แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พูดกับนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากรที่หินโค้ง วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2523 ท่านนักศึกษา ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาที่นี่ของท่านทั้งหลาย ด้วยหวังว่าจะได้กระทำสิ่งที่เป็นหน้าที่หรือเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ยิ่งๆขึ้นไป เป็นการช่วยกันสร้างโลกนี้ให้มันน่าดู โลกนี้อยู่ในสภาพที่น่าเกลียดน่าชังอยู่หลายอย่างหลายประการ นี่มันแล้วแต่ว่าคนในโลกนั้นเป็นอย่างไร ถ้าการศึกษาถูกต้อง ทำให้คนในโลกเป็นมนุษย์ถูกต้อง โลกนี้มันก็จะต้องดีอย่างกับที่เป็นโลกของมนุษย์ ถ้าการศึกษามันไม่ถูกต้อง ให้เรียนแต่หนังสือกับวิชาชีพ มันก็ไม่พอ การศึกษาที่มีแต่หนังสือกับอาชีพนี้ มันเหมือนกับระบบหมาหางด้วน เพราะมันไม่รู้ว่าจะเป็นคนเป็นอย่างไร มันขาดความรู้ที่สาม คือเรื่องของธรรมะ ว่าเราจะเป็นคนกันอย่างไร รู้หนังสือมันก็ฉลาด แต่ตามแบบของรู้หนังสือ รู้อาชีพมันก็ฉลาดในการประกอบอาชีพ แต่ด้านจิตใจจะเป็นมนุษย์กันอย่างไรนี้มันไม่มี มันยังขาดอยู่ ส่วนที่สามนี่มันขาดอยู่ ในโลกกำลังเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นการเป็นมนุษย์ในโลกนี้ มันก็ลดลง มีความฉลาดที่เห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น ยิ่งฉลาดก็ยิ่งใช้ความฉลาดนั้นกอบโกยประโยชน์แก่ตัว ความเป็นมนุษย์มันก็หายไป โลกนี้ก็ไม่เป็นโลกของมนุษย์ที่ถูกต้อง เป็นเพียงโลกของคนที่มีกิเลสแต่ว่าฉลาด เค้าฉลาดในการไปใช้กิเลส นี่เรียกว่าโลกมันยังมีอะไรที่น่าเกลียดน่าชังอยู่มาก อาตมาอยากจะขอร้องทุกคน มองกันในแง่นี้ก่อน ว่ามนุษย์มันยังไม่เป็นมนุษย์ โลกมนุษย์ยังไม่เป็นโลกมนุษย์ ยังเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าเกลียดน่าชัง ที่เราจะรวมเรียกกันสั้นๆว่า วิกฤตการณ์ คือ ความยุ่งยาก ลำบาก ระส่ำระสาย นานาประการ เช่นการสงครามที่กำลังมีอยู่ในโลก ในบ้านเราก็มี และการเป็นอยู่ชนิดที่เอาเปรียบผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของตัว เป็นการพยายามอยู่ใต้พื้นดินอย่างลับๆ นี่ก็เดือดร้อนกันไปทั้งโลก แล้วก็ยังมีความผิดพลาดส่วนบุคคล มีความทุกข์ร้อน ไม่เยือกเย็นเหมือนกับบรรพบุรุษของเรา บรรพบุรุษของเราน้อยคนที่จะรู้หนังสือ ไม่รู้จักหนังสือ ไม่เคยรู้จักคำว่ามหาวิทยาลัยทำนองนี้ แต่เค้าก็อยู่กันอย่างสงบสุขและเยือกเย็น เค้าโง่ในการที่จะสร้างความทุกข์ขึ้นมา ไอ้พวกเราสมัยนี้ฉลาดในการที่จะสร้างความทุกข์ขึ้นมา รู้อะไรมากแต่ก็รู้เพื่อเห็นแก่ตัว ทำอะไรไปเพื่อเห็นแก่ตัว มันก็เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น แล้วเราก็ต้องได้รับผลของการกระทำที่ไม่ถูกต้อง อย่างในกรุงเทพเต็มไปด้วยอันธพาลทุกหัวระแหง เผลอไม่ได้ อาชญากรรมทางเพศอันเลวร้าย ดูจะเป็นของธรรมดาไปเสียแล้ว นั่นดูผลการศึกษาที่มันไม่สมบูรณ์แบบ เป็นการศึกษาระบบหมาหางด้วน หากพูดให้ดูดีกว่านั้นหน่อย ก็ระบบพระเจดีย์ยอดด้วน ไม่น่าดู ขอให้เรามามองกันข้อนี้แหละ ซึ่งเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่สุด เป็นปัญหาที่ด่วนที่สุดสำหรับมนุษย์ เพื่อจะไปเสริมยอดพระเจดีย์ที่ด้วนให้มันไม่ด้วน หรือจะให้มันเป็นหมาหางด้วนก็ให้มันสมบูรณ์ หนังสือก็รู้ อาชีพก็ประกอบได้ดี ก็เป็นมนุษย์อย่างมีศีลธรรมและถูกต้อง ครบทั้งสามอย่าง ดังนั้นในวันนี้อาตมาจะพูดโดยหัวข้อว่า ประโยชน์ของพระธรรม หรือประโยชน์ของธรรมะเพื่อว่าท่านทั้งหลายจะได้สนใจในธรรมะว่ามีประโยชน์ คนไม่ค่อยสนใจธรรมะ เพราะว่าไม่ค่อยให้ผลเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นเงินเป็นทอง เป็นเกียรติยศ อำนาจวาสนา ให้ไปตามแบบของธรรมะ คือความถูกต้องหรือความสุขสงบในภายใน แต่แล้วก็ดูเถิดว่าอันนี้มันยังขาดอยู่ เราขาดธรรมะข้อนี้ เราจึงเป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ เป็นความทุกข์ทรมาน น่าละอายหมา น่าละอายแมว ต้องขออภัยนะ อาตมาพูดคำธรรมดา หยาบคายไปหน่อย สกปรกไปหน่อย เพราะว่ามันพูดให้ไพเราะไม่ค่อยเป็น แล้วพูดอย่างนี้มันฟังง่าย มันลืมยากเพราะสภาพของมนุษย์นี้ ในปัจจุบันนี้ อยู่ในสภาพน่าละอายหมา ละอายแมว ยกตัวอย่างให้ฟังก็ได้ คือว่า คน รวมทั้งท่านทั้งหลายด้วยเนี่ย ยังต้องกินยาปวดศีรษะ บางวันต้องกินยานอนหลับ แล้วในโลกนี้มันก็เต็มไปแต่คนอย่างนี้ คงจะกินยาปวดศีรษะ หรือยานอนหลับกันวันหนึ่งๆเป็นตันๆกันทีเดียวกันทั้งโลก แต่หมาแมวไม่เคยปวดศีรษะ ไม่เคยเป็นโรคนอนไม่หลับ ไม่รู้จักยาเหล่านี้เลย ไม่ได้กินสักเม็ดหนึ่ง มันก็ยังนอนหลับ มันยังไม่ปวดศีรษะ งั้นคนนี่ล่ะ มันยังอยู่ในสภาพที่ว่าน่าละอายหมา น่าละอายแมว สถิติทางแพทย์ก็บอกว่า ประเทศไทยเราประเทศเดียวนี่ล่ะเป็นโรคประสาทกันตั้งเจ็ดแสนคน สี่สิบล้านคนนี่เป็นโรคประสาทกันตั้งเจ็ดแสนคน เป็นโรคจิตโดยสมบูรณ์ตั้งสองหมื่นคน แต่ไม่มีหมาหรือแมวแม้แต่สักตัวหนึ่งที่มันเป็นโรคประสาทนี่ มันต้องคิดกันข้อนี้ หมาตัวไหนเป็นโรคประสาทช่วยเอามาดูที มันไม่เป็นโรคจิตอย่างที่คนเป็น ไอ้โรคหมาบ้านั่นไม่ใช่โรคจิตอย่างที่คนเป็น มันเป็นเชื้อชนิดหนึ่ง มันเป็นธรรมดา มันไม่เกี่ยวกับทางธรรมะหรือจิตใจ เดี๋ยวนี้คนมันไม่มีธรรมะ มีธรรมะไม่พอ อยู่ด้วยวิตกกังวล กระหืดกระหอบ กระหาย ทะเยอทะยาน จนนอนไม่หลับ จนเป็นโรคปวดศีรษะ จนเป็นโรคประสาท ไปดูที่โรงพยาบาลประสาทแล้วน่าสลดใจ เพราะเด็กๆก็มี เด็กๆก็เป็นโรคประสาท คิดดู มันไม่ควรจะมี เดี๋ยวนี้มันมีแล้ว เพราะเด็กนั้นไม่ได้รับการอบรมมาอย่างถูกต้อง ไม่รู้จักดำรงจิตใจให้ถูกต้อง มันก็เป็นโรคประสาท เป็นโรคประสาทแต่เล็ก น่าละอายหมา น่าละอายแมว ลูกหลานพี่น้องของใครเป็นอย่างนี้บ้าง ก็ช่วยละอายแทนกันบ้าง จะได้แก้ไขให้มันดี อย่าให้มันต้องมีอาการที่เรียกว่า น่าละอายหมา ละอายแมวอีกต่อไป มันยังเป็นเรื่องเล็กน้อย ที่เรื่องใหญ่โตก็คือว่ามนุษย์นี่ยังทำสงครามแก่กันและกันไม่หยุดหย่อน สัตว์นี่มันเกือบจะไม่มี ไม่มีความคิดนึกที่จะฉลาด ที่จะวางแผนทำสงครามกัน ถ้าจะทะเลาะวิวาทกันบ้างก็เรื่องเล็กๆน้อยๆ เรื่องกิน เรื่องอะไรทำนองนี้ มันก็เรื่องนิดเดียว ไม่ได้วางแผนสำหรับทำสงครามกันตลอดปีตลอดชาติเหมือนกับมนุษย์ ฉะนั้นเราจึงควรจะรู้สึกว่า นี่มันยังไงกัน เป็นมนุษย์นี่เพื่อจะเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้แล้วมันก็น่าละอายสัตว์ซึ่งมันไม่เป็น นี่เค้าว่ามนุษย์ไม่มีธรรมะสำหรับมนุษย์ ถึงว่าท่านจะยังไม่เข้าใจก็ขอให้ช่วยจดจำไปก่อนว่าที่เป็นปวดศีรษะ นอนไม่หลับ นี่มันเพราะว่าขาดธรรมะ เรื่องอื่นมันก็มีแต่ว่ามันน้อยมาก