แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในการทำบุญล้ออายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายมาประชุมกันที่นี่ ในวันนี้ ก็ด้วยความมุ่งหมายจะทำบุญที่เรียกว่าล้ออายุร่วมกับอาตมา ก่อนอื่นก็ขอกล่าวขอบคุณตามธรรมเนียม เพราะว่ามันเป็นเรื่องตามธรรมเนียมเขามีอยู่ ถ้าไม่ตามธรรมเนียมก็ไม่ต้องทำเพราะไม่มีอยู่ เดี๋ยวนี้ก็จะต้องขอขอบคุณท่านทั้งหลายในหลายประการ ข้อแรกก็ว่าให้ของขวัญซึ่งรู้กันอยู่ดีแล้วว่าอะไร แม้ที่สุดแต่วันนี้ไม่ใช่วันอุโบสถ ก็มาชักชวนกันรักษาศีลอุโบสถ ให้ของขวัญ มองอีกทางหนึ่งทางภาษาชาวโลกก็ว่าเป็นการให้เกียรติ และถ้าพูดถึงฐานะของศีลอุโบสถก็เป็นการให้เกียรติอยู่มาก รักษาศีลอุโบสถให้เกียรติแก่อาตมาก็ขอบใจหรือขอบคุณ แม้ว่ามาเพียงเพื่อแสดงความยินดีก็ขอบคุณ และทุกเรื่องขอบคุณตามธรรมเนียมประเพณี ทีนี้ก็อยากจะซ้อมความเข้าใจ ซึ่งมันนานตั้งปี อาจจะลืมไปก็ได้ ว่ามากระทำการล้ออายุนี่มันจะได้ประโยชน์อะไรคุ้มค่ากันในการมา เวลาก็เสีย เรี่ยวแรงก็เสียคือเหน็ดเหนื่อย เงินทองก็เสีย นี่ถ้าคิดถึงค่ารถไฟค่าเรือค่าอะไรต่างๆนี่มันก็มากอยู่ นี่มันได้อะไรคุ้มค่ากัน ขอให้ถือเป็นหลักว่าถ้าเราทำอะไรที่เป็นการลงทุนไปแล้วไม่ได้ผลคุ้มค่าตามนั้น ให้ถือว่ายมบาลเขาจะเล่นงานเอา ตามแบบของยมบาลเขาจะทุบจะตีอะไรก็ตาม วิธีของยมบาลเรียกว่าเล่นงานเอาก็แล้วกัน จึงขอเชิญท่านทั้งหลายว่าท่านต้องได้รับประโยชน์คุ้มค่าในการมา ไม่งั้นยมบาลเขาจะเล่นงานเอา อาตมาก็เหมือนกัน รับผิดชอบรู้สึกมากในเรื่องนี้ว่าถ้าได้ทำให้ท่านทั้งหลายได้รับประโยชน์ไม่คุ้มค่าเวลาค่าเงินทองที่มา ยมบาลก็เล่นงานอาตมา เราจะต้องช่วยกันร่วมมือกัน ป้องกันไม่ให้ยมบาลเขาเล่นงานเราได้ ก็โดยการทำให้ได้รับประโยชน์คุ้มกันกับการที่มา ท่านทั้งหลายต้องได้รับประโยชน์ อาตมาก็ต้องเป็นผู้ทำให้ท่านทั้งหลายได้รับประโยชน์ เมื่อได้รับประโยชน์ก็มีเหตุผลที่จะพูดกับยมบาลว่าจะลงโทษเราไม่ได้ เดี๋ยวนี้ในบ้านเมืองนี้มันมีการลงทุน แม้ในทางศาสนานี่แหละ แต่ได้ผลไม่คุ้มค่ามีมากเหลือเกิน เป็นที่น่าหวาดเสียวว่ายมบาลเขาจะลงโทษเอา นี่ก็เป็นสิ่งที่ต้องซ้อมความเข้าใจกันทุกปี ให้สำเร็จประโยชน์ก็คือฟังให้ดี ฟังให้ดี จนได้รับประโยชน์มีประโยชน์ตลอดไป กลับไปบ้านแล้วก็ยังได้รับประโยชน์ในการที่ได้มาทำบุญ ชนิดที่อุตริแหวกแนวเรียกว่าล้ออายุ ขอทำความเข้าใจในขั้นต้นนี้ว่าไอ้การกระทำที่เกี่ยวกับอายุนี่ มันแบ่งได้เป็น ๒ ความหมาย ถ้าความหมายในทางศีลธรรมก็ไปอย่างหนึ่ง ถ้าความหมายในทางปรมัตถธรรมก็ไปอีกอย่างหนึ่ง ถ้าทำในความหมายศีลธรรม เขาก็ต้องทนุถนอมอายุต่ออายุบำรุงบำเรออายุ แต่ถ้ามีความหมายในทางปรมัตถธรรม ก็เอามาล้อเล่น ขออภัยถ้าพูดภาษาเด็กๆก็ว่าเขกกบาลมันเล่น เพราะฉะนั้นจึงเกิดการทำบุญประเภทต่ออายุซึ่งเป็นการทนุถนอมอายุก็มี และมีการทำบุญแบบล้ออายุอย่างที่เรากระทำกันนี่ก็มี คิดดูเถิด มันตรง ตรงกันข้ามคือแตกต่างอย่างตรงกันข้าม อันหนึ่งทนุถนอม อันหนึ่งเอามาบีบคั้นเอามาเหมือนกับว่าทุบให้แตกกระจายไป ที่เรามาเลือกอันอย่างหลังนี่มัน มันจะทำอย่างไรได้ เพราะว่าเรามันชอบอย่างนี้ อาตมาชอบอย่างนี้ และรู้สึกว่าถ้าอายุมันล่วงมาหลายสิบปีอย่างที่นั่งกันอยู่นี่ ไม่ใช่เด็กอมมือแล้วก็ควรจะทำอย่างที่เรียกว่าล้ออายุ เพราะว่าอายุมันได้ทำให้เราลำบากลำบนมาหลายสิบปีแล้ว เราก็จะเล่นงานมันบ้าง นี่แหละคือความหมายของคำว่าล้ออายุ เป็นทาสของอายุมานานนักแล้ว เลิกกันที เป็นนายของอายุกันซะบ้าง นี่เกี่ยวกับอายุมันมีการกระทำกัน ๒ วิธีหรือ ๒ ความหมาย คือว่าจะต่ออายุด้วยความทนุถนอมหรือว่าจะล้ออายุ ด้วยการทำให้มันหมดความหมายไปเลย ไม่มีอายุกันอีกแล้ว คือไม่มีปัญหาอะไรๆที่เกี่ยวกับความมีอายุกันอีกแล้ว ถ้าทำได้อย่างนี้นี่เรียกว่าล้ออายุ สำหรับภิกษุสามเณรทั้งหลายผมอยากจะพูดว่าไอ้ล้ออายุนี่มันก็เหมือนกับแสดงอาบัติ แต่ว่ามันเป็นการแสดงอาบัติทางธรรมะ ไม่ใช่แสดงอาบัติทางวินัย แสดงอาบัติทางวินัยอย่างไรก็รู้กันอยู่แล้ว แต่แสดงอาบัติทางธรรมะนี่เข้าใจว่าบางคนอาจจะไม่รู้ การแสดงอาบัติก็คือสารภาพผิดหรือเปิดเผยความผิด เพื่อจะไม่ให้มีการกระทำอย่างนั้นอีกต่อไป เรื่องล้ออายุนี่ก็คือว่าเอาเรื่องที่ไม่เข้าท่า ที่ทำมาผิดๆที่มันเกิดเป็นความทุกข์อะไรขึ้นมาน่าละอายนี่ เอามาเปิดเผย เอามาล้อ เหมือนกับแสดงอาบัติเพื่อจะไม่ทำอย่างนั้นอีกต่อไป ภิกษุสามเณรทั้งหลายก็มาร่วมในงานล้ออายุกันอย่างมาก ขอทำความเข้าใจอย่างนี้ เมื่อพูดถึงเรื่องล้ออายุ ก็จะต้องล้อ ก็จะต้องรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าอายุน่ะมันคืออะไรเสียก่อน มันจึงจะต่ออายุหรือจะล้ออายุแล้วแต่จะชอบ เมื่อถามว่าอายุคืออะไร ลูกเด็กๆมันก็รู้ว่าชีวิตที่มันล่วงมาก็เป็นเวลาเท่าไร ก็เรียกว่าอายุ มันก็เลยมีอายุ แต่ถ้าจะดูกันอย่างนักศึกษาธรรมะ รู้ธรรมะรู้ความจริงของธรรมชาติก็จะรู้ว่าไอ้เรื่องอายุนี่มันก็เป็นเรื่องมายา มายาชนิดหนึ่งทั้งนั้น ไม่ได้มีความจริงอะไร ต้องมีความโง่ด้วยจึงจะมีอายุ ต้องมีความโง่ว่าเป็นตัวกูว่าเป็นของกู แล้วมันก็จะมีอายุเกิดขึ้นมาแก่ตัวกูของกู ว่ามีอายุเท่านั้นเท่านี้ ถ้ามันเกิดไม่มีตัวกูของกู รู้ความจริงว่ามันไม่มีตัวกูของกู อายุก็ไม่รู้ว่าจะไปตั้งอยู่ที่ไหน อายุก็เลยไม่มี ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าอายุ อายุนี่มันมีสำหรับคนโง่ที่รู้สึกว่ามีตัวกูมีของกู นี่เราจะรู้หรือไม่รู้ เราไม่รู้เราก็ได้ทำมาในทางที่ว่าคนไม่รู้เขาทำกันอย่างไร มันก็จะน่าล้อมากขึ้น ที่มันเป็นธรรมะละเอียดก็คือว่ามันมีตัวกูของกู เพราะมันจะมีความอยากหรือต้องการอะไร ตามความรู้สึกของตัวกูของกู พอมีความอยากจะได้อะไรเวลามันก็เกิดมีค่าขึ้นมา เวลาน้อยบ้างเวลามากบ้าง ไม่ทันแก่เวลาบ้าง เพราะมันมีความอยากจะได้อะไรสักอย่างหนึ่ง ความอยากนี่เป็นเหตุให้เกิดมีตัวกูผู้อยาก พอมีตัวกูผู้อยากจะทำอะไรแล้วมันจะเกิดความหมายแห่งเวลา ไอ้เวลามันก็บีบคั้นคนที่อยากอะไรมากๆ ถ้าไม่อยากอะไรเป็น เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ความอยากไม่มีแล้ว เวลามันก็พลอยไม่มีไปด้วย เพราะท่านไม่ต้องการอะไร เวลาก็ไม่มีความหมาย เดี๋ยวนี้เวลามีค่าก็เพราะว่ามีความอยาก ใครอยากมากคนนั้นเวลามันจะมีค่ามากในการจะบีบคั้นคนนั้น พวกฝรั่งเขาเพราะว่าเวลามีค่ามาก พุทธบริษัทก็โง่ไปตามเขาว่าเวลามีค่ามาก มันมีค่ามากเพราะโง่ เพราะมีตัวกู เพราะไปอยาก ถ้าว่าเราเป็นพุทธบริษัทกันแท้จริง ไม่มีตัวกูไม่มีความอยาก เวลาก็ไม่มีค่าอะไร นับว่าอยู่เหนือเวลา พระอรหันต์ทั้งหลายไม่มีความหมายแห่งเวลา เวลาทำอะไรท่านไม่ได้เพราะท่านไม่อยากอะไร และก็ไม่มีตัวกูของกูสำหรับจะทำให้เกิดปัญหาทางเวลาหรือว่ามีอายุ นี่เรามีความรู้เรื่องนี้หรือไม่ ถ้าเราไม่รู้ เราก็มีตัวเราก็มีความต้องการมีตัวกูผู้ต้องการ อย่างนี้เรียกว่าเวลา อายุนั่นน่ะ มันกัดกินเรามันขบกัดเรา เจ็บปวดเท่าไร แต่ถ้าเรารู้เรื่องนี้เกิดรู้ความจริงว่าไม่มีตัวกูไม่มีของกู เป็นเพียงกระแสการปรุงแต่งตามธรรมชาติตามกฎของอิทัปปัจจยตาแล้ว มันไม่มีตัวกูของกู เวลามันก็ไม่มีความหมาย อายุไม่มีความหมาย กลายเป็นว่าเราลิขิตชนิดนี้มันกินเวลา ผลัดกันอยู่อย่างนี้ถ้าเราโง่เวลามันกินเรา ถ้าเราฉลาดเรากินเวลา ไปเปรียบเทียบกันดูว่ามันน่ายินดีที่ตรงไหน ถ้าเวลามันกินเรา ถ้าเรากินเวลาเราจะยิ้มแย้มสักเท่าไรจะเยือกเย็นสักเท่าไร การล้ออายุนี่ก็คงหมายจะให้รู้จักอายุกันเสียบ้าง ให้เป็นฝ่ายกินเวลาหรือกินอายุ อย่าให้อายุมันกินเรา เรื่องเวลามันอาศัยกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้ต้องการนั่นต้องการนี่ ถ้าเราไม่มีกิเลสที่ต้องการอะไร เวลาก็หมดฤทธิ์หมดความหมาย เหมือนกับว่าตายแล้ว แต่เดี๋ยวเรามันมีกิเลสจะทำยังไง เพราะว่ามันมีตัวเรา มีตัวเรานี่ มันก็ต้องทะเลาะกับเวลาเรื่อยไปและส่วนมากเราก็แพ้มัน เวลาทำให้เราเป็นทุกข์ ทุกข์เนือยๆปวดหัวนอนไม่หลับ ต้องละอายแมว ช่วยจำไปด้วยสักคำหนึ่งว่าอย่าให้ต้องละอายแมวเลย เป็นมนุษย์ทั้งที แมวไม่ปวดหัว แมวไม่นอนไม่หลับ แมวไม่ต้องกินยาแก้ปวดหัว ไม่ต้องกินยานอนหลับ แล้วเราเป็นมนุษย์ทั้งทีต้องกินยาแก้ปวดหัวกินยาแก้นอนไม่หลับ มันก็ละอายแมว แมวไม่เป็นโรคประสาทไม่เป็นทุกข์แม้อยู่ตัวเดียว คนนี่ได้ยินว่าเป็นโรคประสาทกันจำนวนแสนๆ ในประเทศไทยแห่งเดียวนี่เป็นประสาทกันจำนวนแสน และเป็นโรคจิตจำนวนหมื่น เราไม่เห็นแมวสักตัวหนึ่งที่เป็นโรคประสาทหรือว่าเป็นโรคจิต นี่เรามันตกอยู่ในฐานะละอายแมว ทำไมเราต้องนอนไม่หลับ ต้องเป็นประสาท ต้องเป็นโรคจิต ก็เพราะว่าเราพ่ายแพ้แก่อายุ อายุมันกำลังครอบงำเรา เวลามันกำลังครอบงำเรา บังคับเรา ใช้หัวเรา ให้คิดให้นึกให้ขวนขวายพักผ่อนไม่ได้ทางจิตใจ นอนไม่หลับ ปวดหัว แล้วก็เป็นโรคประสาท ถ้าเราควบคุมอำนาจของเวลาของอายุได้ เราจะไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องนอนไม่หลับ ไม่ต้องเป็นประสาทหรือเป็นโรคจิต ก็คือไม่ต้องละอายแมว จึงขอให้สนใจเรื่องการที่มีกิเลส เป็นเหตุให้มีความอยากและความหมายของเวลามันก็เกิดขึ้น เวลาก็มีอำนาจขบกัดเราจนเป็นโรคประสาท ข้อนี้ขอร้องให้มองให้ลึกว่าทำไมเราจึงมีตัวกู ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งกิเลสแล้วก็เกิดกิเลส แล้วก็เป็นไปอย่างทนทุกข์ทรมาน เรื่องนี้มันลึกอยู่จะต้องฟังให้ดีๆว่าการที่เราเกิดความรู้สึกที่เป็นกิเลส หรือเกิดความรู้สึกที่เป็นตัวกูของกู ธรรมชาติมันสอนให้ ไม่มีใครมาสอนที่ไหน ธรรมชาติมันสอนให้ แต่แล้วคนมันพลอยผสมโรงสอนทับลงไปอีกมันก็เลยเป็นเอามากๆ ฟังดูให้ดีว่าธรรมชาติมันสอนให้อย่างไร เด็กๆในท้องมารดาอยู่ในครรภ์นั่นไม่มีกิเลส คิดไม่เป็น รู้สึกเป็นตัวกูของกูไม่ได้ แต่พอเด็กๆคลอดมาจากท้องแม่ มันก็ได้รับสัมผัสทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางผิวหนังทางใจ แล้วในสิ่งเหล่านั้นมันมีไอ้ประเภทหนึ่งซึ่งอร่อยเหลือประมาณ นับตั้งแต่น้ำนมของแม่หรือว่าอาหารอะไรก็ตามที่เขาป้อนให้กินแล้วมันอร่อย ธรรมชาติมันสร้างประสาทรับรสอร่อยอะไรมาเสร็จแล้วมันก็รู้สึกอร่อย แล้วมันก็พอใจในความอร่อย มันก็อยากให้ความอร่อย เกิดความยึดมั่นถือมั่นในความอร่อย มีความต้องการอย่างยิ่งแล้วมันก็เกิดความรู้สึกตัวกูผู้ต้องการ ธรรมชาติมันปรุงความรู้สึกขึ้นมาในจิตใจเป็นลำดับ เป็นลำดับอย่างนี้ ไม่มีตัวตนอันแท้จริงที่ไหน ความรู้สึกว่าตัวกูตัวกูนี่มันก็เกิดมาจากความรู้สึกที่อยากและอร่อย เมื่ออยู่ในท้องในครรภ์มันอร่อยไม่เป็น พอคลอดมาแล้วมันก็อร่อยเป็น ตามสิ่งที่ได้รับที่ต่อมานี่ทางตาทางหูทาง โดยเฉพาะทางลิ้น นี่ธรรมชาติมันสอนเองมันสอนให้รู้จักอร่อย มันสอนให้รู้จักยึดถือในความอร่อย มันปรุงเป็นความคิดนึกว่าตัวกูผู้อร่อย ตัวกูผู้ต้องการความอร่อย ตัวกูผู้แสวงหาสิ่งที่เป็นปัจจัยแห่งความอร่อยเรื่อยมา เด็กคนนี้ก็เติบโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่เป็นความอยาก ด้วยความไม่รู้ก็เรียกว่ากิเลสตัณหา เด็กเกิดมาในท้องมันจะรู้เรื่องมรรคผลนิพพานเรื่องวิมุติเรื่องอะไรได้ยังไง มันไม่รู้เลย เรียกว่ามันมีอวิชชา พอมาอร่อยเข้ามันยึดถือเอาด้วยอวิชชา แล้วมันก็มีตัวกูของกูเกิดเป็นความรู้สึกขึ้นมาอย่างเหนียวแน่น คิดดูว่าไอ้ตัวกูของกูนี่เป็นของลมๆแล้งๆ ไม่มีตัวจริง เป็นเพียงความรู้สึกคิดนึกเท่านั้น ที่มันต้องการในทางจะได้ก็เรียกว่าความโลภ เมื่อมันไม่ได้อย่างที่มันจะได้มันก็เกิดความโกรธ เมื่อมันทำอะไรไม่ถูกมันก็ได้แต่พะวงหลงใหลก็เรียกว่าความหลง ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันก็ได้เกิดขึ้นในจิตใจแล้วโดยที่ธรรมชาติสอนให้ไม่ต้องมีใครมาสอน ในชั้นแรกธรรมชาติมันสอนได้เอง ให้เด็กทารกเกิดกิเลส ให้เด็กทารกเกิดความรู้สึกเป็นตัวกูของกู แล้วมันก็อยาก มันก็อยากก็ต้องมีความหมายแห่งเวลาที่จะได้สมอยาก ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าเวลา เวลานั่นมันก็เป็นมายาเหมือนกัน เวลาคือระยะห่างระหว่างความอยากกับการได้สมที่อยาก นี่พระเณรที่เรียนนักธรรมเรื่องกาละเวลาแต่งกระทู้กันมากมายอาจจะยังไม่รู้ รู้กันเสียบ้างว่าเวลานั่นคืออะไร เวลาคือระยะห่างระหว่างความอยากกับการที่จะได้สมอยาก ตรงนั่นแหละคือเวลา เพราะมีความอยากเวลาจึงมีความหมายขึ้นมา กว่าจะได้ตามที่ตัวเอยาก เวลามันกัดกินหัวใจของคน มันเป็นระยะห่างตรงที่ว่าความอยากกับการที่จะได้สมอยาก อยากแล้วไม่ได้สมอยากมันคือเวลา ความหมายของเวลาอยู่ที่ตรงนั้น ถ้าอย่าอยากมันจะไม่มีเวลา อย่ามีความอยากกับความได้สมอยากแล้วมันก็จะไม่มีเวลา ที่บาลีว่าเวลาย่อมกินสรรพสัตว์กับทั้งตัวมันเองมันก็จริงอย่างนี้ ลองมีเวลามันกัดทันที มันกัดหัวใจคนที่มีเวลา เพราะมีความอยากแล้วยังไม่ได้ตามความอยาก บทนิยามของคำว่าเวลาเป็นอย่างนี้ อาตมาคิดว่าถูกต้องที่สุด คนอื่นเขามีบทนิยามความหมายของคำว่าเวลาอย่างอื่นอีกเยอะแยะ อาตมาไม่เห็นด้วย ดูจะเป็นเรื่องพูดละเมอๆ เวลาเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงคือระยะระหว่างความอยากกับการที่จะได้สมอยาก ตรงนั้นแหละคือเวลา มีแล้วมันก็กัด ใครทำให้มันมีขึ้นมามันกัดคนนั้น ใครไม่ทำให้มันมีขึ้นมาก็ไม่ถูกกัด อย่างพระอรหันต์นี่ไม่มีเวลา ค่าแห่งเวลาไม่ครอบงำใจของพระอรหันต์ เพราะท่านไม่ต้องการอะไร เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ก็คือผู้ที่กินเวลา ทำให้เวลาหมดความหมาย เงียบไป ทุบขยี้ สิ่งที่เรียกว่าเวลาแหลกลานไปหมดไม่มีเหลืออยู่ เดี๋ยวนี้เมื่อยังไม่เป็นพระอรหันต์มันก็มีความอยากมีกิเลสมีตัวกู ซึ่งธรรมชาติมันเริ่มสอนให้ตั้งแต่พอออกมาจากท้องแม่ สอนมากเข้าๆมีตัวกูมากเข้าเวลามันก็เกิดเข้มข้นเข้า นี่เรียกว่าธรรมชาติมันสอนให้เกิดตัวกูให้เกิดกิเลส มันก็ต้องการ มันก็เกิดมีเวลา ความต้องการนั่นแหละคือตัวความหมายของคำว่าอายุ ถ้าไม่มีความต้องการอายุก็ไม่มี เพราะว่าอายุมันคือการล่วงไป ล่วงไปโดยความหมายแห่งความต้องการ ความต้องการนั่นแหละคือเวลา ความต้องการนั่นแหละคืออายุ นี่ธรรมชาติสอนให้ไม่มีใครมาสอนให้ ไอ้เด็กๆก็เกิดกิเลสได้เป็น เป็นเอง ยึดถือเป็นตัวกูของกูได้เอง ที่โชคมันร้ายไปกว่านั้น คือว่าคนที่ไปแวดล้อมเลี้ยงดูอยู่ข้างเคียง กลับสอนหนัก สอนทับ สอนผสมโรงต่อไปอีก สอนให้มันรักอย่างนั้น ให้มันอยากอย่างนี้ สอนให้มันยึดถือบ้านของกู แม่ของกู พ่อของกู ของเล่นของกู ตุ๊กตาของกู อะไรก็ของกู นี่ตอนนี้คนมันสอน สมทบเข้าไปอีก ที่จริงเวลามันสอนให้เสร็จแล้ว ตั้งแต่เด็กๆมันรู้จักเวทนา ทุกขเวทนา ทุกขเวทนา ถ้าได้อร่อยเป็นสุขเวทนามันมีความโง่มันก็ยึดถือเป็นความสุข นี่เป็นกิเลสสำหรับจะโลภหรือว่าจะกำหนัดยินดี ถ้ามันไม่ได้สุข มันได้ทุกข์ มันก็โกรธมันก็ขัดเคืองมันก็เจ็บ เกิดกิเลสสำหรับยินร้าย คือโทสะหรือโกรธะ ถ้ามันยังเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนว่าจะเป็นอะไร สงสัยอยู่กังวลอยู่ลังเลอยู่มันก็เป็นกิเลสประเภทโมหะ คือหลงวนเวียนอยู่ มันก็มากขึ้นๆ กิเลสนี่จะเจริญงอกงามตามธรรมชาติด้วย ตามที่คนช่วยกันแวดล้อมให้มันเกิดรู้สึกอย่างนั้นมากขึ้นๆ เช่นเด็กทารกมันจะรักอะไรตามธรรมชาตินี่มันก็ไม่มาก ยังไม่ถึงที่สุด แต่คนไปแวดล้อมส่งเสริมให้มันเกิดความรักมากขึ้นนี่มันจึงมาก มันจึงเต็ม เต็มขนาดของมัน ความรักก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี มันก็มีกันเต็มที่ มันก็ยิ่งอยากอะไรมากขึ้น เด็กวัยรุ่นก็อยากไปอย่าง หนุ่มสาวก็อยากไปอย่าง พ่อบ้านแม่เรือนก็อยากไปอย่าง คนแก่คนเฒ่าก็อยากไปอย่าง ล้วนแต่มีความอยาก เกิดความหมายแห่งเวลาขึ้นมาอย่างยิ่งมากขึ้นๆ เขาก็ต้องได้รับความเจ็บปวดเพราะเวลามันกัดเอา เด็กทารกก็รับไปอย่าง เด็กเดินได้ก็รับไปอย่าง เด็กวัยรุ่นก็รับไปอย่าง หนุ่มสาวก็รับไปอย่าง พ่อบ้านแม่เรือนก็รับไปอย่าง คนแก่คนเฒ่าก็รับไปอย่าง ไม่ยกเว้นพระเจ้าพระสงฆ์ภิกษุสามเณรในวัด มันก็ถูกเวลากัดเพราะความโง่ในการมีตัวตนหรือมีกิเลส มีกิเลสที่ใคร เวลาก็มีที่คนนั้นแล้วมันก็กัดเอาทั้งนั้น นี่คือสิ่งที่เรียกว่าอายุ เราจึงจมอยู่ในอายุ จมอยู่ในความหมายแห่งเวลา จมอยู่ในการทนทรมานอันเกิดมาจากเวลา ถ้าหมดตัวกูได้เมื่อไร เวลามันก็ไม่มี ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ฤดูเดือนปีมันก็ไปตามเรื่องของมันเอง มันมีไว้สำหรับคนโง่ ยึดถือเอามาเป็นเวลาเป็นอายุเป็นอะไรของตัวกู ถ้าไม่มีความโง่ไม่มีอวิชชาแล้วพระอาทิตย์ก็หมุนไปตามแต่ของดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ดวงดาว วันคืนเดือนปีฟ้าฝนมันก็ไปตามเรื่องของมัน ไม่มีความหมายกับเรา เดี๋ยวนี้เรามันยังโง่อยู่นี่ พอถึงฤดูฝนก็เอาฝนอีกแล้วเว้ย พอถึงฤดูฝนอีกก็ฝนมาอีกแล้วเว้ย ดูฝนอีกก็ฝนก็ฝนอีกแล้วเว้ย ก็นับอายุได้เป็นปีๆไปตามฝนตามที่ฝนตก หรือฉลาดมากก็คำนวณกันละเอียดทั้งความหมุนความอะไรของดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ดวงดาวดวงอะไรต่างๆนี่มันยิ่งโง่ ก็จะยึดถือในเวลาให้เป็นของจริงมากขึ้น ทั้งโดยที่แท้แล้วเวลาเป็นเรื่องมายาเป็นเรื่องของกิเลส ดับกิเลสไปแล้วมันก็ไม่มีเวลา วันคืนเดือนปีจะไม่มีสำหรับบุคคลผู้ไม่ต้องการอะไร นี่คือเวลามันไม่มีสำหรับคนที่ไม่โง่ ความโง่มีเพราะเวลา อายุมีเพราะเวลา ความทุกข์มีเพราะความยึดมั่นในเวลา คือความที่ยังไม่ได้ตามที่ตัวต้องการนั่นแหละคือเวลา ก่อนจะต้องการหรือว่าต้องการได้แล้ว ไอ้เวลามันก็ไม่มีฤทธิ์มีเดชอะไร เวลามันมีฤทธิ์มีเดชตรงระหว่างที่ว่าเริ่มต้องการและยังไม่ได้ตามที่ต้องการ ระยะนั่นแหละคือระยะเวลาที่มีฤทธิ์เดชมีพิษร้าย มาขบกัดมนุษย์ซึ่งจมอยู่ในเวลา ก็จมอยู่ในความโง่เขลา ความหลงผิดยึดมั่นตัวกูมีอายุเท่านั้นเท่านี้ คิดดูให้ดีว่าอายุมันอยู่อย่างนี้ มันน่า น่ารัก น่าทนุถนอมหรือว่าน่าเอามาล้อเอามาตีให้ตาย อายุมันมีสองความหมายอย่างนี้ การที่ได้มีอายุอยู่ในโลกนี้เป็นพรหรือว่า หรือว่าเป็นเสนียดจัญไร พูดคำหยาบๆอย่างนี้มันต้องให้อภัยกันบ้างเพื่อประหยัดเวลา การที่ได้มีอายุนี่ อายุยืนยาวอะไรก็ตาม มันเป็นพรหรือว่ามันเป็นเสนียดจัญไร ถ้ามีเวลาสำหรับกัดเจ้าของ สำหรับให้เจ้าของเป็นทุกข์ทรมานนี่มันเป็นพรหรือเป็นเสนียดจัญไร ถ้าเราไม่มีการยึดถือในอายุไม่มีอายุ มันก็เป็นพรหรือเป็นเสนียดจัญไร อายุมีไปสิก็มีไปตามแบบของดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ฤดูกาลต่างๆก็มีไปสิ ไม่เอามาเป็นของฉัน เวลาไม่มีแก่ฉันมันก็ไม่กัดฉัน ถ้ามีเวลาถ้ามีอายุหรือมีเวลากันอย่างนี้มันจะเป็นพรหรือว่าเป็นเสนียดจัญไร อาตมาก็ต้องการจะเพียงว่าขอให้อย่ามีต้อง อย่ามีต้อง อย่าต้องมีความทนทุกข์ทรมานเพราะเวลามันกัดเอา เพราะเวลามันกัดเอา ทำอย่างไรเวลาไม่กัดเอา ก็ต้องรู้จักเวลาให้ดี เพราะว่าไอ้นี่มันบ้าเรื่องหลอกลวงจะกัดกูอีกไม่ได้แล้ว ต่อแต่นี่ไปไอ้เวลานี่จะมากัดหัวใจกูไม่ได้อีกต่อไปแล้ว นี่คือล้ออายุสำเร็จ อาตมาก็ล้อไปตามหน้าที่ของอาตมา ท่านทั้งหลายทุกคนก็มีหน้าที่ที่จะต้องล้อไปตามแบบของท่าน ทุกคนต้องล้อ ถ้าไม่ล้อก็คือยอมให้เวลามันกัดเอา กัดเอา กัดเอาตลอดวันคืนเดือนปี เพราะไม่รู้จักเวลา เพราะไม่รู้จักทำลายเวลา เวลามันก็กัดเอา ถ้าเดี๋ยวนี้เรารู้จักเวลาถึงขนาดเอามาล้อ ไม่บูชามันอีกต่อไปมันก็ไม่กัดเอา เวลาก็เวลา ไม่เกี่ยวกับตัวฉัน ไม่เกิดกิเลสแก่ฉัน มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติไป เป็นวันเป็นเดือนเป็นปีเป็นฤดู แล้วแต่จะบัญญัติกันเถอะ บัญญัติกันด้วยวัตถุภายนอกที่มันเป็นของมันเองอยู่แล้วอย่างนั้น