แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอ่อ,...เพื่อน สรรพพรหมจารีย์ ที่กำลังบำเพ็ญตนเพื่อจะเป็นธรรมทายาททั้งหลาย ในการบรรยายครั้งที่ ๕ นี่ ไม่สู้จะมีอะไรมาก ผมก็จะกล่าวโดยหัวข้อว่า หน้าที่ของธรรมทายาทแห่งยุคปัจจุบัน ครั้งแรกเราพูดถึงอุดมคติของธรรมทายาท ครั้งที่ ๒ พูดถึงงานของธรรมทายาท ครั้งถัดมา กำลังของธรรมทายาท ถัดมาอีก ความสำเร็จของธรรมทายาท ทีนี้ก็มาถึงหน้าที่ที่จะต้องทำเพื่อประโยชน์แห่งยุคปัจจุบัน ใช้คำว่า หน้าที่ของธรรมทายาทแห่งยุคปัจจุบัน หมายความว่าเราเมื่ออบรมทำตนให้เป็นผู้สามารถตามวัตถุประสงค์แล้วก็จะทำหน้าที่ ออกโรง เขาเรียกกันว่าออกโรง ภาษาสากล ภาษาทั่วไป ภาษาสมัยใหม่เขาเรียกว่า ออกสนาม ไม่ว่าพูดกันในโรงเรียน ในสถานการศึกษาโดยหลักวิชา พอแล้วก็พากันออกสนาม คือการทำหน้าที่นั่นเอง
สำหรับหน้าที่นั้น ถ้าว่ากันโดยรายละเอียดมันก็มาก พูดไม่รู้จบก็ได้ ทีนี้ผมก็จะแบ่งเป็นเพียง 2ประเภท คือ หน้าที่ที่ต้องทำเพื่อตัวเอง หน้าที่ที่จะต้องทำเพื่อผู้อื่น เพื่อผู้อื่นนี่มันรวมหมดแหละ รวมถึงพระศาสนา รวมถึงอะไรด้วย การทำหน้าที่ในโลกแห่งยุคปัจจุบันนี้ มันเป็นหน้าที่ที่รออยู่เฉพาะหน้าของเรา จะเหวี่ยงทิ้งไปทางไหนก็ไม่ได้ เพราะว่าเราก็อยู่ในยุคปัจจุบัน การทำงานของเรามันก็ทำลงไปในโลกแห่งยุคปัจจุบัน และเมื่อเราดูโลกแห่งยุคปัจจุบันแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มันเต็มไปด้วยปัญหา มันเป็นโลกแห่งวัตถุนิยม นี่มันเต็มไปด้วยปัญหาเพราะว่ามันเจริญมากด้วยวัตถุ มันจึงเต็มไปด้วยปัญหา
ถ้ายุคเมื่อหมื่นปีแสนปีมาแล้วมันอยู่กันอย่างคนป่าหรือครึ่งคนป่า ปัญหาในโลกมันก็ไม่ค่อยมี แล้วมันก็แยกกันอยู่ เป็นส่วนน้อยๆไม่มารวมกัน แล้วทำอะไรใหญ่โตมโหฬาร และก็มีธรรมชาติยังดีอยู่ปัญหามันก็ไม่ค่อยมี ไอ้ครั้นคนมันมากขึ้น ความรู้เจริญขึ้น การฝีมือเจริญขึ้น มันก็มีปัญหาเพิ่มขึ้น เช่น ในยุคพุทธกาล มันก็ต้องมีปัญหาเพิ่มขึ้นกว่ายุคที่ยังเป็นคนป่าหลายหมื่นปีโน่น
แต่ยุคพุทธกาลก็ยังมีปัญหาน้อยกว่ายุคปัจจุบัน ซึ่งมันเจริญมากเกินไป เจริญอย่างพุ่งพรวดรวดเร็ว ความเจริญของโลกเพิ่งจะเจริญอย่างพุ่งพรวดรวดเร็วเมื่อยุควัตถุนิยมนี่เอง ก่อนนั้นก็ไม่ได้เจริญรุนแรงรวดเร็วอย่างนี้ นี่ยุควัตถุนิยมนี่มันจึงมีปัญหามาก เพราะว่าเขาผลิตวัตถุยั่วยวนกิเลสกันด้วยเครื่องจักร เมื่อก่อนทำด้วยมือกว่าจะได้สักชิ้น เดี๋ยวนี้เขาทำด้วยเครื่องจักร ไอ้สิ่งส่งเสริมกิเลสน่ะมันขายดี ไอ้สิ่งที่ไม่ส่งเสริมกิลเสน่ะมันขายไม่ได้ เขาจึงสามารถที่จะผลิตด้วยเครื่องจักรแล้วก็มากจนท่วมโลก ทำให้โลกของเรามันก็เต็มไปด้วยวัตถุส่งเสริมกิเลส ปัญหามันก็มาก ส่งเสริมกิเลสทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางจิตเอง นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องมองเห็นในขั้นแรกว่า การที่จะปฏิบัติหน้าที่ของธรรมทายาทในโลกแห่งยุคปัจจุบันน่ะมันมีภาระเท่าไร เป็นภาระหนักสักเท่าไร แต่แล้วก็ไม่ไม่ต้องท้อถอย ไม่ต้องยอมแพ้ และก็ไม่ต้องถือว่าเป็นโชคร้ายที่เรามันเกิดในยุคนี้ ซึ่งมันมีงานยาก มีงานหนักยิ่งกว่าครั้งพุทธกาลในการที่จะเผยแผ่ธรรมะเพื่อช่วยโลก แต่แล้วก็ยินดีรับในฐานะที่เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยินดีรับ เราจึงมาพูดกันถึงหน้าที่แห่งยุคปัจจุบัน ซึ่งรอคอยพระธรรมทายาททั้งหลายอยู่ ถ้าว่ายอมแพ้ สลัดทิ้ง ไม่เอา ไม่ต่อสู้ ก็ดูเหอะ มันจะเป็นอย่างไรบ้าง มันก็ป่วยการ ป่วยการที่จะมาอบรม ฝึกฝนกันอย่างนี้
เป็นอันว่า ยอมรับกันว่าเราจะปฏิบัติหน้าที่แม้จะยากเย็นเข็ญใจเท่าไรในโลกแห่งยุคปัจจุบัน เอ้า,ก็ได้แบ่งหน้าที่เป็น ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งเพื่อตัวเอง ส่วนหนึ่งเพื่อผู้อื่น ทีนี้เราก็พูดหน้าที่เพื่อตัวเองเป็นเรื่องแรก ไอ้หน้าที่เพื่อตัวเอง คือจะต้องอบรมตัวเอง แต่อบรมตัวเองนี่มันอบรมเพื่อช่วยผู้อื่นเป็นหน้าที่เพื่อผู้อื่นโดยอ้อม เป็นหน้าที่เพื่อตัวเองโดยตรง เราจะต้องช่วยตัวเองให้สามารถช่วยผู้อื่น นี่เรียกว่าหน้าที่เพื่อตัวเอง ทีนี้ดูกันถึงหน้าที่เพื่อตัวเองโดยตรงก่อน นี่มันก็รวมอยู่ในคำว่าธรรมทายาทด้วยเหมือนกัน เพราะว่าการเป็นธรรมทายาทสูงสุดนั้นก็คือ การบรรลุพระอรหันต์นั่นแหละ สัตถา ปริจิณโณ เมตตาวะตาญะ นี่พระบาลีว่าอย่างนี้ พระศาสดาเป็นผู้ที่เราบำเรอแล้วด้วยวัตรแห่งบุคคลผู้มีความรักโดยธรรม ปริจิณโณ แปลว่า บำเรอแล้ว ทำได้แต่ผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้ว ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์เขาเรียกว่าบำเรออยู่ ไม่ใช่บำเรอแล้ว ผู้ปฏิบัติยังไม่เป็นพระอรหันต์นั่นน่ะ เขาเรียกว่าผู้ที่บำรุงพระศาสดาอยู่ ส่วนที่เป็นพระอรหันต์แล้วนี่ท่านเรียกว่า ผู้บำเรอพระศาสดาแล้ว คือ ถึงที่สุดแล้ว ธรรมทายาทรับมรดกธรรม ส่วนหนึ่งก็เพื่ออันนี้ เพื่อส่วนตนเองจะได้ถึงที่สุดแห่งการบรรลุธรรมหรือการมีธรรมจนถึงกับทำพระศาสดาให้ทรงพอพระทัย เรื่องนี้มันก็พูดยากว่าพระศาสดาจะทรงพอพระทัยในการที่เราจะเป็นพระอรหันต์หรือว่าเราจะมาเที่ยวทำประโยชน์กับชาวโลก
เราต้องยอมรับว่าการทำตนให้เป็นพระอรหันต์ได้นี่ เป็นที่พอพระทัยพระศาสดาอย่างยิ่ง แต่การจะทำหน้าที่ช่วยชาวโลกทั้งที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ก็คงจะทรงพอพระทัยด้วยเหมือนกัน บ้างเหมือนกัน
ในส่วนตัวเอง ถ้าบำเพ็ญให้บรรลุธรรมะสูงสุดเป็นพระอรหันต์ก็เรียกว่า เสร็จ จบ จบหน้าที่ เป็นผู้ที่พอพระทัยอย่างยิ่งและทีนี้ก็เที่ยวทำประโยชน์ผู้อื่น ก็จะเต็ม เต็มตามความหมายทั้ง ๒ ฝ่ายหรือ ๒ ส่วน
ดังนั้นในส่วนตัวเองแท้ๆนั้น ขอให้สนใจในการปฏิบัติธรรม คือปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา อย่าได้ละเลย อย่าได้ย่อหย่อน ให้มีศีล สมาธิ ปัญญา ก้าวหน้าจนมีภูมิธรรมแห่งจิตใจสูง ก็เป็นการยากที่เราจะจัดตัวเราให้เป็น โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ เราจะไม่พูดชัดๆลงไปอย่างนั้น แต่ว่าเราจะทำให้ดีที่สุดที่จะทำได้ในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา ทุกโอกาสที่เราจะทำได้ แม้ว่าเราจะทำงานสังคมสงเคราะห์ชาวโลกอยู่ ก็ต้องไม่ให้เสียไปในส่วนที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา คือดำรงตนอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา เรียกว่า อัฏฐังคิกมรรคอริยอัฏฐังคิกมรรค และก็ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นอยู่ ถ้ายังคงจำได้กันถึงคำว่า
ธรรมสโมธาน กระผมก็อยากจะบอกว่า ให้มันมีศีล สมาธิ ปัญญา เป็นธรรมสโมธาน เป็นธรรมะแฝงอยู่ในการกระทำทุกอย่าง เช่น เราจะไปทำสังคมสงเคราะห์ก็ต้องไม่ผิดศีล ก็ต้องมีศีล ก็ต้องมีสมาธิในการกระทำ มีปัญญาเฉลียวฉลาดรอบรู้ในการกระทำ นี่ก็เรียกว่ามีศีล สมาธิ ปัญญา อยู่
