แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
...อีกแล้วรอบหนึ่ง วันนี้ทุกอย่างกระทำเพื่อเป็นการบูชาคุณของพระอรหันต์ แม้รับศีล สมาทานศีล ก็เพื่อบูชาคุณของพระอรหันต์ จะถวายทานก็เพื่อบูชาคุณของพระอรหันต์ คือการเสียสละใดๆ ที่ได้กระทำไปแล้ว ด้วยความยากลำบาก จนมาถึงที่นี่ ขึ้นมาบนนี้ ความยากลำบากนี้ก็ใช้เป็นเครื่องบูชาพระคุณของพระอรหันต์ คือวันมาฆปุณณมี วันนี้เป็นวันที่ระลึกแก่พระอรหันต์ วันวิสาขบูชาคือวันที่ระลึกแก่พระพุทธเจ้า วันอาสาฬหบูชาเป็นวันที่ระลึกแก่พระธรรม วันมาฆบูชาคือวันนี้ เป็นวันที่ระลึกแก่พระสงฆ์ แต่โดยเหตุที่ว่าพระสงฆ์ผู้ประชุมกันในวันเพ็ญมาฆปุณณมีนี้ เป็นครั้งแรกนั้น เป็นพระอรหันต์ล้วน เราจึงถือว่าวันมาฆปุณณมีนี้เป็นวันที่ระลึกแก่พระอรหันต์ด้วย คือพระสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์ ขอท่านทั้งหลายจงทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ ในการที่จะทำการบูชาแก่พระอรหันต์ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่ประชุมกันในวันเช่นวันนี้ ดังที่เคยมีมาแล้วในครั้งพุทธกาล
ท่านทั้งหลายอุตส่าห์มาถึงที่นี่ ก็ต้องมีความยากลำบากบ้างเป็นธรรมดา ก็ขอให้ได้รับผลสนองคุ้มกันหรือเกินค่า เรามาประกอบพิธีบูชาในสถานที่อย่างนี้ จิตใจรู้สึกแปลกแตกต่างกันไปอย่างกับคนละโลก อย่างกับอยู่กันคนละโลก ถ้าเราไปทำในวัดในบ้านในเมืองโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ท่านจะไม่ได้เห็นทิวทัศน์อย่างนี้ ไม่ได้มีบรรยากาศอย่างนี้ ซึ่งเป็นบรรยากาศคล้ายกันกับที่เป็นอยู่มีอยู่ในอินเดียในครั้งพุทธกาล ดังที่ท่านทั้งหลายก็ทราบอยู่แล้วเป็นอย่างดีว่า พระพุทธเจ้านั้นประสูติกลางดิน ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็เมื่อนั่งกลางดิน สอนเป็นครั้งแรกและสอนจนตลอดพระชนม์ชีพก็นั่งก็อยู่กลางดิน กุฏิก็พื้นดิน ในที่สุดท่านนิพพาน ดับสังขารก็กลางดิน เดี๋ยวนี้เราจึงมานั่งกลางดิน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นที่ประสูติตรัสรู้ แสดงธรรมและนิพพานของพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้เราก็ได้นั่งกลางดินแล้ว ท่านจงเอามือลูบดิน รู้ความหมายของดิน ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ต่อเราอย่างไรอันเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า เชื่อว่าถ้าไปประกอบพิธีมาฆบูชาเป็นต้นนี้ที่อื่น ท่านคงไม่ได้นั่งกลางดิน เพราะจะได้นั่งในโบสถ์ หรืออย่างดีก็พื้นคอนกรีตดาดไปด้วยซิเมนต์ ไม่ได้นั่งกลางดิน นี่ขอให้ทำในใจว่าการที่ได้มานั่งกลางดินนี้ เราใกล้ชิดพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง อีกความหมายหนึ่งก็คือต้นไม้ เหลียวดูไปทางไหนเดี๋ยวนี้ก็เห็นต้นไม้ พระพุทธเจ้านั้น ประสูติโคนต้นไม้ ต้นสาละ พระพุทธเจ้าตรัสรู้เมื่อนั่งโคนต้นไม้ คือต้นอัสสัตถะ พระพุทธเจ้าแสดงธรรมโดยทั่วๆ ไป ก็ต้องเป็นในที่ใต้ต้นไม้ เพราะวิหารที่อยู่ที่อาศัยก็คือสวนป่านั่นเอง และในที่สุด ก็ปรินิพพานที่โคนต้นไม้ ต้นสาละอีกวาระหนึ่ง พูดอย่างภาษาชาวบ้านธรรมดาก็ว่า เกิดใต้ต้นไม้ ตรัสรู้ใต้ต้นไม้ ตายใต้ต้นไม้ อยู่ตลอดเวลาก็ใต้ต้นไม้เป็นส่วนมาก ทีนี้ขอให้ทำในใจ ในความหมายเดียวกันว่า เราก็ได้มานั่งอยู่โคนต้นไม้ ขอให้ได้ผลไปในทางที่ว่าเราใกล้ชิดธรรมชาติ ถึงขนาดเป็นเกลอกับพระพุทธเจ้า เอ๊ย,เป็นเกลอกับธรรมชาติ เหมือนกับพระพุทธเจ้า เหมือนกับพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระศาสดา ที่เป็นเกลอกับธรรมชาติ ท่านประสูติใต้ต้นไม้ ตรัสรู้ใต้ต้นไม้ นิพพานใต้ต้นไม้ ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมชาติ และเรื่องที่ท่านตรัสรู้และนำมาสอนนั้นก็คือเรื่องของธรรมชาติ เรื่องของกฎของธรรมชาติ เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เรื่องผลที่จะได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ พระธรรมเกี่ยวกับธรรมชาติมากถึงอย่างนี้ เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าท่านเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ราวกับว่าเป็นเกลอกับธรรมชาติ เท่าที่เราทราบพระศาสดาแห่งทุกๆ ศาสนาล้วนแต่เป็นอยู่อย่างเป็นเกลอกับธรรมชาติอย่างนี้ด้วยกันทั้งนั้น เราควรจะพอใจที่ได้มานั่งประกอบพิธีในสถานที่นี้ในลักษณะใกล้ชิดกับธรรมชาติ ขอให้ทุกท่านมีจิตใจเตรียมพร้อมที่จะเข้าถึงธรรมชาติ ในทุกๆ ความหมาย แล้วเราก็จะเบาบางจากกิเลสตัณหาหรือความเห็นแก่ตัวเป็นต้น
