แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นภิกษุราชภัฏที่จะต้องลาสิกขาบททั้งหลาย ผมคิดว่าจะสนองความประสงค์ของท่านทั้งหลายในการบรรยายกล่าวนี้ ลักษณะที่เป็นชุด เพื่อความสะดวกบางอย่าง และเพื่อประโยชน์อันยืดยาว สำหรับจะได้ใช้เป็นคู่มือ สำหรับผู้อื่นต่อไปในอนาคต
บรรยายที่เห็นว่า ควรจะบรรยายทุกเรื่องรวมเข้าเป็นชุดๆ หนึ่ง แล้วจะเรียกชื่อมันว่า “ ธรรมะเล่มน้อย ”สำหรับผู้ที่จะลาสิกขา ที่เรียกว่า “ ธรรมะเล่มน้อย ” คือไม่ให้มันมากมาย ไม่ให้มันเกินจำเป็น เอาแต่ที่ใจเป็น หรือที่จะเรียกว่าเอาแต่ใจความสำคัญ รวมกันเป็น “ ธรรมะเล่มน้อย ” ทำไมเรียกว่าเล่มน้อย ก็คือมันไม่ใหญ่ เลยเห็นว่ามันไม่จำเป็นต้องใหญ่หรือต้องมากมาย ถ้าเราจับฉวยเอาได้ซึ่งใจความของมัน มันก็ไม่ต้องพูดกันมาก หมายความว่า ไปขยายความเอาได้เองทีหลัง นี้เรียกว่าเล่มน้อย น้อยสำหรับผู้ที่จะลาสิกขา สำหรับผู้ที่จะลาสิกขา น้อยอย่างที่เรียกว่า ให้มันน้อยเข้าไว้ก็แล้วกัน
ในครั้งแรกนี่ เราจะพูดโดยหัวข้อว่า “ปัญหาเฉพาะหน้าของมนุษย์” ท่านที่จะลาสิกขาบท ก็คงจะมีการนึกถึงอนาคต ซึ่งมันยังมีปัญหาว่าเราจะจัดการกับมันอย่างไร ให้ชีวิตของเราไม่เป็นชีวิตที่ คือเต็มไปด้วยปัญหา ถ้าจะถามว่าอะไรคือปัญหา ปัญหามันก็คืออุปสรรคหรืออันตราย หรือสิ่งที่ถูกเรียกร้อง หรือแม้ที่สุดแต่คำถามที่เป็นคำพูดนี้มันก็เป็นปัญหาด้วยเหมือนกัน ถามปัญหาก็หมายถึงคำพูด นี้ปัญหาส่วนที่เอามาพูด ที่ยังปัญหาส่วนที่ไม่ต้องพูด มันก็ได้แก่ตัวสิ่งที่เราเผชิญหน้ากันอยู่ในฐานะที่มันเป็นอุปสรรคแก่เราบ้าง ในฐานะที่มันเป็นอันตรายแก่เราบ้าง แม้แต่ข้อเรียกร้องตามธรรมชาติในชีวิตนี้ มันก็เป็นปัญหา เช่นเรื่องกิเลสนี้ เราชนะมันไม่ได้ที่มันเรียกร้อง หมายความว่ามันกลุ้มรุมให้เกิดความทุกข์ ความไม่สบายอะไรต่างๆ นานา ขึ้นมา
ทีนี้สำหรับคำว่าเฉพาะหน้านี้เราหมายถึง ปัญหาที่มีอยู่จริง ถ้าเราจะไปกวาดเอาไอ้คำถามต่างๆ มาจากที่ต่างๆ จากพระคัมภีร์ให้หมดสิ้นเหล่านั้น ก็เห็นได้ว่ามันไม่ใช่ปัญหาเฉพาะหน้า มันไม่ใช่ที่กำลังเผชิญเราอยู่ เดี๋ยวนี้เราจะเพ่งถึงปัญหาที่กำลังเผชิญกันอยู่กับเรา บีบคั้นให้เราอยู่ก็แล้วกัน จนเรามีความทุกข์ ความไม่ปกติสุข ถึงกับบางคนเป็นโรคประสาทหรือโรคจิตไปก็มี นี่มันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าและก็มีอยู่มาก จนถึงกับมนุษย์ทุกคนต้องละอายแมว ลองฟังคำว่าละอายแมว มนุษย์ยังมีปัญหาเผชิญกับปัญหา เอาชนะกับปัญหาไม่ได้ อย่างที่ต้องละอายแมว เห็นกันได้ง่ายๆ ว่าแมวนี้ไม่ปวดหัว แมวนี้ไม่เป็นโรคนอนไม่หลับ แมวนี้ไม่เป็นโรคประสาท แมวนี้ไม่บ้าเป็นโรคจิต เหมือนกับมนุษย์ซึ่งมีมากเต็มไปหมด แต่แมวสักตัวหนึ่งก็ไม่มี ที่มีปัญหาอย่างนี้ จึงเรียกว่าปัญหาเฉพาะหน้าของมนุษย์ ที่ทำให้เรามีการเป็นอยู่อย่างน่าละอายแมว ไม่เฉพาะแมว สัตว์เดรัจฉานอื่นๆ จะเป็นไก่ เป็นสุนัข เป็นอะไรก็ได้ มันก็ไม่ต้องเป็นโรคประสาท โรคจิตเหมือนมนุษย์ มันนอนหลับโดยที่ไม่ต้องกินยานอนหลับ ถ้าใครยังต้องกินยานอนหลับ ก็จะว่าแมวมันดีกว่าแล้วล่ะ เราเป็นมนุษย์ทั้งทีต้องกินยานอนหลับจึงจะหลับได้ สุนัขหรือแมวไม่ต้องกิน คิดดูอย่างนี้ เราจึงเรียกว่านี้คือปัญหาของมนุษย์
มนุษย์มีปัญหาเกิดขึ้น แปลกนะและมากนะ ทั้งแปลกทั้งมากกว่าปัญหาของสัตว์เดรัจฉาน คนเราคิดดูว่าทำไมมนุษย์มันจึงกลายเป็นอย่างนั้น เป็นมนุษย์ทั้งที มันกลับมีปัญหาที่ยุ่งยาก แก้ยากลำบาก แปลกประหลาดและมากกว่าปัญหาที่เกิดแก่สัตว์เดรัจฉาน ข้อนี้มันก็เห็นได้ง่ายๆ ก็เพราะมันสมองของมนุษย์ มันดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน สามารถมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน มันทำหน้าที่ของมันมากเกินไป กว่าที่ธรรมชาติต้องการ มนุษย์จึงคิดได้มาก คิดได้ลึก คิดได้เก่ง คิดได้กว้าง เนื้อเรื่องมันจึงมาก เนื้อเรื่องมันมาก ก็คือปัญหามันมาก มันก็แก้ไม่ไหว
ถ้ามองกันในแง่นี้แล้ว ไอ้การได้เป็นมนุษย์นี้ ไม่ใช่ของดีเลยที่จะต้องทนทุกข์มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน แต่มองในอีกทางหนึ่งก็ว่า แม้ว่ามนุษย์จะต้องมีปัญหา มีความทุกข์มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะมันสมองมันก้าว หน้า มันก็ต้องใช้มันสมองที่ก้าวหน้านั้นเอง แก้ปัญหาเหล่านั้นให้ได้ ถ้ามนุษย์คนใดใช้มันสมองของมนุษย์นั้นแก้ปัญหาไม่ได้ มนุษย์นั้นคนนั้นมันก็ต้องเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน เลวกว่าแมว เมื่อคนมันมีมันสมองสูงกว่าดีกว่า สร้างปัญหาขึ้นมามากกว่า ก็จะต้องแก้ปัญหานั้นได้นี่เป็นพื้นฐาน ที่สูงไปกว่านั้นก็คือ มนุษย์ จะต้องใช้มันสมองที่ดีที่ประเสิรฐกว่าสัตว์ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ขึ้นมาให้มากกว่าสัตว์ คนเราต้องทำประโยชน์ขึ้นมาในโลกนี้ให้มาก กว่าสัตว์ จึงจะสมกันกับที่มีมันสมองสูงกว่าสัตว์ มากกว่าสัตว์ ใหญ่กว่าสัตว์ กว้างกว่าสัตว์ ก็เป็นอันว่ามนุษย์ไม่ต้องเลวกว่าสัตว์ ไม่ต้องเป็นบาปกรรมทนทรมานยิ่งไปกว่าสัตว์ เพราะว่าเขาแก้ปัญหาของเขาได้นั่นเอง