ยิ่งกว่านั้น ท่านให้ถือเอาความหมายอันละเอียด เมื่อเราตั้งใจจะทำอะไรอยู่นะ ไม่ ไม่ใช่ว่าถือศีล ไม่ใช่ว่าปฏิบัติสิกขาบท เมื่อตั้งใจจะทำอะไรอยู่ บังคับตัวให้ทำอะไรอยู่อย่างจริงจัง อันนี้ก็เรียกว่า ศีล อยู่ที่การบังคับตัว แม้ว่าให้ทำสังคมสงเคราะห์ แต่ถ้ามีการบังคับตัวให้ทำ บังคับได้นั้น ส่วนนั้นมันเป็นศีล และส่วนความหมายมั่นที่จะทำนั้น มันก็เป็นสมาธิ ส่วนความเฉลียวฉลาดในการกระทำมันก็เป็นปัญญา ไอ้ธรรมะแฝงอย่างนี้ เราเรียกว่า ธรรมสโมธาน นั้นขอให้มีธรรมสโมธาน ของศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ในที่ทุกหน ทุกแห่ง ทุกเวลา ไม่ว่าเราจะทำอะไร ไม่อย่างนั้นจะลืมตัว จะหมดความเป็นสมณะโดยไม่ทันรู้ตัวก็ได้
แต่ถ้าเรายังมีสติ สัมปชัญญะ รักษาหลักเกณฑ์อันนี้อยู่ ตั้งใจรักษาศีล สิกขาบทโดยตรงก็มี ตั้งใจทำสมาธิตามเวลา ตามโอกาสก็มี อบรมปัญญา เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่ก็มี นี่เรียกว่ามันโดยตรง
แต่ถ้าเป็นโดยอ้อม คือเป็นธรรมสโมธานล่ะก็ ถือเอาอาการที่ตั้ง สำรวมระวังในการที่จะทำ นั่นเป็นศีล หมายมั่นที่จะทำ เป็นสมาธิ ฉลาดในการทำ นั้นเป็นปัญญา
เป็นอันว่าเรามีศีล สมาธิ ปัญญาได้ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมอยู่ตลอดเวลาในการกระทำ ถ้าไปเกี่ยวข้องกับโลกกับชาวบ้านแล้วก็เลิกละไอ้ศีลไอ้หลักเกณฑ์แห่งศีล สมาธิ ปัญญา ฟุ้งซ่านอย่างนี้ไม่ทันไรก็ตาย ในภาษา อริยภาษา ภาษาอริยเจ้า ฉิบหายจากเพศภิกษุเขาเรียกว่าตาย มันก็ต้องตาย ทีนี้มันต้องไม่ตายสิ แล้วมันก็ต้องทำได้ด้วย จึงขอให้นึกถึงไว้เป็นข้อแรกว่าศีล สมาธิ ปัญญานี่ ซึ่งจะแจกออกเป็นเท่าไร เท่าไรก็ได้นี่ หัวข้อมันคือ ศีล สมาธิ ปัญญานี่ จะต้องคงมีอยู่ตลอดเวลาในทุกหนทุกแห่ง ในทุกสถานที่ในทุกการงาน นี่เพื่อตัวเองโดยตรงและก็เป็นธรรมทายาทด้วย เพราะว่าพระพุทธองค์ต้องการทรงประสงค์ให้เรามีศีล สมาธิ ปัญญา เรื่อยๆไปจนกว่าจะถึงขีดสุด เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่ทำสังคมสงเคราะห์เลย จะทำแต่เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ก็เป็นธรรมทายาทอันเลิศอยู่แล้ว นี่ก็ไปทำประโยชน์ผู้อื่น เช่น เผยแผ่พระศาสนา ช่วยเหลือประชาชนให้รอดพ้นจากความทุกข์ นี่ก็เป็นธรรมทายทด้วยเหมือนกัน เป็นพระพุทธประสงค์ด้วยเหมือนกัน แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงทำอย่างนั้น แล้วเราก็เอาอย่าง ก็เรียกได้ว่าธรรมทายาท
นี้หน้าที่เพื่อตัวเราข้อแรกก็คือ คงปฏิบัติธรรมไว้ไม่ให้บกพร่องได้ มีศีล สมาธิ ปัญญาโดยไม่บกพร่อง เอ้า,ทีนี้ก็มันก็มีผลเกิดขึ้นมา เป็นเหมือนกับว่าทั้ง ๒ ฝ่าย เราจะมีตัวเราเป็นความรอดพ้นด้วย แล้วเราก็จะสามารถช่วยผู้อื่นด้วยถ้าเราทำได้อย่างนั้น เหมือนกับว่ายิงนกทีเดียวได้ ๒ ตัว ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ให้ดีเถิด ส่วนเราก็จะรอดได้และก็จะสามารถช่วยผู้อื่นด้วยเพราะว่าทำให้เรามีจิต ผมพูดภาษาธรรมดาๆดีกว่าว่า มีจิตดี เมื่อปฏิบัติศีล สมาธิ อยู่ เราก็มีจิตดี บริสุทธิ์ ถูกต้อง เรียกว่ามีจิต มีจิตแข็ง เข้มแข็ง เพราะจิตที่อบรมดีกันถึงขนาดนี้มันเป็นจิตที่เข้มแข็ง แล้วมันก็เป็นจิตไว ว่องไวเหลือประมาณ จิตดี จิตแข็ง จิตไว ได้มาจากการปฏิบัติธรรม ถ้าจิตดี จิตแข็ง จิตไวแล้วก็สามารถที่จะทำประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นพร้อมกันไปเลย ฉลาด เป็นจิตฉลาด สามารถทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง ช่วยจำกันไว้ด้วย ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง ว่าเป็นคำพูดที่ทำให้ผมถูกด่าทั่วบ้านทั่วเมือง ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง เพราะเขาฟังไม่ออกว่าจิตว่างนั้นคืออะไร จิตว่างไปนอนหลับหรือไม่นอนแข็งทื่ออย่างท่อนไม้
จิตว่าง ก็คือ ว่างจากความจับฉวย ยึดถือสิ่งใดด้วยอุปาทาน เมื่อจิตมันไม่จับฉวย ยึดถือสิ่งใดด้วยอุปาทานเป็นจิตว่าง ให้จิตชนิดนั้นไม่มีกิเลส จิตชนิดนั้นมีสติปัญญา มีสัมปชัญญะ มีอะไรดีที่สุด ถ้าจิตไปจับฉวยอะไรด้วยอุปาทานนั้นมันไปเป็นทาสของสิ่งนั้นเสียแล้ว ไม่เป็นอิสระแล้วก็ทำอะไรดีไม่ได้ แล้วก็ทนทุกข์ทรมานด้วย เดี๋ยวนี้จิตของเราอบรมดีแล้วเป็นจิตดี เป็นจิตแข็ง เป็นจิตไว เป็นจิตฉลาดแล้วก็สามารถทำงานทุกชนิดด้วยจิตชนิดนี้ เรียกว่า จิตว่าง ว่างจากอุปาทานว่าตัวกูว่าของกู อย่าทำด้วยจิตยึดถือ ยึดมั่นถือมั่นเพื่อตัวกู เพื่อของกู นี่..ระวังเถอะ มันจะเกิดไปหวังลาภ สักการะ สรรเสริญเข้าในการกระทำ นี่ก็ทำให้จิตยึดมั่นไม่ใช่จิตว่าง หรือว่าเมื่อทำไปมันได้ลาภ สักการะ สรรเสริญเข้า มันก็เลยเลยหลงไปเลย อันนี้ฉิบหายหมด ไม่ใช่จิตว่างแล้ว
ไอ้จิตว่างนี่จะไปจับฉวย จะไปยึดถือ หมายมั่น ติดบ่วง หรืออะไรของอะไรไม่ได้ แม้เราจะทำสังคมสงเคราะห์ก็ทำด้วยจิตว่าง ไม่ยึดถือว่าว่าตัวตนกระทำ ทำเพื่อเป็นของตน ทำได้อย่างนี้ก็คือผลที่เราปฏิบัติธรรมะถึงที่สุด แต่ถ้าหากไม่ถึงที่สุด เราก็ทำเท่าที่จะทำได้ ก็เลยกลายเป็นฝึกหัดไปในตัวพร้อมกันกับทำประโยชน์แก่ผู้อื่น หมายความว่า เมื่อทำสังคมสงเคราะห์ขอให้ฝึกฝนการทำงานด้วยจิตว่างพร้อมกันไปในตัว ให้มีจิตว่างมากขึ้นๆๆ พร้อมกันไปกับที่ทำงานมากขึ้นๆๆ นี่คือทำงานด้วยจิตว่าง เพราะฉะนั้นในการทำสังคมสงเคราะห์ก็จะเป็นโอกาสของการฝึกฝนธรรมะอันสูงสุด คือ จิตว่างด้วยได้ จะค่อยๆเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นยิ่งขึ้นๆ ถ้าบางวันหรือบางเวลาเราเผลอไปจิตมันตกต่ำลงไป ยึดมั่น ถือมั่น เป็นตัวกู ทำ ทำเพื่อตัวกู ของกู กูได้ดี ได้ประโยชน์อย่างนี้ก็ให้เสียใจให้มากเถอะ เพราะมันเป็นความเหลวแหลก แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเสียใหม่จะไม่ทำอย่างนั้น นี่เรียกว่าฝึกฝน ทำงานด้วยจิตว่างพร้อมกันไปกับการทำงานเพื่อผู้อื่น งานสังคมสงเคราะห์
นี่จะเห็นได้ว่ามันเนื่องกัน มันเนื่องกัน ปฏิบัติธรรมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ก็เพื่อจิตมันว่างจากอุปาทาน ไม่ยึดถือสิ่งใดๆ แต่เมื่อจะต้องทำพร้อมกันไปกับงานสังคมสงเคราะห์ก็หัดทำ อย่าให้มันต้องเสียไปในส่วนที่เป็นศีล สมาธิ ปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าให้เสียไปในส่วนที่ทำงานด้วยจิตว่าง ระวังอย่าให้ไปยึดถือในการงานที่ทำ ผลของการงานที่ทำ เสียงสรรเสริญเกิดมาจากการงานที่ทำ ยังคงฝึกหัดทำงานเพื่อธรรม เพื่อธรรมะน่ะ ทำงานเพื่อธรมะ ไม่ใช่เพื่อตัวกู เพื่อของกู จิตก็จะเจริญไปในทางของธรรมะ คือไปสู่ความว่าง ไปสู่ความหลุดพ้นได้เหมือนกัน นี่เป็นงานที่ละเอียด ประณีต สุขุม ทำยากแต่ก็ไม่ใช่เหลือวิสัย
