แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
เพื่อนสหธรรมิก ผู้สนใจในหน้าที่ของธรรมทายาท จนมีความยินดีในการที่จะอบรมกิจกรรมเพื่อธรรมทายาท เราพูดกันอย่างเพื่อนสหธรรมิก เพราะว่าเราเป็นเพื่อนสหธรรมิก ก็ช่วยกันอย่างเพื่อน ให้สำเร็จประโยชน์แก่คณะสงฆ์ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข นี่เป็นถ้อยคำที่เราจะต้องทำความเข้าใจกันให้ดี ๆ เราเป็นใคร? เราทำเพื่ออะไร? ด้วยความอุทิศต่อใคร? นี่เป็นต้น นี่เราจะต้องมีความเข้าใจดี ๆ ทีนี้เราก็จะรู้ความมุ่งหมายหรืออุดมคติของทุก ๆ อย่างที่เราจะต้องกระทำ หรืออยากจะทำ เป็นการถูกต้องแล้วที่เราจะอบรมธรรมทายาท อาศัยกิจกรรมนี้ปฏิบัติหน้าที่สนองพระพุทธประสงค์ หน้าที่ธรรมทายาทดูเหมือนท่านจะมุ่งหมายถึงการเผยแผ่ธรรมะยิ่งกว่าสิ่งอื่น ที่จริงมันไม่มุ่งหมายเฉพาะการเผยแผ่ธรรมะนะ แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราจะยกเอาการเผยแผ่ธรรมะขึ้นเป็นเรื่องแรก หรือเป็นเรื่องสำคัญ วิธีการเผยแผ่นี่มัน มันจำเป็นที่จะต้องมีอยู่ในโลก เพื่อให้ธรรมะเคลื่อนที่ มิฉะนั้นธรรมะมันก็จะติด จะจม จะลง ปักหลัก ไปไม่ได้ เราจึงต้องมีการเผยแผ่
วิธีการเผยแผ่ก็มีหลายรูปแบบหลายวิธี ได้ยินว่าท่านทั้งหลายมีความสนใจจะศึกษาวิธีการเผยแผ่ อย่างแบบท่านปัญญาฯ บ้าง อย่างแบบท่านพุทธทาสฯ บ้าง จึงรวมกลุ่มกัน แต่ขอให้เข้าใจว่ามันไม่เหมือนกันละ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องทำให้ได้ทุกแบบ แบบท่านปัญญาฯนี่จะเปรียบเหมือนกับว่าเป่าสังข์เงิน แบบท่านพุทธทาสฯนี่เหมือนกับเป่าอูฐเขาควาย บางคนยังไม่รู้ว่าอูฐเขาควายคืออะไร? เขาควายเขาเอามาเจาะรูแล้วก็เป่าเรียกร้องฅนมาซื้อปลา ใช้ประจำเรือประมงทุกลำ สมัยนี้ไม่ทราบนะ สมัยก่อนเรือจับปลาเล็ก ๆ ออกไปจับปลา พอเข้าปากน้ำมาก็เป่าอูฐเขาควาย ประชาชนก็รู้ว่า มาแล้ว มาแล้ว ก็มาคอยอยู่ที่หัวท่า คอยซื้อปลา ที่นี่เป็นของธรรมดา ภาคกลาง ภาคเหนืออาจจะไม่รู้จักก็ได้ เขาทำจากเขาควายเจาะรูแล้วก็เป่า สมัยโบราณทางตะวันตก ทางเมืองแขกเมืองฝรั่งก็มีอูฐเขาควาย นี่มันเขาเรียกว่า แตรเขาสัตว์ เป็นเครื่องเรียกร้องฅนมาสู่ความสนใจหรือเป็นอาณัติสัญญาณอะไรก็ได้ นี่หมายความว่าเราจะพูดกัน อย่างไพเราะหรือว่าพูดกันอย่างตรง ๆ ตอกเข้าไปอย่างตรง ๆ หรืออะไรอย่างนี้ มันหลายวิธีด้วยกัน แต่ทุกวิธีมันต้องใช้ทั้งนั้นแหละ เราเลือกเอาให้ดี ๆ ผมก็ทำได้หรือว่าอธิบายให้ฟังได้เฉพาะแต่ในวิธีที่ผมถนัด จึงอยากจะเปรียบกับว่าเหมือนกับเป่าอูฐเขาควาย พูดมันง่าย ๆ ตื้น ๆ ตรง ๆ แม้เรื่องลึกก็เอามาทำให้มันตื้น นี่พวกธรรมทายาทจะต้องรู้จักทั้งเป่าสังข์เงินหรือว่าทั้งเป่าอูฐเขาควายนี่ผมว่าดี
เราจะอบรมสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่หน้าที่ธรรมทายาท พูดง่ายๆก็อบรมความรู้ให้มันพอ เดี๋ยวนี้ความรู้มันไม่พอ ไม่ใช่จะดูหมิ่นดูถูกนะ อยากจะพูดว่าความรู้ยังไม่พอ รู้เพียงนักธรรมตรี โท เอกนี่ยังไม่พอ ควรจะเรียนนักธรรมชั้นพิเศษเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง อย่างที่เราพยายามเพิ่มเติมกันอยู่นี่มันอยู่ในลักษณะเป็นนักธรรมชั้นพิเศษต่อไปจากชั้นเอก เราก็จะอบรมกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายมันเข้มแข็ง อดทน เมื่อคราวอบรมธรรมทูตไปต่างประเทศนี่ เรากินอยู่อย่างง่าย เดินมาจากสถานีมาที่นี่ มาอยู่อย่างง่าย ๆ มาอยู่กลางดิน ที่สนามหญ้าลูกเสือน่ะ นอนกลางดินตลอดทั้งยี่สิบวัน เหมือนกับฟังยุงร้องเพลงน่ะ มันก็เข้มแข็งในทางร่างกาย มีอบรมการเสียสละ การเสียสละนี่น้อย ยังน้อยอยู่ ถ้าลำบากเข้าก็มักจะไม่ค่อยเอา มักจะทิ้งเสียโดยง่าย สาวกในทุกศาสนาอยู่ด้วยความเสียสละ เชื่อฟัง เสียสละ และเป็นชีวิตโสดไม่มีครอบครัวมันก็สะดวก นี่เราก็เป็นโสดอยู่แล้ว ไม่ต้องอบรมเรื่องความเป็นโสด แต่อบรมกำลังกายให้เข้มแข็ง ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไร พวกโรมันคาทอลิกเขาถือเป็นหลักสูงสุดของเขาเลยว่าจะต้องเป็นคนโสด จะต้องไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเลยเป็นของตัว ไม่มีเลย แล้วก็เชื่อฟังคำสั่งอย่างเคร่งครัดแม้จะต้องไปในที่ลำบากลำบนจนเสียชีวิตอย่างพระเยซูก็เขาก็ไป นี่เขาจึงทำงานสำเร็จด้วยหลักสามประการนี้ และในพุทธศาสนาของเราก็.. ก็เหมือนกันแหละคุณสังเกตดู ที่เราเป็นพระนี่มันก็คือ ก็คือไม่มีครอบครัวอยู่แล้ว เป็นโสดอยู่แล้ว แล้วถ้าเป็นพระกันจริงๆก็ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเป็นของตนได้ ถ้า..ถ้า...ถ้าถือหลักของวินัย นี่ก็เชื่อฟังพระเถระไปตามลำดับหรือผู้บังคับบัญชา ให้ไปทำอะไรก็ทำได้ ไปทำได้ นี่ก็อบรมสติปัญญาในอันดับสูงสุด นี่เรียกว่าเราจะต้องได้รับการอบรมอย่างน้อยก็ว่า อบรมกำลังกาย อบรมความรู้ทั่วไป อบรมการเสียสละ นี้อบรมสติปัญญา พอกพูนปัญญาให้เพียงพอแก่หน้าที่ของตน ขอให้การอบรมของเราเป็นไปในลักษณะนี้ จะที่นี่หรือที่ไหนก็สุดแท้แต่ขอให้ได้รับการอบรมในลักษณะนี้
