แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(เสียงผู้ชาย) อบรมพระนวกะราชภัฏจากวัดชลประทานที่หินโค้ง เวลา ๙.๓๐ น.วันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๓
(เสียงท่านพุทธทาส) ท่านที่เป็นภิกษุราชภัฏผู้ต้องลาสิกขาทั้งหลาย การบรรยายที่เรียกว่า มหาวิทยาลัยต่อหางสุนัข ๑๐ ช.ม. ในวันนี้เป็นครั้งที่ ๖ ซึ่งผมจะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า ตัดต้นเหตุทันเวลา ขอให้นึกย้อนถึงการบรรยายครั้งหลัง ๆ ซึ่งมันมีความสัมพันธ์กัน โดยเนื้อหาเราพูดถึงคู่ชีวิต พูดถึงทิศทั้งหก พูดถึงนรกกับสวรรค์ พูดถึงนิพพานกันที่นี่ แล้วพูดถึงโพธิ หรือกิเลส วันนี้ก็พูดโดยหัวข้อว่า ตัดต้นเหตุให้ทันเวลา
การทำอะไรให้ทันเวลานั้นเป็นหลักสากลทั่วไป แม้ปฏิบัติธรรมะในพระพุทธศาสนาก็ยังต้องการอย่างนั้น คำสอนสากลเช่นว่า ให้มันฉลาดทันแก่เวลา ก็เป็นหลักที่ยอมรับกันทั่วไปไม่มีใครคัดค้าน Be wise in time นี่ผมก็ได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ๆ มันจะต้องฉลาดทันเวลา เดี๋ยวนี้ปัญหามันเกิดขึ้นเป็นความเสียหายร้ายแรงก็เพราะว่าเราไม่ฉลาดทันเวลา นี่ฉลาดในที่นี้หมายถึงฉลาดตัดต้นเหตุแห่งปัญหา ต้นเหตุแห่งอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นเหตุแห่งความทุกข์ ไม่มีอะไรจะเป็นภัยเป็นอันตรายมากเท่ากับความทุกข์ แล้วมันก็มีเหตุมันก็ต้องตัดต้นเหตุ ทันแก่เวลาหมายความว่าทันแก่เวลาที่มันจะไม่เกิดความทุกข์ ถ้ามันเกิดความทุกข์เสียแล้วมันก็เรียกว่ามันไม่ทันแก่เวลา นี่ความทุกข์หรือเหตุร้ายอันไม่พึงปรารถนานั้น มันมาจากการบังคับจิตไม่ได้ การบังคับจิตไม่ได้นี่เป็นต้นเหตุที่สำคัญที่สุด การบังคับจิตไม่ได้ของคนเพียงบางคนเท่านั้น มันก็ทำให้เกิดอันตรายแก่ตนเองและแก่สังคมหรือแก่ทั้งโลกก็ได้ เช่นว่าสงครามโลกที่มันรบกันทั้งโลกก็มันมีมูลมาจากคนบางคนที่มันจะตัดสินหรือวินิจฉัยหรือจะทำอะไรลงไป ที่แล้วมาก็เป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น การตัดสินใจถูกต้องไม่ได้เพราะว่ามันบังคับจิตไม่ได้ ทีนี้การบังคับจิตให้ได้ให้ทันแก่เวลานี่มันเป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญที่สุด หรือเป็นหัวใจของเรื่องในพุทธศาสนา แต่ถึงอย่างนั้นเราก็จะเห็นว่าการศึกษาในโลกนี้ มันยังเป็นระบบสุนัขหางด้วนเสียเรื่อย คือ เรียนแต่หนังสือกับอาชีพ ไม่เรียนถึงเรื่องจิตใจหรือธรรมะหรือที่เรียกว่าศาสนา ดังนั้น เราจึงต้องเปิดมหาวิทยาลัยชนิดที่เติมให้มันเต็ม เติมให้การศึกษาในโลกนี้มันเต็ม ผมจึงเรียกกันลืมง่าย ๆ ว่าระบบต่อหางสุนัข การศึกษาแห่งยุคปัจจุบันไม่พูดถึงเรื่องจิตใจ ไม่พูดถึงเรื่องบังคับจิตใจ คนที่สำเร็จการศึกษาแบบปัจจุบันมามันจึงไม่สามารถที่จะบังคับจิตใจให้ถูกต้องในการที่จะใช้วิชาหนังสือหรือวิชาชีพของตนให้ถูกต้อง ให้ปลอดภัย มันเป็นอย่างนี้ ผมจึงเห็นว่าจำเป็นที่สุดจะต้องเอาเรื่องเหล่านี้ที่มันยังขาดอยู่นี่มาบรรจุในการบรรยายชุดนี้ที่เรียกว่าชุดต่อหางสุนัข