เราจะต้องอบรมตนให้มีความสามารถ เผชิญหน้ากับวิสภาคารมณ์ อารมณ์ที่ไม่มีสภาพ คือมันเข้ากันไม่ได้น่ะ มันเป็นข้าศึกต่อกัน สำหรับพระเราก็คือผู้หญิง พูดกันง่ายๆ วิสภาคารมณ์ก็คือ เพศตรงกันข้าม ต้องฝึกจิตให้สามารถเผชิญกันได้กับวิสภาคารมณ์ ไม่ให้วิสภาคารมณ์นั้นเป็นอันตราย มีส่วนทำอันตรายแก่เรา นี่ถ้าไปทำงานสังคมสงเคราะห์ในบ้าน ในเมือง ในโลก มันก็ต้องเผชิญ ถ้ามันสู้ไม่ได้ มันสึกไปกี่องค์แล้วล่ะ รู้ไหมล่ะมันสึกไปกี่องค์แล้วเพราะมันไม่มีส่วนนี้ ต้องสามารถเผชิญกับอุปสรรค ไอ้เรื่องที่ไม่มีอุปสรรคนั้นอย่าไปหวังเลย อย่าไปหวังว่าเราจะไม่มีอุปสรรค ถ้าหวังอย่างนั้นก็มันโง่เกินไปแหละในโลกนี้ มันต้องยินดีที่จะเผชิญอุปสรรค ก็ต้องถือว่ามันมีอุปสรรคแน่ๆ และจะมากเสียด้วย แต่เมื่อเราอบรมจิตของเราดีแล้ว เราก็ต้องสามารถเผชิญกับอุปสรรคแม้ศัตรูโดยตรง ถ้าหากว่าจะมีผู้คิดทำลายล้างเรา เพราะเขาเป็นอันธพาล เขามีความต้องการตรงกันข้าม เขาก็ต้องทำตนเป็นศัตรู เราก็สามารถเผชิญศัตรู ทำศัตรูให้หมดความเป็นศัตรูได้ เพราะความมีธรรมะของเรา อุปสรรคทั้งหลายก็ไม่ ไม่สามารถจะกั้นขวางเราได้ นี่เราจึงจะเรียกว่า มีจิตที่อบรมดีแล้ว สมควรแก่การงาน
นี่หมายความว่า เราอบรมให้เรารอบรู้ในปัญหาของผู้อื่น ปัญหาเกี่ยวกับผู้อื่น ปัญหาของประชาชนแต่ละคน หรือว่าปัญหาของประชาชนทั้งหมดรวมกันคือ โลก ปัญหาของโลกก็ดี ปัญหาของเอกชนแต่ละคนก็ดี เราจะต้องรอบรู้และก็ช่วยเขาแก้ปัญหาได้ นี่หน้าที่ของธรรมทายาทอันมีอยู่อย่างนี้เอง
เรื่องโลกในที่นี้นี่ มันเป็นโลกในความหมายที่เป็นหน้าที่ที่เราจะต้องช่วย อย่าไปตีขลุมว่า เป็นเรื่องโลกเป็นเรื่องดิรัจฉานกถา ไม่ ไม่สนใจเรื่องโลก ไม่พูดเรื่องโลกนั่นมันอีกความหมายหนึ่ง เรื่องโลกชนิดนั้นหมายความว่าเรื่องโลกที่มันไม่เกี่ยวกับธรรมะ ไม่เกี่ยวกับที่จะต้องช่วย ถ้ามันเป็นโลกที่เราจะต้องช่วย ก็เราเอามาคิดมานึกมาพูดมาจา มาปรึกษาหารือกันได้ ไม่ใช่ดิรัจฉานกถา เรื่องของชาวบ้านชาวเมืองก็เหมือนกันแหละ มันมีระบุอยู่ในดิรัจฉานกถา แต่ถ้าเราทำอย่างนี้ ไม่ใช่ดิรัจฉานกถาเพราะเราจะเอามาคิด มานึกสำหรับจะช่วยเขา นี่เราจะต้องรอบรู้ในปัญหาของผู้อื่น และเดี๋ยวนี้โดยเฉพาะพวกเรานี้ มันต้องช่วยรัฐบาล ไม่ใช่ประจบรัฐบาล ไม่ใช่ไปเป็นลูกจ้างรัฐบาล ไม่ใช่จะไปเป็นอะไรของรัฐบาลแต่เราจะช่วยรัฐบาล ในฐานะเราเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่ารัฐบาลนั้นคือผู้รับผิดชอบทำบ้านเมืองให้เป็นสุข
และเราก็มีเหตุผลที่จะช่วย มีความเหมาะสมที่จะช่วย เราจะถือเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องช่วย แต่ก็ต้องไม่เสียสมณสารูปของสมณะของภิกษุ หรือแม้แต่ของธรรมทายาท ก็ระวังเอาเอง จะช่วยรัฐบาลได้เท่าไร เดี๋ยวนี้รัฐบาลก็ต้องการให้ช่วยมากขึ้นทุกที เพราะว่าปัญหายุ่งยากเกิดแก่บ้านเมือง แก่รัฐบาลนี้มากขึ้นๆ เราดูให้ดีอย่าผลุนผลันพลุ่มพล่ำเข้าไป และก็ดูให้ดี อะไรช่วยได้ ช่วยได้แน่ ช่วยได้มีประโยชน์ ก็ช่วยได้ เราก็ต้องฝึกเหมือนกัน อบรมตัวเองให้สามารถถึงขนาดนั้น การอบรมตัวเองทุกอย่าง นี่ผมเรียกว่าหน้าที่เพื่อตัวเองก่อน
ทีนี้ก็หน้าที่เพื่อผู้อื่น ผู้อื่นก็คือบุคคลที่ ๒ นอกไปจากเรานับเราเป็น ๑ ไอ้เป็นที่ ๒ เข้ามาก็เรียกว่าผู้อื่นได้ มันทั้งโลกน่ะมันก็คือผู้อื่น แต่ไม่ใช่ผู้อื่นที่เป็นข้าศึกศัตรูกัน ผู้อื่นที่เราจะต้องช่วย ผู้อื่นในบทว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น มันคือผู้อื่นอย่างนั้น เรานึกถึงผู้อื่นอย่างนั้นแล้วเราก็คิดจะช่วย พูดรวมๆ เสียแปลว่าช่วยโลกนั่นแหละ เราจะต้องช่วยโลก แล้วก็ต้องช่วยผ่านไปทางไอ้คนคนที่มันอยู่ใกล้ชิดเรา ช่วยคนที่ ๒ ในบ้านในเมืองของเรา ในประเทศของเราทั้งประเทศ แล้วมันก็เป็นการช่วยโลกทั้งโลกไกลออกไปไกลออกไป มันก็ไปช่วยผู้อื่นทั้งหมดที่อยู่ในขอบเขตที่เราเกี่ยวข้องด้วยได้ แล้วช่วยอะไรล่ะ ก็ช่วยแก้ปัญหา คือไอ้สิ่งที่เป็นความยุ่งยากลำบาก ร้ายกาจเป็นทุกข์เรียกปัญหา แล้วก็จะช่วยแก้ปัญหาของเพื่อนมนุษย์ทุกปัญา ไอ้เรื่องปัญหานี่ ผมเคยมองดูแล้วก็เห็นได้ว่า พอที่จะจัดเป็นพวกๆ เป็นประเภทๆ ได้สัก ๓ ปัญหา หรือ ๔ ปัญหา หรือ ๔ ประเภท สามสี่ประเภทที่เกี่ยวกับคนเรานะมนุษย์นะ คือ ปัญหาทางศีลธรรม ปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัญหาทางสังคม ๓ ประเภทนี้พอแล้วแหละ มันจะครอบคลุมปัญหาทุกชนิด ร้อยชนิด พันชนิดเลยก็ได้ มันจะมารวมอยู่ที่ปัญหาใน ๓ ชื่อนี้ ปัญหาทางศีลธรรม ปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัญหาทางสังคม
นี่ถ้าจะแถมอีกสักประเภทหนึ่งก็มันไม่ใช่คนน่ะทีนี้คือธรรมชาติ ปัญหาที่เกี่ยวกับธรรมชาติที่ไม่ใช่คน แต่ก็มันอยู่ในโลกเดียวกันนี้ เป็นที่อาศัยของคน เช่น แผ่นดินโลกนี้เป็นที่อาศัยของคน แต่มันก็ไม่ใช่คน มันก็เป็นปัญหาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราก็จะช่วยแก้ปัญหาอันสุดท้าย คือ ปัญหาที่เนื่องอยู่กับธรรมชาติ อย่าเพิ่งท้อถอยสิ ธรรมยุต ธรรมทายาท ถ้าทายาทจริง มันก็ทายาทสิ มันไม่ท้อถอย ถ้ามันทายาทไม่จริง พอเห็นปัญหามากมันก็วิ่งหนีเลย มันยอมแพ้ อย่างนี้ไม่ใช่ทายาท ไม่ทรหดอดทน ไม่ทายาท ถ้าเป็นทายาทก็จะรู้สึกว่ายิ่ง ยิ่งยากยิ่งดี ยิ่งมากยิ่งดี ปัญหายิ่งมากยิ่งดี งานมากยิ่งดี ไอ้คนที่เป็นทายาทน่ะงานยิ่งมากยิ่งดี พอเห็นงานมันมากแล้วก็ชอบ มันจะได้แสดงฝีไม้ลายมือกันให้เต็มที่ ถูมือ เตรียมมือที่จะทำงานมาก ๆ ยากๆ กันอย่างนี้เรียกว่า ทายาท ทนทายาด
ดูปัญหาทางศีลธรรมประเภทแรก คงจะอ่านหนังสือพิมพ์หรือว่าคงจะได้ยินได้ฟังนั่นนี่กันอยู่เป็นประจำ แล้วก็ประมวลดูที่มันเป็นปัญหาเกี่ยวกับศีลธรรมมันเป็นอย่างไรบ้าง ชั่ว ๕๐ ปีมานี้ ชั่วแรกผมมีสวนโมกข์ ๕๐ ปีมานี้ จะครบ ๕๐ ปี ปีที่จะถึงนี้ อัตภาพทางศีลธรรมแแหมมันตกต่ำเหลือประมาณนะ ไอ้ที่ไม่เคยต้องมีตำรวจ ไม่ต้องพึ่งตำรวจ มีงานสนุกสนาน ๓ วัน ๓ คืน ๗ วัน ๗ คืนก็ไม่ต้องใช้ตำรวจ มันเคยมีอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนเป็นว่าตำรวจขี้เกียจจับแล้ว มันมากจนตำรวจขี้เกียจจะจับ ก็หมายความว่าไอ้ความเลวร้ายน่ะมันเพิ่มมากขึ้น เอาอะไรเป็นเครื่องเปรียบกันดีล่ะ ไอ้เลวร้ายมันมากขึ้น ก่อนนี้ไม่ต้องใช้ตำรวจ เดี๋ยวนี้ตำรวจจับไม่ไหว ขี้เกียจจับก็เอาไข่เมื่อ ๕๐ ปีมาโน่น ไข่ฟองละ ๑ สตางค์ เดี๋ยวนี้ไข่ฟองละ ๑๕๐ สตางค์นั่นแหละความเลวร้ายของศีลธรรมมันเพิ่มขึ้น ๑๕๐ เท่าเหมือนกับราคาไข่ เมื่อของมันแพงขึ้น ๑๕๐ เท่า ไอ้อันธพาลมันก็ต้องเร่งมือ ๑๕๐ เท่าเหมือนกันมันจึงจะพอกิน เราจะถือว่าเดี๋ยวนี้ศีลธรรมมันเสื่อมมาก ความเลวร้ายเพิ่มมา ๑๕๐ เท่าอย่างน้อย เท่ากับราคาไข่