ในวันนี้ผมกำหนดหัวข้ออบรมว่า “อุดมคติของธรรมทายาท” วันแรกนี่เราจะพูดกันเรื่องอุดมคติของธรรมทายาท หมายความว่าธรรมทายาทต้องมีอุดมคติเฉพาะของตน จะได้ตั้งหน้าตั้งตาทำให้ถึงที่สุดแห่งอุดมคตินั้น ตามคำ...ตามคำที่พูดว่าธรรมทายาท ซึ่งก็เป็นคำที่พระพุทธเจ้าท่านทรงใช้และท่านก็ขอร้องให้เราเป็นธรรมทายาท อุดมคติเป็นสิ่งที่จำเป็นถ้าไม่มีอุดมคติมันก็...ก็ล้มละลายละ เรามีอุดมคติกันทั้งนั้นแหละโดยเราไม่รู้สึกตัวก็ได้ แต่เราไม่เรียกมันถูกว่าอุดมคติเราเรียกไม่เป็นเราใช้คำพูดนี้ไม่เป็น แต่ว่าทุกคนอยู่ด้วยอุดมคติ ทำอะไรก็ทำไปด้วยอุดมคติ อุดมคติก็แปลว่า ทางไปสู่จุดหมายสูงสุด อุดมเหมือนว่าสูงสุด แต่คติแปลว่าหนทางไป อุดมคติก็แปลว่า หนทางไปสู่จุดสูงสุด ทุกคนจะมีอยู่ในใจจะวาดไว้ในใจ ถ้าไม่มีอุดมคติก็เคว้งคว้างไม่รู้จะไปไหน แต่บางทีเราไม่เคยศึกษาคำนี้ เราไม่ได้ใช้คำนี้ เราพูดคำนี้ไม่เป็น แต่นั่นมีอุดมคติทั้งนั้นละ สิ่งที่มีชีวิตมันมีความมุ่งหมาย เป็นอุดมคติ ตามสัญชาตญาณก็มี ตามสติปัญญาก็มี มันเพิ่มเติมความเฉลียวฉลาดเพิ่มขึ้น มันก็มีอุดมคติสูงขึ้น รวมความแล้วเราจะถือว่าทุกอย่างมันต้องมีอุดมคติ การกระทำทุกอย่าง แม้แต่แปรง.. แปรงฟันน่ะ แปรงฟันน่ะยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้ามีอุดมคติมันก็แปรงฟันได้ผลดี ถ้าไม่มีอุดมคติมันก็ทำไปส่งเดช อย่างแปรงฟันนี่ ถ้ามีอุดมคติมันก็แปรงฟันอย่างถูขึ้นถูลงตามซี่ฟัน แปรงมันก็แทรกไปในซี่ฟัน ถูขึ้นถูลง คนไม่มีอุดมคติมันก็ถูส่งเดช ซ้ายขวาซ้ายขวายุ่งไปหมด บางทีก็เจ็บเหงือกเสียเปล่า ๆ ฟันก็ยังไม่สะอาดเพราะมันไม่อุดมไม่มีอุดมคติ นี่พูดกันให้อย่างต่ำที่สุดนะ ว่าแม้แต่จะแปรงฟันมันก็ยังต้องมีอุดมคตินะ ยิ่งงานของธรรมทายาทน่ะมันมากกว่านั้นมากนัก ดังนั้นเราจะต้องมีความรู้สึกและความสำคัญของคำว่าอุดมคติ คือหนทางที่จะไปสู่จุดอุดมหรือสูงสุด ไปสู่อุด.
แนวความคิดก็ดี สติปัญญาก็ดี แม้แต่ทิฐิก็ดี มันต้องมีแนวของมัน ดิ่งไปสู่จุดสูงสุด ดังนั้นขอให้เรามีอุดมคติ ที่ชำระสะสางดีชัดเจนดี ทำได้ดี ไม่ใช่ละเมอ ๆ เดี๋ยวนี้นับว่าเผอิญโชคดีที่... ที่คำว่าธรรมทายาท ธรรมะ-ทายาทนี่ มันเป็นอุดมคติอยู่ในความหมายของคำนั้นแล้ว ผมขอร้องให้สนใจในคำว่า ธรรมทายาท ให้มาก ในคำว่า ทายาท ทายาทที่เป็นภาษาบาลีมีความหมายอย่างหนึ่ง คำว่าทายาดในภาษาไทยมีความหมายอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่อย่างเดียวกันนะ แต่มีประโยชน์ทั้งสองอย่าง เอาอย่างในภาษาไทยกันก่อน คำว่าทายาด หมายถึงความทรหดอดทน เช่น มันทนทายาด ไอ้นักมวยคนนี้มันทนทายาด คำว่า ทายาดในภาษาไทย มันทรหดอดทนเข้มแข็ง ยอมตายก็ไม่ยอมแพ้ นี่ทายาด นี่เอามาเป็นอุดมคติของพวกเราได้ ที่จะทำงานแก่พระศาสนา นี้ทายาทในภาษาบาลี คำนี้แปลว่า ผู้รับมรดก ไม่ใช่แปลว่าทนทายาด เราก็ต้องทำตนเป็นผู้รับมรดกตามความหมายในภาษานั้น คือสืบต่อพระพุทธประสงค์ กิจกรรมของพระพุทธเจ้า ความหวังของพระองค์ เรียกว่า สิ่งที่เราต้องรับมรดก แล้วเราก็ต้องทำด้วยความทรหดอดทนทายาด นั่นแหละเป็นทายาทกัน ทั้งสองความหมายนี่ รับมรดกพระพุทธเจ้า และก็ทำด้วยความอดทนอย่างทายาดทีเดียว จึงถือเอาไอ้คำว่า ธรรมทายาท เป็นอุดมคติได้ในตัว ขอให้ฝึกฝนการอดทน ความอดทน ทรหดอดทนให้มากเข้าไว้เถอะ จะทำงานธรรมทายาท คือ เผยแผ่ธรรมะได้ ถ้าออดแอดอ่อนแอก็เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่รอดหรอก เพราะแม้แต่ว่าจะทำกับพระไตรปิฎกก็ยังต้องอดทน ทำงานถึงวันละ 18 ชั่วโมงอยู่กับหนังสือก็ทำได้ อย่างนี้มันก็เรียกว่า ทายาด ทนทายาดเหมือนกัน ถ้าจะเดินไปเผยแผ่ธรรมะในบ้านในเมืองในโลกนั้นก็ยิ่งอดทนยิ่งขึ้นไปอีกนะ ทนแดด ทนฝน ทนหนาว ทนร้อน ทนอันธพาล ทนได้ทุกอย่าง มันก็ต้องมีความอดทนด้วยกันทั้งนั้น ขอให้ฝึกฝนไว้ให้มาก ๆ ความอดทนเรื่องกินเรื่องอยู่ เรื่องนุ่งเรื่องห่ม เรื่องเจ็บเรื่องไข้ เรื่องอะไรก็ตาม พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้มีมุ้งนะ พระพุทธเจ้าท่านไม่มีรองเท้านะ พระพุทธเจ้าท่านไม่มีร่มนะ ท่านอยู่ได้อย่างไรทนทายาด พระพุทธเจ้าไม่มีทาง ที่ว่าปวดหัวหน่อยก็จะวิ่งไปหาหมอเหมือนพระเณรเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ผมพูดดูถูกนะ พระเณรเดี๋ยวนี้ปวดหัวหน่อยก็วิ่งไปสุขศาลา พระพุทธเจ้าท่านไม่มีทางจะทำอย่างนั้นละ แม้จะเจ็บป่วยอย่างไรก็ไม่รู้ว่าหมออยู่ที่ไหนถ้าจะมีบ้างก็หมอก็มาหาท่าน มาช่วยท่านเอง ท่านปรินิพพาน จวนจะปรินิพพานก็ไม่พบกับหมอ เจ็บป่วยอย่างยิ่ง เดินทางไปเรื่อยไม่พบหมอ แล้วก็นิพพานโดยไม่ต้องพบหมอ ถ้าอย่างเดี๋ยวนี้จะเป็นอย่างไร ก็วิ่งหาหมอ บางทีเราไม่รู้สึกตัวแล้วเขาก็ยังไปเอาหมอมา พาเราไปโรงพยาบาล ซึ่งมันเกิน... มันเกิน เมื่อมันมีความเหมาะสมที่จะดับสังขารแล้วอย่าต้องเอาไปเลย ขืนเอาไปก็เป็นเรื่องบ้า ไม่ขอบใจเลย นี่ผมพูดอย่างนี้ช่วยเป็นพยานไว้ด้วย ผมมีอายุจะหก...จะ ๘๐ ปีอยู่แล้ว หรือ ๘๐ ปีแล้วขอให้มันไปตามธรรมชาติยถากรรมอย่าพาไปหาหมอ นี่เราอยากจะทนทายาด อยากเป็นไปตามธรรมชาติ ให้สนองคุณพระพุทธเจ้า เราต้องฝึกละฝึกความทดทายาด ต้องฝึกการเสียสละเพื่อรับมรดกของพระพุทธเจ้าในทุกแง่ ทุกมุม นี่คืออุดมคติของธรรมทายาท ที่ว่าเผอิญมันมีครบอยู่ในคำ ๆ นั้นว่า ธรรมทายาท ทายาดทรหดอดทน ทายาทรับมรดกด้วยความเต็มอกเต็มใจ ยอมกระทำแม้จะต้องเสียชีวิตก็ต้องไป ต้องทำ พวกคริสเตียน คิดสะตังค์เขาไปแผ่ศาสนาในแดนไกล ไปเสี่ยงกับความตาย เขาก็ไปอย่างนั้นแหละไม่มีทรัพย์สมบัติอะไร มีแต่หมวกใบหนึ่งกับไม้เท้าอันหนึ่งก็ไปแล้ว ขอให้นึกถึงอย่างนี้ไว้บ้าง ถ้ายึดถือเรื่องกินดีอยู่ดีในเรื่องปัจจัยสี่ละก็ ไม่มีทางจะทำงานอันนี้ได้