ต่อไปนี้ก็ขอให้สมาทานศีล เป็นเครื่องบูชาคุณแก่วันพระอรหันต์ และในวันนี้ก็ขอแสดงความยินดี เป็นพิเศษอีกส่วนหนึ่งว่า คุณพ่อยอห์น อุลลิอานา ประมุขสงฆ์ที่บ้านโป่งได้มาร่วมพิธีบูชากับเราด้วย สมตามที่มีความตั้งใจว่าวันนี้เป็นวันศาสนสัมพันธ์ มันก็เกิดการสัมพันธ์กันโดยทุกอย่างทุกวิถีทาง สัมพันธ์โดยบุคคล สัมพันธ์โดยพิธี สัมพันธ์โดยการกระทำ สัมพันธ์โดยสถานที่ สัมพันธ์มากยิ่งขึ้นในทุกๆ แง่ ทุกๆ มุม อันนี้เป็นนิมิตหมายที่ดีว่าโลกนี้จะเป็นโลกแห่งสันติสุข เพราะว่าทุกๆ พระศาสนาร่วมมือกัน สร้างสิ่งซึ่งจะเป็นสันติสุขแก่โลกนั่นเอง เราก็ควรจะรับรู้และยินดีด้วย คุณพ่อยอห์น อุลลิอานา จะเพียงแต่นั่งดูหรือจะเวียนประทักษิณร่วมกับเรา ก็แล้วแต่ความพอใจของท่าน แต่การที่ท่านมาร่วมอย่างนี้ ก็มีความยินดีเป็นที่สุดแล้ว อาตมาขอแสดงความรู้สึกอันนี้แทนในนามพุทธบริษัททั้งหลาย ต่อไปนี้สมาทานศีล/ ...เป็นการสมาทานศีลและอาราธนาธรรม (นาทีที่ 10.23 -17.00) /
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
อารกตฺตา หตตฺตา จ กิเลสารีน โส มุนิ
หตสํสารจกฺกาโร ปจฺจยาทีนมารโหติ ฯ (สมนฺตปาสาทิกา,ปฐโม ภาโค น.119)
ธมฺโม สกฺกจฺจํ โสตพฺโพติ ฯ
ณ บัดนี้ อาตมภาพจะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียร ของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไปในทางแห่งพระพุทธศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา
ธรรมเทศนาในวันนี้ ปรารภมาฆบูชา คือการบูชากระทำอุทิศแด่พระอรหันต์ทั้งหลาย ดังที่ทราบกันอยู่แล้ว ว่าวันมาฆปุณณมีนี้ เป็นวันที่ประชุมพระอรหันต์ และพระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ คือหลักแห่งพระศาสนา ในที่ประชุมนั้น เรามาระลึกนึกถึงพระอรหันต์กันให้ถูกต้อง แล้วทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์เราเองเถิด พระอรหันต์ท่านไม่ได้ต้องการอะไรจากเรา เราต่างหากที่จะต้องการอะไรจากพระอรหันต์ แต่เราจะต้องการเฉยๆ ไม่ได้ เราต้องทำตามรอยของท่าน เพื่อให้เกิดประโยชน์ขึ้นแก่เรา เราต้องเข้าใจพระอรหันต์ให้ถูกต้อง จนเราสามารถจะเดินตามรอยท่านได้ คนพูดกันผิดๆ เกี่ยวกับพระอรหันต์อย่างนั้นอย่างนี้อยู่เป็นอันมาก มาเข้าใจกันเสียใหม่ให้ถูกต้องว่า พระอรหันต์นั้นเป็นอย่างไร ถ้าจะกล่าวสรุปให้สั้นที่สุดแล้ว พระอรหันต์นั้นคือบุคคลที่ถึงยอดสุดแห่งความเป็นมนุษย์ มนุษย์นี้จะดีได้ถึงที่สุดอย่างไร และไปให้ถึงที่สุดนั้นแล้ว นั่นแหละเรียกว่าพระอรหันต์ ทีนี้ทำอย่างไรเรียกว่าไปได้ถึงที่สุดแห่งความเป็นมนุษย์ เราก็จะรู้ได้จากความหมายของคำว่าพระอรหันต์นั่นเอง คำว่า อรหํ หมายถึงบุคคลที่เป็นพระอรหันต์ คำนี้แปลความหมายได้หลายอย่าง เช่นเป็นผู้ไกล ไกลจากข้าศึก ไกลจากกิเลส ไกลจากความทุกข์ แปลว่าเป็นผู้หัก คือหักวัฎจักร หักกิเลส หักกรรม หักวิบาก หักเสียซึ่งความเห็นแก่ตัวตนเป็นต้น แปลว่าผู้ควร คือควรแก่คำว่ามนุษย์ ควรแก่คำว่ามนุษย์ ซึ่งมีความหมายสูงสุด ควรแก่ของบูชาซึ่งบุคคลบูชาด้วยความเคารพบูชา พระอรหันต์เป็นผู้ควรแก่สิ่งของที่ใช้บูชา อรหํ แปลว่าไม่มีความลับ ไม่มีสิ่งลี้ลับ หรือลึกลับ และก็มิได้อยู่อย่างเร้นลับ เรียกได้ว่ามีอยู่ ๔ ความหมายด้วยกัน ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดี ให้เข้าใจ ให้เห็นแจ้ง แล้วเดินตามรอยของท่าน นั่นแหละประโยชน์จึงจะเกิดขึ้นแก่มนุษย์เรา ความมีพระอรหันต์อยู่ในโลกนี้ ไม่เป็นหมันเปล่า แต่กลับมีประโยชน์แก่เรา ขอให้ตั้งใจฟังให้เข้าใจดังที่กล่าวแล้ว