พูดอย่างนี้มันก็คล้ายกับท้าทาย ผมก็ยอมรับว่ามันเป็นการท้าทายอยู่มาก มหาวิทยาลัยทั่วไปมันเป็นระบบสุนัขหางด้วน เราเปิดมหาวิทยาลัยแบบของพระพุทธเจ้า นั่งเรียนกันกลางดินก็ได้ เพื่อเป็นระบบต่อหางด้วนให้มันเต็ม ขอให้สนใจเข้าใจในความมุ่งหมายข้างต้นนี้เสียก่อนทุกคราวไป มิฉะนั้นคนผู้ฟังก็จะรำคาญพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ขอยืนยันว่าพูดเรื่องที่จำเป็นแก่ระบบการศึกษาของโลกปัจจุบันซึ่งยังมีลักษณะเหมือนกับสุนัขหางด้วนหรือพระเจดีย์ยอดด้วน เรามาช่วยกันต่อให้เต็ม ทีนี้ก็มองไปที่ตัวปัญหา ปัญหาในโลก ปัญหาของคนแต่ละคนหรือของสังคมก็ตาม ปัญหาคือว่ามันมีวิกฤตการณ์อันไม่พึงปรารถนาเกิดขึ้น เราไม่รู้จะกำจัดมันอย่างไร นี่ก็เป็นปัญหา ทีนี้มันจะต้องบังคับตน ตัวที่แท้ก็คือบังคับจิตอย่าให้ลุอำนาจแก่โทสะ แก่โลภะ โทสะ โมหะ คือ อย่าเป็นไปตามอำนาจของโลภะ โทสะ โมหะ แล้วบุคคลก็จะมีสันติสุข สังคมโลกก็จะมีสันติภาพ ผมให้ความหมายต่างกันนิดหน่อย ถ้าบุคคลเป็นสันติสุข ถ้าโลกทั้งโลกเป็นสันติภาพ มันมีไม่ได้ถ้าทุกคนไม่สามารถบังคับตนหรือบังคับจิตซึ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ปัญหาข้อนี้มันแรงขึ้นทุกทีแรงขึ้นทุกที คือไม่สามารถจะบังคับยิ่งขึ้นทุกที มันแรงหรือมันมากเท่ากับการก้าวหน้าทางวัตถุของโลกปัจจุบัน นี่เราเคยพูดกันมาบ้างแล้วว่าโลกปัจจุบันก้าวหน้าทางวัตถุ มันก็วิ่ง มันก้าวหน้า แล้วมันก็บิน แล้วมันก็เหมือนกับว่า มันไปด้วยทะยานอวกาศ มันเร็วมากขนาดนั้น ความก้าวหน้าทางวัตถุ ทีนี้ปัญหา คือ วิกฤติการณ์ในโลกมันก็เพิ่มขึ้นเท่ากัน แรงเร็วมากเท่ากัน แล้วมันน่าหัวเราะเยาะอย่างยิ่ง คือว่าเขาให้การศึกษากันอย่างไร แม้จบมหาวิทยาลัยมาแล้วมันก็ยังมีปัญหายาเสพติด การศึกษาหมาหางด้วนนี่ให้กันเท่าไรเท่าไร เรียนจบแล้วก็ยังมาบูชายาเสพติด ทำให้ยาเสพติดกลายเป็นปัญหาระหว่างชาติ ได้ยินเรื่อยตลอดเวลาทางวิทยุ ไอ้เรื่องยาเสพติดเดี๋ยวประชุมกันที่นั่นเดี๋ยวประชุมกันที่นี่ เป็นปัญหาระหว่างชาติขององค์การโลกเรื่องยาเสพติด ซึ่งมันไม่เคยมีปัญหาอย่างนี้ในองค์การโลกระหว่างชาติ ทีนี้การศึกษาปัจจุบันนี้มันให้กันอย่างไรที่ว่า มันสร้างปัญหายาเสพติดให้แก่คนในโลก