เอาละทีนี้เราจะถือเป็นหลักว่า จะต้องมีอุดมคติของธรรมทายาท ไอ้ความมีอุดมติที่ถูกต้องมันทำให้มีแผนการที่ถูกต้อง พอมีแผนการถูกต้องนั้นน่ะยังไม่ได้ทันทำอะไร ด้วยมือด้วยเท้าหรอกพอมีแผนการถูกต้องนี่ เขา เขา เขา เขาถือเป็นหลักกันทั้งโลกนะว่างานนั้นเสร็จไปครึ่งหนึ่งแล้วนะ ถ้ามีอุดมคิถูกต้องมีแผนการถูกต้องนั้น งานนั้นเท่ากับเสร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว เหลืออีกครึ่งเดียวสำหรับทำ แต่ถ้ามันไม่มีอุดมคิ มันไม่เป็นอย่างนั้นนะ มันมืดแปดด้านคลานต้วมเตี้ยมอยู่ที่ตรงนี้ นี่คือมันไม่มีอุดมคติ ดังนั้นขอให้มีอุดมคติที่ถูกต้องมีแผนการที่ถูกต้อง งานนั้นเท่ากับเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง คือมันจะง่าย มันจะง่ายเหลือเกิน อย่างผมจะมาพูดนี่ผมก็เขียนใส่กระดาษแผ่นนี้มาว่าจะพูดเรื่องอะไร พอผมเขียนเสร็จมันก็เท่ากับงานเสร็จไปตั้งครึ่งแล้วคือมันง่าย มานั่งพูดได้ง่าย ๆ ถ้าผมไม่ทำมาอย่างนี้ มันก็ไม่มีแผนการตามอุดมติ มันก็ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร ขืนพูดมันก็เคว้งคว้างไปทิศนั้นทางนี้ไม่รู้จะได้เรื่องได้ราวว่าอย่างไร นี่แม้แต่จะพูดสักชั่วโมงหนึ่งน่ะ มันก็ยังต้องมีอุดมคติ หรือมีแผนการ ส่วนเรื่องใหญ่ ๆ ข้ามเดือนข้ามปีมันก็ต้องมีแน่นอนน่ะ นั้นก็ถือเป็นหลักว่าเราจะมีอุดมคติที่ถูกต้องและมีแผนการสำหรับอุดมคตินั้นอย่างถูกต้อง แล้วงานนั้นก็เท่ากับว่าเสร็จไปครึ่งหนึ่งแล้วทีเดียว นี่ค่าของอุดมคติมันเป็นอย่างนี้ขอให้สนใจ
เอ้า,คราวนี้จะอุดมคติของธรรมทายาท ผู้จะเป็นธรรมทายาทจะต้องมีอุดมคติอย่างไร ? ไอ้เรื่องความอดทนทายาดนั้นไป ไปคิดเอาเองได้ผมไม่ต้องพูดเลยก็ได้ แต่ก็มีพูดบ้างเหมือนกัน แต่คิดว่าไปรู้เอาเองก็ได้ แล้วก็จะพูดถึงธรรมทายาทที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์ว่า “จงเป็นธรรมทายาทเถิดอย่าเป็นอามิสทายาทเลย” พระบาลีว่าอย่างนี้ เราก็ดูความหมายของคำว่า ธรรมทายาท (พระนวกะถามเบามาก) ทายาทแปลว่ารับมรดก (พระนวกะถามเบามาก) ที่รับมรดกเหมือนกับที่เขารับ ๆ กัน คือรับเงินรับของรับ...กินใช้สบายรวยใหญ่เลย มันก็โชคดีน่ะคนได้รับมรดก เขาตั้งภาษีไว้สูง เก็บภาษีคนมีมรดก คนได้รับมรดก เพราะมันง่าย นั่นรับมรดกอามิส รับมรดกผลประโยชน์ที่คนตายเขาทิ้งไว้ให้ได้กินได้อยู่ได้สบาย ไอ้มรดกอย่างนี้ไม่ใช่มรดกในความหมายที่พระพุทธเจ้าท่านประสงค์ เรารับมรดกการงาน แล้วรับมรดกอุดมคติด้วย พระพุทธเจ้าท่านประสงค์... มันก็... ยืดเยื้อ คือท่านไม่อาจจะทำสำเร็จได้ในเวลาอันสั้นในชีวิตของท่าน ท่านยังหวังว่าเรานี่จะได้รับมรดก ทำหน้าที่ตามความประสงค์ของท่าน นี่เราเรียกว่ารับมรดกการงาน ขอให้ตั้งใจรับยินดีรับด้วยชีวิตจิตใจด้วยความเคารพความรักความบูชาในพระพุทธเจ้า รับมรดกการงาน แล้วก็รับมรดกอุดมคติ หมายความว่าอย่าไปเอาแต่การงานง่าย ๆ เตี้ย ๆ ต่ำ ๆ อุดมคติของพระพุทธเจ้านั้นสูงมาก เราก็ต้องรับอุดมคติสูง เพื่อให้การงานมันสูง ท่านต้องการให้เผยแผ่ธรรมะ นี่เรียกว่าเป็นการงาน และอุดมคติคือจะเอาสัตว์ขึ้นมาเสียจากความ..กองทุกข์ทั้งมวลทั้งปวงนี่อุดมคติมันสูงอย่างนี้ เราก็ต้องเผยแผ่ธรรมะเพื่อหลักเกณฑ์อย่างนั้นแหละ คือทำกันให้ได้รับผลอันสูงสุด นั้นให้ง่ายขึ้นอีก เราจะต้องตั้งปัญหาว่า เราจะเป็นทายาทของใคร? นี่นี่จะไปไกลจะไปกว้างละ เราจะเป็นทายาทของใคร? พูดอย่างให้ไกลเหมือนกับเป่าอูฐเขาควายเลยนะ ว่ามันไปทุกด้านทุกแง่ทุกมุม ทายาทของพระธรรมก็ได้ ทายาทของพระพุทธเจ้าก็ได้ ทายาทของบูรพาจารย์อาจารย์ของเราด้วยก็ได้ หรือว่าทายาทของบรรพบุรุษปู่ย่าตายายนี่ก็ยังได้แต่ขอให้เป็นไปในทางธรรม พูดมาจากทางล่างว่าบรรพบุรุษของเราหวังในเราอย่างไร ต้องการให้เราดำรงสกุลอย่างไรสืบชื่อเสียงของวงสกุลอย่างไร ช่วยกู้หน้าของวงสกุลไว้ได้อย่างไร ก็ยอมรับมรดกอันนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นพระแล้วจะรับมรดกของวงสกุลไม่ได้ นั้นจะทำให้วงสกุลมีเกียรติมีความหมายเป็นที่เคารพนับถือยิ่งกว่าที่จะเป็นฆราวาสเสียอีก ขออภัย ยกตัวอย่างผมเองดีกว่า ไม่ใช่จะอวดดี ขออภัยด้วยที่ยกตัวอย่าง ถ้าผมสืบสกุลด้วยการเป็นฆราวาส สวนโมกข์ไม่มี อะไรก็ไม่มี ไม่มีใครรู้จักเมืองไชยยาก็ได้ แต่ด้วยเหตุที่ผมรับมรดกวงสกุลด้วยการมาทำอย่างนี้ คือบวชแล้วก็ไม่ได้สึกออกไป ก็ทำอะไรได้บ้าง ก็เห็น ๆ กันอยู่ มันก็เป็นศักดิ์ศรีแก่วงสกุลหรือเป็นการสืบสกุลได้เหมือนกัน ในด้านจิตด้านวิญญาณด้านนามธรรม ได้มากกว่าไกลกว่าสูงกว่ามีประโยชน์กว่า มีประโยชน์ทั้งแก่วงสกุลหรือมีประโยชน์แก่คนทั้งโลก มันเป็นไปได้มากกว่า นี่ก็เรารับมรดกหรือสืบมรดกซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ของวงสกุล ไม่ว่าวงสกุลไหน ก็ต้องการให้มันอยู่ยืนทั้งนั้น ก็รับมรดกคือสืบ นี่เรียกว่าของบรรพบุรุษแท้ ๆ ปู่ตาย่ายายยายชวดตาทวดที่ตาหลับตาตายไปแล้วก็หวังว่าให้ลูกหลานข้างหลังทำอย่างไร ท่านก็หวังให้มัน ให้มันมีศักดิ์ศรีแก่วงสกุลของท่านทั้งนั้นแหละ ถึงแม้เราเป็นธรรมทายาทนี่ ถ้าทำไม่ดีมันย้อนกลับไปเป็นศักดิ์ศรีแก่วงสุลของเรา ทั้งที่เราไม่ได้ไปเป็นฆราวาสอยู่ในสกุลนั้นอีกต่อไป ทีนี้ก็รับมรดกบูรพาจารย์ อุปัชฌาย์อาจารย์ที่สืบ ๆ ต่อกันมา นี่บิดามารดาฝ่ายธรรมฝ่ายวินัยก็มี อุปัชฌาย์อาจารย์ของเราที่ล่วงลับไปแล้วท่านก็หวังให้เราทำอะไรที่เป็นศักดิ์ศรีแก่ท่าน เราก็ยอมรับมรดกอันนี้ จะทำอะไรให้เป็นเกียรติเป็นศักดิ์ศรีแก่อุปัชฌาย์อาจารย์ผู้ล่วงลับไปแล้ว ก็เรียกว่าทายาทเหมือนกัน เป็นทายาทของอุปัชฌาย์อาจารย์