แต่ส่วนใหญ่แทบทั้งหมดนั้นเพราะมันขาดธรรมะ มันดำรงจิตใจไว้ไม่ถูกต้อง เต็มไปด้วยความวิตกกังวล คือกิเลสตัณหานั่นเอง ความทะเยอทะยานที่บังคับไม่ได้จนทรมาน แม้แต่นักเรียน นักศึกษา ก็เป็นได้ ถ้าไม่รู้จักดำรงจิตใจให้ถูกต้อง ความวิตกกังวลในการศึกษานั่นแหละจะทำให้เป็นโรคประสาท หรือนอนไม่หลับ หรือปวดศีรษะ งั้นต้องมีธรรมะครอบ จึงจะป้องกันอาการเหล่านี้ เรื่องประโยชน์ของธรรมะนี่ เข้าใจว่า คนทุกคน เกือบจะทุกคนคิดว่าตัวเองรู้ พอพูดว่าจะพูดเรื่องประโยชน์ของธรรมะ บางคนก็จะคิดว่าเรื่องที่รู้แล้วเอาพูดอีกเสียเวลา แต่ถ้ารู้แล้วทำไมจึงไม่ได้รับประโยชน์ของธรรมะ ถ้าว่ารู้ธรรมะจริงทำไมจึงยังไม่ได้รับประโยชน์ของธรรมะ ก็ยังเป็นทุกข์ นับตั้งแต่ต้องปวดหัว น่าละอายแมวเป็นต้น มีความทุกข์ตามธรรมชาติทุกอย่างทุกประการ แล้วยังไม่รู้จักทำให้เกิดความสงบสุข ก้าวหน้า ในทางที่จะควรก้าวหน้า ในทางจิตใจ แล้วยังไม่รู้จักทำให้เกิดสังคมที่น่าดูน่าอยู่ เพราะฉะนั้นอาตมาก็จะสรุปความให้เหลือตามหลักอันนี้ว่าประโยชน์ของธรรมะมีอยู่ 3 ประการก็แล้วกัน ว่าเราจะอยู่กันผาสุก ไม่มีทุกข์แม้ตามธรรมชาติ และเราจะมีความก้าวหน้าในทางจิตใจ ทำอะไรด้วยความพอใจ ทั้งทางวัตถุและทางจิตใจ และอย่างที่สามคือจะมีสังคมที่อยู่กันอย่างน่าพอใจ ถ้าเราคิดดูว่าเท่านี้มันก็จะพอ ก็จะเกินพอแล้วมั้ง ไม่ต้องเอามากกว่านี้แล้ว ถ้าเราไม่มีความทุกข์สักอย่างหนึ่ง แล้วเราทำอะไรได้เจริญก้าวหน้าดี ตามที่ควรจะมีจะได้ เช่นว่าเราจะเล่าเรียนได้ดี ทำการงานได้ดี มีความสุขในการงาน จิตใจเจริญยิ่งๆขึ้นไปจนกว่าจะบรรลุมรรคผลนิพพาน นี่เรียกว่าเจริญในหน้าที่การงาน แล้วก็มีสังคมที่น่าพอใจ ไม่ใช่มีสังคมที่เต็มไปด้วยอันตรายอย่างทุกวันนี้ นี่ท่านลองคิดดูว่าแม้แต่ในท้องถนนหลวงในกรุงเทพมันก็ยังไม่ปลอดภัยแก่ชีวิตและร่างกาย นี่มันมีสังคมที่เลวอย่างนี้ นี่คอยทบทวนหัวข้อว่าเราจะไม่ต้องเป็นทุกข์แม้โดยธรรมชาติ เราจะมีความเจริญงอกงามก้าวหน้าทั้งในหน้าที่การงานทั้งทางกายทางจิต และเราก็จะมีสังคมที่น่าอยู่ น่าดู งดงาม น่าชื่นใจ 3 ประการนี้เป็นประโยชน์ที่จะพึงได้รับจากธรรมะ และท่านก็ลองคิดดูว่ามันยังไม่ได้รับ หรือคิดดูว่าไอ้หลักการอันนี้มันยังไม่มีในโรงเรียน ในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัย มันขาดสิ่งที่จะทำให้ได้รับประโยชน์อย่างนี้แหละ ความเป็นมนุษย์จึงไม่สมบูรณ์ ดังนั้นเราจึงถือว่าการศึกษาชนิดนั้นไม่สมบูรณ์ เป็นการศึกษาระบบหมาหางด้วน นับตั้งแต่ชั้นอนุบาลขึ้นไปถึงชั้นประถม มัธยม วิทยาลัย มหาวิทยาลัย หรือยิ่งไปกว่านั้นก็ตามใจ ยังมีแต่ระบบการศึกษาหมาหางด้วน ให้รู้ในหนังสือกับอาชีพเท่านั้น ไม่รู้ว่าจะดำรงจิตใจกันไว้อย่างไรจึงจะได้รับประโยชน์สุขตามที่มนุษย์ควรจะได้รับ ฉะนั้นเราจึงควรจะพูดกันถึงเรื่องนี้ ท่านทั้งหลายก็มีเวลาจำกัดระหว่างที่พักอยู่ที่นี่ อาตมาก็เลือกเรื่องว่าควรจะพูดเรื่องอะไรดี แล้วก็พบว่าเรื่องนี้จำเป็นก่อน ดังนั้นจึงพูดเรื่องประโยชน์ของธรรมะ คำว่าธรรมะ เป็นเรื่องแรกที่จะต้องพูดว่ามันคืออะไร ธรรมะคืออะไร คนก็มักจะอวดว่าตัวเองรู้ว่าธรรมะคืออะไร ก็ตามที่ได้ยินได้ยินกันมาเป็นเรื่องตัวหนังสือ เป็นเรื่องพูดกันตามธรรมเนียมซะมากกว่า ฉะนั้นอยากจะขอร้องว่าจงสนใจคำว่าธรรมะคำเดียวนี้ไว้เป็นหลักสำหรับการศึกษาธรรมะต่อไปในอนาคต คำว่าธรรมะนี้มีความหมายอยู่ถึง 4 ความหมาย ธรรมะความหมายที่ 1 หมายถึงธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง บรรดามีอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่งตามธรรมชาติ จะเป็นเรื่องวัตถุล้วนๆ จนก้อนหิน ดิน ทราย นี่ก็ธรรมชาติ จะเป็นเรื่องจิตใจ เป็นความรู้สึกคิดนึกของมนุษย์ อันนั้นก็เป็นธรรมชาติ เอามารวมกันเข้าเป็นคนๆนึงมีทั้งร่างกาย มีทั้งจิตใจมันก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ นี่เราเรียกว่าธรรมชาติทุกอย่างทุกประการ เรียกโดยภาษาบาลีว่าธรรม ในฐานะที่เป็นธรรมชาติ ความหมายนึง ความหมายที่หนึ่ง เข้าใจว่าธรรมะคือธรรมชาติ ที่ธรรมะความหมายที่ 2 คือ กฎของธรรมชาติ หมายความว่าในตัวธรรมชาติทั้งหมดนั่นล่ะมันมีกฎสิงอยู่ในนั้นด้วย ราวว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่ในนั้นด้วย เช่นในก้อนหินนี่ ตัวก้อนหินเป็นธรรมชาติ แต่ในก้อนหินนี่ก็มีตัวกฎของธรรมชาติควบคุมอยู่ ก้อนหินจึงได้เกิดขึ้น ก้อนหินจึงได้เปลี่ยนแปลงไป ก้อนหินจึงได้สลายไปในที่สุด รู้ว่ามีอะไรๆที่เป็นกฎตายตัวอยู่ในก้อนหิน นี่ในสัตว์ในคนก็เหมือนกัน เนื้อตัวของคนของสัตว์ก็เป็นธรรมชาติ แต่ในนั้นมีกฎของธรรมชาติ ทั้งทางกายทั้งทางจิต ทั้งคนหรือสัตว์จึงเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ทีนี้ความหมายที่ 3 ธรรมะก็คือว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ กฎธรรมชาติเป็นของตายตัว ไม่เอื้ออวยกับใครได้ มีแต่ว่าไอ้สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย นี่จะต้องปฏบัติหน้าที่ให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ มิฉะนั้นจะต้องตาย หรืออยู่โดยไม่มีความเป็นผาสุกเลย เราต้องทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ นับตั้งแต่กินอาหาร อาบน้ำ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ นี่ไม่มีใครมองว่ามันเป็นหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เมื่อเราต้องกินอาหาร เราก็ต้องหากิน ฉะนั้นเราจึงต้องประกอบอาชีพ เป็นต้น งั้นมันก็ขึ้นกับหน้าที่ของธรรมชาติที่พวกท่านทั้งหลายจะต้องเล่าเรียน เพื่อว่าจะเรียนอาชีพ แล้วก็จะได้ประกอบอาชีพ เพื่อชีวิตรอดอยู่หรือว่าก้าวหน้า นี่คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ซึ่งสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดจะต้องทำ นับตั้งแต่ต้นไม้ต้นไร่มีชีวิต ก็ต้องทำหน้าที่ให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ มิฉะนั้นมันก็ต้องตาย แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็มีหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติที่จะต้องทำมิฉะนั้นมันก็จะต้องตาย ไอ้คนเราก็เหมือนกัน มีหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติที่จะต้องทำ มิฉะนั้นเราก็จะต้องตาย กฎธรรมชาตินี่เฉียบขาดรุนแรงมาก ทำให้เกิดหน้าที่ หน้าที่ก็เป็นของเฉียบขาดรุนแรง ไปตามว่าต้องทำ ไม่ทำต้องตายหรือเป็นทุกข์เจียนตายอยู่นั่นแหละ นี่ธรรมะในความหมายที่ 3 คือหน้าที่นี่คือธรรมะที่ต้องทำ ความหมายที่สำคัญที่เราจะต้องศึกษากันในละเอียดต่อไปจนตลอดชีวิต ทีนี้ธรรมะในความหมายที่ 4 คือผลที่มันเกิดขึ้นมาจากการปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติผิดผลร้าย