แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ อาตมาภาพจะได้ วิสัชชนาพระธรรมเทศนา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะ ความพากเพียร ของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงาม ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป ในพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งแห่งของเราทั้งหลาย ธรรมเทศนานี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษปรารภเหตุ วิสาขบูชา ดังที่ท่านทั้งหลายก็ได้ทราบอยู่เป็นอย่างดีแล้ว และธรรมเทศนาในขั้นต้นนี้ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการชี้แจงให้ท่านทั้งหลาย เตรียมตัวเตรียมใจ สำหรับจะประกอบพิธีวิสาขบูชา ให้ดีที่สุดให้ได้ผลที่สุดเท่านั้นเอง ท่านทั้งหลายมาแต่ที่ไกลมาสู่สถานที่นี้ เพื่อประโยชน์แก่การที่จะได้ประกอบพิธีวิสาขบูชา ในลักษณะเช่นนี้อย่างที่เห็นๆกันอยู่นี้ก็คือ ในป่าซึ่งมีลักษณะอย่างป่า เป็นที่ประสูติ หรือตรัสรู้ หรือปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นการง่ายที่จะทำให้จิตใจน้อมไปในพระคุณของพระองค์ ถ้าตั้งใจให้ดีๆให้จิตใจซึมทราบในบรรยากาศอย่างนี้แล้วก็จะมีความรู้สึกมากกว่าธรรมดา มีศรัทธาประสาพระมากกว่าธรรมดาเรียกว่าไม่เสียทีที่อุตส่าห์เสียสละเวลา และความลำบากมา จนสู่จนถึงสถานที่นี้ พิธีก็คือวิธี ไม่มีความหมายแห่งความงมงาย แต่ถ้ากลายเป็นพิธีรีตอง นั่นแหละจึงจะมีความงมงายเจือเข้ามา ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจเพียงแต่ว่า ทำพิธี พิธีมาจากคำว่าวิธี การกระทำใดๆทุกอย่างนั้น ล้วนแต่มีวิธีที่จะทำให้ถูกต้องและได้ผลดีที่สุด แล้วก็ทำกันแต่เพียงเป็นพิธีหรือวิธี อย่าให้กลายเป็นพิธีรีตอง ซึ่งมันจะมากเกินไป บัดนี้ในเวลานี้เราก็กระทำในลักษณะที่ว่าเป็นพิธี ที่ได้เรียกว่าพิธีวิสาบูชา คือวิธีการบูชาสมเด็จพระบรมศาสดา ในโอกาสแห่งเพ็ญเดือนวิสาขะ สิ่งที่เรียกว่าพิธีไม่ต้องงมงาย ก็ตั้งใจจะทำให้ถูกต้อง ตามกฎเกณฑ์หรือว่าตามกฎของธรรมชาติ วันนี้เราก็มีพิธีฉลองสิ่งที่ควรฉลอง และเราก็มีพิธีชนิดที่ควรจะใช้ ฉลองที่ควรฉลอง ก็คือฉลองชัยชนะของมนุษย์ ที่มีโอกาสชนะมารเป็นครั้งแรก พระพุทธองค์ในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ก็ได้ทรงชนะมาร มนุษย์ทั้งหลายอยู่กันมานมนาน ล้วนแต่เป็นทาสของมาร เป็นบ่าวเป็นขี้ข้าของพญามารมนุษย์มันเป็นอย่างนี้ จนกว่าจะถึงวันหนึ่ง วันดีคืนดี เกิดมีมนุษย์คนหนึ่งเอาชนะมารได้ คือสมเด็จพระศาสดานั่นเอง การชนะมาร มีในวันที่คล้ายกับวันนี้ คือวันเพ็ญวิสาขบูชา เราจึงถือเอาวันนี้เป็นวันฉลองชัยชนะของสมเด็จพระบรมศาสดา ที่ได้ทรงมีเหนือหมู่มารทั้งหลาย แต่ในฐานะที่พระองค์เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เป็นมนุษย์คนแรก เป็นมนุษย์คนประเสริฐที่สุดเอาชนะมารได้เพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งหลาย เราถือโอกาสเอาว่าพระองค์ทรงชนะมารในนามของมนุษยชาติ ไม่ใช่ว่าจะเอาเปรียบหรือว่าจะพาลพาโลหาประโยชน์ใส่ตัว นี่เราตั้งใจกันดังนี้จริงๆก็ได้ ว่าวันนี้พระองค์เป็นมหาบุรุษเป็นมหาวีรบุรุษทรงชนะมาร ในนามของมนุษย์ทั้งปวง พวกเรามนุษย์ทั้งปวงผู้ได้รับประโยชน์ ก็มาชวนกันทำพิธีฉลอง อาตมาจึงถือว่าเป็นสิ่งที่ควรฉลอง และฉลองโดยวิธีที่ควรจะทำ ดังที่เราจะกระทำกันอยู่ ขอให้ท่านนึกต่อไปถึงวันที่เนื่องกัน วันวิสาขบูชานี้เป็นวันพุทธานุสรณ์ระลึกถึงพระพุทธองค์ เราก็มาชวนกันฉลองชัยชนะของมนุษยชาติ ที่มีขึ้นมาเหนือหมู่มารทั้งหลายโดยมีพระพุทธองค์เป็นผู้นำ ถัดไปอีก สองสามเดือนก็เป็นวันอาสาฬหบูชานี้ เป็นวันธรรมานุสรณ์ เป็นเครื่องระลึกถึงพระธรรมที่ปรากฏออกมาในโลกเป็นครั้งแรก และก็ฉลองสมโภช สิ่งที่ได้รับมอบจากพระองค์ ต่อไปอีกไม่กี่เดือนก็ถึงวันมาฆบูชา เรียกว่าเป็นวันสังฆานุสรณ์ แล้วก็ฉลองความสำเร็จแห่งพระพุทธประสงค์ พระองค์มีพระพุทธประสงค์จะช่วยสัตว์โลกทั้งเทวดาและมนุษย์ ให้มีหมู่สงฆ์ ประกาศพระศาสนาให้สำเร็จประโยชน์ทั่วไปในหมู่เทวดาและมนุษย์ จนกระทั่งว่าเทวดาและมนุษย์สามารถประกาศตามได้ ประกาศให้เหมือนได้ แล้วก็ฉลองความสำเร็จแห่งพระพุทธประสงค์ เกี่ยวกับการที่จะมีสาวกสืบอายุพระศาสนาไปตลอดกาลนาน พุทธบริษัทเรา มีวันสำคัญอยู่สามประการ คือวันฉลองชัยชนะของมนุษย์ต่อกิเลสประมาณ ฉลองสมโภชพระธรรมที่ได้รับมอบจากพระองค์และฉลองความสำเร็จแห่งพระพุทธประสงค์ในการประดิษฐ์ฐานผู้สืบอายุพระศาสนา มีอยู่สามวันอย่างนี้วันนี้ก็เป็นวันแรกคือวันวิสาขบูชาอันเป็นพุทธานุสรณ์สำหรับฉลองชัยชนะของมนุษย์พสนิกร เหนือหมู่มารซึ่งไม่เคยชนะมาแต่ก่อนจนกว่าจะมาถึงวันเช่นวันนี้แห่งซึ่งมีพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงกระทำการชนะมารได้ นี่เกี่ยวกับพิธีขอให้ทำในใจอย่างนี้ ให้ว่าฉลองสิ่งที่ควรฉลอง ที่ความหวังที่เราควรจะนึกถึงก็คือว่า ในการมีพระศาสนานี้ หวังจะได้สันติสุขในส่วนบุคคล หวังจะได้สันติมิตรในส่วนสังคม หวังจะได้สันติภาพในส่วนมนุษยชาติทั้งโลก การมีพระศาสนาโดยเฉพาะพระพุทธศาสนาของพุทธบริษัทนี้ ทำให้เกิดความหวังขึ้นมาดังนี้ สันติสุขแห่งบุคคลคือแต่ละคนมีความสงบสุข เนื่องจากการชนะมารตามอย่างสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น แล้วก็มีสันติมิตรภาพคือมีมิตรในทางสันติที่เป็นส่วนสังคม เราอยู่กันอย่างมิตรอย่างเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย มีธรรมะนั้นเป็นเครื่องช่วยประสานให้เกิดสันติมิตรดังนี้ เป็นประโยชน์ในส่วนสังคมและส่วนโลกทั้งโลกนั้น เราหวังสันติภาพอันถาวรอันจะเป็นไปได้ทั้งโลก เราหวังกันอยู่อย่างนี้
ทีนี้ก็จะพิจารณากันถึงสันติสุขในส่วนบุคคลเป็นพิเศษในโอกาสแห่งวันนี้อาศัยพระบาลี ที่ได้กล่าวแล้วข้างต้นว่า มะมัญหิ อานันทะ กัลยาณะมิตตัง อาคัมมะ ดูก่อนอานนท์ สัตว์ทั้งหลายได้อาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้ว ชาติธัมมา สัตตา ชาติยา ปะมุจจันติ สัตว์เหล่าใดมีความเกิดเป็นธรรมดาสัตว์เหล่านั้นจะพ้นจากความเกิด ชะราธรรมา สัตตา ชะรายะ ปะมุจจันติ สัตว์เหล่าใดมีความแก่เป็นธรรมดา สัตว์เหล่านั้นก็จะพ้นจากความแก่ มรณธรรมา สัตตา มรเนณ ปะมุจจันติ สัตว์เหล่าใดมีความตายเป็นธรรมดา สัตว์เหล่านั้นก็จะพ้นจากความตาย โสก ปริเทว ทุกฺข โทมนสฺสุปายาสา ยาสธรรมาจะตา สัตว์เหล่าใดมี โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เป็นธรรมดา สัตว์เหล่านั้นก็จะพ้นจากโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ดังนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายทั้งปวงจงตั้งใจฟังให้ดีอาตมาเคยได้ยินแต่สวดกันอยู่ว่า เรามีความเกิดเป็นธรรมดาไม่พ้นความเกิดไปได้ เรามีความแก่เป็นธรรมดาไม่พ้นความแก่ไปได้ เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่พ้นจากความตายไปได้ แล้วก็สวดกันอยู่แต่เท่านี้ ก็หมายความว่ามันไม่มีอะไรที่น่าดีใจ เหมือนกับว่าขุดหลุมฝังตัวเองอยู่ที่นี่ดิ้นไปไหนไม่รอด จมอยู่ในความเกิดความแก่และความตาย แต่พระองค์ได้ตรัสว่าดูกร อานนท์สัตว์ทั้งหลายอาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้ว ที่มีความเกิดเป็นธรรมดาก็พ้นจากความเกิด ที่มีความแก่เป็นธรรมดาก็พ้นจากความแก่ที่มี ความตายเป็นธรรมดาก็พ้นจากความตาย ที่มีโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เป็นธรรมดาก็พ้นจากความโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ดังนี้ บางคนเข้าใจผิดทำให้เกิดการเสียหาย เพราะมัวพูดถึงแต่ว่าเรามีความตายเป็นธรรมดาไม่พ้นความตายไปได้ เรามีความเกิดเป็นธรรมดาไม่พ้นความเกิดไปได้อย่างนี้มันจะดีอะไร มันจะดีกว่าศาสนาอื่นที่ตรงไหน ถ้าเรามัวมาติดจมที่นี่อย่างนี้ เราไม่ศึกษาถ้อยคำสั่งสอนของพระองค์ ให้ครบถ้วนจึงมาติดอยู่ที่ความเกิดความแก่และความตาย แต่ถ้าเราได้อาศัยถ้อยคำที่เป็นคำสั่งสอนอย่างครบถ้วนก็กลายเป็นว่า เรามีโอกาสมีหนทางมีความสามารถที่จะพ้นจากความเกิดความแก่และความตายและความเศร้าโศกปริเทวะ ร่ำไรรำพัน เหือดแห้งใจเหี่ยวแห้งใจดังนี้เป็นต้นได้