ดวงอาทิตย์หมุน ดวงจันทร์หมุนเท่านั้นวันเท่านั้นเดือน หนึ่งวันหนึ่งคืนหนึ่งชั่วโมงหนึ่งนาทีอะไรก็แล้วแต่จะบัญญัติตามความรู้สึก มันก็เรียกว่าเวลา ก็เป็นเวลาไปตามการบัญญัติ อย่าโง่จนให้มาเป็นเวลาที่ขบกัดเรา แม้แต่หนึ่งนาทีก็ไม่กัดเรา หนึ่งชั่วโมงหนึ่งเดือนหนึ่งปีก็ไม่กัดเรา ถ้าเรารู้ว่ามันเป็นเพียงอิทธิพลของกิเลสคือความอยากที่ยังไม่ได้สมอยากมันก็กัดเอานี่คือเวลา เท่านี้ก็ดูเหมือนจะพอแล้วมัง ว่าเวลาคืออะไร เป็นพรหรือเป็นเสนียดจัญไร เป็นมิตรหรือเป็นศัตรู พูดไปอะไรไปส่วนเดียวไม่ได้หรอก พุทธบริษัทเขาไม่พูดอะไรโดยส่วนเดียวว่ามันเป็นอะไรโดยส่วนเดียว จะพูดว่ามันแล้วแต่เหตุแล้วแต่ปัจจัย เราโง่หรือเราฉลาดนั่นแหละเป็นเหตุเป็นปัจจัย ถ้าเราโง่เวลามันก็เป็นสิ่งเลวร้ายขบกัดเรา ถ้าเราฉลาดเวลามันก็เป็นเวลาเฉยๆไม่มาขบกัดเรา จำไว้ด้วยว่าพุทธบริษัทเขาจะไม่พูดอะไรผ่าซากเด็ดขาดโดยส่วนเดียว จะพูดว่าแล้วแต่เหตุแล้วแต่ปัจจัย ที่นี้ก็อย่าให้เวลามันเป็นปัญหาแก่เรา อย่าขบกัดเรา การที่เรากำหนดภายนอกว่าวันคืนเดือนปีนี่ก็เพื่อประโยชน์อย่างอื่น แต่เราเอามายึดถือให้เป็นเครื่องก่อให้เกิดกิเลสก่อให้เกิดความทุกข์ นี่มันไม่ถูกเสียแล้ว อายุฝ่ายเนื้อหนังร่างกายเกิดมาจากท้องแม่นับเดือนนับปีกันตามฤดูกาลอย่างนี้มันก็เป็นอายุฝ่ายเนื้อหนัง ก็อย่าให้กัดเราเลย ทีนี้อายุฝ่ายจิตใจคือความรู้ความรู้สึกสติปัญญาของเราที่มันมากขึ้นๆนี่ก็เป็นอายุฝ่ายวิญญาณ อายุฝ่ายเนื้อหนังก็เป็นเรื่องทางร่างกาย อายุฝ่ายวิญญาณก็เป็นเรื่องทางจิตใจล้วนแต่มีอายุ แล้วมันก็สัมพันธ์กันอยู่ ถ้าจัดการไม่ดี ไม่ถูกต้องมันถึงได้รุมกันกัดเรา เวลากลายเป็นเหมือนกับว่าสัตว์ร้ายคอยกัดเราอยู่ตลอดเวลาจนไม่รู้จะกัดอย่างไรอีก และนี่คือตกนรกทั้งเป็น เป็นนรกที่น่ากลัวกว่านรกตายแล้ว นรกทั้งเป็นนี่ล่ะกลัวกว่า อาตมาพูดว่าอย่าไปสนใจนรกหลังจากตายแล้ว เก็บไว้ก่อนก็ได้ มาสนใจนรกทั้งเป็นนี่ดีกว่า เอาชนะเวลาให้ได้ไม่ต้องตกนรกทั้งเป็น มีหลายคนเขาด่าว่าอาตมานี่ เป็นมิจฉาทิฐิพูดว่านรกไม่มี นรกตายแล้วก็ไม่มี ไม่ได้พูดนะเรื่องนี้ไม่ได้พูด คนนั้นมันหาความเอาเอง เพียงแต่ว่ามาสนใจนรกทั้งเป็นนี่กันซะก่อนเถอะ ถ้าอย่าตกนรกทั้งเป็น แล้วก็ไม่ตกนรกหลังจากตายแล้ว หรือนรกชนิดไหนก็ตาม อย่าตกนรกทั้งเป็นที่นี่คือเวลามันกัดเอา ความอยาก ความกระหาย ความยึดมั่นถือมั่นมันกัดเอานี่คือนรกทั้งเป็น คนโง่ไม่สังเกตว่าตัวกำลังตกนรกทั้งเป็น คือคนที่มันสนใจแต่เรื่องนรกตายแล้ว ไม่สนใจนรกที่นี่ มันก็ตกนรกทั้งเป็น นรกทั้งเป็นน่ะมีไว้สำหรับคนโง่ ไม่สนใจว่ามันมีอยู่ที่นี่หรือไปสนใจแต่นรกตอนตายแล้ว ส่วนนรกที่มันกัดอยู่เดี๋ยวนี้ตกอยู่เดี๋ยวนี้ไม่สนใจ ฉะนั้นเราจะสนใจเราจะกำจัดมันเสีย เราจะไม่พ่ายแพ้แก่ความหลอกลวงของเวลาอีกต่อไป นี่คือการล้ออายุที่มีความหมายดีที่สุด จะทำอย่างไรจะมีการศึกษาอย่างไรจะค่อยๆคิดค่อยนึกศึกษาอย่างไร จึงจะชนะเวลาได้ มันมีแนวความคิดมากมาย ในหลักแห่งพระพุทธศาสนาถ้าเราได้ศึกษาอย่างเพียงพอครบถ้วนที่ควรจะศึกษา ไม่ได้ศึกษาทั้งหมดเพราะไม่อาจจะศึกษาเรื่องทั้งหมดในพระพุทธศาสนา แต่เราควรจะศึกษาเท่าที่จำเป็นจะต้องศึกษาให้ครบถ้วนให้พอ ก็เคยพูดกันมาแล้วมากมายจะลืมไปกันหมดแล้ว หรือพูดเท่าไรๆก็ไม่เข้าใจมันก็เหมือนกับไม่ได้พูด เราจะต้องสนใจเรื่องทางกายกับเรื่องทางจิตควบคู่กันไปด้วยกัน ปัญหามันอยู่ที่เรื่องทางจิต ความโง่ความหลงกิเลสตัณหามันเป็นเรื่องทางจิต เรื่องทางกายล้วนๆนี่มันไม่มีปัญหา มันอยู่ที่ว่าจิตมันคิดผิดคิดถูก ถ้าจิตคิดถูก?? 0:40:๒5.1 (ไม่แน่ใจว่าท่านพูดถูกหรือเปล่า มันไม่เข้ากับบริบทที่ตามมา น่าจะเป็น “ถ้าจิตคิดผิด” มันก็มีปัญหาทั้งทางกายและทางจิต ถ้าจิตคิดถูกมันหมดปัญหาทั้งทางกายและทางจิต ถ้าจิตคิดผิดก็มีปัญหาทั้งเรื่องทางกายและเรื่องทางจิต เรามารู้เรื่องการเกิดกันเสียให้ครบทั้งทางกายและทางจิต เกิดทางกายก็ดูเกิดมันก็เห็น ถ้าไม่ดูมันก็ไม่เห็น เกิดจากท้องแม่ เกิดจากบิดามารดาเกิดทางร่างกายเกิดออกมาเป็นคน เป็นเด็กเป็นคนนี่เกิดทางกาย ก็มีบิดามารดาเป็นบิดามารดาทางกายทางวัตถุ เกิดเพียงเท่านี้ยังไม่พอ ยังไม่ควรจะเรียกว่าเกิดเพราะมันเหมือนกับสัตว์เดรัจฉานเกิด ลูกไม้เกิด เกิดจากพ่อแม่เท่านี้ไม่พอ มันต้องเกิดทางจิตอีกทีหนึ่ง มีจิตที่รู้สึกคิดนึกมีความหมายเต็มที่ แต่มันน่าสงสารที่ว่าไอ้ตรงนี้มันเกิดผิด มันเกิดตัวกูของกู ด้วยความยึดมั่นถือมั่นด้วยกิเลสตัณหาอุปทานแต่มันก็เป็นการเกิดด้วยกิเลสน่ะ เด็กมันมีกิเลสธรรมชาติสอนให้มีตัวกูของกูธรรมชาติสอนให้ มันก็เป็นการเกิดทางจิต เกิดเมื่อไรก็ไปดูเอาเอง เมื่อไรมันรู้จักคิดนึกเป็นตัวกูของกูมันก็เกิดเมื่อนั้นแหละ เท่ากับอยู่ใต้อำนาจกิเลสตกอยู่ใต้อำนาจของเวลามันก็ทนทุกข์ทรมานเพราะเวลา นี่แหละมันเกิดทางจิตแต่มันเป็นการเกิดอย่างโง่เขลาน่าเวทนาสงสาร แต่ก็เป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งหลายทั่วไป มันจะมีเกิดอย่างนี้มันจะได้เป็นทุกข์ยังไง ความเกิดมันจะได้เป็นทุกข์เพราะข้อนี้ เมื่อเราดูให้ดีๆการเกิดชนิดนี้มันต้องกำจัด ทีนี้มีการเกิดทางจิตอีกชั้นหนึ่ง อีกชั้นหนึ่งคือจุดเกิดของสัมมาทิฐิ จุดเกิดของปัญญาทางจิต เกิดทีนี้มีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ มีพระธรรมเป็นแม่ มีพระสงฆ์เป็นพี่ เกิดครั้งที่สาม เกิดใหม่ครั้งที่สาม พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่ เกิดออกมาเป็นมนุษย์ชั้นดี เป็นสัพเภทอารยบุคคล ไม่มีความทุกข์ พวกนี้พวกที่กำจัดเวลาทำลายความหมายแห่งเวลาไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะเวลา มันมาเกิดเป็นลูกของพระพุทธเจ้า มาเกิดเป็นลูกของพระอรหันต์ หรือว่าเป็นพระอรหันต์เสียเอง เกิดอย่างนี้มันอยู่เหนือเวลา ไปสนใจกันให้มากพอจะได้เกิดทางวิญญาณชนิดที่ถูกต้องคือมีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อเป็นเหตุเป็นต้นเหตุ มีพระธรรมเป็นแม่เป็นแดนเกิดที่เกิด มีพระสงฆ์เป็นพี่เพราะว่าเขาเกิดก่อน ก็ยอมยกให้เป็นพี่ เกิดอย่างนี้จะหมดทุกข์จะไม่ต้องมานั่งทรมานด้วยอายุ รู้จักไว้สักสามเกิดก็แล้วกัน เกิดจากท้องแม่ก็มีพ่อมีแม่ที่จดทะเบียนเป็นพ่อแม่ แล้วที่นี้ต่อมามันเกิดไอ้อุปาทานตัวกูของกู กิเลสเป็นแม่อวิชชาเป็นพ่อตัณหาเป็นแม่ มันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น เกิดอย่างนี้จมอยู่ในกองทุกข์ แล้วมันก็รู้จักผุดรู้จักเกิดเรื่อย ตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิด จมอยู่ในกองทุกข์วันหนึ่งตั้งหลายๆเกิดหลายๆทุกข์ ไม่เอาแล้ว เบื่อแล้ว เบื่อแล้ว อยากจะเกิดอีกที จะเกิดโดยมีพระพุทธเป็นพ่อพระธรรมเป็นแม่พระสงฆ์เป็นพี่ คือเกิดแห่งสัมมาทิฐิวิชาปัญญาแสงสว่างนี่ เกิดครั้งนี้ดับทุกข์เปลื้องทุกข์สลัดทุกข์ทิ้งไปเสียหมดไปอยู่แต่ทุกข์เถิด อย่ามาอยู่กับเรา อย่ามาอยู่กับจิตดวงนี้ นี่พิจารณาให้เห็นข้อนี้มันจะมองเห็นสิ่งที่เรียกว่าอายุเพราะฉะนั้นอายุมันขบกัด เราจะกำจัดอายุออกไปเสียอย่างไร อย่าให้มามีปัญหาแก่จิตใจ เกิดเป็นคนยังไม่ใช่มนุษย์ ข้อนี้ทำให้ถูกด่า เมื่ออาตมาบอกว่าคนกับมนุษย์ไม่เหมือนกัน พวกนักเรียนนักศึกษาหัวซ้ายนิยมคอมมิวนิสต์มันด่าอาตมาว่าแบ่งชนชั้น เป็นคนชั้นหนึ่งเป็นมนุษย์ชั้นหนึ่ง มันโง่เอง ก็ดูเองก็เห็นนี่ว่าไอ้เกิดเป็นคนมันเป็นสักว่าคนเกิดทีแรกก็ยึดถือและเป็นทุกข์ จิตมันต่ำยังไม่เป็นมนุษย์ แต่ทีนี้ได้ผ่านอะไรมามากในชีวิตนี้จนมันฉลาด ฉลาดมีปัญญายกจิตใจสูงขึ้นมาก็เรียกว่ามนุษย์ คำว่ามนุษย์แปลว่ามีจิตใจสูง คำว่าคนนี่มันเพียงแต่ว่าเกิดมาเท่านั้น ฉะนั้นเราเกิดมาเป็นคนยังไม่ทันจะเป็นมนุษย์ ต้องทำให้มีการเกิดใหม่อีกทีหนึ่ง เกิดอย่างที่ว่านี่เกิดทางวิญญาณและใฝ่ถูกต้อง อย่าใฝ่เป็นอวิชชาคือใฝ่กิเลสตัณหา เป็นใฝ่วิชชาสติปัญญาเกิดอย่างนี้แล้วก็จะเป็นมนุษย์มีจิตใจสูงอยู่เหนือกิเลสเหนือความทุกข์ รู้จักการเกิดชนิดนี้ไว้ด้วย ไอ้การเกิดเป็นมนุษย์มันก็หมดปัญหา ถ้าเกิดเป็นแต่เพียงคนยังเต็มไปด้วยตัณหา นี่อยู่ใต้เวลาอยู่ใต้อายุที่มันขบกัด ดังนั้นต้องเอามาล้อต้องเอามาปรับปรุง ให้มันเป็นมนุษย์โผล่ขึ้นมาเป็นมนุษย์สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนอยู่เหนืออำนาจของเวลา เพราะฉะนั้นที่แล้วมาแต่หนหลังคือความโง่ของเรา ทุกคนเอามาล้อเสียให้มัน ให้มันละลายไป เราจะเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ถ้าเป็นคนเป็นอย่าง เป็นมนุษย์เป็นอย่าง เปรียบเทียบกันง่ายๆว่าถ้าเป็นคนจิตยังต่ำเป็นแต่เพียงคน มันทำอะไรๆก็ทำเพื่อตัวกู ทำเพื่อตัวกู เป็นเรื่องของคนหลงคนอันธพาล มีตัวกูเพราะมันเป็นแต่เพียงคน แต่ถ้ามันสูงขึ้นมาเป็นมนุษย์แล้ว มันทำงานเพื่อหน้าที่ของมนุษย์ เป็นคนทำงานเพื่อตัวกู เป็นมนุษย์ทำงานเพื่อหน้าที่ของมนุษย์คือความสุขของทุกคนสูงยิ่งๆขึ้นไป เกิดเป็นคนก็ทำเพื่อสะสมกิเลส เกิดเป็นมนุษย์ก็ทำเพื่อสะสมบารมี บารมีคือสิ่งที่จะทำลายกิเลส คนกับมนุษย์ต่างกัน วันนี้มาพิจารณาดูให้ดีว่าคนกับมนุษย์ต่างกัน อายุที่แท้จริงควรจะเป็นการสร้างบารมี ถ้าอายุของสติปัญญามันจะเป็นการสร้างบารมีดีขึ้น ดีขึ้นอยู่ในอายุ ถ้ามันเป็นอายุอย่างคนโง่อย่างที่ว่ามาแล้วอายุของอวิชชา ความหลงในค่าของความเอร็ดอร่อย อายุอย่างนี้มันสร้างกิเลส มีอายุอย่างสร้างบารมีกันเถิด วันคืนล่วงเท่าไรก็สร้างบารมีสร้างความรู้สร้างสัมมาทิฐิสร้างวิชชาสร้างปัญญายิ่งๆขึ้นไป นี่เรียกว่าอายุสร้างบารมี ถ้าไม่สนใจอย่างนี้ปล่อยไปตามเรื่องมันก็จะหลงใหลในเอร็ดอร่อยสนุกสนานทางตาหูจมูกลิ้นกายใจมากขึ้น มากขึ้นเรียกว่าอายุนี่มันสร้างกิเลส ที่เคยเป็นมาแล้วแต่หนหลังก็เอามาล้อกันเสียในวันนี้ให้มันละลายสูญหายไป