แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย บัดนี้เป็นโอกาสแห่งการส่งปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ อย่างที่เราร้องเรียกกัน ท่านทั้งหลายก็มาตามธรรมเนียม เพื่อประกอบพิธีกรรมอันนี้ ให้มีการกล่าวธรรมเทศนา หรือธรรมมิกถา ที่สมควรแก่โอกาสนี้
อาตมาตั้งใจจะแสดงธรรมกถาให้ดีที่สุดร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วท่านทั้งหลายจะตั้งใจฟังเพียงสิบเปอร์เซ็นต์ ที่แล้วมามันเป็นอย่างนี้ ทุกๆคราวสังเกตุเห็นได้ว่ามันเป็นอย่างนี้ ดังนั้นขอให้ สนใจฟัง ตั้งใจฟัง ให้ได้สักห้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย อาตมาจะพยายามพูดให้ดีที่สุดถึงร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอ
โอกาสนี้ เราก็จะพูดกันถึง เรื่องความสุขปีใหม่ ซึ่งมีการให้ศีล ให้พรกันในโอกาสเช่นนี้ ความสุขปีใหม่นี้ ชนิดลมๆ แล้งๆ ก็มี เพียงแต่ส่งบัตรให้กันบ้าง ร้องเพลงบ้าง นำเอาอบายมุขต่างๆ มาเล่น มาแสดง กันบ้าง แล้วก็เรียกว่าเป็นการส่งความสุขปีใหม่ อย่างนี้เรียกว่ามันเป็นความสุขลมๆ แล้งๆ พรที่ลมๆ แล้งๆ อาตมาอยากให้มีการให้พร หรือให้ความสุขปีใหม่ชนิดที่แท้จริง อย่างที่ควรจะนำมาพิจารณากันให้ดี ให้ยิ่งขึ้นไป
เดี๋ยวนี้ เรากำลังมีความสุขชนิดไหน อาตมามองเห็นว่าพวกเราในโลกปัจจุบันนี้ ยังมีความสุขชนิดที่ น่าละอาย แก่แมว แก่หมา แก่ไก่ แก่ปู แก่ปลา เพราะว่าคนนี้ยังปวดหัว ยังนอนไม่หลับ ยังต้องกินยาแก้ปวดหัว ยังต้องกินยานอนหลับ แล้วก็ยังเป็นโรคประสาท ได้ยินว่าเป็นแสนๆ คนแล้ว แล้วก็เป็นโรคจิต ซึ่งได้ยินว่าเป็นหมื่นๆ คนแล้ว ไม่เห็นว่าหมา หรือแมวตัวไหนมันจะปวดหัว มันไม่ต้องกินยาปวดหัวสักเม็ดหนึ่ง ทั้งโลกนี้คนกินยาแก้ปวดหัว แก้นอนไม่หลับกันเป็นตันๆ ก็ได้ เมื่อรวมกันทั้งโลก
ยิ่งเมื่อกล่าวโดยสถานะปัจจุบัน เรากำลังมีความสุขกันชนิดที่อย่างน่าละอายแมว ไม่สมกับที่เป็นพุทธบริษัท หรือไม่สมกับที่เรียกตัวเองว่า เป็นบุตรของพระเจ้า ท่านลองคิดดูว่าเป็นพุทธบริษัท แล้วยังมีปวดหัว ยังมีนอนไม่หลับ ยังมีโรคประสาท ยังมีโรคจิต ซึ่งแมวมันก็ไม่เป็น จะเรียกว่าเรามีความสุขกันอย่างไร ก็มันอยู่ในสภาพเช่นนี้ เราก็จะต้องพิจารณากันเสียใหม่ เพื่อให้มีความสุข สมแก่ความเป็นพุทธบริษัท หรือเป็นบุตรของพระเจ้า สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาที่มีพระเจ้า เพราะฉะนั้นอาตมาตั้งใจจะพูดให้ชัดเจนเป็นพิเศษ ในเรื่องความสุขที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นพร คือเป็นของดี เป็นความดี และให้เหมาะสมกับที่จะเรียกว่า ปีใหม่ คือมันดีกว่าปีเก่า เราต้องพูดจากัน ปรับปรุงกัน เพื่อให้เกิดความสุข หรือพรชนิดที่มันดีกว่าปีเก่า
ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังให้ดี อย่างที่อาตมากล่าวมาแล้วว่า ตั้งใจจะแสดงร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วท่านทั้งหลายก็ฟังกันเพียงสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย ที่จะพูดในวันนี้ เพื่อจะชี้ในข้อที่ว่า ความสุขนั้นมันมาจากอะไร ต้องค้นให้พบ แล้วก็ทำสิ่งนั้นให้ถูกต้อง แล้วก็จะได้มีความสุข ที่สังเกตุเห็นเดี๋ยวนี้ รู้สึกว่า ท่านทั้งหลายทุกคนยังทำผิดอยู่ ในสิ่งซึ่งเป็นต้นเหตุของความสุข
อาตมาอยากจะบอกเป็นหัวข้อสั้นๆ เสียก่อนว่า ไอ้ความสุขนี่มาจากศรัทธา ความสุขตั้งอยู่ได้ด้วยศรัทธา แม้แต่ชีวิตนี้มันก็อยู่ได้ด้วยศรัทธา หรือมาจากศรัทธา มิฉะนั้นแล้วก็จะไม่, ไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้
คำว่า ศรัทธา ศรัทธานี้ ท่านทั้งหลายคิดว่า มันเป็นเรื่องเบื้องต้น เป็นของเล็กน้อย สำหรับคนแรกตั้งต้น แล้วก็ถือว่าทุกคนมีศรัทธา นั้นมันยังไม่ใช่ศรัทธา เพราะมันยังไม่ให้เกิดความสุข ศรัทธาลมๆ แล้งๆ ศรัทธางมๆ งายๆ ว่าเอาเองตามๆ กันไป ว่ากูก็มีศรัทธา ล้วนแต่ทุกคนมีศรัทธา แล้วเป็นศรัทธาที่ปลอม ที่เก๊ ที่ใช้ไม่ได้ ถ้าเป็นศรัทธาจริงต้องได้ความสุข มีความสุข ขอให้ช่วยฟังในข้อนี้และให้ดีๆ ว่าเรากำลังทำผิด ในเรื่องเบื้องต้นที่สุด จะพูดถึงคำว่า ศรัทธา กันก่อน
ศรัทธา แปลว่า ความเชื่อ ตามตัวหนังสือ แปลว่า ความเชื่อ แต่โดยความหมายนั้น มันยังกว้างออกไปถึงว่า
เป็นความแน่ใจ
เป็นความมั่นใจ
เป็นความไว้ใจ
เป็นความเลื่อมใส
และ เป็นความภักดี
ภาษาฝรั่งก็มีหลายคำเหมือนกัน ที่เกี่ยวกับความเชื่อนี้ เหมือนกันอย่างที่ในภาษาไทยเรามี เชื่อว่า แน่ใจว่า มั่นใจว่า ไว้ใจว่า เลื่อมใสว่า ภักดี แต่มันยุ่งนัก มากนัก ไม่ต้องเอากันทั้งหมดนั้น เอาเพียงคำเดียวว่า เชื่ออย่างแน่ใจ หรือเอาที่ว่า แน่ใจ ก็ได้ ในสิ่งที่ตนถือเอาเป็นที่พึ่ง
ขอทุกคนช่วยจำประโยคนี้ไว้ด้วยว่า ศรัทธา แปลว่า ความแน่ใจในสิ่งที่ตนถือเอาเป็นที่พึ่ง พุทธบริษัทก็รู้กันอยู่แล้วว่า มีศรัทธาในพระพุทธเจ้า มีความแน่ใจในพระพุทธเจ้า ซึ่งตนถือเอาเป็นที่พึ่ง แต่เห็นยังไม่มีความสุข ไม่มีความสงบสุข ยังปวดหัว ยังนอนไม่หลับ ให้อาย, ละอายแมวอยู่นั่นเอง ช่วยฟังให้ดีๆ ว่า ถ้ามีศรัทธาแท้จริงแล้ว ไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องนอนไม่หลับ ไม่ต้องเป็นโรคประสาท ไม่ต้องเป็นโรคจิต ไม่ต้องมีอะไรที่น่าละอายแมว
บางคนอาจจะสงสัย หรือไม่เชื่อว่า ศรัทธานี้ เป็นสิ่งที่ให้เกิดความสุข ถ้าไม่มีศรัทธา ไม่มีทางที่จะเกิดความสุข หรือความพักผ่อน เมื่อไม่เชื่อ ไม่แน่ใจ ไม่ไว้ใจ ในสิ่งถือเอาเป็นที่พึ่งแล้ว คนเราก็จะไม่มีความสุข เห็นได้ง่ายๆ ที่ว่า ถ้าเราไม่เชื่อ ไม่แน่ใจว่าประตูของเราปิดแน่แล้ว เราก็นอนไม่หลับ นอนผวาหวั่นใจเรื่องขโมยจะขึ้นมา หรือว่าฝาเรือนของเราไม่แข็งแรงพอ กลัวขโมยจะตัดขึ้นมา หรือบ้านเรือนไม่แข็งแรงพอ คนร้ายจะขึ้นมา เราก็นอนไม่หลับ นี้เรียกว่าเราไม่มีศรัทธา ในสิ่งซึ่งเราถือเอาเป็นที่พึ่ง
ถ้าเราแน่ใจในสิ่งเหล่านี้ เราก็นอนหลับ เมื่อนอนไม่หลับ ก็กระสับกระส่าย ก็ปวดหัว ก็เป็นประสาท นี่เรียกว่า ศรัทธาให้เกิดความสุข ทีนี้มันเลยไปถึงคำว่า ชีวิต ชีวิตที่ไม่มีความแน่ใจในสิ่งที่เป็นที่พึ่งนั้น ชีวิตนั้นจะหวาดผวา จะนอนไม่หลับ
คนที่มีชีวิตเป็นปกติ ก็เพราะมีความแน่ใจในสิ่งที่ตนถือเอาเป็นที่พึ่ง คือมีเพื่อนฝูง มีเงิน มีทอง มีอะไรทุกอย่าง ที่ทำให้เกิดความแน่ใจ ในการที่จะใช้เป็นที่พึ่ง ชีวิตนั้นก็ไม่หวาดผวา ชีวิตนั้นก็จะเยือกเย็น แล้วก็จะนอนหลับ
สังเกตุคำว่า ศรัทธา นี้ให้ดีๆ อย่าดูหมิ่นว่า ของเด็กเล่น ของง่ายๆ เบื้องต้น ไม่มีสาระอะไรมากมายนัก เราจะต้องรู้ว่า ศรัทธานี้จำเป็นสำหรับสิ่งที่มีชีวิต ถ้ามันไม่มีความเชื่อแน่ในความปลอดภัยแล้ว มันก็นอนไม่หลับ ถึงสุนัขมันก็นอนไม่หลับเหมือนกัน มันจะเคลื่อนย้ายที่ไปนอนตรงอื่น จนกว่ามันจะปลอบใจว่า, จนกว่ามันจะแน่ใจว่าปลอดภัย มันจึงจะนอนหลับ ไม่อย่างนั้นมันจะ, จะย้ายที่อยู่เรื่อย