คนทุกคนสมัยนี้โดยเฉพาะก็เข้าโรงเรียนเรียนหนังสือกันทั้งนั้นแหละ ไม่เหมือนสมัยก่อนโบราณซึ่งไม่มีโรงเรียนไม่เรียนหนังสือ มันก็ยังไม่มีปัญหายาเสพติด มันจะต้องเป็นความโง่อะไรชนิดหนึ่งในการศึกษานั้นเองที่มีการศึกษาอย่างนี้แล้วยังมีปัญหาเรื่องยาเสพติด ให้ผีมันหัวเราะเยาะคน ไอ้คนทำอะไรโง่ ๆ เขลา ๆ นี่ขอให้สำนึกไว้เถอะว่า ผีมันหัวเราะเยาะอยู่ หรือผมก็จะพูดสำนวนใหม่ว่า มันน่าละอายแก่แมว เพราะว่าแมวมันไม่มีปัญหาอย่างนี้สัตว์เดรัจฉานมันไม่ไปหายาเสพติดมาทำให้ตัวมันติด แล้วคนทำไมจึงเป็นอย่างนี้ แล้วกลายเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติระดับโลก บ้าหรือดี การศึกษาหมาหางด้วนมันเป็นอย่างนี้ เราต้องช่วยกันทำให้ปัญหาทุกปัญหาหมดไป เดี๋ยวนี้มีคนเรียนจบแล้วยังบูชายาเสพติด ยังหาเลี้ยงชีพด้วยยาเสพติดค้ากำไรด้วยยาเสพติด เหมือนกับฆ่าฆ่ามนุษย์ด้วยกัน นี้คือมีปัญหาตั้งแต่อย่างไม่น่าจะมีเช่นนี้ขึ้นไปถึงปัญหาวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง ทางสงคราม นอนตาไม่หลับกันจนจะเป็นโรคประสาทกันทั้งโลกแล้ว นี่คือปัญหา ดังนั้น เราจะต้องมีการศึกษาชนิดที่ทำให้บังคับตนได้คือบังคับจิตได้ มนุษย์ก็จะพ้นจากปัญหาอันเลวร้ายเหล่านั้นไม่ต้องให้ผีหัวเราะ ไม่ต้องละอายแก่แมว ไม่ต้องละอายแก่ โลกมนุษย์จะไม่ต้องละอายแก่โลกสัตว์เดรัจฉานว่าอย่างนั้นดีกว่า นี่คือจะต้องมีการบังคับตนให้ได้บังคับจิตให้ได้ แล้วเราก็จะดำเนินตน จิต โลกนี่ไปในทางที่ถูกต้อง
อ้าว ทีนี้ก็มาพูดกันเรื่องจิต เรื่องสิ่งที่เรียกว่าจิต ก็เคยพูดมาบ้างแล้วในการบรรยายครั้งก่อนเรื่องจิตเกี่ยวกับโพธิ เดี๋ยวนี้จิตอย่างนั้นแหละจะต้องเอามาพิจารณากันอีกในฐานะเป็นสิ่งที่ต้องบังคับ สิ่งที่เรียกว่าจิตนั่นมันมีความเร็วมาก คุณก็พอจะรู้ได้ไม่ต้องอ้างคำในพระคัมภีร์ ในพระคัมภีร์เขียนไว้มากเหลือเกินเรื่องความเร็วของจิต สรุปความว่า เร็วกว่าหรืออย่างน้อยเร็วเท่าสายฟ้าแลบ สายฟ้าแลบทีเดียวตั้งครึ่งโลกมันแค่พริบตาเดียว ไอ้ความเร็วของจิตจะเร็วกว่าอย่างน้อยก็เร็วเท่าสายฟ้าแลบ ไม่ต้องเชื่อตัวหนังสือมันก็ มันก็ มันก็ไม่เห็นจริงไม่เห็นชัด เราเชื่อตัวเราสิที่เราเคยมีจิตอยู่แล้ว มีอยู่แล้ว แล้วมันเร็วอย่างไร เมื่อเราเห็นของที่น่ารักเราก็รักเสร็จแล้ว กว่าจะสำนึกตัว เมื่อเห็นของที่น่าโกรธเราก็โกรธเสร็จแล้ว มารู้สึกเมื่อมันโกรธเสร็จแล้ว เมื่อเห็นของน่าเกลียดมันก็เกลียดแล้ว ไม่ใช่รู้สึกว่าจะเกลียดหรือกำลังเกลียด มันมารู้สึกก็เมื่อเกลียดแล้วทุกที ของน่ากลัวก็เหมือนกันเห็นแล้วก็กลัวตัวสั่นงันงก