ที่มนุษย์คนหนึ่งๆเมื่อได้อาศัยพระพุทธองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้ว ก็พ้นได้จากความเกิดความแก่และความตายเป็นต้นดังนี้ กัลยาณมิตรแปลว่ามิตรที่ดี ที่งาม ที่ประเสริฐ ในที่นี้พระองค์ก็ระบุไว้ชัดว่าได้แก่พระองค์เอง จึงตรัสว่าผู้ใดอาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้วผู้นั้นจะพ้นจาก ผู้นั้นแม้จะมีความเกิดเป็นธรรมดาก็จะพ้นจากความเกิดได้ดังนี้เป็นต้น ข้อนี้จะต้องทราบถึงธรรมอันลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปกว่าธรรมดาสามัญซักหน่อยพวกเราส่วนมากเป็นคนขี้เกียจ โง่แล้วยังขี้เกียจ โง่แล้วยังไม่ขยันที่จะศึกษาให้ถึงหัวใจแห่งพระพุทธศาสนาจึงต้องยอมรับว่า เราจะเกิดเป็นธรรมดาแก่เป็นธรรมดาตายเป็นธรรมดา ไม่ต้องพ้นความเกิดแก่ตายไปได้ เราจะต้องศึกษาให้เป็นที่รู้โดยประจักษ์ว่า ไอ้ความเกิดความแก่ความตายนั้นคืออะไรมนุษย์มีกริยาอาการที่เรียกว่าเกิดแล้วก็แก่แล้วก็ตายที่เห็นๆกันอยู่ และก็เรียกกันว่าความเกิด ความแก่ และความตาย ความโง่ของมนุษย์ยึดถือให้มีความหมายไปในทางน่าหวาดกลัวและเป็นทุกข์ มีความโง่ในข้อแรกก็คือยึดถือเอาขันธ์ธาตุอายตนะเป็นต้น ว่าเป็นตัวเป็นตนและก็เลยยึดถือเอาความเกิดว่าเป็นความเกิดของตน ยึดถือเอาความแก่ว่าเป็นความแก่ของตน ยึดถือเอาความตายว่าเป็นความตายของตน นี่มันคือความโง่ของเราเอง แต่ความเกิดมันก็ของธรรมชาติของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นสิ่งที่สมมุติเรียกว่าคนเช่นธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ และก็ประกอบกันเข้าเป็นอายตนะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจทำหน้าที่แล้วก็เกิดเป็นรูปเวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ นี้เป็นตัวธรรมชาติที่แท้จริงความเกิดก็ของสิ่งเหล่านี้ แต่เรามันมีความยึดถือเป็นของตน ความแก่ก็เป็นของตนความตายก็เป็นของตน นั้นก็เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาไม่มีความรู้อันถูกต้องว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงนี้ไม่ใช่ตนไม่ใช่ของตนมันเป็นธรรมชาติเป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือกฎแห่งอิทัปปัจจยตา มีสิ่งนี้เป็นปัจจัยสิ่งนี้ก็เกิดขึ้น มีสิ่งนี้เป็นปัจจัยสิ่งนี้ก็เกิดขึ้น เมื่ออายตนะภายนอก ภายในกับภายนอกกระทบกันก็เกิดวิญญาณตามธรรมชาติ ตามอย่างนี้ถึงกันเข้าแล้วเรียกว่าผัสสะ มีผัสสะแล้วก็ให้เกิดเวทนาตามธรรมชาติตามกฎของธรรมชาติ ผัสสะก็เป็นอาการของธรรมชาติ เวทนาก็เป็นตัวธรรมชาติ มีเวทนาแล้วก็เกิดตัณหา คือความอยาก เป็นตามกฎของธรรมชาติ มีตัณหาคือความอยาก แล้วก็เกิดอุปาทานยึดถือมีตัวกู ผู้อยาก กูอยากอย่างนั้น กูอยากจะได้เอามาเป็นของกู นี่คือความโง่อันสุดท้ายที่ใหญ่ยิ่ง ซ้ำยังจะโง่เอาความเกิดมาเป็นของกู เอาความแก่มาเป็นของกู เอาความตายมาเป็นของกู แล้วมันก็ได้เป็นทุกข์ มีความกลัว ต่อความเกิดความแก่และความตาย คิดนึกเอาเองได้มากมาย ว่ามันเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวอย่างนั้นอย่างนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือความตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่กลัวกันมาก มากกว่าสิ่งใด ความกลัวอะไรๆทั้งหมดทั้งสิ้นในหมู่มนุษย์นี้มันไปสรุปรวมอยู่ที่กลัวความตาย ไปพิจารณาดูเถิดไม่มีอะไรจะกิน มันเป็นทุกข์เพราะกลัวมันจะตายมันเจ็บไข้ขึ้นมามันเป็นทุกข์เพราะว่ามันกลัวจะตาย หรือมันขาดแคลนอะไร สิ่งใดเมื่อเล็กๆน้อยๆ มันก็เล็งไปถึงว่ามันจะต้องตาย