ปฏิบัติถูกผลดี จนกระทั่งว่ามีความสุข กระทั่งว่าก้าวหน้าบรรลุมรรคผลนิพพาน นี่เป็นผลที่เกิดมาจากการปฏิบัติหน้าที่ ที่เราได้รับอยู่ ที่สบายหรือไม่สบาย เป็นสุข หรือไม่เป็นสุข อย่างนี้มันเกิดล้วนแต่เป็นผลที่เกิดมาจากการปฏิบัติหน้าที่ผิดถูกอย่างไร ขอให้สนใจในแง่ของภาษาว่าธรรมะๆคำนี้เป็นภาษาพูดที่ประหลาดที่สุด มันมีความหมายกว้างขวางเหลือประมาณ คือตัวธรรมชาติ คือตัวกฎของธรรมชาติ คือตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ และผลที่เกิดมาจากหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นมันไม่ยกเว้นอะไร ตัวคนนี่ก็เป็นธรรมชาติ การศึกษาของคนก็เป็นไปตามกฎของธรรมชาติไม่ว่าแขนงไหน จะเป็นศิลปะ โบราณคดี เทคโนโลยี อะไรก็ตาม มันก็เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ นั่นแหละคือธรรมะล่ะ ถ้าสนใจในภาษาก็จะต้องรู้สึกว่า โอ๋ นี่คำนี้มันแปลกจริง ภาษาไทยก็ไม่มี แปลออกมาไม่ได้ ต้องใช้คำว่าธรรมะไปตามเดิม พวกฝรั่งสนใจที่จะแปลคำว่าธรรมะออกไปเป็นภาษาของตัว เช่นภาษาอังกฤษ เป็นต้น มันก็เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ จนปัญญา คนไทยชอบตามก้นฝรั่งนักหนา อะไรๆก็เอาฝรั่งเป็นครู ก็ให้รู้กันว่าฝรั่งที่เราเอาเป็นครูนั่นล่ะ มันก็แปลคำว่าธรรมะเป็นภาษาของตัวไม่ได้ ก็ต้องใช้คำว่าธรรมะเพิ่มเข้าไปในปทานุกรมของภาษาของตนๆ นี่ธรรมะมันมีอิสระถึงขนาดนี้ ธรรมะคือตัวธรรมชาติ ธรรมะคือตัวกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลที่เกิดมาจากหน้าที่ นี่เราหาคำไหนมาสักคำซิที่มันกินความครบทั้ง 4 ความหมายนี่ ก็ไม่รู้ว่าอะไร อย่างดีก็แปลเป็นพวกๆไปได้ เป็น 4 พวก 4 คำไป นั้นก็ยังไม่หมด ความหมายเท่าที่ทราบกันมาแล้วว่า เค้าไปพยายามแปลคำว่า ธรรม ธรรมะนี่ออกไปเป็นภาษาอังกฤษนี่ แปลไปได้ตั้ง 33 คำเห็นจะได้ ก็ยังไม่หมดความหมายของคำว่าธรรมะเลยยอมแพ้ นั้นในปทานุกรมฝรั่งมันก็มีคำว่าธรรมะ หรือ(24:28) ธะระมะอยู่แล้ว รับเข้าไปเป็นคำของตัว ถ้าเป็นคำ คุยนานๆมันก็ว่าธรรมมิตร นี่ก็ว่าธรรมะหรือ(24:40)ธะระมะ ธรรมิตรหรือธะละมิตร ธรรมะก็คือธรรมะ (24:45) ธะละมิตรคือที่เกี่ยวกับธรรมะ นี่สนใจว่ามันเป็นคำประหลาดอย่างหนึ่ง แล้วมันครอบไปหมดยิ่งกว่าครอบจักรวาล ก็ในจักรวาลทั้งหมดนี่ก็เรียกว่าธรรมะได้ นอกจักรวาลออกไปอีกก็ยังเป็นธรรมะอยู่นั่นเอง นั้นธรรมะมันจึงใหญ่ยิ่ง ยิ่งกว่าครอบจักรวาล ถ้ามันมีหลายๆจักรวาล มันก็ครอบหมดล่ะ นอกๆไปจากจักรวาลเหล่านั้น ก็ยังอยู่ใต้ความหมายของธรรมะ ธรรมะมันมีหลายใจความ อย่างไรก็ลองคิดดู ทำอย่างไรมาจะเป็นคำแปลของคำว่าธรรมะ ทีนี้เราอยากจะพูดประโยชน์ของธรรมะ เราก็ต้องรู้กันซะก่อนว่าธรรมะในความหมายไหน ธรรมะคือตัวธรรมชาติมันก็มีประโยชน์เหมือนกัน เช่นว่าของตามธรรมชาติเอามากินมาใช้ได้ เอามาปรับปรุงให้เป็นของที่สะดวกสบายได้ ที่กฎของธรรมชาติมันก็มีประโยชน์เหมือนกัน เรารู้กฎของธรรมชาติแล้วเราประดิษฐ์ประดอยสิ่งใหม่ๆได้ ถ้าเราจะไปโลกพระจันทร์ได้ ก็ต้องรู้กฎของธรรมะของธรรมชาตินี่มากเหลือเกินจึงจะสร้างเครื่องมือไปโลกพระจันทร์ได้ เรียกว่ากฎของธรรมชาติมันก็มีประโยชน์และควรจะรู้ แต่มันยังไม่เท่าคำว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ นี่มีประโยชน์อย่างยิ่งโดยตรง ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เราทำให้ถูกต้องตามหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติเถอะ จะหมดปัญหา นับตั้งแต่หาอาหารกิน กินอาหาร อาบน้ำอาบท่า ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ นอน ตื่น ยืน เดิน อะไรก็ตาม ให้มันถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ จนกระทั่งว่าควบคุมจิตใจให้อยู่สภาพที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ นี่ก็เป็นหน้าที่โดยจะต้อง รักษาศีล ทำสมาธิ มีวิปัสนา มีหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ถ้าเราทำแล้วเราจะเป็นมนุษย์ที่อยู่เหนือปัญหา ไม่มีความทุกข์เลย นี่ประโยชน์ของธรรมะในความหมายที่ 3 นี่มันจะยิ่งใหญ่กว่าประโยชน์ใดๆ จำเป็นกว่า ด่วนกว่า เฉพาะหน้าอย่างยิ่งทีเดียว ส่วนความหมายที่ 4 คือผลอันเกิดมาจากการปฏิบัติหน้าที่นั้น ไม่ต้องคำนึงถึงก็ได้ เพราะถ้าปฏิบัติหน้าที่แล้วผลมันมีแน่ ปฏิบัติดีผลก็ดี ปฏิบัติไม่ดีผลมันก็ไม่ดี มันเป็นตัวประโยชน์เสียเองแล้ว นี่เรามาดูไอ้ธรรมะที่ให้เกิดประโยชน์นี่ มันคือธรรมะในความหมายที่ 3 คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ มันมีมากน่ะ เรื่องราวที่เราจะต้องรู้ แล้วประพฤติกระทำนี่มันมีมาก แล้วแต่ว่าเราจะต้องการผลในระดับไหน เอาแต่เพียงมีกินมีใช้มันก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าจะให้สบายที่สุดไม่มีความทุกข์เลย เรื่องมันก็มาก คือหมายความว่ามันจะบรรลุมรรคผลนิพพานกันทีเดียว ถ้าอย่างนี้เรื่องมันก็มาก นี่ควรจะสนใจ และที่จะทำให้มนุษย์ไม่ต้องละอายหมาละอายแมว นั้นก็คือธรรมะในความหมายที่ 3 นี้ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ปฏิบัติให้ถูกต้องเถิด มนุษย์จะไม่ต้องปวดหัว จะไม่ต้องนอนไม่หลับ จะไม่ต้องเป็นประสาทหรือเป็นโรคจิตที่น่าละอายหมาละอายแมว หน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินี่มันมากมายเท่ากับกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติมีเท่าไรหน้าที่มันก็มีครบตามนั้น ถ้าเราปฏิบัติผิด ไม่ตรงตามกฎของธรรมชาติ ผลมันก็เกิดขึ้นมา ทำให้เรานอนหลับก็ได้ ทำให้เรานอนไม่หลับก็ได้ ทำให้เราปวดหัวก็ได้ ทำให้เราไม่ปวดหัวก็ได้ แล้วแต่ว่าเราจะปฏิบัติถูกหรือปฏิบัติผิดอย่างไร เราจะต้องรู้ให้พอ ให้ถูกต้อง คือถูกต้องตามความจริงของมัน และก็ให้เพียงพอด้วย รู้นิดเดียวแต่ไม่ถูกต้องก็ยังไม่พอ รู้ให้ถูกต้องและเพียงพอว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร เราจะต้องดูตัวปัญหาว่าเรามีปัญหาอะไร ก็จะเอาสิ่งที่ตรงกันข้ามกับประโยชน์นั่นล่ะ มาเป็นตัวปัญหา เช่นเดี๋ยวนี้เรามีความทุกข์ เราบังคับจิตไม่ได้ จิตมันไปหลงรัก หลงกำหนัดยินดีในอะไรบางอย่าง ในบุคคล ในสิ่งของใน จนจิตใจวุ่นวายบังคับไม่ได้ ต้องปวดหัว ต้องนอนไม่หลับ ต้องเป็นโรคประสาท นี่เรียกว่าเราบังคับจิตให้อยู่ในความถูกต้องไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องบังคับได้ ต้องทำหน้าที่ตรงนี้ให้ถูกต้อง คือต้องรู้ให้พอ และบังคับให้ได้ จิตควรจะอยู่ในสภาพที่สงบ เพราะว่ามันสงบให้ได้ ทีนี้ไม่มีความรู้มันก็ทำไม่ได้ มันก็ปล่อยไปตามบุญตามกรรม มันก็ฟุ้งซ่านบ้าง มันก็หดหู่บ้าง มันก็วิตกกังวลบ้าง อาลัยอาวรณ์บ้าง