ที่เรียกว่า ชีวิตมันต้องการความรู้สึกที่ว่าปลอดภัย ชีวิตมันจึงจะสงบ ระงับลง และจะเป็นการพักผ่อน หรือนอนหลับ ท่านลองคิดดูให้ดีเถิดว่า ถ้าเราไม่เชื่อ ไม่แน่ใจในสิ่งที่เกื้อกูลแก่ความปลอดภัยของเราแล้ว เราก็นอนไม่หลับ ก็เป็นชีวิตที่กระสับกระส่าย แล้วมันก็อยู่ไม่ได้ มันก็จะเจ็บ จะป่วย แล้วมันก็จะตาย
ทีนี้ ดูย้อนไปข้างต้นว่า ศรัทธานี้มาจากอะไร ทุกคนพอจะมองเห็นได้ว่า
ศรัทธานี้ ต้องมาจากความรู้ หรือที่เราเรียกกันว่า ปัญญา
ไอ้ศรัทธาที่ไม่ได้มาจากปัญญา หรือความรู้นั้นน่ะ มันใช้ไม่ได้ แล้วมันก็มีไม่ได้ เป็นสิ่งที่มีไม่ได้ ถ้าเป็นศรัทธางมงาย มันก็มาจากความรู้ที่งมงาย ศรัทธาต้องมาจากความรู้อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ รู้ผิด หรือรู้ถูก รู้มาก รู้น้อย รู้อะไรก็สุดแท้ ถ้ารู้น้อยศรัทธาก็น้อย ถ้ารู้มากศรัทธาก็มาก รู้ถูกศรัทธาก็ถูก รู้ผิดศรัทธาก็ผิด
เดี๋ยวนี้ เราไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง และเพียงพอ ศรัทธาของเราจึงไม่มีมากและเพียงพอ แม้ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้น ก็ไม่รู้อย่างเพียงพอ ศรัทธามันก็ไม่เพียงพอ ถ้าอยากจะมีศรัทธาเพียงพอ ก็ต้องเพิ่มความรู้ให้เพียงพอ
ดังนั้น เด็กๆทารกมันมีความรู้อย่างไร มันก็จะมีศรัทธาอย่างนั้น ถ้าพ่อแม่มันโง่สอนให้มันเข้าใจผิดเป็นความรู้ผิด ไอ้ทารกคนนั้นก็จะต้องมีศรัทธาผิด เชื่อผิด เชื่อในสิ่งที่ผิด ไม่เอามาเป็นที่พึ่งได้ เช่นว่า สอนให้, สอนจนเด็กกลัวผี สอนให้เด็กเชื่อว่ามีผี มันก็เชื่อว่ามีผี ไอ้ศรัทธาของมันก็เดินไปในทางเชื่อว่ามีผี แล้วมันก็ผิด แล้วมันก็มีปัญหาเรื่องผี เรื่องกลัวผี ใครที่ยังกลัวผีอยู่จนบัดนี้ก็ไปลองคิดดูเถิดว่า มันโง่มาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที มันมีความรู้ผิดเรื่องมีผี จนเดี๋ยวนี้มันก็ยังกลัวผี จนตายเข้าโรงไปมันยังก็, มันก็ยังกลัวผี
แต่ถ้าเด็กๆ ได้รับการสั่งสอนให้มีความรู้อย่างถูกต้อง คือ เห็นว่ามันเป็นตามธรรมชาติ มันไม่ใช่ผี มันก็ไม่กลัวผี มันก็ไม่มีผีสำหรับเด็กคนนั้น
แต่นี่เราไม่ได้ระมัดระวัง ในเรื่องการที่จะสอนเด็กๆ ให้มีความรู้อย่างถูกต้อง เขาก็มีศรัทธาผิด ศรัทธาในทางเอ่อ, งมงายไปเลย ศรัทธาในเรื่องไสยศาสตร์ ผีสาง เทวดา ไม่เข้ามาหาธรรมะเลย แล้วก็ไม่มาถึงที่ว่าจะมีความรู้ ความเข้าใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วมีศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันเป็นความผิดพลาดของพ่อแม่ที่ไม่ได้สั่งสอนอบรมให้เด็กๆ เขารู้จักสิ่งเหล่านี้อย่างถูกต้อง เขาก็เลยไม่มีศรัทธา ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แม้ที่เป็นอย่างง่ายๆ อย่างตื้นๆ ก็ยังไม่มี อย่างที่เป็นละเอียดลึกซึ้งในภาษาธรรมมันก็ยิ่งไม่มี เด็กๆ ไม่มีความรู้ในเรื่องของศีลธรรม มันก็ไม่มีศรัทธาในศีลธรรม มันก็เลยไม่ถือศีลธรรมเป็นที่พึ่ง พร้อมกันนั้น มันก็อยู่ด้วยความหวาดผวา แล้วมันก็แก้ด้วยความมุทะลุดุดัน มันจึงกลายเป็นอันธพาลไปในที่สุด
การศึกษามันเป็นลักษณะหางด้วน หรือยอดด้วน มันไม่พอที่จะทำให้เด็กมีศรัทธาอย่างถูกต้อง ในวัดก็ดี ในโรงเรียนก็ดี ในมหาวิทยาลัยก็ดี การศึกษายังเป็นระบบหางด้วน ยอดด้วน ไม่น่าดู ไม่สมบูรณ์ คือไม่มีความรู้ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ ดังนั้นคนเหล่านั้นจึงไม่มีศรัทธาในสิ่งที่ควรจะมี เช่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือในศีลธรรมเป็นต้น เขาก็ไม่มีสิ่งที่เป็นความแน่ใจ มั่นใจ ไว้วางใจ เขาก็หาความสงบสุขไม่ได้ เราควรจะช่วยกันให้การศึกษาที่ถูกต้อง และเพียงพอ คือ ความรู้ที่เพียงพอ อะไรควรจะถือว่าเป็นที่พึ่ง ถ้ามันรู้จริง มันก็ถือว่าสิ่งนั้นเป็นที่พึ่ง แล้วมันก็ทำจริง ปฏิบัติจริง ปัญหามันก็หมดไป
ไอ้เรื่องที่เกี่ยวกับความรู้ ความรู้ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าปัญญา นี่ก็, ก็มองให้เห็นว่ามันมีทั้งอย่างผิด และอย่างถูก
ปัญญาที่ผิด ก็ไม่ควรจะเรียกว่าปัญญา แต่นี่เรามาเรียกว่าปัญญา เพราะมันรู้อย่างทั่วถึงในฝ่ายผิด ถ้ามันรู้อย่างทั่วถึงในฝ่ายถูกมันก็เป็นปัญญาที่ถูก ที่ควรปรารถนา เป็นปัญญาในทางธรรม ทางศาสนา แต่นี้มันรู้อย่างถูกต้อง และครบถ้วนในฝ่ายผิด มันก็เป็นปัญญาผิด ไอ้คนนั้นมันก็มีศรัทธาในความผิด ในเรื่องผิดๆ มันก็ทำอะไรผิดๆ มันก็ได้เป็นอันธพาล เขาก็จะเป็นอย่างไรต่อไปก็ลองคิดดูเอง
พูดถึงปัญญาที่ว่าถูก ถูก ถูก ถูกต้องนี่ ว่าเกิดมาได้จากการศึกษา เรียกว่า สุตมยปัญญา ศึกษาที่โรงเรียนอ่านเขียนก็ตาม ก็ได้ปัญญามาในระดับหนึ่งก่อน
แล้วฉลาดกว่านั้น ก็เรียกว่า จินตามยปัญญา ปัญญาที่ใช้เหตุผล คิดนึกไปตามเหตุผล ก็ได้ผลเป็นความรู้ขึ้นมา นี่ก็เป็นปัญญาที่ดีกว่า หรือสูงขึ้นไปกว่า
ทีนี้ปัญญาสูงสุด คือ ประพฤติถูกต้องในทางจิตภาวนา อบรมจิตให้สูง ให้ยิ่ง ก็เลยได้ปัญญาที่เป็นชั้นสูงสุด
ฉะนั้นถ้าเรามีเพียง สุตมยปัญญา เด็กๆ เรียนหนังสือมันก็รู้แค่นั้น แล้วมันก็เชื่อแค่นั้นแหละ มันเชื่อเท่านั้นแหละ มันจะเชื่อขึ้นมาถึงส่วนนี้ไม่ได้ ต่อเมื่อมันมีการศึกษาในทางคิดนึก ใคร่ครวญ ใช้เหตุผล อะไร ค้นคว้า มันก็มีปัญญาสูงขึ้นมาอีก ศรัทธาก็, มันก็สูงขึ้นมาอีก พอมีศรัทธา เอ้อ, พอมีปัญญาในทางจิตใจสูงถึงที่สุด เรียกว่า ภาวนามยปัญญา แล้ว มันก็รู้จักธรรมะชั้นสูง และเพียงพอ นี่,มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้โดยสมบูรณ์
มันรู้เท่าไร มันจะมีศรัทธาเท่านั้น
มันมีศรัทธาเท่าไร มันจะแน่ใจ มั่นใจเท่านั้น
มันแน่ใจ มั่นใจเท่าไร มันจะมีความสุขเท่านั้น
นี่เราจะดูกันให้ละเอียด เพื่อความเข้าใจในเรื่องนี้ไปโดยลำดับ
ปัญญา แปลว่า ความรู้ รู้เท่าไร ก็เชื่อเท่านั้น เชื่อได้มากเท่าไร ก็, ก็, ก็แน่ใจ มั่นใจเท่านั้น นี่เป็นหลักทั่วไปในเรื่องโลก โลก ด้วย ในเรื่องทางธรรมะ ทางศาสนาด้วย ดังนั้นศรัทธาจึงมีได้ ทั้งที่เป็น โลกียะ และ โลกุตตระ
ศรัทธาโลกียะ ก็เป็นเรื่องโลกๆ แล้วก็ยังเป็นศรัทธาที่ต้องเจตนา ต้องคอยระมัดระวัง รักษา และทบทวนอยู่ เหมือนกับศรัทธาของคนทั่วๆ ไป เรียกว่าโลกียะศรัทธา ไม่บำรุงรักษาทบทวนมันก็เลือนได้ เพราะว่าความรู้มันไม่ถึงที่สุด ความรู้มันไม่เพียงพอ
ถ้าความรู้มันถึงที่สุด จริงๆ มันก็ไม่มีเลือน คือมัน, มัน, มันขึ้นถึงระดับที่ไม่ต้องมีเจตนา มันก็มีศรัทธา เช่นว่า เมื่อปฏิบัติธรรมะสูงสุด หลุดพ้นแล้ว นี้ญาณเกิดขึ้นว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย กิจควรทำ ทำเสร็จแล้ว และกิจอย่างอื่นที่จะต้องทำ เพื่อผลอย่างนี้ไม่ได้มีอีก ซึ่งปัญญาที่เกิดขึ้นในขณะที่บรรลุพระอรหันต์ ทีนี้เมื่อมีความรู้สูงสุดขนาดนี้ ศรัทธาเลยกลายเป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องบำรุงรักษา ไม่ต้องเจตนา เป็นศรัทธาอัตโนมัติ เหมือนกับ ไม่มีศรัทธา