เอ้า,ที่นี้สูงขึ้นมาเป็นทายาทของพระพุทธเจ้าตามพระพุทธประสงค์ มันก็มีสูตรอยู่สูตรหนึ่งในมัชฌิมนิกาย ไปเปิดอ่านดูเองก็ได้ เรีกว่า ธรรมทายาทสูตร ท่านทรงหวังให้เราเป็นธรรมทายาทอย่าเป็นอามิสทายาท ก็คือช่วยกันปฎิบัติน่ะ รักษาพระศาสนาไว้ให้ได้ เมื่อพระองค์จะปรินิพพาทท่านตรัสว่า “ธรรมวินัยที่เราได้แสดงไว้ ได้บัญญัติไว้นี้ จักอยู่เป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย ในกาลแห่ง... ในการแห่งการล่วงลับไปของเรา” คือเมื่อท่านปรินิพพานแล้วท่านหวังว่าธรรมวินัยที่ได้แสดงไว้บัญญัติไว้จักอยู่เป็นพระศาสดาแทน ทีนี้ลองคิดดูว่าพระธรรมวินัยนั้นจะอยู่ได้อย่างไร? จะอยู่ได้อย่างไร? แม้ว่าพระพุทธเจ้าจะได้ตรัสไว้อย่างนั้นเถอะ จะอยู่ได้อย่างไร? มันก็อยู่ได้เพราะเรานี่ สาวกในชั้นหลังนี่ทำไว้ให้มันอยู่ได้ คือบวชจริง เรียนจริง ปฎิบัติจริง ได้ผลจริง สอนกันไปจริง ๆ เผยแผ่กันไปจริง ๆ นั้นละ ธรรมวินัยจะอยู่ได้ตามพระพุทธประสงค์ อย่างนี้ก็เรียกว่าสืบทายาทของพระพุทธองค์ ใช้คำว่าของพระพุทธองค์ เราเป็นธรรมทายาทกันในส่วนนี้ ทีนี้ที่มันออกจะประหลาดกันได้ ที่ผมพูดว่า พูดให้มันยืดยาวไป เป็นธรรมทายาทของพระธรรม นี่ไม่ใช่พระพุทธเจ้านะ หมายถึงพระธรรม มันจะเป็นธรรมชาติเสียด้วย ดังนั้นเราจะทำให้เป็นอันว่าพระธรรมไม่สูญไปจากโลกก็แล้วกัน ไอ้คำบัญญัติของคำว่าธรรมอยู่ในสี่ความหมายนั้น ผมขอร้องให้ช่วยกำหนดกันไว้ดี ๆ จะสะดวกมากจะมีประโยชน์มาก แม้จะไม่พบในพระบาลีในอรรถกถาโดยตรง แต่ผมก็คั้นมันออกมาจากพระบาลีจากอรรถกถานั้นเอง ได้ความหมายมา ๔ ความหมายสำหรับคำว่า ธรรม
ความหมายที่หนึ่งคือ ธรรมชาติทั้งปวง ก็เรียกว่าธรรม จะเป็นรูปธรรม เป็นนามธรรม เป็นสังขตธรรม เป็นอสังขตธรรม ไม่ยกเว้นอะไร ไม่ยกเว้นสิ่งใดหมด ก็เรียกว่า ธรรม ธรรมชาติ ขี้ฝุ่นสักเม็ดนึงก็เป็นธรรมชาติ พระนิพพานสูงสุดก็เป็นธรรมชาติ หมายความว่าไม่มีอะไรจะยกเว้น สังขตธรรมมีปัจจัยปรุงแต่งก็เป็นธรรมชาติ อสังขตธรรมไม่มีปัจจัยปรุงแต่งก็เป็นธรรมชาติ แม้แต่ตัวการปรุงแต่งนั้นเองมันก็เป็นธรรมชาติ อย่างนี้เราเรียกว่าธรรมชาติ ตัวธรรมชาติในบาลีเขาเรียกว่า ธรรม นี่ความหมายที่หนึ่ง
ความหมายที่สองคือ กฎของธรรมชาติ ในธรรมชาติทั้งหลายมีกฎ ไม่อย่างนั้นมันไม่เกิดขึ้นมามันไม่ตั้งอยู่มันไม่เปลี่ยนไป ในธรรมชาติทั้งหลายมีกฎของธรรมชาติ เป็นทั้งโลกนี่ดวงดาวทั้งโลกทั้งจักรวาลมันเป็นตัวธรรมชาติและมันมีกฎของธรรมชาติควบคุมอยู่โลกจึงเป็นอย่างนี้ ดวงดาวทั้งหลายจึงเป็นอย่างนี้ มันอยู่กันได้ไม่วิ่งชนกันแม้มันจะวิ่งชนกันมันก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่มันอยู่ได้อย่างเป็นระเบียบนี่มันก็เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ถ้ามันฝืนกฎมันแตกกระจายสูญหายไปแล้ว มันยังเหลืออยู่แต่ที่กำลังเป็นไปตามกฎ เนื้อหนังร่างกายของเราดินน้ำลมไฟนี่ก็เป็นธรรมชาติ ในนั้นมีกฎของธรรมชาติควบคุมให้เป็นไป เป็นของน่าอัศจรรย์ที่สุดในร่างกายของเราคนหนึ่ง ๆ น่ะ ระบบตา ระบบหู ระบบจมูก ระบบคอ แต่ละระบบนี้มีเรื่องมากน่าอัศจรรย์ ทำงานอัตโนมัติ เช่นมีอะไรเข้าตาน้ำตาก็ออกมาเอง อย่างนี้น่ะมันมีมากและมันเป็นไปได้เองตลอดทั้งตัว มันมีกฎของธรรมชาติทำให้เป็นเช่นนั้น นี่ของเล็กของใหญ่ของน้อยของอะไรก็ตามมันมีกฎของธรรมชาติ กฎนี้ก็มีได้ทั้งฝ่ายสังขตและฝ่ายอสังขต แต่ว่าฝ่ายอสังขตมันไม่... ไม่ต้องเป็นไปอะไร มันไม่ต้องมีกฎ ไม่ต้องมีกฎอะไรก็ได้เพียงแต่ว่ามันมีอยู่อย่างอสังขต แต่ฝ่ายสังขตสังขารทั้งหลายนี่มีกฎมากตามปริมาณของสังขารทั้งหลายที่มันมีมาก แต่ถึงอย่างไรก็ดีกฎธรรมชาติเหล่านี้ก็ยังเป็นสิ่งที่เรียกว่า ธรรม พยางค์เดียวเท่านั้น ภาษาบาลีเรียกว่า ธรรม พยางค์เดียว หมายถึงสัจจะของธรรมชาติหมายถึงกฎของธรรมชาติ
ทีนี้กฎของธรรมชาติมันบังคับให้สิ่งที่มีชีวิตโดยเฉพาะนะ ต้องทำหน้าที่นะ ไม่ทำหน้าที่ตามกฎธรรมชาติแล้วมันตายนะ คนก็ดี สัตว์ก็ดี ต้นไม้ก็ดี อะไรก็ดีที่มีชีวิตแล้วต้องทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ไม่ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติมันก็ตายละคิดดูเถอะ เป็นว่าเราจึงมีหน้าที่หาอาหาร กินอาหาร ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ จะต้องอาบ ต้องบริหาร ต้องทำอะไรให้มันถูกต้องในส่วนร่างกายและก็ส่วนจิตใจและก็ส่วนวัตถุปัจจัย ถูกต้องไปหมด มีหน้าที่ต้องทำจึงจะรอดอยู่ได้ สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกัน ต้นไม้ต้นไร่ก็เหมือนกัน นี่ก็เรียกว่า ธรรม เหมือนกัน หน้าที่ตามกฎธรรมชาติก็เรียกว่า ธรรม ปทานุกรมของชาวอินเดียเขาแปลคำว่า ธรรม นี้แปลว่าหน้าที่ เขาไม่แปลว่า คำสั่งสอนของของใครละ ธรรม แปลว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เมื่อเราทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั่นแหละคือเราประพฤติธรรม แม้เราทำหน้าที่ธรรมทายาทนี่ก็ขอให้ถือให้ถือว่าประพฤติธรรมด้วยเหมือนกันนะ ทำหน้าที่ที่ควรทำ นี่ทำในฐานะที่เป็นหน้าที่