หลงรักอย่างน่าเกลียดน่าชัง เพราะว่ามนุษย์มันมีมันสมองสูงกว่าสัตว์ ทำอะไรไปมากกว่าสัตว์ คิดเป็นกว่าสัตว์ คิดเก่งกว่าสัตว์ คือฉลาดกว่าสัตว์นั่นเอง เมื่อความฉลาดของมนุษย์นั่นล่ะมันกลับกัดมนุษย์ เมื่อสัตว์เดรัจฉานมันไม่ฉลาด มันก็ไม่มีความฉลาดที่ขึ้นมากัดเอา เอาตัวมัน คนเรามีมันสมองฉลาดกว่าสัตว์เดรัจฉานมาก เราคิดไกลมาก จนกระทั่งคิดจนเกินจำเป็น มันควบคุมไม่ได้ อย่างสัตว์มันมีมันสมองจำกัด มันคิดมากกว่านั้นไม่ได้ จึงไม่ถลำเข้าไปในขอบเขตที่ทำให้มันปวดหัว หรือนอนไม่หลับ หรือเป็นโรคประสาท สัตว์มันก็เลยมีบุญ ทั้งที่มันโง่ ไอ้มนุษย์มันก็มีบาปทั้งที่มันฉลาด เพราะมันควบคุมความฉลาดไม่ได้ นี่เราจะต้องนึกคิดกันให้ดูถึงข้อนี้ พูดถึงเรื่องกิเลส เช่น ราคะ โลภะ มนุษย์คิดเก่ง ละเอียด ลึกลับซับซ้อนมันก็มีราคะ หรือโลภะมากมายกว้างขวางลึกลับซับซ้อน นี่สัตว์มันคิดไม่เป็น มันก็มีโลภะ ราคะ นิดเดียว มันก็เลยไม่ทำอะไรน่ะ จะยกตัวอย่างง่ายๆที่เป็นกันอยู่มากนะ เขาว่าไอ้เรื่องกามารมณ์ คนในโลกเวลานี้มันบ้ากามารมณ์ บ้าอย่างยิ่ง บ้าอย่างละเอียด บ้าอย่างลึกลับซับซ้อน ทีนี้สัตว์มันทำไม่เป็น ดังนั้นสัตว์ที่จะปวดหัวเรื่องกามารมณ์มันไม่มี ถ้าจะพูดกันตรงๆแล้วควรจะพูดว่าสัตว์ไม่มีเรื่องกามารมณ์ มีแต่เรื่องสืบพันธุ์ แต่มนุษย์นี่มีทั้งเรื่องสืบพันธุ์และเรื่องกามารมณ์ กามารมณ์นั้นธรรมชาติมันเอาไว้หลอกคน คือหลอกสัตว์ให้ทำการสืบพันธุ์ สัตว์หลงใหลในกามารมณ์จึงได้ทำการสืบพันธุ์ ถ้ามีแต่การสืบพันธุ์ล้วนๆ ไม่มีกามารมณ์เป็นค่าจ้างแล้วมนุษย์ก็จะไม่ทำการสืบพันธุ์ ที่มันยุ่งยากลำบากน่าเกลียดน่าชังในเวลานี้มันก็ไม่ทำ แต่ธรรมชาติมันฉลาดกว่า มันเอากามารมณ์มาเป็นค่าจ้าง (33:30) คนก็เลยตกเป็นเหยื่อของกามารมณ์ มันก็มีกามารมณ์ได้ตลอดวัน ตลอดเดือน ตลอดปี ตลอดชีวิต ลุ่มหลงอยู่ในกามารมณ์ได้ ส่วนสัตว์เดรัจฉานไม่มีปัญหาทากามารมณ์ชนิดนี้ มีแต่เรื่องสืบพันธุ์ตามธรรมชาติ ตามความสุกงอมของต่อมแกรนด์สำหรับสืบพันธุ์ตามธรรมชาติ มันก็มีนิดเดียวแหละ ชั่วเวลาไม่กี่วันในหนึ่งปี ชั่วเวลาไม่กี่วัน มีเรื่องการสืบพันธุ์ยุ่งยากไม่กี่วันแล้วมันก็เลิกกัน ไม่มีเรื่องกามารมณ์ให้เป็นบ้าเป็นหลัง เหมือนมนุษย์ที่มันบ้ากามารมณ์กันตลอดวัน ตลอดเดือน ตลอดปี ตลอดชาติ ซึ่งมนุษย์ก็ต้องไปรับโทษ ไปรับทุกข์ทรมานเพราะความหลงใหล ความลำบากอันเกิดมาจากการหลงใหลในกามารมณ์นั้นตลอดปี ตลอดชาติ นี่มนุษย์มีปัญหามากกว่าสัตว์อย่างนี้ เพรามนุษย์มีกามารมณ์เป็นเบื้องหน้า บูชากามารมณ์ สัตว์เดรัจฉานไม่รู้จักความหมายอันนี้ ไม่บูชาสิ่งนี้ การสืบพันธุ์ก็ทำไปตามที่ธรรมชาติบังคับ ระบบประสาทซึ่งความสุกงอมของต่อมแกรนด์ทั้งหลายที่มีอยู่ในร่างกายเพื่อการสืบพันธุ์เท่านั้น ฉะนั้นขอให้เรามองดูให้ดีว่าสัตว์มีปัญหาแต่เรื่องสืบพันธุ์ ฉะนั้นจึงมีปัญหาไม่กี่วันในหนึ่งปี มนุษย์มีปัญหากามารมณ์ บูชากามารมณ์ ทูนไว้บนศีรษะ แล้วก็ตลอดวัน ตลอดเดือน ตลอดปีนี่ปัญหามันต่างกันอย่างนี้ เนี่ย การศึกษาหมาหางด้วนเนี่ย ไม่ทำให้รู้เรื่องนี้ การศึกษาหมาหางด้วนไม่ได้ทำให้คนรู้จักควบคุมกามารมณ์ ทั้งหญิงทั้งชายทั้งหนุ่มทั้งสาวทั้งเฒ่าทั้งแก่จึงเป็นทาสของกามารมณ์ สร้างปัญหาเรื่องกามารมณ์ไม่มีหยุดไม่มีหย่อน ถึงในมหาวิทยาลัยของพวกคุณก็เถอะไปดูเถอะ ปัญหาต่างๆอย่างเรื่องเพศนี่เป็นเรื่องยุ่งยากที่สุด เพราะว่าทำลายที่สุดด้วย ปวดหัวนอนไม่หลับก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องกามารมณ์หรือเรื่องเพศ ถ้าขจัดออกไปซะได้ก็จะดี จะเรียนได้ดี จะทำอะไรได้ดีกว่านี้มาก เรามนุษย์มีมันสมองดีที่สุด สูงสุด แต่เราก็ควบคุมมันไม่ได้ เราก็ใช้มันไม่เป็น เราก็เลยได้รับบาป ได้รับความทุกข์ทรมานยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งมันมีมันสมองน้อยกว่าเรามาก คิดก็น้อยกว่าคนมาก ต่ำกว่าคนมาก แต่มันกลับไม่มีความทุกข์ มันไม่ต้องกินยาปวดหัว หรือยาแก้นอนไม่หลับเหมือนมนุษย์ นี่ขอให้เราศึกษาสนใจธรรมะ ในฐานะที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้เป็นประโยชน์ที่จะทำให้เราไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะกิเลสคือราคะหรือโลภะ ทีนี้จะพูดกันถึงกิเลสคือโทสะบ้าง ราคะหรือโลภะนั่นน่ะมันกิเลสตัวแรก มันไม่ใช่ตัวสาระ ความหมายของมันก็คือว่าจะเอาเข้ามาจะดึงเข้ามา จะเอามาถือไว้กอดรัดไว้ ความรู้สึกอย่างนี้เราเรียกว่ากิเลสประเภทโลภะหรือราคะ ทีนี้กิเลสประเภทที่สองเป็นความรู้สึกประเภทจะตีออกไปจะผลักออกไปจะทำลายเสียจะฆ่าเสีย นี่คือกิเลสประเภทโทสะหรือโกธะ เมื่อเราไม่ได้ตามที่ต้องการ เราก็ทำลายตบตีด่าว่าเบียดเบียนประทุษร้าย กระทั่งว่ามันโง่มากเข้ามันก็ทำลายตัวเอง มันฆ่าตัวเองก็ได้นะ ถ้าเป็นเป็นกิเลสประเภทนี้มันเกิดขึ้นมาแล้ว มันเอาแต่จะทำลาย มันฆ่าผู้อื่นก็ได้ มันฆ่าตัวเองก็ได้ เราจึงเร่าร้อนเมื่อไม่ได้อย่างใจ ไม่ได้อย่างต้องการ เรามีความโกรธคอยเผาในใจเหมือนตกนรก เรามีความคิดประทุษร้าย ทำลายเค้าเบียดเบียนเค้าอะไรเค้านี่มันก็เป็นเรื่องเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานไม่มีโทสะหรือโกธะเหมือนคน เพราะมันคิดไม่เป็นอย่างที่กล่าวแล้ว มันก็โกรธบ้างในเรื่องเล็กๆน้อยๆ มันก็มีน้อยมากน่ะ ไม่เห็นสัตว์เดรัจฉานจะขบจะกัดกันโดยไม่มีเหตุผล แต่มนุษย์นั้นไม่ต้องมีเหตุผลอย่างอื่น มันมีแผนการที่ทำลายผู้อื่นเพื่อเอาประโยชน์เหล่านั้นมาเป็นของตนก็มี หรือเพื่อทำลายเค้าเสียแล้วประโยชน์จะได้ตกเป็นของตนก็มี หรือว่าเค้ามาขัดขวางประโยชน์ของเรา เราก็จะฆ่าเขาเสีย นี่ทั้งโลกกำลังเป็นอย่างนี้ มีกิเลสประเภทโทสะหรือโกธะอยู่ตลอดเวลา มันก็เลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ไม่มีความรักผู้อื่นเพราะการศึกษาหมาหางด้วน การศึกษาในโรงเรียน มหาวิทยาลัยก็ตามเป็นระบบหมาหางด้วน มันจึงไม่รู้จักรักผู้อื่น ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติยังจะดีกว่านี้ ธรรมชาติยังทำให้มันรักผู้อื่น สุนัขกับแมวเนี่ย มันยังเล่นกันได้ สุนัขที่นี่มันช่วยงับหมัดให้แมวก็ได้ มันไม่ต้องกัดกัน ไก่ตัวหนึ่งมันมีเห็บอยู่ที่หงอนมาก มันก็ (40:05) ตะแคงเข้าไปหาไก่อีกตัวนึง มันก็ช่วยจิกให้คิดดู มันก็ยังไม่ได้โกรธประทุษร้าย หรืจะอันตรายเบียดเบียนกัน ตามธรรมชาติแล้ว มันสร้างกันมา มันก็เป็นมิตร งั้นถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติมันก็มีความเป็นมิตร แต่นี่มนุษย์เห็นแก่ตัว มันต้องการแต่ประโยชน์ของตัว มันไม่ช่วยผู้อื่นเว้นไว้แต่ว่ามันจะได้กำไร ก็เลวกว่าสัตว์ สัตว์มันช่วยผู้อื่น ตัวอื่นด้วยก็ไม่ต้องเอากำไร ไม่ต้องคิดเอากำไร ไอ้มนุษย์นี้มันลงทุนค้าไปซะหมด