แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อายตนะภายนอก เป็นรูปเห็นด้วยตา หูได้ยิน อยู่ (นาทีที่ 0:12)ในความจำในอดีต เราจึงเรียกมันว่าภายนอก ฉะนั้นอารมณ์ที่เข้าไปถึงใจมันก็เข้าไปจากภายนอก มันอาศัยสิ่งภายนอก ชุดนี้จึงเรียกว่าอายตนะภายนอก ทีนี้ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พร้อมด้วยระบบประสาทรู้สึกได้นี้เรียกว่าอายตนะภายใน ก็เลยมีเป็นคู่ ๆ กันสำหรับจะถึงกันเข้า แล้วก็มีการปรุงแต่งตามแบบของธรรมชาติจนเป็นเรื่องเป็นราว เราจะต้องศึกษาจากของจริงอีกแหละไม่ใช่จากหนังสือ หนังสือมันช่วยความจำ แต่ว่าถ้า ถ้า ถ้า ติดอยู่ในหนังสือในสมุดโน๊ตมันก็ไม่ได้ประโยชน์ ฉะนั้นควรจะเข้าใจเมื่ออยู่ในสมองในความรู้สึกของเรา ให้รู้จัก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไอ้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นี้ไว้ให้ดี ๆ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราจะเป็นทาสมันต่อไปอีกนาน ก็ได้เป็นทาสมันมามากแล้ว กำลังเป็นอยู่ และจะกำลังเป็นไปอีกนาน พูดภาษาธรรมดา ๆ ก็ได้ว่าเราเป็นทาสตาของเรา ก็คือเราอุตส่าห์ไปแสวงหาสิ่งสวยงามมาให้ตามันดู ฉะนั้นสิ่งสวยงามต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นนั้น เอามาใส่ไว้เต็มบ้านเต็มเรือนเพราะว่าเราเป็นทาสของตา ตามันบีบบังคับให้ซื้อให้หาให้เอามาสำหรับตาจะดู ต้องอาศัยอวิชชา ความไม่รู้ ความหลง ตัณหาความอยากเป็นเครื่องช่วย ฉะนั้นเราก็ได้เป็นทาสของตา แล้วเราก็เป็นทาสของหู ไปเสาะหาสิ่งที่ถือกันว่าไพเราะเอามาไว้สำหรับจะใช้คำว่าบำเรอ บำเรอหู เครื่องเสียงเครื่องอุปกรณ์การเสียงมันจึงขายได้ดีผลิตขึ้นมากและขายได้ดี ล้วนแต่แพงเกินประมาณก็ซื้อหามาเพราะว่าเราเป็นทาสของมันแล้ว เป็นทาสของ ของหูซึ่งก็เป็นทาสของเสียงด้วย หูคู่กับเสียงไม่มีเสียงก็เหมือนกับไม่มีหู ไม่มีหูก็เหมือนกับไม่มีเสียง ทีนี้เราก็เป็นทาสของเสียง เพราะเราอุตริไปศึกษารู้ความไพเราะของเสียงมากขึ้น ๆ ซึ่งเขาถือว่าเป็นความเจริญ เป็นวัฒนธรรม และพร้อมกันนั้นเราก็หลงไหลในเสียงมากขึ้นจนเป็นทาสของเสียง ในบ้านสลัมหลายแห่งผมเคยเดินผ่านไป ไปธุระผ่านไป ในบ้านสลัมเฉอะแฉะนั้นน่ะก็มีเครื่องสเตริโอเครื่องเสียงแพง ๆ เหมือนกัน ได้ยินว่าผ่อนส่งมาทั้งนั้นแหละ นี่ขอให้ดูเถอะ ถึงแม้ที่ไม่ใช่ในสลัมในบ้านของผู้มีอันจะกินนั้นก็เต็มไปด้วยเครื่องเสียงนี่เอาไว้ฟังไว้อวดกัน ขอให้นึกถึงข้อที่ว่าเป็นทาสของหูก็คือเป็นทาสของเสียง มันแพงเขาอุตส่าห์ซื้อมาจนได้ผ่อนส่งจนยุ่งยากจนต้องเดือดร้อน ต้องเกิดเรื่องกันก็มี เขาไปผ่อนส่งมาแพงเกินไปมากเกินไปหลายอย่างเกินไป นี่พูดถึงแม้คนธรรมดาสามัญนี่ก็ยังเป็นอย่างนี้ ทีนี้คนร่ำรวยต้องก็เป็นทาสของเสียงนี้มากกว่านี้ คือซื้อหามามากมายกว่านี้ ทนฟังทนเล่นทนอะไรกันมากกว่านี้
ทีนี้จมูก เป็นทาสของจมูกหรือกลิ่นกับเครื่องหอมนี่ แต่ดูจากค่าใช้จ่ายจะน้อยกว่าเรื่องรูป เรื่องเสียง แต่เราก็ยังต้องซื้อหาไอ้ของหอมมากลบกลิ่นเหม็นบ้าง มาเสริมให้หอมยิ่งขึ้นไปบ้าง แล้วก็จะต้องให้หอมไปตลอดเวลา เพื่อส่งเสริมความรู้สึกทางกามารมณ์ นั่นก็เรียกว่าเป็นทาสของกลิ่น แม้ในเรื่องแต่งเนื้อแต่งตัวลงมากระทั่งถึงเรื่องอาหารการกินก็ต้องตกแต่งกลิ่น ไม่มีไม่ได้ นี่ก็เรียกว่าเป็นทาสของกลิ่น มีรสอร่อยที่ลิ้น นี่ก็กำลังก้าวหน้าหรือวิวัฒนาการมากในโลกเพื่อจะกินให้อร่อย กินให้แปลก กินเพื่อเป็นอาหารมันก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้ากินเพื่อเอร็จอร่อยเป็นเหยื่อไปแล้วมันก็แปลก มันก็มาก มันก็เป็นทาสของรส ก็ต้องแสวงหามา ไม่รู้สึกว่าแพง แต่มันยังไม่ร้ายเท่ากับว่ามันบีบคั้นจิตใจ มันครอบงำจิตใจ มันคล้าย ๆ กับว่าถ้าอาหารวันนี้ไม่อร่อยไม่ถูกปากมันก็จะวิ่งไปตบแม่ครัว ถ้ามันทำได้ ถ้ามันทำได้ มันจะถึงขนาดวิ่งไปตบแม่ครัวที่ทำอาหารวันนี้ไม่อร่อย ดังนั้นเราก็แสวงหาแต่ร้านอาหารที่มันอร่อย แสวงหาแม่ครัวที่ฝีมือดี คิดว่าเป็นของอวดว่าถ้าเขามีแม่ครัวมีกุ๊กมีอะไรที่ฝีมือดีชั้นเลิศมาจากเมืองนอก นี่ก็อวดกันว่าเป็นโชคดี ที่จริงมันเป็นเรื่องบ้าเรื่องบาป ผมพูดฝากพวกคุณทั้งหลายไว้แต่เดี๋ยวนี้ว่าการที่มีแม่ครัวดีมันเรื่องบ้าเรื่องบาป อย่างน้อยมันได้กินมาก ๆ ก็อ้วน ๆ ก็ตาย แม่ครัวดีนี่อุตส่าห์ไปหาไปจ้างมาแพง ๆ เพื่ออาหารอันอร่อยเพื่อจะกินมากเกินกว่าธรรมดา เมื่อกินมากเกินกว่าธรรมดาก็มีโรคหลาย ๆ อย่าง โรคไขมันในโลหิตโรคอะไรจนต้องตาย เขาเรียกว่าโรคของคนร่ำรวยมีเงินมาก กินอาหารดีมากเพราะมีเงินมากเพราะมีแม่ครัวดี นี่หลายโรคจะเกิดขึ้นเพราะการกินอาหารอร่อยดีมากเกินที่ควรจะกิน แม้แต่โรคต้อกระจกเขาก็ว่าเนื่องมาแต่สิ่งนี้ อย่าไปบูชาไอ้รสอันอร่อยที่ทำให้กินมากเกินกว่าธรรมดา ไปกินอาหารตามร้านก็เรียกหาไอ้เครื่องปรุงรสแต่งรสกันเต็มที่ กินกันเต็มที่ นี่ก็เป็นธาตุลิ้น รส ซึ่งเป็นกันทั้งโลก ประเทศอื่นอาจจะรุนแรงกว่าประเทศเราก็ได้ แต่เราก็ตามก้นเขา ฝรั่งว่าอะไรดีอะไรอร่อยอะไรแพงไอ้คนไทยก็ตามก้นเขาเพื่อจะไปกินสิ่งเหล่านั้น ของบางอย่างไม่ควรจะซื้อหามากินก็ซื้อหามากินไม่เห็นแก่ประเทศชาติ ไม่เห็นแก่ตัวเอง ของแพง ๆ ก็ยังซื้อมากิน ขนมปังชนิดหนึ่งที่บริษัท Jacob มันมีบริษัทตั้งขึ้นขายก่อนพวกคุณเกิด ผมขอพูดหยาบ ๆ ว่าโดยตรงมันก่อนพวกคุณเกิด ขนมปังไอ้กรอบของ Jacob นั่นมันก่อนพวกคุณเกิด มันอยู่ได้เพราะว่าแม้พวกไทยเรานี่แหละอุตส่าห์สั่งเข้ามา เดี๋ยวนี้เกือบแผ่นละสองบาทแล้ว ถามดูที่เขาซื้อกันมามันจะตกเกือบแผ่นละสองบาท ก่อนนี้มันราวยี่สิบสตางค์ ก็ยังซื้อมา ซื้อมาจากต่างประเทศ มันอยู่ได้แล้วมันก็มากขึ้นขายได้มากขึ้นเพราะว่าเราติดใจในรสของมัน
ทีนี้ก็โผฏฐัพพะ ผิวหนังซึ่งเต็มไปด้วยระบบประสาท บางส่วนเป็นที่ตั้งแห่งกามารมณ์ อวัยวะเพศประกอบด้วยผิวอันละเอียดอ่อน รับสัมผัสมากรุนแรงมาก มันก็เป็นความรู้สึกที่รุนแรงมากแล้วก็ตกเป็นทาสของมัน ที่เรียกว่าอวัยวะเพศ กิจกรรมทางเพศ เหล่านี้นี่มันยิ่งกว่าไอ้ที่ที่ที่ แล้วมาน่ะ ไอ้รูป เสียง กลิ่น รส นี้มันก็ยังไม่เท่าไอ้โผฏฐัพพะนี้ เหตุร้ายเกิดขึ้นเพราะมีโผฏฐัพพะเป็นมูลเหตุนี่มันมากกว่าไอ้ข้างต้นที่ว่า ความรู้สึกทางเพศ เพื่ออวัยวะของเพศ เป็นเหตุให้เกิดการกระทบกระทั่ง เบียดเบียน อาชญกรรม อะไรมากกว่าไอ้ ไอ้สี่อย่างข้างต้น แล้วก็ยังทำความบอบช้ำเจ็บปวด ทนทุกข์ให้แก่เจ้าของบุคคลนั้นมากกว่าไอ้สี่อย่างข้างต้น เพราะมันเป็นความรู้สึกทางเพศโดยตรง ไอ้รูป เสียง กลิ่น รส นี่ก็เป็นความรู้ เป็นเครื่องส่งเสริมความรู้สึกทางเพศได้เหมือนกันแหละ แต่มันไม่มากไม่รุนแรงเท่ากับผิวหนัง จึงเป็นที่ตั้งแห่งความรู้สึกตามธรรมดาด้วย ไอ้ความรู้สึกทางเพศอันรุนแรงด้วย คนจึงตกเป็นทาสของเรื่องทางเพศมาก อาชญกรรมวัยรุ่นอะไรต่าง ๆ เดี๋ยวนี้ในหน้าหนังสือพิมพ์นั้นน่ะต้นตอมันอยู่ที่เรื่องเพศนี้มากกว่าเรื่องใด เพราะว่าคนเหล่านั้นเป็นทาสของอายตนะ คือผิวหนัง ผิวกายและโผฏฐัพพะ ขอให้ไปเรียน ศึกษาดู มองดูจากของจริงเหล่านั้นไม่ใช่ว่าจากคำพูด