ดังนั้น พระอรหันต์จึงมีคุณบท อีกบทหนึ่งว่า อศรัทธา พระอรหันต์เป็นคนไม่มีศรัทธา เมื่อพูดตามภาษาธรรมดา ภาษาคนธรรมดาเขาพูดอย่างนี้ พระอรหันต์ไม่มีศรัทธาที่ต้องเจตนา เหมือนที่พวกเรามี เพราะว่าท่านถึงที่สุดแห่งความรู้ เป็นอัตโนมัติอยู่ในตัวเอง ในความบรรลุธรรมะ สูงสุด หมดกิเลสนั่น มันจะเป็นศรัทธาโดยอัตโนมัติ จนเรียกว่าไม่ต้องมีศรัทธา ไม่ต้องระมัดระวังในเรื่องศรัทธา แต่นี้ เรายังไม่ถึงนั่น เรายังต้องคอยจะรักษาศรัทธา แม้จะเป็นขั้นต้นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอให้สังเกตุดูให้ดีๆ
ถ้ายังต้องเรียนรู้ ยังต้องระมัดระวัง ในการปฏิบัติ ในผลของการปฏิบัติ อย่างนี้ มันก็ยังเป็นโลกียะศรัทธา ถ้ามันทำให้ถึงที่สุดแห่งการปฏิบัติ หมดกิเลสแล้ว ก็เป็นโลกุตตระศรัทธา คือ ศรัทธาของพระอรหันต์ ผู้มีจิตใจอยู่เหนือโลกแล้ว
คำพูดชนิดนี้ มีเป็นคู่ๆ สำหรับพระอรหันต์ สำหรับใช้แก่พระอรหันต์ เช่น พระอรหันต์เป็นคนอกตัญญูอย่างนี้ คนไม่รู้เรื่อง ฟังแล้วก็สะดุ้ง ว่าพระอรหันต์เป็นคนอกตัญญู เขาสอนกันแต่ให้กตัญญู พอเป็นพระอรหันต์แล้วกลายเป็นคนอกตัญญู ไม่ต้องมีตัว มีตน สำหรับจะกตัญญู
หรืออีกอย่างหนึ่ง มันมีความหมายไปในทางที่ว่า รู้พระนิพพาน อันเป็นสิ่งที่ปัจจัยอะไรๆ กระทำอีกมิได้ นี่ก็เรียกว่าอกตัญญูเหมือนกัน
สำหรับผู้ที่ถึงที่สุดแล้ว คำพูดนั้นกลับเปลี่ยนความหมายให้เป็นตรงกันข้ามอย่างนี้มีอยู่มาก ขณะที่จิตว่างจากความยึดถือ มันเป็นศรัทธาที่คนธรรมดาจะรู้จักไม่ได้ ในขณะที่จิตรู้ถึงนิพพาน มันก็มีศรัทธา ชนิดที่คนธรรมดารู้จักไม่ได้ เพราะมันรู้จักแต่ศรัทธาชนิดที่ต้องมีเจตนาบำรุงรักษาหลุกๆ ล่อๆ เหมือนหัวเต่า
ศรัทธาโดยสมบูรณ์ โดยไร้เจตนา เป็นอัตโนมัติอยู่ในตัวนั้น รู้ไม่ได้ เข้าไม่ถึง หยั่งไม่ถึง จนกว่าจะถึงเสียก่อนแล้วก็จะรู้ เช่นพระอรหันต์จะไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวว่าจะต้องเป็นทุกข์อะไรอีกต่อไป เพราะญาณเกิดขึ้นในขณะแห่งการตรัสรู้ ว่ามันสิ้นแล้ว มันหมดแล้วทั้งกิเลส ทั้งความทุกข์ ทั้งชาติ ทั้งกรรม ทั้งผลกรรม ทั้งอะไรต่างๆ มันสิ้นไปหมดแล้ว
นี่ศรัทธามันถึงจะเป็นโลกุตตระ มันก็มีเป็นอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเจตนา ดังนั้นในจิตที่ว่างจากกิเลสมันก็มีศรัทธาสมบูรณ์ ในพระอรหันต์, ในพระนิพพาน คือ จิตที่เยือกเย็นเพราะหมดกิเลส มันก็มีศรัทธาสมบูรณ์ มันมีความรู้สึกว่าปลอดภัยถึงที่สุด นั่นน่ะคือศรัทธา เชื่อมั่น เชื่อ, เอ้อ แน่ใจ มั่นใจว่าปลอดภัย
นี่เรารู้จักศรัทธาอย่างนี้กันไว้เสียบ้างเป็นการล่วงหน้า แล้วจะค่อยๆ ค่อยเข้าใจมาตามลำดับว่า ถ้าไม่มีศรัทธา ไม่มีความสุข เพราะมันไม่เชื่อใจ ไม่แน่ใจในสิ่งที่ถือเอาเป็นที่พึ่ง มันก็มีความสุขไม่ได้ ควรจะศึกษากันให้ละเอียดในข้อนี้ เดี๋ยวนี้เราจะพิจารณาดูว่า มันสัมพันธ์กันอย่างไร
ความรู้ ทำให้ เกิดศรัทธา
ศรัทธา ทำให้ เกิดความสุข
ท่านจะไม่เชื่อก็ได้ ไม่อยากจะเชื่อก็ได้ อาตมาก็ได้แต่พูด เท่าที่จะพูดได้ แล้วขอให้เอาไปคิดดูว่า ถ้าเราไม่มีความรู้แล้วศรัทธามันเกิดไม่ได้ เพราะว่าไอ้ความเชื่อนั้น มันเชื่อไปตามความรู้ หรือทิฐิ ความคิด ความเห็น
ถ้าทิฐิ เป็นสัมมาทิฐิ ไอ้ศรัทธานั้นก็เป็น, ถูกต้อง เป็นศรัทธาที่ถูกต้อง ถ้าจิตมันมีมิจฉาทิฐิศรัทธานั้นมันก็ผิด นี่เราจะมีศรัทธาอย่างไร มันก็แล้วแต่ว่า เรามีความรู้อย่างไร มันก็เป็นความรู้จริง รู้ถูกต้อง ศรัทธาก็ถูกต้อง แล้วก็ทำให้อุ่นใจ เป็นสุขได้ นี่จึงว่า ศรัทธานั่นแหละให้เกิดความสุข
เคยพูด เคยสอน กันแต่ว่า ไอ้, ความสุขมาจากหมดกิเลส มาจากไม่มีอะไรเบียดเบียน นั่นมันก็ถูกเหมือนกัน แต่มันพูดกันหยาบๆ ไม่พูดกันอย่างละเอียดถึงขั้นที่ว่า มันเป็นสัญชาตญาณ ชีวิตทั้งหลายมีความรู้สึกได้เอง ประเภทสัญชาตญาณ มันมีความรู้อย่างสัญชาตญาณ มันมีความเชื่ออย่างสัญชาตญาณ มันก็มีความสุขอย่างสัญชาตญาณ
สัตว์เดรัจฉาน มันก็มีความรู้ระดับสัตว์เดรัจฉาน แล้วมันก็เชื่อมั่นในความปลอดภัยของมันในระดับนั้น แล้วมันก็มีความสุขได้ในระดับนั้น คือระดับสัตว์เดรัจฉาน
แล้วเป็นมนุษย์มันก็มี ที่เราจะต้องดู ให้เป็นลำดับ ลำดับ มาทีเดียวว่า ศรัทธาในวัยทารกนอนแบเบาะน่ะ มันมีศรัทธาในอะไร แล้วมันจะมีความสุข เพราะศรัทธาในเรื่อง, ในเรื่องนั้น เช่น มันมีศรัทธาในแม่ ในพี่เลี้ยง รู้สึกว่าปลอดภัย เพราะมีแม่ มีพี่เลี้ยง มันก็เลยมีความสุข เพราะความรู้สึกศรัทธานั้น ไปตามแบบนั้น นี้เราทำให้เด็กๆ นี่ รู้อะไรมากขึ้น รู้จักเชื่อ รู้, อะไรมากขึ้น สูงขึ้นไป มันก็มีความสุขที่สูงขึ้นไป
เด็กวัยรุ่นมันรู้อะไร แล้วมันรู้ถูก มันก็เป็นบุญกุศล ศรัทธามันก็สูงขึ้นไป มันก็อยู่ได้ด้วยจิตใจที่ปกติ แต่ถ้าว่าเด็กวัยรุ่น มันได้รับการสั่งสอนที่ผิด ไอ้ศรัทธามันก็ผิด มันก็เดินไปในทางผิด มันก็ไปเผชิญกันกับไอ้, ความทุกข์ หรือความรู้ผิด
ทีนี้ว่ามันเป็น, มาถึงหนุ่ม สาว ถ้าความรู้มันถูกต้อง ศรัทธามันถูกต้อง เช่น มันมีความรู้สึกถูกต้องในเรื่องของศีลธรรม มีศรัทธาถูกต้อง มั่นคงในศีลธรรม ศีลธรรมมันก็คุ้มครอง หรือแม้ที่สุดแต่ว่า เขาจะหาความรู้ หาความเชื่อในบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ หรือคู่หมั้นของเขา ด้วยความรู้ที่ถูกต้อง เขาก็มีศรัทธาที่จะเป็นที่พึ่งแก่เขาได้
ทีนี้คนที่เป็นบิดา มารดา สูงอายุแล้ว ถ้าดำเนินมาอย่างถูกต้อง มีความรู้อย่างถูกต้อง แล้วก็เชื่อในสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกันอยู่กับเขา ถ้าเขามีลูก หลานที่ดี มีทรัพย์สมบัติเพียงพอ มีฐานะทางสังคมดี ไอ้เหล่านี้ เขามีศรัทธาในสิ่งเหล่านั้น เขาก็นอนหลับ ไม่ต้องเป็นโรคประสาท แต่เขาทำมันไม่ถูกต้อง ความรู้ไม่ถูกต้อง ความเชื่อไม่ถูกต้อง นี่, เขาก็จะเริ่มเป็นคนนอนไม่หลับ จะปวดหัว จะเป็นโรคประสาท จะเป็นโรคจิต
ดังนั้นสำรวจศรัทธาให้ดีๆ ให้สูงขึ้นมา จนถึงคนแก่ คนชราที่เตรียมตัวจะเข้าโลง นี่, ขอให้มีความรู้เกี่ยวกับชีวิตให้ถูกต้อง ให้มีศรัทธาในบุญกุศล ให้หลับตาตายลงอย่างที่เชื่อในสิ่งที่ได้กระทำไว้แล้ว คือบุญกุศลนั่นเอง เขาก็เป็นคนมีความสุขเข้าโลงไป เพราะศรัทธามันถูกต้อง เพราะความรู้มันถูกต้อง
ถ้าจะดูกันเลยไปถึงพระอริยเจ้า ท่านก็มีศรัทธาสูงยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะได้ผ่านการบรรลุธรรมไปตามลำดับ บรรลุธรรมเท่าไร ปัญญามันก็มากเท่านั้น ศรัทธาในสิ่งนั้นก็มากเท่านั้น จนกระทั่งว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นอเสขบุคคล ขึ้นถึงระดับที่ไม่ต้องนึกถึงเรื่องศรัทธา นี้ศรัทธาโดยอัตโนมัติ เป็นความสุขในระดับพระนิพพาน เต็มอยู่ด้วยศรัทธาโลกุตตระเป็นอัตโนมัติ
