้มันก็กำหนดไว้ เท่าไรล่ะ ๒ ชั่วโมง ตกลงกับอาจารย์วรศักดิ์ไว้แล้ว หัวรุ่งก็พูดกันได้ ไปต่อสู้กับ ไปนั่งบนอะไรที่กรุงเทพฯ ที่ดินนี่ที่นั่งของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน อยู่กลางดิน สอนกลางดิน เราได้มานั่งกลางดินรับอิทธิพลการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ไปต่อสู้กับการนั่งบนฟูกเบาะเมาะหมอนบนที่นอน