เมื่อเห็นนิมิตเครื่องหมายอะไร สำหรับความตาย มันก็สะดุ้งกลัว แม้ว่าฟ้ามันผ่าอยู่ตามธรรมดา มันก็เอามากลัวว่าจะทำให้กูตาย นี่แผ่เป็นการเห็นได้ว่าความกลัวทั้งหลาย สรุปรวมอยู่ในความกลัวตาย ทำไมจึงได้กลัวตายก็เพราะว่ามีความรู้สึกว่าตัวกูมีอยู่ และตัวกูมันจะตาย นี่เราไม่รู้ความจริงว่าสิ่งเหล่านี้ มันเป็นธรรมชาติและมันเป็นอย่างนี้เอง ต่อเมื่อเราได้ฟังคำสั่งสอนของพระองค์ รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้เองเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ คือกฎอิทัปปัจจยตา เป็นต้น จึงเกิดความรู้สึกอันโง่เขลา เป็นเวทนา เป็นตัณหา เป็นอุปาทาน เป็นภพเป็นชาติ แล้วก็ได้รับความรู้สึกที่กลัวว่ามันจะตาย นี่ยึดถือว่าตัวว่าตนแล้ว มันก็กลัวว่าตัวตนนั้นจะตาย ทุกคนมันจึงกลัวตายมีปัญหาขึ้นมา แล้วก็มามัวแต่สวดท่องอยู่ว่ามีความเกิดเป็นธรรมดา ไม่พ้นความเกิดไปได้ มีความแก่เป็นธรรมดาไม่พ้นความแก่ไปได้ มีความตายเป็นธรรมดาไม่พ้นความตายไปได้ มัวแต่สวดอยู่อย่างนี้ มันก็ตันติดตันอยู่ที่นี่ ถูกแล้วที่ว่าสวดนี้ก็เพื่อจะให้ไม่ประมาท แต่ว่าไม่ประมาทแล้วไม่กระดุกกระดิกอะไรเลยมันก็ติดตันอยู่ที่นี่ มันก็ติดตันอยู่ที่ความเกิดความแก่และความตายและความทุกข์ทั้งหลาย
เราควรจะได้รับประโยชน์จากการนับถือพระพุทธศาสนามีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นสรณะเป็นที่พึ่ง ในกรณีนี้พระองค์ตรัสว่าถ้าอาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้ว ก็จะพ้นจากความเกิดความแก่และความตาย ปัญหามันก็มีอยู่ว่าอาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตรนั้น จะต้องทำอย่างไร ถ้าเรานับถือพระองค์จะถือเอาเป็นที่พึ่งจริงๆแล้ว ก็ต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจว่าพระองค์คือใคร พระองค์สอนอย่างไร พระองค์ชนะมารได้อย่างไร ชนะกิเลสได้อย่างไร ชนะกรรม ชนะตัณหาอุปาทานได้อย่างไร จึงไม่มีความรู้สึกเป็นตัวตนสำหรับเกิดแก่เจ็บตาย คำว่ากัลยาณมิตรก็หมายความว่าทำเหมือนอย่างที่พระองค์ทำ ด้วยความสมัครใจ อาศัยคำสั่งสอนของพระองค์ ประพฤติก็ปฏิบัติก็ทำไป ก็จะได้รับผลตามที่พระองค์ทรงประสงค์ ด้วยความเมตตากรุณาเรายอมรับในข้อที่ว่าพระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้มีเมตตา เมตตาก็คือเมตตาต่อเรา แต่ความโง่ของเราทำให้มันเป็นหมันไปหมด ไม่มีประโยชน์อะไรเลย นี่จะต้องมาคิดนึกกันเสียใหม่ ในการจะมีพระองค์เป็นกัลยาณมิตรอันแท้จริง พระองค์เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราก็จะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ให้ได้ตามที่พระองค์เป็น หรือตามที่พระองค์ทรงประสงค์ ข้อนี้ดูจะมองกันน้อยไปไม่สมกับทีเป็นสาวกของพระองค์จะเรียกว่าเป็นคนอกตัญญูอยู่ส่วนนึง ก็ได้ คือมองพระพุทธเจ้าน้อยเกินไปหรือขี้เกียจจะมอง ขี้เกียจจะสนใจ ขี้เกียจจะเอาใจใส่ ถ้าว่าเราจะยอมเสียสละอุทิศเวลาอุทิศเรียวแรงอุทิศทุกอย่าง เพื่อจะศึกษาพระองค์จนเข้าใจแจ่มแจ้งในคำสั่งสอนแล้ว พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะปฏิบัติตามนั้น ก็ต้องได้รับผลนี้เป็นแน่นอน นี่เรียกว่ามีพระองค์เป็นกัลยาณมิตรไม่เป็นหมันเปล่า เดี๋ยวนี้มันว่ากันแต่ปาก มันก็เป็นหมันเปล่า จิตใจมันไม่มองเห็น ออกเสียงว่าพระพุทธเจ้าได้ แต่ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าคืออะไรและอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าควรจะมาอยู่ในใจ มันก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน บางทีก็จะรู้เหมือนเด็กๆ ว่าอยู่ที่วัดคือพระพุทธรูปนั่นเอง อย่างนี้แล้วพระพุทธเจ้าจะมาเป็นกัลยาณมิตรได้อย่างไร จิตใจที่ประกอบไปด้วยความรู้ ว่าความทุกข์เป็นอย่างไรถ้าตรงกันข้ามคือไม่ทุกข์เป็นอย่างไร ต้นเหตุของการทุกข์เป็นอย่างไร และก็ตัดต้นเหตุนั้นเสีย