ถ้าเป็นสูงสุด เป็นถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศรัทธาทั้งหลายสมบูรณ์หมด ในความดับทุกข์ก็ถึงที่สุด มีความเชื่อ โดยไม่ต้องคิดนึก ไม่ต้องรู้สึก มันเป็นอัตโนมัติ แล้วยังมีศรัทธาในการจะเผยแผ่สั่งสอนสรรพสัตว์ ให้ได้รับประโยชน์อีกส่วนหนึ่งด้วย แม้ว่าจะมองกันไปทางไหน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงซึ่งความแน่ใจ ความมั่นใจ ในสิ่งที่เป็นหน้าที่อันจะพึงกระทำ เดี๋ยวนี้ปัญหาเกี่ยวกับการแสวงหาที่พึ่งมันหมดแล้ว สำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ทั้งหลาย ดังนั้นศรัทธาในที่พึ่ง ศรัทธาในสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งก็ไม่ต้องมี ไม่ต้องกระทำ เรียกว่าเป็น อศรัทธา ไปเลย แต่ท่านก็มีความแน่ใจอัตโนมัติ ในระดับที่ว่า เป็นโลกุตตระศรัทธา มันเชื่อโดยไม่ต้องเชื่อ ก็เลยหมดปัญหา
นี่ขอให้ดูให้ดีว่า ไอ้ศรัทธานี่น่ะ มันจะต้องมีอย่างถูกต้อง ทุกๆ ขั้นตอนแห่งชีวิตของคนเรา เด็กทารกนอนเบาะ ก็ต้องมีศรัทธาที่เพียงพอ มิฉะนั้นเขาจะต้องหวาดผวา และจะต้องตาย
ศรัทธาของเด็กวัยรุ่น ก็ต้องพอ
ศรัทธาคนหนุ่มสาว ก็ต้องพอ
ศรัทธาพ่อบ้าน แม่เรือน ก็ต้องพอ
คนแก่ชราจะเข้าโลง ก็ต้องพอ
นี่, คนธรรมดาจะต้องมีศรัทธาอย่างถูกต้อง แล้วก็เพียงพอสำหรับจะอยู่เป็นปกติ ถ้าความเชื่อไม่พอ มันก็ไม่ปกติ มันต้องหวาดผวาอยู่เรื่อยไป เป็นความทุกข์ที่ทรมาน ถึงกับตายในที่สุด นี่คนธรรมดาก็มีศรัทธา ที่ต้องช่วยกันจัด ช่วยกันทำ ช่วยกันระมัดระวัง
ถ้าเป็นพระอรหันต์ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็หมดเรื่องที่จะต้องอบรมเรื่องศรัทธา ไม่มีปัญหาเรื่องศรัทธา เพราะว่ามันมีเสียแล้วโดยอัตโนมัติ โดยสมบูรณ์ถึงที่สุด เช่นว่า พระอรหันต์มีสติสมบูรณ์ถึงที่สุด โดยไม่ต้องระมัดระวังเหมือนพวกเรา นี่เรียกว่าความสมบูรณ์ในคุณธรรมที่ควรจะมีของพระอรหันต์เป็นอย่างนี้
วันนี้เราพูดกันแต่เรื่องศรัทธา ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจว่า ถ้าเราไม่มีศรัทธาเพียงพอ เราจะไม่มีความสุข แล้วปีใหม่ของเราก็จะไม่ดีกว่าปีที่แล้วมา คือไม่มีความสุขเพิ่มขึ้น ถ้ามัวดูหมิ่นศรัทธา ดูถูกศรัทธาว่า เป็นของต่ำต้อย เป็นบทแรก เป็น ก.ข. อย่างนี้แล้วก็ ไม่มีทางที่จะเข้าใจเรื่องศรัทธาได้ ศรัทธามันเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งอยู่โดยสัญชาตญาณของสิ่งที่มีชีวิต
บรรดาสิ่งที่มีชีวิต มันก็ต้องแน่ใจในสิ่งซึ่ง เป็นความรอดปลอดภัยของมัน ถ้าอาตมาจะพูดว่า แม้แต่ต้นไม้ก็ต้องการเป็นอย่างนั้น ท่านทั้งหลายก็คงไม่เชื่อ ถ้าอาตมาจะพูดว่า ต้นไม้ก็ต้องมีความรู้เรื่องความปลอดภัยของมัน มันจึงจะมีความสุข พูดอย่างนี้ท่านทั้งหลายก็คงไม่เชื่อ อาตมาก็พูดไปตามที่ ได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านมา ถึงการค้นคว้าสมัยปัจจุบันว่า แม้แต่ต้นไม้ก็เป็นอย่างนั้น การค้นคว้าทดลองทางวิทยาศาสตร์นี่เขาพิสูจน์ได้ถึงกับว่าต้นไม้ก็รู้จักกลัวน่ะ ต้นไม้นี่รู้จักกลัว คนที่เกลียดต้นไม้ ทำลายต้นไม้ นี่เข้ามาใกล้ต้นไม้ ต้นไม้กลัว แล้วแสดงความหวั่นไหวอยู่ภายในต้นไม้นั่นแหละ ซึ่งเขาวัดได้ด้วยเข็มวัดที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษว่า ต้นไม้กลัว และมีความทุกข์ ไอ้คนที่ล้างผลาญต้นไม้อยู่เป็นประจำ เพียงแต่เข้ามาในห้องที่มีต้นไม้สำหรับทดลองอยู่เท่านั้น ต้นไม้นั้นจะกลัวมาก จนเข็มบอกหวั่นไหวถึงกลัวถึงที่สุดทีเดียว ถ้าพูดอย่างนี้ ท่านทั้งหลายก็คงไม่เชื่อ เมื่อไม่เชื่อเก็บไว้ก่อนก็ได้ แต่ที่เอามาเล่านี้ก็เพื่อจะบอกให้รู้ว่า บรรดาสิ่งที่มีชีวิตนี่ มันรู้จักกลัว แล้วความกลัวนั้นจะถูกขจัดไปได้ ด้วยสิ่งที่เรียกว่าศรัทธา เมื่อมันได้ปรับปรุงขยับขยาย จนเกิดความเชื่อ ความแน่ใจ ความไว้ใจ ว่าปลอดภัยแล้วมันก็หยุดกลัว มันก็ไม่เป็นทุกข์ทรมาน เดี๋ยวนี้มนุษย์เรานี่มันมีความรู้สึกอะไรมากกว่าต้นไม้มากนัก และมากกว่าสัตว์เดรัจฉานมากนัก
ต้นไม้ก็ต้องการความปลอดภัย แน่ใจว่าปลอดภัย จึงจะเป็นต้นไม้ที่มีความสุข
สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกัน มันต้องแน่ใจ ว่าปลอดภัยจากเจ้าของคุ้มครอง หรือจากอะไรก็ตาม มันจึงจะนอนหลับ และอยู่เป็นสุข เพราะความเชื่อว่าเราปลอดภัย
ทีนี้มาถึงมนุษย์ ก็ยิ่งเป็นอย่างนั้นมากขึ้นไปอีก เพราะมนุษย์มันคิดได้มาก คิดได้ละเอียด สูงกว่านั้น มันต้องมีความเชื่อว่าปลอดภัยแน่ๆ จึงจะนอนหลับ หรือจะอยู่เป็นสุขได้ ไม่ต้องเป็นโรคประสาท ให้ละอายแมว
นี้, ขอให้มองดูว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ศรัทธา นั้น มันลึกอยู่ในชีวิต ต้องคู่กันมากับชีวิต ชีวิต นั้นจึงจะรอดอยู่ได้ และชีวิตนั้นจะมีความสุข ถ้ารอดอยู่ได้ โดยไม่ต้องมีความสุขก็ป่วยการ ดังนั้นต้องรอดอยู่ได้ด้วย แล้วก็ต้องมีความสุขด้วย ถ้ามันไม่มีศรัทธาว่าปลอดภัยเพียงพอ มันจะผวา มันจะหวาดผวา แล้วความหวาดผวา ก็จะทรมานมันจนต้องซูบผอม จนต้องตาย
ดังนั้น จะต้องมีศรัทธาในชั้นรากฐานของสิ่งที่มีชีวิต ในระดับสัญชาตญาณ ซึ่งสัตว์เดรัจฉานก็ทำเป็น มันจะต้องดิ้นรนขวนขวาย จนแน่ใจว่าปลอดภัย มันจึงจะหยุด มันจะอยู่ และจะนอน หรือจะหลับลงไปได้ ถ้าไม่เช่นนั้น มันนอนไม่หลับเหมือนกัน มันก็ต้องกระสับกระส่าย ก็ต้องวิ่งว่อน หรือทรมานจิตใจจนตาย นี่ศรัทธามันอยู่ลึก ถึงลึกสุดของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต แล้วก็เป็นปัจจัยแห่งความสุขทุกระดับ ไม่ว่าความสุขชนิดไหน จึงอยากจะให้ช่วยกันพิจารณา
อ้าวทีนี้ก็ดู ที่ว่าสิ่งซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา อะไรบ้างจะเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาที่เราจะไปสร้างศรัทธาขึ้นมาให้ได้ และสร้างกันได้แล้ว จะอยู่เป็นสุข อาตมาอยากจะแบ่งเป็นสามกลุ่ม หรือสามพวก คือ
วัตถุ พวกหนึ่ง
แล้วก็บุคคล อีกพวกหนึ่ง
แล้วก็พิธีกรรม หรือการกระทำ นี่อีกพวกหนึ่ง เป็นสามพวก
สามพวกนี้ จะเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา เป็นวัตถุแห่งศรัทธา
พวกที่หนึ่ง เรียกว่าวัตถุ หรืออะไรๆ ที่พอจะสงเคราะห์ได้ในเรื่องของวัตถุ นับตั้งแต่ว่า ประตู ลูกกลอนประตู ฝาเรือน หรือว่า บ้าน นี่ต้องเป็นที่แน่ใจว่าปลอดภัยแก่เจ้าของ เจ้าของจึงจะนอนหลับ ถ้าว่าประตู ลูกกลอน ฝาเรือน รั้วบ้าน มันไม่แสดงความแน่นอนให้แก่เจ้าของบ้าน เจ้าของบ้านก็นอนไม่หลับ อารักขาใดๆ กิจกรรมเพื่อการอารักขาใดๆ ที่ว่าเขามีอยู่ก็เขาก็จะต้องมีพอ จนแน่ใจจึงจะนอนหลับ เครื่องมือ เครื่องใช้ที่เรามี ถ้าเราแน่ใจว่ามันถูก มันตรง มันใช้สำเร็จประโยชน์ได้ เราก็สบายใจ และเป็นสุข ยานพาหนะ รถยนต์ เรือ หรืออะไรก็สุดแท้ ถ้าว่ามันให้ความแน่ใจว่าปลอดภัย เราก็เป็นสุข ฉะนั้นบ้านเรือนของเราต้องอยู่ในลักษณะที่ทำให้เรารู้สึกว่าปลอดภัย เราจึงจะรู้สึกปลอดภัย และเป็นสุข นี้ดูกันโดยหลักปัจจัยสี่ก็แล้วกัน เพราะว่ามนุษย์นี่มันต้องอาศัยปัจจัยสี่เป็นเครื่องยังชีวิต
ปัจจัยสี่ คือ เรื่องอาหาร เรื่องเครื่องนุ่งห่ม เรื่องที่อยู่อาศัย และเรื่องบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ คือ หยูกยา
อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และหยูกยา ถ้าสี่อย่างนี้ แสดงความแน่ใจ ให้แก่เรา เราก็เป็นสุขน่ะ เช่นเรื่องอาหาร มันมีความแน่ใจว่าเรามีอาหารกินแน่ ไม่ต้องอดตาย และเป็นอาหารที่ไม่มีพิษ ไม่มีโทษ ถูกต้องแล้ว เราก็ไม่หวาดผวา ในทางจิตใจเกี่ยวกับอาหาร เรากินอาหารอร่อย เราก็อยู่ได้เป็นสุข หรือเครื่องนุ่งห่มเราก็แน่ใจว่ามีเพียงพอ สำเร็จประโยชน์ในการที่จะป้องกันหนาว ร้อน ในการที่จะป้องกันยุง กันแดด กันลม กันอันตรายต่างๆ เราก็จะรู้สึกสบายใจที่สวมเครื่องนุ่งห่มชุดนี้อยู่กะเนื้อกะตัว ถ้ามันไม่แสดงให้เกิดความรู้สึกอย่างนี้ เราก็ไม่มีความสุขในการที่จะสวมเครื่องนุ่งห่มชุดนี้อยู่กะเนื้อกะตัว ที่อยู่อาศัย บ้านเรือน เครื่องใช้ไม้สอยทุกสิ่งทุกอย่างต้องให้ความแน่ใจว่า เพียงพอที่จะปลอดภัยถึงจะอยู่กันเป็นผาสุก ทีนี้หยูกยา วิธีการบำบัดความใคร่เจ็บก็ต้องแน่ใจอีกเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นนอนไม่หลับ เป็นอะไรนิดหนึ่งก็นอนไม่หลับ จนกว่าจะมีความแน่ใจว่า ไม่ตายแน่ หรือจะหายแน่ ทีนี้เราจะต้องปรับปรุงให้วัตถุทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความแน่ใจ มั่นใจแก่ความปลอดภัยของเรานี้ ให้มันดีกว่าปีเก่าเถิด กลับไปบ้านแล้ว ก็ไปปรับปรุงสิ่งเหล่านี้ให้เป็นที่แน่ใจ เป็นศรัทธาระดับต่ำสุด อาศัยวัตถุเป็นที่ตั้ง แล้วก็คงจะมีความสุขมากขึ้นกว่าปีเก่า นี่กำลังพูดถึงว่า ไอ้ปีใหม่นี้ต้องมีความสุขมากกว่าปีเก่า จึงแนะว่าไปปรับปรุงทางวัตถุให้ถูกต้อง ให้เกิดศรัทธาในวัตถุเหล่านั้นมากขึ้นกว่าปีเก่า จะต้องได้ความสุขปีใหม่มากกว่าปีเก่าเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นก็เป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ ส่งบัตรอวยพร ร้องเพลง ทำอบายมุขกันไปก็เท่านั้นเองไม่มีความสุขมากกว่าปีเก่าได้
อ้าวทีนี้ก็จะมาถึง หมวดที่สอง คือ บุคคล เราจะมีศรัทธาที่ตั้งลงไปในบุคคล คำว่า บุคคล นี้ขอให้ยอมรับว่าทั้งผู้อื่น และตัวเรา นะ คำว่าบุคคลน่ะ ผู้อื่นทั้งหลายก็เป็นบุคคล ตัวเราก็เป็นบุคคล ทีนี้ความที่บุคคลจะเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาได้ นี้ก็ต้องอาศัยการจัด การทำด้วยเหมือนกัน บุคคลที่จะเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา เอาตามหลักอะไรดี ในพุทธศาสนาเราก็เอาตามหลัก ทิศทั้งหก เรื่องทิศหก เข้าใจว่า เข้าใจกันดีอยู่แล้ว
ทิศเบื้องหน้า คือ บิดา มารดา
ทิศเบื้องหลัง คือ บุตร ภรรยา
ทิศเบื้องขวา คือ ครูบาอาจารย์
ทิศเบื้องซ้าย คือ มิตร สหาย
ทิศเบื้องบน คือ พระเจ้า พระสงฆ์
ทิศเบื้องต่ำ คือ คนใช้ ทาส กรรมกร เป็นสี่ทิศ
บุคคลเหล่านี้ต้องเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาว่า ถูกต้อง เพียงพอ เราก็เป็นสุข บิดา มารดา ญาติทั้งหลาย บุตร ภรรยา สามี แต่ละคน ละคน ต้องเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา แน่ใจ มั่นใจ ไว้ใจ ว่าจะเป็นไปอย่างถูกต้อง ไม่กระทำผิดต่อกัน จนไม่เป็นที่พึ่งแก่กัน ไม่หวาดระแวงกัน ว่าจะเป็นชู้นอกใจ หรือว่าจะเป็นอะไรไปเสียแล้ว อย่างนี้ นี้เรียกว่า ทิศเบื้องหน้าบิดา มารดา ญาติทั้งหลาย บุตร ภรรยา สามี
ทีนี้ทิศเบื้องหลัง บุตร ภรรยา สามี ทิศเบื้องหน้า บิดา มารดา ทิศเบื้องหลังบุตร ภรรยา สามีเอามาว่าคราวเดียวกันว่า ต้องเป็นที่ตั้งแห่งความแน่ใจ มั่นใจว่า ถูกต้อง ไม่มีผิดพลาด ไม่ต้องระแวง ไม่ต้องหวาดผวา
ทีนี้ทิศเบื้องขวา ครูบา อาจารย์ ทิศเบื้องซ้าย คือมิตร สหาย
ไอ้ครูบา อาจารย์นั้นเป็นที่เคารพนับถือไว้ใจได้ อย่างที่เราไว้ใจมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา มีครูบา อาจารย์ที่ดี ถ้าแน่ใจ ก็มั่นใจ ก็มีความสุข แล้วครูบา อาจารย์ทั้งหลาย ก็ชักจูงคนให้ไปในทางของความถูกต้อง และมีความสุข
เบื้องซ้าย คือญาติ มิตร สหาย ก็ถูกต้อง ไม่มีกบฎ ไม่มีหักหลัง ไม่มี ไม่มีแม้แต่ว่าจะใจจืดใจดำอย่างนี้ก็ไม่มี คำว่า มิตรสหาย นี้คือผู้ที่พร้อมที่จะช่วยเหลือ เขาเรียกว่ามิตรสหาย เราก็มีมิตรชนิดที่ตรงตามความหมายคำๆ นั้น มิตรสหายก็เป็นที่ตั้งแห่งความเชื่อของเรา เราก็มีความสุข มันเกิดมาจากศรัทธาที่หาได้ในมิตรสหายเหล่านั้น
ทีนี้พระเจ้า พระสงฆ์ ทิศเบื้องบน เจ้านายอะไรก็ใส่ไว้ในทิศนี้ก็ได้ ต้องมีความเชื่อ ความแน่ใจว่าพระเจ้า พระสงฆ์เป็นที่พึ่งได้จริง เจ้านายของเรา เหนือหัวของเรา เป็นที่พึ่งได้จริง เราต้องจัด ต้องทำ ให้มันเป็นที่พึ่งได้จริง เราจึงจะแน่ใจว่า มันจะเป็นที่พึ่งได้จริง แน่ใจ ไว้ใจ ก็สบายแล้วเป็นสุข
ทีนี้ ลูกจ้าง คนใช้ กรรมกร แม้แต่คนขับรถ เรามีรถยนต์ มีคนขับรถยนต์ ถ้าเราไม่เชื่อในความสามารถคนขับรถ เราก็ไม่มีทางที่จะมีความสงบสุขได้ ดังนั้นลูกจ้างก็ให้เกิดความไว้ใจ คนใช้ก็เกิดความไว้ใจ กรรมกรก็เกิดความไว้ใจ แม้แต่จะคนขับรถก็ทำให้เราเกิดศรัทธา เกิดความเชื่อในความปลอดภัยได้ เราก็มีความสุข
นี้เรื่องบุคคล ที่จะทำให้ เกิดความเชื่อ ความแน่ใจแก่เรา จนอยู่ด้วยจิตใจที่สงบสุข ทีนี้บางคนเขาเชื่อ ผีสาง เทวดา ผู้วิเศษตามแบบแห่งไสยศาสตร์ ถ้าเขาเชื่อแล้วมันได้ประโยชน์ เป็นความสุขได้ก็ยกให้เขาไปเถิด ถึงแม้ว่าเราจะไม่เอา แต่มันก็เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เชื่อสิ่งเหล่านั้น จะทำให้เขามีความพอใจ แน่ใจ และเป็น เอ่อ, เป็นสุขได้
แต่โดยปกติแล้ว มันไม่เป็นที่พึ่งได้ ไอ้ที่พึ่งชนิดนั้นที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน สรณทีปิกคาถา มันไม่เป็นที่พึ่งที่เกษม ไม่เป็นที่พึ่งอันอุดม ไม่เป็นที่พึ่งอันสูงสุด มันเป็นได้แค่เพียงที่พึ่งหลอกๆ ชั่วครั้งชั่วคราว ผู้วิเศษ ผีสาง เทวดา ก็ให้ศรัทธาหลอกๆ ดังนั้นความสุขที่เกิดมาจากศรัทธาหลอกๆ มันก็เป็นความสุขหลอกๆ นั่นเอง ไม่ควรจะเอามาเป็นความสุขปีใหม่
ทีนี้ พระเป็นเจ้า การที่เราเชื่อกันนี่ ในลัทธิที่เชื่อพระเป็นเจ้า หรือพวกเราที่ถือพุทธศาสนาแล้วก็ยังไม่วายที่จะไปเชื่อพระเป็นเจ้าไว้อีกส่วนหนึ่ง ทีนี้ ถ้าว่าจัดให้มันถูกต้อง พระเป็นเจ้าก็พอจะช่วยได้ เรามีกฏแห่งความจริง กฏแห่งธรรมชาติ กฏแห่งพระธรรม เป็นพระเป็นเจ้า เมื่อมันถูกต้อง มันก็พิสูจน์ความเชื่อได้ ไว้ใจได้ ก็มีความสุข