และสิ่งสุดท้าย รู้สึกด้วยจิต คิดด้วยจิต อะไรอาจสบายแก่จิตที่คิดนึก มันก็เอามาคิดเป็นเรื่องประจำจิต มีความรู้สึกเพลิดเพลินเมื่อได้คิดอย่างนั้น เมื่อได้รู้สึกอย่างนั้นก็เกิดความเพลิดเพลิน ก็เอาเรื่องอย่างนั้นมาคิดมารู้สึกอยู่เป็นประจำ เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมก มีคำบาลีอยู่สามคำเราแปลออกมาได้ว่า เพลิดเพลินไอ้การคิดอย่างนั้น พร่ำสรรเสริญน่ะคือใจมันรู้สึกอร่อยมันพูดอยู่ในใจ บางทีก็ออกมาข้างนอกถึงกับสูดปากเลย อร่อยในความอร่อยแก่ความคิด และเมาหมกก็คือฝังจมอยู่ในความคิดชนิดนั้นในฐานะเป็นความเพลิดเพลิน เป็นความยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน นี้เราจึงเป็นทาสจิต ใจนี้จะเรียกว่าใจน่ะ มโนเรียกว่าใจ ที่มันคิดอะไรได้เพลิดเพลิน และอารมณ์ที่มาทำให้คิดได้เพลิดเพลิน คือธรรมารมณ์ บางชนิดที่รุนแรงก็ดูจะเป็นเรื่องรู้สึกทางเพศด้วยเหมือนกัน
นี่เรามารู้จักความที่สัตว์โลกทั้งโลกเป็นทาสของอายตนะ ที่ตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส ผิวกายกับโผฏฐัพพะ ใจกับธรรมารมณ์ ตามธรรมชาติธรรมดาของมนุษย์ที่ไม่ได้รับการสั่งสอนชี้แจงเรื่องนี้ ดังนั้นคนในโลกเดี๋ยวนี้เขาไม่ได้สอนเรื่องเลวร้ายของสิ่งเหล่านี้ เขาปล่อยไปตามเรื่อง แล้วบางทีเขาก็ยุยงส่งเสริมให้หลงไหลในเรื่องนี้มาก ๆ เพื่อว่าจะได้เข้มแข็ง จะได้ขยันในการที่จะหาทรัพย์หาปัจจัย ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องกระตุ้น แต่แล้วก็ไม่พ้นจากความเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้ แล้วมันเกิดผลอะไรขึ้นมาคุณก็พอจะมองเห็นได้เอง พวกอยู่ในกรุงเทพจะมองเห็นได้ง่ายกว่าบ้านนอกหรือในป่าอย่างนี้ ว่ามันได้ทำให้เกิดอะไรขึ้นมาแก่ตัวเราเองที่อยู่ด้วยความหิวความกระหายทางอายตนะนี่ ทีนี้ก็เป็นเหตุให้เกิดความปั่นป่วนออกไปถึงภายนอกซึ่งเป็นเหตุให้คนเบียดเบียนกัน สรุปความว่าเป็นทาสของอายตนะด้วยกันทุกคนในโลก คือเรื่องทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ
ทีนี้ที่ละเอียดลงไปหน่อยก็ไอ้สิ่งทั้ง ๖ นี้มันให้เกิดเวทนา ทางตากับรูปก่อให้เกิดเวทนาสุข เป็นสุขเมื่อสวย ทางหูกับเสียงก็เกิดเวทนาเป็นสุขเมื่อไพเราะ จมูกกับลิ้นเกิดเวทนาเป็นสุขเมื่อมันหอม ลิ้นกับรสมันเป็นสุขเมื่อเวทนาเป็นสุขคืออร่อย ผิวหนังกับโผฏฐัพพะก็เมื่อเวทนาเป็นสุขเมื่อนิ่มนวล เร้าความรู้สึกของระบบประสาทเกือบจะทุก ๆ อนู แล้วใจก็เหมือนกัน รู้สึกอร่อยเมื่อใอ้ความคิดนั้นมันกระตุ้นเล้าโลมจิตใจเป็นสุข สุขนี้เขาเรียกว่าเวทนา ไอ้ตัว ตัว ตัวจริงของมันก็คือเวทนา สุขกับเวทนาโดยเฉพาะ ที่ว่าเราเป็นทาส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่ ที่แท้จริงก็คือเป็นทาสของเวทนาที่ออกมาจากการสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ไอ้ ๖ อย่างนี้ กับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ อย่างนั้นถึงกันเข้าแล้วมันก็จะต้องเกิดผลเป็นเวทนา แล้วมี เอร็จอร่อยอยู่ที่เวทนา หลงไหลในเวทนา ทุกคนเป็นทาสของเวทนา ก็ไปดูชายหนุ่มหญิงสาวที่เขาบูชาเวทนา เรียกอันนี้ว่าความสุขสุดยอด เขาก็ทำได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องคำนึงถึงศีลธรรม ไม่ต้องคำนึงถึงผิดถูกชั่วดี กุศลอกุศล ถ้าเขาบูชาเวทนา ต้องการแต่เวทนาอันเป็นสุข คือเป็นยอดสุดของความสุขตามความหมายของเขา คือความกระตุ้นสูงสุดที่ชาวโลกเขาเรียกว่าสุขสูงสุด
แต่พวกธรรมะพวกศาสนาถือว่าเมื่อไม่ถูกกระตุ้นเลยน่ะเป็นความสุขสูงสุด สงบเย็นเป็นนิพพาน ไม่ถูกกระตุ้นเลยน่ะเป็นสุขที่สุดเป็นนิพพาน แต่ชาวบ้านชาวโลกเขาเมื่อถูกกระตุ้นรุนแรงสุดเหวี่ยงนั้นคือความสุขที่สุด นั้นเขาจึงทำให้เกิดความกระตุ้นรุนแรงทางกามารมณ์ อาศัยตา อาศัยหู อาศัยจมูก อาศัยลิ้น อาศัยผิวหนัง อาศัยจิตใจ ให้กระตุ้นถึงที่สุดจนถึงกับลืมตัวไปกับเขาว่าความสุขที่สุด เมื่อรู้สึกอย่างนั้นมันก็ต้องเป็นทาสของสิ่งนั้น ดังนั้นคนธรรมดาที่ไม่เกี่ยวกับธรรมะ ไม่รู้เรื่องธรรมะก็บูชาสิ่งนั้น สมัครใจไปเป็นทาสของสิ่งนั้น คือเวทนาอันสูงสุด เป็นเสร็จเลย เป็นแล้ว เป็นสมบูรณ์แล้ว ไม่ใช่ว่าจะเป็น ไม่ใช่ มันเป็นมาแล้ว คือเป็นทาสของเวทนา นี้คือข้อเท็จจริงที่จะต้องมองให้เห็น ทีนี้ก็เราจะเป็นทาสของพระเจ้าหรือจะเป็นทาสของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กันอย่างไร ทำวัตรเย็นนี้ก็มีว่าข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า พระเจ้าเป็นนายอิสระเหนือข้าพเจ้านี่ก็ว่ากันอยู่ทุกวัน มันจริงอย่างนั้นหรือไม่ หรือว่าที่แท้แล้วมันก็ไปเป็นทาสของอายตนะ ไปเป็นทาสของเวทนา พวกถือศาสนาที่มีพระเจ้าเขาก็ตะโกนว่าเป็นทาสของพระเจ้า ทาสของพระเป็นเจ้า รับใช้พระเป็นเจ้า ที่มันเป็นเสียแต่ปากว่า แต่จิตใจมันไปเป็นทาสของกิเลส ของเวทนาหรือของอายตนะ เป็นทาสตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทีนี้ก็เป็นกันทั้งโลก ทั้งหญิงทั้งชายทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ เป็นกันทั้งโลก ถ้าพูดตามภาษาธรรมะน่ะคุณคงจะรู้สึกแปลกหู ถ้าผมจะพูดว่าเดี๋ยวนี้ไอ้ค่ายอเมริกันกับค่ายรุสเซียรบกันไม่มีที่สิ้นสุดน่ะเพราะว่าต่างฝ่ายต่างเป็นทาสของเวทนา ฝ่ายหนึ่งก็ต้องการชนะ ฝ่ายหนึ่งก็ต้องการชนะ เพื่อจะครองโลก เพื่อจะรวบรวมเอาปัจจัยแห่งสุขเวทนามาเป็นของตัว มันอยากจะครองโลกก็เพื่อประยชน์แก่เวทนา เพราะเขาเป็นทาสของเวทนา นายทุนก็เป็นทาสของเวทนา กรรมกรก็เป็นทาสของเวทนา ดังนั้นเขาก็จะต้องรบรากันไปไม่มีที่สิ้นสุด แม้เขาจะแตกต่างกันมากขนาดเป็นนายทุนกับเป็นชนกรรมาชีพ ทั้งสองฝ่ายล้วนแต่เป็นทาสของเวทนา อันหนึ่งหวงแหนก็เป็นทาสของเวทนา อันหนึ่งจะยื้อแย่งเอามาให้ได้ เขาก็เป็นทาสของเวทนา นี่ดูให้ดีเถอะว่าโลกทั้งโลกรบกัน ฆ่าฟันกันเป็นงานของโลก ก็เพราะว่าแต่ละฝ่ายเป็นทาสของเวทนา คืออายตนะ อร่อยแก่อายตนะ ทีนี้ก็คำนวณดูเองเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กน่ะ การที่ทั้งโลกเป็นทาสของเวทนา แล้วจะต้องรบราฆ่าฝันกันไปโดยไม่มีทางจะสิ้นสุด เพราะมันเป็นทาสของอายตนะ ทั้งโลกเป็นทาสของอายตนะแต่ละคนทนทรมานเหมือนกับตกนรกเกี่ยวกับไอ้ความอร่อยทางอายตนะในเมื่อมันไม่ได้ หรือมันไม่ได้อย่างใจหรือมันเกิดขัดข้องเกิดอุปสรรค มันก็มีปัญหาเรื่องผัวเมีย เรื่องไอ้กามารมณ์ เรื่องอะไร เหมือนกับตกนรกทั้งเป็นกันอยู่ทุกฝ่ายแหละ นี่ภายในส่วนตัวบุคคล แม้ว่ามันจะได้ถูกใจ พอใจอร่อยสูงสุดและพอใจมันก็ยังถูกทรมานด้วยความรักที่เลยเถิด ไอ้ความหึงความหวง ความอิจฉาริษยา แต่ก็รัก รักตัวเมียมาก มันออกไปบ้านนิดเดียวมันก็สงสัยแล้ว ถ้าตัวเมียมันรักตัวผู้มาก ตัวผู้ออกไปนอกบ้านนิดเดียวมันก็สงสัยแล้ว นี่แม้ว่ามันจะได้อย่างถูกใจอย่างเอร็จอร่อยมันก็ยังมีปัญหาอย่างนี้ ฉะนั้นคุณอ่านหนังสือพิมพ์ แล้วก็ขอให้อ่านเลยลงมาจนถึงนี่ด้วยนะ ผมรับรองได้ว่าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่มาอ่านกันอยู่นี่ ถ้าอ่านให้ถึงที่สุดของมันจะมาพบไอ้ความเป็นทาสของอายตนะทุกเรื่องไปเลย ไม่ว่าเรื่อง เรื่องร้ายเรื่องดีเรื่องชนิดไหนหมด โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับไอ้กามารมณ์ ปัญหาในโลกทั้งโลกไม่เฉพาะประเทศไทยน่ะมันเกิดมาจากการเป็นทาสของอายตนะ ผมบอกวันนี้จะพูดกันเรื่องความเป็นทาสของอายตนะ ขอให้ฟังออกขอให้ฟังถูกแล้วก็ขอให้เอาไปมองเห็นได้ด้วยตนเอง
นี้พูดเรื่องใหญ่ ๆ ที่รู้สึกรุนแรงทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้าหากว่าเราจะไม่ต้องเป็นทาสของอายตนะกันบ้างนี้จะดีไหม ถ้าคุณเห็นว่าไม่ดีก็ตามใจ แต่ถ้าเห็นว่ามันดีก็ควรจะพยายามศึกษาเพื่อจะไม่ต้องเป็นทาสของอายตนะ มันจะเป็นอิสระ มันจะยิ่งกว่าประชาธิปไตย การที่ไม่ต้องเป็นทาสของกิเลส ไม่ต้องเป็นทาสของเวทนา ไม่ต้องเป็นทาสของอายตนะนี่มันเป็นอิสระสูงสุดยิ่งกว่าประชาธิปไตย เดี๋ยวนี้เป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นหมดอิสระ มนุษย์วิวัฒนาการขึ้นมาสูงสุดทิ้งสัตว์เดรัจฉานเสียไกล แล้วมนุษย์ก็ได้มาเป็นทาสของอายตนะ ร้อนระอุอยู่ทุกวันทุกเวลา สัตว์เดรัจฉานไม่ได้วิวัฒนาการถึงขนาดนั้น ก็เป็นทาสของอายตนะน้อยที่สุดหรือเป็นไม่ได้ สัตว์เดรัจฉานจึงเยือกเย็นในทางกิเลสตัณหานี้กว่ามนุษย์ มนุษย์ร้อนระอุด้วยไฟราคะ โทสะ โมหะ ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเหลือที่จะประมาณได้ นี่ลองเปรียบเทียบดูแล้วมันไม่ใช่หยุดอยู่แต่เพียงคนสองคน มันขยายตัวออกไปทั้งโลก เพราะเป็นเรื่องของโลก แล้วก็เดือดร้อนกันทั้งโลก เดี๋ยวนี้เดือดร้อนกันทั้งโลกมันถึงกันหมด ความผิดพลาดบกพร่องเกิดที่ไหนมันก็เดือดร้อนกันไปทั้งโลก สงครามเกิดกันที่ไหนมันก็เดือดร้อนกันไปทั้งโลก เพราะมันสัมพันธ์กัน แล้วความเจริญของมนุษย์มันก็เจริญในส่วนนี้ ส่วนปิดสิ่งส่งเสริมความรู้สึกทางอายตนะ ผลิตด้วยอุตสาหกรรมใหญ่หลวงเลยเพื่อส่งเสริมความอร่อยทางอายตนะ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง ทางจิตใจ แล้วก็ประหลาดที่สุดที่ว่าอุตส่าห์ลงทุนเพื่อเอามาทำให้เราเป็นทุกข์ ลงทุนไปนี้เพื่อเอามาทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ มนุษย์ในโลกผลิตอะไรต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อทำให้ตัวเองมีปัญหายุ่งยากและเป็นทุกข์ ไม่ใช่เพื่อสันติภาพ ที่เรามีรถยนต์ใช้มีอะไรใช้กันนั้น ไป ไปดูเถอะ มันเพื่อสุขสนุกสนานเอร็จอร่อยทางอายตนะเสียมากกว่าที่จะทำงานโดยแท้จริง งานที่จำเป็นโดยแท้จริงนั้นมีน้อย เราใช้น้ำมันใช้ไฟฟ้าใช้อะไรต่าง ๆ นี้เพื่อส่งเสริมความสุขเสียมากกว่าใช้เพื่อความจำเป็นแก่ชีวิตโดยตรง ใช้สำเริงสำราญนี้มากกว่าจะใช้เพื่อสุขภาพอนามัยโดยแท้จริง เดี๋ยวนี้ก็เป็นกันอย่างนี้ทั้งโลก ที่ว่าสิ่งฟุ่มเฟือยนั้นน่ะมันไม่มองเห็นเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย เห็นเป็นสิ่งจำเป็นไปหมด ในการคำนวณรายได้ประชาชน ตัวตัวเลขที่ประชาชนอยู่ได้ เพระบวกค่าบุหรี่ ค่าเหล้า ค่าอะไรเข้าไปด้วยสำหรับคำนวณรายได้เพื่อการเป็นอยู่ของประชาชน นี้บุหรี่นี่ยาเสพติดคุณลองคิดดูเถอะมันจำเป็นอะไร มันก็ทำจิตใจให้มึนเมา ความรู้สึกอร่อยทางจิตใจ แม้จะสูบบุหรี่ด้วยปากด้วยลิ้นน่ะแต่นี่ไม่ใช่เรื่องของลิ้นน่ะ มันเป็นเรื่องที่เข้าไปกระตุ้นในทางจิตใจให้ครึ้มให้อร่อย ด้วยความกระตุ้นของความมึนเมาของความครึ้ม นั้นเป็นเรื่องส่วนจิตใจ แต่ยาเสพติดที่ร้ายแรงก็เหมือนกันน่ะ มันเข้าไปถึงจิตใจมันไปเป็นอารมณ์ของจิตใจ มันก็เป็นทาสของไอ้สิ่งเหล่านั้น
ฉะนั้นขอให้ดูว่ายิ่งไม่จำเป็นเท่าไรยิ่งเหลือเฟือ สิ่งเหลือเฟือเท่าไรก็ยิ่งเป็นสิ่งหลอกลวง เป็นสิ่งที่ทำให้เป็นทาสของอายตนะมากขึ้นเพียงนั้นแหละ แล้วก็มองลงไปก็จะเห็นว่ามันเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ปัญหายุ่งยากต่าง ๆ นานา ในทางความรู้สึกเป็นทุกข์ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่เพียงเท่านั้น มันทำให้โง่มันทำให้หลง มันทำให้มีอวิชชามากขึ้น ที่เราไปเป็นทาสของอายตนะนี่ไม่ใช่ว่าเปลืองเงินอย่างเดียว มันทรมานใจให้เป็นทุกข์ ยุ่งยากด้วย แล้วไม่ใช่ทรมานเป็นทุกข์ยุ่งยากโดยส่วนเดียว มันทำให้โง่ทำให้เป็นมิจฉาทิฐิ มันรู้สึกกลับกันไปเสีย มันโง่มันเป็นมิจฉาทิฐิ มันจะรู้สึกกลับกันเสีย ไอ้ที่จะทำให้เกิดทุกข์นั้นน่ะมันจะเกิดสุขเสีย มันกลับกันไปหมด สูบบุหรี่นี่มันแสนจะโง่น่ะเพราะมันเอาควันไฟไปรุมปอดให้ปอดมันเสียเร็ว ๆ แต่ถ้าเป็นทาสของมันแล้วมันก็เห็นว่าเป็นสุข เป็นสุขเป็นดีนี่ ไม่ใช่ทำลายให้ปอดมันเสียเร็ว ๆ นี่คือข้อที่มันทำให้เกิดความเข้าใจผิด เมื่อเราไปเป็นทาสของมันแล้วมันก็เกิดความเข้าใจผิด กลับสิ่งที่ตรงกันข้าม ให้มันเป็นตรงกันข้าม มันเข้าใจตรงกันข้ามเสมอ เมื่อมันเสียหลักเรื่องอะไรผิดอะไรถูกอย่างนี้แล้วมันจะเสียหลักหมดไปตลอดเลย จะเห็นทุกข์เป็นสุข เห็นสุขเป็นทุกข์อะไรเรื่อยไปเลยตลอดทุกเรื่องเลย มันก็แก้ปัญหาของชีวิตไม่ได้ ดังนั้นถ้าเราเป็นทาสของบุหรี่ เป็นทาสของเหล้า เป็นทาสของไอ้สิ่งเสพติดอื่น ๆ เป็นทาสของการพนัน เป็นทาสของอบายมุขใด ๆ ก็ตาม มันจะเสียเงินมาก มันจะทนทรมานมาก แล้วมันจะกลับให้เป็นคนที่มีหลักวิปริต ดีเป็นชั่ว ชั่วเป็นดีหมด แล้วจะไปแก้ไขอะไรได้ ไม่ต้องพูดว่าจะไปนิพพานกันแล้ว ถ้ามันเสียหลัก จะเอาดีเป็นชั่ว เอาชั่วเป็นดีอย่างนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะไปนิพพานแล้ว แม้จะอยู่ในโลกนี้ให้มีความสุขมันก็ทำไม่ได้