ที่มันช่วยผู้อื่นนั้นมันจะเอากำไรมากกว่าทุนที่ลงไปต่างหากเล่า มนุษย์ไม่ได้ควบคุมโทสะหรือโกธะได้ ทางที่ควรจะเป็น มันก็เป็นทุกข์ เป็นทุกข์เหมือนกับตกนรกเพราะมันร้อน ทีนี้โมหะ ความหลง ความโง่ ความสะเพร่า หรือที่เขาเรียกว่าความโง่ความหลงก็ตาม สัตว์เดรัจฉานมีเรื่องให้หลงให้โง่มันน้อย มันมีเรื่องให้โง่ให้หลงมันน้อย เพราะฉะนั้นมันก็โง่หลงกันน้อย มนุษย์มีเรื่องให้โง่ให้หลงมากก็ยังเพิ่มมากขึ้นอีก เพิ่มมากขึ้นอีก ก็ยังจะโง่จะหลงให้มากขึ้นไปอีก ดังนั้นมนุษย์จึงมีความหลงมากออกไป มากออกไป ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานหลายร้อยหลายพันเท่า ก็แปลว่ามนุษย์นี่มีโลภโกรธหลงยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานหลายร้อยหลายพันเท่า เพราะมันสมองมันฉลาด มันสมองมันรู้จักคิดค้นซอกแซกออกไปลึกลับ กิเลสมันก็เกิดได้มากมายและลึกลับ สัตว์เดรัจฉานมันตายตัว มันมีเพียงเท่านั้น มันคิดซอกแซกมากกว่านั้นไม่ได้ สัตว์เดรัจฉานมันจึงยังอยู่เท่าเดิม กี่หมื่นปีกี่แสนปีมาแล้ว จะเรียกว่าสัตว์เดรัจฉานมันยังอยู่เท่าเดิม ส่วนมนุษย์นั้นมันก้าวหน้าๆๆทิ้งกันไปลิบ จากมนุษย์เมื่อหมื่นปีแสนปีมาแล้ว แต่มันก้าวหน้าไปด้วยความผิดพลาดทางจิตใจ มันจึงมีความโลภความโกรธความหลงมากไป ทิ้งสัตว์เดรัจฉาน ทำไมถึงเดี๋ยวนี้เราก็เห็นว่าสัตว์เดรัจฉานมันมีความทุกข์น้อย คนก็มีความทุกข์มากอย่างน่าละอายสัตว์เดรัจฉาน ธรรมะเท่านั้นแหละจะช่วยได้ ถ้าเอาธรรมะมาช่วยควบคุมไว้ กิเลสของคนก็จะไม่เกิด จะต้องไม่มีควาทุกข์ จะไม่ต้องมีความทุกข์ จะไม่ต้องมีกิเลส จะไม่ต้องละอายแก่สัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานมีทุกข์ตามธรรมชาตินิดเดียว คนมีทุกข์เพิ่มขึ้นจากนั้นมาก ตามที่มันฉลาดในทางคิดนึก มันฉลาดสำหรับจะโง่ มันฉลาดสำหรับจะเป็นทุกข์เนี่ย ไอ้ความฉลาดชนิดนี้ สัตว์เดรัจฉานมันโง่สำหรับจะไม่เป็นทุกข์ ทีนี้ก็มีผลที่มันฉลาดสำหรับไม่เป็นทุกข์ ยกตัวอย่างเช่นว่า สัตว์เดรัจฉานเจ็บป่วย มีแผลบาดแผลเกิดขึ้น มันก็รู้สึกเจ็บปวดเท่าที่ระบบประสาทมันรู้สึกว่าเจ็บๆๆอยู่ที่ตรงนั้น เป็นระบบประสาทเจ็บ แต่คนมันไม่ใช่อย่างนั้น มันรู้สึกอย่างนั้นด้วย มันรู้สึกเจ็บปวดตามระบบประสาทด้วย แต่มันยังเจ็บทางวิญญาณคือความขลาด ความกลัวตาย ควมคิดนึกไปมากต้องไปโรงพยาบาล ต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้แล้วแต่มันจะคิดไป นี่ก็เรียกว่ามันเจ็บด้วยอำนาจความยึดถือ ยึดถือเป็นตัวกูของกู กูจะตาย กูจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ฉะนั้นมันจึงเจ็บแผลด้วย แล้วมันยังเจ็บในทางวิญญาณด้วย นึกว่ากูมันจะตาย เนี่ยมนุษย์ โง่หรือฉลาดก็ลองคิดดู เรื่องนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสเปรียบเป็นอุปมาอุทาหรณ์ไว้ว่าบุคคลคนนึงมันถูกลูกศรดอกเล็กๆเนี่ย เสียบเข้าไป มันก็เจ็บ ลูกศรนั้นเล็กๆและก็ไม่มียาพิษไม่มีอะไรหมด มันก็เจ็บ รู้สึกเจ็บ แต่แล้วเดี๋ยวลูกศรดอกมหึมาอาบยาพิษแรงกล้ามาเสียบเข้าไปอีกดอกหนึ่ง แล้วมันจะเจ็บเพิ่มขึ้นอีกกี่เท่าลองคิดดู ทีนี้สัตว์เดรัจฉานมันเจ็บแต่อย่างชนิดดอกศรลูกศรเล็กๆอันแรกเสียดแทงเท่านั้นแหละ มันคิดไม่เป็น มันคิดล่วงหน้าไม่เป็นคิดว่ากูจะตาย กูจะอย่างนั้นอย่างนี้ กูจะหาค่ารักษาหรือไม่ กูจะต้องไปหาหมอที่ไหน มันคิดไม่เป็น มันเลยเจ็บน้อย ไอ้คนนี่มันคิดไปมาก บางคนพอหนามขีด เลือดไหลซิบนี่เป็นลมแล้ว มันกลัวตายมากถึงขนาดเป็นลมแล้วชั่วหนามขีดนี่ นี่อาตมาเห็นกับตาเอง นี่มาเล่าให้ฟังนะ เณรคนหนึ่งมันเป็นอย่างนั้น แต่หมาไม่เป็นอย่างนั้นหรอก แผลเหวอะหวะมันก็ยังไม่กลัว จะเป็นลมกูจะตายแล้ว หน้าเขียว นี่ว่ามันคิดเป็นเท่านั้นแหละ ลองให้ดี ถ้าคิดได้น้อยมันก็ทุกข์น้อย คิดได้มากมันก็ทุกข์มาก ฉะนั้นเราจะต้องรู้จักคิด ถูกแต่ดอกศรลูกศรลูกเล็กลูกทีแรกก็แล้วกันอย่าถูกลูกศรดอกหลังทีหลังที่มียาพิษด้วย ถึงพูดว่าพระอรหันต์ท่านถูกแต่ดอกศรดอกลูกเล็กๆเท่านั้นแหละ พระอรหันต์แล้วไม่เคยถูกลูกศรดอกใหญ่ที่ทำให้กลัวตาย วุ่นวายเป็นเป็นทุกข์มากเลย นี่เราก็เหมือนกันแหละ มีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่าคิดให้มันมาก อย่ายึดถือให้มันมาก จนมันเจ็บปวดให้เพิ่มขึ้น โดยที่ป้องกันได้แต่ว่าไม่ได้ป้องกันเพราะมันโง่ มันจะมีความทุกข์เกิดขึ้นทางไหนก็ตามล่ะ รู้แต่ว่ามันเจ็บปวดทางระบบประสาท ที่นั่นเท่านั้นแหละ อย่าให้เป็นตัวกูของกู กูๆๆเจ็บ จะตาย กูจะอย่างไรๆ จะมีความทุกข์มาก หรือบางทีก็ตายไปเลยเพราะเหตุนั้นทั้งที่ยังไม่ควรรจะตาย เพราะมันไปคิดมาก หรือเป็นโรคอื่นแทรกแซงจนมันตายไปเลย ความจริงโรคนั้นถ้าปล่อยไว้เฉยๆมันก็ยังหายได้ แต่คนโง่มันคิดกลัวไปจนตัวเองมันตาย ถ้าสัตว์ที่โง่มากมันก็กลัวมากแล้วมันก็ตาย กระจงอยู่เนี่ย ถ้าสุนัขมันกระโจนใส่ทีเดียว ไม่ต้องกัดมันก็ตายได้ มันตายด้วยความกลัวที่มันมากเกินไปที่เราเคยเห็นๆอยู่ สัตว์ชนิดนี้มีหลายอย่าง เช่น อันตรายมาถึง ข้าไม่ได้ทำอะไร มาให้เห็นแค่นั้นมันก็จะตายแล้ว เพราะว่ามันโง่มาก มันยึดถือตัวกูมาก เราก็ระวังอย่าให้ต้องเป็นขนาดนั้น ความไม่ยึดมั่นถือมั่นนั่นแหละยอดสุดในพระพุทธศาสนา (47:37)..สอนว่าสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราว่าเป็นของเรา ถ้าไม่ยึดมั่นอย่างนี้แล้วไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดความทุกข์ชนิดไหน หมดแม้แต่ความตาย ความตายก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ มันก็เป็นไปเอง อย่าเอามาเป็นตัวกู มาเป็นของกู มันก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้ามาเป็นตัวกูของกูมันก็เป็นทุกข์ ทุกข์เปล่าๆ จะเกิดทุกข์มันก็ไปคิดเอา ไม่มีเรื่องอะไรมันก็ไปคิดเอาจนเป็นทุกข์ได้ นี่เราควรจะระวังให้ดี อย่าหัวเราะเยาะหลักพระธรรมอันสูงสุด ว่าอย่ายึดมั่นถือมั่นว่าอนิจจังทุกขังอนัตตา เรื่องเหล่านี้มันลึกไปกว่าที่คนสมัยนี้จะรู้ได้ แล้วก็หัวเราะเยาะ เพราะคนสมัยนี้ไม่รู้ธรรมะเหล่านี้ล่ะ คนสมัยนี้จึงมีความทุกข์มากเกินไป ยินดีที่จะมีความทุกข์ เห็นกงจักรเป็นดอกบัวอยู่ในนั้นน่ะ มันจึงได้ทุกข์มาก ทุกข์ถี่ยิบ ทุกข์จนไปหมดจนต้องละอายหมาละอายแมว ซึ่งมันไม่ทุกข์เลย ในเรื่องอย่างที่คนทุกข์นั้นมันไม่เป็นทุกข์เลย หัวใจของธรรมะของพระพุทธศาสนาคือเห็นสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริงว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่ามันเป็นตัวกูของกู มันเป็นอย่างนั้นเอง มันเป็นอย่างนั้นเอง นี่คนหนุ่มคนสาวน่ะ ที่ไม่รู้จักอย่างนั้นเอง ถึงได้กินยาตายบ่อยๆ ที่จะไปฆ่าคู่รักตายแล้วไปฆ่าตัวเองตายบ่อยๆเนี่ย เพราะมันโง่ในเรื่องมันเช่นนั้นเอง