ทีนี้คนที่เขาเชื่อพระเป็นเจ้าอย่างในลัทธิอื่น เมื่อเขาเชื่อจริงๆ มอบชีวิตจิตใจ มีความเชื่อที่ว่าภักดี เลื่อมใส เขาก็เป็นสุขได้เหมือนกัน เพราะมันเชื่อซะเด็ดขาด เอาความเชื่อเด็ดขาดนั้นแหล่ะเป็นความสุข แม้จะต้องตายลงไปเพราะเหตุนั้น เขาก็ว่า มันถูกแล้วที่มันจะต้องตายไปเพราะเหตุนั้น พระเจ้าต้องการตัว เขาก็ยินดี เขาก็ไม่เป็นทุกข์ เรื่องมันก็จบไปได้ โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ แต่เราไม่, ไม่เอาเพียงเท่านั้น เราไม่ยินดีเพียงเท่านั้น เราจะทำให้ดีกว่านั้น คือให้มันดับทุกข์ได้จริง
ทีนี้มันอยู่ในโลกนี้ มันก็ยังมีบุคคลเกี่ยวข้องอีกมาก เช่นว่า เรามีคณะรัฐมนตรีที่ดี มีนักการเมืองที่ดี มีสภาผู้แทนราษฎรที่ดี มีกำลังแสนยานุภาพ ทหารเป็นต้น ที่ดี ถ้ามันดี มันก็ให้ความเชื่อแก่ประชาชน ประชาชนก็มีความสุขอันเกิดจาก ความเชื่อ ความไว้ใจ ความแน่ใจ ในรัฐบาลของตน ในสภาผู้แทนของตน ในกำลังทหารของประเทศชาติ นี้มันก็อยู่ด้วยจิตใจ ที่ไม่หวาดผวา และอยู่เป็นสุข
อาตมาอยากจะพูดรวมไปถึงว่า ไอ้สัตว์เดรัจฉาน ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยง สัตว์ใช้งาน ไม่, ไม่ใช่คน แต่จะมารวมไว้ในหมวดนี้ มันก็ต้องเป็นสัตว์เลี้ยง หรือสัตว์ใช้งาน ที่มีคุณสมบัติ เอาพอที่จะไว้ใจ เขาจะมีควายไถนา มีม้าลากรถ มีสุนัขเฝ้าบ้าน มีอะไรก็ตามแต่ มันต้องเป็นที่ตั้งแห่งความเชื่อ ความไว้ใจ ความแน่ใจ เราก็เป็นสุข
ถ้ามันมีความเชื่อที่ลงไปได้ในสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ก็เกิดความรู้สึกที่เป็นสุข นี่เป็นเรื่องผู้อื่น ทีนี้บุคคลที่เป็นตัวเองนี่จะเป็นที่สรุปรวมยอด รวบยอดว่า ในที่สุดมันจะต้องมาเชื่อตัวเอง ความเชื่อทั้งหลาย กี่ร้อย กี่พันอย่าง ไม่ดีเท่ากับเชื่อตัวเอง เชื่อตัวเองว่า ตัวเองนี้ มีกำลังกายเพียงพอที่จะปฏิบัติงาน มีกำลังจิตเพียงพอที่จะปฏิบัติงาน มีกำลังปัญญา ความรู้ ความคิดเพียงพอที่จะปฏิบัติงาน คือมี สะ, สะ, สมรรถภาพ มีวิริยะภาพ มีอะไรก็ตามเพียงพอ แน่ใจในข้อนี้แล้ว จะพอใจ และเป็นสุขอย่างยิ่ง ตัวเองมีกำลังทางเศรษฐกิจดี มีกำลังทางอนามัยดี มีกำลังทางสังคมดี ตัวเองชนิดนี้ มันทำเป็นที่พึ่งแก่ตัวเองได้ ในบทว่า ตัวเองเป็นที่พึ่งแก่ตัวเอง หมายความว่า ตัวเองมันสมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ ที่ทำให้เกิดความเชื่อ ความแน่ใจ ความมั่นใจ เราก็รู้สึกเป็นสุข
ดังนั้น เราจะต้องปรับปรุงตัวเอง ให้มันให้ความเชื่อแก่ตัวเองมากกว่าปีเก่า ปีใหม่มันจึงจะมีความสุขมากกว่าปีเก่า นี่เรื่องบุคคลมันเป็นอย่างนี้ บุคคลอื่นหรือบุคคลตัวเอง จะต้องได้รับการปรับปรุง ให้เป็นที่ตั้งแห่งความเชื่อ ความมั่นใจ ความไว้วางใจมากกว่าปีเก่า แล้วปีใหม่ของเราก็จะมีความสุขที่แท้จริงเพิ่มขึ้น ไม่ใช่สุขลมๆ แล้งๆ เพียงแต่ส่งบัตรอวยพร
เอ้า, ทีนี้กลุ่มที่สาม ที่เป็นที่ตั้งแห่งความเชื่อ ก็คือ พิธีกรรม วิธีกรรม หรือพิธีกรรม คือ การกระทำให้ถูกวิธี ใช้คำว่า วิธีกรรม ตามตัวหนังสือ กระทำให้ถูกวิธี แต่เราไม่ค่อยใช้คำนี้ เรามักจะใช้ พิธีกรรม แล้วพิธีกรรม มันกลายเป็น พิธี ความหมายมันเลยกำกวม ขอให้ถือเอาความหมายว่าวิธีกรรมคือ การกระทำที่ถูกวิธี สิ่งทั้งหลายมีเคล็ด มีเทคนิค มีวิธีประจำของมันทั้งนั้นแหละ ทำให้ถูกกับสิ่งนั้นเถิด แล้วมันก็จะสำเร็จประโยชน์ แล้วก็มีวิธีกรรมทางศาสนาก็มีวิธีกรรมที่ทำให้ถูกต้อง แต่อย่าให้เลยเถิดเป็นพิธีรีตรองแล้วมันจะเหลวใหล อย่าให้เลยไปเป็นพิธีรีตรอง ให้เป็นวิธีกรรมที่ถูกต้อง
เรามีระบบศาสนาที่ยึดถือ มีระบบเรื่องกรรมให้ผล ผล ผลกรรม การรับผลกรรม อะไรต่างๆ ที่เข้าใจแจ่มแจ้งดี เป็นปัญญา และศรัทธา มันก็กิดขึ้นในกรรม ในการให้ผลแห่งกรรม ในการรับผลแห่งกรรม เราก็แน่ใจว่าเป็นไม่ต้องตกนรก หรือว่าไม่, ไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องเป็นวิตกกังวล ความเชื่อเรื่องโลกนี้ ความเชื่อเรื่องโลกหน้า ความเชื่ออะไรต่างๆ เราก็หมดปัญหา เพราะเรามีการประพฤติ กระทำชนิดที่ว่า เชื่อได้ว่า มีแต่ความถูกต้องอย่างเดียว
เช่น เราประพฤติอยู่ตามที่พระพุทธเจ้าแนะนำสั่งสอนอย่างนี้ มัน, มัน, มันแน่ใจได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ขอให้ประพฤติตามที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนเถิด ถ้าโลกหน้ามี เราก็ได้รับผลอีกเหมือนกัน ในโลกหน้า ถ้าโลกหน้าไม่มี เราก็ได้รับผลในโลกนี้เต็มเปี่ยมอยู่แล้ว ดังนั้นเป็นอันว่าแน่ใจทั้งสองโลก โลกนี้ และโลกหน้า เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา แล้วก็มีความสุขเพราะมีศรัทธา กิจกรรมต่างๆ ที่เราจะต้องจับ ต้องทำ ระบอบเศรษฐกิจของเรา ระบบการเงินของเรา ระบบประกันภัยของเรา ระบบอะไรต่างๆ ที่เราจะต้องทำ ให้ถูกวิธีกรรมเราก็ทำ เราควรจะรับประกันชีวิตไหม หรือว่าเราควรจะรับประกันอะไร เราควรจะจัดการเงินอย่างไร เศรษฐกิจอย่างไร วิธีกรรมเหล่านี้เรากระทำถูกต้องหมด เราก็มีศรัทธาในวิธีกรรมเหล่านี้ แล้วเราก็มีความสุข
ฉะนั้น ท่านทั้งหลายลองทบทวนดูว่า อาตมาได้พูดอะไรมากี่อย่าง หรือกี่สิบอย่างแล้ว ว่าถ้าเราประพฤติ กระทำ ด้วย, ด้วยความรู้ สติปัญญาอย่างถูกต้องในสิ่งนั้นๆ ในบุคคลนั้นๆ ในวัตถุนั้นๆ แล้วเราก็มีศรัทธาในการกระทำ ในตัวเราเอง ในสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย เราก็อยู่เป็นสุข ปีใหม่เราก็ได้รับความสุขมากกว่าปีเก่า
อาตมาขอร้องว่า ปีนี้อาตมาพูดเรื่องศรัทธาซึ่งท่านทั้งหลายมองข้าม และดูถูก ดูหมิ่น วางตัวเป็นศาสดาสูงเกินไป จนเห็นเรื่องศรัทธาเป็นเรื่องเล็กๆ เป็นเรื่องเด็กๆ ที่จริงไอ้เรื่องศรัทธานี้มันมาตั้งแต่ชีวิตตั้งต้น แล้วมันก็เจริญด้วยศรัทธา ไปจนถึงเป็นพระอรหันต์ จนเป็นศรัทธาอัตโนมัติเป็นโลกุตตระศรัทธา แล้วมันจะเป็นเรื่องเด็กๆ เป็นเรื่องเล็กๆ เป็นเรื่องตั้งต้น อย่างที่คนทั้งหลายเขาเข้าใจกันได้อย่างไร มันเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เป็นเรื่องชีวิตจิตใจ พอปราศจากศรัทธาแล้ว มันก็ต้องหวาดผวา แล้วก็ผอมตาย เราต้องจัดให้ถูก ให้ตรง ให้ศรัทธานี่ อิ่มเอิบอยู่เสมอ
ตั้ง, ตั้ง, ตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที ที่บิดา มารดาจะช่วยจัดให้ ทารก ลูก หลาน ให้มันเดินมาด้วยวิชาความรู้ที่ถูกต้อง มีศรัทธาถูกต้อง มันมีความสุข เพราะมีศรัทธาถูกต้อง ลูกของเราเป็นวัยรุ่น เป็นหนุ่มสาวขึ้นมา ก็ถูกต้อง มันก็อยู่อย่างมีความสุข จนกระทั่งกลายมาเป็นพ่อบ้าน แม่เรือน คนเฒ่า คนแก่ ก็มีศรัทธา พระพุทธเจ้าตรัสว่า
สุขา สัทธา ปะติฏฐิตา นี่ศรัทธาตั้งมั่นแล้วให้เกิดสุข