อยากจะให้มองให้ลึกว่าวิวัฒนาการของธรรมชาตินั่น ถ้ามันเป็นไปถูกต้องแล้วมันจะดีขึ้นๆ สิ่งที่เรียกว่าวิวัฒนาการนี่ไม่ได้มุ่งหมายจะให้เลวลง เมื่อยังไม่มีโลก มันมีโลก มีโลกแล้วมันก็มีสิ่งที่มีชีวิตมีสัตว์มีวิวัฒนาการจากสัตว์เซลล์เดียวเล็กๆต่ำต้อยที่สุดมาเป็นสัตว์ในน้ำเป็นสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบกเป็นสัตว์บกเป็นสัตว์ที่บินไปบนฟ้านี่ เราจะเห็นว่าวิวัฒนาการนั้นถ้าเป็นไปถูกต้องแล้วมันจะดีขึ้น ถ้าเป็นไปไม่ถูกต้องมันก็จะกลับไปทนทุกข์ วิวัฒนาการของเรากำลังเป็นไปในทางไหน คือเพิ่มกิเลสหรือเพิ่มสติปัญญา ชีวิตของเรากำลังเพิ่มกิเลสหรือกำลังเพิ่มสติปัญญา ถ้าเพิ่มกิเลสมันก็คือผิด เป็นวิวัฒนาการที่ผิด คนพวกนี้สร้างกิเลส คนอีกพวกหนึ่งสร้างบารมี เราตั้งต้นด้วยความโง่ความไม่รู้อะไรเกิดกิเลส เด็กๆเขาอร่อยก็เกิดความโง่ในความอร่อย เกิดกิเลสยึดถือในความอร่อยเป็นความโลภเป็นความกำหนัดยินดีอย่างนี้เขาเกิดกิเลส ทีนี้มันเป็นความลับของธรรมชาติที่มอง ต้องมองให้ดีจึงจะเห็นว่าเกิดกิเลสครั้งหนึ่งมันไม่ใช่เพียงแค่นั้นนะ เราเกิดกิเลสครั้งหนึ่งมันไม่ใช่เรื่องเพียงเท่านั้น เราเกิดกิเลสครั้งหนึ่งมันสร้างความเคยชินที่จะเกิดกิเลสไว้ด้วย ไว้ด้วยทุกทีไป ไปรักสักทีหนึ่งมันสร้างความเคยชินที่จะรักเอาไว้ด้วย มันจะรักเร็ว รักเก่งกว่าเดิม รักมากกว่าเดิม ส่วนความเคยชินนี่จะเกิดขึ้นทุกทีที่กิเลสมันเกิด ความเคยชินอย่างนี้เขาเรียกว่าอนุสัย กิเลสประเภทอนุสัย กิเลสโดยตรงก็คือความโลภ ความโกรธ ความหลง มันโดยตรง กิเลสโดยตรง แต่พอเกิดแล้วมันสร้างกิเลสประเภทสะสมความเคยชิน นี่เรียกว่าอนุสัย เราโลภหรือเรารักทีหนึ่ง มันจะสร้างความเคยชินที่จะโลภหรือจะรักเอาไว้ด้วยหน่วยหนึ่ง ว่าหน่วยหนึ่งก็แล้วกัน ที่เรียกว่าถ้ารักหรือโลภหลายๆหน มันก็สร้างความเคยชินชนิดนี้ไว้หลายหน่วย ดังนั้นเราจึงรักเร็วขึ้นทุกที รักแรงขึ้นทุกที รักเก่งรักมากขึ้นทุกที ในเรื่องความโกรธประทุษร้ายก็เหมือนกัน ถ้าเราได้ทำไปแล้วมันก็สร้างความเคยชินไว้หน่วยหนึ่งเสมอ ดังนั้นเราจึงโกรธเร็วขึ้นทุกที โกรธแรงขึ้นทุกที โกรธมากขึ้นทุกทีด้วยอำนาจความเคยชินที่สะสมไว้ อย่างนี้เรียกว่าสะสมอนุสัยสะสมกิเลส มันมีความจริงอยู่ที่ว่าถ้าเราสะสมไว้มาก ความกดดันที่จะไหลออกมานี้มันก็มาก ไอ้ความกดดันที่ไหลออกมานี้ก็เรียกว่าอาสวะ สามคำนี้ช่วยจำไว้ให้แม่นว่า กิเลสสกปรกเกิดขึ้น แล้วก็สร้างอนุสัยคือความเคยชินที่จะเป็นอย่างนั้นไว้หน่วยหนึ่ง เมื่อสร้างไว้มาก ไว้มากความกดดันที่จะไหลออกมามันก็มากนี่เรียกว่าอาสวะ ถ้าเราไม่มีกิเลส ก็ไม่สร้างอนุสัย ไม่มีอนุสัยก็ไม่มีอาสวะที่จะไหลออกมา เป็นกิเลสดี หมดกิเลส หมดพาหะอนุสัย หมดอาสวะนั่นแหละ จบ เรื่องจบ เป็นผู้ที่อยู่เหนือเวลาโดยประการทั้งปวง ถ้าจะเรียกว่าเป็นผู้มีอายุก็มีอายุที่ถูกต้อง มีอายุที่ประกอบไปด้วยสติปัญญาความรู้ไม่มีความทุกข์ เป็นอายุที่ไม่ทนทุกข์ ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะเป็นอายุที่ทนทุกข์ ฉะนั้นเราจึงพิจารณาดูเดี๋ยวนี้อายุของเรานี้ มันเป็นไปเพื่อสร้างกิเลสสะสมกิเลสหรือว่าสะสมบารมีที่จะดับกิเลส ถ้าเราคอยดับอย่าให้กิเลสเกิดขึ้นทุกคราวไป อนุสัยมันก็ไม่มีอาสวะมันก็ไม่มี วันคืนของเรานี้เรียกว่าสะสมบารมีที่จะดับทุกข์สิ้นเชิง แต่ถ้าเราชอบด้วยกิเลสบ่อยๆมันจะเพิ่มอนุสัยเพิ่มอาสวะ ก็เรียกว่าอายุของเรานี่มันสร้างกิเลสมันสะสมกิเลสสะสมอนุสัย ฉะนั้นเอาอายุชนิดนี้มาล้อกัน มาล้อกัน นึกดูให้ดีเคยมีอย่างไรเมื่อไรเท่าไรเอามาล้อกันในวันนี้ให้มันแหลกลานไปเสียให้หมดเรียกว่าเป็นวันล้ออายุ มีอีกคำหนึ่งคืออายุสั้นหรืออายุยืน เขาชอบให้พรกันนักว่าให้อายุยืนหมื่นปีนะ ดูให้ดีมันบ้าหรือดี ถ้าเป็นอายุของกิเลสอายุของการถูกขบกัดด้วยเวลา ยืนหมื่นปีมันก็ทนไม่ไหวแน่ ถ้าเป็นอายุที่สะอาดไม่มีกิเลสขบกัดเอา หมื่นปีก็น่าพอใจ แต่ถ้าเป็นอายุที่ทนทุกข์มันก็ไม่ไหวอายุหมื่นปี ถ้าเราอยากจะมีอายุยืนก็คือทำให้มันมีประโยชน์นั่นเอง อย่าให้มันทนทุกข์ อายุที่ไม่ทนทุกข์นี่มันมีค่าเท่ากับอายุยืนหมื่นปีอยู่แล้ว ถ้าเป็นอายุที่ทนทุกข์มันคืออายุสั้นมันไม่มีประโยชน์อะไร หรือถือเป็นหลักกันเสียใหม่ว่าอายุสั้นนั่นคืออายุที่ไม่มีประโยชน์อะไร อายุยืนนั่นคืออายุที่มีประโยชน์มากที่สุด เราทำประโยชน์มากก็ควรจะถือว่าเรามีอายุเท่ากับหมื่นปี ทำประโยชน์อยู่ตลอดเวลานี่เท่ากับมีอายุยืนหมื่นปี ถ้ามีชีวิตอยู่อย่างไม่ทำประโยชน์อะไรเลย มันก็สั้นยิ่งกว่าสั้น สั้นจนไม่มีอะไร ฉะนั้นใครอยากจะมีอายุยืนหมื่นปีทำได้ ทำได้ไม่เหลือวิสัย คือทำประโยชน์ให้มันมากเท่ากับที่คนอายุหมื่นปีเขาทำ ฉะนั้นทำประโยชน์ตนเองประโยชน์ผู้อื่นประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายมากๆๆๆๆ คนนั้นมีค่าเท่ากับอายุยืนหมื่นปี ถ้าเราไปให้พรเด็กให้พรใครว่าให้มีอายุยืนหมื่นปีนะลูกนะ ไอ้คนให้นั้นมันโง่หรือมันคนฉลาด ถ้ามันฉลาดมันก็หมายความให้เด็กนี่เขาทำประโยชน์ให้มากเท่ากับมีอายุยืนตั้งหมื่นปี ทีนี่ถ้าเด็กนั้นมันเป็นเด็กโง่ มันก็จะสั่นหัวอายุยืนหมื่นปีเป็นไปไม่ได้ คุณย่านี่พูดพล่ามเสียแล้วให้กูอายุยืนหมื่นปี แต่ถ้าว่าเด็กคนนั้นมันฉลาดมันรู้ธรรมะ นี่มันรู้ว่าไอ้คุณยายให้พรให้อายุยืนหมื่นปีนี่ ก็คือต้องการให้เราเป็นคนทำประโยชน์มากเท่ากับอายุยืนตั้งหมื่นปี เขาก็รีบทำ รีบทำ รีบทำ ให้สมประสงค์ของการให้พรว่าให้มันมีอายุยืนหมื่นปี อายุสั้นคือทำประโยชน์ได้น้อยหรือไม่ทำได้เลย อายุยืนคือทำประโยชน์ได้มาก เราจะมีอายุยืนหมื่นปีก็ได้ที่ทำประโยชน์ให้มันมากเท่ากับอายุมันอยู่ตั้งหมื่นปีทำได้เท่าไร ให้พรกันให้ดีๆคนแก่ๆให้พรใครว่าอายุยืนหมื่นปีก็รู้ความหมายที่ถูกต้องว่าเป็นอย่างนั้น อย่าให้มันโง่เองหลับตาพูด พูดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ว่าอายุยืนหมื่นปี พูดไปด้วยความชินปากเป็นธรรมเนียมประเพณีทั้งนั้นไม่มีความหมายอะไร ถ้ามีความหมายก็รู้ความหมายให้พรให้ดีๆว่าอายุยืนหมื่นปีนี่มันเป็นสิ่งที่ทำได้นะลูกนะหลานนะเหลนนะอะไรก็ตาม ให้ทำประโยชน์อย่างมากเหมือนกับว่าอยู่หมื่นปีทำอะไรได้เท่าไร นี่เรียกว่าอายุที่มีประโยชน์ ทีนี้อยากจะพูดถึงอายุร้อนอายุเย็น อายุของคนบางคนมันเป็นอายุร้อนจนต้องละอายแมวอย่างที่ว่ามาแล้ว มันเป็นอายุที่ต้องกินยาแก้นอนไม่หลับ กินยาแก้ปวดหัว กินยาแก้ประสาท กินยาแก้โรคจิตอยู่เรื่อย นี่มันเป็นอายุร้อน ถ้าอายุเย็นก็คือไม่มีอย่างนั้น มันเย็นธรรมะโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็มีพระนิพพาน ถ้ามีพระนิพพานอยู่อายุนี้ก็เย็น นี่ก็เป็นเรื่องที่ให้ถูกด่าและเคยถูกด่ามาแล้วคือว่าเอาพระนิพพานมาที่นี่เดี๋ยวนี้ สอนไม่จริงสอนผิดๆสอนหลอกลวง คนเขาว่าอาตมาสอนหลอกลวงคนว่านิพพานอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ เขาก็ต้องการให้มีนิพพานต่อเมื่อตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิดอีกหลายๆแสนชาติ จนคำนวณดูหลายแสนชาติจึงจะพบกับนิพพาน ไอ้คนพวกนี้คือคนพวกอายุร้อนตกนรกทั้งเป็นอยู่ตลอดเวลาเป็นแสนๆชาติ ไอ้คนพวกนี้คือคนที่ตกนรกทั้งเป็นอยู่เป็นแสนๆชาติ เพราะมันถือว่านิพพานจะมาก็อีกแสนๆชาติ ส่วนเราไม่พูดอย่างนั้นเราพูดว่ามันอยู่ที่นี่อยู่เดี๋ยวนี้อยู่กับเรา เมื่อไรเวลาไม่กัดกินเราเมื่อนั้นเราอยู่กับนิพพาน เมื่อเวลาไม่กัดกินเราหมายความว่ามันไม่มีกิเลส ระยะที่ว่างกิเลสนั่นมันเป็นนิพพาน จะเป็นนิพพานน้อยๆก็ได้นิพพานสั้นๆก็ได้ นี่มันช่วยให้เรามีชีวิตเย็นไม่ตกนรกทั้งเป็น เมื่อตะกี้ก็พูดแล้ว อย่าตกนรกทั้งเป็นเพราะเวลามันกัดกินเรา เวลาที่ว่างจากกิเลสน่ะนาทีสองนาทีอะไรก็ตามต่อวัน นั้นล่ะคือนิพพานตัวอย่าง นิพพานน้อยๆมาอยู่กับเรามาประคบประหงมเรา ถ้านิพพานชนิดนี้ก็ยังไม่มีแล้ว เราก็เป็นบ้าและตายหมดแล้ว คือนอนไม่หลับยิ่งกว่านอนไม่หลับ ปวดหัวยิ่งกว่าปวดหัว เราก็ตายแล้ว ที่นี่้ระยะเวลาที่ว่างจากกิเลสไม่ทำให้ปวดหัว ไม่ทำให้เป็นโรคประสาทน่ะมันมีอยู่ ยี่สิบสี่ชั่วโมงจิตของเราหยุดพักเท่าไรเป็นนิพพานเท่านั้น จิตของเราเป็นบ้าโง่หลงไปเท่าไรมันก็เป็นนรกเป็นวัฏฏะสงสารไปทั้งนั้น ลองคิดดูถ้ามันเต็มไปด้วยกิเลสตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงมันตายแล้ว มันไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่ ถ้าระยะเวลาที่กิเลสไม่รบกวนเรา เรา เราหยุดกิเลสเสียได้นั่นแหละ เราอยู่กับพระนิพพาน พระนิพพานนี่ ที่นี่เดี๋ยวนี้ จะน้อยจะสั้นเท่าใดมันก็เป็นนิพพาน คือเย็นเพราะว่างจากกิเลสเพราะว่ากิเลสมันของร้อน เมื่อว่างจากกิเลสมันก็ไม่ร้อนนั่นเป็นนิพพาน หล่อเลี้ยงเราให้นอนหลับตามสมควร ตามสมควร ถ้านับส่วนนี้อาจจะมีนิพพานชนิดนี้มากกว่าเรา แต่มันโดยบังเอิญมันไม่ค่อยได้ทำอะไร มันไม่มีกิเลสเกิดขึ้นมันก็นอนหลับมากกว่าคน คนมันเก่ง มันคิดเก่ง แล้วมันก็มีเรื่องมากมันนอนหลับยาก ฉะนั้นต้องตั้งใจสร้างพระนิพพานให้มากกว่าที่มันเป็นตามธรรมชาติ ที่มันมีแก่สัตว์มีชีวิตซึ่งไม่รู้เรื่องนิพพาน มันมีนิพพานโดยธรรมชาติคือมันว่างจากกิเลสโดยธรรมชาติ มันทำให้นอนหลับ เพราะฉะนั้นให้เราไม่ต้องละอายแมว ถ้าแมวมันนอนหลับได้มากกว่าเรามันเยือกเย็นได้กว่าเรา เราก็ต้องละอายแมว เราก็ต้องมีธรรมะให้พอสำหรับจะเย็นเป็นนิพพานหล่อเลี้ยงเราอยู่ รอดชีวิตอยู่ และเป็นสุขคือเยือกเย็น นิพพานอย่างนี้เขาเรียกว่านิพพานชั่วคราว ตทังคนิพพาน นิพพานชั่วคราว นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้เรียกว่า ทิฏฐธรรมนิพพาน นิพพานที่เราเห็นเองด้วยชีวิตนี้จิตใจนี้ นิพพานนี้เป็นนิพพานจริงเป็นสัณฐิติโกแก่เราแล้ว เป็นนิพพานจริง นิพพานที่ต้องรออีกแสนชาตินั่นนะนิพพานของคนหวัง ของคนตกนรกทั้งเป็น ไม่เป็นสัณฐิติโกแก่เขาเลยเพราะว่ายังอีกแสนชาติ จะเป็นสันฐิติโกรู้สึกอยู่ในจิตได้อย่างไร เดี๋ยวนี้เรารู้จักนิพพานที่นี่เดี๋ยวนี้จิตเย็นจิตว่างจากกิเลสเป็นสัณฐิติโก สันฐิติโกแล้วก็เป็นของจริง ถ้าไม่สันฐิติโกก็ไม่รู้สึกเองก็ไม่ใช่ของจริง เดี๋ยวนี้เรารู้สึกเองว่าไอ้เวลาที่ว่างที่เย็นนะมันมี แต่ก่อนเราไม่รู้จักทำ มันมีน้อยเดี๋ยวนี้เรารู้จักทำรู้จักทำสมาธิรู้จักทำวิปัสสนา ถ้าจิตมันสงบมันเย็นเราก็มีนิพพานมาอยู่กับเรา เหมือนเพลงร้องของเด็กๆวันนี้ไม่ได้ให้ร้อง สุขใจเมื่อมีนิพพานอยู่คู่กับฉัน ร้องเพลงสวนโมกข์ เพลงสวนโมกข์บทสุดท้าย มีคำ มีบทร้องว่าสุขใจเหมือนเมื่อมีนิพพานอยู่คู่กับฉัน พระนิพพานคือว่างจากกิเลสเข้ามาอยู่คู่กับจิต ฉันก็มีความสุข พอนิพพานออกไปเสียจิตใจฉัน ฉันก็ไม่มีความสุข มีความทุกข์ ฉะนั้นดูให้ดีว่าไอ้ความเย็นเพราะว่างจากกิเลสนี้มันหล่อเลี้ยงชีวิตจิตใจของเราไว้ไม่ให้ตายไม่ให้ตกนรกทั้งเป็น ถ้าไม่มีอันนี้จะตกนรกทั้งเป็น ฉะนั้นคนที่งุ่นง่านอยู่ด้วยความทุกข์ความร้อนนั่นนะมันกำลังตกนรกทั้งเป็นเพราะมันขาดสิ่งนี้ เพราะมันไม่รู้จักหยุดกิเลส เพราะมันไม่รู้จักหยุดความอยาก มันไม่รู้จักควบคุมเวลา เวลามันก็มาเล่นงานเอามันกัดเอามันก็ตกนรกทั้งเป็น ถ้ารู้จักความจริงข้อนี้ของจิตใจ ก็จะฉลาดควบคุมกิเลสควบคุมการเกิดแห่งกิเลส มันก็มีเรื่องเย็นมากขึ้นคือว่างจากกิเลสได้มากขึ้น ยี่สิบสี่ชั่วโมงนี้มันอาจจะอยู่ด้วยความเย็นได้ตั้งยี่สิบชั่วโมง สี่ชั่วโมงมันอยู่ด้วยความร้อนก็พอทนได้ ถ้ามันอยู่ด้วยความเย็นได้ถึงยี่สิบชั่วโมงนี่ไม่ละอายแมวแน่ แต่พอมันกลับกัน มันร้อนตั้งยี่สิบชั่วโมง มันจะเย็นได้บ้างเพียงสี่ชั่วโมง นี้มันต้องละอายแมวแน่ เพราะแมวมันไม่เป็นมากถึงอย่างนั้น นี่อายุเย็นหรืออายุร้อน ช่วยสังเกตดูให้ดีๆ มันมีอยู่ทั้งสองอย่าง อายุร้อนหรือว่ากิเลสครอบงำอยู่ อายุเย็นก็คือว่างจากกิเลสอยู่ อายุร้อนๆเอามาล้อให้หมดให้ตายไปเสียหมด หมดอายุร้อนให้เหลืออยู่แต่อายุเย็นคือว่างจากกิเลส เวลาก็สักว่าเวลาไม่ครอบงำหัวใจเรา ถ้าเวลามันไปถูกยึดถือเอาเป็นเรื่องของความอยากที่ยังไม่ได้ตามที่อยากแล้วมันก็เผาผลาญเรากัดกินเรา เราจึงสนใจธรรมะ ธรรมะที่จะทำให้ยักษ์ตัวนั้นนะไม่กัดกินเรา ยักษ์ตัวนั้นคือเวลา เวลาคือระยะที่อยากและยังไม่ได้ตามอยาก ก็เรียกว่าเวลา เวลานั้นมันเป็นยักษ์ตัวใหญ่กัดกินเรา คนโง่ก็ถูกยักษ์กัดกินเหลือแต่กระดูกมันยังไม่รู้สึก มันทุกข์จนละอายแมวแล้วมันก็ยังไม่รู้สึก เป็นทุกข์มากขนาดนั้น มีธรรมะเอาธรรมะเข้ามา ก็ยื่นให้ยักษ์กิน ยักษ์ก็ตายหงายหลังตาย ถ้ามันกินธรรมะที่แท้จริงอย่างนี้เข้าไป ยักษ์นั่นนะมันจะหงายหลังตายไปเลยไม่มากัดกินเราต่อไป สนใจธรรมะกันเถิดจะได้ชนะเวลาจะได้อยู่เหนืออำนาจของเวลา เพราะเวลาเกิดมาจากความโง่ซึ่งไม่รู้จักธรรมะ ชีวิตนี้มิได้อยู่ด้วยขนมปัง พระเยซู เป็นคำพูดพระเยซู พอเราอ้างอะไรทางฝ่ายศาสนาอื่น ฝ่ายศาสนาคริสต์บ้าง เราก็ถูกด่าเพราะว่าเป็นคริสต์ อาตมานี้ถูกด่าว่าเป็นคริสต์ เขาพิมพ์หนังสือด่าอาตมาว่าเป็นคริสต์เป็นอะไรมากมายก่ายกอง เพียงแต่อ้างคำพูดพระเยซูมาพูดกันบ้าง เขาก็พูดไว้ดีแล้วนี่ ไอ้เราจะพูดอีกก็ไม่ดีกว่านั้น แล้วบางทีเราก็จะพูดไม่เป็นด้วย ไอ้คำพูดสั้นๆว่า ชีวิตนี้มิได้อยู่ด้วยขนมปัง เมื่อพระเยซูกำลังอดอาหารนี่ ไอ้ซาตานก็มาบอกว่า อ้าว, ถ้าเป็นลูกพระเจ้าจริง ก็เสกก้อนหินเหล่านี้ให้เป็นขนมปังสิ พระเยซูก็สวนขึ้นว่า โอ๊ย ชีวิตนี่มิได้อยู่ด้วยขนมปังเว้ย, แต่มันอยู่ด้วยพระธรรมของพระเจ้า คือความเย็นที่ว่างจากกิเลส ขนมปังนี่ในที่นี่ก็หมายถึงอาหาร พวกพวกยิวพวก ทั้งหมดนั้นมันกินขนมปังเหมือนที่เรากินข้าว ฉะนั้นจึงใช้คำว่าขนมปัง ถ้าพูดอย่างพวกเราก็ ก็ต้องพูดว่าชีวิตนี้มิได้อยู่ด้วยข้าวปลาอาหาร แต่อยู่ด้วยพระธรรม คือความที่ว่างจากกิเลส แล้วก็เย็น เย็นนั่นน่ะ ถ้ามีธรรมะแล้วมันจะเย็น มันจะหล่อเลี้ยงชีวิตด้านจิตด้านวิญญาณ แม้เราจะมีร่างกายเป็นๆอยู่แต่ถ้ามันเต็มไปด้วยความทุกข์ความร้อน แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร มันก็ถือว่าตายแล้ว มันเท่ากับตายแล้ว มีชีวิตอยู่ด้วยความร้อน มีอายุแห่งความร้อน นี่มันเท่ากับตายแล้ว มีอายุแห่งความเย็นนั่นแหละมีชีวิตอยู่ มันมีไม่ได้ด้วยข้าวปลาอาหาร มีได้ด้วยมีธรรมะ เพราะฉะนั้นอย่าสนใจแต่เรื่องข้าวปลาอาหารมันจะละอายแมว ถ้าสนใจแต่เรื่องข้าวปลาอาหารมันก็มีเรื่องนอนไม่หลับมากขึ้น จะได้ละอายแมว สนใจธรรมะให้มากขึ้น มันจะช่วยควบคุมกิเลส เมื่อควบคุมกิเลสได้ ก็ควบคุมเวลาได้ เมื่อควบคุมเวลาได้ก็ควบคุมอายุได้ ให้อายุนี้เป็นของเย็น แต่ธรรมดามันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ที่เรารอดชีวิตอยู่ได้ไม่เป็นบ้านี่เพราะธรรมะส่วนหนึ่งมันมีอยู่ หรือว่าธรรมชาติมันช่วยก็ได้ มันช่วยให้ว่าง ให้ว่างจากการ การขบกัดของกิเลสหรือของเวลาไปบ้าง เพราะว่าเราก็มีเวลาว่างเว้นจากไอ้การรบกวนของเวลาความอยากความกระหายอยากมีอยากเด่นอยากรวยอยากสวยนั่นน่ะมันมีระยะหยุดพัก ไอ้ระยะหยุดพักน่ะมันช่วยให้รอดชีวิตอยู่ ระยะหยุดกิเลสนั่นน่ะคือพระนิพพานน้อยๆ นิพพานสั้นๆ นิพพานชั่วขณะที่นี่และเดี๋ยวนี้มาช่วยคุ้มครองไว้ เราจะควรจะขอบคุณพระนิพพานที่ช่วยเราให้รอดชีวิตอยู่ได้ แต่เดี๋ยวนี้เราไม่สนใจกับพระนิพพานเราก็เป็นคนเนรคุณพระนิพพานที่มันช่วยให้รอดอยู่เดี๋ยวนี้ได้ หรือว่าเราสนใจว่าอีกแสนๆชาติจึงจะนิพพาน เราก็ไม่ขอบคุณพระนิพพานเพราะยังไม่มาช่วยเรา เดี๋ยวนี้พระนิพพานได้ช่วยเรามาตั้งแต่ต้นมาจนบัดนี้ที่รอดชีวิตอยู่ได้ คือความว่างจากกิเลสเป็นคราวๆเพราะการปฏิบัติธรรมะ หรือแม้แต่ที่ธรรมชาติมันช่วยให้เองก็ควรจะขอบคุณธรรมชาติที่มีนิพพานมาช่วยให้เรารอด รอดชีวิต ไม่เป็นชีวิตร้อนแต่เป็นชีวิตเย็น ควรจะขอบคุณพระนิพพานอยู่ทุกๆค่ำเช้าเข้านอน คือทุกเวลาทั้งเช้าทั้งเย็นทั้ง ขอบคุณความว่างจากกิเลส ที่ช่วยให้ฉันนอนหลับไม่ตาย เหมือนกับพวกคริสต์เตียนเขาจะต้องขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าโปรด พระเจ้าคุ้มครองระหว่างหลับระหว่างตื่น พระเจ้าช่วยให้ไม่ต้องตายไม่ต้องเป็นเป็นทุกข์ ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า หลับไปตื่นขึ้นมาก็ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า ก็ทำงานแล้วก็ขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอ เขาปฏิบัติกันถึงอย่างนั้น ในความหมายนี้พระนิพพานนั่นน่ะคือพระเจ้าก็เป็นจุดสุดยอดของสิ่งทั้งปวง มาคุ้มครองเราให้เป็นคนมีสติสัมประดีไม่บ้าไม่ทุกข์ไม่อะไรนี่ ขอให้ขอบคุณพระนิพพานหรือความว่างจากกิเลสนี่มาช่วยคุ้มครองเรา เราขอขอบคุณก่อนนอนหรือว่าตื่นออกมาก่อนทำงาน ถ้าทำอย่างนี้ได้ไม่เท่าไรธรรมะจะเจริญในจิตใจ ไอ้ความเป็นพระนิพพานจะสมบูรณ์มากขึ้นๆ จนเป็นนิพพานแท้นิพพานถาวรนิพพานตลอดไป นี่เราโง่ไม่รู้จักผู้มีบุญคุณแก่เราอย่างสูงสุด คือความว่างจากกิเลสในความหมายแห่งพระนิพพาน ที่มาทำให้อายุนี่มันเย็นๆๆอยู่บ้าง ไม่ร้อนไปทั้งหมดนี่เราจะต้องขอบคุณพระนิพพาน จะขอบคุณพระธรรมก็ได้เพราะพระนิพพานก็เป็นธรรมอันหนึ่ง จะขอบคุณพระพุทธเจ้าก็ได้เพราะพระพุทธเจ้าท่านเปิดเผยเรื่องนิพพาน ท่านเปิดเผยการปฏิบัติเพื่อพระนิพพานจนเราสามารถทำให้มีพระนิพพานมาควบคุมเราอยู่ เราขอบคุณพระพุทธ ขอบคุณพระธรรม ขอบคุณพระสงฆ์ ทุกค่ำเช้าเข้านอนตลอดเวลา ที่เราสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็นนั่นก็เพื่อสิ่งนี้แหละ แต่เรามันโง่ไปเอง เราจึงไม่รู้สิ่งนี้ สวดมนต์เป็นนกแก้วนกขุนทองจนเสียงแห้งเสียงแหบก็ไม่ได้รับประโยชน์อันนี้เลย เพราะฉะนั้นเมื่อใดทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นสวดมนต์ก็ขอให้มันมีความรู้สึกลึกซึ้งถึงอย่างนี้ ขอบคุณพระพุทธ ขอบคุณพระธรรม ขอบคุณพระสงฆ์ ขอบคุณพระนิพพานที่คุ้มครองให้ไม่ตาย ให้รอดอยู่ได้ ให้อยู่อย่างเย็นๆ เหมือนที่พวกคริสต์เตียนเขาขอบคุณพระเจ้าในความหมายอย่างนั้น อาตมามีเพื่อนมิตรสหายที่เป็นอิสลาม เขาทำละหมาด ถึงเวลาก็ลุกขึ้นนั่งทำละหมาด หลับตาเอามือซ้อนอยู่ในตัก ทำละหมาด วันหนึ่งตั้งห้าครั้ง ถามว่าทำไมทำอะไรกัน เขาบอกว่าอยู่กับพระเจ้า ตลอดเวลาที่ทำละหมาด ยี่สิบนาทีราวๆนั้นไม่เกินนั้น เขาอยู่กับพระเจ้า วันหนึ่งห้าครั้ง เขาดื่มด่ำความเย็นในพระเจ้า พระเจ้าอยู่กับเขา เขาทำวันละห้าครั้ง พุทธบริษัทยังขี้เกียจอยู่มาก สองครั้งก็ยังไม่ค่อยได้ทำ ทำวัตรเช้าก็ไม่ได้ทำ ทำวัตรเย็นก็ไม่ได้ทำ ก็ ก็เสียดายก็น่าละอาย พวกอิสลามเขาจะทำห้าครั้ง เพราะเป็นบทบัญญัติตายตัว เป็นอิสลามต้องทำละหมาดวันละห้าครั้ง คือปลีกตัวไปอยู่กับพระเจ้าเสีย วันละห้าครั้ง ครั้งละสิบนาทียี่สิบนาที ก็คือทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นสวดมนต์ภาวนานั่นแหละหรือคือทำละหมาดก็แล้วกัน เป็นภาษาในศาสนาอิสลาม มุสลิมที่ดีเขาก็ทำละหมาดวันละห้าครั้ง ก็ถูกด่าอีกว่ามาสอนอิสลามกันที่ตรงนี้ เป็นอิสลามไปแล้ว เขาจะถือหลักตายตัวว่านับถือพระเจ้าพระองค์เดียว พระอัลลาห์ พระองค์เดียว เดี๋ยวนี้ชาวพุทธยังถือหลายองค์ พระพรหมก็ถือ ชาวพุทธถือศาสนาหลายศาสนาพร้อมกันนี่ผิดแล้ว สู้อิสลามไม่ได้ เขาจะมีพระเจ้าแต่พระองค์เดียว ไม่ยอมฟังเสียงใครไม่ยอมปฏิบัติเพื่อใคร และข้อที่สองก็ต้องทำละหมาดวันละห้าครั้งอยู่กับพระเจ้าวันละห้าครั้ง ครั้งละเท่าไรก็ตาม นี่มัน มัน มัน มันจะผูกมัดกำชับไว้ไม่ให้ ไม่ให้ผิดไปได้ ไม่ให้ไหลออกไปนอกเรื่องนอกราวได้ วันละห้าครั้งมันย้ำหัวตะปูไว้ วันละห้าครั้ง และอิสลามที่ ที่แท้ ต้อง ต้องบริจาคประโยชน์รายได้สองเปอร์เซ็นต์ครึ่งให้แก่พระศาสนา นี่เขาจำกัดไว้ตายตัว เขียนไว้ในพระคัมภีร์เลยสองเปอร์เซ็นต์ครึ่งทุกคนต้องบริจาคให้แก่พระศาสนา ให้แก่กิจการของพระศาสนา ให้ศาสนาอยู่ได้ นี่เราทำกันหรือเปล่า สองเปอร์เซ็นต์ครึ่ง อิสลามจะต้องอดอาหารหนึ่งเดือนในหนึ่งปี เดือนที่กำหนดไว้สำหรับอดอาหาร เดือนนี้เพื่อสังคม พอเราอดอาหาร เราหิว โอ้ เราก็รู้ รู้จริงเป็นสันฐิติโกว่าคนที่อดอยากนั้นมันเป็นอย่างไร จิตใจคนที่อดอยากเป็นอย่างไร จิตใจคนจนอดอยากเป็นอย่างไร เรามารู้กันวันนี้ เราก็อดมันหนึ่งเดือน ไม่กินตามที่อยากจะกินเพื่อให้มันมีความหิวตลอดวัน ตลอดวันนั้นก็เห็นใจคนยากจนที่ไม่มีอะไรจะกิน มันก็จะเกิดรักคนจน เห็นใจคนจน ยินดีบริจาคเพื่อคนจน นี่มันก็ทำให้เกิดการบริจาค จะไปหาว่าบ้าๆบอๆว่าอดอาหารตั้งเดือน ตลอดวัน ตลอดวันๆเพื่อจะชิมรสของความหิว เพื่อเห็นอกเห็นใจคนหิว แล้วข้อสุดท้ายก็ถ้าทำได้ให้ไปเมกกะ ไปทำฮัจญีที่เมกกะ ไปเมืองทางประเทศทางอาหรับที่เมกกะ คนละครั้ง ถ้าไปได้อย่างน้อยก็ขอให้ไปหนึ่งครั้ง แต่ถ้าไม่มีเงินเสียค่าเรือก็ไม่ต้องไปก็ได้ ข้อนี้มีข้อแม้ว่าถ้าไปได้จึงจะไป ไอ้ความเป็นอิสลาม ความเป็นมุสลิมของเขาก็เคร่งครัด ต้องดู เรามันก็ไม่ค่อยจะเห็นธรรมะลึกซึ้งถึงขนาดนี้ ละเลยต่อธรรมะ เอามาล้อเช่นในวันนี้ล้อไอ้ความไม่ถูกต้องเกี่ยวกับธรรมะในวันนี้ให้มันหมดไป ทำละหมาดแบบชาวพุทธ วันละห้าครั้งอย่าให้น้อยหน้าอิสลาม มีจิตใจสงบอยู่กับพระธรรม พระพุทธ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระนิพพาน วันละห้าครั้ง ภิกษุสามเณรทำวัตรเพียงวันละสองครั้งก็ยังไม่ค่อยจะได้ น่าละอาย ทีนี้ก็จะพูดถึงเรื่องโลกนี้โลกหน้ากันบ้าง เพราะมันรบกวนความรู้สึกมาก คนกลัวเรื่องโลกหน้าจะไม่ดี ก็กลัวกันมาก ตายแล้วเกิดจะเกิดไม่ดี นี่ก็กลัวกันมากเรื่องโลกหน้าหรือเรื่องโลกอื่น ไอ้นี่ก็จะทำให้นอนไม่หลับละอายแมวอีกเหมือนกัน เพราะว่าจับความคิดนึกเกี่ยวกับโลกหน้าไม่ถูกต้องมันก็จะเต็มไปด้วยความกลัว คนแก่ๆหัวเก่าๆนอนไม่ค่อยหลับเพราะเป็นห่วงโลกหน้า อย่าเป็นห่วงเลย ถ้าเกี่ยวกับโลกหน้าก็อย่าเพิ่งไปเอามาเป็นทุกข์ทรมานเลย ทำดีที่นี่จะคุ้มไปถึงโลกหน้า เพราะโลกหน้าจะเป็นอย่างไรมันขึ้นอยู่กับการกระทำให้โลกนี้ ถ้าทำให้โลกนี้ชั่ว โลกหน้ามันก็ชั่ว ถ้าทำให้โลกนี้ดีโลกหน้ามันก็ดี ไอ้เรื่องโลกหน้าลืมซะก็ได้ ถ้าทำโลกนี้ดี ดี ดี ดีที่สุดที่ทำได้ มันก็ต้องดีในโลกหน้า ถ้ามันมีนะ ใช้ภาษาว่าทำดีอย่างเดียวที่นี่ ภาษาโสกโดก ก็ว่าทำดีลูกเดียว ทำดีลูกเดียวไม่ต้องทำอันอื่น ไม่ต้องมีกี่ลูก ทำดีลูกเดียว มันจะคุ้มทั้งโลกนี้และโลกหน้า ทำดีลูกเดียวจะคุ้มทั้งโลกนี้และคุ้มทั้งโลกหน้า จะปลอดภัยทั้งโลกนี้และโลกหน้า โลกนี้ก็จะไม่ต้องละอายแมว โลกหน้าก็จะไม่ต้องละอายแมวอีกเหมือนกัน ทำดีให้ดีที่สุด ให้ถูกต้องที่สุด ที่นี่และเดี๋ยวนี้ตลอดไปเถิด ไม่ต้องเป็นห่วงโลกหน้า อย่าตกนรกทั้งเป็นที่นี่ แล้วก็ไม่ตกนรกตายแล้ว มีสวรรค์กันให้ได้ที่นี่ แล้วก็จะมีสวรรค์หลังจากตายแล้ว หรืออย่าทำผิดทำบาปจนเกลียดตัวเอง มันก็ตกนรกที่นี่และตกทุกชาติไป ทำให้ตัวเองนับถือตัวเองได้พอใจตัวเองได้ไหว้ตัวเองได้นี่ก็จะได้สวรรค์ที่ตรงนี้ แล้วก็ได้โลกหน้าหรือโลกอื่นอีกกี่เท่าไรก็ยังคงได้ ช่วยเป็นพยานด้วยว่าอาตมาก็พูดอย่างนี้นะ ไม่ได้ยกเลิกเรื่องโลกหน้านะ ถูกรุมด่าทุกทิศทุกทางว่าเป็นคนยกเลิก ยกเลิกเรื่องโลกหน้า ยกเลิกนรกใต้ดิน ยกเลิกสวรรค์บนฟ้า ไม่ได้ยกเลิกนะ แต่เพียงว่าเก็บไว้ก่อน อย่าเพิ่งสนใจ มาทำไอ้เรื่องที่จริงที่แท้ที่นี่ก่อน ให้มันถูกต้องเสียก่อนเถิด แล้วมันก็จะไม่ตกนรก หรือต้องได้สวรรค์แน่ๆถ้าต้องการ และถ้าดีกว่านั้นแล้วก็ไม่เอาทั้งหมดดีกว่า อยู่ในสวรรค์ก็เหนื่อยเหมือนกัน ปฏิบัติหน้าที่ของชาวสวรรค์มันก็เหนื่อยหอบเหมือนกัน อย่าเอาดีกว่าคือว่าเป็นหยุด สงบ ว่าง อิสระ เป็นพระนิพพานดีกว่า ทำแต่ที่ถูกที่ดี เป็นสัมมาทิฐิเท่านั้นก็พอ อย่าให้อายุมันเกิดเป็นยักษ์ขบกัดเอาที่นี่ เราชนะอายุควบคุมอายุ อายุไม่เป็นอายุของกิเลส ไม่เป็นอายุของความทุกข์ นี่เรียกว่าล้ออายุ เคยทำผิดเกี่ยวกับอายุมามากแล้วก็ตกนรกทั้งเป็น จนละอายแมวมาตลอดเวลา นี่เลิกกันที อย่าต้องมีเรื่องที่ละอายแมว มันทำให้เกลียดตัวเอง มันทำให้ไม่เคารพตัวเอง มันไม่มีความสุขหรอก ฉะนั้นอายุอย่าได้เป็นอายุร้อน ให้เป็นอายุเย็น เป็นอายุเย็นก็คือไม่มีความหมายแห่งอายุหรือเวลาที่ประกอบอยู่ด้วยตัวกูของกูหรือกิเลสตัณหา ทำลายความคิดแบบตัวกูของกูให้หมดเสียแล้วอายุมันก็หมดเอง มันไม่รู้จะไปตั้งอยู่บนอะไร ที่ว่ามีอายุเท่านั้นมีเท่านี้ มันไปตั้งอยู่บนตัวกูของกู เรืองหลงเรื่องโง่มันก็พลอยเป็นเรื่องหลงเรื่องโง่ไปทั้งหมด ถ้าทำลายตัวกูของกูเสียมันก็ไม่มีอะไรจะให้เป็นที่ตั้งของอายุ อายุก็หมดไป ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าอายุ อายุมีไว้ทรมานนี่มันสำหรับคนโง่ อายุอย่างนี้มีสำหรับคนโง่แล้วก็ร้อน เพราะว่าอายุนี่มันมีความหมายจำกัดเวลา จิตใจถูกจำกัดด้วยความยึดมั่นถือมั่น ไม่สนุกเลย ไม่ฟรี ไม่อิสระ ไม่วิมุติ ไม่หลุดพ้น เอาอย่างไม่มีอายุกันดีกว่า แล้วมันว่างเป็นนิพพานเอง อยู่เหนือทุกอย่าง เหนือดีเหนือชั่ว เหนือบุญเหนือบาป เหนือสุขเหนือทุกข์ เหนือได้เหนือเสีย เหนือเกิดเหนือตาย เหนืออะไรทั้งหมด มันก็ไม่มีอายุ ถ้าเป็นอายุมันก็ยึดถืออายุ มันก็ทนไปเถอะพวกที่รักอายุนี่ก็ทนไปเถอะ ทำบุญต่ออายุให้มากๆเข้าไว้เถอะมันจะได้ทนนานๆ ทีนี่เราอยากจะยุบจะเลิกมันเสียให้จิตมันเกลี้ยงให้จิตมันหลุดพ้นไปไม่ต้องทนอะไรเลยชวนกันมาล้ออายุ ถ้ายมบาลทั้งหลายเป็นคนโง่มันคงไม่เห็นด้วย มันคงจะเล่นงานเรา แต่เราเชื่อว่ายมบาลไม่ใช่คนโง่ ยมบาลก็มีสติปัญญามีหูทิพย์ตาทิพย์รู้อะไรดี ใครๆจะหลอกยมบาลไม่ได้ ยมบาลคงไม่มีโอกาสคงไม่มีโอกาสจะเล่นงานเรา ผู้ล้ออายุให้อายุมันหมดความหมายไม่ต้องเป็นทุกข์ทรมานอีกต่อไป นี่อาตมาย้ำแล้วย้ำอีกว่าท่านทั้งหลายต้องกระทำชนิดที่อย่าให้ยมบาลเขาเล่นงานได้ อย่าทำอะไรที่ไม่มีผลคุ้มค่า ในการบริจาคเงินก็ดี บริจาคเวลาก็ดี บริจาคเรี่ยวแรงก็ดี บริจาคสิ่งของก็ดี บริจาคอะไรก็ตามให้มันได้ผลคุ้มค่า อย่าไปช่วยเพิ่มความโง่ให้คนอื่น ทีนี้เงินเป็นล้านๆนะสละไปเพื่อเพิ่มความโง่คนอื่น อย่างนี้ยมบาลเอาตายเลย ระวังให้ดี อย่าลงทุนที่ได้ผลไม่คุ้มค่า นี่ล้ออายุ ชั่วโมงครึ่ง อาตมาคิดว่าล้ออายุตอนเช้าพอกันที ตอนบ่ายมีอีก ตอนหัวค่ำมีอีก ฉะนั้นขอหยุดพักไว้ว่าจงรู้จักอายุ รู้จักสิ่งที่เรียกว่าอายุ เกิดมาจากความโง่ของคนที่ไม่รู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง คือไม่มีอะไรเป็นตัวกูของกู ไปเอามาเป็นตัวกูของกู จนได้มีปัญหายุ่งยากเกี่ยวกับอายุ เอามาล้อกันเสียจะได้อยู่เหนือการบีบคั้นของอายุ เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าได้มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น เพราะว่าพระพุทธองค์ทรงอยู่เหนืออายุอยู่เหนือการบีบคั้นของเวลา เป็นผู้อยู่ในสถานะเหนือโลก เป็นโลกุตระเหนือโลกเหนือสิ่งทั้งปวง แล้วมันจะมีอายุได้อย่างไร คนโง่มั่วนับอายุอยู่ด้วยการหมุนเวียนของดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ดวงดาวฝนตกฟ้าร้อง อย่างนี้มันก็ มันก็มีอยู่แต่ในโลกนี้ที่มันมีสิ่งเหล่านี้ ถ้าอยู่เหนือโลกอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้แล้วมันก็ไม่มีปัญหา ขอให้เข้าใจเรื่องนี้แล้วไปอยู่ใกล้ๆตามพระพุทธเจ้าไปดีกว่า ขอยุติการบรรยายภาคเช้าไว้แต่เพียงเท่านี้
ได้ จะถวายของพระน่ะ เอาสิ เชิญประเคน ให้พี่นิดจัด จัดของถวายพระให้เจ้าภาพประเคนเองก็ได้ถ้าต้องการ แม้จะเป็นผู้หญิงก็ได้ มาประเคน
พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ แต่ก่อนที่จะล้อตัวเอง อยากจะกราบเรียนว่าได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ส่งไปทางมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ บอกให้ส่งต่ออาจารย์สมทรงด้วย แล้วพอเปิดซองออกอ่านในนั้นไม่มีข้อความที่จะว่าให้ทำอะไรแต่ว่าคำพูดที่อยู่ในนี้ไพเราะนัก ขึ้นต้นว่าไชยาเนื้อนาบุญ อ่านแล้วมีความรู้สึกว่าทั้งอรรถทั้งพยัญชนะกินใจเป็นอันมาก เสร็จแล้วก็มั่วแต่ยุ่งทำงาน ก็มีความรู้สึกว่ารับรู้ไว้คนเดียว แล้วก็ลืม จนกระทั่งจะเดินทางมานี่ เปิดกระเป๋าค้นโน้นค้นนี่จึงได้พบจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา จึงคิดว่าน่าที่จะทำจดหมายฉบับนี้ให้ยืนยาวต่อไป ให้ยืนยาวต่อไป ทำประโยชน์ต่อไป เก็บไว้ผู้เดียวนั้นจะไม่เป็นประโยชน์ และเนื่องจากว่าในนี้มีชื่อพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ปรากฏอยู่ด้วย จึงขอประทานอนุญาตที่จะออกชื่อท่านตามจดหมายนี้และเพื่อให้เกิดความรู้สึกมากเป็นพิเศษ จึงได้ถ่ายทอดออกมาเป็นเพลงเมื่อคืนนี้เองในขณะที่เดินทางบนรถไฟนะค่ะ ลองฟังดูเพราะว่าที่นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวไชยา ข้างบนเขียนว่าไชยาเนื้อนาบุญ
(ร้องเป็นเพลง) เมืองไชยาธานินทร์ถิ่นสงบ ใครมาพบพักพิงยิ่งสรรเสริญ ใช่จะมีศรีวิไลให้ใครเพลิน แต่จำเริญรอยบาทประกาศธรรม คนทั่วแคว้นแดนดินถิ่นสยาม ร้อยรักความสุขพริ้มได้อิ่มหนำ ด้วยชินบุตรพุทธทาสประกาศธรรมได้ชุ่มฉ่ำสุขสันต์เบิกบานกัน มีเจดีย์ศรีสถูปรูปปรางค์นารถ ครั้นองค์ราชศรีวิชัยได้สร้างสรรค์ แสดงถึงผู้ใหญ่ในปางบรรพ์ พร้อมใจกันถือธรรมนำหมู่ชน โลกยุคนี้มีตัวอย่างห่างคำสอน ประชากรพบพระอกุศล ประทีปธรรมหรี่แสงทุกแหล่งชน เราต้องทนยืนหยัดสู้สัจธรรม ขอเชิญชวนมวลประชาอย่าหน่ายหนี สามัคคีชูชุบอุปถัมภ์ ให้ไชยาเป็นแหล่งส่องแสงธรรม สมกับคำธานีคนดีแสน