ทีนี้ในความหมายที่สี่คือ ผลที่ได้รับจากหน้าที่ ได้ผลอะไรมานั้นก็เรียกว่า ธรรม ในฐานะเป็นผล มัน ธรรม คำเดียว ออกเสียงในภาษาไทยเพียงพยางค์เดียวก็มีความหมายถึงสี่ คือว่า ธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ และผลที่เกิดจากหน้าที่นั้น
การที่เราดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาตินั้น มันก็ทำให้ธรรมะปรากฏอยู่ ทำให้ธรรมะมีอยู่ ให้เป็นที่ประจักษ์อยู่ แต่ถึงเราจะไม่ทำหน้าที่อันนี้ ไอ้ธรรมะตามธรรมชาติมันก็มีของมันแหละ แต่ที่มันจะมามีอยู่ในตัวคนนี่ จะมันมาเป็นประโยชน์แก่คนนี่ คนมันต้องทำ ดังนั้นธรรมชาติหรือธรรมนี่มีประโยชน์แก่มนุษย์มาแล้วอย่างไรเราจะสืบกิจกรรมอันนี้ไว้ยังคงมีประโยชน์แก่มนุษย์อย่างนั้น เรียกง่าย ๆ ว่า สืบอายุการปฎิบัติธรรม เพื่อให้ธรรมยังคงมีประโยชน์แก่มนุษย์ นี่เรียกว่าจะเป็นทายาทของธรรม แต่ในพระบาลีนั้นที่ว่าธรรมทายาทนั้นรับมรดกพระพุทธเจ้านะ นี่ผมว่าไกลออกไปถึงกับรับมรดกธรรม คือ ธรรมชาติ ธรรมชาติมันได้กระทำแก่มนุษย์อย่างไร คุ้มครองมนุษย์อย่างไร ขอให้ช่วยกันสืบต่อการกระทำของธรรมชาติอันนั้นไว้ด้วยโดยเราประพฤติให้มันถูกธรรม เราทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติให้สุดฝีไม้ลายมือของเรา นั่นละคือเราสืบมรดกของธรรม แล้วก็เป็นการตรงตามพระพุทธประสงค์ด้วย จึงเป็นการสืบมรดกของพระพุทธเจ้าด้วย และก็ตรงตามความประสงค์ของบูรพาจารย์ของเราด้วย ก็เลยเป็นสืบมรดกบูรพาจารย์ของเราด้วย กระทั่งว่าสืบมรดกปู่ย่าตายายบรรพบุรุษของเราด้วย ด้วยการประพฤติธรรมเพียงอย่างเดียว ด้วยการประพฤติธรรมเพียงอย่างเดียวเราจะทำหน้าที่ ทายาท ครบถ้วนบริบูรณ์หมดเลยทั้งสี่ความหมาย นั้นขอให้กิจกรรมธรรมทายาทนี่มันเป็นการทำให้ธรรมมะยังครองโลกอยู่ และก็ได้ชื่อว่าสืบมรดกพระธรรม สืบมรดกพระพุทธ สืบมรดกพระสงฆ์ สืบมรดกบรรพบุรุษปู่ย่าตายาย เห็นไหมมันมากมายเหลือเกิน มันเกินกว่าที่ลงทุนด้วยชีวิตนี้ ชีวิตนี้มันเล็กเกินไป เมื่อลงทุนเพื่อได้ผลอันสูงสุดอย่างนั้นมันก็ควรจะลง ลงทุนด้วยชีวิตนะ แต่เมื่อเรามองไม่เห็นเราก็ไม่ลงละ เราก็เห็นแต่ประโยชน์สุขส่วนตัว ไม่สืบธรรมทายาทของธรรม สืบมรดกของธรรมที่เคยทำหน้าที่คุ้มครองโลกให้ยังคงคุ้มครองโลกอยู่ นี่สืบมรดกของธรรม เป็นธรรมทายาทของธรรม ก็จะเป็นธรรมทายาทของพระพุทธ เป็นธรรมทายาทของพระสงฆ์ เป็นธรรมทายาทของไอ้บรรพบุรุษของเรา แม้จะเป็นความประสงค์อันต่ำต้อยก็ควรจะรับรู้รับผิดชอบด้วยเหมือนกัน เพราะว่าเราได้ทำหน้าที่อันใหญ่หลวงสืบมรดกของธรรมที่จะคุ้มครองโลก กิจกรรมของธรรมทายาทจึงเป็นเรื่องคุ้มครองโลก และสืบมรดกธรรมตามพระพุทธประสงค์ ตามหน้าที่ของพระสงฆ์ ตามหน้าที่ของบูรพาจารย์ของบรรพบุรุษอย่างนี้ บางคนจะเคยอ่านมาแต่ธรรมทายาทสูตรและก็ทำตามพระพุทธประสงค์นี้ก็ได้เหมือนกันแหละ เอ้า,ทำตามพระพุทธประสงค์กันเรียกว่าสืบธรรมทายาท แต่อย่าลืมว่าท่านให้ประพฤติธรรมเพื่อประโยชน์แก่โลกนะ ท่านให้สืบอายุความเป็นพระอรหันต์ไว้ให้ยังคงมีอยู่ในโลกนะ คุณอย่าไปแปลความหมายเป็นอย่างอื่นเสียนะ ที่ว่าพระพุทธองค์ทรงประสงค์ให้เป็นธรรมทายาทนั้นน่ะ ท่านให้สืบต่อความเป็นพระอรหันต์ไว้ให้ยังคงมีอยู่ในโลก ไป ๆ มา ๆก็ไปเข้าแนวเดียวกันว่าสืบธรรมทายาทของธรรม ซึ่งท่านใช้คำว่าธรรมทายาท มันก็มีความหมายหมดเลย สืบต่อกิจกรรมของธรรมมะที่ครองโลก ของพระพุทธเจ้าที่ช่วยโลก ของพระสงฆ์ที่เป็นนาบุญของโลก ของบูรพาจารย์ ของบรรพบุรุษ ของอะไรก็ล้วนแต่ เพื่อความสุขสวัสดีให้ในโลกนี้ทั้งนั้น
เมื่อถามว่า ธรรมทายาทนี่ทำกิจกรรมอะไร ธรรมทายาทนี้ทำกิจกรรมตามพระพุทธประสงค์ สืบอายุพระอรหันต์ไว้ให้ยังคงมีอยู่ในโลก ตามพระพุทธภาษิตที่ว่า อิเม เจ ภิกขะเว ภิกขู สัมมา วิหะเรยยุง อะสัญโญ โลโก อะระหันเตหิ อัสสะ ถ้าภิกษุเหล่านี้จะอยู่โดยชอบ สัมมาวิหะเรยยุง อยู่โดยชอบ โลกนี้ไม่ว่างจากพระอรหันต์ เราอาจจะทำให้โลกนี้ไม่ว่างจากพระอรหันต์ตามพระพุทธประสงค์ได้โดยกิจกรรมของธรรมทายาทนั่นเอง สัมมาวิหะเรยยุง อยู่โดยธรรมอยู่อย่างถูกต้อง ระบุไปได้เลยว่า อธรรมิกมรรค นั่นแหละ เรียกโดยชอบ เป็นอยู่โดยชอบคือเป็นอยู่โดย อธรรมิกมรรค แปดประการ สัมมา... สัมมา.. สัมมา... สัมมา... นี้ว่าโดยชอบนี่แหละ สัมมาวิหะเรยยุง โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ มันก็ไม่มากมายจนเกินไปละ สืบอย่างนี้ไปได้ก็เป็นสืบมรดกเป็นทายาทหมดเลย เป็นอยู่โดยชอบไม่ให้โลกว่างจากพระอรหันต์เพียงอย่างเดียวนี้ ก็จะเป็นการสืบมรดกทุกอย่างด้วยครบ เราไปมองให้ดี ให้เข้าใจ อุดมคติทั้งหมดนี้ เป็นธรรมทายาท ธรรมทายาทคือรับช่วงการงานรับช่วงอุดมคติ อย่ารับช่วงแต่มรดกสิ่งของ อามิส เป็นทายาทของใคร? เป็นทายาทของธรรม อย่างที่ว่าแล้ว ก็จะเป็นทายาทของพระพุทธพระสงฆ์ บูรพาจารย์ บรรพบุรุษอะไรด้วยได้ เราเป็นทายาทจะต้องทำกิจกรรมอะไร? กิจกรรมตามพระพุทธประสงค์ นี่พูดอย่าง พูดอย่าง... อย่างเอาเปรียบ พูดอย่างรวบยอด พูดอย่าง อย่างผิดไม่ได้ สืบอายุความเป็นพระอรหันต์ไว้ยังคงมีอยู่ในโลก โดยการประพฤติปฎิบัติชอบตามพระพุทธภาษิตนั้น นี่อุดมคติของธรรมทายาทมีอย่างนี้