ดังนั้นในทางธรรมะเขาจึงมุ่งที่ตรงนี้มาก ธรรมะในพระศาสนานี่มุ่งจะถอนเอาคนออกมาเสียจากความเป็นทาสของอายตนะ ไอ้ธรรมทั้งหมดที่คุณอุตส่าห์มาบวชแล้วจะเรียนนั่นมันมีจุดมุ่งหมายที่จะถอนคนออกมาเสียจากความเป็นทาสของอายตนะ จึงสอนเรื่องรู้จัก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ บังคับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่เป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปดูเถอะทั้งหมดทั้งพระไตรปิฎกยืนยันได้ มันจะถอนมนุษย์ออกมาเสียจากความโง่ ความหลงเข้าไปเป็นทาสของเวทนาของอายตนะ ฉะนั้นขอให้ทุกคนทดสอบตัวเองสอบสวนตัวเองว่ามันเข้ารูปกันหรือยัง ที่เรามาบวชกันคราวนี้มันเพื่ออะไร ในเมื่อจุดหมายของพระศาสนามันก็เพื่อจะถอนตัวออกมาเสียจากความเป็นทาสของอายตนะ เราจึงจัดให้มีการอยู่กันอย่างที่จะไม่ส่งเสริมความเป็นทาสของอายตนะ ที่นี่ ที่สวนโมกข์นี่จัดการเป็นอยู่ทุกอย่างให้มันเป็นไปเพื่อไม่ส่งเสริมความเป็นทาสของอายตนะ กินข้าวจานแมวอาบน้ำในคู นอนในเล้าหมู ฟังยุงร้องเพลง นี่พูดเป็นคำล้อ ๆ ให้มันจำกันง่าย ๆ ถ้าคุณอยู่อย่างนี้ได้มันจะถอนตัวออกมาจากความเป็นทาสของอายตนะ กินข้าวจานแมวน่ะคือกินอย่างง่ายเหมือนคลุกให้แมวกิน อาบน้ำในคูก็ลงไปในคูหรือที่น้ำในห้วย ถึงแม้จะมีท่อน้ำบ่อน้ำบ้างก็มันมีลักษณะเหมือนกับน้ำในคู อาบน้ำในคู นอนในกุฏิเท่าเล้าหมู ไม่ได้อยู่ตึกอยู่อะไรอย่างที่อยู่ที่บ้านน่ะ นี่เราเรียกว่านอนในเล้าหมูค่อนข้าง ค่อนข้างจะคับแคบ หรือฟังยุงร้องเพลงถ้าโกรธยุงไม่ใช่เป็นพระ ถ้าไปโกรธยุงกันล่ะหมดความเป็นพระ ถ้าบอกฟังว่ามันมาร้องเพลงให้ฟังก็ไม่ต้องโกรธมันก็มีความเป็นพระ ถ้าเราไม่เป็นทาสของอายตนะจนทำอย่างนี้ไม่ได้ โดยอยากจะกินสบาย อยู่สบาย นอนสบาย มีเครื่องขับกล่อมบำรุงบำเรอทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ อยู่ที่บ้านทำได้อย่างนั้นและทุกคนก็ได้ทำอย่างนั้น ทีนี้พอมาอยู่สวนโมกข์มันเปลี่ยนรูป จะเรียกว่าตรงกันข้ามก็ได้ อยู่ที่บ้านส่งเสริมความเป็นทาสของอายตนะ พอมาอยู่สวนโมกข์กลายเป็นจะเล่นงานอายตนะ คือไม่ยอมเป็นทาสของอายตนะ ถ้าอยู่ได้ตามหลักเกณฑ์อันนี้มันก็มีการเปลี่ยนแปลงในตัวบุคคลนั้น ๆ คือไม่เป็นทาสของอายตนะ ใครเห็นว่าถูกต้องแล้วดีที่สุดแล้วมีประโยชน์ที่สุดตรงตามพระพุทธประสงค์ก็ขอให้ช่วยเอาติดตัวไป เวลาสิกขาบทสึกออกไปขอให้เอาบทเรียนนี้ติดไป ให้รู้ว่าผลที่เราฝึกได้เท่าไรเกี่ยวกับบทเรียนอันนี้ คือไม่เป็นทาสของอายตนะนี่ติดตัวไปด้วย แล้วกลับออกไปคราวนี้ก็ไปจัดอะไรบางอย่างเสียใหม่ เพื่อไม่ต้องเป็นทาสของอายตนะเหมือนแต่ก่อนโน้น นี่คือเรื่องธรรมะ เรื่องพระศาสนา มาบวชโดยไม่รู้ว่ามาบวชเพื่อฝึกการถอนตัวออกมาเสียจากความเป็นทาสของอายตนะ บางคนเข้าใจผิดเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นเป็นแน่ เพราะว่าถ้าจะบวชกันจริงเป็นพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนาจริงแล้ว ทุกอย่างมันจะเป็นการเล่นงานปราบปรามข่มขี่อายตนะ ไม่ต้องตกเป็นทาสของอายตนะทั้งนั้นน่ะ นั้นแหละคือสิ่งที่เรียกกันว่าบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สามารถสอนผู้อื่นได้จริงในการบวชนั้น ๆ ที่ไหนก็เป็นอย่างนี้ ถ้า ถ้า ถ้าเป็นไปตามหลักธรรมะจริง ๆ มันจะเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็ไม่ใช่บวชจริง เรื่องจริง ปฏิบัติจริง มันจะเหมือนกับไม่ได้บวช บางแห่งมันจะร้ายไปกว่าไม่ได้บวชเสียอีก ถ้าไม่บวชจริง มันจะสร้างนิสัยโลเลมากขึ้นกว่าเดิม ออกไปมันก็จะโลเลมากกว่าเดิม ฉะนั้นขอให้การบวชนี้มันเป็นการทำเหมือนกับว่าให้เกิดใหม่อย่างนั้น ให้เกิดใหม่ ให้ไปในทางที่มันดีขึ้น มันสะอาดขึ้น มันสว่างไสวขึ้น มันสงบเย็นยิ่งขึ้นนั้นแหละจึงจะเป็นการบวชที่ถูกต้อง ถ้ามันสะอาดสว่างสงบเย็นแล้วมันก็เป็นเรื่องต้องบังคับควบคุมอายตนะทั้งนั้น คือไม่ต้องเป็นทาสของอายตนะเลย มันจึงจะมีความสะอาด สว่าง สงบ
นี่ผมไม่อยากจะพูดคราวเดียวหลายเรื่องให้มันซับซ้อนยุ่งยาก จึงพูดแต่เพียงเรื่องเดียวว่า เรื่องการเป็นทาสของอายตนะ อายตนะในที่นี้หมายถึงอายตนะที่อยู่ที่ตัวคนคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ข้างใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อยู่ข้างนอกที่จะเข้ามาสัมผัสกับข้างใน แล้วก็ได้อาศัยสองอย่างนี้แล้วก็ปรุงเป็นเวทนา เวทนาเป็นสุข เวทนาเป็นทุกข์ เวทนาไม่ทุกข์ไม่สุข ไอ้เวทนาที่เป็นสุขน่ะชวนให้ตกเป็นทาสของอายตนะ ถึงเวทนาที่เป็นทุกข์ก็ถ้าว่าควบคุมมันไม่ดีมันก็ทำให้เป็นทาสของอายตนะไปในทางอื่น คือจะมีจิตใจชนิดที่ทารุณโหดร้าย โทสะประทุษร้ายนั้นมากขึ้น ทุกขเวทนาจะให้ผลเป็นทำนองนั้น จนไม่ทุกข์ไม่สุขหรือทำให้โง่อยู่ตามเดิม ส่งเสริมความโง่อยู่ตามเดิม ไอ้สุขนี่ทำให้หลงไหลในเหตุปัจจัยของความสุขคืออายตนะ คือทุนปัจจัยสำหรับให้เกิดไอ้ความรู้สึกทางอายตนะ ถ้ามันกลายเป็นทาสของอายตนะแล้วมันผิด ผิดแล้ว ผิดเรื่องของมนุษย์ที่ควรจะเป็น ถ้ามันยังไม่เป็นทาสของอายตนะก็ยังถูกอยู่ เช่นเราจะมีชีวิตสมรสเป็นภรรยาสามีอย่างนี้ ถ้ามันไม่เป็นเรื่องของไอ้เป็นทาสของกิเลสแล้วก็ไม่เป็นไร มันยังถูกอยู่ตามเรื่องของมนุษย์ มีมนุษยธรรม มีธรรมะ แต่ถ้ามันหวังจะเอร็จอร่อยทางกามอารมณ์นี้มันผิดแล้วมันไถลออกไปนอกเรื่องของมนุษย์ที่ถูกต้อง ฉะนั้นจะต้องมีปัญหาเสมอ นี่เราดูกันให้ดีเถอะว่าชีวิตนี้จะดำเนินไปอย่างไร ดำเนินไปไหน ดำเนินไปโดยวิธีใดจึงจะเป็นเรื่องถูกต้อง คือไม่สร้างให้ความทุกข์ความร้อนขึ้นมา แต่โดยหลักธรรมะในทางศาสนาก็สรุปได้สั้น ๆ ว่าในลักษณะที่ไม่เป็นทาสของอายตนะนั้นเอง ไม่เป็นทาสของกิเลสตัณหาหรืออายตนะนั้นเอง ขอให้ทุกท่านน่ะต่อไปนี้ให้รู้จักควบคุมชีวิตให้เป็นไปในลักษณะที่ไม่ต้องตกเป็นทาสของอายตนะ แล้วก็จะเป็นมนุษย์ที่อยู่เหนือความทุกข์อยู่เหนือกิเลส การบวชบรรพชาได้ฝึกฝนข้อนี้สำเร็จแล้วก็ได้ผลเกินคาด ได้ผลเกินค่า (นาทีที่ 46:53) ได้ผลเกินประมาณน่ะ ถ้าการบวชของใครทำให้บุคคลนั้นถอนตัวออกไปซะได้จากความเป็นทาสของอายตนะแล้ว การบวชของคนนั้นจะมีค่าเกินค่า (นาทีที่ 47:09) ถึงจะเรียกว่าเต็มตามที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์ แต่ว่าสำหรับมนุษย์ต้องถือว่าดีเกินค่า (นาทีที่ 47:18) แต่ถ้าบวชแล้วมันไม่ให้ผลในทางนี้แล้วมัน มัน ระวังนะมันจะเสีย เสียเวลาบวชน่ะ บวชแล้วไม่ปรับปรุงให้จิตใจชนะอายตนะได้แล้วก็จะเสีย จะเรียกว่าเสียเวลาบวช เสียทีบวช เสียเที่ยวบวช ไม่ ไม่คุ้ม