สาธุ สัทธา ปะติฏฐิตา ศรัทธาตั้งมั่นแล้วสำเร็จประโยชน์ทุกอย่าง
สัทธา พันทะติ ปาเถยยัง คนที่จะเดินทางตั้งแต่แรกคลอดมาจากท้องแม่ จนโต จนเป็นแก่เฒ่าเข้าโรง จนกระทั่งเป็นพระอรหันต์บรรลุนิพพาน ก็ต้องอาศัยศรัทธาเป็นพื้นฐาน เป็นเหมือนกับเสบียง จึงมีคำกล่าวว่า สัทธา พันทะติ ปาเถยยัง
ศรัทธา เป็นเครื่องรวบรวมมา ซึ่งเสบียงสำหรับผู้เดินทาง ไอ้, ชีวิตนี้มันต้องเดินทางนะ ถ้าใครไม่เห็นว่า ชีวิตนี้เป็นผู้เดินทาง อาตมาขออภัยที่จะกล่าวว่า มันเป็นคนโง่ ชีวิตมันจะต้องเดินทางโดยทางภายใน ทางจิตใจ ตั้งแต่แรกคลอดออกมาจากท้องแม่ก็ เดินมา เดินมา จนกว่าจะเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนเฒ่า คนแก่ เดินทางไปในทางธรรมะ คือ ทางจิต ทางวิญญาณ จนบรรลุพระอรหันต์ และบรรลุนิพพาน ทั้งหมดนี้ มันเป็นการเดินทาง
เอ่อ, ขอ, ขอร้อง ขอวิงวอนท่านทั้งหลายดูให้ดีว่า ชีวิตเป็นการเดินทาง จนกว่าจะไปถึงจุดหมายปลายทาง คือ เข้าไปสู่นครแห่งความไม่ตาย เดินทางจากความทุกข์ทรมานเข้าไปสู่นครแห่งความไม่ตาย คือ พระนิพพาน เราอบรมจิตของเรา อบรมจิตของเรา อบรมจิตของเรา จนอยู่ในสภาพที่ว่า เอ่อ, กิเลสเกิดแก่จิตไม่ได้ จิตนั้นเป็นลักษณะว่างจากกิเลส เป็นอิสระ สงบ เยือกเย็น มั่นคง ตามความหมายของคำว่า นิพพาน ซึ่งแปลว่า เย็นอกเย็นใจ นั่นน่ะ คือ นครแห่งความไม่ตาย มันไม่เป็นทุกข์ มันปราศจากความยึดถือว่าตัวตน มันมีความเชื่อแน่ มีศรัทธาในความไม่มีตัวตน ในความไม่ต้องมีตัวตน สังขารทั้งหลายทั้งปวงมิใช่ตัวตน มันเชื่อแน่ถึงขนาดนี้ มันก็ไม่มีความทุกข์ หรือไม่มีตัวตนที่จะเป็นปัญหาเรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ฉะนั้น
ชีวิตจึงเป็นการเดินทาง จากความทุกข์ ไปสู่ ความหมดทุกข์
เดินทางจากความตาย ไปสู่ ความไม่ตาย
ทีนี้ที่ปีใหม่ปีเก่าที่มันสลับ คั่นๆ คั่นอยู่เป็นตอนๆ นี่มันเป็นระยะการเดินทาง การเดินทางนี้ควรจะ ดีขึ้น ดีขึ้น นี่คือ ความหมายคำว่า ปีใหม่ต้องดีกว่าปีเก่า คือ เดินได้ดีกว่า ความรู้มากขึ้น ดีขึ้น สมบูรณ์ขึ้นกว่าปีเก่า แล้วความรู้ก็ทำให้ศรัทธาดีขึ้น มากขึ้น สมบูรณ์ขึ้นกว่าปีเก่า ศรัทธามากกว่าปีเก่า ไอ้ความสุขมันก็มากกว่าปีเก่า เพราะความรู้ให้เกิดศรัทธา ศรัทธาให้เกิดความแน่ใจ และเป็นสุขอยู่ในความแน่ใจ
ถ้าไม่แน่ใจจะหวาดผวา และเป็นทุกข์ จะต้องเป็นโรคประสาท นอนไม่หลับ ต้องกินยานอนหลับให้ละอายแมว ซึ่งไม่ต้องกินยานอนหลับ
จึงหวังว่าท่านทั้งหลายทุกคนควรจะจัดแจง ปรับปรุงให้ดีๆ ให้ความสุขปีใหม่นี้ มีได้จริง มีมากกว่าปีเก่า หรือถ้ายังต้องกินยานอนหลับบ้าง ก็ให้กินน้อยกว่าปีเก่าก็ยังดี นี่เรื่องวัน, เอ่อ, วันนี้เป็นวันปี, ส่งท้ายปีเก่า จะต้อนรับปีใหม่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้แล้ว อาตมาพูดกับท่านทั้งหลายด้วยเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่ง คือเรื่องศรัทธา แล้วเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายมองข้ามมันไป ไม่จัด ไม่ปรับ ไม่ปรุง ให้ศรัทธาเพียงพอสำหรับจะเกิดความสุข นี่การบรรยายในเรื่องศรัทธาก็เห็นว่าพอสมควรที่จะทำความเข้าใจกันแล้ว หวังอยู่แต่ว่าท่านทั้งหลายจะทำให้มีมากขึ้นในปีใหม่ แล้วก็จะได้รับความสุขปีใหม่ ได้รับพรปีใหม่ชนิดที่แท้จริง สมตามความปรารถนา อาตมาขอยุติการบรรยายในครั้งนี้ ในโอกาสนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้
ขอให้ทุกคนระลึกถอยหลังนิดว่า อาตมากำลังพูดว่า จะขึ้นปีใหม่ ต้องการให้มีความสุข หรือมีพรปีใหม่ให้จงได้ และให้มากกว่าปีเก่า การที่จะทำให้ได้อย่างนี้ ก็แนะว่าให้เพิ่มมูลเหตุของความสุข ซึ่งระบุไปยังศรัทธา คำว่า ศรัทธา แปลว่า เชื่อ หรือไว้ใจ หรือแน่ใจในสิ่งที่ตัวถือเอาเป็นที่พึ่ง เราถืออะไรเป็นที่พึ่ง เราแน่ใจในสิ่งนั้นนั่นคือศรัทธา ที่ว่ามันจะช่วยให้ความยากลำบากหายไปนั้น มันเป็นอานิสงส์ของศรัทธา ไม่ใช่คำแปลของศรัทธา เมื่อเรารู้จักอะไร ว่าจะเป็นที่พึ่งแก่เราได้ เราจึงจะมีศรัทธาในสิ่งนั้น
จะเชื่อกรรม เราต้องรู้เรื่องกรรมว่ามันเป็นอย่างไร
จะเชื่อให้ผล, การที่กรรมให้ผลเราก็ต้องรู้เรื่องกรรมให้ผล
หรือว่า จะมีศรัทธาในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เราก็ต้องรู้เสียก่อนว่าท่านตรัสรู้ว่าอะไร
เราจะเอาอะไรเป็นที่พึ่ง เราต้องรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างไร มันจึงจะมีศรัทธาในสิ่งนั้นได้ นี่ขอให้คิดดูเถิดว่า เราจะมีศรัทธาในผู้ใด ในสิ่งใด ในการกระทำอย่างใด เราต้องรู้จักสิ่งนั้น จนเห็นว่ามันเป็นที่พึ่งแก่เราได้ หรืออย่างน้อยมันเป็นประโยชน์ ถ้าเรายังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ว่าอะไร เราก็ไม่มีศรัทธาในพระพุทธเจ้า หรือในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เราต้องรู้เสียก่อนว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้น่ะว่าอย่างไร แล้วเราก็เชื่อว่า ไอ้,การทำอย่างนั้นน่ะ เรามองเห็นอยู่ว่า มันดับทุกข์ได้จริง เราจึงมีศรัทธาในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วก็เลยศรัทธาไปถึงองค์พระพุทธเจ้าด้วย ว่าท่านคงจะตรัสรู้อะไรถูกต้องอีกมากมาย
ฉะนั้น ศรัทธามันจะมาทีหลัง ความรู้จักสิ่งที่เราจะศรัทธาก่อนเสมอไป เราจะรู้, เราจะศรัทธาในสิ่งใด เราจะต้องรู้จักสิ่งนั้นก่อนเสมอไป แล้วสิ่งที่เราต้องการนั้นก็คือ สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งแก่เรา พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า ธรรมะเราแสดงแล้ว คือ เรื่องอริยสัจจ์สี่
ประตูแห่งความไม่ตายเราก็เปิดแล้ว ผู้ที่เห็น คือ ฟัง ฟัง ฟังพระองค์ตรัส เข้าใจ ผู้นั้นจงปลงศรัทธาลงไปเถิด
ประตูแห่งอมตะเราเปิดแล้ว ผู้เข้าใจจงปลงศรัทธาลงไปเถิด
ในการแสดงให้เห็นว่าอมตะนั้นเป็นอย่างไร นี้อาตมาอยากจะให้มัน, มัน, มันครบถ้วนหมดทุกอย่างของสิ่งที่แวดล้อมเราอยู่ และที่เราต้องพึ่งอาศัยมัน ฉะนั้นจึงยกมาตั้งแต่เรื่อง วัตถุ ประตู หน้าต่าง รั้วบ้าน อะไรก็ตาม หรือคนใช้ หรือว่ารถยนต์ หรือว่าอะไรที่เราจะต้องไปเกี่ยวข้องเอาประโยชน์จากมัน พึ่งพาอาศัยมัน เราต้องรู้จักสิ่งนั้น เรารู้แล้วเราจึงเชื่อว่า มันจะทำประโยชน์ให้แก่เราได้ ถ้าเรายังไม่รู้เราก็ไม่เชื่อมัน ไม่ไว้ใจมัน
ฉะนั้น จะปลงศรัทธาลงไปนั้นจะต้องปลงลงไปในสิ่งที่เรารู้จักดี ถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่เกิดหรอก ถ้าบังคับให้เชื่อ มันก็ไม่ใช่ศรัทธาในที่นี้ มันเชื่อโดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร นั้นมันเป็นไปไม่ได้ คงไม่มีใครเชื่อ หรือไม่มีสัตว์ตัวใดจะเชื่อในสิ่งที่ตัวไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร เราต้องรู้ว่าเป็นอะไรเสียก่อน อย่างน้อยก็รู้ว่า มันจะเป็นที่พึ่งแก่เราได้อย่างไร มันจึงจะปลงศรัทธาลงไปในสิ่งนั้น
ทีนี้ต้องการจะแนะในจุดที่สำคัญว่า ถ้ามีศรัทธาแล้วมันจะมีความสุขคือ สบายใจ ที่เรียกว่าอุ่นใจ หมดความหวาดกลัว ไม่ระแวง ไม่หวาดผวา นั่นน่ะคือความสุข เดี๋ยวนี้เรานอนไม่หลับกันบ้าง ปวดหัวบ้าง เป็นโรคประสาทบ้าง เป็นโรคจิตบ้าง เพราะความหวาดผวา ความระแวง ความไม่แน่ใจในความปลอดภัย หรือชีวิตของตัว เราจึงมีความสุขสู้, สู้แมวก็ไม่ได้ ซึ่งมันไม่ปวดหัว มันไม่หวาดกลัว มันไม่เป็นโรคประสาท เพราะว่ามันไม่มีสิ่งที่มันต้องกลัว มันอาศัยความเชื่อตามสัญชาตญาณ มันก็นอนหลับแล้ว ไอ้เรามันคิดมากไปเอง จนนอนไม่หลับ ไม่รู้จะปลงศรัทธาลงไปที่ไหน
ดังนั้นขอให้พิจารณาว่า ถ้าเรามีความแน่ใจ ไว้ใจ ในสิ่งที่เราเอาเป็นที่พึ่งเมื่อไร เมื่อนั้นเราก็สบายใจ หรือมีความสุข
รู้จักพระพุทธเจ้าดี ด้วยปัญญา จึงมีศรัทธาในพระพุทธเจ้า
รู้จักพระธรรมดี ด้วยปัญญา จึงมีศรัทธาในพระธรรม
รู้จักพระสงฆ์ดี ด้วยปัญญา จึงมีศรัทธาในพระสงฆ์
ทีนี้ว่าปัญญานี้ มันเป็นชั้นเด็กๆ มันก็ตามที่คนผู้ใหญ่เขาบอก หรือหนังสือเอามาอ่านดู นี่ปัญญานี้ปัญญาเด็กๆ ก็มีศรัทธาเด็กๆ มันก็มีความสุขในระดับเด็กๆ
ถ้าปัญญาหรือความรู้เป็น เรื่อง จินตามยปัญญา คือคิดด้วยสติปัญญา ด้วยเหตุผล ศรัทธามันก็สูงขึ้นไป ความสุขมันก็สูงขึ้นไป นี้, เท่ากับได้ปฏิบัติในสิ่งนั้นลองดูแล้ว มีความรู้ถึงที่สุดจริงแล้ว ศรัทธามันก็สูงถึงที่สุด มัน, มันเกิดมาจากการได้ชิมรส หรือชิมผล ของการปฏิบัติต่อสิ่งนั้นแล้ว นี่ก็เรียกว่า ภาวนามยปัญญา ทำให้เกิดศรัทธาในระดับสูงสุด เพราะมันได้ผ่าน ชิมรสของสิ่งนั้น รู้จักสิ่งนั้นดีแล้ว
ฉะนั้น ปัญญามีอยู่หลายระดับ ศรัทธาก็มีอยู่หลายระดับ ถ้าว่าปัญญามันถูกต้อง ศรัทธามันก็ถูกต้อง แล้วความสุขนั้นมันก็ถูกต้อง ถ้าความรู้มันผิด ศรัทธามันผิด ในความสุขที่เกิดมาจากศรัทธาชนิดนั้นมันก็ผิด
ฉะนั้น ในโอกาสที่ขึ้นปีใหม่นี้ขอให้ช่วยกัน ซักฟอกศรัทธาให้เป็นศรัทธาถูก โดยซักฟอกปัญญาให้ปัญญามันถูก คือเป็นสัมมาทิฐิ ทำให้ปัญญามันถูก ศรัทธามันก็ถูก เราก็มีความสุขที่ถูก
ในโอกาสแห่งการขึ้นปีใหม่นี้ จึงหวังว่าทุกคนจะซักฟอกความรู้ของตนให้ถูก และเลื่อนให้มันสูงๆ ขึ้นไป ศรัทธามันก็ถูกแล้วมันสูงขึ้นไป แล้วก็ได้รับความสุขที่ถูก ที่แท้ และก็สูงขึ้นไปจนกว่ามันจะถึงระดับสูงสุดซึ่งตัดกิเลสได้ หลุดพ้นได้ พอหลุดพ้นจากกิเลส และความทุกข์แล้วศรัทธาก็สมบูรณ์ เป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องคอยระวังรักษา ไม่ต้องคอยสร้าง ไม่ต้องคอยอะไรอีกต่อไป ใจความสำคัญมันอยู่ที่ว่า ถ้าไม่มีศรัทธา จิตมันหยุด หรือสงบ หรือว่าปกติไม่ได้ มันกลัว มันหวาดระแวงอยู่เสมอ ชีวิตที่มันสงบได้ ไม่กลัว ไม่หวาดระแวง เพราะมันมีศรัทธา ในสิ่งที่มันถือเอาเป็นที่พึ่ง
ดังนั้น ขอให้ชำระสะสางไปตั้งแต่ทางวัตถุ วัตถุสิ่งของที่ใช้สอย กระทั่งว่า พิธีกรรม หลักการที่เรายึดถืออยู่ เรื่องระบบเศรษฐกิจ การเงิน อนามัยอะไรก็ตาม นี่มันต้องถูกทั้งนั้น มีความรู้ถูก เชื่อว่ามันเป็นที่พึ่งได้ ก็มีศรัทธา พอมีศรัทธาแล้วก็สบายใจ ไม่มีอะไรที่จะมาหยุดมันได้ มันก็ต้องทำได้ ถ้ามันมีศรัทธาแล้วมันต้องทำได้ ถึงจะยากเย็นสักเท่าไรมันก็ต้องทำได้ เพราะมันมีความเชื่อแน่ลงว่าอันนี้มันเป็นที่พึ่งได้
ดังนั้น ขอให้ถือเอาความหมายของคำว่า ศรัทธา แปลว่า ความแน่ใจในสิ่งที่ตนถือเอาเป็นที่พึ่ง นับแต่ว่าวัตถุ สิ่งของ เงินทองอะไรต่างๆ กระทั่งบุคคลที่แวดล้อมเราอยู่ กระทั่งระบอบปฏิบัติที่ว่าศีล สมาธิ ปัญญา นี่ถ้าเราไม่รู้จัก เราไม่มีศรัทธาหรอก เราต้องรู้จักศีล สมาธิ ปัญญาพอ เราจึงจะมีศรัทธาใน ศีล สมาธิ ปัญญา พอปฏิบัติได้ผลของมันแล้ว มันยิ่งศรัทธามากขึ้นไปอีก มันเป็นศรัทธาที่มาจากปัญญา ที่เป็นภาวนามยปัญญา ฉะนั้นปัญญาก็ยิ่งแรงขึ้น ศรัทธาก็ยิ่งแรงขึ้น ปัญญาก็แรง ศรัทธาก็แรง มันก็ไปด้วยกัน จนถึงระดับที่สูงสุด ขอให้มองสิ่งนี้ตามที่มันเป็นอยู่จริงตามธรรมชาติ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้แต่งตั้งกฏอันนี้ ทรงพบว่าไอ้ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ แล้วท่านก็เอามาบอกให้เรารู้ ว่า
ศรัทธาตั้งมั่นแล้วเป็นสุข สุขา สัทธา ปะติฏฐิตา ศรัทธาตั้งมั่นแล้วเป็นสุข ก็มันหมดกลัว หมดระแวง มันหมดหวาดผวา มันแน่ใจ
สาธุ สัทธา ปะติฏฐิตา ศรัทธาตั้งมั่นแล้ว
สาธุ คำนี้แปลว่า ยังประโยชน์ทุกอย่างให้สำเร็จ
ทีนี้เรื่องมันยาว มันเหมือนกับการเดินทางยาวๆ จงเอาศรัทธานี้เหมือนกับเสบียงสำหรับการเดินทางที่ยาวๆ จึงมีหลักเกิดขึ้นมาว่า สัทธา พันทะติ ปาเถยยัง แม้จะเดิน, เดินธรรมดานี่ก็มีความเชื่อนะว่า เราเดินไปได้โดยปลอดภัย ไม่มีโจรปล้น ไม่มีเสือกัด ไม่มี มันมีความเชื่ออย่างนี้ มันจึงจะเดินไปได้ตามถนนหนทาง ในป่า ในดง อะไรก็ตาม
จะเดินทางไปนิพพาน ซึ่งมันไกล มันยากกว่านี้ ก็ต้องมีศรัทธาในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในศีล สมาธิ ปัญญา ในทุกอย่างที่มันจะต้องเอามาเป็นที่พึ่ง
ฉะนั้น ศรัทธา จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องพอกพูน แล้วมันจะซักฟอกด้วยปัญญา ซักฟอกให้ปัญญาถูกต้อง ปัญญาก็ซักฟอกศรัทธา แล้วก็พอกพูนปัญญา มันก็เท่ากับพอกพูนศรัทธา มันก็จะเพิ่มศรัทธา ให้ไปเพิ่มปัญญา อย่าไปเพิ่มปัญญา, อย่าไปเพิ่มศรัทธาล้วนๆ มันจะตาบอด มันจะไป, ไปไม่ได้ ไปบังคับให้มันเชื่อ โดยที่มันไม่รู้จักสิ่งนั้น มันก็เหมือนกับว่าไปด้วยความบอดมืด เหมือนกับว่าถูกหลอกให้เชื่อนั้นน่ะ มันก็, ก็ไปด้วยความมืดบอด สอนกันมาผิด เด็กๆ มีความเชื่อผิด มันก็เดินไปด้วยความมืดบอด ช่วยกันไปทำให้ลูกเด็กๆ มีความรู้ถูกต้อง เกี่ยวกับสิ่งที่เราจะต้องเอาเป็นที่พึ่ง แล้วเด็กๆ ของเรา ก็จะมีศรัทธาที่ถูกต้อง เขาก็จะเดินไปได้อย่างมีความสุข
ถ้าว่าไม่แน่ใจในสิ่งที่กำลังถือเอาเป็นที่พึ่งแล้ว คนนั้นจะนอนไม่หลับ จะหวาดผวา จะเป็นบ้า และตาย ฉะนั้นชีวิตมันอยู่ได้ด้วยศรัทธาที่หล่อเลี้ยงความแน่ใจ ความรู้สึกว่าตัวปลอดภัย ไม่ต้องกลัว ใครมันจะอยู่ได้ด้วยความกลัว มันก็เป็นบ้าตาย
ดังนั้น สิ่งที่ระงับความกลัว ก็คือ ศรัทธาที่ถูกต้อง ด้วยปัญญาที่ถูกต้อง ในสิ่งที่จะถือเอาเป็นที่พึ่ง อาตมาพูดเท่านี้ ในโอกาสที่ว่าจะขึ้นปีใหม่ให้มีความสุขมากกว่าปีเก่า ให้มีพร คือความดีมากกว่าปีเก่า ขอให้ชำระสะสางศรัทธาเถิด แล้วพอกพูนศรัทธาเถิด แล้วจงทำลงไปที่ปัญญา ซักฟอกความรู้ แล้วก็เพิ่มพูนความรู้ แล้วศรัทธามันก็จะเพิ่มพูน มันจะมาก มันจะพอใช้ ในการที่จะทำให้เกิดความอุ่นใจ เป็นสุข ใช้เป็นความสุขปีใหม่ที่มากกว่าปีเก่าได้ เรื่องมันมีเท่านี้ เลยไม่รู้จะพูดว่ายังไงอีก อาตมาก็ขอยุติการพูดด้วยเหมือนกัน