ไอ้ความรู้ความเข้าใจนั้นแหละคือเป็นองค์พระพุทธเจ้า นั่นแหละปฏิบัติตามนั้นจริงๆ ความเป็นพระพุทธเจ้าก็สำเร็จประโยชน์ถึงที่สุด ทำให้เรามีพระพุทธอยู่ในร่างกายของเรา มีพระธรรมอยู่ในร่างกายของเรา มีจิตแห่งพระสงฆ์อยู่ในร่างกายของเรา เราจึงมีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ อยู่ในชีวิตจิตใจในเนื้อในตัวในร่างกายของเรา ร่างกายนี้ก็กลายเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าไป กระทั่งพระสงฆ์ก็รวมอยู่ที่นี่ ทำได้อย่างนี้ก็เรียกว่ากัลยาณมิตร ที่ประเสริฐสูงสุดคือพระพุทธองค์นั้นได้สำเร็จประโยชน์แก่เรามาอยู่กับเรา เราได้อาศัยแล้วย่อมพ้นจากความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ทั้งสิ้นทั้งปวง ไม่มีความทุกข์ นี่ประโยชน์ที่เราจะหวังและหวังว่าจะได้ ในส่วนบุคคลแต่ละคนละคน คือพ้นจากความเกิดแก่เจ็บตาย อย่างนี้เรียกว่าบรรลุพระนิพพาน ถ้าว่าความหมายแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตายไม่มาคุกคามจิตใจของเราอีกต่อไป จิตใจอยู่เหนือความหวาดกลัว หรือเหนืออำนาจของความเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่คืออยู่กับนิพพาน พ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบกับพระพุทธศาสนา อย่างนี้อาตมาเรียกว่าเป็นสันติสุขขั้นสูงสุดประเสริฐที่สุดในส่วนบุคคลแต่ละคนละคน
ทีนี้สิ่งที่ถัดไปเรียกว่าสันติมิตร เรามีธรรมแล้วรู้สึกเป็นมิตรมีมิตรภาพในสัตว์ทั้งปวงที่มีชีวิต ในหมู่มนุษย์ก็ดีในหมู่สัตว์เดรัจฉานก็ดี แม้ในจุดแต่ต้นไม้ต้นไร่ที่ถือว่ามันมีชีวิตก็ดี เราถือเอาเป็นมิตรเพราะว่ารู้จักเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งนั้น มาเป็นมิตรเกิดแก่เจ็บตายแก่กันและกัน ต่อเมื่อเราเข้าใจในคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงจะมองเห็นข้อนี้และยอมรับความเป็นมิตร ในสรรพสิ่งที่มีชีวิต ก็เรียกว่าในส่วนสังคมนั้นเราอยู่กันอย่างมิตร เดี๋ยวนี้เราอยู่กันอย่างศัตรู อยู่ในโลกนี้ก็ดี อยู่ในบ้านเมืองนี้ก็ดีมีความเห็นแก่ตนอย่างเดียวไม่รู้สึกความรักผู้อื่น นี่เพราะอำนาจของกิเลส ความโง่ ความไม่รู้ ก็ควรจะปรับปรุงกันเสียใหม่ ส่วนถัดไปก็เรียกว่าสันติภาพ นี่อยากจะหมายถึงมนุษย์ทั้งโลกทั้งหมดทั้งสิ้น ควรจะสงบสุขอยู่อย่างสงบสุข เมื่อคนแต่ละคนมีความสุข รวมกันทั้งโลกก็ควรจะมีความสุขอยู่ รวมกันแล้วจะเรียกว่าสันติภาพของโลก คือภาวะแห่งสันติสุขของโลก เรามีความหวังอย่างนี้ เราควรจะซักซ้อมความหวังอันนี้ ให้แจ่มแจ้งทุกคราว ที่เราประกอบพิธีวิสาขบูชา ทีนี้ก็ดูต่อไปถึงว่าทำไมมันจึงไม่เป็นอย่างนั้น มันเป็นอุปสรรคอะไรที่ขวางหน้าอยู่ ที่ทำให้เราไม่ได้รับสันติสุขส่วนบุคคลไม่รับสันติภาพในส่วนมนุษย์ทั้งโลก นี่ก็เป็นเพราะว่าไม่มีธรรมะไม่รู้ธรรมะไม่รู้จักธรรมะถ้าพูดให้ชัดกว่านั้นก็ว่ามันไม่รู้จักความเป็นคนของมันเอง คนแต่ละคนไม่รู้จักความเป็นคนของตัวเองมันก็เป็นอุปสรรคขัดขวางไม่รู้ เรื่องเกิดแก่เจ็บตายหรือเรื่องพระนิพพาน ที่จะทำให้อยู่เหนือความเกิดแก่เจ็บตาย ตัวของมันเองมันไม่รู้มันเป็นทุกข์ร้องไห้อยู่ มันก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอะไร มันจึงยินดียินร้ายเพราะไม่รู้จักสิ่งทั้งปวง จิตใจนั้นก็ขึ้นลงตามสิ่งที่เข้ามากระทบ มีความรู้แต่ว่าถ้าสวยงามเอร็ดอร่อยก็จะเอา ถ้าไม่สวยไม่งามไม่อร่อย ก็อยากจะทิ้งไปเสียหรืออยากจะทำลายไปเสีย เมื่อได้สิ่งที่พอใจก็ดีใจ เมื่อได้สิ่งที่ไม่พอใจก็โกรธแค้น มันก็อยู่กันอย่างนี้ นี่คนที่ไม่รู้จักความเป็นคน ของตัวเอง ขอให้ทุกคนให้ท่านทั้งหลายทุกคนแต่ละคนละคนนี้ จงทดสอบความจริงข้อนี้ดูว่า ท่านทั้งหลายรู้จักความเป็นคนของตนของตน อย่างถูกต้องแล้วหรือหาไม่ นี่เป็นอุปสรรคที่ไม่ให้เราได้รับประโยชน์จากพระพุทธองค์ ดูไปอีกนิดนึงก็พบว่าสังคมมนุษย์นี้ มันผูกพันกันด้วยกิเลส