ดังนั้น ขอให้พอใจในการที่จะชนะ จะรู้จักอายตนะ ควบคุมอายตนะ เอาชนะอายตนะให้ได้ตามความมุ่งหมายของพระธรรมในพระพุทธศาสนา ดังนั้นขอให้มีสติสัมปัญชัญญะเพียงพอที่คอยรู้สึกต่อการปรุงแต่งของจิตใจ รู้สึกต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย เมื่อได้กระทบอายตนะจะมีการปรุงแต่งในจิตใจ ระวังให้ดี รู้เท่าทันมันไว้ ระวังไอ้การปรุงแต่งทางจิตใจ รู้จักควบคุมให้มันอยู่ในสภาพที่ถูกต้อง ที่นี้เราคอยรู้สึกต่อการปรุงแต่งในจิตใจอยู่เสมอด้วยสติสัมปัญชัญญะ มันจะถูกอยู่เรื่อยไป มันจะไม่มีทางผิดพลาด แต่ถ้าว่าคุมมันไม่ได้ไอ้การปรุงแต่งทางจิตใจนี้มันจะบังคับให้เกิดการเคลื่อนไหวทางกายทางภายนอก มันก็ผิดไปตาม ๆ กัน แล้วมันก็เลยล้มละลาย เรียกว่าเสื่อมเสีย เราคอยรู้สึกควบคุมไอ้ความคิดนึกปรุงแต่งในจิตใจ ควบคุมความเคลื่อนไหวในทางกาย คือทางภายนอก อย่าให้ทั้งกายและทั้งใจนั้นไปเป็นทาสของอายตนะเลย นี่ก็จะเรียกได้ว่าปฏิบัติธรรมะเต็มตามหลักในพระพุทธศาสนา กิเลสจะเกิดไม่ได้ ตัวเองจะเป็นสุข ทุกคนจะพลอยเป็นสุข ครอบครัวเป็นสุข เพื่อนบ้านเป็นสุข ทั้งโลกพลอยเป็นสุข ถ้าคนในโลกทุกคนไม่เป็นทาสของอายตนะแล้วความรักความเอื้อเฟื้อความอะไรจะเต็มไปหมด เดี๋ยวนี้ทุกคนป็นทาสของอายตนะ มีตัวกูของกูทุกคนเห็นแก่ตัวกูของกู ไม่เอื้อเฟื้อไม่เผื่อแผ่ ไม่สงสารไม่ช่วยเหลือ เท่านั้นยังไม่พอยังเอาเปรียบ ยังขโมย ยังล่วงเกิน ยังขูดรีด พวกนายทุนที่เขาขูดรีดคนยากจนก็เพราะว่าเขาเป็นทาสของอายตนะมากเกินไปทั้งนั้นน่ะไม่มีอะไร เขาอยากจะมีปัจจัยเพื่อส่งเสริมความรู้สึกทางอายตนะของเขาไม่มีที่สิ้นสุด นี้ปัญหาจึงเกิดขึ้นคือทำให้มีไอ้พวกชนกรรมาชีพต่อสู้ยื้อแย่งล้างผลาญทำลายล้างไม่มีที่สิ้นสุดน่ะ อย่าดูว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย มันเป็นเรื่องครอบโลก หรือบางทีจะทุกโลก โลกเทวดาก็มีปัญหาอย่างเดียวกันนี้ ถ้าเทวดาเป็นทาสของอายตนะแล้วไม่เท่าไหร่ก็จะหมดความเป็นเทวดา โลกเทวดาก็ร้างไปก็ได้
ฉะนั้นขอให้กำหนดใจความสำคัญของเรื่องที่พูดแต่ละวัน ๆ นี้ให้ได้ เพราะว่าผมนี้ยังพูดวันเดียวเรื่องเดียว แม้จะพูดโยงใยไปมากแต่ว่าจุดของเรื่องก็อยู่ที่ตรงเรื่องเดียว เช่นวันนี้ก็เราก็พูดกันเรื่องอายตนะแล้วก็อย่าเป็นทาสของอายตนะ แต่ที่ขยายความออกไปว่าอายตนะนั้นยังมีอย่างอื่นอีก อายตนะนั้นไม่ใช่มีแต่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ยังมีอายตนะอย่างอื่นอีก เช่นว่าไปทำสมาธิ สมาบัติได้ มีความรู้สึกเป็นอย่างอื่นไปจากที่รู้สึกตามโลก นี้เขาก็เรียกว่าอายตนะเหมือนกัน พวกอรูปฌาณนั้นเป็นอายตนะแต่ละอย่าง ๆ แม้พระนิพพานเองก็เป็นอายตนะอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน แต่เราอาจจะพูดได้เลยว่าอายตนะไหนก็ตามเราไม่ควรจะเป็นทาส เป็นทาสของมัน แม้ว่าเราจะมีมา เสวยเป็นสุข ดื่ม ดูดดื่มอยู่ ก็อย่าเป็นทาสของมัน แต่เดี๋ยวนี้มุ่งหมายเอาอายตนะใกล้ ๆ ที่กำลังวุ่นวายเป็นเรื่องประจำวันอยู่ทุกวันนี้มันคืออายตนะนี้ ๖ คู่นี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เรื่องตา เรื่องตากับหู ควรศึกษารู้จักตารู้จักหู ตากับ เอ้ย, ตากับรูป ไม่ใช่ตากับหู ตากับรูป ตาถึงกันเข้ากับรูปก็มีจักษุวิญญาณคือการเห็นทางตา ตา-รูป-จักษุวิญญาณ ถึงกันเข้าอย่างนี้แล้วก็เกิดผัสสะคือการกระทบทางตา ในผัสสะนั้นถ้ามีปัญญามีวิชชาไม่เป็นไร แต่โดยทั่วไปปกติของคนทั่วไปแล้วมันไม่มีวิชชา ไม่มีปัญญาเกิดขึ้นเมื่อทำผัสสะนั้น ดังนั้นผัสสะนั้นจึงเป็นอวิชชา เพราะว่าอวิชชานั้นคือความไม่รู้ ไม่มีความรู้ การปราศจากความรู้ที่มีอยู่ตามปกติน่ะ มันก็ยังคุ้ม เออ, มันก็ยังควบคุมผัสสะนั้น มันจึงเป็นผัสสะของความไม่รู้ ถ้าได้ศึกษาธรรมะมาอย่างเพียงพอมีวิชชามีปัญญาโน่น มันจะวิ่งมาทันควบคุมผัสสะไว้ให้เป็นผัสสะที่มีวิชชา มีปัญญา เดี๋ยวนี้เราก็ไม่มีปัญญา ไม่มีสติ ไม่มีวิชชา ไม่ได้มาช่วย ผัสสะนี้ก็เป็นโอกาสของอวิชชา คือสภาพที่ปราศจากความรู้ที่มีอยู่ตามธรรมดา
อวิชชานี้ตามหลักธรรมะจัดไว้เป็นธาตุ ธา-ตุ นะ ไม่ใช่ ไม่ใช่ทาสนะ ทาสขี้ข้า อวิชชาเป็นธาตุ เป็นธา-ตุอันหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ในทุกหนทุกแห่ง พร้อมที่จะครอบงำจิตที่ปราศจากปัญญาหรือปราศจากวิชชา ดังนั้นธาตุอวิชชาที่มีอยู่ในทุกอนู ในอวกาศ ในโลกนี้ มันก็พร้อมอยู่เสมอที่จะเข้าไปควบคุมครอบงำจิตที่ปราศจากวิชชา ปราศจากปัญญา ปราศจากสติ ดังนั้นผัสสะของคนธรรมดา คนธรรมดา คนเดินถนนนี่มันจึงเป็นผัสสะอวิชชาคือโง่ คือตาสัมผัสรูปเกิดจักษุวิญญาณขึ้นมาแล้วด้วยความโง่ เป็นความโง่ นี่ก็เรียกว่าผัสสะโง่ ผัสสะโง่ก็ให้เกิดเวทนาโง่ คือเวทนาสำหรับจะหลอกให้หลงกันต่อไป ไม่เป็นที่ตั้งแห่งปัญญาในเวทนานั้นไม่เจืออยู่ด้วยวิชชา ไม่เจืออยู่ด้วยปัญญา เป็นเวทนาโง่ก็มาหลอกคนให้โง่ เช่น สุขเวทนามันก็หลอกให้หลงรัก ทุกขเวทนามันก็หลอกให้หลงโกรธหลงเกลียด อทุกขมสุขเวทนาก็หลอกให้โง่ไปตามเดิม นี่เราจึงมีเวทนาที่ทำให้เกิดปัญหาคือเรื่องยุ่ง สุขเวทนาให้เกิดตัณหาคือความอยากจะเอาจะยึดครอง ทุกขเวทนาทำให้เกิดตัณหาคืออยากจะฆ่าอยากจะทำลาย อทุกขมสุขเวทนาให้เกิดตัณหาชนิดที่ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีแต่ก็ยังหวังอยู่ว่าจะต้องมีอะไร ก็ยังจะยังยึดถือเป็นเรื่องเป็นราวเป็นตัวเป็นตนต่อไปตามเดิม นี่เรามีเวทนาอย่างนี้ ถ้าเป็นสุขเวทนาก็ตกเป็นทาสของมัน หลงใหลอร่อยเที่ยวแสวงหาเที่ยวยึดมั่นถือมั่น ถ้าเป็นทุกขเวทนามันก็ต้องให้เราเป็นทุกข์ โกรธ ขัดใจ เกิดเรื่องไปในทางโกรธในทางขัดใจจนกระทั่งฆ่าใครก็ได้ นั่นเรียกว่าเป็นทาสของเวทนาอย่างนี้แหละ เป็นทาสของกิเลสอย่างนี้ เป็นทาสของตัณหาอย่างนี้ เป็นทาสของอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจน่ะอย่างนี้ ที่ยกตัวอย่างมาให้ฟังนี้เรื่อง เรื่องแรกคือเรื่องตากับรูป ทีนี้เรื่องหูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส อะไรเป็นคู่ ๆ ไปนั้นก็เหมือนกันโดยทำนองเดียวกันน่ะ มันถึงกันเข้าแล้วมันก็เกิดสัมผัส สัมผัสโง่ให้เกิดเวทนาโง่ให้เกิดตัณหา อยากไปตามความโง่ แล้วเรื่องมันก็มีแต่ความทุกข์ เราก็เป็นทาสของอายตนะเหล่านั้นโดยที่ได้เป็นทุกข์ ถ้าเรามาศึกษาธรรมะให้รู้เพียงพอว่าอะไรเป็นอย่างไร กิเลสเป็นอย่างไร ตัณหาเป็นอย่างไร ทุกข์เป็นอย่างไร