ที่เมืองฝรั่งนี่เขาเขียนเขาพูดกัน อ่าน ผมเคยอ่าน คือพวกฝรั่งรุ่นหลังนี่เขาถือว่า พระเจ้าตายแล้ว พระเจ้าตายแล้ว ก่อนนั้นเขาถือพระเจ้ากันเคร่งครัดแหละ ฝรั่งถือศาสนาคริสตัง อิสลามก็ถือ มุสลิมก็ถือศาสนาอิสลาม ล้วนแต่มีศาสนามีพระเจ้ากันเต็มที่ เดี๋ยวนี้เขาเกิดถือกันว่าพระเจ้าตายแล้ว ก็หมายความมันไม่มีศาสนาไม่มีอะไรที่ต้องถือ และเมื่อพระเจ้าตายแล้วเราก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีก ก่อนนี้เรากลัวพระเจ้า พระเจ้าจะลงโทษเรา พระเจ้าตายแล้วก็ไม่มีใครมาคอยลงโทษเรา เราก็ฟรีในการที่จะทำบาปทำชั่ว เหมือนกับว่าฝ่ายเรา พุทธเราจะถือว่าธรรมะตายแล้ว ธรรมะตายหมดแล้ว อย่างนี้ก็เหมือนกันแหละเราก็ไม่ต้องกลัวบาปกลัวกรรมอะไรกัน เพราะธรรมะตายแล้วไม่มีอะไรจะทำให้ได้รับผลดีผลชั่วแล้ว ฝรั่งเขาถือว่า พระเจ้าตายแล้วกันมากขึ้น ๆๆ ก็คือไม่ถือศาสนานั่นเอง แต่ก็มีอยู่จำนวนหนึ่งเหมือนกันแหละที่เขากลัว เขากลัวเรื่องนี้มาก เขากลัว กลัวไอ้ที่พูดกันว่าพระเจ้าตายแล้ว นี่เป็นพวกที่เขาไม่ยอมให้พระเจ้าตาย เขาจะมีพระเจ้าอยู่เพื่อผดุงศีลธรรมของโลก แต่เขาก็ไม่อยากจะค้านหรือไปทะเลาะกับไอ้พวกที่ว่าพระเจ้าตายแล้ว เขาก็ส่ายตาหาไปว่าเอา จะเอาอะไรมาแทนพระเจ้าให้ลูกหลานของเรานี่ เขายังคิดอยู่อย่างนี้ ถ้าพระเจ้าตายแล้ว เราก็จะหาอะไรมาแทนให้ลูกหลานของเรามีเป็นเครื่องยึดถือ ไอ้พวกนี้บางทีจะมาคว้าเอาธรรมะในพุทธศาสนาก็ได้
นี่บอกให้รู้ว่าในโลกมันกำลังเปลี่ยนแปลงถึงขนาดที่จะให้พระเจ้าตายเสียแล้ว ไม่ต้องมีหลักศีลธรรมแล้ว ในหมู่คนเหล่านั้นจึงมีศีลธรรมเสื่อมโดยรวดเร็ว โดยรวดเร็ว เพราะว่าไม่ ไม่ ไม่ถือบุญถือบาป ถือดีถือชั่วพระเจ้าตายแล้ว ในประเทศอเมริกานี่ไม่ใช่ว่าจะออกชื่อเพื่อนินทาเขา ไม่ใช่ เอามายกเป็นตัวอย่าง หนังสือพิมพ์เมื่อสองสามวันนี่เคยอ่านว่ามันมีข่มขืนผู้หญิงทุกๆ ๖ นาที ทุกๆ นา ทุก ๆ ๖ นาทีมีการข่มขืนผู้หญิงรายหนึ่ง ทุกๆ ๔ นาทีมีการขโมย ลักขโมยรายหนึ่ง ทุกๆ ๒๓ นาทีรถยนต์หายคันหนึ่ง ทุกๆ ๔๘ นาทีฆ่ากันตายรายหนึ่งคิดดูสิ เทียบศีลธรรมดู เพราะว่าพระเจ้าตายแล้วไง ไอ้คนที่มันไม่ต้องคิดนึกอะไร พระเจ้าตายแล้ว มันก็ทำอะไรตามชอบใจอย่างนี้ ไม่ได้หรอก จะเอามาเป็นตัวอย่าง จะเอามาเป็นหลักแห่งการศึกษาการอะไรไม่ได้แล้ว ไอ้พวกที่พระเจ้าตายแล้วอย่าไปเอากับมันเลย อย่าไปเอาระบบอะไรของมันมาใช้มาถือเป็นหลักเลย เราถือไปตามของเราที่่ว่า ธรรมะไม่รู้จักตาย สัจธรรมไม่รู้จักตาย ธรรมะไม่รู้จักตาย คือพระเจ้าไม่รู้จักตาย จะได้มีศีลธรรมให้เต็มที่
นี่ศีลธรรมมันเสื่อมเพราะไอ้ความก้าวหน้าทางวัตถุนะ เพื่อความเอร็ดอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้่น กาย ใจ มันเจริญ ๆ ๆ ดึงความรู้สึกคิดนึก ดึงเหตุผลเราไปหมด จนคนถือว่าพระเจ้าตายแล้ว เราเอาตามสบายกันเถิด เรื่องอายตนะ เรื่องกามารมณ์ครองโลก กามารมณ์ก็เจริญครองโลก มิฬหสุข มิทธสุข(นาทีที่43:17) มิฬหสุข จนครองโลก คือ สุขเกิดทางเพศ เรียกว่า มิฬหสุข มิทธสุข นั่นแหละเป็นสิ่งที่เข้ามาแทนที่ศีลธรรม ก่อนนี้เขาถือว่า ต้องมีความถูกต้องในเรื่องเหล่านี้ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องมีความถูกต้อง ได้ตามที่ฉันต้องการก็แล้วกัน เราจะต้องช่วยกันให้ศีลธรรมกลับมา มีวิธีอะไรที่จะให้ศีลธรรมกลับมา อย่าให้ลูกเด็กๆ ของเราไปเอาอย่างหรือไปตามลัทธิอย่างนั้น ให้ผู้ใหญ่ ผู้คน บิดา มารดา ผู้ใหญ่ทั่วไปอย่าไปถือลัทธิอย่างนั้น ให้ยังคงถือธรรมะอยู่ เช่นว่า อบายมุขนี่มันดึงดูดจิตใจไปตกต่ำมาก ก็ช่วยกันทำให้เขาเลิกละเสีย มีสติปัญญา พูดจาชักจูงให้เขาเห็นว่านี่มันเป็นสิ่งทำลายความเป็นมนุษย์ของเราโดยส่วนเดียว
แม้ว่าพระบาลีจะให้คำว่า เป็นที่เสื่อมเสียแห่งโภคทรัพย์ โภคานัง ไอ้โภคทรัพย์น่ะอย่าไปเล็งกันแต่เรื่องเงินทองข้าวของนัก โภคทรัพย์ในภาษาอริยเจ้านั่นคือความเป็นมนุษย์ของเรานั่นแหละคือโภคทรัพย์ของเรา เรามีความเป็นมนุษย์อันถูกต้องบริสุทธิ์ของเราเป็นโภคทรัพย์ของเรา อะไรที่มันมาทำให้ความเป็นมนุษย์ของเราเสื่อมเสียไปนี่เราเรียกว่าอบายมุข แล้วเรื่องมันก็มาตรงกันเอง ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน 6 ประการนี้ก็ทำให้ความเป็นมนุษย์ของเราร่อยหรอไป จนกระทั่งสูญเสียหมด ได้ยิน ได้ยินยอม ว่ายอมแพ้เสียมากแล้ว ที่จะทำให้ประชาชนเลิกละอบายมุขนี่ดูหลายองค์ยอมแพ้เสียแล้ว ไม่เอาแล้ว คือยอมแพ้ อย่างนี้ก็ไม่ทา ไม่ทายาท คือ ไม่ทายาท ยอมแพ้ง่ายเกินในการที่จะทำให้ประชาชนคนไทยของเราเลิกละอบายมุข เปรียบเทียบความยากลำบากแล้วก็เหมือนกับจูงช้างลอดรูเข็ม ถ้าจะเป็นทายาทก็ต้องไม่ไม่กลัวสิ แม้จะ แม้จะยากขนาดจูงช้างลอดรูเข็มก็ต้องทำให้ได้ ดังนั้นต้องเมื่อเสียสละแล้วก็เสียสละกันให้จริงๆ ไปคิดหาหนทาง ไปทำที่ยากนี่ให้มันได้ ไอ้ของดีมีค่านี่มันต้องยากเสมอแหละ
วันก่อนผมพูดไปในวิทยุว่าอบายมุขมันมาอยู่ที่วัดครบเสียแล้ว พระดื่มของมึนเมา คือ สูบบุหรี่ สูบมึนเมานี่ สิ่งมึนเมานี่ เรียกว่า เสพของเมา เที่ยวกลางคืน พระก็ชอบไปเที่ยวกลางคืนบ้านโยม พระเที่ยวกลางคืน พระองค์หนึ่งถูกฆ่าตายเมื่อกลับมาจากบ้านโยม หนังสือพิมพ์เขาลง เที่ยวกลางคืนไปเยี่ยมโยมแล้วก็ถูกใครดักยิงตายระหว่างทาง มันมีการแสดงว่าพระก็ไปเที่ยวกลางคืน ดูการเล่น พระก็ไปดูการเล่น มีอะไรเล่นที่ไหนก็ไปดูกันแดงเถือกไปหมด แสดงในวัดก็พระเต็มไปหมด แล้วพระเดี๋ยวนี้ถึงขนาดเอาโทรทัศน์สีมาไว้ในกุฏิ ในห้อง มันก็ดูการเล่นยิ่งกว่าเล่น เล่นการพนัน บางทีที่แผงขายล็อตเตอรี่ก็มีพระไปยืนแดงโร่อยู่ แล้วก็มีคนขายล็อตเตอรี่บ้าง ขาย ๓ ตัวบ้าง ขึ้นกุฏินั้น ลงกุฏินี้ ขึ้นกุฏินี้ ลงกุฏิโน้น มันก็จะขาย ๓ ตัวตามกุฏิพระ เพราะฉะนั้นแสดงว่าพระนี่ได้ ได้ซื้อไอ้สิ่งเหล่านี้ไปแล้ว เล่นการพนันแล้ว
คบคนชั่วเป็นมิตรนี่ระวังเถอะ เรา เราคบคนชั่วเป็นมิตร คือให้อบายมุขมาแสดงในวัด เอาเงินแบ่งกัน เจ้าอาวาสยอมให้อบายมุขมาแสดงในวัดเอาเงินแบ่งกัน อย่างนี้ก็เรียกว่าคบคนชั่วเป็นมิตรแล้ว ทีนี้เกียจคร้านทำการงานนี่ เขาก็พูดกันมานานแล้วนะ ว่าพวกพระเรานี่เกียจคร้านทำการงาน ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน บ่ายพักผ่อน ค่ำจำวัด นี่เขาล้ออย่างนี้ แล้วมันก็มีส่วนจริงมากอยู่เหมือนกัน นี่เกียจคร้านทำการงาน ครบ ๖ อบายมุขครบ ๖ ในวัด ถ้าขืนอยู่อย่างนี้ไม่ไหวจริง คงสู้ไม่ได้จริง คงจะปราบอบายมุขไม่ได้ จะช่วยรัฐบาลปราบอบายมุขคงไม่ได้ ถ้ามันมาเต็มอยู่ในวัดเสียเองอย่างนี้ ช่วยกันขับไล่ออกไป ให้ออกไปจากวัด ให้ธรรมทายาททั้งหลายไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุข ก็ช่วยรัฐบาลกำจัดอบายมุข นี่จะมีประโยชน์ในชั้นแรก ชั้นพื้นฐาน ชั้นรากฐานของประเทศชาติทีเดียว อบายมุขกำลังทำลายมนุษย์ ทำให้สูญเสียโภคทรัพย์อันใหญ่หลวงคือความเป็นมนุษย์ นี่เป็นตัวอย่างของสิ่งที่เรียกว่าปัญหาทางศีลธรรมเวลามันไม่พอให้แจกอย่าง ก็บอกกันแต่คร่าวๆนะ