มันสนองความประสงค์ของกันด้วยกิเลส สังคมมนุษย์นี้ สังคมคนนี้มันผูกพันกันอยู่ด้วยกิเลส ถ้ามันจะรักกันบ้างมันก็รักเพราะอำนาจของกิเลส มันไม่ได้รักด้วยอำนาจของธรรมะ เช่นเมตตากรุณาเป็นต้น แล้วมันสนองอะไรให้แก่กันและกัน มันก็สนองด้วยกิเลสโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือกามอารมณ์ จงรู้จักการที่ตัวเองต้องผูกพันกันด้วยกิเลส สนองความประสงค์แก่กันและกันด้วยกิเลส มันก็รู้จักแต่กิเลสมันก็จมอยู่ในกิเลส ไม่ได้รับประโยชน์จากพระพุทธเจ้าพระธรรมและพระสงฆ์ เพราะกิเลสมันปิดบังไปหมด กิเลสนั่นแหละคือมารคือพญามาร พระพุทธเจ้าชนะมารพระองค์ก็รอดตัวไป ก็รอดพระองค์ไป แต่คนทั้งหลายนี่ยังไม่ชนะมารตามพระองค์ จะคอยชนะก็แต่ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าแต่ชื่อ ก็พลอยชนะมารแต่ชื่อ โดยเนื้อแท้นั้นไม่ได้ชนะมารคือกิเลสมันจึงเป็นอยู่อย่างนี้ดูต่อไปอีกนิดก็จะมองเห็นภาพปรากฎชัดขึ้นมาว่า คนมนุษย์นี้มันไม่รู้จัก พระธรรม มันเป็นทาสของกิเลสอย่างหลับหูหลับตาคนจึงไม่รู้จักธรรมาธิปไตย คือไม่รู้จักว่าธรรมะนั้นเป็นใหญ่ เขาจึงบูชากิเลสตัณหาถือหลักตัณหาธิปไตย ความอยากความต้องการของกูเป็นใหญ่กว่าสิ่งทั้งปวง กูได้มาเป็นของกู ก็เป็นความดีความถูกต้องความยุติธรรม คนเหล่านี้เรียกว่าถือตัณหาธิปไตย ถือตัณหาของตนเป็นใหญ่ไม่รู้จักธรรมาธิปไตย สรุปความแล้วนี่คือความโง่ของคนทั้งโลก ความโง่ของคนทั้งโลกก็คืออวิชชาของโลก อวิชชาของโลกก็คือความโง่ของเราที่ยังไม่ได้รับประโยชน์จากพระพุทธคุณ ทีนี้จะทำอย่างไรกันดีจะทำอย่างไรกันดีต่อไปนี้ ทางออกอยู่ที่ไหน อาตมาก็จะพูดว่าการกลับมาแห่งพระศาสนา หรือกลับมาแห่งศีลธรรมที่ถูกต้องนั่นแหละ จะเป็นทางออก เราควรจะระลึกนึกถึงพระธรรม แม้ที่สุดในระดับศีลธรรมว่าเป็นหนทางออกของมนุษย์ ที่จะออกไปเสียจากความเป็นทาสของกิเลส การศึกษาที่เป็นอิสระจากกิเลส นี่เป็นสิ่งที่พึงปรารถนา เดี๋ยวนี้การศึกษาในโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วยมันไม่เป็นอย่างนั้น มันเป็นการศึกษาที่จับตัวฝังลงไปในกิเลส การศึกษาอย่างโลกๆนั้น มันก็ให้ได้สิ่งที่กิเลสมันต้องการ ไม่ได้ยึดถือความจริงความถูกต้องการศึกษาทั้งโลก ก็คือการจับโลกฝังลงไปในกองทุกข์ ในกิเลสหรือในอวิชชา จึงได้รับผลอย่างนี้ ก็ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ก็ไม่รู้จักที่จะฉลองตระกุล ฉลองชัยชนะของพระพุทธเจ้าเพราะว่าตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส แต่ถ้า ถ้าจะฉลองอะไรกันบ้างอย่างที่เค้าฉลองๆกันอยู่ ก็คือฉลองความโง่ของกู เมื่อกูได้อะไรตามความพอใจของกิเลสแล้ว เอามาฉลองกันเป็นการใหญ่เลี้ยงกันบ้างอะไรกันบ้าง ที่เรียกว่าฉลองก็คือฉลองความโง่ของกู ที่กิเลสมันได้ตามต้องการ ถ้ายังอยู่กันอย่างนี้โลกนี้ก็ไม่มีทางแห่งความสงบสุข ตกเป็นทาสของเศรษฐกิจ มีปัญหาทางเศรษฐกิจท่วมทับอย่างโงหัวไม่ขึ้น เศรษฐกิจของเขานั้นมีแต่ว่า กูลงทุนน้อยเอากำไรมากๆยิ่งมากยิ่งดี ได้ผลมาแล้วก็กินอยู่กันให้ฟุ่มเฟือยที่สุด นี่มันผิดหลักของธรรมชาติส่วนลึกที่ว่า เรากินอยู่แต่พอดี ถ้าเหลือก็เอาไปช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน นี่คือศีลธรรมที่ควรจะมี เป็นเศรษฐกิจของพุทธบริษัท ว่าหาให้มาให้มากทำขึ้นมาให้มาก แล้วก็กินแต่พอดี ถ้าเหลือก็เอาไปช่วยสังคม นี่เศรษฐกิจของพุทธบริษัท จะเป็นทางออกมาจากอำนาจของกิเลสและมาอยู่กันอย่างมนุษย์ ที่มีความสงบสุขส่วนบุคคล สงบสุขส่วนสังคม สงบสุขกันทั้งโลก ถ้าท่านทั้งหลายมองเห็นข้อเท็จจริงเหล่านี้แล้วก็ควรจะคิดดูต่อไปว่า จะทำกันอย่างไรจะดำเนินงานนี้กันอย่างไร อาตมาคิดว่าเรามาหาแนวร่วมระดับโลกกันเถิด พูดภาษาคอมมิวนิสต์บ้าง แต่ไม่ใช่เป็นคอมมิวนิสต์ เรามาหาแนวร่วมระดับโลกกันเถิด คือชึ้แจงชักจูงกันทั้งโลก ว่ามองเห็นอันตรายข้อนี้เถิด มาช่วยกันทำให้ศีลธรรมกลับมา ให้ทุกคนลืมตา