ทีนี้ดูกันต่อไปสักนิดหนึ่ง คือผลที่จะเกิดขึ้น หรือผลที่เราจะได้รับ หรือผลที่เราควรจะหวังว่าจะได้รับ เราหวังผลอะไรกัน? ถ้าไม่มีผลเป็นที่หวังอุดมคตินั้นไม่สมบูรณ์ แผนการนั้นไม่สมบูรณ์ยังมืดแปดด้าน เราก็จะต้องรู้ว่าเราควรจะได้ผลอย่างไรหรือควรจะหวังผลอย่างไรแม้ว่ายังไม่ได้ก็ต้องหวังละ เออ.. พูดถึงหวัง ๆ นี่ ขอ.. ขอโอกาสพูดเสียเลยว่า หวังน่ะ มันสองความหมาย หวังด้วยกิเลสตัณหานี่เป็นกิเลสเลวร้าย ความหวังนั้นใช้ไม่ได้ ความหวังนั้นเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ เขาเรียกว่า อาสา ความหวัง ตัณหา ความอยาก นี้มันหวังด้วยกิเลส หวังด้วยกิเลส ผู้หวังจะเป็นทุกข์เป็นทุกข์ทันทีที่หวัง แต่นี่เราหวังด้วยสติปัญญา ด้วยสัมมาทิฐิ ไม่ควรจะเรียกว่าหวังละ จริง ๆ น่ะ ก็จะเรียกว่าต้องการอะไรทำนองนั้นน่ะ ถ้าต้องการด้วยกิเลสตัณหามันก็เป็น อาสา ความหวัง ตัณหา ความอยาก เป็นเหตุแห่งทุกข์ แต่ถ้าเราต้องการด้วยสติปัญญาอันถูกต้อง สัมมาทิฐิอันถูกต้องนั้นอย่าไปเรียกมันว่า ความหวังเลย อย่าไปเรียกว่าตัณหา อย่าไปเรียกว่าอาสา ให้เรียกเสียใหม่ว่าสังกัปโป ความคิดความหวังที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมมะด้วยสติปัญญานั้นท่านเรียกว่า สังกัปโป แปลว่า ความหวังด้วยสติปัญญา ถ้าแปลเป็นไทยผมไม่อยากให้แปลว่า ความหวัง มันจะไปปนกับความหวังของกิเลสตัณหา เวลาเราให้พรทายกทายิกาเราก็ใช้คำว่าสังกัปปา สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา อย่างนี้ สังกัปปานั้นแหละคือ ความต้องการด้วยสติปัญญาในสิ่งที่ควรจะต้องการ
เดี๋ยวนี้ผมบอกว่าให้มีความตั้งใจในหน้าที่ของธรรมทายาทให้ตรงตามพุทธประสงค์ ถ้าพูดไทย ๆ ธรรมดาก็พูดว่า หวัง แต่ถ้าพูดภาษาธรรมะที่ถูกต้องละก็เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ ความดำริที่ชอบ มันจะได้ไม่เป็นตัณหาไม่เป็นกิเลสไม่เป็นความทุกข์ ประชาชนในโลกทั้งโลกอยู่ด้วยความหวังชนิดที่เป็นความทุกข์ คือหวังด้วยกิเลสตัณหา เขาไม่ได้หวังด้วยสติปัญญาดังนั้นเขาจึงผิดหวังอยู่ตลอดเวลา ฆ่าตัวตายกี่หน ๆ มันก็ไม่แก้อะไรได้ เพราะเขามันหวังด้วยกิเลสตัณหาเป็นความหวังเอาเสียจริง ๆ พวกประชาชนเขาไม่ยอมฟังธรรมอธิบายอันนี้ละ เพราะว่าเขา..เขา เขาอยู่ไม่ได้ถ้าปราศจากความหวัง แม้ว่าเราจะอธิบายให้เห็นว่ามัน..มัน.. มันความหมายคนละอย่าง เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจ นี่ก็เป็นปัญหาอันหนึ่งซึ่งจะต้องไปช่วยทำความเข้าใจให้แก่ประชาชนด้วย เมื่อเราจะเผยแผ่พระศาสนา ว่าคุณจงอยู่ด้วยสัมมาสังกัปโป ความคิด ความดำริที่ถูกต้อง อย่าอยู่ด้วยกิเลส ตัณหา อาสา อะไรที่เป็นความหวังของกิเลสคุณจะทนทรมาน พอหวังอะไรมันก็ผิดหวังทันทีนะ หวังจะมีเมียสวย มีผัวดี พอหวังเท่านั้นละก็ผิดหวังทันทีละ มันไม่มาให้ได้ละ มันก็ทนทรมานไปเรื่อยบางทีกว่าจะสมหวัง แม้สมหวังแล้วก็ยังเป็นทุกข์ถ้าหวังด้วยชนิดนี้ และมันยากนักที่จะสมหวังเพราะฉะนั้นมันก็เป็นโรคประสาทตายไปเสียมากแล้ว เพราะความหวังด้วยกิเลสตัณหา เดี๋ยวนี้เราหวังในหน้าที่ของธรรมทายาท เรามีสังกัปโป คือ สัมมาสังกัปโป ดำริให้หน้าที่นี้เป็นไปอย่างถูกต้องอย่าทำด้วยความหวังที่มาจากกิเลสตัณหา แล้วก็หวังผล แต่ไม่ใช่.. ไม่ใช่ภาษาชาวบ้าน ไอ้หวังผลอย่างภาษาชาวบ้าน พอหวังก็ผิดหวังแหละ เอาละ... ว่าปลูก.. ปลูกต้นไม้ ปลูกสับปะรดสักกอหนึ่ง ปลูกกล้วยสักกอ ถ้าหวังมันก็ผิดหวังแหละ นี้เราไม่ต้องหวังละ เราตั้งใจว่าจะปลูกก็ละกัน ปลูก.. ปลูก.. ปลูก มันก็ออกผลกินผลได้ ไม่มีผิดหวัง ไม่ทรมานใจด้วยความที่ไม่.. ไม่ได้ตามหวัง ยังไม่สมหวัง ยังหวังอยู่ คือมันยังผิดหวังอยู่
นี่พวกธรรมทูต ถ้าอยากจะเข้มแข็ง ชุ่มชื่น เข้มแข็งแล้วอย่าไปหวังโง่ ๆ อย่างนั้นนะ อย่าหวังอวดคน อย่าหวังเอาลาภผล อย่าหวังเอาไอ้เกียรติยศอะไรชนิดนั้น อย่างนั้นมันเป็นหวังด้วยกิเลสตัณหา แต่ว่าเรามี สังกัปโป สัมมาสังกัปโป สนองพระคุณของพระพุทธองค์ นี่อย่างนี้ไม่เรียกว่าความหวัง แต่แล้วผมก็ต้องพูดว่าความหวังน่ะ เพราะพูดไทยภาษาไทยภาษาชาวบ้านมันก็ต้องพูดว่าความหวังอยู่ดี ในแผน... ในโครงการแผนการอะไรที่เขาจะเขียนขึ้น เขาต้องใช้คำว่าความหวัง ผลที่จะหวังได้ แต่ถ้าความหวังนั้นมันมีความหมายไปทางกิเลสตัณหาละก็ มันบ้า มันหวังให้เป็นทุกข์ หวังให้ผิดหวัง หวังให้ทรมาน งั้นเราไม่ได้หวังชนิดนั้นนะ เราหวังด้วยสติปัญญา สังกัปโป เราก็จะทำไปได้โดยไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อน ไม่หิวระหายด้วยความหวังด้วยกิเลส แต่อยู่ด้วยสังกัปปะที่ถูกต้อง ทำได้นิดหนึ่งก็ชื่นใจ ทำได้นิดหนึ่งก็ชื่นใจ ทำได้นิดหนึ่งก็ชื่นใจ นี่มันมีความสุขแม้จะทำได้นิดเดียวมันก็ชื่นใจ นี่ความที่ไม่หวังด้วยกิเลสตัณหามันให้ผลเป็นความสุขตั้งแต่แรกทำ เมื่อกำลังทำอยู่ ถ้าหวังด้วยกิเลสตัณหามันก็ทรมานจิตใจตลอดเวลาด้วยเหมือนกัน