ทีนี้มาดู เราจะแก้ไขปัญหาทางศีลธรรมนี่ ต้องขจัดไอ้สิ่งเลวร้าย คือบาปอกุศลที่ต้องละไปเสีย แล้วก็สร้างส่วนที่เป็นกุศลที่ควรจะมีให้เกิดขึ้นมา ผมคิดนึกไว้เป็นบทสรุปสั้นๆว่าเราจะต้องทำให้เกิดความรักผู้อื่น แล้วก็บังคับจิตของตัวเองได้ แล้วก็ให้มีความสุขในการทำงาน ผมขอร้องนะทุกองค์นะ ช่วยจำไอ้คำ ๓ คำนี้ไว้ด้วยนะ จดไปด้วย ผมขอร้องให้ช่วยไปทำให้เกิดความรักผู้อื่นขึ้น ให้ช่วยบังคับจิตของตนให้ได้ ให้มีความสุขในการทำงานเพราะว่าไอ้ ๓ ประการนี้มันพอจริงๆ ๓ คำนี้พอในทางศีลธรรม ถ้ารักผู้อื่น คิดดู รักผู้อื่นคำเดียว มันจะไม่มีการฆ่าใคร ไม่มีการฆ่ากัน ไม่มีการลักขโมยกัน ไม่มีการล่วงกาเมกัน ไม่โกหกหลอกลวงกัน ไม่ดื่มของเมาอะไรให้ผู้อื่นเขาเดือดร้อนรำคาญ รักผู้อื่นคำเดียวดึงเอาศีล ๕ มาหมด ศีล ๘ ศีล๑๐ ศีลกี่ เท่าไรมันก็ดึงมาได้ที่เกี่ยวกับการเบียดเบียน ถือศีลข้อเดียว รักผู้อื่น ศีลอื่นจะมีมาหมด บางทีประชาชนเขาอาจจะเห็นว่า มันข้อเดียวนี่มันควรจะถือได้ รักผู้อื่นกันเถอะ เอาตัวอย่างสมัยโบราณปู่ย่าตายายของเราเขาเคยรักผู้อื่นกันอย่างไร เดี๋ยวนี้เราก็เอากันอย่างนั้น
ข้อที่ ๒ ก็บังคับจิตให้ได้นี่ มันสำคัญอยู่ที่นี่ ที่เราทำอะไรไม่ได้เพราะเราบังคับจิตไม่ได้ เราก็แนะวิธีที่จะบังคับจิต อบรมจิตให้บังคับจิตให้ได้ ให้มีสติสัมปชัญญะเพียงพอ การที่จะบังคับจิตได้ มันขึ้นอยู่กับการมีสติสัมปชัญญะพอ ให้ฝึกวิปัสสนากรรมฐานอะไรกันในทางให้มีสติเพียงพอ ให้มีสติเร็ว มันก็รู้สึกตัวอยู่ มันก็บังคับจิตได้ ก่อนแต่จะเกิดกิเลสมันรู้สึกตัวอยู่มันก็ป้องกันได้ เมื่อกิเลสเกิดขึ้นแล้วสติสัมปชัญญะมันก็ช่วยให้รู้ รู้ก็ไล่ไปเสีย ขับไล่ไปเสีย การบังคับจิตได้ขึ้นอยู่กับการมีสติสัมปชัญญะ วิปัสสนาทุกแบบมันทำให้มีสติ อย่าทำไปอย่างเพ้อๆ ไม่รู้ว่าทำทำไม เพราะว่าทุกแบบอย่างน้อยมันก็ให้มีความเป็นสมาธิหรือมีสติได้ตามสมควรทั้งนั้น ขอให้เขายินดีฝึกการบังคับจิต อบรมจิต ถ้าคนเราบังคับจิตได้มันก็ไม่มีปัญหา ไม่มีทางทำผิดแหละ แล้วก็มีทางจะทำดี ทำบุญทำกุศลมากขึ้นไป เดี๋ยวนี้บังคับจิตไม่ได้ก็ไปทำผิดทำชั่ว พอให้ทำดีทำบุญทำกุศลมันขี้เกียจ บังคับจิตไม่ได้มันก็ไม่ทำเหมือนกัน ถ้าบังคับจิตได้มันก็จะละชั่วและทำดีได้โดยง่าย เรื่องบังคับจิตจึงเป็นหลักสำคัญในศาสนาทุกศาสนาเลย นี่ถือเอาข้อนี้ไปช่วยอบรมประชาชนให้เป็นผู้บังคับจิตได้ และสิ่งที่เคยทำไม่ได้จะทำได้
ข้อที่ ๓ ที่ว่าให้เขารู้สึกเป็นสุขในการทำงาน เดี๋ยวนี้ไม่ไม่มีใครรู้สึกเป็นสุขในการทำงาน สู้ปู่ย่าตายายบรรพบุรุษของเราไม่ได้เมื่อเขาทำงานเขารู้สึกเป็นสุขกันทั้งนั้นน่ะ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ต้องไปขโมย เขาทำงานเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่กลางแดกลางฝนอะไรก็ตามเขาก็ไม่ ไม่เป็นทุกข์ ไม่รู้สึกเป็นทุกข์ ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกเป็นทุกข์เพราะเขาถือว่านั่นน่ะมันเป็นการปฏิบัติธรรม การทำหน้าที่ของตนนั้นคือการปฏิบัติธรรม เอ้า,ผมคงจะได้เคยพูดให้ ให้ ให้ ให้ฟังแล้วว่าไอ้ธรรมะ ๔ ความหมายสำคัญมาก ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลเกิดจากหน้าที่ ดังนั้นเมื่อเราทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติมันก็ได้ธรรมะในความหมายที่ ๓ ฉะนั้นเมื่อเราทำหน้าที่คือทำการงานนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม เขาก็พอใจ ชื่นใจตัวเองว่าได้ปฏิบัติธรรม แม้ว่าจะทำสวนทำนาทำอะไรอยู่ก็ตาม เมื่อทำหน้าที่ของมนุษย์อยู่ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรม ไม่มีนาจะทำก็ไปแจวเรือจ้าง ไปถีบสามล้อ ไปกวาดถนน แล้วแต่มันจะมีหรือจะทำได้ ขอให้ทำงานอันเป็นหน้าที่ของมนุษย์เมื่อนั้นเรียกว่า ปฏิบัติธรรม เขาพอใจ เขายินดี เขามีความสุขอยู่ที่นั่น เขาจึงไม่ต้องไปทำอบายมุข ไปเล่นอบายมุขที่ไหน เพราะเขามีความสุขอยู่ที่การงานที่เขากระทำ แต่ก่อนปู่ย่าตายายบรรพบุรุษของเรามันถือหลักกันอย่างนี้ แล้วมันก็เป็นกันอย่างนี้จริงๆด้วย เมื่อเขาได้ทำงานแล้วเขายิ้มกริ่ม คือเขารู้สึกว่าเขาได้ทำสิ่งที่ดีมีธรรมะ
เดี๋ยวนี้ คนเดี๋ยวนี้มันถูกไอ้วัตถุนิยมดึงจิตใจไปหมดแล้ว อยากจะอร่อย สนุกสนานท่าเดียว มันไม่เป็นที่พอใจเมื่อทำงาน มันต้องการแต่เงินจึงเป็นผลราง ผลงานเอาไปซื้อหากามารมณ์ มันก็เลยเกลียดไอ้การทำงาน มันก็ไม่อยากทำ มันก็คิดว่าไปขโมย ไปจี้ไปปล้น คอยหาโอกาสจี้ปล้นดีกว่า ไอ้การจี้ปล้นก็เต็มไปหมดในกรุงเทพ แม้กลางวันแสกๆ แม้บนรถประจำทางมันก็ยังมีช่วงชิงวิ่งราว จี้ปล้น เดี๋ยวนี้ก็ลุกลามเข้าไปถึงในบ้านเรือน สถานที่อยู่ ในห้องนอนแล้ว โจรบุกเข้าไปจี้กันในห้องนอนแล้ว มันไม่มีที่ที่หลบ นั่นเพราะเขาไม่อยากจะทำงาน เมืองไทยเป็นอย่างนี้เกือบทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ที่อินเดียไม่เป็นอย่างนี้ มัน ไม่ ไม่เป็นอย่างนี้เกือบ เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน คือเขาถือหลักบุญบาป กับว่าขอทานดีกว่าขโมย สมัครไปเป็นขอทานดีกว่าก่อนที่จะมาเป็นขโมยปล้นจี้ วิ่งราว อินเดียเต็มไปด้วยคนขอทานแต่ศีลธรรมดีมาก เมืองไทยก็ไม่ค่อยมีขอทานแต่ศีลธรรมเลวมาก เต็มไปด้วยอันธพาลที่คอยปล้น คอยจี้ เพราะเขาไม่มีความสุขเมื่อทำการงาน ถ้าคนเหล่านั้นเขามีความสุขเมื่อทำการงานละก็ มันก็มีความสุข เขาก็ไม่ต้องไปประกอบอาชญากรรม
เมื่อผมยังไม่ได้บวช ไปกรุงเทพ ผมเห็นเลยคนแจวเรือจ้าง แล้วผมเลื่อมใสคนแจวเรือจ้าง แจวเรือจ้างไปพลางมันแกว่งเท้าไปพลาง มันยิ้ม มันร้องเพลง มันไม่มีความทุกข์ แจวละ ๑ ชั่วโมงได้ ๒ บาท มันก็ไม่มีความทุกข์มันพอใจอย่างยิ่ง เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว เห็นคนหนึ่งที่มีรถ รถยนต์แท็กซี่ขับน่ะ มันด่าตลอดเวลา หน้ามันเหี้ยมเกรียมตลอดเวลาซึ่งมันเหนื่อยน้อยกว่าคนแจวเรือจ้างเสียอีก นี่ไอ้ความที่มีความสุขในการงานน่ะมันเปลี่ยนมากถึงขนาดนี้ ฉะนั้นถ้าเราไปทำอะไรให้เป็นตัวอย่างที่ดีที่ให้เด็กๆของเรามีความสุข เมื่อทำการงาน สนุกสนาน แล้วก็ต่อไปจะทำงานอะไรก็มีความสุขทั้งนั้นน่ะ ไม่ว่าจะทำสวน ทำนา ทำอะไรก็มีความสุข
ชาวอินเดีย ภาคกลางของประเทศ เขาต้องตักน้ำรดนา ทั้งวันๆ ตักเช้าถึงเที่ยง ตักบ่ายถึงเย็น เขาก็ร้องเพลงตลอดเวลาเหมือนกัน ตักน้ำรดนา ยิ่งไปยืนดูเขาก็ยิ่งร้องเพลงใหญ่ มันต้องอย่างนั้นน่ะ ต้อง ต้องมีความสุขเมื่อได้ทำการงานก็เลยไม่ต้องไปหาอะไรที่ไหน แต่ถ้ามันไม่ชอบแล้วมันรู้สึกเหมือนกับตกนรกแหละ มันก็ด่าไปพลาง มันก็ทำอะไรไม่น่าดูไปพลาง จะทิ้งงานไปขโมยเมื่อไรก็ไม่รู้ นี่เรียกว่าฝึกให้หาความสุขได้เมื่อทำการงานนั่นเอง
พวกเราก็เหมือนกันแหละ เมื่อเรียนนักธรรมไม่มีความสุขในการเรียน เรียนบาลีมีความสุขในการเรียน เมื่อจะต้องทำอะไรด้วยเรี่ยวด้วยแรงก็มีความสุขเมื่อได้ทำ พอใจ ทำอะไรดีขึ้นๆ ๆ แล้วก็เป็นสุขและพอใจ คือ มีปีติเมื่อมีความเพียร โดยหลักของโพชฌงค์ ๗ ประการ ทำสติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ ยังมีปีติเมื่อมีวิริยะ มันก็เป็นสุขเมื่อทำการงาน จิตจะเป็นสมาธิแล้วก็จะมี เดินไปทางบรรลุมรรคผล ขอช่วยจดจำไว้ดีๆว่า ช่วยกันๆ ให้เขามีความรักผู้อื่น ให้เขาบังคับจิตได้ ให้เขามีความสุขเมื่อทำการงาน เดี๋ยวนี้เขาไม่มีความสุขเมื่อทำการงาน แล้วก็ยังไปทำอะไรที่ที่ตรงกันข้าม