ไม่รู้ว่าตั้งต้นกลัวตั้งแต่เมื่อไรมันเร็วอย่างนี้ นี่ไม่ได้เห็นด้วยตานะ รัก โกรธ เกลียด แป๊ปเดียวเสร็จ เมื่อได้ฟังเสียงด้วยหูก็เหมือนกันแหละ ว่ารักรัก โกรธ เกลียด โกรธเสร็จพร้อมๆ กับการได้ฟัง ด้วยซ้ำไป นี่มันเร็วขนาดนี้ เมื่อได้ดมกลิ่นก็เหมือนกันแหละ มันพอใจหรือไม่พอใจ มันรัก โกรธ เกลียด กลัว ตามความหมายแห่งกลิ่นนั้น ๆ เสียแล้ว เมื่อได้อร่อยที่ลิ้น ก็เหมือนกันแหละมันชอบ หรือมันไม่ชอบ มันโกรธ โมโห หรือมันอร่อยพอใจเสร็จไปแล้ว ทีนี้สัมผัสผิวหนังมันไม่มีเวลาระยะที่จะรู้ว่าสัมผัสอะไร สัมผัสอย่างไร สัมผัสแล้วมันก็รัก โกรธ เกลียด กลัวไปแล้ว สะดุ้งไปแล้ว นี่เรื่องที่มันคิดนึกด้วยสัญญาเก่า ๆ ขึ้นมาใหม่ในจิต พอคิดถึงเรื่องบางเรื่องมันก็รัก บางเรื่องก็โกรธ บางเรื่องก็เกลียด บางเรื่องก็กลัว เสร็จไปแล้วพร้อมกับความคิดหรือความรู้สึกที่เข้ามา ทีนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มันเกี่ยวเนื่องกับเพศตรงกันข้าม เรื่องทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าเนื่องด้วยเพศตรงกันข้ามมันก็ยิ่งแรง หรือรุนแรงรวดเร็วยิ่งปานนั้น เพราะว่าพวกเราทั้งหลายโดยมากในโลกนี้เป็นสัตว์ประเภทกามาวจร กามาวจรคือบูชากามเป็นไปในทางกาม เป็นไปตามกระแสแห่งกาม ในที่นี้หมายถึงเพศตรงกันข้าม ดังนั้นจึงถือว่าอารมณ์ที่มาจากเพศตรงกันข้าม หรือเนื่องกันอยู่กับเพศตรงกันข้ามนี้ยิ่งมีความแรง มีความมาก มีความเร็ว จึงยากที่จะบังคับได้ เรียกว่ากว่าจะรู้สึกตัวนั้นจมลงไปถึงคอหรือมิดหัวแล้วก็ได้กว่าจะรู้สึกตัว มันจมลงไปในอารมณ์นั้น ๆ ทีนี้ทำอย่างไรที่เราจะรู้สึกทันท่วงทีเป็นการตัดต้นเหตุทันแก่เวลา เราสามารถคุมความรู้สึกได้ ให้ความรู้สึกอยู่ในการควบคุมไม่เป็นสายฟ้าแลบ แป๊บเดียวไปจมถึงคอแล้ว ในเรื่องรัก โกรธ เกลียด กลัว นี่คุณที่จะลาสิกขาไปนี่ผมเชื่อว่ามันต้องไปเผชิญกับสิ่งเหล่านี้เป็นแน่นอน อะไรที่จะสกัดกั้นให้มีระยะที่จะควบคุมต้นเหตุหรือตัดต้นเหตุ นั่นแหละสิ่งที่เราจะต้องพูดกันให้เป็นที่เข้าใจในวันนี้ เพื่อประโยชน์แก่พวกคุณที่จะลาสิกขาออกไป ในเมื่อระบบมหาวิทยาลัยในโลกปัจจุบันมันไม่สอนไม่สอนเรื่องที่จำเป็นแก่มนุษย์ เราจึงให้สมัญญาเสียว่า ระบบหมาหางด้วน เราอุตส่าห์มานั่งประชุมศึกษาหารือศึกษากันเพื่อต่อหางสุนัข ขอมองเห็นความจำเป็นอันนี้แล้วคุณก็จะรู้สึกได้เองว่าไม่ใช่ว่าผมแกล้งว่าแกล้งด่าแกล้งประชดประชันอะไรมันเกินจำเป็น ยิ่งมันมีความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนี้