ด้วยปัญญาของพระธรรม อย่าหลับตาด้วยอำนาจของกิเลส ให้ทุกคนทั้งโลกต้องการจะทำ ถ้าทุกคนทั้งโลกต้องการจะทำโลกก็มีธรรมะ เดี๋ยวนี้คนในโลกส่วนมากไม่ต้องการธรรมะ ต้องการแต่เยื่อของกิเลสไปสนองกิเลสของตนของตน โลกเป็นอย่างนี้ ดังนั้นเราต้องทำในทางที่กลับกันคือหาแนวร่วมให้ทุกคน ต้องการอย่างเดียวกันหวังอย่างเดียวกัน เพราะว่าเรื่องนี้ทำคนเดียวไม่ได้ ทำคนเดียวไม่มีทางจะสำเร็จเพราะมันเป็นเรื่องของคนทั้งโลก ถ้าท่านผู้ใดมีเรี่ยวแรงมีเวลามีปากยังพูดได้อยู่ก็ขอให้พูดพูดชี้แจงชักจูงเพื่อนของเรา ให้เข้ามาเห็น ให้เห็นความจริงอันนี้ แล้วมีความตั้งใจร่วมกัน ในการที่จะทำให้ธรรมะกลับมาคุ้มครองเรา เมื่อพูดเอาตาม พูดตามภาษาวัดก็พูดว่าช่วยกันทำให้เป็นสัมมาทิฐิกันยิ่งขึ้น มันอยู่กันอย่างมิจฉาทิฐิมานานแล้ว มาชี้แจงชักจูงซึ่งกันและกันให้อยู่กันอย่างสัมมาทิฐิยิ่งขึ้น มีสัมมาทิฐิแล้วมองดูตัวเอง มองดูตัวเองที่กำลังจมอยู่ในนรก เหมือนโลกทั้งโลกก็กำลังจมอยู่ในนรก ยิ่งกว่านรกที่เคยได้ยินได้ฟังไปเสียอีก คือๆ ว่าโลกทั้งโลกมันอยู่ใต้ความบีบคั้นของกิเลส ทนทรมานอยู่ด้วยการบีบคั้นของกิเลส นั่นคือนรก ร้ายกว่านรกคืออริก(นาทีที่50:36) ยินได้ฟังมาแต่ก่อนเสียอีก แต่ว่ามันเป็นนรกที่มันซ่อนเร้น มันเห็นยาก ไม่เหมือนภาพเขียนฝาผนังภาพนรก ในนรกที่พระมาลัยลงไปดูแล้วมาเล่าให้ฟัง นั้นมันยังเห็นง่ายส่วนนรกในอกในใจของคนที่มีอยู่ทุกคนในเวลานี้ไม่มีใครมองเห็น คือที่มีกิเลสทำตนให้ลำบากอยู่ในอำนาจของกิเลส มีกิเลสทำตนให้เร่าร้อนอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ นี่คือนรกที่นี่นรกเดี๋ยวนี้ นรกอยู่ในจิตใจของคนนั้นเอง มาชวนกันดูชวนกันมาดูให้เห็นโลกนรกที่อยู่ในจิตในใจของเรา แล้วสามารถจะมองเห็นในทางตรงกันข้ามเพราะว่าถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่มีสิ่งเหล่านี้ออกไปหมด มันก็จะเป็นพระนิพพานอยู่ในจิตใจของเรา หรืออย่างน้อยที่สุดมันก็เป็นสวรรค์ที่อยู่ในจิตใจของเราอยู่นี้ ก็มองไม่เห็นทำไม่ได้ทำไม่เป็นเพราะไม่ได้มีธรรมะอย่างเพียงพอ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าไม่เป็นประโยชน์แก่บุคคลพวกนี้ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นประโยชน์เฉพาะแก่บุคคลที่สามารถรู้ตามเท่านั้น เข้าใจรู้ตามปฏิบัติตามเท่านั้น
วันนี้เรามาฉลองอะไรกัน วันนี้ฉลองความโง่ของเราหรือว่าฉลองชัยชนะของมนุษย์ ต่อพญามารโดยมีพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำ ใครสมัครจะเป็นคน ที่จะทนทุกข์อยู่ในนรกแห่งจิตใจต่อไป ก็เชิญตามสบาย เชิญทำไปอย่างเดิม แต่ถ้าใครไม่ต้องการอย่างนั้น ก็รีบรู้จักพระพุทธเจ้าเสียให้ดีๆ โดยเฉพาะในวันนี้ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา มนุษย์นี่ไม่ควรจะเป็นสัตว์ที่จมอยู่ในกองทุกข์ เพราะว่ามนุษย์นี่แปลว่ามีจิตใจสูง เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงไม่ควรเป็นสัตว์ที่จมอยู่ในกองทุกข์ หรือว่าอย่างน้อยที่สุด คนนี่ไม่ควรจะเป็นสัตว์ที่หวาดผวาอยู่ด้วยความกลัว ดูให้ละเอียดทุกคนหวาดผวาอยู่ด้วยความกลัว กลัวลูกไม่มีจะกิน กลัวกว่านั้นเมื่อลูกไม่มีจะเรียน กลัวมากกว่านั้นก็กลัวว่าลูกมันจะไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี นี่มันกลัวอยู่แผ่วๆตลอดเวลาอยู่ในจิตใจ ยังมีเรื่องกลัวอย่างอื่นอีกมาก กลัวโจรกลัวศัตรู กลัวความเจ็บความไข้ กลัวอันตราย ไม่ก็กลัวอย่างโง่ที่สุดก็คือกลัวผี ซึ่งมันก็ไม่ได้มีอยู่เลยก็เอามากลัว จนหมดความสุข นี่ความโง่ของมนุษย์ ถ้าไม่หวาดผวาอยู่ใน อณาจักรแห่งความกลัว ไม่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าได้เพราะเหตุนั้น นี่คือข้อเท็จจริงที่กำลังมีอยู่ และขอให้ทุกคนอาศัยพระพุทธองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้ว พ้นจากทุกข์โทษเวรภัย ความหวาดกลัวเหล่านี้จนหมดสิ้น