ปัญหาของมนุษย์นี่ มันกว้าง คือว่าโดยส่วนตัวของแต่ละคนมันก็มี และยังมีปัญหาที่เนื่องออกไปถึงสังคม สำหรับปัญหาทางสังคมก็มี ปัญหาทางส่วนตัวก็มี ซึ่งสัตว์นั้นมันมีทางส่วนตัว และก็น้อยมาก ปัญหาทางสังคมมันไม่ค่อยมี เพราะมันไม่มีมันสมองพอที่จะรับผิดชอบปัญหาเกี่ยวกับสังคม มนุษย์เราจึงมีปัญหามากกว่า ลึกกว่า สูงกว่า กว้างกว่าด้วยเหตุนี้ เราก็กำลังเผชิญหน้าอยู่ นี่เข้าใจว่าทุกคนยังไม่พอใจ ในการที่ได้มีชีวิตเป็นมาแล้วตั้ง แต่ต้นจนบัดนี้ มันยังไม่เป็นที่พอใจ และบางคนก็จะยังมืดมนอยู่มากทีเดียว จนเกิดความหวาดกลัวว่า มันจะล้ม ละลายไม่น่าดูในอนาคต เราจึงขวนขวาย แสวงหาความรู้ที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้น ความรู้ให้รู้หนังสือ หรือให้มีอาชีพ คุณก็เรียนกันมาแล้ว จากโรงเรียนจากมหาวิทยาลัย เป็นต้น ความรู้นั้นมีแล้ว แต่ความรู้ที่ว่าจะแก้ปัญหาของมนุษย์โดยธรรมชาติในทางจิตใจนี้อย่างไร ดูเหมือนจะยังไม่ได้เรียน พูดว่ายังไม่ได้เรียนเลยก็ได้ เพราะยังไม่ ได้เรียนในส่วนนั้น ในส่วนที่เป็นมนุษย์กันอย่างไรนั้นคุณไม่ได้เรียน ซึ่งมันเป็นเรื่องของทางธรรมะ ทางศีลธรรม ทางศาสนา เรายังไม่ได้เรียน
ที่ผมเคยพูดว่าในโลกนี้ กำลังมีการศึกษาหางด้วน หรือมันด้วนก็แล้วกัน ทั้งโลกมันมีการศึกษาที่ด้วน มันสอนแต่หนังสือกับอาชีพ มันไม่สอนในเรื่องจะเป็นมนุษย์กันอย่างไรให้โลกนี้มีสันติภาพ ก็หวังด้วยความโง่เขลา ว่าถ้าเรารู้อะไรมากๆ มีอาชีพดี ผิดกันมากอะไรกันมาก แล้วก็จะ จะดี นี่คือความโง่ เขาจึงแก้ปัญหาที่กำลังมีอยู่ในโลกนี้ในปัจจุบันนี้ไม่ได้ คือโลกนี้ยิ่งมีวิกฤติกาล รบกวนกัน ฆ่าฟันกัน แย่งชิงกัน เบียดเบียนกันมากขึ้นๆ เพราะว่าการศึกษามันด้วน มันสอน คือมันสอนกันแต่หนังสือกับอาชีพนั่นแหละ ถ้าเป็นสุนัขก็เป็นสุนัขหางด้วน ถ้าเป็นเจดีย์ก็เป็นเจดีย์ยอดด้วน ถ้าเป็นคนมันก็เป็นคนหัวด้วน ที่มันเรียนกันแต่หนังสือกับอาชีพนั่นมันเป็นคนหัวด้วน ไม่มีมันสมองจะแก้ปัญหาของมนุษย์อย่างไร จึงต้องทนทรมานอยู่ด้วยความทุกข์ชนิดที่ว่าจะมีความรู้อย่างไร ร่ำรวยอย่างไร ก็แก้ปัญหาในโลกนี้ไม่ได้ ส่วนตัวก็ยังแก้ไม่ได้ อย่าว่าจะไปแก้ของส่วนรวม หรือส่วนของโลก
อยากจะขอให้สังเกตว่า เดี๋ยวนี้เขามุ่งหมายจะแก้ปัญหาในโลกนี้ ด้วยการทำให้เศรษฐกิจเพียงพอ ให้มีเศรษฐกิจดี ให้มันอยู่ดีกินดีแล้วก็จะพอ โดยการปรับปรุงทางเศรษฐกิจ อย่างนี้มันเป็นเรื่องหลับตามากกว่า มนุษย์เราจะไม่รู้จักพอด้วยความมีทรัพย์สมบัติมีอะไรทำนองนั้น มนุษย์เราจะรู้จักพอต่อเมื่อมีธรรมะ รู้จักการดำรงจิตใจถูกต้อง แล้วมันก็จะพอ ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติมันไม่มีพอ นี่ก็คือตัวปัญหาตามธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งคุณจะ ต้องสนใจเอาไว้ เพราะมันก็เป็นปัญหาอันร้ายแรงอย่างหนึ่ง และเป็นปัญหาที่เกิดอยู่ตามธรรมชาติ คือว่าคนเราไม่อาจจะรู้สึกพอได้ ด้วยการหาอะไรๆ มาสนองความอยาก จะพอได้ก็ต่อเมื่อรู้จักทำจิตใจให้มันพอ เพราะว่าการไม่รู้จักพอนั้นมันเป็นทุกข์ นี่คนมันก็เข็ดหลาบ มันไม่อยากจะทุกข์ มันก็รู้จักทำให้ไม่เป็นทุกข์ ก็คือทำให้รู้จักพอ
คำว่าพอนี้ไม่ใช่ว่าให้มีน้อยเกินไป หรือมันมีน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ แต่เราต้องการให้มันพอสบายนั่นแหละ ให้พอสบาย เพราะว่าถ้าเราปล่อยไปตามธรรมชาติแล้วมันก็ไม่มีการพอ เป็นธรรมชาติของกิเลสในหมู่มนุษย์ ในใจของมนุษย์ ในใจของคน ควรจะเรียกว่าคนดีกว่าที่จะเรียกว่ามนุษย์
ผมเคยพูดให้ฟังว่า ให้ฝนตกลงมาเป็นทองคำ เป็นเหรียญทองคำหรือเป็นเม็ดทองคำ เป็นอะไรทองคำก็ตามเต็มไปทั้งโลก ก็ไม่อาจจะทำให้โลกนี้มีความสงบสุขได้ เพราะว่าความต้องการของคนก็ยังมากกว่านั้น แม้ฝนจะตกมาเป็นเม็ดทองคำ มันก็ไม่มีสันติภาพ สำหรับคนที่ไม่มีธรรมะ ไม่มีศีลธรรม มันก็แย่งเก็บทองคำ และมันก็ตีกันตาย ฆ่ากันตาย ในที่แย่งกันเก็บนั่นเอง และถ้าใครเก็บมาไว้มากๆ ที่บ้าน มันก็ถูกปล้นไม่มีหยุด เหมือนที่ข่าวหนังสือพิมพ์ที่ในกรุงเทพฯ บุกรุกเข้าไปปล้นกันถึงในบ้านในเรือนในห้องไม่มีหยุด เพราะว่าคนมันไม่มีศีลธรรม การที่ว่าจะให้ฝนตกลงมาเป็นเม็ดทองคำ ก็ไม่ทำให้โลกนี้สงบสุขได้ คือคนที่ไม่มีศีลธรรมนั่นน่ะ มันก็ยื้อแย่งกันมันก็จะทำร้ายกัน มันจะปล้นกันไม่มีที่สิ้นสุด แล้วจะมีความสุขอย่างไร ที่ไม่ต้องฝนตกมาเป็นทองคำแล้ว ถ้าคนมันมีศีลธรรม มีธรรมะแล้วมันก็รู้จักทำให้เป็นสุขได้ หรือว่าถ้าคนมันมีธรรมะ มันมีศีลธรมแล้วแม้ฝนจะตกมาเป็นทองคำด้วยก็ยิ่งดี คือมันไม่แย่งกันฆ่ากันตายเพื่อแย่งกัน หรือมันไม่คอยปล้นใครมาเก็บไว้ มันจึงสำคัญอยู่ที่มีธรรมะหรือมีศีลธรรมของความเป็นมนุษย์ ความต้องการของมนุษย์ไม่พอได้ แม้ว่าฝนจะตกมาเป็นทองคำ ในพระบาลีโดยตรง พระพุทธเจ้าตรัสไว้เองว่า แม้ว่าภูเขาจะเป็นทองคำทั้งลูกๆ เป็นภูเขาทองคำทั้งลูกๆ สองลูก ก็ไม่พอแก่ความต้องการของคนๆ เดียว แล้วมนุษย์ในโลกนี้มันมีตั้งสามพันล้านคน มันจะพอได้อย่างไร ภูเขาทองคำสองลูกก็ไม่พอแก่ความต้องการแม้ของคนๆ เดียว