ถ้าเมื่อใดได้อย่างนี้ศีลธรรมก็ดีสิเขาบังคับจิตได้ศีลธรรมก็ดี เขารักผู้อื่นศีลธรรมก็ดี หากเขามีความสุขเมื่อทำการงาน เขาก็ทำงานสนุกมันก็ได้ผลมาก เขาก็ไม่ยากจน เดี๋ยวนี้คนมันยากจนมาก เพราะมัน มันเห็นงานเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย พอเขาได้รับความสุขในการทำการงาน ทำงานสนุกเขาก็ไม่ยากจน เขาก็จะค่อยรวยๆๆๆขึ้นมา หมดปัญหาไปได้ นี่จะแก้ปัญหาทางศีลธรรมอันลึกซึ้งของประเทศชาติเรานี่ ก็ใช้หลักอย่างนี้มาช่วยกัน ให้ประชาชนเป็นอย่างนี้ ให้รักผู้อื่น ให้บังคับจิตได้ ให้สนุกเมื่อทำงาน เป็นสุขเมื่อทำงาน ไอ้รายละเอียดอย่างอื่นก็ไปคิดเอาเองสิ มันเป็นหลักการอย่างนี้ ไปหาคิดหารายละเอียดเอาเองเถิด ผมจะพูดยังไงไหวล่ะเวลาเท่านี้ ก็ให้มันเกิดผลเป็นอย่างนี้ นี่เราสรุปเรียก เรียกสั้นๆว่าปัญหาทางศีลธรรม เป็นปัญหาที่ยังคาราคาซังกีด กีดขวางความเจริญอยู่ เป็นปัญหาทางศีลธรรม
เดี๋ยวนี้ก็จะดูปัญหาถัดไป คือ ปัญหาทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจตกต่ำนี่ทั้งโลกนะ มันเป็นความผิดพร้อมกัน เนื่องกันทั้งโลก ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ มันเป็นความผิดพลาดยุ่งยากอะไรสัมพันธ์เนื่องกันไปหมด เศรษฐกิจตกต่ำ ไม่ใช่เป็นแต่ประเทศเรา ผมอ่านดู ฟังดู มันเป็นกันทั้งโลก เศรษฐกิจตกต่ำบีบคั้นจนคนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี งงไปหมด เพราะหลักเศรษฐกิจมันผิด มีคนคนหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้เป็นฝรั่งที่มีความคิดหันเหมาทางธรรมะ เขา เขา เขาอธิบายว่า ไอ้ที่กำลังตกต่ำทางเศรษฐกิจจนวินาศอยู่นี้เพราะมันทำใหญ่เกินจำเป็น จนควบคุมไม่ได้ อุตสาหกรรมทั้งหลายที่ทำใหญ่จนควบคุมไม่ได้นี่ มันมีผลเป็นไอ้ความขาดทุน หรือเป็นไอ้ความยุ่งยากลำบากจนต้องบีบคั้น กดขี่ ขูดรีด ให้มันเป็นอยู่กันอย่างที่เรียกว่ามันใหญ่เกินจำเป็น คนๆนี้ก็เลยตั้งหลักขึ้นมาว่า ไอ้เล็กนั่นแหละดี small is the beauty ไอ้เล็กนั่นแหละดี เล็กๆนั่นแหละดี สวยงาม ดังนั้นอย่าอยู่กันอย่างใหญ่ อย่าทำกันอย่างใหญ่ อย่าอะไรกันอย่างใหญ่ เช่น บ้านนี่อย่าให้มันใหญ่ รถยนต์อย่าให้มันใหญ่ กินอยู่อย่าให้มันใหญ่ แล้วอย่าอยู่กันอย่างมหานครเหมือนกรุงเทพ อยู่กันอย่างหมู่บ้านเล็กๆ เหมือนแต่ก่อน ซึ่งอยู่กันอย่างเล็กๆ อย่าอยู่กันอย่างมหานครอย่างเมืองฝรั่งที่เป็นมหานครก็ใหญ่กว่ากรุงเทพ เพราะว่าถ้าอยู่กันอย่างมหานครอย่างนั้น มันควบคุมไม่ได้นี่ มันเหลือวิสัยที่จะควบคุมได้ เรื่องน้ำ เรื่องน้ำ เรื่องไฟ เรื่องถนนหนทางก็ควบคุมกันไม่ได้ เพราะมันเหลือกำลัง ให้อยู่แต่เล็กๆมันก็ควบคุมกันได้แล้วก็พอดี
พระพุทธเจ้าก็ตรัสเรื่องนี้เหมือนกันเลยว่า เมื่อคณะสงฆ์ยังมีน้อย ยังมีจำนวนน้อย ยังไม่ปึกแผ่น เป็นคณะสงฆ์ที่น่าดู ที่บริสุทธิ์ พอคณะสงฆ์เพิ่มมากๆๆ เป็นปึกแผ่นใหญ่โตกว้างขวางก็เริ่มมีอุปัทวะ ความเลวร้าย อาที อาสวนียะฐานะ(นาทีที่ 1:06:35) สิ่งที่เป็นฐานแห่งอาสวะแห่งกิเลส นี่หาอ่านดูได้ในพระบาลี พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้ ตรัสกับพระสาลีบุตรบ้าง กับคนอื่นบ้างว่า เมื่อเมื่อสงฆ์มันมากขึ้นแล้วมันก็มีอย่างนี้ มันใหญ่มันเกินดูแลเกินควบคุม ดังนั้นเราก็ดูให้ดีถ้ามันทำใหญ่เกินแล้วมันผิดหลักเศรษฐกิจ มันก็มีปัญหา แม้ส่วนบุคคล แม้ส่วนโลกทั้งโลก นายคนนี้เขาเขียนดีมากผม ผมเห็นด้วย เพราะมันตรงกับหลักพระธรรมของเราว่าสันโดษ มันดี เป็นสุข สันโดษมันเป็นทรัพย์ พอเลยสันโดษแล้วมันก็เป็นวินาศ แล้วก็สอนให้ประชาชนของเรารู้ว่า ให้เล็กๆ นั่น ไว้นั่นแหละดี อย่าให้มันใหญ่จนเต็มที่เกินตัว มีบ้านเล็กๆไว้ก่อน มีรถยนต์เล็กๆไว้ก่อน มีอะไรเล็กๆไว้ก่อน กินอยู่เล็กๆไว้ก่อน ต่ำๆไว้ก่อน จะเป็นเศรษฐกิจที่ดี เป็นวิธีการของเศรษฐกิจที่ดี เดี๋ยวนี้มันไม่มีเงิน มันก็ไปกู้เขามา ซื้อของกิน ของเล่น สร้างบ้านใหญ่ๆ ซื้อรถใหญ่ๆ หรือไปผ่อนส่งเขามา ฉะนั้นเดือดร้อนทั้งนั้นนะ นี่หลักเศรษฐกิจที่มันไม่ มันเล็กไม่เป็น เดี๋ยวนี้นายคนนี้เขาก็ได้หลักธรรมะในพุทธศาสนาเขาไปพูดขึ้นอย่างนี้ ปรากฎว่ากำลังมีชื่อเสียงมากนายคนนี้ ชูเมคเกอร์ ชูมาร์คเกอร์ ก็ชื่อของเขา ช่างเขาเถอะ เขาจะชื่ออย่างไรก็ช่างเขาเถอะ แต่เดี๋ยวนี้มันได้มีคนๆหนึ่งที่มีสติปัญญามองเห็นในแง่นี้แล้วเขียนหนังสือออกไปหลายเล่มในความมุ่งหมายอันนี้ ได้รับความเคารพเชื่อฟังกันมาก มีชื่อเสียง ก็มาตรงหลักธรรมะของเรา ไอ้สันโดษนั่นแหละพอดี พอดีน่ะดี ไอ้ใหญ่น่ะคือบ้า อย่าไปกู้เงินใครมาสร้างโบสถ์นะพวกเรา ถ้าไม่มีก็ทำด้วยเรี่ยวด้วยแรงไปก่อน แต่อย่าไปกู้เงินใครมาสร้างโบสถ์นะมันจะบ้า ให้มันเล็กๆไว้ก่อนแหละดี ก็ทำอย่างไม่มีอะไรไปก่อนแหละดี นี่เศรษฐกิจจะต้องมีหลักอย่างนี้
เราควรจะมองว่าเศรษฐกิจทางวัตถุก็อย่างหนึ่ง เศรษฐกิจทางจิตทางวิญญาณก็อย่างหนึ่ง อย่าเสียเศรษฐกิจทางจิตทางวิญญาณ จะบ้านะ จะเป็นบ้าไม่ทันรู้ ถึงแม้เศรษฐกิจทางวัตถุก็เถอะ อย่าให้มันทำให้ความบีบคั้นให้แก่เราจน จนเป็นโรคประสาท เดี๋ยวนี้เป็นโรคประสาทกันมากขึ้น เร็วขึ้นเพราะปัญหาเศรษฐกิจทั้งนั้นน่ะหมอเขาว่า ก็สอนให้เขารู้จักบังคับจิตให้สนุกเมื่อทำการงาน รู้จักรักผู้อื่นจะอยู่กันเป็นสุข จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้โดยศีลธรรม ไอ้ทำผิดทางเศรษฐกิจน่ะที่สร้างปัญหาใหญ่ขึ้นในโลก เดี๋ยวนี้ปัญหาใหญ่ยุ่งยากที่สุดในโลก็คือ การต่อสู้กันระหว่างนายทุนกับชนกรรมาชีพ คนร่ำรวยที่เห็นแก่ตัวพวกนายทุน ทีนี้ชนกรรมาชีพก็ไม่ยอม ก็เห็นแก่ตัวเหมือนกัน จะต้องฆ่าล้างนายทุนให้ได้ นี่ปัญหาเศรษฐกิจเกิดขึ้น คาราคาซังไม่รู้สิ้นสุด ก็ถือพวก คุมพวกกัน จะล้างโลก ไม่มีศีลธรรม ก็ขูดรีด สูบเลือดจนรวยๆๆๆ ไอ้ทางอื่นมันก็ขาดแคลนไป ลงๆๆ ชนกรรมาชีพก็ทนไม่ได้ ก็คิดล้างนาย นาย นายทุน ถ้าศีลธรรมยังมีนายทุนก็ไม่เกิด มีแต่เศรษฐีใจบุญช่วยผู้อื่นอยู่ มันก็ไม่เกิดปัญหาอย่างนี้ ชนกรรมาชีพก็ไม่ลุกฮือขึ้นเพื่อจะฆ่าใครได้เพราะมันไม่มีใครจะต้องฆ่า การทำผิดทางเศรษฐกิจเพราะมีศีลธรรมไม่ ไม่ถูกเป็นมูลฐานนี่ มันเป็นผิดทั้งเศรษฐกิจ แล้วโลกก็มีวิกฤตการณ์วุ่นวาย ยืดเยื้อ เรื้อรัง จนบัดนี้ ฝ่าย ฝ่าย ฝ่ายตะวันตก อเมริกัน ฝ่ายนั้นก็เป็นฝ่ายนายทุน ฝ่ายตะวันออก ฝ่ายรัสเซียฝ่ายนี้มันก็เป็นชนกรรมาชีพไป นี่ก็ ๒ พี่เบิ้่มนี้ที่เขากำลังฮื่อ แฮ่ กันอยู่ตลอดกาลไม่มีวันที่จะตกลงกันได้ โลกพลอยเดือดร้อนวุ่นวายกันไปทั้งโลก ไม่ใช่ว่าไอ้ ๒ คนนั้นมับรบกันแล้วคนอื่นจะไม่เดือดร้อน ไม่ใช่ เดี๋ยวนี้โลกมันเนื่องถึงกันหมด ถ้ามีอะไรกันที่ไหนมันก็เนื่องถึงกันหมด นี่ความผิดพลาดทางเศรษฐกิจมันกำลังทำลายโลกให้เดือดร้อนกันไปหมดทั้งโลก
เราจะสอนญาติโยม อุบาสก อุบา อุบาสิกา ของเราให้ต่อสู้ในเรื่องนี้ ก็ให้เขารู้จักทำอย่างนี้ ให้เล็กไว้ ให้สันโดษไว้ ให้เข้มแข็งที่สุด สนุกในการทำการงานที่สุด อย่าไปทำอบายมุขเลย ญาติโยมของเราก็จะต่อสู้