การที่ผมพูดว่าผลที่หวังว่าจะได้ของธรรมทายาทนี่คือ สังมาสังกัปโป ยังมืดแปดด้าน สมบูรณ์่งีอย่างนี้ มีแผนการถูกต้องแล้ว สัมมาสังกัปโป เอ้า,ทีนี้ก็ทำ ทำ ทำ ทำด้วยกายด้วยวาจาด้วยสติปัญญาความคิดความเห็นทุกอย่าง เพื่อเป็นการทำ แล้วก็ทำ แล้วผลก็เกิดขึ้น ๆ โดยไม่ต้องหวังโดยไม่ต้องหิว ผลที่จะเกิดขึ้นจากธรรมทายาทนี่มันจะเกิดขึ้นแก่ใครบ้าง ? ถ้าพระพุทธองค์ยังทรงชีวิตอยู่ก็เกิดผลแก่พระพุทธองค์ด้วย เพราะทรงตั้งใจ ต้องใช้คำว่าหวังนี่ พระพุทธเจ้าท่านหวังให้เราทำหน้าที่อันนี้ เราทำหน้าที่อันนี้ท่านก็พอใจ ผลมันก็เกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าด้วย ถ้าเรายังถือว่าพระพุทธเจ้ายังอยู่โดยความหมายใดก็ตาม ขอให้ถือว่าไอ้..ผลงานของเรานี้จะได้แก่พระพุทธเจ้าด้วย พระพุทธเจ้าท่านประสงค์ให้เราทำอะไร ? ผมพบในพระบาลีเองโดยตรง เดี๋ยวตรงนั้นเดี๋ยวตรงนี้เดี๋ยวตรงนู้น ว่าตถาคตเกิดขึ้นมาในโลกนี้เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ ว่าพระองค์อุบัติเกิดขึ้นมาในโลกนี้เพื่อประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ คือสัตว์โลกน่ะมันมีเทวดาและมนุษย์ สองพวกก็พอ พวกหนึ่งเป็นเทวดา คือสบาย มันมีบุญมันสบายมันไม่รู้จักเหงื่อเลยนี่ นี่พวกเทวดา พอเหงื่อออกเมื่อไรเทวดาตกคะเมนลงมาเป็น เป็น เป็นมนุษย์เป็นสัตว์ พวกเทวดาก็ไม่มีเหงื่ออย่างนี้ ทีนี้พวกมนุษย์ก็คือพวกมีเหงื่อ อาบเหงื่อต่างน้ำอยู่นี่เรียกว่า พวกมนุษย์ พระพุทธองค์ทรงหวังว่าการเกิดขึ้นของพระองค์จะเป็นประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ ท่านทรงประสงค์อย่างนั้น แต่ว่าท่าน ท่านไม่ได้หวังด้วยกิเลสตัณหาเพราะท่านไม่มีกิเลสตัณหา แต่ท่านก็ตั้งใจอย่างนั้น ทีนี้เมื่อเราทำหน้าที่ธรรมทายาทให้เกิดผลตรงตามนั้น ผลก็ต้องถือว่าได้.. ได้เกิด ได้มีแก่พระพุทธองค์ด้วยให้พอพระทัย ข้อที่สองท่านว่าธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศนี้จักอยู่ในโลกนี้เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ นี้ท่านไม่..ไม่..ไม่.. ไม่เล็งถึงตัวท่านเองละ ท่านเล็งถึงธรรมวินัยที่มีอยู่ในโลกนี้ ที่ตถาคตรู้แล้วประกาศมีอยู่ในโลกนี้ จะมีอยู่เพื่อประโยชน์ของมหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์นี่ข้อที่สองท่านว่าอย่างนี้ นี้ข้อที่สามท่านว่า เอาแต่ใจความก็คือว่า สาวกทั้งหลายจะช่วยกันกระทำทุกอย่างให้ธรรมวินัยยังคงมีอยู่ในโลกนี้เพื่อประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์ ท่านหวังว่าให้ธรรมวินัยจะยังอยู่ในโลกนี้นะ ด้วยฝีไม้ลายมือของสาวกทั้งหลายนะ ท่านหวังอย่างนั้น ก็คือพวกเราน่ะ
ท่านหวังว่าเกิดขึ้นมาเพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลก ธรรมวินัยมีขึ้นเพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลก สาวกทั้งหลายจะช่วยกันทำให้วินัยยังคงมีอยู่เพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลก อะไร ๆ ก็อยู่ที่สัตว์โลก พุทธประสงค์เป็นอย่างนี้ ถ้ากิจกรรมธรรมทายาทมันได้ทำให้สัตว์โลกได้รับประโยชน์สุขแล้วก็ตรงตามพระพุทธประสงค์ ก็ถือว่าไอ้งานนี้มีผลแก่พระพุทธประสงค์เท่ากับมีผลแก่พระพุทธเจ้า พุทธปณิธาน เคยรับรู้กันไว้ด้วยเขาจะเรียกในภาษาหนังสือ ในอรรถกถาในหนังสือชั้นหลัง ๆ ที่ไม่ใช่พระบาลีละ แต่ก็เป็นคำที่จริงตรงที่สุดนะ พุทธปณิธานคือความตั้งใจของพระพุทธเจ้า ตั้ง ๔ อสงไขยแสนกัลป์ ตั้งแต่เป็นสุเมธดาบส บำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยแสนกัลป์เป็นพระพุทธเจ้านั้นเพื่อประโยชน์อันนี้อย่างเดียว นี่คือ พุทธปณิธาน เราช่วยทำให้ปณิธานของพระองค์เต็มด้วยกิจกรรมธรรมทายาท คือ สืบในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ให้สืบ นี้ผลงานของเรานอกจากจะมีแก่พระพุทธองค์แล้วจะต้องมีแก่พระศาสนาและเป็นการสืบอายุพระศาสนาไม่ให้สูญหายไปเรียกว่า แก่พระธรรมนั่นเอง และก็ว่าแก่หมู่สงฆ์นี้เอง หมู่สงฆ์นี้จะไม่เป็นโมฆะ หมู่สงฆ์นี้จะไม่ไร้สาระ หมู่สงฆ์นี้จะมีประโยชน์แก่มหาชนในโลก ผลก็ได้รับแก่พระธรรม แก่พระสงฆ์เลย บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กันด้วยกิจกรรมนี้ดีที่สุด นี้ผลนี้เราจะเล็งอีกแง่หนึ่งก็ว่า แก่โลก แก่โลกเลย โลกทั้งโลก เทวดา โลกมนุษย์ โลก...สุดแท้แก่ทุกโลก โลกนี้อยู่ได้ด้วยธรรม ถ้าว่าธรรมยังมีอยู่คุ้มครองโลก โลกนี้ก็เป็นสันติสุข ถ้าไม่มีธรรมมะแล้วโลกนี้ก็เป็นนรก ไม่ควรจะเรียกว่าโลกสำหรับมนุษย์อยู่ และยิ่งกว่านั้นยังจะแตกทำลายไปด้วยความไม่มีธรรมะของมนุษย์ ถ้ามีธรรมมะโลกอยู่รอดโลกอยู่อย่างที่สมควรจะอยู่จะเป็น กิจกรรมของเรามีผลแก่โลก ยิ่งโลกในสภาพปัจจุบันนี้ด้วยแล้วไปดูเถอะ โลกในสภาพปัจจุบันทุกวันนี้แม้ในประเทศไทยนี่ไปดูเถอะ ต้องการธรรมมะอย่างยิ่งต้องการเหลือประมาณน่ะ มันกำลังเลวร้ายที่สุดเพราะขาดธรรมมะ แม้ในอนาคตมันก็ยิ่งต้องการมากไปกว่านั้น ก็เตรียมตัวไว้สำหรับมีธรรมมะให้แก่โลก ผมว่านี่คือกิจกรรมของธรรมทายาทที่จะมีผลใกล้ชิด เร็ว ๆ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ คือทำสภาวะบ้านเมืองนี่ให้มันมีความสงบสุข นั้นผลงานของเราก็มีแก่โลก โลกกับธรรมมันเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ ไม่มีธรรมมะโลกก็วินาศโลกก็ฉิบหาย โลกก็เป็นนรกเลย