นั่นคุณพิจารณาดูให้เห็นตัวปัญหาที่เกิดอยู่ตามธรรมชาติ คือธรรมชาติได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาให้มีความรู้สึกคิดนึกอย่างนี้ มีกิเลส ซึ่งมากมายถึงอย่างนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไรไว้คุยกันวันหลัง แต่เดี๋ยวนี้เอาปัญหาเฉพาะหน้าว่ามนุษย์มันกำลังมีกิเลสขนาดนี้ ขนาดว่าฝนตกมาเป็นทองคำก็ไม่มีความสุขได้ ขอให้เรามองดูปัญหาเฉพาะหน้าของคนเราที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ เพราะมันไม่รู้เรื่องของมนุษย์ว่าควรจะทำอย่างไร ทุกเรื่องก็เลยกลายเป็นปัญหาไปหมด
ทีนี้จะพูดถึงตัวปัญหา ที่เป็นตัวปัญหาโดยตรง ตัวอย่างของปัญหา ถามว่า เกิดมาทำไม เป็นปัญหาที่ไม่เคยถูกถามก็งงกันไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม แล้วมันก็บ่ายเบี่ยงไปว่าเราไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา เราก็ไม่ต้องตอบปัญหานี้ก็ได้ คุณจะไม่ตอบก็ได้ แต่ปัญหามันก็จะสุมทับพวกคุณมากขึ้นๆ แล้วคุณก็จะตาย เพราะปัญหามันสุมทับนั่นเอง เกิดมาทำไมก็ไม่รู้ อะไรคือสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้รับก็ไม่รู้ ทำไมเราจึงยังไม่ได้รับสันติสุข สันติภาพ ก็ยังไม่รู้ ทำไมโลกจึงเต็มไปด้วยวิกฤติการณ์ หรือตอบว่าไม่ใช่หน้าที่ของฉันจะต้องรู้ มันคงจะตอบได้อย่างนั้น มันก็ต้องเลิกพูดกัน ถ้าเรามีความรับผิดชอบพอสมควร เราควรจะรู้ปัญหาเหล่านี้และตอบปัญหาเหล่านี้ได้
คุณก็ลองทดสอบตัวเอง นึกย้อนกลับไปในใจตัวเองว่า รู้ปัญหาเหล่านี้ไหม ตอบปัญหาเหล่านี้ได้ไหม เช่นถามว่าเกิดมาทำไม มันก็ความรู้สึกมันก็ต่อต้านขึ้นมาในทำนองที่ว่าไม่ต้องรู้ก็ได้ เพราะว่ามันเห็นว่ามืดมัว ไม่อาจจะรู้ ก็เลยไม่อยากจะตอบ แต่ขอให้ใคร่ครวญดูให้ดีว่า ไอ้เพราะข้อที่เราไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เราจึงทำอะไรไม่ถูก แล้วเราก็ไปทำในทางที่มันไม่แก้ปัญหา เรียนๆๆๆ ในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัย ไปได้ปริญญามาจากเมืองนอกยาวเป็นหาง เป็นยาวมากขนาดนั้นจนไม่รู้จะเรียนอะไรสอนอะไร เมื่อถูกถามว่าแม่คือใคร มันยังตอบไม่ถูก ก็ไปคิดดู แม่คือใคร แม่คืออะไร มันก็ตอบไม่ถูก พวกปริญญายาวเป็นหาง ให้มันตอบมันก็ตอบผิด หรือชนิดที่ไม่มีประโยชน์ ตอบได้มันตอบได้แต่ไม่มีประโยชน์ แล้วมันไม่ค่อยตรงกับความจริง คือมันไม่ได้ทำให้คนนั้นรักแม่มัน ไปเรียนมาจากเมืองนอกปริญญายาวเป็นหาง ไม่รู้แม่คืออะไร มันจึงไม่ได้ประพฤติชนิดที่รักแม่ ที่ตอบแทนพระคุณแม่ ซึ่งมีอยู่โดยมากมันไม่รู้ว่าแม่คืออะไร นี่คือว่า ไอ้การศึกษา ไอ้ความรู้ที่มันไม่สมบูรณ์ แม่คืออะไรมันยังไม่รู้ แล้วมันจะไปรู้เกิดมาทำไมได้อย่างไร ซึ่งมันยากกว่า ไม่ได้ยินว่าที่มหาวิทยาลัยไหนเขาสอนให้นักศึกษาน่ะรู้ว่า เกิดมาทำไม ไม่ได้ยินมหาวิทยาลัยไหนในโลก ทุกมหาวิทยาลัยในโลกนี้ไม่มีใครสอน คนนี้เกิดมาทำไม อะไรสูงสุดสำหรับคน ได้ยินว่าเขาไม่สอน เขาไม่จัดให้สอน ไม่เห็นว่าจะต้องสอน คือปล่อยให้เป็นเรื่องส่วนบุคคล ใครอยากรู้ก็ไปเรียนเอาเองซิ ใครอยากรู้ก็ไปเรียนไปเอาเองศึกษาเอาเอง ไปเรียนศาสนา ไปเรียนศีลธรรมไปเรียนอะไรเอาเอง ไปคอยรู้เอาเอง อย่าเอามาสอนในโรงเรียนในมหาวิทยาลัยให้เสียเวลา ซึ่งเขาจะสอนอาชีพ เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมือง เรื่องสงคราม เรื่องไอ้เหล่าโน้น
เขาจัดการศึกษาในมหาวิทยาลัยนี่เขาประหยัดเวลาของเขามาก ที่จะสอนไอ้เรื่องที่มันเป็นตายของประเทศ ชาติ เขาจึงไม่ให้สอนเรื่องศาสนา เรื่องศีลธรรม แม้แต่ว่ามนุษย์เกิดมาทำไม นี่เป็นเรื่องหลับตาจัด เป็นการศึกษาที่หลับตาจัด ประหยัดให้ประเทศชาติมั่นคง มีสุขมีสันติภาพ แต่เขาไม่ให้สอนศาสนา โดยเห็นว่าไม่จำเป็นมาถ่วงเวลามาเสียเวลา ให้เรียนกันแต่เรื่องเศรษฐกิจ อย่างนี้เป็นต้น แล้วที่ไหนมันได้ผล ประเทศไหนที่ได้รับผลการ ศึกษาเป็นสันติภาพเป็นสันติสุข ไม่ทำบ้านเมืองให้มีสันติสุขสันติภาพได้เพราะตัวมันเอง มันยังไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม มันทำตัวเองให้มีสันติสุขสันติภาพไม่ได้ แล้วจะทำประเทศชาติให้มีสันติสุขสันติภาพได้ มันก็เป็นไปไม่ได้ มันควรจะสอนศีลธรรม หรือธรรมะ หรือศาสนา ให้คนทุกคนรู้ว่าเราเกิดมาทำไม จะได้ทำให้ถูกต้อง เมื่อถูกต้องแล้วมันก็ประสบผลสำเร็จ มีความสงบสุข มีสันติภาพส่วนบุคคล และมาช่วยกันทำโลกนี้ให้มีสันติภาพได้