ปัญหาทางเศรษฐกิจได้ มีครูคนหนึ่งฆ่าตัวเองตาย ยิงตัวเองตาย ยิงเมียตาย ลูกตาย เมื่อเร็วๆนี้ หนังสิอพิมพ์ลง เพราะปัญหาว่า เงินไม่พอใช้ในครอบครัว ผมเชื่อเหลือเกินว่าครูคนนี้ไม่ยอมเลิกบุหรี่ ไม่ยอมเลิกเหล้า และไม่ยอมเลิกอะไรอีกหลายๆอย่าง เงินไม่พอใช้ในครอบครัว สู้ยิงตัวเองตาย ยิงครอบครัวตาย ไม่ลด ไม่แก้ ดังนั้นเราไปช่วยกันทำให้เกิดความเข้าใจถฤูกต้องในญาติโยมทั้งหลาย อย่าต้องเดือดร้อน อย่าต้องปวดหัวแล้วอย่าต้องยิงตัวตาย เพราะปัญหาเศรษฐกิจเลย เมื่อของมันแพงมันก็แพงขึ้นไปทั้งนั้นแหละ แรงงานของเราก็แพง อะไรของเราสักนิดก็ขายได้แพง งานฝีมือสักนิดก็ขายได้แพง มัยแพงขึ้นไปพร้อมๆกันจะกลัวอะไร ดังนั้นขอให้ทำงานให้สนุกมันจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ นี่เรื่องปัญหาเศรษฐกิจที่เราจะต้องช่วยเขา
ทีนี้ปัญหาที่ ๓ ปัญหาทางสังคม การที่อยู่กันมากๆนี่เรียกว่าสังคม มันมีความผิดพลาดในทางสังคม และก็มีมูลมาจากความไม่มีศีลธรรมอีกเหมือนกัน ไม่มีศีลธรรมเกิดปัญหาเศรษฐกิจ แล้วก็เกิดปัญหาสังคม เกิดอะไรยุ่งกันไปหมด ทางสังคมเดี๋ยวนี้มันก็ไม่ได้อยู่กันอย่างมีความรักใคร่กันฉันท์เพื่อมนุษย์ ไอ้หลักธรรมะในพระศาสนาของเรามันมีพอที่จะแก้ เพราะเรามีหลักที่ว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้าเราถือหลักข้อนี้ การไอ้สังคมมันก็จะ จะดีจะน่าอยู่ เดี๋ยวนี้มันไม่มีสังคมที่อยู่กันอย่างนี้ มันรวมหัวกันจะครองโลก มันรวมหัวกันจะครองเมือง มันรวมหัวกันจะครองอะไรๆไปหมด นี่สังคมมันของโจรน่ะ สังคมของผู้ที่คบคิดกัน เพื่อจะเอาเปรียบ เพื่อจะรวย เพื่อจะอะไร สังคมมันเป็นเสียอย่างนี้ เอาไอ้ว่าเรามันเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นกลับมาเถอะ ก็คือธรรมะนั่นเอง คือ ศีลธรรมนั่นเอง
เราจะนึกถึงคำว่า พระศรีอริยเมตไตรย โลกพระศรีอริยเมตไตรย ศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย นั่นแหละเป็น เป็นอุดมคติสูงสุดของเรื่องสังคม จะเป็นยอดสุดของสังคมศาสตร์ ก็คืออยู่กันด้วยความรัก
เมตไตรย เมตไตรยะ แปลว่า ขึ้นอยู่กับเมตตา มีรากฐานอยู่ที่เมตตา เมตตา ไตรยะ มันเป็นวิภัติต่อท้าย เนื่องอยู่กับเมตตา ขึ้นอยู่กับเมตตา อะไรก็อยู่กับเมตตา เรียกว่าเมตไตรย ศรี ก็ว่าวิเศษ อริยะ ก็ว่า ประเสริฐ ก็เมตไตรยะ การผูกพันกันเป็นมิตรด้วยเมตตาอย่างประเสริฐ นี่เรียกว่า ศรีอริยเมตไตรย อริยะก็ประเสริฐ นี่ความเป็นมิตรคือความรักกันคือรักผู้อื่นอีกด้วย ดังนั้นเมื่อรักผู้อื่นกันถึงที่สุดแล้วมันก็จะเป็นสังคมพระศรีอริยเมตไตรย ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ ที่ว่านอนไม่ต้องปิดประตูเรือน อะไรก็มีแต่สมประสงค์ไปหมด เพราะคนมันรักกันทุกคน
ไม่มีใครขาดแคลนอะไรเพราะคนมันรักกันทุกคน เขาเรียกว่ามีมีต้นกัลปพฤกษ์ กัลปภุมมะ กัลปพฤกษะ เรียกต้นไม้ต้นนั้นที่อยู่กันสี่มุมเมือง ต้องการอะไรไปเอาที่นั่นได้เลย นั่นมันเป็นภาพพจน์ที่เขาเปรียบ ว่าที่จริงก็คือ ความรัก ความเมตตากันเหลือประมาณ ไม่มี ไม่มีใครที่จะทำบาป เดือดร้อนอะไรโดยไม่มีใครช่วยเหลือคือเมตตานั่นแหละ คือต้นกัลปพฤกษ์ มันมีรายละเอียดอย่างอื่นอีกมากที่แสดงถึงความสุขอย่างยิ่งในโลกพระศรีอริยเมตไตรย เช่นว่า พอลงจากเรือนน่ะ คำกล่าวนะ พอลงจากเรือน ไม่รู้ว่าใครเป็นใครเหมือนกันหมด ไปกลางถนนหนทางไปที่ไหนไม่รู้ว่าใครเป็นใครจำกันไม่ได้ กลับมาถึงบ้านของตัวแล้ว จึงจึงจะค่อยรู้ อ้าว,นี่ผัวของเรา เมียของเรา ลูกของเรา แม่ของเรา มารู้กันที่บ้าน พอลงไปที่กลางถนนมันเหมือนกันหมด คือมันดีเหมือนกันหมด เป็นมิตรเหมือนกันหมดจนไม่รู้ นี่ความเมตตา อานิสงฆ์ของเมตตา สังคมอย่างนี้จะเป็นอย่างไรคิดดู มันจะมีจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้นะแต่มันมีอยู่ในพระคัมภีร์ ในพระบาลี เรื่องพระศรีอริยเมตไตรย โลกพระศรีอริยเมตไตรยเขาเขียนกันไว้อย่างนี้
เมื่อไรสังคมโลกชนิดนี้จะมาถึง อย่าหวังเลย แต่ผมยืนยันกล้าท้าเลยว่า ขอให้เรารักผู้อื่นกันเถอะ รักผู้อื่นสุดเหวี่ยงเมื่อไร ไอ้โลก โลกชนิดนี้ก็จะมาถึง มันทำไม่ได้ มันทำไม่ได้ ถ้าทำได้โลกพระศรีอริยเมตไตรยมันก็มา บางทีผมก็พูดว่า มันอยู่แค่ปลายจมูกนะ โลกพระศรีอริยเมตไตรยมันอยู่แค่ปลายจมูก ก็มีคนด่าหาว่าพูดอะไรพูดจัง เราก็ยืนยันอยู่นั่นแหละ ลองรักผู้อื่นสิก็มาพรึ่บมาเลย พอทุกคนในโลกทุกคนรักผู้อื่น นั้นก็กลายเป็นโลกพระศรีอริยเมตไตรยมาทันที จึงเรียกว่าอยู่ไกล แค่ปลายจมูก ถ้าธรรมทายาททั้งหลายเที่ยวไปชี้แจงอบรมสั่งสอนให้ประชาชนอยู่ด้วยความรักผู้อื่น ช่วยกันสร้างโลกพระศรีอริยเมตไตรยให้กลับมาเร็วๆนี่ยอดสุดของสังคม
วิธีสร้างก็ทำงานให้มาก สนุกสนาน ทำงานให้มาก สนุกในการทำงาน ได้ผลงานมามากนะอย่ากินให้หมด กินแต่พอดี เหลือมากแล้วเอาไปช่วยผู้อื่น นั่นน่ะมันจะเกิดอาการอย่างนี้ขึ้นมา เหลือเอาไปช่วยผู้อื่น เหลือเอาไปช่วยผู้อื่น เดี๋ยวมันก็เกิดความล้นเหลือในสิ่งที่มีไว้สำหรับช่วยกัน ก็ไม่มีใครขาดแคลน ก็จะเหมือนว่ามีกัลปพฤกษ์กันสี่มุมเมืองเลย มันไม่ยากเกินไปนะ มันพอจะเข้าใจได้นะ ทำงานให้สนุก ให้ญาติโยมทั้งหลายทำงานให้สนุก ให้งานนั้นคือการปฏิบัติธรรม แล้วก็ทำมาก เพราะสนุก ได้ผลมาอย่าไปกินมาก อย่าไปกินเกินจำเป็น อย่าไปทำอบายมุข ไม่ต้องไปสร้างบ้านใหม่ราคาล้าน ไม่ต้องซื้อรถยนต์ราคาแสน ไม่ต้องกินข้าวมื้อละพันมื้อละหมื่น
เดี๋ยวนี้อะไรกันก็ไม่รู้ เขาว่าไอ้อาหารบางชนิดจานละหมื่น คำเดียวพันบาทก็มีคนกิน มันช่างไม่เห็นแก่ผู้อื่นเสียเลย มันไปกินอาหารอย่างนั้นน่ะมันไม่นึกถึงผู้อื่นที่ไม่มีจะกินเสียเลย มัน มันทำได้เท่าไรมันก็กินหมดแหละ เดี๋ยวนี้เราทำให้มากแล้วกินแต่พอดี กินชนิดที่ธรรมชาติกำหนดให้อยู่ได้ ที่เหลือไปช่วยผู้อื่น ไปให้คนที่มันเจ็บป่วยหรือมันยากจนหรือว่าช่วยโดยวิธีอื่น คือ ช่วยให้เขาช่วยตัวเองได้ อย่าไปช่วยเฉยๆ ให้เขาขี้เกียจ ให้เขานอนรอความช่วยเหลือ อย่างนั้นไม่เรียกว่าช่วย มันจะไปทำลายเขาเสียอีก แล้วช่วยชนิดที่ให้เขาช่วยตัวเองได้ เช่น ให้ทุน ให้สติปัญญา ให้วิธีการ ให้เขาช่วยตัวเองได้ นั้นน่ะคือช่วย ถ้าเป็นสมัยโบราณ ช่วยผู้อื่นก็คือช่วยสร้างวัดให้ ช่วยสร้างวัดให้หมู่บ้านนี้ หมู่บ้านนี้ก็จะมีรู้ธรรมะ เจริญด้วยธรรมะและก็อยู่กันเป็นสุข นี่เรียกช่วยผู้อื่นด้วยการสร้างวัด ดังนั้นพวกเศรษฐีเมื่อเขาเหลือกินเขาก็สร้างวัดกันทั้งนั้นแหล่ะ วัดทั้งหลายสร้างโดยเศรษฐี แล้วค่อยยกให้เป็นวัดหลวง วัดอะไรทีหลัง ชักชวนญาติโยมช่วยกันสร้างโลกพระศรีอารย์ สังคมโลกพระศรีอารย์ ทำงานมากสนุก กินแต่พอดี เหลือเอามาช่วยซึ่งกันและกัน ช่วยศาสนาเรียกว่าช่วยโลก เพราะศาสนามันช่วยโลกอยู่ในตัวโดยอัตโนมัติ นี่ปัญหาสังคมมีตัวอย่างอย่างนี้