เช่นแฟนเค้าเกิดกลับใจไม่รัก มันก็ตามไปฆ่าเขาเสีย ฆ่าตัวเองตายเพื่อให้พ้นจากโทษนั้นด้วย นี่มันสองโง่สามโง่ซ้อนกันเข้าไป และถ้ามันเห็นว่าเป็นเช่นนั้นเอง เมื่อสิ่งแวดล้อมมันเป็นอย่างนั้นมันเป็นอย่างนี้เอง เมียมีชู้ ผัวมีชู้ หรือว่าอะไรมันไม่เป็นไปตามที่ต้องการ มันคืออย่างนั้นเอง จะเอามาเป็นทุกข์ทำไม สลัดออกไปเสียจากจิตใจแล้วก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ นี่เช่นนั้นเองในพระพุทธศาสนา เพื่อให้มองเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงว่าเป็นเช่นนั้นเอง ความทุกข์เป็นเช่นนั้นเอง เหตุให้เกิดทุกข์เป็นเช่นนั้นเอง ความไม่มีทุกข์เป็นเช่นนั้นเอง ทางให้ถึงความไม่มีทุกข์เป็นเช่นนั้นเอง ที่เรียกว่าเรื่องอริยสัจบ้าง เรียกว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทบ้าง สรุปทั้งหมดนั่นแล้วก็ได้คำว่า เช่นนั้นเอง เป็นภาษาบาลีว่า ตถตา หรือตถาตาก็ได้ แปลว่า มันเช่นนั้นเอง ใครเห็นเช่นนั้นเองแล้วไม่มีล่ะที่จะไปหลงรัก หลงเกลียด หลงกลัว หลงเศร้า หลงโกรธ หลงอะไร ไม่มีล่ะ มันก็สบายดี ฉะนั้นช่วยศึกษากันไว้บ้าง จดจำกันให้ดีว่าเช่นนั้นเอง เป็นบาลีว่าตถาตานี่ คือหัวใจของพระพุทธศาสนา ถ้าพูดให้ถูกกว่านั้นมันก็คือหัวใจของธรรมชาติทั้งหมด ธรรมชาติทั้งหมดเป็นเช่นนั้นเอง เราเห็นเช่นนั้นเองเราจะไม่โง่ คือจะไม่ไปหลงรักด้วยความโง่ หลงเกลียดด้วยความโง่ หลงโกรธด้วยความโง่ หลงกลัวด้วยความโง่ หลงวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์ด้วยความโง่ มันก็ไม่มีความทุกข์ เช่นนั้นเองเนี่ย ฟังดูแล้วมันก็ดูเหมือนกับพูดเล่นๆ เด็กๆก็พูดได้ แต่แล้วเวลาปฏิบัติเนี่ยมันปฏิบัติไม่ได้ บางคนอาจจะนึกดูถูกอยู่ในใจแล้วว่า เรื่องไร้สาระ เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง นี่มันไร้สาระ แต่ที่จริงเป็นทั้งหมดของสาระ โดยธรรมชาติมันก็เป็นเช่นนั้นเอง อาตมานี่ก็เช่นนั้นเอง ก้อนหินนั่นก็เช่นนั้นเอง กรวดทรายมันก็เช่นนั้นเอง ทุกอย่างมันมีความเป็นเช่นนั้นเองของมัน ไปหลงรักก็โง่ ไปหลงเกลียดก็โง่ นี่สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกัน ชนิดไหนอย่างไหน เมื่อไหน มันก็เช่นนั้นเอง ไอ้คนมนุษย์นี่ก็เหมือนกัน มันเช่นนั้นเอง เรารู้จักเช่นนั้นเองในเบื้องต้นเสียก่อน เพื่อจะได้ไม่โง่ ไม่ไปหลงรักหลงเกลียดหลงโกรธหลงกลัวหลงวิตกกังวล นี่เป็นอย่างนั้น ทีนี้ถ้าปัญหามันเกิดขึ้นมันก็เช่นนั้นเองน่ะ ปัญหาน่ะมันเช่นนั้นเอง จะเอาอะไรมาแก้ มันก็ต้องเอาเช่นนั้นเองนั่งอีกมาแก้ ถ้าแฟนเค้าเป็นกบฏมันก็เช่นนั้นเองแหละ มันจะเอาอะไรมาแก้มันก็เช่นนั้นเองแหละมา มันถึงสาสมกันแหละ มันก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ เนี่ยเช่นนั้นเองมันจะช่วยได้อย่างนี้ ความทุกข์มันเช่นนั้นเอง ฉะนั้นสิ่งที่จะแก้ความทุกข์ได้ มันก็ต้องความรู้เรื่องเช่นนั้นเอง มีคนถามอาตมาว่าเป็นโรคอะไรที่ไม่สบายนี้ นี่ก็บอกว่าเป็นโรคเช่นนั้นเองโว้ย แล้วเค้าถามว่ากินยาอะไรครับ ก็กินยาเช่นนั้นเองโว้ย แล้วมีผลเป็นอย่างไรบ้างครับก็มีผลเช่นนั้นเองโว้ย มันจะหายก็เช่นนั้นเอง มันจะตายก็เช่นนั้นเอง มันจะอยู่ต่อไปได้มันก็เช่นนั้นเอง เนี่ยไม่ใช่พูดให้ฟังสนุกๆนะ พูดให้จำไว้อย่าได้ลืมเสียว่ามันเป็นเรื่องของเช่นนั้นเอง ของธรรมชาติ พระพุทธเจ้าท่านมาสอนให้ เรียกว่าตถาตา แปลว่าความเป็นเช่นนั้น อวิตถาตา ไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น อนันยตถาตา ไม่มีโดยประการอื่นจากความเป็นอย่างนั้น อิทัปปัจจยตา ความที่มันมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้ย่อมเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้ก็เกิด เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับ นี่คือเช่นนั้นเอง นั้นถ้ามีเช่นนั้นเอง รู้เช่นนั้นเองแล้วจะไม่หวั่นไหว จะไม่ร้องไห้ จะไม่หัวเราะ จะมีใครมาเชิดไม่ได้ มันเช่นนั้นเอง ตถาตาก็ความเป็นเช่นนั้นเอง บางทีก็เรียกว่าตถา ตถา คือว่ามันเป็นเช่นนั้น เช่นนั้นเอง พอถึงเช่นนั้นเองก็เป็นพระตถาคตขึ้นมา พอเป็นพระตถาคตขึ้นมาแล้วมันคงที่ มันคงที่ พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์อะไรต่างๆทั้งหลาย ท่านคงที่ ท่านเปลี่ยนไม่ได้ ความคงที่คือว่าง คือสะอาด คือสว่าง คือสงบ คือหยุดเย็นอย่างนี้ ท่านคงที่อย่างนี้ ไอ้เรานี่มันไม่คงที่ เดี๋ยวก็ดีใจ เดี๋ยวก็เสียใจ เดี๋ยวมันก็หัวเราะ เดี๋ยวมันก็ร้องไห้ อะไรมานั่นนิดหนึ่งมันก็เปลี่ยนแปลงไปตามนั้น มันไม่คงที่ เพราะเราไม่เห็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเองเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาอย่างนี้ นี่จำไว้ให้ดี เป็นเครื่องรางสูงสุดที่จะคุ้มครองไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ให้ต้องเดือดร้อน แล้วก็ไม่ต้องถูกเชิด เดี๋ยวนี้เรามีปัญหาต้องถูกเชิดกันอยู่มาก ถ้าเราเห็นเช่นนั้นเองซะแล้ว ใครจะมาเชิดเราไม่ได้ เพราะเรามันจะเป็นคนคงที่ เป็นคนเช่นนั้นเอง ความไม่ยึดมั่นถือมั่นนั้นมีได้ก็เมื่อเห็นเช่นนั้นเอง ถ้ายังไม่เห็นเช่นนั้นเอง มันก็ยังต้องยึดมั่นถือมั่นอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เสมอ เมื่อยึดมั่นถือมั่นแล้วมันต้องเกิดความโลภบ้าง ความโกรธบ้าง ความโง่บ้าง มันมีกิเลสแล้วมันก็ร้อนเป็นไฟ แล้วมันก็ทำอะไรให้เป็นทุกข์ได้ ทีนี้เช่นนั้นเองที่จะใช้ป้องกันความทุกข์ที่เกิดจากธรรมชาติโดยตรง ที่เป็นภายนอกกันก่อนเช่นว่าน้ำท่วม ไฟไหม้ โลกอะไรก็ตามน่ะ มันเป็นภายนอก ถ้าไม่เดือดร้อน มันก็เช่นนั้นเองแหละ เราไม่แปลก ให้น้ำท่วมถึงฟ้าเราก็ไม่แปลก เพราะว่าเราเกิดก็ไม่แปลก เราอยู่ก็ไม่แปลก เราตายก็ไม่แปลก มันเช่นนั้นเอง อะไรจะเกิดขึ้น สงครามจะเกิดขึ้น ลูกระเบิดจะหล่นทั่วไปหมด ก็ไม่มีความหมายอะไร มันเช่นนั้นเองแหละ หรือเช่นนั้นเองที่เป็นภายในน่ะ เดี๋ยวเราจะต้องป่วยไข้ เดี๋ยวเราจะต้องวิบัติพลัดพราก เราจะต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่รัก พลัดพรากจากสิ่งที่รัก เป็นต้น เรียกว่าเรื่องเกิดแก่เจ็บตายนี่ มันต้องมี มันต้องเกิด ถ้าเราเห็นเช่นนั้นเองแล้ว เราก็ไม่มีปัญหา ถ้าเราเห็นความตายเป็นเช่นนั้นเองแล้ว ความตายก็ไม่มีปัญหาแก่เรา ความลำบากยุ่งยาก ความทุกข์อะไรที่เกิดที่เนื่องมาจากความตายนั้น มันไม่มีปัญหาแก่เรา มันจึงเหมือนกับเราไม่ตาย เราไม่ตาย คำว่าอมฤตธรรมที่เขาแสวงหากันนัก พระพุทธเจ้าพบแล้วมาสอนให้คนทั่วไป เรียกว่าอมตธรรม อมฤตธรรม ธรรมที่ทำให้ไม่ตายมันดีอย่างนี้ ท่านไม่ได้ยึดถือว่าเราเกิด เราอยู่ เราตาย ไม่มีตัวตนที่จะเกิดแก่เจ็บตาย ความตายจึงไม่มีความหมาย