เหมือนอย่างว่าเราไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เราก็ทำอะไรไม่ถูก ไม่ตรงกับเรื่องของเราแหละ หรือไม่เราจะเลือกเรียนวิชาความรู้สักอย่างหนึ่ง เมื่อเราไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เราก็เลือกวิชาไม่ถูก เราก็เลือกแต่วิชาที่เป็นไปเพื่อปากเพื่อท้อง เพื่อสนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังไปทั้งนั้น วิชาที่เขาเลือกเรียนกันก็มันเป็นเรื่องวิชาหนังสือวิชาชีพ แล้วไปทำงานและก็ได้เงินมากเพื่อจะหล่อเลี้ยงกิเลสของตนๆ มันก็ได้เท่านั้น เพราะเขาไม่รู้ว่าเขาเกิดมาทำไม คือเขาไม่รู้ว่าเขาไม่ได้เกิดมาเพื่อหล่อเลี้ยงกิเลสของตน ก็ปล่อยไปตามความรู้สึกธรรมดาสามัญ ก็กลายเป็นเข้าใจว่า สนุกสนาน เอร็ดอร่อยนี่คือถูกแล้ว ก็มุ่งหมายแต่อย่างนี้ ก็เรียนเพื่ออย่างนี้ แล้วมันก็ได้เพื่ออย่างนี้ มันก็ไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องไม่มีหรือไม่เพิ่มขึ้น มันก็เป็นปัญหาแก่คนนั้น จนคนนั้นเต็มไปด้วยปัญหา ก็ได้เป็นโรคประสาท นอนไม่หลับ หนักเข้าเป็นโรคจิต เป็นบ้าตาย หรือไปกระโดดน้ำตาย ไปฆ่าตัวตาย โดยไม่มีความหมายเลย ซึ่งได้เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์นี่มากขึ้นทุกที ที่เขาฆ่าตัวตายโดยไม่มีความ หมายเลย สำคัญเอาเองอย่างนั้นอย่างนี้เรื่องนิดเดียว ซึ่งคนสมัยโบราณเขาหัวเราะเยาะได้ เขาไม่มีฆ่าตัวตายให้ละอายแมวหรอก แต่คนเดี๋ยวนี้มันรู้มาก มันเรียนมาก มันรู้มาก มันยอมฆ่าตัวตาย ทำให้มันละอายแมวเปล่าๆ
นี่มูลเหตุมันมาจากที่ไม่รู้ว่า เราเกิดมาทำไม อะไรคือสิ่งสูงสุดของมนุษย์ ผมอยากจะให้ทุกองค์ที่นั่งอยู่ที่นี่คิดดูทีว่า คุณพอจะตอบได้ไหมว่า เราจะเอาอะไร ถ้าเขาจะอำนวยให้ทุกอย่าง สมมุติว่านะ จะมีเทวดามีผู้ วิเศษอะไรมาอำนวยให้ได้ทุกอย่าง ถ้าคุณต้องการอะไรก็จะได้ แล้วคุณจะตอบว่าต้องการอะไร ไปๆ มาๆ มันก็เรื่องความสุขสนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง เป็นชั้นสวรรค์วิมานกันไปทางโน้น แล้วเพื่อนมนุษย์ล่ะ จะไม่รู้ไม่ชี้ นี่ทำไมเราจึงไม่รู้ให้มันชัดลงไปว่า เราควรจะได้อะไรเป็นอย่างน้อยและมันก็เป็นอย่างมากด้วย เพราะว่าไปต้องการมากเกินกว่าจำเป็น มันก็คือโง่ มีอะไรเกินจำเป็นมันเป็นเรื่องโง่ ให้ไปคิดดูด้วย มีเงินมีของมีทองมีลูกมีเมียอะไรตาม ที่มันมากเป็นจำเป็นน่ะมันเป็นเรื่องโง่ มันควรจะมีแต่พอดี มันจึงจะมีสันติสุข มีสันติภาพ
เราควรจะคิดว่า เราจะเอาอะไรกันดี เพียงแต่ว่าเราก็ไม่มีความทุกข์อยู่สบาย แล้วเพื่อนมนุษย์ของเราทุกคนก็ไม่มีความทุกข์และอยู่สบาย เท่านี้พอไหม คุณไปลองคิดดู เท่านี้พอไหม คือมีอยู่อย่างสงบเย็นเป็นสุขกันจริงๆ เราก็มีความสุขสงบเย็น เพื่อนมนุษย์ของเราทุกคนก็มีความสุขสงบเย็น เท่านี้พอไหม กิเลสมันไม่พอหรอก กิเลสมันยังต้องการอย่างอื่นอีกจึงเป็นส่วนของกิเลส มันต้องการความสุขสนุกสนาน เอร็ดอร่อย จนไม่รู้จะใช้คำพูดว่าอย่างไร จนกิเลสเองมันก็ไม่รู้จะไปสุดกันที่ไหน เราต้องการแต่เพียงว่า อยู่กันอย่างสงบเย็น สะดวก สบายตามธรรมดาไปทุกอย่าง ทั้งเราและผู้อื่น เป็นโลกที่มีความสงบสุข อย่างนี้พอไหม มันเป็นสิ่งที่พอจะทำได้ถ้าเรามีความรู้ เรียนให้รู้ และก็ทำให้ตรงให้จริง มันก็พอจะมีความสงบสุขกันได้
แต่ที่จะมีเหยื่อของกิเลส ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นเหยื่อของกิเลสชนิดที่ไม่มีขีดจำกัด ไม่มีใครทำได้ เพราะว่ากิเลสมันไม่มีขีดจำกัด และมันก็ไม่มีใครทำได้ เพราะกิเลสมันจะวิ่งออกหน้าเรื่อยไป คำว่าพอสำหรับกิเลสมันจึงไม่มี เพราะว่ากิเลสมันวิ่งเร็วและก็วิ่งออกหน้าเรื่อยไป สิ่งเหล่านี้ตามไม่ทันให้ความพอสำหรับกิเลส มันก็ไม่มี แต่ถ้ามีสติปัญญาถูกต้อง รู้ว่าควรจะเป็นอย่างไรเท่าไรเพียงไหน อยู่กันสงบสุขได้อย่างไร นี่มันมีขีดจำกัดพอจะมองเห็น และทำถึงนั้นแล้วมันก็ได้ มันไม่วิ่งหนีออกหน้าเหมือนกิเลส สติปัญญามันรู้ มันทำให้รู้ แล้วมันก็รู้ว่ามันควรจะมีสักเท่าไร
นี่ถึงตัวเราเองคนหนึ่งก็เหมือนกัน เราควรจะมีสักเท่าไรแล้วควรจะพอใจ ส่วนที่สำหรับกิเลสนั้นไม่รู้จักพอนั้นก็ไม่ต้อง ไม่ต้องไปเป็นทาสของกิเลส เดี๋ยวนี้เขาก็เป็นทาสของกิเลส เรียกให้แคบเข้ามา ภาษาธรรมะก็เรียกว่าเป็นทาสของ อายตนะ เป็นทาสของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเป็นที่ตั้งของกิเลส และก็ไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ อย่างนี้มันก็มีแต่คนเห็นแก่ตัว