ความดับทุกข์เป็นอย่างไร วิมุตเป็นอย่างไร เจโตวิมุต (นาทีที่ 59:17) เป็นอย่างไร ปัญญาวิมุตเป็นอย่างไร คือเราควบคุมเวทนาได้ด้วยกำลังจิตอย่างไร เราควบคุมเวทนาได้ด้วยกำลังปัญญาอย่างไร นี่ก็เรียกว่าหนทางแห่งเจโตวิมุต (นาทีที่ 59:32) ปัญญาวิมุต ถ้าเรามีความรู้เรื่องนี้อยู่ แล้วก็ความรู้นี้ผุดขึ้นมาทันเวลาเมื่อมีผัสสะ ผัสสะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางอะไรก็ตามนะ ไอ้ปัญญาเข้าอย่างนี้ เข้ามาทันในเวลาที่มีผัสสะ มันก็ป้องกันไม่ให้อวิชชาเข้ามา ผัสสะนั้นก็เป็นผัสสะฉลาดหรือผัสสะที่ควบคุมอยู่ด้วยสติปัญญา มันก็ให้เกิดเวทนาฉลาด รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนะ ไม่หลงไหล ไม่หลงไหลในสุขในทุกข์ ตัณหาก็ไม่เกิด อุปาทานก็ไม่เกิด ภพชาติก็ไม่เกิด ก็ไม่เป็นทุกข์เพราะเราควบคุมไอ้ผัสสะนั้นได้ ควบคุมผัสสะได้ก็เท่ากับควบคุมอายตนะได้นั่นเอง อย่าให้เกิดความผิดพลาดทางตา อย่าให้เกิดความผิดพลาดทางหู อย่าให้เกิดความผิดพลาดจมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ ก็ไม่มีเรื่อง ไม่ต้องเป็นทุกข์ คือไม่ต้องเป็นทาสของอายตนะ
ทีนี้ควรจะมองดูไอ้สิ่งที่เรียกว่าอายตนะนี้ให้ชัดเจนให้ครบถ้วน พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงย้ำในเรื่องนี้มาก มันเป็นสิ่งที่เราจะต้องรู้ต้องควบคุมให้ได้ ให้มันอยู่ในอำนาจของสติปัญญาเสมอ มิฉะนั้นมันก็จะเป็นที่เกิดที่ตั้งแห่งความทุกข์ เป็นเหมือนกับนรก นรกเกิดที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ ที่มีแต่อวิชชา จะทำให้เป็นสวรรค์ก็ได้เมื่อมีวิชชา มันทำให้เสร็จถูกต้องพอดีสำหรับที่จะเป็นสุข นี่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อจัดการถูกต้องแล้วก็ไม่ต้องเป็นทุกข์นะเป็นสุขนะ แต่ถ้าเป็นสุขแล้วก็อย่าไปเป็นทาสของมันเข้าอีก มันจะเตลิดไปอีกทางหนึ่งเป็นเรื่องตัวตนที่ละเอียดประณีตขึ้นไป ดังนั้นเรียกว่าเราเป็นทาสของอายตนะไม่ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ที่เป็นทุกข์ก็ไม่เป็นทาส ที่เป็นสุขก็ไม่เป็นทาส รู้เท่าทันเสมอเรื่องก็หมด คุณก็เคยทำงานส่วนตัว ทำงานสังคม ทำงานออฟฟิส ทำงานอะไรมาแล้วทั้งนั้น ฉะนั้นขอให้จำไว้สักอย่างหนึ่งว่าอย่าได้เกิดเป็นทาสของอายตนะเข้า เมื่อไหร่ไม่พอใจ ไม่พอใจมันขัดกันขึ้นแล้วในฐานะที่เราเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ดี หรือเราเป็นผู้บังคับบัญชาเขาก็ดี ถ้ามันเกิดรู้สึกขัดข้องเป็นทุกข์วุ่นวายขึ้นมาแล้วก็ดูเถอะมันมีอายตนะอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นต้นเหตุแล้วเราก็ไปหลงเป็นทาสมัน ไปยึดถือตามนั้นมันจึงเกิดเรื่อง นี้เป็นผู้ที่มีสติสัมปัญชัญญะอย่าปล่อยไปเป็นทาสของอายตนะ ความล้มเหลวของผู้บังคับบัญชาก็เพราะเขาเป็นทาสของอายตนะอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาก็เหมือนกันแหละ มันเป็นทาสของอายตนะอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วมันก็จะได้กระทบกัน ฝ่ายหญิงล้มละลายก็เพราะเป็นทาสอายตนะของฝ่ายชาย ฝ่ายชายล้มละลายก็เพราะเป็นทาสของอายตนะทางฝ่ายหญิง นี่ในสังคมมันก็มีอยู่อย่างนี้ เรื่องไม่เป็นทาสของอายตนะนี้เป็นเรื่องคุ้มครองโลกที่สุดไม่ให้มีความทุกข์ ไม่เป็นทาสของอายตนะ ไม่เป็นทาสของเวทนา ไม่เป็นทาสของกิเลสตัณหาเรื่องเดียวกัน เป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่มันคนละขั้นตอน เดี๋ยวนี้เราพูดถึงไอ้ขั้นตอนที่เป็นรากฐานเป็นมูลฐานจึงชี้ไปยังอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าได้ไปเป็นทาสของมันเลย นี่ นี่คือเรื่องที่พูดวันนี้ ขอให้สนใจเรื่องนี้โดยเฉพาะ ให้เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจนทุกแง่ทุกมุม ส่วนไหนยังมืดมัวไม่เข้าใจก็ไม่ต้องเกรงใจ ขอให้ถาม ถามเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เข้าใจในส่วนไหนในเรื่องที่มันเกี่ยวกับการเป็นทาสของอายตนะ
เอ้า, ทีนี้เป็นเวลาที่จะต้องถามตอบแล้ว เวลาบรรยายหมดแล้ว อายตนะรวดเร็วมากเหมือนกับสายฟ้าแลบ มันต้องป้องกันไม่ค่อยจะทัน มันเป็นเรื่องของจิตซึ่งมีความไวมาก มันไปรู้เอาตอนที่เป็นทาสเสียแล้ว ไอ้ก่อนที่จะเป็นทาสนั้นไม่ค่อยจะรู้สึกตัว ฝึกเป็นคนมีสติไว้เสมอมันป้องกันได้ มันต้องไม่ประมาททุกลมหายใจเข้าออก ไม่ประมาททุกอิริยาบท ก็จะป้องกันการตกเป็นทาสของอายตนะไว้ได้
เอ้า, ทำไมมีเท่านั้นน้อยนักล่ะ เอามาหมดเลยถ้ามีเท่าไหร่เอามาหมด มันเดินไปทั่ว
ไอ้บทปัจจะเวก ยะถาปัจจะยัง (นาทีที่ 1:07:48) ก็ดี ปฏิสังขาโยก็ดี อย่าประมาทอย่าทำเล่น นั้นน่ะจะช่วยป้องกันการตกเป็นทาสของอายตนะได้ อุตส่าห์มีสติทำไว้เสมอ ยะถาปัจจะยัง ก่อนฉัน ปฏิสังขาโยกำลังฉัน อัชชะ มะยา เมื่อฉันแล้ว เมื่อพ่ายแพ้แก่กิเลสแล้วนั้นก็คือเป็นทาสของอายตนะ เมื่อเป็นทาสของอายตนะก็คือพ่ายแพ้แก่กิเลสแล้วก็ต้องจัดการให้สมควร จะเรียกว่าลงโทษตัวเองหรืออะไรบ้างก็ได้ เพื่อว่ามันจะดีขึ้น เมื่อความคิดเลว ๆ ครอบงำจิตก็พ่ายแพ้ทางมโนกับธรรมารมณ์ จิตใจกับธรรมารมณ์ ซึ่งมีอยู่ได้ง่ายมาก ไม่มีเรื่องทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย มันก็มีเรื่องทางใจที่กิเลสเกิดขึ้นพ่ายแพ้ เราพ่ายแพ้แก่กิเลส เรื่องในอดีตต่าง ๆ มันเข้ามาปรุงขึ้นพ่ายแพ้แก่กิเลส เป็นกามวิตกก็มี ระลึกถึงทางกามในอดีต พยาบาทวิตกก็มี ระลึกถึงความโกรธแค้นอาฆาตพยาบาทที่มา มีมาแต่อดีต ทวิหิงสาวิตก ปล่อยความคิดไปในทางที่จะเบียดเบียนผู้อื่นโดยไม่รู้สึกตัวนี้เรียกว่าอกุศลวิตก ยังตามมารบกวนเบียดเบียนอยู่ เป็นความพ่ายแพ้ทางธรรมารมณ์ ทางมโน ทางธรรมารมณ์ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยคือไม่ใช่เป็นเรื่องที่ไม่มีค่า เป็นเรื่องสำคัญและมีค่ามาก เคยสนใจกันให้เต็มที่ ให้ถึง ถึงขนาด จึงเป็นเรื่องสูงสุดในทางธรรมะ เมื่อมันชนะกิเลสได้ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอีกต่อไปโดยเด็ดขาดมันก็คือนิพพานน่ะ ก็คือนิพพาน เมื่อความไม่ตกเป็นทาสของอายตนะเป็นไปถึงที่สุด สูงสุดเด็ดขาด แล้วมันก็เป็นเรื่องของนิพพาน
ถาม พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ขอรับ กระผมอยากจะเรียนถามว่าอายตนะนี้เป็นภาวะแห่งธรรมชาติใช่ไหมครับ ถ้าเป็นภาวะแห่งธรรมชาติแล้วการที่เราพยายามควบคุมหรือว่าพยายามขัดขืนมันนี่ จะเป็นการฝืนกฏและหน้าที่ของธรรมชาติไหมครับ ขอบพระคุณครับ