ทั้งหมดนี้เป็นข้อความที่มีอยู่ในจดหมายนะค่ะ ทีนี้พระเดชพระคุณท่านอาจารย์นั้นอยากจะให้มาล้ออายุตัวเอง ก็อยากจะพูดเพียงสั้นๆว่าตัวเองนี่ก็โง่ โง่มามากๆ จนกระทั่งอายุถึง 40 ปีก็ยังโง่อยู่ ที่มันมีอายุรอดมาได้จนบัดนี้ ผ่านมาอีก 16 ปีเพราะปีนี้อายุ 56 นั้น ก็ต้องถือว่าเพราะธรรมชาติได้ช่วยให้ได้มีเวลาหายโง่นะค่ะ ต้องนึกถึงขอบคุณคุณของธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง เพราะว่าเมื่อตอนอายุ 40 ปีนั่นน่ะ ก็ยังทำบุญใส่บาตรธรรมดาแล้วก็ยังหลงเรื่องแต่งเนื้อแต่งตัว สมัยเป็นเด็กก็เกิดแบบที่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ว่าคือเกิดจากท้องแม่มาก็ ก็สนุกสนานวิ่งเต้นเรื่อยมา ถึงเวลาเรียนก็เรียน หนีโรงเรียนบ้าง เรียนบ้างขยันบ้างขี้เกียจบ้างมาตามลำดับ จนกระทั่งมาถึงขั้นเรียนจบธรรมศาสตร์บัณฑิตก็รู้สึกจะยิ่งซ่าหนักยิ่งขึ้นนะค่ะ จบเมื่อปีพ.ศ. ๒493 น่ะ มันนานมาเต็มทีแล้ว แล้วก็ในช่วงนั้นมีผู้หญิงที่เรียนจบธรรมศาสตร์ไม่กี่คน ฉะนั้นดูจะเป็นไข่แดงอยู่ในหมู่พวกผู้พิพากษาอัยการซึ่งเป็นรุ่นพี่ๆ เมื่อแต่งงานก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแต่งงานเพื่ออะไรก็ไม่ทราบ ผู้ใหญ่บอกว่าแต่งเถอะลูกหนูอายุตั้ง ๒6, ๒7 แล้วผู้ชายคนนี้ดี เรานั้นถูกฝึกมาในแง่ที่ว่าเป็นลูกที่ดีอย่าให้พ่อแม่น้ำตาไหลเป็นใช้ได้ ก็ถูกสอนมาว่าแค่นั้น ท่านว่าดีก็ดี ก็แต่งงาน แต่งงานแล้วเนื่องจากว่า เอ้อ เหตุปัจจัยมาเอื้ออำนวยที่ทำให้ซ่าได้มากยิ่งขึ้น เพราะว่าสามีเป็นนายธนาคาร คนที่มีค่อนข้างจะมีสตางค์ก็ดี ถ้าเผลอตัวนิดเดียวจะไม่หวนกลับมาสู่ธรรมะ มันเตลิดไปเรื่อยมันจะเดินวนอยู่กับร้านขายแหวนเพชรบ้าง ผ้าตัดเสื้อสวยๆบ้างและยิ่งถ้าไปอยู่ต่างจังหวัดอย่างนั้น ในจังหวัดเล็กๆการประกวดประขันประชันแข่งกันนั้นมีเป็นอันมาก เพราะฉะนั้นเมื่ออายุ บอกตรงๆว่ามาจนถึงอายุ 40 ปีนี่ยังไม่คลายซ่าลงเลยนะค่ะ เวลาที่มีงานในประจำจังหวัดมันมีสิ่งที่ช่วยดันให้ตัวเองนั้นจมไม่ลงมาขึ้นน่ะนะค่ะ เพราะว่าตำแหน่งหน้าที่การงานก็มี เวลาที่พวกชาวธรรมศาสตร์เขามีงานวันที่ 10 ธันวา ซึ่งเป็นวันที่ระลึกธรรมศาสตร์ก็รู้สึกจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ขึ้นไปบนเวทีที่ออกไปร้องเพลงกับพวกผู้พิพากษาอัยการ ธรรมศาสตร์การเมืองเหลืองแดงอะไรนี่นะค่ะ เพราะฉะนั้นมัน มันจมไม่ลงน่ะ จนกระทั่งอายุ 40 ก็น่าจะต้อง ต้องล้อตัวเองว่ามันโง่แสนโง่มาตลอด อายุ 40 มีเหตุที่มาสวนโมกข์ นี่ก็ไม่ใช่อื่นไกลนะค่ะ เป็นที่คุณแม่ท่านอ่านหนังสือของท่านอาจารย์มาก แต่ดิฉันยอมรับว่าดิฉันอ่านน้อยมากในตอนช่วงนั้น เพราะว่าไปอยู่ต่างจังหวัด คุณแม่อยู่กรุงเทพกับน้อง เมื่อเข้ามากรุงเทพคุณแม่ก็ปรารภบอกว่าอยากจะไปเห็นองค์ท่านอาจารย์พุทธทาสสักทีหนึ่ง แม่อ่านหนังสือท่านมานานแล้วว่าอย่างนั้น เผอิญเป็นปิดเทอม ด้วยความรักแม่เอ้าไปก็ไปหนูว่างพอดี ว่าอย่างนั้น ก็มาที่นี่ เมื่อปี 08 ได้ เพราะฉะนั้นเห็นจะต้องพูดว่า 16 ปีแห่งความหลัง ที่นี่ได้ให้ทุกสิ่ง จนกระทั้งเกิดความเข้าใจแทบจะว่าในเม็ดทรายทุกเม็ด ต้นไม้ทุกต้น แล้วก็ รู้สึกจะพูดด้วยได้ทั้งนั้น แล้วก็เข้าใจลึกซึ้ง หลังจากนั้นจึงคิดว่าเวลาที่ผ่านมาได้สูญเสียไปมากแล้ว เหลือเวลาที่จะเดินไปสู่หลุมศพสั้นนัก ถ้าอยากจะให้อายุยืนต่อไปอีก ต้องเร่งรีบทำงานและงานที่จะทำอาชีพราชการที่เป็นอยู่คือเป็นครูนั้นก็เป็นงานที่ดี คือช่วยสอนลูกหลานไทยให้ได้พบสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต แต่ก็ยังน้อยเกินไปเพราะในคนกลุ่มน้อยนั้นจะไม่สามารถที่จะช่วยกันลากจูง เหมือนอย่างกับเอาเรือบดไปลากจูงเรือเอี้ยมจุ๊นนั้นมันเป็นไปไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็คิดหากลุ่มกัลยาณมิตรที่จะช่วยกันทำงาน มีโอกาสใดที่จะใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด ก็เร่งรีบทำเสีย จึงได้เกิดการตั้งชมรมครูศีลธรรมแห่งประเทศไทยขึ้น แล้วก็ช่วยเหลือกับมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ ซึ่งคุณวิโรจน์ก็เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ที่นี่ ช่วยกันทำงาน อย่างในวันนี้งานของเราก็มีที่แม่ฮ่องสอน พระเณรบางรูปที่ปรารถนาจะมากราบเท้าท่านอาจารย์ก็มาไม่ได้เนื่องจากว่ามีงาน และวันมะรืนนี้ก็มีที่อยุธยา ซึ่งตัวดิฉันจะต้องรีบกลับไปช่วยกัน อย่าเรียกว่าไปปลุกเลย คือคล้ายๆกับว่าคนเป็นครูนี่เขาก็มีความรู้กันอยู่มาก แต่ว่าเขาลืมไปลืมคิดเหมือนกับจดหมายอันนี้ซึ่งก็ลืมอยู่ในกระเป๋า เพราะฉะนั้นถ้าเขานึกขึ้นมาได้ หยิบออกมาก็คงจะเป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นก็ทำหน้าที่เรื่อยไป และอาจจะกล่าวอย่างจริงใจเลยก็ได้ว่าที่ทำงานทุกวันนี้โดยแทบจะไม่มีเวลาหยุดยั้งนั้น นอกจากจะเพื่อแก้โง่ของตัวเองแล้ว ก็อยากจะพูดว่าที่สวนโมกข์นี้ สมชื่อจริงๆ ถ้าผู้ใดได้ศึกษาจากตำรับตำราท่านอาจารย์ อ่านให้ดีคิดให้มากแล้วปฏิบัติตามไป ยิ่งขณะนี้เราทั้งหลายมีพระเดชพระคุณท่านอาจารย์นั่งเป็นสักขีเป็นที่พึ่ง ขาดอะไรไม่เข้าใจอะไร จะได้รีบถามเสีย สำหรับตัวดิฉันเองบอกตามตรงว่ามาที่นี่ครั้งแรกนี่ กลัวท่านอาจารย์อย่างที่สุด กลัวกระทั่งเสียงนะค่ะ พยายามเที่ยวเดินเลาะแต่ไกลๆแล้วก็ฟังเอา เพราะฉะนั้นถ้ามั่วกลัวอยู่นะค่ะ ยังไกลบ่อน้ำที่เราจะได้ดื่มได้อาบได้กิน จึงขอรีบบอกคนรุ่นจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องหรือรุ่นลูกรุ่นหลานก็ตามนะคะ อย่ามัวเพลินอยู่มันจะสายเหมือนกับที่ดิฉันได้ออกมาสารภาพความโง่อยู่ในขณะนี้ ขอสารภาพความโง่ในขณะนี้และจะพยายามค่อยๆขูดเกลาตัวเองให้หายโง่ยิ่งขึ้น เพื่อจะได้ไม่เสียค่าที่ได้เกิดมา ขอขอบคุณคะ
ก่อนอื่นขอประกาศอีกแล้วครับ ขอประกาศพระวิบูลย์ ชื่นเนตร มีโทรเลขมานะครับ ขอนิมนต์มารับโทรเลขได้จากท่านอาจารย์โพธิ์ครับ ขอบพระคุณท่านอาจารย์สมทรงนะครับ นี่ครับเราได้ชีวิตหนึ่งแล้ว อย่างอาจารย์สมทรงทั้งชีวิตร้อนและชีวิตเย็นของอาจารย์ ชีวิตโง่และชีวิตฉลาดที่อาจารย์สมทรงได้มาบรรยายให้เราฟัง แล้วก็ถ้าเทียบดูแล้ว ก็ครึ่งพอดีนะครับ ถ้าเราเอาชีวิตเรา 80 ปี แล้วก็ครึ่งแรกของอาจารย์สมทรงร้อน แล้วก็ครึ่งหลังมาก็เย็นแล้ว มันก็เข้าแบบดีเหมือนกันนะครับ ฉะนั้นเราน่าจะได้ฟังๆแล้วก็มีขอคิด แล้วสะดุดใจผมอยู่อย่างหนึ่ง ไอ้เรื่องนี้เราก็ขอวิจารณ์ชีวิตกันต่อไปอีก เพื่อจะได้คิดๆกันไว้ ผมก็สะดุดใจผมว่าชีวิตของอาจารย์สมทรงนี้ ถึงแม้ว่าชีวิตร้อนมันซ่าอย่างไรก็ตาม แต่อาจารย์สมทรงก็ยังมีคติธรรมยังมีความเย็นอยู่ในซ่านั่นน่ะ ยังมีความเย็นอยู่ในความร้อนอันนั้นอยู่อย่างหนึ่ง คือว่าเกิดมาทีจะไม่ทำให้แม่มีน้ำตาตก คือยังมีความเชื่อฟังต่อคุณแม่อยู่ อยู่ตลอดเวลานะครับ จะเกิดมาแล้วจะไม่ทำให้คุณแม่น้ำตาตกนี่นะครับ สิ่งนี้แหละครับ ทำให้คุณแม่ก็ได้ดึงอาจารย์สมทรงมาวัด นี่แหละครับนี่เห็นหรือยังครับ บอกแล้วว่าบุตรที่เชื่อฟังพ่อแม่แล้ว มันไม่มีทางที่จะเสียไปไหนได้หรอกครับ นี่เราได้เห็นได้อย่างหนึ่งว่าจุดที่จะ จุดเริ่มแรกที่ทำให้อาจารย์สมทรงได้เปลี่ยนวิถีชีวิตก็คือคุณแม่นำมาสู่วัด ผมขอวิจารณ์ได้แค่นั้นว่าเป็นจุดสำคัญที่พวกเราน่าจะได้รู้สึกนึกคิดกันว่าคุณพ่อคุณแม่นั้นอย่างไรเสียก็ควรกตัญญูกตเวทีไว้นะฮะ คบไว้ อย่าไปดื้อดึงเลย ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนหรอกจะทำบุตรให้เสียหายในแบบนั้น เอาล่ะครับ
กราบนมัสการพระเถราหรือเถระ เจริญพรญาติโยมผู้ที่ใฝ่ในธรรมทั้งหลาย ซึ่งโอกาสนี่ก็ อาตมาได้มีโอกาสได้มาแสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวกับธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งญาติโยมทั้งหลายก็ได้ฟังแต่ละอาจารย์แต่ละท่านล้วนแล้วแต่เป็นผู้รู้และก็ผู้ประสบการณ์มามาก ในฐานะอาตมาหรือกระผมได้เข้ามาศึกษาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ก็ได้เห็นอะไรบ้างอย่างเกี่ยวกับธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมะพระพุทธเจ้านั้นถ้าพูดแล้วมันมีความลึกซึ้งเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นสันทิฐิโก อกาลิโก ซึ่งปฏิบัติได้ให้ผลได้ไม่จำกัดกาลเวลาสถานที่ ทีนี่เท่าที่อาตมาหรือกระผมได้ศึกษาและประพฤติปฏิบัติมานั้น ปรากฏว่าประการแรกที่เคยศึกษามาคือ ศึกษาส่วนมากศึกษาในแง่วัตถุคือเรามองอะไรก็มองในแง่วัตถุกันทั้งนั้น ไม่ว่าเราจะพูดจะคุยจะทำอะไรก็แล้ว ล้วนแต่ศึกษาในแง่วัตถุ แม้แต่เรียนศึกษาในโรงเรียนพระปริยัติก็ศึกษาในแง่วัตถุ ในแง่ประวัติศาสตร์ ฉะนั้นการศึกษาที่อาตมาหรือกระผมเคยศึกษามาแต่ก่อนนั้น รู้สึกว่าเอามาใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้คือได้ถึงได้แต่น้อยมาก เพราะงั้นถ้าศึกษาในแง่วัตถุหรือในแง่ที่เราเคยศึกษามาในแง่วัตถุนั้น ยิ่งศึกษายิ่งงง ยิ่งศึกษายิ่งไม่ได้รับประโยชน์ ทีนี้กระผมหรืออาตมามาย้อนศึกษาในแง่วิทยาศาสตร์ ในแง่วิทยาศาสตร์นั้น เป็นการศึกษาที่เห็นได้ไม่จำกัดบุคคลเพศวัย ใครทำใครได้ อย่างเช่นว่าเราโกรธ ถ้าเรามัวศึกษาในแง่วัตถุ เรามัวมองคนอื่นอยู่เรื่อย เพ่งโทษคนอื่นอยู่เรื่อย การเพ่งโทษคนอื่นแสดงว่าเราศึกษาในแง่วัตถุ แต่ถ้าเราโกรธแล้วมาดูความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรา เราจะเห็นชัดเลยว่าอะไรเป็นอะไร ความโกรธมันเป็นยังไงบ้าง เพราะเหตุนั้นการศึกษาพุทธศาสนาอาตมาจึงใคร่ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจหรือคนที่หวังความเจริญก้าวหน้าในทางพระพุทธศาสนาจงมาสนใจหรือศึกษาในแง่ของวิทยาศาสตร์กันเถิด แล้วธรรมะของพระพุทธเจ้าจะเห็น ทีนี้อย่างเช่นว่าเรานั้นเรียกร้องศีลธรรม เมื่อไรศีลธรรมจะกลับมา คือเราเรียกร้องกันอยู่อย่างนั้นแหละ คือเรามองศีลธรรมแต่ในแง่วัตถุ คือมอง ไม่ทราบว่ามองที่ไหน มองที่โน้นที่นี่ ที่ประเทศนั้นมีศีลธรรม ประเทศนี้ไม่มีศีลธรรม คือเรามองแต่ในแง่วัตถุ เลยมันไม่ค่อยเห็นศีลธรรม มันไม่ค่อยเห็นศีลธรรม ศีลธรรมนั้นตัวศีลธรรมจริงๆไม่ใช่วัตถุ มันเป็นภาวะอันหนึ่งในจิตใจของเราคือจิตใจมันปกติ ไอ้ตัวการปกตินั่นแหละตัวศีลธรรมอยู่ที่นั้น ศีลธรรมอยู่ที่นั้น อะไรหมดอยู่ที่นั้นหรือจะว่าอีกอย่างหนึ่งให้ไกลไปกว่านั้นว่า พระพุทธก็อยู่ที่นั่น พระธรรมก็อยู่ที่นั่น พระสงฆ์ก็อยู่ที่นั่น ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจปกตินั่นเอง เพราะฉะนั้นศีลธรรมถ้ามองในแง่ลึกแล้ว เราไม่สามารถที่จะเรียกร้องได้ เราเรียกร้องได้ก็ต่อเมื่อเรานั้นประพฤติปฏิบัติให้จิตปกติ ใครปฏิบัติให้จิตปกติเมื่อไรเมื่อนั่นแหละเรามีศีลธรรม ศีลธรรมก็จะมาปรากฏขึ้นแก่ใจ ทีนี่อุปสรรคของการมีศีลธรรมไม่มีอะไรอื่นนอกเหนือไปจากกิเลส กิเลสนี่แหละเป็นเหตุให้คนทั้งหลายไม่มีศีลธรรม ขาดศีลธรรมเพราะฉะนั้นธรรมะในพระพุทธศาสนานั้น ทุกข้อทุกๆข้อทั้ง 84,000 พระธรรมขันต์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องมือในการแก้กิเลสซึ่งเป็นเหตุให้คนไม่มีศีลธรรม เพราะฉะนั้นที่เรามานั่งอยู่ที่นี่ เรามีศีลธรรมหรือยัง ใช่ ถ้าเรามองในแง่ภายนอกเรามีศีลธรรมแล้ว บางคนนั่งสงบเสงี่ยม บางคนก็มีปกติอยู่แล้ว แต่ในส่วนภายในจิตใจอันนี้เราไม่ทราบ เราไม่สามารถที่จะรู้ รู้ได้ เพราะฉะนั้นอาตมาจึงใคร่ขอเสนอแนะว่าเรานั้นมาสวนโมกข์ แต่ไม่ถึงสวนโมกข์ ก็หมายความว่าเรามาเห็นสวนโมกข์แต่ไม่เห็นสวนโมกข์ มาสวนโมกข์หมายความว่าเรามาถึงแต่ส่วนสวนโมกข์แต่ในทางวัตถุ แต่สวนโมกข์ในทางนามธรรมนั้น เรายังอยู่ไกลมาก แม้แต่อาตมาผู้พูดเองก็ยังไม่ถึงสวนโมกข์ แต่บางครั้งก็ถึง บางครั้งก็ไม่ถึง เราเห็นอาจารย์พุทธทาสแต่ไม่เห็น ก็หมายความว่าเราเห็นแต่เนื้อหนังร่างกายของท่าน แต่ส่วนคุณธรรมส่วนลึกที่มันมีอยู่แล้ว เราไม่ค่อยเห็นก็หมายถึงว่าเราเห็นแต่ทางเนื้อหนังร่างกายในทางวัตถุเท่านั้น แต่ในส่วนจิตใจหรือนามธรรมนั้นเราไม่เห็น เพราะงั้นการศึกษาในพุทธศาสนาที่ไม่สำเร็จประโยชน์ก็เพราะว่าเราศึกษากันแต่ในแง่วัตถุ ซึ่งสมัยปัจจุบันนี้การคัดแย้งอะไรต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างนิกายก็ดี ระหว่างกลุ่มก็ดี ระหว่างเพศวัยก็ดี คือเรามาเทียบกันแต่ในแง่วัตถุ เราถือเอาแต่ความถูกความผิดในแง่วัตถุ คืออย่างนั้นดีอย่างนี้ไม่ดี คือเราพูดแต่แง่วัตถุกันเท่านั้น ไอ้ทางจิตใจที่มันหวั่นไหวๆ เราไม่ค่อยดูกันไม่ค่อยศึกษากัน เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ได้รับประโยชน์ องค์นั้นถูกองค์นี้ผิด สำนักนี้ผิด สำนักนั้นถูกล้วนแล้วแต่เอาวัตถุภายนอกมาเปรียบเทียบกันทั้งนั้น แน่นอนที่สุดถ้าเราเอาวัตถุเนื้อหนังร่างกายภายนอกมาเทียบกันมันจะเห็นแตกแยกกัน มันจะเห็นแต่ความแตกต่างกัน ไม่มีที่สิ้นสุด นับประสาอะไรเรื่องกลุ่มๆกัน กลุ่มนั้นกลุ่มนี้ แม้แต่เนื้อหนังรางกายที่เรานั่งกันอยู่นี้ เราลองเทียบกันดูสิว่า ลองเทียบกันดูมันจะเห็นความแตกแยกเห็นความแตกต่างกันเรื่อย ไม่มีที่สิ้นสุด ไอ้ความที่มันเหมือนกันเราไม่ค่อยมาพูดกัน ไม่ค่อยมาพูดกัน ไอ้ที่เหมือนกันคืออะไร ทุกคนทุกชีวิตต้องการความรอดพ้นจากความทุกข์นี่ล่ะเหมือนกันอยู่ตรงนี้ ทุกคน การกระทำของแต่ละมนุษย์ทุกเพศทุกวัยน่ะ ล้วนแล้วแต่ต้องการพ้นจากความทุกข์ แต่นี่เรามองไม่เห็นอย่างนั้น มองไม่เห็นอย่างนั้น มองไม่เห็นไอ้ทุกชีวิตเป็นเพื่อนทุกข์ร่วมเกิดแก่เจ็บตายทั้งหมดทั้งสิ้น เลยเราจึงเข้าใจผิด เกลียดคนนั้น ชังคนนั้น ดีใจกับคนนั้น เสียใจกับคนนี้ มันก็อยู่อย่างนี้ตลอดไป เพราะอะไรถึงเห็นอย่างนี้ เพราะว่าเรานั้นเป็นมิจฉาทิฐิ ไม่เป็นสัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิก็หมายถึงว่าเห็นถูกต้อง เห็นตรงคือไม่เห็นผิดพลาด เห็นแจ้งแทงตลอดทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่าง มันย่อม อย่างน้อยนะมันย่อมมีทั้งได้ทั้งได้ มีทั้งคุณและโทษ มีทั้งประโยชน์และไม่ใช่ประโยชน์ คนๆหนึ่งนั้นมันมีทั้งดีและชั่ว มันมีทั้งได้และเสีย ถ้าเราเห็นอยู่แค่นี้เราก็จะพ้นหมายถึงว่าอย่างที่หนึ่งเราเห็นแก่อัสสัตถะ (ไม่แน่ใจนาทีที่ 1:57:06) คือ คือคุณของมัน อัสสัตถะ(ไม่แน่ใจนาทีที่ 1:57:09) คือโทษ ทีนี่เราเห็นอยู่แค่นี้ก็ยังไม่พอ ต้องเห็นวิธีที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องเรียกว่านิสารณะ เพราะงั้นพุทธบริษัทของเราทั้งหลายขอให้เราจงอย่าทึ่งในปรากฏการณ์ภายนอก ขอให้จงศึกษาให้มันตลอดสาย ให้เห็นเป็นตลอดสาย และการพูดอะไรต่างๆขออย่าให้พูดแต่ในแง่วัตถุ อย่างเช่นอาจารย์องค์นั้นดี อาจารย์องค์นี้ดี คือเราพูดแต่ในแง่วัตถุทั้งนั้น เราไม่ค่อยพูดในแง่สัจธรรม อย่างเช่นการบุญทำบุญทำทานการบุญการกุศลต่างๆนี่เราพูดแต่ในแง่วัตถุ ได้บุญแค่นี้อย่างนั้นอย่างนี้ เราพูดในแง่วัตถุ อย่างเช่นว่าทำดีได้ดี ได้ดีหมายถึงว่าได้รางวัล ได้วัตถุอย่างเช่นได้คำชมได้คำสรรเสริญอะไรนี้ ถือว่าได้ดี ถ้าเราเข้าใจแค่นี้ยังไม่พอ ต้องเข้าใจลึกไปกว่านั้น ทำดีได้ดี ได้ดีหมายถึงได้ความดี อย่างเช่นทั้งหลายท่านนี้มาทำบุญหรือว่าทำกุศลนี้ ของดีไม่ได้หรอกญาติโยม เราไม่ได้ของดี เราได้ความดี ความดีคือคุณธรรมคือคุณธรรมความดีที่มันไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าได้ เรามีความอิ่มเอิบมีความปีติ มีความเต็มใจ มีความพอใจนั่นแหละเรียกว่าความดี พระพุทธเจ้าจน จนในที่นี้หมายถึงว่าจนวัตถุ แต่พระพุทธเจ้ารวย รวยอะไร ก็หมายถึงว่ารวยความดีนั่นเอง ความดีเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ของดีไม่แน่ ไม่แน่ เพราะฉะนั้นขอให้พุทธบริษัททั้งหลาย ผู้ที่หวังต้องการศีลธรรมกลับมา ขอให้เราจงให้ความยุติธรรมบ้าง หมายถึงว่าให้เราศึกษาให้ตลอดสาย ทีนี่มีข้อคิดหนึ่งว่าทุกวันนี้ชาวโลกต่างๆเขาแสวงหาสันติภาพ ความยุติธรรมอะไรต่างๆเรียกร้อง ส่วนมากหาภายนอกทั้งนั้น แต่ภายในจิตใจเราไม่ค่อยได้มอง ไม่ค่อยได้หากัน ตราบใดที่เรามองสันติภาพในภายนอก เราไม่เห็นเลย เราไม่เห็น ดีไม่ดีก็ตายในที่สุด ถ้าเรามองในความรู้สึกที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ครั้งหนึ่ง ทั้งทางรักทางชังเราจะเห็นทันทีเลย เดี๋ยวนี้ก็ได้ ถ้าใครยังมีจิตใจหวั่นไหวอยู่แสดงว่าสันติภาพยังไม่มี สันติสุขยังไม่มี สันติสุขมีได้ด้วยการเรากำหนดรู้ตามดู คือด้วยอาศัยศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง ทีนี้ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ไม่ใช่ว่าศีลอยู่ในตัวหนังสือ ศีล สมาธิ ปัญญาในที่นี้ก็หมายความว่าศีล สมาธิที่ปฏิบัติได้ อย่างเช่นยกตัวอย่างนี่ ญาติโยมทั้งหลายที่นั่งฟังด้วยการสำรวมระมัดระวังกายวาจาปกติไม่พูดไม่คุยกัน นั่นแหละท่านทั้งหลายกำลังมีศีลบริบูรณ์แล้ว ในขณะเดียวกันจิตจดจ่อในการฟัง นี่แหละเป็นสมาธิแล้ว ในขณะเดียวกันรู้เรื่องในการฟังนั้น ว่าพระคุณเจ้าพูดอย่างนั้นอย่างนี้ รู้เรื่องนั่นแหละปัญญา เพราะฉะนั้นศีล สมาธิ ปัญญา ต้องทำพร้อมกัน พร้อมกัน ทีนี้ศีล สมาธิมาใช้ในการดับทุกข์ เรามีความทุกข์อยู่จริงๆจิตใจเร่าร้อนเป็นตัวกูของกูขึ้นในจิตใจ เราก็เอาศีล สมาธิ ปัญญามาบำบัดมากระทำ ศีลรู้แล้วว่าทุกข์เกิดขึ้นแล้ว ศีล ไม่พูดกายปกติ วาจาปกติ นี่ๆเป็นตัวศีล ทีนี้เอาสติตามดูจิต สติตามดูจิตที่มันมีความเร่าร้อน นี่เรียกสมาธิ ในขณะเดียวกันเห็นความทุกข์มันไม่เที่ยงมันไม่ใช่ตัวตน เห็นชัดอยู่จริงๆ มันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไม่มีตัวตนหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ นี่เรียกว่าเห็นเรียกว่าปัญญา เพราะฉะนั้นศีล สมาธิ ปัญญาต้องกระทำพร้อมกัน ทำร่วมกัน แยกจากกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นขอให้เราศึกษาในแง่นี้ ในแง่นี้ ถ้าเราศึกษาในแง่นี้เราจะเห็นชัด กฎของอิทัปปัจจยตา มันก็ปรากฏชัด เห็นชัด สิ่งนี้มีสิ่่งนี้จึงมี สิ่งเกิดขึ้นสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เอาล่ะ การให้ขอคิดเห็นอะไรบ้างอย่างก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลาจึงขอยุติลงไว้แต่เพียงเท่านี้
ขณะนี้เวลาก็ร่วมบ่ายสามโมงแล้ว ท่านอาจารย์วัชรินทร์ได้เสนอวิธีศึกษาพุทธศาสนาในวันล้ออายุ คือว่าโดยมากที่เราศึกษาเรียนๆกัน โดยมากก็เรียนโดยวัตถุ แต่ว่าการศึกษาที่แท้จริงนั้นเป็นวิทยาศาสตร์ ท่านแนะว่าการเรียนธรรมะนี่ต้องเรียนให้เป็นวิทยาศาสตร์ แต่ว่าวิทยาศาสตร์นี่มันมีวิทยาศาสตร์ทางวัตถุ อย่างที่เขาเรียนในห้องเรียนนี่ ก็ต้องทดลองในห้องทดลองวิทยาศาสตร์ นี้ก็ไอ้พวกที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นี่ก็เป็นภัยเหมือนกัน ภัยของศาสนาเหมือนกันเพราะถ้าสิ่งไหนเรื่องใดไม่สามารถที่จะพิสูจน์ทดลองทางวิทยาศาสตร์ได้แล้ว เขาจะไม่เชื่อ เขาจะไม่ยอมเชื่อเป็นเด็ดขาด วิทยาศาสตร์ทางวัตถุก็เป็นภัยสำหรับศาสนาเหมือนกัน แต่ว่าวิทยาศาสตร์ทางนามธรรมนั้นพุทธศาสนาก็เป็นวิทยาศาสตร์ทางนามธรรม คือสามารถที่จะพิสูจน์ได้ บอกว่าต้องศึกษาจากตัวเองถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง มีสติสัมปชัญญะรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ให้ถึงพระไตรลักษณ์ พระไตรลักษณ์คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ในจิตใจและอารมณ์ที่มันเกิด เห็นจริงๆ ประจักษ์แจ้งจริงๆ แล้วก็กิเลสมันก็ไม่เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ก็ทำให้สามารถดับทุกข์ได้ ถ้าเราทุกท่านทุกคนมาล้ออายุในลักษณะอย่างนี้ก็ทำให้การปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้า เวลาที่ยังเหลืออยู่นี้ก็ ยังมีอาจารย์อีกหลายรูปนะครับ เอาไว้ตอนกลางคืนนะ สำหรับตอนนี้พัก หยุดพัก หยุดพัก บางทีหยุดเงียบสักหน่อย เราใช้เสียงกันมานานแล้ว ตั้งแต่เช้า ตั้งแต่ท่านอาจารย์บรรยาย เพราะฉะนั้นเราขอยุติการใช้เครื่องขยายเสียง อยู่กันแบบเงียบๆสักพักหนึ่ง แล้วก็มาประชุมพร้อมกันอีกบ่ายสามโมง