นั่นคือปัญหาในโลกนี้เวลานี้ เมื่อทุกคนเห็นแก่ตัว มันก็ต้องยื้อแย่ง ต้องอิจฉาริษยา ต้องทำลายผู้อื่น ต้องเอาเปรียบผู้อื่น ต้องขูดรีดผู้อื่น ทำนาบนหลังคนอื่น ทำนาบนหัวคนอื่น นั่นคือผลของการที่เป็นไปตามกิเลสซึ่งมันไม่รู้จักพอ
เรื่องศาสนา เขารู้ปัญหานี้ดี เขาต้องการจะหยุด ต้องการจะหมุนไปในทางที่ให้มันพอ หรือมันหยุด จึงสอนให้มีการกินอยู่แต่พอดี หลักดำรงชีวิตจะเรียกว่าหลักเศรษฐกิจหรือหลักอะไรก็แล้วแต่จะเรียก สำหรับพุทธศาสนาโดยเฉพาะ หรือศาสนาอื่นที่เนื่องกันในอินเดีย มันก็คล้ายๆ กัน เขาก็มีหลักอยู่ว่า เราช่วยกันทำให้มาก คือผลิตมาก เรากินแต่พอดี และเหลือก็ช่วยผู้อื่นคุณฟังดู ผลิตมากกินแต่พอดีเหลือช่วยผู้อื่น นี่คือเศรษฐี คำว่าเศรษฐีแปลว่าผู้ประเสริฐที่สุด เศรษฐะ แปลว่าประเสริฐที่สุด เศรษฐี มีความประเสริฐที่สุด
หลักธรรมะของเศรษฐี คือ ผลิตมาก กินแต่พอดี เหลือช่วยผู้อื่น เศรษฐีเขาก็มีได้ มีข้าทาสบริวาร มีบ่าวไพร่ กรรมกร มีได้ แต่เขาเลี้ยงเหมือนลูกหลานนะ อย่าเข้าใจผิด และก็มองเศรษฐีไปในแง่ร้าย เศรษฐีจะเลี้ยงคนในปกครองเหมือนลูกหลานไปวัดด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ทำงานด้วยกัน ทำนาด้วยกัน มันก็มีหลายคน มันก็ผลิตได้มาก มันมีหลักกินแต่พอดี มันก็เหลือมาก ก็ช่วยผู้อื่น ดังนั้นเศรษฐีเขาจึงสนุกในการตั้งโรงทาน มันเหลือกินเหลือใช้ตัวแล้ว เศรษฐีจะตั้งโรงทาน คำว่าเศรษฐีต้องมีโรงทาน และก็ยังเก็บทรัพย์ไว้สำหรับเลี้ยงโรงทานอย่าให้ขัดข้องได้ เอาเงินเอาทองอะไรไปฝังดินไว้ซ่อนไว้ ก็จะเอามาเลี้ยงโรงทานเมื่อเกิดปัญหา ทำกันอย่างนี้เป็นเศรษฐี ตั้งโรงทานเลี้ยงผู้ที่ยังช่วยตัวเองไม่ได้ หรือกำลังจำเป็นมาก หรือแม้แต่ภิกษุ บรรพชิต ก็อาศัยอาหารในโรงทานของเศรษฐีได้ตามสมควร
เศรษฐีมันเป็นสุขอยู่กับการเลี้ยงผู้อื่น มันไม่มีทางจะเห็นแก่ตัว นี่โบราณดึกดำบรรพ์มีเศรษฐีกันอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันไม่มี มันน้อยไปๆ มันจนหายไป ที่ว่ามีเงินเหลือใช้แล้ว สร้างวัด สร้างโรงทานนี้มันเหลือน้อยลง เมื่อหลายร้อยปีนั้นอาจจะมี ในเมืองไทยนี้อาจจะมี เมื่อหลายร้อยปี ให้วัดทุกวัดในกรุงเทพฯ กรุงเก่า อะไรก็ตาม ไปรื้อค้นศึกษาดูเถอะส่วนใหญ่สร้างโดยเศรษฐี มีไม่กี่วัดที่สร้างโดยพระราชา ส่วนใหญ่ถ้าทั้งหมดสร้างโดยเศรษฐีและก็ยกให้เป็นวัดหลวงเป็นของหลวงเป็นของพระราชาต่อทีหลัง นี่เป็นเศรษฐีช่วยผู้อื่น จึงถึงมีคำพูดที่มันเกินไปว่า สร้างวัดให้ลูกวิ่งเล่นก็มี
เอาเป็นว่า คนรวยนั้นมันไม่กินมาก มันกินแต่พอดี เหลือแล้วก็ช่วยผู้อื่น แล้วคุณลองใช้ความรู้ความคิดของคุณคำนวณดูทีว่า ถ้าว่าการปฏิบัติกันอยู่อย่างนี้แล้วคอมมูนิสต์มันจะเกิดกันได้อย่างไร ถ้ามันมีเศรษฐีปฏิบัติอยู่อย่างนี้ คอมมูนิสต์จะเกิดได้อย่างไร
ต่อเมื่อมันเปลี่ยนไปๆ คนที่รวยน่ะมันรวยโดยวิธีคดโกง จะกินอยู่ให้เป็นเทวดา ได้กำไรมา ได้ผลิตผลมา มันก็ไม่ช่วยผู้อื่น มันเพิ่มทุน เพิ่มทุนของเขาๆ ให้มีกำลังบีบคั้นทางเศรษฐกิจแก่ผู้อื่นมากขึ้นเขาก็รวยมากขึ้น เขาก็เพิ่มทุนมากขึ้น เขาก็รวยมากขึ้น นี่เป็นผู้เพิ่มทุนอยู่อย่างนี้ เรียกว่านายทุนก็ดีแล้ว มันดูดทรัพย์ไปซะหมดที่จะเอาประโยชน์เป็นของตัวเอาไปเพิ่มทุน เพิ่มกำลังที่จะควบคุมเศรษฐกิจ อย่างนี้ก็เป็นเรื่องของนายทุน ไม่ใช่เศรษฐีนะ
นายทุนนี้อาจจะมีเงินมากกว่าเศรษฐีหลายๆๆ เท่า หลายร้อยเท่าก็ได้ เศรษฐีไม่ต้องมีเงินมากอย่างนั้น แต่มันมีหลักว่า กินแต่พอดี เหลือช่วยผู้อื่น พอคนมนุษย์นี้มันเปลี่ยนเป็นรูปแบบนายทุน สะสมทุน สะสมทรัพย์เพื่อตัวเอง มันก็มีดูดทรัพย์มาอยู่ที่นี่มาก ที่อื่นก็ขาดแคลน คอมมูนิสต์มันก็จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นในโลกแหละไม่มีใครช่วยได้ พระเจ้าก็ห้ามไม่ได้ที่จะไม่ให้คอมมูนิสต์มันเกิดขึ้นในโลก เราดูให้ดีจะเห็นว่า นายทุนนั่นน่ะคือผู้สร้างคอมมิวนิสต์ขึ้นมา ถ้าไม่มีนายทุน คอมมูนิสต์มันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เกิดขึ้นมาทำไม ถ้ามันทำผิดถ้านายทุนมันเกิดขึ้นมา มันก็ต้องมีคอมมูนิสต์เกิดขึ้นมา มันก็สู้รบกันไม่มีที่สิ้นสุด นี่คือวิกฤติการณ์ถาวรในโลกนี้
เมื่อมีคนอุตริทำผิดไม่มีธรรมะ สูบเลือดผู้อื่นมารวมไว้ที่ตัว มันก็มีผู้แย่ง มีผู้ทำลาย มีผู้แย่งมันก็เกิดปัญหาต่อสู้กันระหว่างคน นายทุนกับชนกรรมาชีพ ก็ธรรมะมันไม่มี เมื่อเกิดแบบนายทุนขึ้นมาแล้วมันก็เป็นธรรมชาติที่ต้องเกิดแบบคอมมูนิสต์ขึ้นมา ยื้อแย่ง ทำลาย นี่เพราะเขาไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม พวกนายทุนก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ก็เลยคิดว่าเกิดมาสูบๆๆ เอามาไว้ที่เราให้มากดีกว่า แล้วมันก็เป็นธรรมชาติธรรมดาที่จะเกิดผู้ต่อต้านแย่งชิงคือพวกคอมมูนิสต์
ถ้ามันไม่มีอันนี้ โลกนี้ก็จะสงบเยือกเย็นกว่านี้มาก ระบบเศรษฐีของพุทธกาลนั้นมันช่วยให้โลกสงบเย็น ถ้ามันผลิตมากใช้แต่พอดีเหลือช่วยผู้อื่น ส่วนนายทุนเขาไม่มีล่ะที่ว่าจะกินแต่น้อยแล้วเหลือช่วยผู้อื่น ก็มีแต่จะเพิ่มทุนท่าเดียว นี่ปัญหาของมนุษย์ก็ควรจะมองดูว่าอะไรเป็นต้นเหตุ มันก็รวมอยู่ในคำๆ เดียวว่า “เห็นแก่ตัว” ไอ้ความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นตามธรรมชาติ สร้างปัญหาทั่วโลกตลอดกาล ความเห็นแก่ตัวจนเดี๋ยวนี้ มนุษย์มีปัญหากันอยู่เพราะความเห็นแก่ตัว หยุดเห็นแก่ตัว รักผู้อื่น ปัญหาหมด พอรักผู้อื่นมันก็ไม่ฆ่าใคร ไม่ขโมยใคร ไม่ประ พฤติล่วงกาเมใคร ไม่โกหกใคร ไม่ดื่มน้ำเมาให้ใครเดือดร้อนรำคาญ ไม่สูบบุหรี่ให้ใครรำคาญ ว่าดังนั้นดีกว่า มันก็เป็นความสงบสุขเพราะความรักผู้อื่น แต่นี่เราก็เดินผิดทางไม่มาในทางที่รักผู้อื่น รักแต่ตัวทั้งนั้น เห็นแก่ตัวๆๆ จนเกิดนายทุน กระดาษซับ จะซับประโยชน์เอาให้หมด ไม่ให้เหลือที่ไหนซักหยดเดียว มันก็ต้องอย่างนี้แหละ มันอย่าเห็นเป็นแปลกเลย มันก็ต้องอย่างนี้ ขอให้เรามองเห็นปัญหาของมนุษย์ ซึ่งรวมเราอยู่ด้วยคนหนึ่งว่าเราเดินผิดทางหรือถูกทางกันอย่างไร นี่เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม รู้ผิด มันรู้แต่รู้ผิดก็เท่ากับไม่รู้ มันก็ทำผิดๆ มันก็เลยมีปัญหายุ่งยากทนทุกข์ทรมานทั้งโดยส่วนตัว และทุกคนในโลก เราไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ปล่อยให้กิเลสมันคิดเอาเอง มันก็เกิดมาเพื่อตัวกู อร่อย สนุกสนาน เพลิดเพลินเริงทุกอย่างที่กิเลสมันต้องการ มันก็มีผลเกิดขึ้นอย่างนี้
ขอให้เชื่อเถอะว่า ก่อนแต่ที่จะมีธรรมะที่จะมีศาสนามีพระพุทธเจ้า มนุษย์มันได้เคยทำผิดแล้ว เคยทำผิดแล้ว จนค่อยๆ เกิดระบบศีลธรรมขึ้นมาในหมู่มนุษย์นั้น จนกระทั่งสูงขึ้นมาเป็นระบบศาสนา จนกระทั่งสูงขึ้นมามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มันจึงค่อยทำถูก มันก็หมุนไปในทางถูก โลกเราก็มีสันติสุข สันติภาพ
ความเจริญก้าวหน้านี้มันควบคุมไม่อยู่ มันก็เลยวกไปหาเห็นแก่ตัวอีก ก็สร้างเหตุร้ายขึ้นมาในโลกอีก ในความคิดของมนุษย์มันแรงมาก เมื่อควบคุมไม่อยู่ มันก็เป็นอย่างนี้ ความคิดของมนุษย์มันเฉียบแหลม ว่องไว กว้างขวางกว่าสัตว์เดรัจฉาน ร้อยเท่าพันเท่า สัตว์เดรัจฉานอยู่ที่เดิมจุดเดิมตามเดิมในสภาพเดิม แต่มนุษย์นี้ไปไกลลิบทิ้งกันไกล ร้อยเท่าพันเท่า อย่างเขาจะมีความรู้เรื่องอวกาศ ไปเที่ยวที่ดวงดาวได้เหมือนว่าเล่น มีความรู้เรื่องปรมาณู เขาจะทำอะไรก็ได้ แต่แล้วดูว่ามันมีสันติสุข สันติภาพที่ตรงไหน เที่ยวขี่ไอพ่นจับตั๊กแตน ก่อนนี้คนไทยก็มีสำนวนที่ด่าที่สุดว่า “ขี่ช้างจับตั๊กแตน” ไอ้นี่มันบ้า แต่เดี๋ยวนี้มันมาขี่ไอพ่นจับตั๊กแตน มันแรงกว่าช้างจับตั๊กแตน แล้วมันก็ไม่ได้สุข หรือสันติภาพขึ้นในหมู่มนุษย์เลย แม้แต่ขี่ไอพ่นจับตั๊กแตน มันก็เป็นเรื่องบ้า เรื่องไม่คุ้มกัน มนุษย์ใช้สติปัญญาของมนุษย์ไม่ถูกเรื่องของสันติภาพ เลยพลอยวุ่นวายกันหมดทั้งโลก นี่ถือว่าปัญหาเราไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม เราก็ทำไปผิดๆ ในที่สุดก็สร้างความเลวร้ายขึ้นในโลกเต็มไปหมด เพราะข้อที่เราไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม อะไรดีที่สุดสำหรับมนุษย์ อะไรคือความสุข อะไรคือความทุกข์ นี่ก็เป็นปัญหามาก
ผมอยากจะเล่าเรื่องฝรั่งมาที่นี่บ่อย แล้วผมถามว่าคุณมีปัญหาอะไร มาเมืองไทยศึกษาพุทธศาสนานี่มีปัญหาอะไร เขาไม่มีปัญหา มีความทุกข์ไหม ก็ไม่มีความทุกข์ ปัญหาก็ไม่มี มาศึกษาพุทธศาสนาทำไม ถามอย่างนี้ เขาก็มาศึกษาเผื่อๆ ไว้เขาไม่มีความทุกข์ ผมก็บอกว่ากลับบ้านดีกว่า พุทธศาสนานี่เขาสำหรับดับทุกข์ สำหรับแก้ปัญหา เมื่อคุณไม่มีความทุกข์ คุณกลับบ้านเถอะ ป่วยการที่มาท่องเที่ยวศึกษาพุทธศาสนาในเมืองไทย นี่เราแปดคนในสิบคนมันเป็นอย่างนี้ ฝรั่งเหล่านั้นราวแปดคนในสิบคนมันไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไร เขาจะเรียนพุทธศาสนาเพื่อจะศึกษา ปรัชญาเปรียบเทียบ ความรู้รอบตัว ก็บอกไม่มีประโยชน์ นี่ไม่ใช่พุทธศาสนาด้วย มีคนย้อมแมวขาย เอาสิ่งที่ไม่ใช่พุทธศาสนาไปบอกว่าเป็นพุทธศาสนา คือ พุทธะปรัตยา เพ้อเจ้อ มันไม่ใช่พุทธศาสนา ที่ฝรั่งหลงกันนักก็ส่วนนี้ เขาไม่มีปัญหา เขาไม่มีความทุกข์ เขามาศึกษาเรื่องดับทุกข์ เรื่องแก้ปัญหา นี่ผมก็บอกแล้ววันนี้กำลังพูดกันถึง เรื่องปัญหาของมนุษย์ที่มีอยู่เฉพาะหน้า ทีนี้ถ้าคุณมีปัญหานั้น ควรแล้วที่ศึกษาพุทธศาสนา ถ้าไม่มีปัญหาก็ มาเสียเวลาเปล่า เสียค่ารถเปล่า เสียเวลาเปล่า จะต้องเชิญให้กลับไปได้เหมือนกับที่เชิญฝรั่งกลับ ไม่มีประโยชน์อะไรถ้าไม่มีความทุกข์ ไม่มีปัญหาที่แท้จริง ที่จะกำจัดมัน ที่จะดับมันให้ได้