ความหมายทีแรก อรหํ แปลว่าผู้ไกล ไกล ความหมายแรก ไกลจากข้าศึก อะไรเป็นข้าศึก กิเลสและความชั่วเป็นข้าศึก ไกลจากข้าศึกนี่ก็คือไม่มีกิเลสหรือไม่มีความชั่ว พระอรหันต์ท่านเป็นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยสติ และสัมปชัญญะ อะไรมากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของท่าน ท่านมีสติสัมปชัญญะและมีปัญญา การกระทบนั้นก็ไม่ก่อให้เกิดกิเลส ไม่ก่อให้เกิดความชั่ว ไม่เหมือนกับคนธรรมดา ไม่มีสติปัญญาแล้วยังมีแต่ความโง่เขลา พออะไรมากระทบทางตา ทางหู ทางจมูกเป็นต้น เพราะความโง่เขลานั่นเอง ไม่เข้าใจต่อสิ่งเหล่านั้น ก็หลงรักบ้าง หลงเกลียดบ้าง หลงโกรธบ้าง กลัวบ้าง อิจฉาริษยาบ้าง ก็เป็นกิเลสและเป็นความชั่ว นี้เรียกว่าข้าศึก เพราะมันทำบุคคลผู้นั้นให้เจ็บปวด ให้ลำบาก ให้ทุกข์ยาก ถ้าเราจะไกลจากข้าศึก ก็จงมีสติ สัมปชัญญะ มีปัญญาในขณะที่มีอะไรมากระทบตา กระทบหู กระทบจมูก กระทบลิ้น กระทบผิวหนัง กระทบจิตใจ กิเลสเกิดไม่ได้ ก็เรียกว่าอยู่กันไกลแสนไกล ไม่มีทางจะมาพบกันได้ นี้เรียกว่าไกลจากข้าศึก จงอยู่อย่างปราศจากข้าศึก ที่ว่าไกลจากความทุกข์นั้น ความทุกข์เป็นผลมาจากกิเลส เมื่อไม่มีกิเลส ก็ไม่มีความทุกข์ เมื่อไกลจากกิเลสแล้ว ก็ไกลจากความทุกข์ได้ด้วย ก็เลยไม่มีความทุกข์ นี้เรียกว่าคนอยู่ไกลจากกิเลส ไกลจากความทุกข์ พระอรหันต์เป็นบุคคลชนิดนั้น อย่าเข้าใจให้มันเขวไปในทางขลัง ทางศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีความหมายงมงายอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งมักจะมีกันอยู่โดยมาก สรุปความในข้อที่ ๑ นี้ว่า พระอรหันต์คือผู้ที่อยู่ไกล ไกลสุดไกล ไกลจากกิเลสและความทุกข์ เราพยายามจะทำให้เหมือนอย่างท่าน
ทีนี้ข้อที่ ๒ ว่าเป็นผู้หัก ตัวหนังสือแปลว่าหัก เหมือนกับเราหักไม้ หักสิ่งที่หักให้แตกหัก ให้ทำลายได้ พระอรหันต์เป็นผู้หัก ข้อแรกหมายถึงวงล้อแห่งวัฏสงสาร คือความอยากที่เป็นกิเลส หมายถึงความอยากที่โง่เขลา ความอยากที่ไม่โง่เขลานั้นไม่ใช่กิเลส ความอยากที่เป็นกิเลสนั้นหมายถึงความอยากที่โง่เขลา ที่เรียกว่ากิเลส ตัณหา โลภะ เหล่านี้มันเป็นความอยากที่อยากด้วยอำนาจความโง่เขลา ถ้ามีสติปัญญารู้ว่าอะไรควรอยาก อยากแล้วมีประโยชน์อย่างไร ความอยากอย่างนี้ไม่ใช่กิเลส อย่าเอามาปนกัน ทีนี้มนุษย์ธรรมดาสามัญไม่มีสติปัญญา มันก็อยากด้วยความเขลา อยากด้วยความไม่รู้จักสิ่งที่ตัวอยาก นี่เรียกว่ากิเลส อยาก, พออยากแล้วก็กระทำตามที่อยาก นี่ก็กระทำไปอย่างโง่เขลาอีกแหละ เพราะว่ามันอยากอย่างโง่เขลา ทำแล้วมันก็ได้ผลมา ผลนั้นมันก็ต้องเป็นผลอย่างโง่เขลาอีกเหมือนกัน มันก็ไม่ทำให้เกิดความสงบสุขได้ มันมีผลอย่างโง่เขลา มันก็ไม่หยุดอยาก มันย้อนมาให้กลับอยากกันใหม่ อยากลองดูอีก มันก็อยากอย่างโง่เขลาอีก มันก็ทำอย่างโง่เขลาอีก มันก็ได้ผลมาอย่างโง่เขลาอีก แล้วมันก็ย้อนมาใหม่อยากอย่างโง่เขลาอีก ทำอย่างโง่เขลาอีก ได้รับผลอย่างโง่เขลาอีก เป็นวงกลมอันไม่รู้จักสิ้นสุด เพราะมันกลม มันก็หมุนได้ แต่ถ้ามาทำลายเสียอย่าให้มันกลม ให้มันหักเสีย มันก็หมุนไม่ได้ นี่เรียกว่าหักเสียซึ่งวงกลมแห่งความอยาก แห่งการกระทำ และแห่งผลของการกระทำอันโง่เขลา ท่านทั้งหลายตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ ได้สร้างวงกลมนี้ขึ้นมากี่วง ลองคิดดู ได้สร้างวงกลมนี้ขึ้นมากี่สิบวง ขอให้ลองคิดดู ได้สร้างวงกลมนี้ขึ้นมากี่ร้อยกี่พันวง คนที่มันเก่งๆ วันเดียวมันสร้างได้ตั้งหลายสิบหลายร้อยวง มันก็ต้องหมุนอยู่ในวัฏสงสารคือวงกลมแห่งความทุกข์ มันออกไปไม่ได้เพราะมันหักวงกลมนี้ไม่ได้ พระอรหันต์คือผู้ที่ทำลายความอยากอย่างโง่เขลาเสียได้ ไม่มีความอยากอย่างโง่เขลา ก็ไม่มีการกระทำอย่างโง่เขลา ไม่ต้องรับผลของการกระทำอย่างโง่เขลา มันก็ไม่กลม มันไม่กลม มันก็หมุนไม่ได้ เมื่อหมุนไม่ได้มันก็หยุด จึงเรียกว่าพระอรหันต์ คือผู้หักเสียซึ่งสังสารวัฏหรือสังสารจักร คือวงกลมแห่งการว่ายเวียน การวนเวียนหรือการว่ายเวียน เมื่อเรายังว่ายเวียนเป็นวงอยู่ ตกอยู่ในวงกลมก็เป็นคนธรรมดา เราอยากจะตามรอยพระอรหันต์ ด้วยการออกไปเสียจากวงกลม คือการหักวงกลมนั้นเสีย ทุบให้แหลกลาญไป ไม่ให้มันเป็นวงกลม ไม่ให้มันหมุนได้ นี้เรียกว่าเป็นการตามรอยพระอรหันต์ ที่ว่าหักเสียซึ่งตัวตนหรือของตนนั่น นี้คือความรู้สึกหมายมั่นด้วยความโง่เขลาอีกเหมือนกัน จิตนี่มันคิดนึกได้ตามธรรมชาติของจิต พอมันรู้สึกอร่อยขึ้นมา มันก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าตัวกูอร่อย พอมันเจ็บปวดขึ้นมา มันก็เกิดความรู้สึกว่าตัวกูเจ็บปวด หรือมันจะเกิดความรู้สึกอะไรก็ตาม มันเกิดความรู้สึกติดตามมาว่าตัวกูทั้งนั้นคือตัวตน แล้วมันก็เห็นแก่ตน มันก็ทำไปในลักษณะที่เห็นแก่ตนโดยไม่ต้องคิดว่ามันผิดหรือมันถูก ไม่ต้องคิดว่ามันดีหรือมันชั่ว นี้มันก็เป็นการทำอันตรายแก่ทุกฝ่าย ทำอันตรายตนเองด้วย ทำอันตรายเพื่อนมนุษย์ด้วยกันด้วย เพราะมันเกิดตัวตนอันสูงเด่นขึ้นมา จะต้องหักมันเสีย จะต้องโค่นมันเสีย คนธรรมดาโค่นไม่ได้เพราะว่ามันเป็นคนธรรมดานั่นเอง ไม่มีสติปัญญา มีแต่ความโง่เขลา ความรู้สึกว่าตัวกู ว่าของกู มันก็จัดมาก เป็นไปรุนแรงมาก ขอให้สังเกตดูให้ดี อันนี้เป็นต้นเหตุหรือว่าจะเรียกว่าเป็นรากฐาน เป็นพื้นฐานของกิเลสก็ได้ ถ้าอย่าเกิดความรู้สึกเป็นตัวกูหรือเห็นแก่ตัวแล้ว กิเลสก็ไม่อาจจะเกิดได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงทำลายเสีย หักเสีย โค่นเสีย ซึ่งความรู้สึกยึดถือ มั่นหมายว่าเป็นตัวกู พระอรหันต์ท่านหักเสียได้ซึ่งเสาแห่งตัวกู ของกู มันเป็นเหมือนกับยกเสาขึ้นมา ยกเสาธงขึ้นมาให้สูงเด่นกว่าคนอื่น เกิดความรู้สึกยกตนข่มผู้อื่น ถ้ามันสูงกว่าไม่ได้ มันก็อิจฉาริษยาด้วยความมีตัวตนอยู่นั่นเอง ถ้ามันพอเสมอๆ กัน มันก็คิดจะทำลายผู้เสมอกันนั้นให้ต่ำลงไป นี่คือความโหดร้ายของความยึดมั่นถือมั่น ว่าตัวกู ว่าของกู ฉะนั้นจะต้องโค่นมันเสีย จะต้องหักมันเสีย อย่าให้มีความรู้สึกเป็นตัวกูของกูเหลืออยู่ ผู้ที่ทำได้อย่างนี้เรียกว่า พระอรหันต์
ความหมายถัดไปอีก แปลว่า ผู้ควร ผู้สมควร ผู้เหมาะสม เหมาะสมแก่อะไร ทีแรกที่สุดก็ต้องเหมาะสมแก่คำว่ามนุษย์ เป็นแต่คนยังไม่ใช่มนุษย์ เพราะมันยังโง่ เพราะมันยังไม่กระทำอย่างถูกต้อง ต่อเมื่อมีจิตใจสูงเป็นมนุษย์ จึงจะมีการกระทำอย่างถูกต้อง มนุษย์แปลว่าเป็นผู้มีจิตใจสูง สูงคือมันอยู่เหนือความโง่ มันอยู่เหนือความผิด มันอยู่เหนือความทุกข์ ผู้ที่ทำได้เช่นนั้นเรียกว่าเป็นมนุษย์ คือมีจิตใจสูง พระอรหันต์ท่านเป็นแล้ว เพราะทำได้อย่างนั้น จึงเรียกว่าเป็นพระอรหันต์ ก็เลยเรียกว่าผู้สมควร สมควรแก่ความเป็นมนุษย์ เรียกง่ายๆ ก็ว่าควรจะเรียกว่ามนุษย์ที่สมบูรณ์ มนุษย์นอกนั้นยังไม่สมบูรณ์ เป็นคนที่ยังมิใช่คน อยากจะเล่านิทานตลกที่เล่าสืบๆ กันมาสักเรื่องหนึ่งว่า โสเครตีส เขาเป็นปรมาจารย์แห่งชาวกรีซ ในประเทศกรีซ ราวๆ สองพันปีมาแล้ว โสเครตีสคนนี้ เขาจุดไต้ จุดคบเพลิง เที่ยวส่องไปตามถนนกลางวันแสกๆ ชาวบ้านเขาถามว่าคุณพ่อจุดไต้ส่องหาอะไร โสเครตีสเขาตอบว่า ส่องหาคนโว้ย ประชาชนทั้งหลายก็ถามว่า อ้าว, แล้วพวกเราไม่ใช่คนหรือ โสเครตีสเขาบอกว่าไม่ ไม่ ท่านทั้งหลายยังไม่ใช่คนในความหมายของฉัน นั่นนะลองคิดดูเถอะ เป็นคนยังไม่ใช่มนุษย์นั่น เอาล่ะถ้าว่าโสเครตีส เขาเกิดมาเดี๋ยวนี้ มาส่องหาคนในบ้านเรานี้ จะพบคนสักกี่คน ก็ยังสงสัยอยู่ ใครเป็นได้แต่เพียงคน ใครเป็นได้ถึงมนุษย์ มันก็ต้องรู้เอาเองแหละ คนอื่นคงจะรู้ไม่ได้ ฉะนั้นช่วยจำนิทานเรื่องนี้ไว้ มันเป็นเรื่องที่เล่ากันมาอย่างนี้ มันคงจะเป็นเรื่องจริงอยู่บ้างมันจึงได้เล่ากันสืบๆ กันมา ว่าบางคนนั้นยังไม่เป็นคน บางทีเราก็ด่าเพื่อนฝูงว่าไม่ใช่คน มึงไม่ใช่คน นี่ก็แสดงว่าเราไม่ยอมรับความเป็นคนของคนเหล่านั้น ฉะนั้นระวังให้ดีนะ ถ้ายังไม่เป็นคนล่ะก็ ยังไม่เป็นได้ แม้แต่จะเป็นลูกศิษย์ของพระอรหันต์ก็ยังไม่ได้ พระอรหันต์ท่านเป็นมนุษย์ เรายังไม่เป็นแม้แต่เพียงคน ก็ไม่เป็นลูกศิษย์ของพระอรหันต์ได้ ขอให้ช่วยกันทำให้จิตใจมันสูงๆ สูงจากความโง่ ความหลง ความที่เป็นกิเลสทุกๆ อย่างนั่นแหละให้มันขึ้นมาเสีย อย่าจมลงไปในกิเลส นี่เรียกว่าจิตใจสูงและก็เป็นมนุษย์ หมดกิเลสก็คือเป็นมนุษย์น่ะ เพราะไม่มีอะไรจะมาท่วมทับจิตใจ เดี๋ยวนี้มีอะไรมาท่วมทับจิตใจให้จมลงไป จมลงไปเหมือนกับจมโคลน จิตใจอย่างนี้ไม่สูง เมื่อไม่มีอะไรท่วมทับหรือท่วมทับไม่ได้ เรียกว่าจิตใจสูง ก็เรียกว่ามนุษย์ พระอรหันต์ควรแก่ความเป็นมนุษย์ เป็นผู้สมควรแก่ความเป็นมนุษย์ เป็นผู้สมควรแก่ความหมายของคำว่ามนุษย์ เราจงมาตามรอยพระอรหันต์ด้วยการทำตนให้สมควรแก่คำว่ามนุษย์หรือเป็นมนุษย์ ทีนี้ควรอีกอย่างหนึ่ง ก็เรียกว่าควรแก่ปัจจัยของที่เขานำมาบูชา ปัจจัยคือสิ่งของ เครื่องช่วยให้รอดชีวิตอยู่ได้ จะเป็นอาหารก็ได้ เป็นเครื่องนุ่งห่มก็ได้ เป็นที่อยู่อาศัยก็ได้ เป็นเครื่องบำบัดโรคภัยไข้เจ็บก็ได้ เหล่านี้เรียกว่าปัจจัยทั้งนั้น แต่ว่าคนโดยมากเข้าใจผิด คิดว่าปัจจัยนั้นคือเงิน คำว่าปัจจัยนั้นไม่ใช่เงิน ตามภาษาบาลีเขาไม่ได้หมายถึงเงิน แต่เดี๋ยวนี้เขาใช้เงินเป็นเครื่องซื้อหาปัจจัยเหล่านี้โดยสะดวก ก็เลยเข้าใจผิด เข้าใจว่าเงินคือปัจจัย ฉะนั้นก็เข้าใจเสียใหม่ว่าปัจจัยนั้นคือเครื่องช่วยบำรุงให้ชีวิตรอดอยู่ได้ พระอรหันต์ก็ได้รับการบำรุงด้วยปัจจัย ทีนี้ก็มีปัญหาว่าท่านทำอะไร สมควรกันไหมที่จะได้รับปัจจัย พิจารณาดูแล้วก็ว่าเกินเสียอีก เกินสมควรเสียอีก เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่ดับความทุกข์ได้ เป็นผู้ตัดปัญหาได้ แล้วก็ช่วยให้มนุษย์ทุกคนตัดปัญหาได้ ดับความทุกข์ได้ เป็นตัวอย่างเครื่องพิสูจน์ได้ว่า ระบบการดับทุกข์นี้เป็นของทำได้ ไม่ใช่เป็นของเหลือวิสัยเลย คนทั้งหลายก็พากันทำตามและดับทุกข์ได้ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์จึงเป็นผู้สมควรแก่ปัจจัยที่เขานำมาบูชา ถ้าจะเข้าใจกันง่ายๆ ก็ลองนึกดู เหลือบตาดูว่า คนบางคนนี่ มันทำอะไรได้ผลไม่คุ้มค่าข้าวสุก เช่น ทำงานเอาเงินเดือนของเขาตั้งพันตั้งหมื่นนี่ ทำงานไม่คุ้มค่าเงินเดือน เป็นข้าราชการก็ได้ ไม่เกรงใจหรอกพูดได้ทั้งนั้นแหละ ใครทำงานเอาเงินเดือนของเขามากๆ แล้วทำงานไม่คุ้มค่าเงินเดือน นี่คือเรียกว่าผู้ไม่ควร ไม่ควรแก่ปัจจัยที่เขาบูชา ฉะนั้นขอให้ทุกคนทำอะไรๆ ในชีวิตนี้ให้คุ้มค่าข้าวสุก คุ้มค่าเงินเดือน คุ้มค่าปัจจัยที่รับของเขามา แมวตัวหนึ่งกินข้าววันละ ๒ จาน แต่ก็จับหนูได้หลายตัวนะ แมวน่ะจับหนูได้หลายตัว มันเกินค่าข้าวสุก ๒ จานนั่น เพราะฉะนั้นอย่าให้มันละอายแมวโว้ย พวกที่มีเงินเดือนทั้งหลาย ทำงานให้คุ้มค่าเงินเดือนกันสักหน่อย ทีนี้มาพูดถึงพระอรหันต์แล้ว มันเกินค่าเงินเดือน ไม่รู้กี่เท่า พันเท่า มันเกินค่าเงินเดือน วันละบาตรเท่านั้นแหละ พระอรหันต์น่ะ เงินเดือนพระอรหันต์วันละบาตรเท่านั้น บาตรที่ถือไปขอทานเท่านั้น เงินเดือนวันละบาตร ท่านก็ทำงานคุ้มค่า โอ๊ย,เหลือจะกล่าว ทำงานเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน เป็นโกฏิ ฉะนั้นจึงได้นามว่าพระอรหันต์ เป็นผู้ควรแก่ปัจจัยที่เขานำมาบูชา ช่วยจำไว้ ช่วยทำตามรอยพระอรหันต์กันทุกคน ว่าให้ทำอะไรอย่างน้อยให้คุ้มค่าข้าวสุก ให้คุ้มค่าเงินเดือน ถ้าว่ากลัวว่ามันจะไม่คุ้มค่าเงินเดือน ก็อย่าไปรับเงินเดือนให้มันมากสิ ลดเงินเดือนตัวเองเสียบ้างสิ มันจะได้รอดจากความผิดในข้อนี้
ทีนี้ความหมายสุดท้าย พระอรหันต์คือผู้ไม่ลึกลับ ไม่มีความลับ ไม่มีสิ่งที่ลึกลับซ่อนเร้น คนธรรมดาสามัญมีเรื่องอะไรบางเรื่องเป็นความลับบอกคนอื่นไม่ได้ นี่คนธรรมดาเขาเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วมันไม่มีเหลืออยู่ ท่านไม่มีความลับ ไม่มีความชั่วที่จะต้องปกปิด และให้คนอื่นช่วยปกปิด ทีนี้คนธรรมดามันมีความลับมีความชั่ว ตัวเองก็ปกปิดๆ แล้ววานญาติพี่น้อง มิตรสหายให้ต้องช่วยกันปกปิด นี่มันไกลจากความเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าท่านทรงท้าทาย ข้อนี้มีปรากฏอยู่เป็นพุทธภาษิต ว่าพวกเธอไม่ต้องช่วยปกปิด ไม่ต้องช่วยฉันปกปิด ไม่ต้องช่วยแวดล้อมคุ้มครองป้องกันฉัน พระพุทธเจ้าท่านทรงท้าทายอย่างนี้ ว่าสาวกทั้งหลายอย่ามาทำอะไรในลักษณะช่วยปกปิด ช่วยป้องกันความลับ หรือว่าช่วยคุ้มครอง ช่วยชนิดที่ว่าต้องมีคนอื่นช่วย เพราะท่านไม่มีความลับ ความลับมันขึ้นอยู่กับกิเลส ถ้าไม่มีกิเลส ก็ไม่มีทางที่จะทำความชั่ว หรือความลับที่จะต้องปกปิด นี้เรียกว่าท่านไม่มีความลับ และท่านก็ไม่มีสิ่งซึ่งลึกลับ ท่านเปิดเผยให้ดูได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าใครสงสัยอะไรก็มาดู มาตรวจดู ท้าทายให้มาตรวจดู มันไม่มีอะไรซ่อนเร้น ไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งลึกลับ แล้วท่านก็มิได้อยู่ลับนะ ตรงนี้จงฟังให้ดี ว่าท่านมิได้อยู่อย่างลึกลับจนใครเข้าใจท่านไม่ได้ คือว่าท่านมีลักษณะการเป็นอยู่ที่คนอาจจะเข้าใจท่านได้ว่าเป็นอย่างไรๆ ไม่ใช่ว่าลึกลับจนคนอื่นเขาเข้าใจไม่ได้ ฉะนั้นบางคนหรือพวกเราบางคนนี่ อาจจะคิดว่าพระพุทธเจ้ามีอะไรลึกลับที่เราเข้าใจไม่ได้ ก็เลยพาลหาเรื่องที่จะไม่ทำตามอย่างพระพุทธเจ้า ขอยืนยันว่าพระพุทธองค์ตรัสไว้เองว่าไม่มีเรื่องลึกลับ อาการการกระทำไม่ลึกลับ เนื้อตัวไม่ลึกลับ ความเป็นพระพุทธเจ้าไม่ลึกลับ คนอาจจะเข้าใจได้ และมองเห็นได้ แล้วพระองค์ก็ไม่ได้ทรงหวงอะไรไว้เป็นความลับ คนสมัยนี้เต็มไปด้วยการหวงความลับ อย่างคิดระเบิดปรมาณูได้นี่ หวง ไม่ให้ใครรู้ หวงเป็นความลับ หรือคิดอะไรได้แปลกๆ ก็หวงไว้เป็นความลับ อาการอย่างนี้ไม่มีแก่พระอรหันต์ พระอรหันต์จะไม่สงวนอะไรไว้เป็นความลับเพื่อประโยชน์แก่ตน หวงไว้เป็นวิชาเฉพาะของเรา จะหากินคนเดียวอย่างนี้ ไม่มี ฉะนั้นท่านไม่ได้อยู่อย่างลึกลับจนเราเข้าใจไม่ได้ ท่านอยู่อย่างเปิดเผยจนใครๆ มองออก มองออกว่าท่านเป็นอย่างไร ท่านทำอย่างไร เราจะเอาตัวอย่างท่านได้อย่างไร นี่ท่านไม่มีความลึกลับ ไม่ได้เป็นอยู่อย่างลึกลับ ไม่ได้ซ่อนอะไรไว้เป็นความลับ จึงถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์
คำว่า อรหํ เราชอบแปลกันว่าบริสุทธิ์ หมดจดจากกิเลส เครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย มันก็หมายถึงข้อนี้แหละ พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์บริสุทธิ์ หมดจดจากกิเลส เครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย ก็แปลว่าบริสุทธิ์ เพราะไม่มีความชั่วหรือความลับที่ต้องปกปิด เอาล่ะเป็นอันว่าเรารู้จักพระอรหันต์ใน ๔ ความหมายนี้ ก็พอแล้วกระมัง หรืออาจจะมากเกินไปสำหรับผู้ที่จะปฏิบัติตามอยู่แล้ว และ ๔ ข้อนี้ มันก็รวบรวมข้ออื่นๆ ไว้ได้หมด แม้ว่าจะไม่นำมากล่าว จึงขอสรุปความว่า ท่านเป็นผู้ไกล ไกลจากข้าศึกคือความทุกข์ ท่านเป็นผู้หัก หักวงกลมแห่งความทุกข์ ท่านเป็นผู้สมควรแก่ความเป็นมนุษย์ และก็ท่านเป็นผู้ไม่มีความลับ ไม่มีภาวะอันลึกลับ ดูให้ดี ไม่มีอะไรเหลือไว้สำหรับจะรังเกียจท่าน จะระแวงท่าน มันมีแต่น่าเคารพ บูชา ควรจะถือเอาเป็นตัวอย่าง
วันนี้เป็นวันมาฆปุณณมี เราสมมติกันขึ้นไว้ ยกขึ้นไว้เป็นวันพระอรหันต์ เป็นวันที่ระลึกแก่พระอรหันต์ จึงทำอะไรทุกอย่างทุกประการในวันนี้ เพื่อเป็นเครื่องบูชาคุณของพระอรหันต์ ทั้งฆราวาสทั้งบรรพชิต มีความมุ่งหมายตรงกัน ชักชวนกันมาประชุมอยู่ในสถานที่นี้ เพื่อทำกาย วาจา ใจ สามอย่างนี้ ให้เป็นเครื่องบูชาพระคุณของพระอรหันต์ และยังมาเลือกสถานที่เช่นนี้ ซึ่งมันคล้ายๆ กับสถานที่ซึ่งพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านพอใจ ท่านนิยมเป็นอยู่กัน เป็นการใกล้ชิดกับธรรมชาติ สถานที่ที่เรากำลังนั่งอยู่นี้ เป็นที่ซึ่งเคยเป็นพระเจดีย์องค์ใหญ่ในสมัยซึ่งเชื่อกันว่าสมัยศรีวิชัย พันกว่าปีมาแล้ว ดินแดนภาคใต้นี้เรียกว่าอาณาจักรศรีวิชัย รุ่งเรืองด้วยพระศาสนาเป็นอันมาก ประชาชนมีธรรมะ มีศาสนาอยู่ในเนื้อในตัว จนมีวัฒนธรรมสูง มีความเป็นสุภาพบุรุษ มีความเป็นมนุษย์ที่ดี อยู่ในเลือดในเนื้อ สืบเชื้อกันมา แล้วมันก็ค่อย ร่อยหรอไปๆ ตามความเจริญแผนใหม่ จนเกิดเป็นปัญหายุ่งยากลำบาก ทำลายความเป็นมนุษย์ ไม่ให้น่าดูเสียแล้ว ฉะนั้นมาช่วยกันเถิด มาช่วยกันอีกที ดึงกลับมา จะดึงตัวเองกลับไปก็ได้ หรือดึงธรรมะกลับมาก็ได้แล้วแต่จะชอบพูดอย่างไร ดึงตัวเองกลับไปสู่สมัยที่เขาเคยเจริญรุ่งเรืองด้วยธรรมะก็ได้ หรือว่าดึงธรรมะในสมัยที่เคยมีมาแต่กาลก่อนแล้วสูญหายไปนั้นกลับมาหาพวกเราที่นี่อีกก็ได้ อาตมาชอบใช้ว่าดึงกลับมา จึงพูดว่าขอให้ศีลธรรมกลับมา ขอให้ศีลธรรมกลับมา พูดที่วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ๓๒ ครั้งแล้ว ว่าธรรมะกลับมา ศีลธรรมกลับมานี่ ๓๒ ครั้งแล้วทางวิทยุ จนเขาว่าบ้าแล้ว พูดเพ้อไปคนเดียว แต่ก็ยังไม่หยุด ยังจะพูดอีกต่อไป วันนี้ก็พูด ที่นี่ก็พูด แล้วก็จะพูดต่อไปอีก ไม่มีที่สิ้นสุด ว่าขอให้ศีลธรรมกลับมา เมืองนี้ ดินแดนนี้เคยมีศีลธรรมปรากฏให้เห็นอยู่ทั้งทางวัตถุ เช่นองค์พระบรมธาตุเป็นต้น เห็นอยู่ทางการกระทำเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีที่งาม คนมีศีลมีสัตย์ เมตตา กรุณาก็เห็นๆ กันอยู่ จนกระทั่งว่าบทกล่อมลูกให้นอนก็เป็นเรื่องพระนิพพาน นี่ใครที่มาที่วัดนี้ ขอร้องให้ช่วยไปดู พิจารณาดู สระใหญ่อยู่ทางทิศใต้ กลางสระนั้นมีต้นมะพร้าวอยู่ต้นหนึ่ง ต้นมะพร้าวนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพระนิพพาน อยู่กลางน้ำซึ่งหมายถึงวัฏสงสาร มะพร้าวนาฬิเกร์ อยู่กลางทะเลขี้ผึ้งคือน้ำ น้ำเป็นทะเลขี้ผึ้ง คือดีชั่ว บุญบาป สุขทุกข์ ได้เสีย แพ้ชนะ รวยจน อะไรก็ตาม เป็นคู่ๆ คู่ๆ นั่นหน่ะเรียกว่าทะเลขี้ผึ้ง ส่วนพระนิพพานนั่นไม่เกี่ยวข้องกับคู่ๆ คู่ๆ เหล่านี้เลย สูงเด่นออกไปเลย นี่เรียกว่าพระนิพพาน ไม่มาเกี่ยวข้องกันอยู่กับเรื่องบุญๆ บาปๆ สุขๆ ทุกข์ๆ แพ้ๆ ชนะ ได้ๆ เสียๆ ไม่มาเกี่ยวข้องอยู่กับสิ่งเหล่านี้ นี่ประชาชนรู้ธรรมะสูง จนพอใจภาวะพระนิพพาน และหนักขึ้นไปอีก ก็เอามาทำเป็นบทกล่อมลูกให้นอน มันกะว่าจะกล่อมลูกอ่อนนี่ให้รู้จักพระนิพพานมาตั้งแต่แรกลืมตาทีเดียว กล่อมลูกให้นอนด้วยข้อความเกี่ยวกับพระนิพพาน มันเหมือนกับว่าจะมอบหมายเรื่องของพระนิพพานให้ลูกเด็กๆ ตั้งแต่เริ่มลืมตาขึ้นมาในโลกนี้ทีเดียว ก็ขอให้มองเห็นความที่เคยเจริญรุ่งเรืองด้วยศีลธรรม นี่ก็ค่อยๆ หายไปตามความเจริญสมัยใหม่ จนวุ่นวาย จนจะวินาศกันอยู่ทั้งโลกแล้ว ขอหวังให้ศีลธรรมนี้กลับมา แล้วเรานี่ต้องช่วยกัน คือตามรอยพระอรหันต์ ถ้าเราทุกคนช่วยกันตามรอยพระอรหันต์ ความเป็นสูงสุดที่น่าพอใจก็จะกลับมา คือจะอยู่กันอย่างเย็นอก เย็นใจ เป็นพระนิพพาน
ขอให้ท่านทั้งหลายมีความแจ่มแจ้งในข้อเท็จจริงอันนี้ แล้วมีจิตใจ ปลาบปลื้มปีติยินดี ในการที่จะบูชาคุณของพระอรหันต์ ในการที่จะอุทิศทุกอย่างทุกประการ บูชาคุณของพระอรหันต์ เพื่อย้อมจิตใจของเราให้สมัครยินดีในการที่จะทำตามรอยของท่าน จะเดินตามรอยของพระอรหันต์ เราจะกระทำทางกายตามร่องรอยของพระอรหันต์ เราจะพูดจาทางปากตามร่องรอยของพระอรหันต์ เราจะคิดนึกด้วยจิตด้วยใจตามร่องรอยของพระอรหันต์ เรียกว่าด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ขอให้เป็นไปในร่องรอยของพระอรหันต์ เดี๋ยวนี้เราบูชาด้วยเรี่ยวแรง อุตส่าห์มาจากที่ไกลเหน็ดเหนื่อยเสียค่ารถค่าเรือ อันนี้ก็บูชาพระอรหันต์ เรายังทำพิธีประกอบพิธีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยกายก็บูชา ด้วยวาจาก็ออกวาจาออกมาเป็นการยอมรับ สนองพระคุณของพระอรหันต์ และด้วยจิตใจของเราก็เป็นอย่างนั้นด้วย มีจิตใจสำนึกในพระคุณของพระอรหันต์ เราก็เรียกว่าบูชาครบทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ และทั้งอื่นๆ ด้วย คือด้วยทรัพย์สมบัติ ด้วยการประพฤติกระทำ เวลาอะไรต่างๆ เอามาใช้บูชาคุณของพระอรหันต์ ในบ่ายวันนี้ ในสถานที่นี้ มีธรรมชาติอันเก่าแก่เป็นเครื่องจรรโลงใจ ช่วยชูจิตใจให้มีความกล้าหาญ ให้มีความเชื่อที่เพียงพอว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องและควรกระทำอย่างยิ่ง อาตมาจึงขอร้องให้ท่านทั้งหลายได้เตรียมจิตใจให้พร้อมให้เหมาะสมที่จะทำพิธีอาสาฬหบูชา คือขอให้ท่านทั้งหลายทำความเข้าใจในข้อเท็จจริงดังที่กล่าวมาแล้วนี้ไว้ในจิตใจ ก็จะมีจิตใจพอใจกล้าหาญ ในการที่จะประกอบพิธีอาสาฬหบูชา ซึ่งเราจะได้ทำต่อไป จะมีความเข้าใจนี้แจ่มแจ้งอยู่ตลอดเวลาที่เรากระทำ ขอให้เตรียมจิตใจให้พร้อมที่จะทำพิธีอาสาฬหบูชาด้วยกันจงทุกๆ คนเถิด ธรรมเทศนาแสดงไปเพื่อการเตรียมจิตใจ ให้เหมาะสมแก่การทำพิธีวิสาขบูชา เอ้อ,มาฆบูชา ก็สมควรแก่เวลาแล้ว อาตมาขอยุติธรรมเทศนานี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ เพื่อจะได้ประกอบพิธีมาฆบูชาสืบต่อไป เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้ /เป็นเสียงสวดมนต์ (นาทีที่57.16-จบไฟล์) ...