จิตนี้อยู่เหนือปัญหาแห่งความตาย เรียกว่ามันเข้าถึงความไม่ตาย มันบรรลุอมฤตธรรม แม้ว่าร่างกายจะตาย ตามธรรมชาติธรรมดาร่างกายจะตาย แต่เราไม่รู้สึกว่าเราตาย หรือมีความหมายเป็นความตายแก่เรา เราก็เลยอยู่นอกอำนาจของความตาย อยู่เหนือการบีบคั้นของความตาย สภาพอย่างนี้ เรียกว่า อมตธรรม ธรรมะที่ทำความไม่ตาย งั้นเราก็ไม่แก่ไม่เจ็บไม่อะไรด้วยทุกอย่าง ธรรมะของพระพุทธเจ้าสอนให้อยู่พ้นความเกิดแก่เจ็บตาย อยู่เหนือความเกิดแก่เจ็บตาย อย่างนี้ เพราะเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ของความเกิดความแก่ความเจ็บความตายนั่นแหละ งั้นอะไรที่มันจะเกิดทุกอย่างแหละเข้ามา เราก็ยอมรับด้วยคำว่าเช่นนั้นเอง อย่างถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งหลายล้าน มันก็เป็นเช่นนั้นเองแหละ อย่าไปบ้ากะมันจนนอนไม่หลับ หรือมันจะไม่ถูกมันก็เช่นนั้นเองแหละ ไม่ต้องมีอะไรที่จะมาทำให้เราต้องดีใจจนนอนไม่หลับ ต้องเสียใจจนนอนไม่หลับ ดีใจจนกินข้าวไม่ลง เสียใจจนกินข้าวไม่ลง มันเรื่องบ้าของคนที่ไม่เห็นว่ามันเช่นนั้นเอง ถ้าสมมติว่าเราสอบไล่ตก ถ้าเราไม่เห็นเช่นนั้นเอง เราคงนั่งหลั่งน้ำตา หรือว่าเดือดร้อนไปหลายวันน่ะ แต่ถ้าเราเห็นเช่นนั้นเอง เราก็ไม่ต้องไปทุกข์ เราก็แก้มันด้วยเช่นนั้นเองล่ะ คือเรียนซะใหม่ให้มันถูกต้องให้มันเพียงพอ แล้วมันก็ไม่ตก สอบไล่ไม่ตกแล้วมันก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ เช่นนั้นเองของพระพุทธเจ้าวิเศษอย่างนี้ เป็นที่สรุปรวมยอดของพระธรรมทั้งหลายทั้งปวง อย่างที่พูดมาแล้วว่าเรามีหน้าที่จะต้องประพฤติปฏิบัติกระทำให้ถูกต้องต่อธรรมชาติจนถึงกับเราไม่เป็นทุกข์เลย เนี่ยขอให้เรามีหน้าที่ศึกษาความรู้ที่ยังขาดอยู่ให้สมบูรณ์ ให้รู้ธรรมะในพระพุทธศาสนายิ่งๆขึ้นไป จนกระทั่งว่าเห็นเช่นนั้นเอง แล้วก็เป็นคนไม่มีความทุกข์ จะเป็นคนอยู่ด้วยความสงบสุขแล้วก็เป็นประโยชน์แก่ทุกๆคนที่อยู่รอบตัวเรา นี่ธรรมะที่เป็นหน้าที่ที่ต้องศึกษาให้รู้และปฏิบัติให้ได้ มีหลักแห่งความเป็นเช่นนั้นเองอยู่เป็นพื้นฐานตั้งแต่ต้นจนปลาย เราจะเอาอะไรกันนักเทียว ลองคิดดูเราจะไม่มีความทุกข์ แล้วเราอยู่อย่างเป็นประโยชน์แก่ทุกคน นั่นมันก็ควรจะพอแล้วมั้ง เราเนี่ยอยู่อย่างไม่มีความทุกข์ เรื่องเกิดแก่เจ็บตายก็ไม่มีความทุกข์ เรื่องภายนอกจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีความทุกข์ ไม่มีอะไรจะมาทำจิตใจให้เป็นทุกข์ได้ และความเป็นอยู่มีอยู่ของเรานี้เป็นประโยชน์แก่ทุกคน รวมทั้งตัวเราด้วย มันก็ควรจะพอแล้วมั้ง ถ้าเกินนี้มันจะบ้ามั้ง นี่ถ้ามันต้องการเกินกว่านี้จะต้องทำยังไง ไม่มีความทุกข์และเป็นประโยชน์แก่ทุกคนน่ะมันควรพอ นี่ธรรมะมันช่วยได้อย่างนี้แหละ ช่วยให้เราไม่ต้องเป็นทุกข์ เราก็เป็นอยู่อย่างเป็นประโยชน์แก่คนทุกคน นั้นก็มองดูให้เห็นอย่างที่อาตมาพูดทีแรกว่าเราจะต้องทำประโยชน์สัก 3 อย่างจากธรรมะ คือไม่เป็นทุกข์ นี่เรื่องเช่นนั้นเองมันช่วยได้ ไม่ต้องเป็นทุกข์ เพื่อให้เรามีความเจริญงอกงามก้าวหน้าในหน้าที่การงานตลอดไป เช่นเรียนหนังสือดี เรียนเก่ง จำเก่ง ก็ทำการงานดี สำเร็จประโยชน์ยิ่งๆขึ้นไป นี่แหละก้าวหน้าในหน้าที่การงานก็คือธรรมะนั่นแหละ จะช่วยให้เราเรียนดี เรียนเก่ง คนที่มีจิตใจเป็นธรรมะย่อมมีความปกติ สงบเยือกเย็น มีสมาธิ มีปัญญา สติมันเฉลียวฉลาด มันก็เรียนเก่ง ธรรมะนี่จะช่วยให้เรียนเก่ง ในโรงเรียน มหาวิทยาลัย พอเสร็จแล้วไปทำการทำงานทำอาชีพ มันก็ทำให้ทำอาชีพได้ดี มีความสุขุมรอบคอบละเอียด ไม่ผิดพลาด ปกครองผู้อื่นผู้ใต้บังคับบัญชาได้ดี มันก็ดี ทีนี้เรามีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ทีนี้เราเบื่อโลกจะไปบรรลุมรรคผลนิพพาน มันก็ยิ่งได้ล่ะ มันก็ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ตั้งแต่ชั้นโลกๆต่ำๆที่สุดสูงขึ้นไปจนบรรลุมรรคผลนิพพาน นี่ก็เพราะธรรมะ ทีนี้ประโยชน์ที่ 3 คือ สังคม เมื่อมีธรรมะแล้วสังคมเป็นสุข ถ้าทุกคนในสังคมมีธรรมะแล้ว สังคมนี้ก็เป็นโลกพระศรีอาริย์ เรียกเต็มๆก็ว่าโลกพระศรีอาริยะเมตไตรย คือภาวะแห่งความมีเมตตาสูงสุด ประเสริฐที่สุด เมตตาที่สูงสุด ประเสริฐที่สุด เรียกว่าศรี แล้วก็อาริยะ แล้วก็เมตไตรยะ ความมีเมตตาอย่างประเสริฐที่สุดสูงสุด เดี๋ยวนี้คนมันเห็นแก่ตัว เมตตาได้ยังไง เรียนอย่างหมาหางด้วนนั่นล่ะ ยิ่งเรียนยิ่งเห็นแก่ตัว การศึกษาในโลก ในมหาวิทยาลัยในโลก ยิ่งเรียนยิ่งเห็นแก่ตัว การศึกษาหมาหางด้วนมันไม่มีหวังที่จะพบศาสนาพระศรีอาริยะเมตไตรย หรือทางคอมมิวนิสต์เค้าก็จะพูดว่า จะศาสนาก็ดี อริยเมตไตรยก็ให้ได้ เราก็ดูก่อน ถ้ามันไม่สร้างเมตตาขึ้นมาได้ มันหลอกทั้งนั้นแหละ ถ้ามันยังเห็นแก่ตัวล่ะมันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ามันทำให้ไม่เห็นแก่ตัว มันมีเมตตาอย่างประเสริฐที่สุด แล้วมันก็เป็นศาสนาพระศรีอาริยะเมตไตรยได้ ธรรมะอย่างเดียวที่ทำให้ไม่เห็นแก่ตัว ถ้าไม่เห็นแก่ตัวแล้วมันก็รักผู้อื่นโดยอัตโนมัติล่ะ เดี๋ยวนี้มันรักผู้อื่นไม่ได้เพราะมันเห็นแก่ตัว พอเลิกเห็นแก่ตัวมันก็รักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องแกล้งทำก็ได้ ทำลายความเห็นแก่ตัวซะเถอะแล้วมันก็จะรักผู้อื่น เพราะอันนั้นคืออุปสรรคของการรักผู้อื่น นี้ธรรมะช่วยทำลายความเห็นแก่ตัว กระทั่งให้เห็นว่ามันไม่มีตัวกูของกูโดยแท้จริงมันเป็นเรื่องลมๆแล้งๆ มันไม่เห็นแก่ตัวแล้วมันก็รักผู้อื่น เหมือนกับว่าธรรมชาติ ไก่มันช่วยกันจิกเห็บที่หงอนของเพื่อนกันได้ สุนัขมันก็กัดหมัดให้ลูกแมวได้ มันไม่เห็นแก่ตัวแล้วมันก็ทำประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยธรรมชาตินั่นเอง ไอ้ความเห็นแก่ตัวนี่เพิ่งมีนะ ไม่ได้มีมาแต่ในท้องนะ มันไม่ยอมให้มีสัญชาตญาณบ้างก็ยังไม่แสดงอะไร แต่พอเกิดมาแล้วจากท้องแม่ไม่กี่วัน ไม่กี่เดือนนี่ เริ่มมีตัว เพราะใครๆก็พูดว่าตัว ของแกนะ พ่อของแกนะ แม่ของแกนะ ตุ๊กตาของแกนะ อะไรของแกๆๆ นี่มันเป็นตัวๆๆ เด็กมันอร่อยสนุกสนานด้วยของที่มีตัวนั้น มันก็ยิ่งมีตัวมากขึ้นๆเข้มข้นขึ้น คนเป็นหนุ่มเป็นสาวมันก็มีสิ่งที่ให้เห็นว่า เป็นตัวเป็นของตัวเข้มข้นขึ้น เราจึงเห็นแก่ตัว มีเงิน มีทอง มีข้าว มีของ มีอำนาจวาสนามันก็ช่วยส่งเสริมความเห็นแก่ตัว มันก็ไม่เห็นแก่ผู้อื่น มันก็ไม่รักผู้อื่นเท่านั้นเอง นั้นศึกษาเรื่องนี้ อย่าให้มันหลอกเราได้ อย่าให้มันเป็นผีหลอกเราได้อีกต่อไป เพราะมันเป็นเพียงธรรมชาติ เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ไม่มีตัวตน ตัวตนเป็นเรื่องสำคัญผิดสำหรับจะหลง เห็นแจ้งแล้วก็ไม่หลงไม่เห็นแก่ตัว แล้วก็รักผู้อื่นได้เท่านั้นเอง สังคมนี้ก็เป็นสุข เป็นโลกของพระศรีอาริยะเมตไตรย คือมีแต่มิตรภาพอย่างเดียว นั้นก็เป็นอันว่าธรรมะนี้จะให้ประโยชน์แก่เราทั้งสามประการ คือ หนึ่งเราไม่เป็นทุกข์เลย สองเรามีความก้าวหน้าในการศึกษาในการอาชีพในการปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน และสามคือเรามีสังคมอันประเสริฐเหมือนกับว่าเป็นยุคแห่งพระศรีอาริยะเมตไตรย พอกันแล้ว ขืนต้องการมากกว่านี้มันบ้าแล้ว มันเป็นไปไม่ได้แล้ว มันไม่มีทางจะมากกว่านี้ได้ งั้นขอให้ปักใจที่จะให้ได้ประโยชน์อันนี้แท้จริง อันมีได้จริง อันเป็นไปได้จริง ไม่ใช่พูดเพ้อๆไปอย่างเหลือวิสัย ขอให้ท่านทั้งหลายได้ประสบความสำเร็จในการที่จะเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า อุตส่าห์มาจากที่ไกลมาที่นี่ ก็ขอให้พยายามอย่างยิ่งที่จะให้ธรรมชาติในที่นี้มันช่วยให้เรารู้จักกระทำ เพราะพระธรรมคือตัวธรรมชาติ คือตัวกฎของธรรมชาติ คือตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ คือผลที่เกิดมาจากหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมชาติทั้งนั้นแหละที่เป็นพระธรรม ที่มาอยู่ที่นี่มันก็ใกล้ชิดธรรมชาติไม่ต้องอธิบาย เมื่อใกล้ชิดธรรมชาติมันก็รู้ธรรมชาติได้ง่ายกว่าที่จะอยู่ไกลธรรมชาติ เดี๋ยวนี้ท่านนั่งกลางดินนะ ไม่ได้นั่งบนตีกเรียนที่มหาวิทยาลัยราคาเป็นล้านๆ ที่นั่นมันไกลธรรมชาตินะ มันจะทำให้บ้าโดยไม่รู้สึกตัวนะ นี่นั่งกลางดินมันนั่งกับธรรมชาติ และมันรู้ธรรมชาติได้ง่าย พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็เพราะนั่งกลางดิน พระพุทธเจ้าสอนสาวกก็เมื่อนั่งกลางดิน พระพุทธเจ้านิพพานตายก็เมื่อนิพพานกลางดิน นี่เราก็มานั่งกลางดิน เป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน สั่งสอนและปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ควรจะดีใจ นี่หวังอยู่แต่ว่าจะนั่งนอนบนตึกราคาล้าน บนเครื่องเฟอร์นิเจอร์แพงๆนั่นมันจะบ้านะระวังให้ดี มันอาจจะไม่มีธรรมะที่นั่นนะ เพราะมันส่งเสริมจะให้บ้านะ ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว สนุกสนานสวยงาม เอร็ดอร่อย มันก็จะเป็นบ้าไปเลย นี่มานั่งกลางดินแบบพระพุทธเจ้านนี่ เอามือลูบคลำดินดูสิว่าเป็นเกียรติยศที่สุดแล้ว ว่าได้นั่งกลางดินคือที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ที่สั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่นิพพานของพระพุทธเจ้า ขอให้กำหนดจิตใจดีว่าเมื่อเรามานั่งในที่ของพระพุทธเจ้าอย่างนี้ จิตใจของเราเป็นอย่างไร เมื่อเราไปนั่งเรียนในตึกเรียนราคาแสนราคาล้านนั้นจิตใจของเราเป็นอย่างไร มีคนบอกอาตมาว่าส้วมที่มหาวิทยาลัยนั้นสกปรกกว่าส้วมที่วัดนี้ ไปดู จริงหรือไม่จริงนี่ก็ไปดูเอาเองก็แล้วกัน มันก็คงจะเต็มไปแต่คนเห็นแก่ตัวมั้ง ส้วมในมหาวิทยาลัยจึงสกปรกกว่าส้วมที่วัดนี้ แต่ส้วมที่วัดนี้ก็ไม่ได้สะอาดถึงที่สุดร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ก็คนเค้าบอกอย่างนั้น ก็คงจะเป็นผลของการที่ว่ามันธรรมชาติ แล้วก็ไม่ค่อยจะได้เห็นแก่ตัว มันจึงมีคนสมัครที่จะล้างส้วม คนเห็นแก่ตัวมันจะไม่สมัครที่จะล้างส้วมที่ผู้อื่นทำสกปรกไว้หรอก เนี่ยธรรมะมันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นเมื่อมาที่นี่รู้สึกอย่างไรในจิตใจ พากลับไปบ้านด้วย อย่ามาเปล่า อย่ามาเสียเวลาเปล่าๆ มันควรจะได้อะไรกลับไปบ้าง ที่ได้มารู้เรื่องธรรมชาติ เรื่องจิตว่าง สงบเยือกเย็น ตามธรรมชาติ เพราะว่าธรรมชาติมันไม่ยอมให้คิดปรุงแต่งเป็นตัวกูของกู แผ่นดิน ก้อนหิน ต้นไม้ ต้นไร่ ตามธรรมชาตินี้มันแวดล้อมจิตไปอีกทางหนึ่ง คือหยุดมีตัวกูของกู ที่ในเมืองหลวง ที่ในตึกเรียน ที่ในมหาวิทยาลัยน่ะ มันล้วนแต่ส่งเสริมความคิดให้มีตัวกูของกู แล้วมันผิดกันลิบ แล้วมานั่งตรงนี้มันก็เย็น เพราะว่างจากตัวกูของกู เพราะไอ้ที่ตรงกันข้ามมันก็ร้อนน่ะ เพราะมันส่งเสริมตัวกูของกู ช่วยจำไว้ด้วยว่าพระนิพพาน คำว่านิพพาน แปลว่าเย็น เย็นอกเย็นใจนั่นน่ะ คือเย็นนั่นน่ะ คือพระนิพพาน เมื่อกิเลสไม่มี เมื่อตัวกูของกูไม่เกิดขึ้นแล้ว ในใจมันก็เย็น นั่นน่ะคือนิพพาน แม้ชั่วขณะก็ยังดี แม้ว่าในระยะสั้นๆก็ยังดี น้อยๆก็ยังดี ดีกว่าที่จะไม่รู้จักเย็นซะเลย ฉะนั้นเมื่อมาที่นี่แล้วมันก็คงจะได้รู้เรื่องของธรรมชาติบ้าง ซึ่งมันก็ได้แต่บอกว่าอย่าบ้าโว้ย ต้นไม้ก็พูดว่าแกอย่าบ้าไปนัก ก้อนหินนี่ก็พูดว่าแกอย่าบ้าไปนัก หยุดกันซะบ้าง เย็นกันซะบ้าง ว่างกันซะบ้าง อย่ายึดถือให้มันมากมายไปเลย เราบอกหลายๆคนที่มาที่นี่ว่า ก้อนหินก็พูดได้ ต้นไม้ก็พูดได้ อะไรก็พูดได้ เค้าว่าจะขอเลขสามตัว มันเป็นซะอย่างนี้ ที่จริงต้นไม้มันพูดได้ มันพูดว่าแกอย่าบ้าไปนักเลย อย่าโง่ไปนักเลย อย่าร้อนไปนักเลย หยุดเย็นเหมือนกับฉันซะบ้าง ก้อนหินมันพูดอย่างนั้น เราหมายความอย่างนั้นว่าก้อนหินมันพูดได้ งั้นถ้าคุณมองเห็นไอ้ก้อนหิน ต้นไม้ ต้นไร่ นึกถึงธรรมชาติ แล้วจะเกิดความรู้สึกอย่างนั้น แล้วก้อนหินนั้นมันด่าเอาว่าไอ้โง่ อย่าร้อนเอานักเลย ต้นไม้มันก็ด่าเอาว่าไอ้โง่อย่ามาร้อนกันนักเลย เย็นๆหยุดๆเหมือนอย่างเรากันซะบ้าง นี่เราถือว่าก้อนหินก็พูดได้ ต้นไม้ก็พูดได้ คือธรรมชาติมันพูดอย่างนี้ งั้นเราคุยกับต้นไม้ดูบ้าง มันจะบอกให้อย่างนี้ แต่ตอนเลขสามตัวนั้นมันก็ไม่สำเร็จแน่ เพราะมันเรื่องร้อนเรื่องบ้า ต้นไม้มันไม่มี ก้อนหินมันไม่มี ต้นไม้ก้อนหินมันมีแต่เรื่องเย็นๆๆ มันก็เลยพูดแต่เรื่องเย็นๆๆ ก็เป็นอันว่าธรรมชาติเนี่ยมีประโยชน์ มันช่วยให้หยุดให้เย็นให้เกลี้ยงให้ว่าง นะมาอยู่กับมันคบค้าธรรมชาติซะบ้าง จิตใจก็จะรู้จักความว่าง ความหยุด ความเย็น ความสะอาด ความสงบ ตามเรื่องของธรรมชาติ ขอให้ทุกคนได้รับประโยชน์อันนี้ คุ้มค่าที่มา ทั้งเปลือง ทั้งเหนื่อย ทั้งเสียเวลา อะไรหลายๆอย่าง ให้ได้รับไอ้ความรู้นี้จากธรรมชาติ แล้วก็คุ้มค่าที่มา อุตส่าห์มาลำบากอยู่ที่นี่ จะได้รับประโยชน์คุ้มค่าก็เพราะเหตุนี้ ฉะนั้นขอให้ทบทวนคำบรรยายที่พูดมาแล้ว ว่าประโยชน์ของพระธรรมจะมีอยู่สามอย่างอย่างนี้ ถ้าเราไม่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมแล้ว เรายังจะต้องละอายหมาละอายแมวอีกต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด เราได้รับประโยชน์จากพระธรรมแล้ว เราจะมีมนุษย์ที่ประเสริฐกว่าสัตว์เดรัจฉานหลายร้อยเท่า หลายพันเท่า หลายหมื่นเท่า ขอให้ยึดเสียเอาธรรมะเป็นสรณะเป็นที่พึ่งแล้วปัญหาก็จะหมดไป การบรรยายก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายจงได้ใจความไปให้ได้สำเร็จประโยชน์ ให้มีความเจริญงอกงามก้าวหน้า ในทางทุกทางทั้งทางโลก ทั้งทางธรรม ทั้งทางส่วนตัว ทั้งทางผู้อื่น และมีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