นี่ทำไมเราจึงไม่มีสันติสุขส่วนบุคคล ไม่มีสันติภาพของส่วนรวม เพราะเราไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม แล้วเราปล่อยไปตามธรรมชาติคือตัณหา กิเลสตัณหาตามธรรมชาติ กิเลสตัณหามีอยู่ตามธรรมชาติและก็เจริญขึ้นๆ ตามธรรมชาติ แล้วคนก็ปล่อยตัวเองไปตามกิเลสตัณหาซึ่งมากขึ้นๆ จนเดี๋ยวนี้ไม่มีเศรษฐี มีแต่นายทุน เศรษฐีในอุดมคตินั้น ผลิตมาก กินแต่พอดี เหลือช่วยผู้อื่น มันไม่มี มันไม่เหมือนครั้งพุทธกาล เศรษฐีนี้หาทำยาหยอดตาก็ยังไม่ได้ แต่นายทุนนี้ก็เต็มไปหมดทั้งโลก ครั้นจะเอาคำว่ามีเงินมากมาเป็นเครื่องวัดนี้ไม่ได้ มันมีปัญหาอยู่ว่า แม้จะไม่มีเงินมาก แต่ถ้ามันถือหลัก ผลิตมาก ใช้แต่น้อย ใช้แต่พอดี ช่วยผู้อื่นมันก็เป็นเศรษฐี แม้จะมีเงินไม่กี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น กี่แสน แล้วก็ไม่มีเงินเป็นร้อยล้าน พันล้าน โกฏิล้านก็ตาม แต่มันก็ไม่มีเหตุหลักที่ว่าจะกินแต่พอดี เหลือช่วยผู้อื่น มันก็เป็นนายทุน แยกกันเด็ดขาด โดยไม่ต้องเอาไอ้จำนวนเงินที่มีนั้นเป็นหลัก
ใครอยากเป็นเศรษฐี อาจจะอยู่กระท่อมซอมซ่อก็ได้ ถ้าเขาถือหลัก ผลิตมาก กินแต่พอดี เหลือช่วยผู้อื่น นายทุนเขาก็อยู่บนวิมาน อยู่วิมานสร้างบ้านสร้างเรือน สร้างอะไรไปตามแบบของนายทุน เขาต้องมีเงินมากแน่นอนนายทุน แต่เศรษฐีเขาก็มีความประเสริฐมากกว่าที่จะมีเงิน ในธรรมะช่วยสร้างเศรษฐี ไม่สร้างนายทุน
ถ้ามันรู้หน้าที่ว่าคนเราเกิดมาทำไม เขาจะถือหลักว่า เมื่อเราเป็นสุขสบาย แล้วเพื่อนมนุษย์ของเราก็เป็นสุขสบายมันก็พอแล้ว ต้องการเกินกว่านั้น บ้าหรือไม่บ้าคุณไปคิดดู เราก็อยู่กันสุขสบายเยือกเย็น เพื่อนมนุษย์เราก็สุขสบายเยือกเย็น มันควรจะพอแล้ว ต้องการเกินกว่านั้นมันก็บ้า ไม่รู้จะเอาไปทำไมล่ะ สำหรับให้ยุ่งมาก ให้เหนื่อยมาก ให้เปลืองมาก ให้เสียเวลามาก นี่จึงต้องรู้ว่าเราเป็นมนุษย์นี้คืออะไร เป็นทำไม เกิดมาทำไม จุดหมายปลายทางมันอยู่ที่ไหน ทำไมเราจึงไม่ได้ทางอันสงบสุขอันนี้ เพราะไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม หรืออะไรที่มันเกี่ยว ข้องกัน ว่าเราเกิดมาทำไม เราควรจะได้อะไร สิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์คืออะไร นี่เราต้องรู้ และทำให้ได้ตามนั้น และปัญหาก็จะหมด
มันน่าจะถือว่าที่คุณมาบวช ๓ เดือนนี้ เพื่อที่จะศึกษาข้อนี้ แล้วคุณจะได้ศึกษาหรือไม่ ผมก็ไม่ทราบ เพราะถ้าข้ออื่นๆ ก็เรียนเอาได้ ลงเรียนที่มหาวิทยาลัย ในการงานการอาชีพ ศึกษาได้เรียนเอาได้ แต่ที่รู้ มนุษย์คืออะไร เกิดมาทำไม ต้องมาเรียนศาสตร์พระพุทธศาสนาจึงจะถูกต้อง จึงเป็นเรื่องควบคุมกิเลสของมนุษย์ ให้มนุษย์จบลงด้วยการควบคุมกิเลสได้ ได้อยู่กันเป็นผาสุขทุกคน มนุษย์มีปัญหาเฉพาะหน้าในปัจจุบันนี้ ก็คือข้อที่ไม่รู้ว่า เกิดมาทำไม มีคำเปรียบมาแต่โบราณ ผมจำเขามา คนแก่เขาพูดว่า “ นกไม่เห็นฟ้า ” นกบินอยู่ในฟ้าก็ไม่เห็นฟ้า “ ปลาก็ไม่เห็นน้ำ ” ทั้งที่อยู่ในน้ำ “ ไส้เดือนไม่เห็นดิน ” ดูดดินกินไปใช้ไป “ หนอนก็ไม่เห็นคูต ” ทั้งที่เกิดอยู่ในคูตคลุกอยู่ในคูต “ นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ ไส้เดือนไม่เห็นดิน หนอนไม่เห็นคูต คนก็ไม่เห็นโลก ” คนในโลกก็ไม่เห็นโลก อธิบายยาก กลับไปดูเอาเองว่า นกไม่เห็นฟ้ามันคืออย่างไร โดยเฉพาะไส้เดือนไม่เห็นดินมันเป็นอย่างไร ทำความเข้าใจข้อนั้นก่อน กระทั่งหนอนเกิดในคูตในสาระดินอยู่ในนั้นกายอยู่ในนั้น มันก็ไม่เห็นคูต
ถ้าเราเข้าใจอันนี้แล้วเราก็จะเข้าใจตัวเราเองว่า เราก็ไม่เห็นโลก ในลักษณะเดียวกัน ถึงจะมาทำอะไรถูก ต้องได้สำหรับโลกหรือสำหรับมนุษย์เอง เราจึงต้องมีการศึกษาเพื่อให้เป็นมนุษย์ที่มองเห็นโลก มองเห็นชีวิต มองเห็นตัวเอง อย่าให้เป็นเหมือนนกที่ไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ ไส้เดือนไม่เห็นดิน หนอนไม่เห็นคูต อีกต่อไป
การที่เข้ามาศึกษาธรรมะ สักระยะหนึ่ง ถ้าศึกษาจริง ศึกษามีผลจริง มันก็จะมองเห็นความว่า มนุษย์ตั้งต้นขึ้นมาอย่างไร จากท้องแม่ มีอะไรในจิตใจ และมีอะไรในจิตใจและเพิ่มขึ้นๆ ผิดถูกอย่างไรเพิ่มขึ้น แล้วมันเดินทางผิดอย่างไรมันจึงมีแต่เรื่องทุกข์ แล้วก็จัดการในส่วนนี้เสีย กิเลสไม่ใช่ของมีอยู่อย่างธรรมชาติ อย่างตายตัว มันเพิ่งมามีเมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเด็กทารกมันทำงานไปผิดๆ เข้าใจผิด สำคัญผิด คิดผิด กิเลสก็เริ่มขึ้นแก่เด็กทารกนั้น เด็กทารกนั้นเติบโตขึ้นมากิเลสก็ขยายตัวเติบโตขึ้นมา จนมาเป็นเราเดี๋ยวนี้ มันมีกิเลสเท่าไรอย่างไร มากน้อยขนาดจะต้องเรียนรู้ข้อนั้น แล้วก็หยุดการเติบโตแห่งกิเลสนั้นเสีย ควบคุมมันไว้ให้ได้ แล้วก็จะเป็นมนุษย์ที่เยือกเย็น มีความสงบสุขที่เรียกกันว่า นิพพาน เดี๋ยวนี้เราไม่รู้ ผมอยากจะเปรียบเทียบ นึกว่าเด็กๆ มันไม่รู้ว่า ตัวมันเองคืออะไร แม่หรือพ่อ คืออะไร มันก็ไม่รู้ แต่เดี๋ยวนี้คนโตๆ ก็ไม่รู้ว่าแม่หรือพ่อคืออะไร เพราะว่ามันไม่รู้ มันไม่อยากจะรู้ มันยุ่งด้วยเหตุอย่างอื่นกิจอย่างอื่นจนไม่ต้องรู้ว่า พ่อแม่คืออะไร เราบอกพ่อแม่ว่า และเราก็บอกเด็กๆ ว่า พ่อแม่นั้นคือธนาคารที่เราเบิกเงินได้เรื่อย โดยไม่ต้องฝาก เด็กบางคนมันก็สะดุ้ง มันไม่เคยคิด มันไม่เคยรักแม่ มันไม่เคยกตัญญูเคารพเชื่อฟังพ่อแม่ แล้วมันก็ไม่เคยคิดว่า พ่อแม่คือธนาคารที่เราเบิกเงินได้เรื่อยโดยไม่ต้องฝาก