นี้นอกจากจะมีประโยชน์แก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรือแก่โลกแล้วเราก็ไม่ควรจะลืมตัวเราเอง มันจะมีประโยชน์แก่ตัวเราเอง แต่นี่ไม่ใช่พูดภาษากิเลสภาษาตัวกูของกูภาษาเห็นแก่ตนนะ ไม่ได้หมายความอย่างนั้น หมายความว่าตนที่ประกอบไปด้วยธรรมมีธรรมเป็นตนมีตนเป็นธรรม ซึ่งเราก็มีชีวิตอยู่ เราก็ต้องการประโยชน์ที่เป็นความผาสุกด้วยเหมือนกัน ดังนั้นถ้าเราทำกิจกรรมธรรมทายาทสำเร็จประโยชน์แล้ว ไอ้เราน่ะ ในฐานะที่เป็นบุคคลโดยสมมุตินี่ก็ได้รับประโยชน์ด้วยคือเราก็จะอยู่เป็นสุข ผมอยากจะพูดว่า เรา... ได้เป็นโชคดีที่ได้ทำงานสูงสุดชิ้นนี้ ซึ่งเป็นงานของปูชนียบุคคล เกิดมาไม่เสียชาติเกิด ได้ทำงานของปูชนียบุคคลตามพระพุทธประสงค์ เราได้ใช้หนี้โลกใช้หนี้.. กระทั่งใช้หนี้แก่พระพุทธองค์ ถ้าเราทุกคนถือว่าเราได้รับประโยชน์จากพระองค์เป็นหนี้พระองค์อยู่ เราก็ต้องทำงานใช้หนี้คือทำตามพระพุทธประสงค์ เท่ากับทำงานธรรมทายาทสำเร็จก็ตรงตามพระพุทธประสงค์ ก็ได้ใช้หนี้ไปในตัว เราก็เป็นคนดี เป็นลูกหนี้ที่ซื่อสัตย์ตั้งใจจะสนองจะใช้หนี้ นี่ประโยชน์ที่เราจะได้รับคือเราก็จะหมดหนี้ เราได้สนองพระพุทธประสงค์ และเราก็ได้รับประโยชน์ของพระธรรมมีความสุขอยู่ที่นี่ ได้บรรลุถึงที่สุดแห่งความทุกข์คือพระนิพพานอยู่ที่นี่ นี่ประโยชน์เราแต่ไม่ใช่เราอย่างกิเลส เราตามธรรมชาติ เราตามธรรมดา ถ้าประพฤติปฎิบัติไม่ถูกต้องไอ้เรานี่ก็เป็นนรกเป็นความร้อนเป็นความทุกข์ ถ้าเราปฎิบัติถูกต้องก็ไม่ต้องมีเราชนิดนี้ มีธรรมมะเป็นเรามีเราเป็นธรรมมะ ก็อยู่ด้วยความสะอาดความสว่างความสงบ ไม่เสียชาติเกิดอีกเหมือนกัน อะไร ๆ มันก็จะไปรวมอยู่ที่ว่า เราไม่เสียชาติเกิด นั่นแหละประโยชน์สูงสุดที่เราจะได้รับจากใจความของคำว่าทายาท นี่เป็นอุดมคติ นี่ผมไม่ได้พูดถึงอุดมคติของธรรมทายาทมาจะเรียกว่าครบถ้วนบริบูรณ์แล้วก็ได้นะ และก็สมควรแก่เวลาด้วย
ธรรมทายาทจะต้องมีอุดมคติให้สมความหมายของคำว่า ธรรมทายาท ในภาษาไทยก็ดีในภาษาบาลีก็ดี เรามีความหมายของถ้อยคำนั้นเป็นอุดมคติ เราจึงมาอบรมให้มันได้ตามนั้น อบรมร่างกาย อบรมจิตใจ อบรมวิชาความรู้ อบรมความเสียสละ เราควรจะไปนั่งพูดกันกลางดินกลางฝนดีกว่า ถ้าเราจะอบรมความเสียสละ ผมอ่านเรื่องราวบันทึกของพวกซิกซ์ ศาสนาซิกซ์ ที่เขาเพิ่งจะเกิดขึ้นในอินเดียเพื่อต่อต้านอิสลาม เมื่ออิสลามเข้ามารุกรานอินเดียแล้วมันเกิดศาสนาซิกซ์ขึ้นมาเพื่อต่อต้าน เขาไปนั่งพูดไปนั่งอบรมกันกลางหิมะ หิมะตกลงผลอย ๆ ๆ บนตัวเขาก็ยังนั่งอบรมนั่งสั่งสอนนั่งทำความเข้าใจนั่ง.. วางแผนการณ์กัน เพราะฉะนั้นเขาไม่หนีฝนหนีหิมะละ เพราะว่าเขาจะต้องเสียสละไปต่อสู้ยิ่งกว่าที่จะนั่งกันกลางหิมะ เพราะเขาจะต้องไปฆ่าพวกอิสลามให้ตายหมด มันก็ต้องสร้างความเข้มแข็งให้มันยิ่งกว่าที่ว่าแค่หิมะตกแค่ฝนตกนี่ไม่มีความหมายอะไร แต่ผมคิดว่ามันก็อาจจะเกินไปก็ได้ เรายังไม่ต้องทำถึงอย่างนั้นเว้นไว้แต่มันจำเป็นจริง ๆ เพราะว่าแม้ว่าเราจะหลบฝนมานั่งกันอยู่เสียที่นี่ เราก็ยังจะพูดกันรู้เรื่องเหมือนกัน คืออบรมให้มันเกิดความเข้มแข็งเหมือนกับว่าเราจะไปนั่งทนอยู่ได้กลางฝนหรือกลางหิมะ ผมมักจะเตือนประชาชนที่มาที่นี่ว่า พระพุทธเจ้าประสูติกลางดินนะ ตรัสรู้ก็กลางดินนะ ที่อยู่ก็กลางดิน ที่อะไรก็กลางดิน สอนก็กลางดิน แล้วนิพพานกลางดินนะ คุณอย่าชอบนั่งบนเสื่อบนเก้าอี้กันนักเลย นั่งกลางดินเถิด จะได้บุญเพียงเพราะว่านั่งกลางดิน เป็นพุทธานุสติ เราควรจะทำกันอย่างนั้น ให้มันเป็นการเข้มแข็งกับธรรมชาติ อย่างเดียวกับที่พระพุทธเจ้าท่านได้ผ่านมาแล้ว ท่านได้ทรงผ่านมาแล้ว ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน อยู่กลางดิน สอนกลางดิน นิพพานกลางดิน เจ็บไข้ไม่ต้องพบหมอนะ ไม่..ไม่..ไม่.. ไม่ต้องว่าปวดหัวนิดนึงก็ต้องไปสุขศาลานะ นี่ถ้าอะไรอย่างนี้อยู่แล้วมันก็ไม่พอหรอก นี่เราจะได้อบรมฝึกฝนความอดทนกำลังกายกำลังปัญญากำลังวิชา ก็จะต้องมีอุดมคติเพียงพอที่ว่าจะดำเนินชีวิตไปอย่างไรดำเนินกิจการไปอย่างไร รู้ว่าไอ้ชีวิตนี้โชคดีที่ได้มาทำงานอย่างนี้ เกิดมาทีไม่เสียชาติเกิด เพราะว่าได้ทำงานอย่างนี้ คือรับมรดกของพระธรรมของพระพุทธของพระสงฆ์ของ.. สิ่งสูงสุด แล้วเราก็เป็นทายาทที่ถูกต้องแท้จริงเต็มตามความหมายของคำ ๆ นั้น เป็นทายาทของพระธรรมแล้วก็เป็นธรรมทายาท เป็นธรรมทายาทแล้วก็เป็นทายาทของพระพุทธพระสงฆ์อะไรทุกอย่างที่เราควรจะเป็นทายาท เพราะการสืบธรรมมะอย่างเดียวเป็นการสืบพระพุทธประสงค์พร้อมกันไปในตัว ทำแล้วมีผลแก่เรามีผลแก่โลกมีผลแก่พระพุทธเจ้า กระทั่งมีผลแก่ธรรมชาติด้วย นี่ อุดมคติ มีอย่างนี้ นี้วันนี้เราพูดกันแต่เพียงหัวข้อเดียวว่าอุดมคติของธรรมทายาท มีรายการพอเป็นเครื่องสังเกตดังที่ได้กล่าวมา การบรรยายนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ผมขอยุติการบรรยายครั้งนี้ไว้เพียงเท่านี้