ตอบ คือว่าการบังคับสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นไปในทางที่ไม่เป็นทุกข์ไม่เรียกว่าผิดธรรมชาติ เพราะที่เป็นทุกข์ขึ้นมานั้นแหละคือผิดธรรมชาติ ไอ้ผิดพลาดจนเป็นทุกข์ขึ้นมานั้นแหละเรียกว่าสูญเสียธรรมชาติ ธรรมชาติแท้ธรรมชาติเดิมแท้ต้องหยุด ต้องสงบ ต้องปกติ ทีนี้เมื่อทำผิดเกิดเป็นกิเลสวุ่นวายขึ้นมาเรียกว่าผิดธรรมชาติ ก็เอากฏของธรรมชาติมาจัดการให้มันสงบระงับไปตามเดิม ไอ้ที่มันเผลอเกิดเป็นความทุกข์ขึ้นมาก็เป็นเรื่องของธรรมชาติเหมือนกันแหละ แต่ธรรมชาติฝ่ายที่ให้มันเกิดเรื่องเป็นทุกข์ ไอ้ที่มันจะระงับจะได้ก็เป็นธรรมชาติเหมือนกันฝ่ายที่จะหยุดเสียจะไม่เกิดทุกข์ ไม่มีอะไรที่ผิดธรรมชาติเพราะว่าทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็เป็นธรรมชาติ วิญญาณก็เป็นธรรมชาติ ผัสสะก็เป็นธรรมชาติ เวทนาตัณหาอุปาทานก็ล้วนแต่เป็นธรรมชาติ ซึ่งเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ จิตใจมันก็เป็นธรรมชาติ มันก็รู้สึกคิดนึกได้ มันจะเลือกเอาธรรมชาติฝ่ายที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ มันก็ทำให้ถูกตามกฎของธรรมชาติที่ไม่ต้องเป็นทุกข์
ไอ้ข้อนี้มันลำบากตรงที่ว่าเราใช้คำว่าธรรมชาติในความหมายที่มันผิด ๆ ผิด ๆ ในโรงเรียนเด็ก ๆ จะใช้อย่างหนึ่ง ในวัดในทางธรรมะก็ใช้คำ ๆ นี้ในความหมายอีกอย่างหนึ่ง ถึงแม้พวกฝรั่งมันก็ปรากฏว่าลำบากด้วยคำ ๆ นี้เหมือนกันผมเคยอ่านพบ พวกฝรั่งเองมันก็ยุติกันไม่ค่อยได้หรอก ธรรมชาติแค่ไหนเพียงไหน ดังนั้นเราเอาที่เราจับได้ว่าอย่างนี้เป็นทุกข์ อย่างนี้ไม่เป็นทุกข์ แก้ไขให้ได้โดยกฎของธรรมชาติ ที่เป็นทุกข์เพราะมันเดินมาผิดกฎธรรมชาติฝ่ายสงบมันจึงเป็นทุกข์ ความทุกข์ก็เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติฝ่ายที่ต้องเป็นทุกข์ มนุษย์ไปทำเข้าผิดธรรมชาติ ฝ่ายที่จะสงบเป็นสุขมันก็ต้องเป็นทุกข์ ต่อความรู้ฝ่ายธรรมชาติที่ถูกต้องสำหรับจะเป็นสุขมากมาเป็นหลักสำหรับแก้ไขธรรมชาติที่ทำให้เป็นทุกข์
คำว่าถูกธรรมชาติ หรือคำว่าผิดธรรมชาตินี้เป็นคำที่กำกวมสับสน เป็นความหมายที่สับสน นั้นต้องไปดูให้ดี ที่ออกมาเป็นความทุกข์แล้วนี่ก็คือผิดธรรมชาติแล้วเหมือนกัน ผิดธรรมชาติแห่งความสงบสุข เป็นธรรมชาติแห่งความเป็นทุกข์ ก็เอาธรรมชาติแห่งความสงบสุขมาแก้ไขให้ทันแก่เวลา มิฉะนั้นไอ้จิตใจนี้ ชีวิตนี้มันทนไม่ได้ นิพพานก็เป็นธรรมชาติสูงสุดอีกอย่างหนึ่ง ไอ้ความทุกข์ก็เป็นธรรมชาติเกลื่อนก่นอยู่อย่างหนึ่ง จิตจะ จะเข้าถึงไอ้ธรรมชาติไหนจะไป ไปในฝ่ายไหน ถ้าจิตได้อบรมธรรมะมาดีเพียงพอมันก็รูจักเลือกเอาธรรมชาติฝ่ายนิพพาน ฝ่ายดับทุกข์ ฝ่ายสงบเย็น ดังนั้นเราจึงอุตส่าห์เรียนเรื่องนี้กันยังไง เรียนเรื่องดับทุกข์ เรียนเรื่องนิพพาน บวชก็เพื่อเรียนเรื่องนี้เร็ว ๆ เป็นโอกาสที่เรียนได้เร็ว ๆ
ความปรุงแต่งเป็นเรื่องของจิตที่ปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งที่เข้ามาแวดล้อม มีอำนาจปรุงแต่งเป็นจิตผิดธรรมชาติฝ่าย ฝ่ายดับทุกข์ ไปเป็นธรรมชาติฝ่ายเกิดทุกข์ ควรจะมีการปรุงแต่งฝ่ายที่ไม่เกิดทุกข์ ฝ่ายกุศลจนกระทั่งเห็นว่าไม่ไหวหมือนกันถึงแม้ฝ่ายกุศลก็เป็นเรื่องทน ก็เลยขึ้นไปเลยไปเสียเป็นฝ่ายว่าง ว่างจากกุศล ว่างจากอกุศลอย่างนี้ไม่มีความทุกข์ที่ต้องทน เราจะอยู่ด้วยความอร่อยมันก็เป็นเรื่องต้องทนอยู่อย่างหนึ่ง แม้ว่าอร่อยอยู่ อร่อยอยู่ อร่อยอยู่ ก็ต้องทน ทนอร่อยน่ะ ที่ไม่อร่อยมันก็ต้องทน ๆ อย่างเจ็บปวดไปอีกแบบหนึ่ง ดังนั้นเลิกเสียทั้งที่อร่อยและทั้งที่ไม่อร่อย มันก็จะว่าง มันจืดไป ให้มันว่างไป
ถาม กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ กระผมอยากจะเรียนถามว่า ในจำนวนอายตนะทั้ง ๖ นี้ อายตนะใดสำคัญที่สุด ถ้าเราตกเป็นทาสอายตนะนั้น ๆ แล้ว อายตนะใดที่มีส่วนทำให้เราเกิดทุกข์มากที่สุด และเราควรระวังอายตนะใดมากที่สุดครับ ผมใคร่เรียนถามแค่นี้
ตอบ แปลว่าคุณยังไม่รู้จักอายตนะเลย มันเกือบจะไม่ต้องถามนะปัญหาอย่างนี้ ถ้าเรารู้จักไอ้อายตนะทุก ๆ อย่างแล้วเราไปดูเอาเองเถอะว่า เวลาอายตนะไหนแสดงบทบาทน่ะที่มันเป็นทุกข์มากที่สุด มันก็ขึ้นอยู่กับโอกาส สถานที่ เวลา อายุอะไรเหมือนกัน จะตอบรวม ๆ กันคราวเดียวมันก็คงจะลำบาก สำหรับเด็กก็ไปอย่าง สำหรับวัยรุ่นก็อย่าง สำหรับหนุ่มสาวก็อย่าง พ่อบ้านแม่เรือนคนแก่คนเฒ่ามันก็ไปอย่าง ถ้าเอาอย่างธรรมดากันอย่างนี้ อายตนะที่เป็นที่ตั้งแห่งกามอารมณ์มากที่สุด อายตนะนั้นน่ะจะ จะมีเรื่องร้ายกาจมากที่สุด แต่เขาก็ถือว่าไม่เหมือนกันทุกคน เรียกว่าจริต จริตน่ะไม่เหมือนกันทุกคน แต่ส่วนมากแล้วมันเป็นเรื่องกามารมณ์ เพราะมัน มันยั่วยวนมาก เหมือนที่เราพูดกันวันก่อนว่ากามารมณ์น่ะมันเป็นค่าจ้างของพระเจ้า จ้างสัตว์ให้ทำการสืบพันธุ์ซึ่งไม่น่าทำเลย ถ้าไม่มีกามารมณ์เป็นค่าจ้างสูงสุดสัตว์จะไม่ทำการสืบพันธุ์ ที่ระบุมากเป็นเรื่องราวมากปรากฎอยู่ในพระคัมภีร์ท่านระบุคำว่ากาม กามน่ะเป็นเรื่องมาก เป็นสิ่งที่มีเรื่องมากต้องพูดกันมากและก็ได้พูดไว้มากเกี่ยวกับเรื่องกาม อายตนะไหนเป็นที่ตั้งแห่งกาม อายตนะนั้นจะเป็นอายตนะที่ทำเรื่องมาก ถ้าเรารู้สึกกันว่าอายตนะทางกายทางผิวหนังสำหรับสัมผัส แล้วก็สัมผัสที่เข้ามาทางกายที่เป็นที่ตั้งแห่งกามารมณ์ระหว่างเพศนั้นน่ะสูงสุด ดังนั้นอายตนะที่ทำหน้าที่ทางเพศนั้นน่ะเป็นตัวร้ายกาจที่สุด ทีนี้ถ้าว่าเป็นเด็ก ๆ ยังไม่เดียงสาในเรื่องเพศ อายตนะนี้ก็ยังหมุนไปทางอายตนะอื่นซึ่งไม่ใช่เพศ จะเป็นเรื่องกิน เรื่องปาก เรื่องลิ้น เรื่องตา หู อายตนะ (นาทีที่ 1:22:55) มากกว่า แต่เด็ก ๆ เล็ก ๆ ก็ต้องการการขับกล่อม การอุ้ม การลูบ การประคบประหงม การร้องเพลงให้ฟัง
มีคำอีกคำหนึ่งซึ่งมีความหมายมากเรียกว่า การตามใจตัวเอง ระวังให้ดีมันหลอกที่สุดไอ้ตามใจตัวเองนี่ คือเป็นทาสของอายตนะระวังให้ดีนะ เราว่าได้ตามใจตัวเองแล้วจะเรียกว่าอิสระ นั้นน่ะคือตัวเป็นทาสของอายตนะ พอได้ฟรี ฟรีที่สุดทางกามารมณ์ และนั่นน่ะคือตัวเป็นทาสของอายตนะที่สุดแหละ มันเป็นคำว่าฟรีหรืออิสระที่หลอกลวง ทุกคนระวังไอ้ตามใจตัวเองไว้ มันจะละอบายมุขไม่ได้น่ะถ้าตามใจตัวเองแล้วไม่มีทางจะละอบายมุข จะเลิกสูบบุหรี่ เลิกกินเหล้า เลิกการพนัน เลิกอะไรใครก็เลิกไม่ได้ เมื่อเราพูดถึงว่าตามใจตัวเองก็คือเรื่องเป็นทาสของอายตนะที่ลึกลับที่สุดที่ไม่รู้สึก การตามใจตัวเองคือการเป็นทาสของอายตนะที่เล้นลับที่สุดจนเจ้าตัวไม่รู้สึก ทุกคนอยากจะเป็นอิสระได้ตามใจตัวเองทั้งโลกเลย เป็นการตามใจตัวเองที่ให้สูญเสียอิสรภาพ กิเลสจะได้เป็นฝ่ายชนะน่ะถ้ามันมีการตามใจตัวเอง พวกฝรั่งเขาทำงานเก็บเงินไว้มาก ๆ แล้วก็มาตามใจตัวเองตามชายหาดที่เกาะสมุย ที่ภูเก็ต ที่อะไร จนหมดเงิน นี่เขารู้สึกว่าเขาได้ เขาได้อะไร เขาชนะอะไร เขาได้รับประโยชน์อะไร เขาไม่รู้ว่ามันเป็นการสูญเสียอิสรภาพ โง่เขลาที่สุด เป็นทาส เป็นขี้ข้าเป็นอะไรของอายตนะของกิเลสที่สุดแล้วเขาก็ไม่รู้จัก ทำให้ประเทศไทยมีรายได้แยะนี่ฝรั่งชนิดนี้ ฉะนั้นอย่าปล่อยตามอำนาจของอายตนะหรือของกิเลส เรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องเล่น เรื่องอะไรก็ตามแม้แต่เรื่องง่วงนอนนี่ ถ้ามันยังไม่ควรจะนอนอย่าไปนอน ควบคุมกันไว้บ้าง ถ้ามันง่วงนอนโดยไม่ควรจะนอนก็อย่าไปนอนมันจะตามใจไอ้ฝ่ายไอ้โมหะ ฝ่ายอายตนะทางมโน ทางธรรมารมณ์ มากไป