ถ้าถามจริงๆ ว่าทั้งหมดที่นั่งอยู่นี่เคยคิดอย่างนี้ไหม เคยรู้สึกอย่างนี้ไหม ตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ ใครเคยคิดเคยรู้สึกว่าพ่อแม่คือธนาคารที่เบิกเงินได้โดยไม่ต้องฝาก ถ้าอย่างนั้นจึงทำผิดต่อพ่อแม่ ในความหมายของคำว่าลูก ลูกคืออะไร ลูกคือผู้ที่เกิดมาทำให้พ่อแม่ชื่นใจ ลูกไม่ใช่อย่างอื่น นอกจากผู้ที่เกิดมาทำให้พ่อแม่ชื่นใจ ถ้าไม่ทำให้พ่อแม่ชื่นใจมันก็ไม่ใช่ลูก มันก็ไม่ใช่ลูก ถ้ายังไม่ได้ทำให้พ่อแม่ชื่นใจก็ยังไม่ใช่ลูก รีบหาโอกาสทำให้พ่อแม่ชื่นใจเสียเร็วๆ จะได้เป็นลูกอันถูกต้อง ไอ้เรื่องแค่นี้ถ้ายังไม่รู้แม้แต่เรื่องเท่านี้แล้วมันก็ยาก ที่จะรู้เรื่องที่ลึกซึ้งกว่านี้ เป็นเรื่องของการทำลายกิเลส บรรลุนิพพาน ยากกว่านี้มาก แม้แต่แม่ของเราคืออะไร เรายังไม่รู้ ตัวเราเองคืออะไรเราก็ยังไม่รู้ ความเป็นลูก ความเป็นแม่ มันก็ลำบาก คือมันจะมีแต่เรื่องที่ไม่ถูกต้อง มีแต่เรื่องผิดๆ แม้แต่พ่อแม่ของเรา เรายังทำให้ชื่นใจ สงบเยือกเย็นไม่ได้ แล้วเราจะไปทำเพื่อมนุษย์ทั้งโลกให้สงบสุขเยือกเย็นได้อย่างไร นั่นลองคิดดู
ถ้าจุดหมายนั้นมีอยู่ว่าเราเกิดมานี้เพื่อ เราก็เป็นสุขสบายเยือกเย็น เพื่อนมนุษย์ของเราก็เป็นสุขสบายเยือกเย็น เท่านี้ก็พอแล้ว พอแล้ว ทุกคนเหมือนจะอยู่ในนิพพานด้วยกันแล้ว มันก็พอแล้วจริงๆ เหมือนกัน แต่ถ้าพ่อแม่ของเรา ๒ - ๓ คนนี้ เราก็ทำให้เยือกเย็นไม่ได้ มันก็ไม่มีทางที่ทำให้เพื่อนมนุษย์ทั้งโลกนี้ มีความสงบสุขเยือกเย็นได้ นี่เราหวังในเรื่องเศรษฐกิจ จะทำให้โลกสงบสุขเยือกเย็นนี้ มันเป็นไปไม่ได้ ก็ดูในโลกนี้ มันมีแต่วิกฤติการณ์ ทะเลาะวิวาทกัน องค์การสหประชาชาติทำหน้าที่เป็นท้าวมาลีวราชที่งานล้นมือ บางคนจะทำให้ถูก มันคงพูดว่า เป็นท้าวมาลีวราชหมายความว่าอย่างไร ใครเดาถูก คือไกล่เกลี่ย ท้าวมาลีวราชไกล่เกลี่ยพระรามกับทศกัณฐ์ให้เลิกรบกันยังทำไม่ได้ เป็นท้าวมาลีวราชที่งานล้นมือไกล่เกลี่ยประเทศทั้งหลายในโลก ให้มันระงับแต่การวิวาท ก็ทำไม่ได้จนงานล้นมือ คนงานคือเหมือนจับปูใส่กระด้ง ตัวนี้เข้ามา ตัวนั้นออก ตัวนั้นเข้ามา ตัวนั้นออก มันก็ไม่ทำให้โลกนี้มีสันติสุขได้
องค์การสหประชาชาตินั้นควรจะเปลี่ยนหลักการซะใหม่ ทำหน้าที่สอนศีลธรรม ให้ทุกคนมีศีลธรรม ให้ทุกคนรู้ว่าเกิดมาทำไม และก็ตั้งหน้าตั้งตาแต่ทำอย่างนั้น อย่ามามัวรบราฆ่าฟันวิวาท เหมือนที่กำลังเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ไม่มีที่สิ้นสุดเลย เพราะไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ปัญหามันจึงเกิดขึ้น ขอให้ดูปัญหาเฉพาะหน้าของมนุษย์คือเราด้วย ว่ามีอยู่อย่างไรก่อนเป็นข้อแรก ผมจึงเอามาพูดเป็นข้อแรกใน “ ธรรมะเล่มน้อย ” มีไม่กี่ข้อ ข้อแรกคือปัญหาเฉพาะหน้าของมนุษย์ พูดกันเป็นครั้งแรกในวันนี้ วันหลังเราค่อยพูดถึงเรื่องที่มันเนื่องต่อๆ กันไป วันนี้ขออย่างเดียวว่า ตั้งต้นมองดูปัญหาเฉพาะหน้าของเรา มนุษย์ในโลกนี้ว่ามีอยู่อย่างนี้
ที่เราร้อนเป็นไฟ เพื่อนมนุษย์ของเราก็ร้อนเป็นไฟ ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ไม่รักผู้อื่นเลย นี่ก็เป็นต้นเหตุอันแรก แล้วเรายังมีเหตุปัจจัยภายใน กิเลสของเราจูงเราให้ทำไปในทางไม่สงบสุข ที่จะเพิ่มความยุ่งยากและเป็นทุกข์ เราก็เลยไม่มีสันติภาพ ภายในตัวเราเองเราก็มีกิเลสไม่ช่วยสร้างสันติภาพ ในภายนอกรอบตัวเราก็มีแต่เพื่อนมนุษย์ซึ่งไม่รู้จักรักใคร่กัน ถือแต่ลัทธิกูก็คือกู มึงก็คือมึง ไม่มีใครรักผู้อื่นเลย นี่ถ้าว่าเรารู้ปัญหาของมนุษย์กันซะทีก่อน เราก็ค่อยหาทางที่จะแก้ปัญหานั้นกันต่อไป ขอให้ไปดูให้ดีให้ตั้งใจให้แจ่มชัดว่า ปัญหาเฉพาะหน้าของเรานี้คืออย่างไร แล้วที่เราบวชนี้เราจะพบแสงสว่างอันนี้มากพอหรือยัง ไม่มากพอก็ศึกษาต่อไปได้ไม่ใช่ไม่มีโอกาส ที่พูดนี้มันก็ไม่ทำให้แจ่มแจ้งถึงที่สุดได้ แต่อย่างน้อยมันก็เป็นเบื้องต้นที่จะได้เอาไปคิดดูต่อๆ ไปอีกจนต้องมอง เห็น ว่าชีวิตนี้มันคืออะไร ชีวิตนี้มันเกิดขึ้นมาทำไมเพื่อประโยชน์อะไร แม้เราไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา แต่มันก็ได้เกิดขึ้นมาแล้ว แล้วก็จะเอาไปทิ้งที่ไหนเสียก็ไม่ได้ เราก็ต้องทำต่อไปให้มันเป็นสิ่งที่เป็นไปในทางที่มีค่า มีประโยชน์ สมกับที่เรียกว่ามันเป็นชีวิตหนึ่ง ผมพูดวันนี้เพียงเท่านี้ ในปัญหาว่าปัญหาเฉพาะหน้าของมนุษย์มีอยู่อย่างไร...