จึงจะเป็นการฉลองชัยชนะของมนุษย์ ต่อกิเลสมาร มีสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์เป็นผู้นำ วันนี้เป็นวันพุทธานุสรณ์ เราฉลองชัยชนะของพระองค์ต่อกิเลสมาร และเราก็พลอยชนะตามพระองค์ไปด้วยถ้าเราเป็นพุทธบริษัทกันให้จริงๆอย่าเป็นพุทธบริษัทกันแต่ปาก การที่อุตส่าห์มาทำพิธีวิสาขบูชานี้ มันก็ควรจะเป็นเครื่องรับรองว่าเราไม่เป็นพุทธบริษัทกันแต่ปาก เราเป็นพุทธบริษัทด้วยใจจริง จึงอุตส่าห์มาที่นี่ เพื่อประกอบพิธีถวายเป็นพระพุทธบูชาฉลองชัยชนะของสมเด็จพระศาสดา ซึ่งเป็นบารมีปกแผ่มายังเราทั้งหลาย ถ้าท่านทั้งหลายกระทำได้อย่างนี้ เราจึงมาประกอบพิธีนี้กันที่นี่ในลักษณะอย่างนี้ ก็จะไม่เป็นหมัน ควรจะเป็นที่พอใจของผู้ที่ได้พบเห็น ถ้าหากว่าสมเด็จพระบรมศาสดายังทรงพระชนม์อยู่ หรือด้วยญาณวิถีใดๆ ทรงทราบแล้วก็จะทรงอนุโมทนาและคิดว่าคนเหล่านี้ เป็นสาวกที่ถูกต้องของเรา นี่เป็นเรื่องสมมุติว่า แต่เรื่องสมมุติว่านี้มันก็เป็นเรื่องจริง คือถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงมันก็ต้องเป็นอย่างนั้นจริง เอาเป็นว่าเดี๋ยวนี้เราก็เป็นคนจริงจะเป็นสาวกของพระองค์อย่างแท้จริง แล้วก็เตรียมจิตใจให้จริงให้ถูกให้ต้องสำหรับจะทำพิธีวิสาชบูชาอาตมาจึงแสดงธรรมเทศนาในกัณฑ์แรก เพื่อเป็นการเตรียมจิตใจของท่านทั้งหลายให้เหมาะให้สมที่จะประกอบพิธีวิสาขบูชาเท่านั้น ไม่ต้องการจะแสดงธรรมอะไรมากมายเลย ต้องการจะแสดงแต่วิธีว่าทำอย่างไรเราจึงจะประกอบพิธีวิสาขบูชา ให้ได้รับผลมากที่สุด สมกับที่อุตส่าห์เสียสละมาประกอบพิธีนี้ทุกอย่างทุกประการ
การแสดงธรรมเทศนาเพื่อเตรียมจิตใจของท่านทั้งหลายให้เหมาะสำหรับพิธีวิสาขบูชา ก็สมควรแก่เวลาแล้ว อาตมาจะขอยุติธรรมเทศนากัณฑ์แรกนี้แต่เพียงเท่านี้ ซึ่งต่อไปนี้เราก็จะได้ประกอบพิธีวิสาขบูชาสืบไป ท่านทั้งหลายที่เป็นฆราวาสเวียนประทักษิณ หมายความว่าเวียนทางขวา เวียนทางขวาคือเวียนอย่างถูกต้อง เอาพระพุทธเจ้าไว้เป็นจุดศูนย์กลางเราเวียนอยู่รอบจุดศูนย์กลาง มีจิตใจน้อมระลึกนึกถึงองค์พระพุทธเจ้าซึ่งแม้จะล่วงลับไปแล้วโดยพระวรกาย แต่ก็ยังทรงอยู่โดยสกุล เอานั่นเป็นจุดศูนย์กลาง แล้วก็เวียนประทักษิณเวียนอยู่รอบๆจุดศูนย์กลาง มีความรู้สึกอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนในพระพุทธคุณ ที่เป็นจุดศูนย์กลาง พระสงฆ์ทั้งหลายก็เวียนประทักษิณด้วยใจ คือว่าไม่ได้ออกไปเดินเวียนคงนั่งอยู่ยืนอยู่ แต่จิตใจก็เวียนอยู่รอบจุดศูนย์กลางคือพระพุทธคุณนั้น อย่างเดียวกันนั้นท่านทั้งหลายบางคนอย่าได้เห็นไปว่าพระสงฆ์นี่เอาเปรียบไม่ได้ไปเดินด้วยและก็ยังเรียกว่าเวียนประทักษิณ เพราะว่าเวียนด้วยจิตใจ ท่านทั้งหลายสะดวกที่จะเวียนด้วยร่างกายด้วย ด้วยวาจาด้วย ด้วยจิตใจด้วย จึงขอเตือนว่าเมื่อเดินเวียนก็ให้เป็นทั้งร่ายกายเป็นทั้งจิตใจ และทั้งวาจา
อาตมาก็ขอยุติธรรมเทศนากัณฑ์แรกนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ สำหรับจะได้ประกอบพิธีวิสาขบูชาในลำดับต่อไป เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ เครื่องสักการะที่จุดแล้ว ช่วยทำความรู้สึกไปตามคำพูด ของผมว่าเดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายจงมีจิตใจที่เป็นอิสระไม่ถูกผูกพันอยู่ในสิ่งใด ไม่ผูกพันอยู่ในพื้นที่หรือเวลา ไม่มีประเทศไทยไม่มีประเทศอินเดีย ไม่มีทิศเหนือไม่มีทิศใต้ไม่มีทิศตะวันออกไม่มีทิศตะวันตก มีแต่จิตที่เกลี้ยงแล้วว่างเป็นอิสระจิตชนิดนี้เท่านั้น ที่จะง่ายในการที่จะถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อเป็นการง่ายท่านทั้งหลายจงหลับตาเสีย อย่าให้มีนิมิตเครื่องหมายอะไร อย่ามีทิศเหนือทิศใต้ทิศตะวันออกทิศตะวันตกทิศบนทิศล่าง เป็นจิตที่ว่างแล้วก็เข้าถึงความเป็นอันเดียวกับจิตที่หลุดพ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเริ่มกล่าวคำบูชาด้วยวาจา