เอ้า,ทีนี้ที่เรียกว่าปัญหาที่ไม่เกี่ยวกับคน ปัญหาทางธรรมชาติ เราต้องรู้ว่าไอ้ธรรมชาติ ตามธรรมชาตินั่นแหละเป็นพื้นฐาน เช่น แผ่นดินนี่มันเป็นที่ตั้งแห่งสิ่งที่มีชีวิต ต้นไม้ สัตว์ คน มันตั้งอยู่บนแผ่นดิน ดังนั้นเราจะต้องรู้คุณของแผ่นดิน รู้คุณของพระธรณี รู้คุณของไอ้พระพฤกษา รู้จักคุณของธรรมชาติ และอย่าทำลายธรรมชาติ เดี๋ยวนี้ทำลายธรรมชาติกันมากเกินไป เดือดร้อนกันไปหมด ไอ้ธรรมชาติที่เคยมีมันก็สูญไปหมด ใครทำลายป่าคนนั้นทำลายของรักของพระพุทธเจ้า ต้นไม้เป็นของรักของพระพุทธเจ้า ก็อย่างไรกัน ก็บอก ก็คุณดูสิ พระพุทธเจ้าประสูติโคนต้นไม้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้โคนต้นไม้ เกือบจะทุกวันพระพุทธเจ้าประทับโคนต้นไม้ ไปบิณฑบาตมานั่งโคนไม้ฉัน กว่าจะไปถึงวัดน่ะ อยู่ในป่า อยู่ในโคนไม้ และในที่สุดท่านก็นิพพานโคนต้นไม้ ดังนั้นต้นไม้น่ะคือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของพระพุทธเจ้า เราไปทำลายต้นไม้ก็คือไปทำลายของโปรดของพระพุทธเจ้า พุทธบริษัททั้งหลายควรจะช่วยกันต่อต้านไอ้พวกที่ทำลายต้นไม้ หรือว่าดูให้ลึกไปกว่านั้น ก็ว่า แผ่นดินนี่แล เดี๋ยวนี้เรามานั่งกันแผ่นดิน ผมยินดีมากที่ว่าเราได้มานั่งพูดกันบนแผ่นดินอย่างนี้ เพราะแผ่นดินนี่มันเป็นที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าประสูติกลางดินนั่น ตรัสรู้ก็มานั่งกลางดิน เป็นอยู่ก็กลางดิน เที่ยวไปกลางดิน ไอ้พระ พระธรรมคำสอนนั่น สอนเมื่อนั่งกลางดินกันเกือบทั้งนั้นแหละ ที่ ที่ ที่กุฏิพระพุทธเจ้าก็กลางดิน โรงฉันก็กลางดิน โรงประชุมก็กลางดิน นี่รู้ได้จากอรรถกถาที่เขียนบรรยายไว้หรือว่าไปดูที่อินเดีย เดี๋ยวนี้ก็ยังดูได้ ยังเห็นได้ว่ามันเป็นแบบพื้นดิน พระคันธกุฎีแม้บนยอดเขาคิชกูฎมันก็พื้นดิน ดังนั้นเราจะถือว่าแผ่นดินนี่เป็นที่นั่ง ที่นอน ที่ประทับของพระพุทธเจ้า
มานั่งพูดกันตรงนี้ ผมยินดีกว่าที่ พอใจ รู้สึกดีกว่าที่ไปพูดกันบนเรือน บนอาคาร บนตึก บนวิมานไม่รู้สึกสนุก รู้สึกสนุกเมื่อเรามานั่งกันกลางดิน เอามือลูบดินไปพลางแล้วก็พูดกันไปพลางจะให้ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า เป็นพุทธานุสสติได้เมื่อนั่งกลางดิน เมื่อนั่งโคนต้นไม้ เดี๋ยวนี้เรากำลังนั่งอยู่บนที่ประทับนั่งนอนของพระพุทธเจ้า ดีแล้ว ช่วยหาโอกาสประชุม อบรมอะไรกันกลางดินอย่างนี้ให้มาก กันการลืม กันลืมพระพุทธเจ้า ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน ตายกลางดิน ประสูติใต้ต้นไม้ ตรัสรู้ใต้ต้นไม้ อยู่ใต้ต้นไม้ ตายใต้ต้นไม้ ไอ้กับดินกับต้นไม้เราเรียกว่าธรรมชาติ จะเรียกว่ามันบังเอิญหรืออะไรก็สุดแท้ แต่ว่ามันได้เป็นมาแล้ว เพราะเราจะยึดถือเป็นหลัก
ทีนี้ ที่มันมาทำลายต้นไม้นี่ มันกลับมีบาปทำให้ฝนไม่ตก ทำลายป่าเสียเป็นการใหญ่ ฝนไม่ตก เดือดร้อนกันยิ่งขึ้นๆ ไม่ว่าที่ไหน ที่นี้ก็เหมือนกัน ป่าไม้บนภูเขามันถูกทำลาย ฝนมันก็ไม่ค่อยตก ดิน ดิน แผ่นดินนี้มันก็ไม่ค่อยมีน้ำ ลำธารมันก็แห้งไป ถ้ามีอยู่อย่างก่อนๆโน้นมันจะมีน้ำชุ่ม ทุกลำห้วยจะมีน้ำ มีร่องรอยทุกลำห้วยมันเคยเป็นลำธาร มีน้ำมากๆ บนภูเขานี่ก็มีร่องรอยที่เคยมีน้ำตก มันมีแต่รอยขาวๆ อยู่ที่หินชันๆ เป็นรอยน้ำตก เดี๋ยวนี้ไม่มี แม้แต่ฤดูฝนมันก็ยังตกไม่ได้ ฉะนั้นขอให้นึกถึงธรรมชาติ ช่วยกันคุ้มครองธรรมชาติโดยเฉพาะต้นไม้ต้นไร่ ที่มันจะให้มนุษย์รอดชีวิตอยู่ได้ ห้วย หนอง คลอง บึง บาง อะไรก็ตาม ป่าไม้นี่สำคัญที่สุด ช่วยบอกให้ญาติโยม ประชาชนรู้ค่าของป่าไม้ ช่วยรัฐบาล หยุดทำลายป่าไม้ เพราะเรามีวิธีที่จะหากิน หาอะไรกันได้โดยไม่ต้องทำลายป่าไม้ก็ได้
นี่เรียกว่า เกี่ยวกับธรรมชาติ เป็นปัญหาข้อหนึ่งด้วยเหมือนกัน ถ้าแก้ปัญหานี้ไม่ได้ เราก็คงจะลำบาก มนุษย์จะลำบากมากยิ่งขึ้นๆ มนุษย์ในภายหน้าจะลำบากมากยิ่งขึ้น เขาว่าไอ้ ไอ้พวกนักวิทยาศาสตร์เขาก็เชื่อว่า น้ำกำลังน้อยลงๆ ไม่รู้มันมันไปไหนกันหมด น้ำในโลกนี่มันกำลังน้อยลงๆ มันเป็นฝนตกลงมา แล้วขึ้นไปเป็นเมฆเป็นฝนตกลงมา ขึ้นไปเป็นเมฆ แต่มันไม่ไม่ได้อยู่เท่าเดิม มันน้อยลงไม่รู้มันหายไปไหน
มันเกี่ยวเพราะเรามันใช้ผิดวิธี มันกลายเป็นอย่างอื่นไปเสีย มันไม่เป็นน้ำเท่าเดิม เอาละเรียกว่าธรรมชาติก็ช่วยนึกถึงมันบ้าง คนโบราณเขาให้ขอบคุณพระคงคา พระธรณี พระอะไรก็พระ พระ ทั้งนั้นแหละ บรรดาสิ่งที่มีบุญคุณแก่มนุษย์ แม้จะเป็นธรรมชาติเขาก็เรียกว่าพระทั้งนั้นแหละ ขอบคุณก็คือช่วยกันบำรุงรักษา ขอบคุณพระธรณี ก็รักษาพระธรณีให้เป็นที่พึ่งของสัตว์ ต้นไม้ก็ช่วยรักษาไว้เป็นที่พึ่งของสัตว์ อะไรก็ช่วยกันรักษาไว้ แม่น้ำ ลำธาร ห้วย หนอง คลอง บึง บาง ภูเขาเลากา อะไรต่าง ๆ ก็อยู่ในพวกที่จะต้องช่วยกันสั่งสอนอบรมญาติโยมของเราให้รู้ ช่วยกันพิทักษ์ธรรมชาติ
นี่ปัญหาที่เราจะต้องช่วยปลดเปลื้องให้แก่มนุษย์คือ ปัญหาทางศีลธรรม ปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัญหาทางสังคมอย่างที่ว่าไปแล้ว ปัญหาเหล่าอื่นทั้งหลายมันมารวมอยู่ที่ ๓ ปัญหานี้ แล้วก็ปัญหาธรรมชาติไม่ใช่ตัวคน นี่ผมเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่จะต้องทำ หน้าที่ของธรรมทายาทแห่งยุคปัจจุบันคือการเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ ช่วยแก้ไขให้มันบรรเทาเบาบางหรือว่ามันหมดไป ไอ้ความเป็นธรรมทายาทของเราก็จะมีคุณค่าสูงสุดเหลือประมาณ ถ้าให้มันง่าย ง่ายเข้าเราแหละทำตัวอย่าง ทำตัวอย่างที่ดี เราทำตัวอย่างก่อนในการแก้ปัญหาเหล่านี้ เราทำตัวอย่างก่อน ถ้าเราไม่ทำเราใช้ให้เขาทำเขาไม่ทำน่ะ ถ้าเราทำตัวอย่างให้ดู เขายินดีที่จะทำตามและเขาเชื่อว่ามันทำได้ด้วย ดังนั้นการเผยแผ่ธรรมะที่ดีที่สุดก็คือ การทำตัวอย่างให้ดู รักษาศีลให้ดู เจริญสมาธิให้ดู เจริญปัญญาให้ดู มีความสุขให้ดู เขาก็ทำตามกันทันทีเลย ฉะนั้นเราไปปรับปรุงวัดวาอารามของเรา การเป็นอยู่ของเรา การกระทำของเราให้มันเป็นความถูกต้องให้หมด ให้เป็นตัวอย่างที่ดี เขาก็จะพากันทำตาม เดี๋ยวนี้เขาหาว่า ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน บ่ายพักผ่อน ค่ำจำวัดอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ไม่เป็นตัวอย่างที่ดี
เอาล่ะเป็นอันว่า ผมได้พูดถึงหน้าที่ของธรรมทายาทที่จะต้องเสียสละ กระทำสุดความสามารถ เพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ในยุคปัจจุบัน ปัจจุบัน ไม่ต้องผลัดเพี้ยนบ่ายเบี่ยงหรอก เพราะเรามันเกิดมาในยุคปัจจุบัน เราไม่ต้องผลัดเพี้ยน เอากันเลย จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในยุคปัจจุบัน เมื่อเจตนาดีมันก็เป็นผลดีเข้าไปตั้งครึ่ง ตั้งอะไรแล้ว แล้วก็ทำ มันก็สำเร็จ การที่มาปรึกษากัน อบรมหารือกันเพื่อให้ดำเนินกิจกรรมของธรรมทายาทนี้จะมีผลที่ดี ที่วิเศษ คุ้มค่าเป็นแน่นอน ขอยุติการบรรยายวันนี้ ไว้แต่เพียงเท่านี้
เขียนหนังสือตัวเล็กถี่ยิบประหยัดดีที่สุด หนังสือตัวเล็กถี่ยิบประหยัดที่สุดเป็นตัวอย่างที่ดี