ธรรมารมณ์ที่มีอำนาจมากที่สุดก็เรื่องเกียรติ คำว่าเกียรติ ได้เกียรติ เป็นธรรมารมณ์ที่มีอำนาจมากที่บังคับคนให้ต้องตามใจอายตนะเป็นทาสอายตนะ อย่าหลงเกียรติ ถ้าหลงเกียรติจะเป็นทาสของอายตนะ มีเกียรติก็มีได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ได้แต่อย่าไปหลงกับมัน
กิน กาม เกียรติ ๓ อย่างนี้เป็นทางให้เป็นทาสของอายตนะได้ทั้งนั้น ควรจะรู้ไว้บ้าง สูญเสียอิสรภาพ กิน กาม เกียรติ ไอ้การที่มนุษย์เป็นทาสของอายตนะนั้นมันเป็นเหตุปัจจัยของความก้าวหน้าวิวัฒนาการทางวัตถุ ในโลกกำลังก้าวหน้าวิวัฒนาการที่เขาเรียกว่าเจริญหรือศิวิไลมากเร็วนี่ด้วยอำนาจการเป็นทาสอายตนะของมนุษย์ในโลก มนุษย์เป็นทาสทั้งนั้นในโลกนี้ เป็นต้นเหตุ เป็นบันดาลให้ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ ทางอายตนะนี่ไปไกลมาก ถ้าควบคุมมันไม่ได้มันก็ทำอันตรายโลก ทำอันตรายมนุษย์ ถ้าควบคุมได้ให้มันเป็นทาสของเรามันก็ดี ถ้าเราเป็นทาสของมันเราก็แย่ ดังนั้นคุณมีเวลาสงบใจและก็มองเรื่องนี้ให้มาก ๆ จะได้รู้อะไรลึก เร็ว ถูกต้อง สำเร็จประโยชน์เพียงพอก่อนแต่ที่จะลาสิกขาออกไป อย่าให้เวลามันล่วงไปอย่างมืดมน ที่มองเห็นสิ่งเหล่านี้ที่ว่าเป็นต้นเหตุแห่งกิเลสและความทุกข์ ทั้งของเราเองก็ดี ทั้งของเพื่อนมนุษย์ก็ดี ทั้งของโลกเป็นส่วนรวมก็ดี รีบมองให้เห็นเสียก่อนแต่ที่จะไปสู่โลก ออกไปสู้โลกตาม ตามเดิม เอาเหตุการณ์ที่แล้วมาแต่หนหลังน่ะมาศึกษาเรื่องการเป็นทาสของอายตนะ เป็นทาสของกิเลสตัณหา แล้วเตรียมตัวสำหรับจะไป ไม่ ไม่เป็นทาสอย่าง อย่างแต่ก่อนอีก เราจะต้องไม่เป็นทุกข์ ถ้าเป็นทุกข์จะมีประโยชน์อะไร ดังนั้นความถูกต้องมันอยู่ที่ไม่เป็นทุกข์ ไม่ต้องเป็นทุกข์ เขาทำประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย ถ้าเราเป็นทาสอายตนะของเราเองแล้วมันไม่ ไม่คิดน่ะที่ทำประโยชน์ผู้อื่น มันไม่เสียสละ มันจะกินซะคนเดียวเรื่อยไป ฉะนั้นต้องรู้จักควบคุมไม่ต้องเป็นทาสของอายตนะ มันจะนึกถึงผู้อื่น นึกถึงช่วยเหลือผู้อื่นหรือว่ามันมีอยู่เท่าไหร่มันก็จะไม่กินเสียหมด มันจะขยักไว้ช่วยผู้อื่นบ้าง สามารถจะมีส่วนเหลือไว้ช่วยผู้อื่น
ไอ้ความพอใจในทางธรรมะเรียกกันว่าธรรมปิติ นี้เป็นสุขเวทนาอย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่ไม่มีอันตราย แต่อย่าเอาคำว่าธรรมมะออกไปเสียนะ ต้องมีคำว่าธรรมะแปะอยู่ด้วยเสมอ ไอ้ธรรมปิติน่ะมันเป็นสุขนะ เป็นเวทนาเหมือนกัน แล้วแต่มัน มัน มันควบคุมอยู่ด้วยธรรมะ เพราะมีมูลเหตุมาจากธรรมะ ฉะนั้นจึงไม่กดคนลงเป็นทาสเหมือนกับอารมณ์ธรรมดา เว้นไว้แต่ว่าไอ้คนนั้นมันจะโง่ มันก็ทำให้เกิดไอ้ความเป็นทาสได้ ได้บ้างเหมือนกัน แต่ถ้ามันเป็นธรรมะอยู่แล้วมันก็เป็นยากเป็นทาสได้ยาก เพราะมันจะมีความถูกต้องคอยควบคุมไว้ด้วยเสมอ เมื่อเราประพฤติดี ประพฤติชอบ ประพฤติเป็นธรรมได้รับความพอใจ ได้รับความสุข เวทนาอย่างนี้ไม่ ไม่ถึงกับกดคนลงเป็นทาสของเวทนา ถ้ามันเป็นเพราะมันเป็นอย่างละเอียดยังไม่ปรับเป็นของเลวของชั่วใน ใน ในเรื่องโลก ในทางโลก แต่ในทางธรรมะชั้นสูงท่านก็สอนให้หยุดให้ละไว้ ไม่เป็นทาสของสุข ของไอ้สุขเวทนาชั้นไหนหมด ถ้าว่ามีความสุขเกิดจากสมาธิ เกิดจากธรรมะแล้วก็ มัน มัน มันยังดีกว่า เพราะมันไม่ ไม่มาในทางไอ้อายตนะที่เนื่องกับกามารมณ์ แปลว่าให้เสวยสุขชนิดนั้นก็ได้เพราะมันไม่กดคนลงเป็นทาส ถ้ากามสุขระวัง แต่ว่าถ้าสุขเกิดแต่ธรรมะเกิดแต่สมาธิเกิดแต่ญาณเกิดแต่อย่างนั้นไม่เป็นไร คือมันไม่ชวนให้เป็นทาส แต่ถ้าตกเป็นทาสก็ไม่ได้เหมือนกัน ไม่ว่าชนิดไหนก็ตกเป็นทาสแล้วก็ไม่ได้เหมือนกัน สำหรับสุขเกิดจากสมาธินี่ต้องไม่ตกเป็นทาส ถ้าตกเป็นทาสมันก็สูญทันที มันก็สูญไอ้สุขที่เป็นจากสมาธิทันที มันไม่เป็นสมาธินะ ฉะนั้นจึงหยุดอยู่โดยไม่ต้องเป็นทาส ดังนั้นเมื่อเราทำดีทำถูกก็ควรจะพอใจได้ เป็นสุขได้ แล้วก็ไม่ต้องถึงกับว่าเป็นทาสของอายตนะ หรือเป็นทาสของกิเลส เพราะว่าไอ้ตอนนั้นมัน มันไม่มีกิเลส มันไม่มาจากกิเลส มันไม่เป็นเรื่องของกิเลส ไอ้ธรรมะมันเข้ามาเป็นผู้กำกับอยู่ ถ้ามันเจือด้วยกิเลสแล้วก็ ก็เป็นเรื่องผิด มันเป็นทาสของกิเลส ไม่ไหว
ดังนั้น อย่าประมาทอย่าอวดดีว่ากิเลสนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ชื่อว่ากิเลสแล้วมันไม่มีเล็กน้อย ถึงจะเป็นตัวเล็กน้อยก็มีมีโทษมากมีพิษภัยมาก ต้องให้ทุกคนไปเรียน ก ข ก กา ของพระธรรมกันเสียให้แม่นยำ คืออายตนะภายใน อายตนะภายนอก วิญญาณจะเกิดมาจาก อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา นี่คือ ก กา - ก ข ก กา ทางตาก็แจกได้หมวดหนึ่ง ทางหูแจกได้หมวดหนึ่ง ทางจมูกก็แจกได้หมวดหนึ่ง ทางลิ้นแจกได้หมวดหนึ่ง ทางกายก็หมวดหนึ่ง ทางใจหมวดหนึ่ง ไอ้หมวดหนึ่งก็แจกไปได้อีกเยอะแยะ เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่น แต่ผมสังเกตดูเห็นว่าไม่ค่อยจะมีใครที่ไหนถือว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่เป็น ก ข ก กา ของพระธรรม เขายกให้เป็นเรื่องสูงไว้สูงสุดไว้จนไม่ได้เอามาศึกษากันเลย ศึกษาเรื่องบุญ เรื่องศีล เรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรื่องอะไรเขาไป จนไม่ได้ศึกษาเรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สังเกตดูวิธีสอนธรรมมะ ไม่เริ่มสอนด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สอนด้วยเรื่องอื่นอย่างคุณเรียนนักธรรมเรียนอะไรก็ตามดูเถอะ ถ้าให้ตรงจุดแล้วก็นี่คือ ก ข ก กา พระพุทธเจ้าท่านได้ก็ตรัสไว้เองอย่างนั้นน่ะ ไอ้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขึ้นไปจนเป็นปฏิจจสมุปบาท นั่นคือ ก ข ก กา ที่มันตั้งต้นไปเป็นแจกลูก