อ้าว มีดอกไม้ ธูป เทียน ก็เตรียมอย่างเคย ตามที่จะมี ขอร้องให้พระสงฆ์ท่านสวดคำบาลี ให้ฆราวาสสวดคำภาษาไทย โดยว่ากันคนละครั้ง ไม่ต้องพร้อมกันก็ได้ อ้าว นิมนต์จุดธูปเทียน ยืนขึ้นดีกว่า .....อ้าว ช่วยจุดสิ ยืนขึ้นจุด แล้วก็จุดเครื่องสักการะ จุด จุด จุด ยืนเฉยๆไม่ต้องเดิน ไม่ล้มหรอก อ้าว..ช่วย..สำหรับพระอรหันต์ ไม่มีข้างบน ไม่มีข้างล่าง สำหรับพระอรหันต์ มีแต่เป็นอันเดียวกันหมด ท่านทั้งหลายจงหลับตาเสีย ทุกคนหลับตาเสีย อย่ามีทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง อย่าได้มี ขอให้มีแต่ความเป็นอันเดียว ภาพที่ว่างจากกิเลสและความทุกข์ ทำในใจถึงลักษณะของพระอรหันต์อย่างนี้แล้ว กล่าวคำบูชาภาษาบาลี.....(หันทะมะยัง....นาทีที่๕๙.๑๐ )
(นาทีที่ ๑.๐๘.๐๙) ทายกทายิกาทั้งหลาย จุดเทียนแล้วยืนขึ้นๆ ถือเครื่องสักการะไว้ในมือ แล้วยืนขึ้น แล้วทำในใจถึงพระอรหันต์ คุณของพระอรหันต์ มีอยู่ในที่ทั่วไป ไม่มีทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศข้างบน ทิศข้างล่าง สำหรับพระพุทธเจ้า สำหรับพระธรรม สำหรับพระเป็นเจ้า หรือสำหรับสิ่งสูงสุดนั้นๆ เมื่อเราจะถึงสิ่งสูงสุดนั้นๆ เราอย่าไปทำให้มันมีทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก เราจะไม่คิดว่าประเทศอินเดียอยู่ทิศตะวันตก หรืออะไรทำนองนั้น ฉะนั้นเราจึงทำให้ง่ายขึ้น โดยการหลับตาเสีย ไม่มีทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศข้างบน ทิศข้างล่าง ใจของเราเป็นใจเดียวครอบจักรวาล แล้วก็ตั้งใจกล่าวคำบูชา เป็นภาษาไทย (หันทะมะยัง....นาทีที่ ๑.๑๐.๐๒)
(ท่านพุทธทาสกล่าวนำ....พระและฆราวาสว่าตาม)
เราทั้งหลาย นับถือพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ใด ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด เป็นศาสดาของเราทั้งหลาย อนึ่งเราทั้งหลายชอบใจพระธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์ใด พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เกิดแล้วในมัชฌิมประเทศ ชนบท หมู่มนุษย์อริยะสัตว์ เป็นกษัตริย์โดยชาติ เป็นโคตมะโดยโคตร เป็นศากยบุตร บรรพชาจากศากยะตระกูลตรัสรู้อภิสัมโพธิญาณ ไม่มีความรู้อื่นยิ่งไปกว่า ไม่ต้องสงสัยเลย พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ หมดจดจากกิเลส ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ทรงดำเนินดีแล้ว รู้แจ้งโลก เป็นยอดสารถีผู้ฝึก เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้จำแนกธรรม อนึ่งพระธรรม อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ดีแล้ว เป็นธรรมที่เห็นได้ด้วยตนเอง ไม่จำกัดกาลเวลา เป็นของควรเรียกกันมาดู ควรน้อมนำเข้ามาไว้ในตน วิญญูชนรู้แจ้งได้ด้วยตน อนึ่งพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติควรแก่การนับถือ ได้แก่พระอริยบุคคล ๔ คู่ นับเรียงตัวได้แปด เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค ควรแก่ของคำนับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ของทำบุญ ควรแก่การกราบไหว้ เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ก็พระสถูปนี้ เขาสร้างอุทิศถวาย พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เพื่อชนที่เกิดมาภายหลัง เห็นแล้ว ระลึกถึงพระองค์ ให้ได้ความเลื่อมใส และสังเวช บัดนี้เราทั้งหลาย มาถึงกาลมาฆปุณณมี คล้ายวันที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในที่ประชุมสงฆ์ อันประกอบด้วยองค์สี่ เราจึงมาพร้อมกัน ณ.ที่นี้ ถือเครื่องสักการะ ไว้ในมือ ทำร่างกายของตน ให้เป็นเหมือนภาชนะ รองรับเครื่องสักการะเหล่านั้น ในใจระลึกถึงอยู่ ถึงพระคุณอันแท้จริง ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น พร้อมทั้งพระธรรม พร้อมทั้งพระสงฆ์ เป็นอารมณ์อยู่ในใจ และจะกระทำประทักษิณ บูชาพระสถูปนี้สิ้น ๓ รอบ ด้วยเครื่องสักการะ ตามที่ยกขึ้นแล้วนี้ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมทั้งพระธรรม พร้อมทั้งพระสงฆ์ แม้เสด็จปรินิพพานนานแล้ว แต่ยังคงดำรงอยู่บัดนี้ โดยพระคุณทั้งหลาย ขอให้ทรงจงรับด้วยเครื่องสักการะ และการบูชาของข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ
(นาทีที่ ๑.๑๖.๕๗)
อ้าว ทีนี้เตรียมการประทักษิณ (อ้าว พี่พิศจัดแถว จัดหัวแถว ช่วยเชิญคุณพระเวชยันต์มาเดินนำ ให้ท่านนั่งตามสะดวก/ท่านพุทธทาสพูดภาษาใต้) อ้าว..พวกเราเตรียมสวดพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ มีหุ้นส่วนและชาวบ้านที่เขาเดิน เราไม่ต้องเดิน แต่เรามีส่วน.....เอาไมโครโฟนมาใกล้ๆ เดินเวียนขวา หมายความว่าแสดงความเคารพสูงสุด สามรอบหรือแล้วแต่จะชอบ พอครบแล้วก็นั่ง วางธูปเทียนตรงที่ ตรงหยุด.......(๑.๑๘.๐๘นาที)
อิติปิโส ภะคะวา............