เรามาเรียนเรื่องสิ่งที่จะควบคุมความรู้สึก ควบคุมจิต บังคับจิตให้ได้ ให้ทันแก่เวลาและตัดต้นเหตุให้ทันแก่เวลา สิ่งนั้นก็เรียกว่าสติ วิกฤตการณ์ทั้งปวงมีเหตุ จะควบคุมเหตุหรือตัดต้นเหตุให้ทันนั้นต้องทำด้วยสติ ซึ่งเป็นคำสอนสำคัญในพระพุทธศาสนา จะพูดเรื่องคำว่าพระพุทธศาสนากันเสียสักหน่อย เกี่ยวกับเรื่องนี้ พุทธศาสนามีพระเจ้าเป็นกฎของธรรมชาติ มีกฎของธรรมชาติเป็นพระเจ้า ในเมื่อศาสนาอื่นฝ่ายอื่นเขามีพระเจ้าอย่างที่เป็นบุคคล พระอินทร์ พระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวร พระเจ้ายะโฮวา พระเจ้าอะไรก็ตาม เขาวาดภาพไว้ในฐานะเป็นบุคคล เราต้องเชื่อ เราต้องกลัว เราต้องนอบน้อม เราต้องอ้อนวอนร้องขอ พระเจ้าของพวกศาสนามีพระเจ้าเป็นอย่างนั้น ทีนี้พุทธศาสนาเราพวกฝรั่งเขาจัดให้ว่าเป็นศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า ผมอยากจะพูดว่าฝรั่งโง่ การศึกษาของเราตามก้นฝรั่งอย่าไปพลอยโง่ตามฝรั่งว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า เรามีพระเจ้าที่ยิ่งกว่า คือ กฎของธรรมชาติ เป็นพระเจ้าที่ยิ่งกว่าพระเจ้าของพวกเหล่านั้น อย่ามาตู่เราผิด ๆ ว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า เรามีพระเจ้าแท้จริงยิ่งกว่านั้น คือ กฎของธรรมชาติ พระเจ้าเหล่าโน้นน่ะมีอำนาจอะไรหน้าที่อะไรอย่างไร เรามีกฎของธรรมชาติซึ่งมีอำนาจมีหน้าที่มีบางอย่างนั้น และยิ่งกว่าเสียอีกแน่นอนกว่าชัดกว่า เรารู้สึกได้ด้วยจิตของเรา เป็นสันทิฏฐิโกรู้สึกได้ด้วยจิตของเรา ถ้าพระเจ้าที่ไม่รู้อยู่ที่ไหน จะว่าอยู่บนสวรรค์อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้อย่างนี้ไม่อาจจะรู้สึกได้ด้วยจิต ต้องสร้างความเชื่อแล้วให้ใช้ความเชื่อมันมาบังคับจิตอย่างนี้เราไม่เอา พุทธศาสนามีพระเจ้าเป็นกฎของธรรมชาติ ศาสนาอื่นมีพระเจ้าเป็นบุคคล ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาก็ต้องไม่เหมือนกันสิ เรามีพระเจ้าคนละแบบ เขาอ้อนวอนพระเจ้าร้องขอ เราก็ไม่อ้อนวอนร้องขอแบบนั้นนะ เราอ้อนวอนร้องขอแบบอื่น คือ ต้องประพฤติกระทำไปให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เราของอนง้อต่อกฎของธรรมชาติด้วยการปฏิบัติให้ตรงตามกฏ ไม่ใช่มานั่งกราบไหว้บูชาจุดธูปจุดเทียนต่อกฎธรรมชาติ หรือขอต่อกฎธรรมชาติไม่ต้องทำก็ได้ แต่ว่าเราจะพยายามประพฤติกระทำให้ถูกตามกฎของธรรมชาติแล้วเราก็จะได้รับผลกันตามที่เราต้องการ นี่ผมจะเล่าเรื่องขำขันสักเรื่องหนึ่ง พวกบาทหลวงเขามาที่นี่ผมบอกว่าเราก็มีกอดนะ แต่เรามันเรียกสั้นไปเป็นกฎ เขาเรียกยาวไปเป็นกอด เราเรียกสั้นไปเป็น กฎ ฉะนั้นคุณลองออกเสียง กฎ ลากให้ยาวมันก็เป็นกอดเหมือนกันแหละ เป็นว่าเราก็มี กอด มีพระเจ้าด้วยกัน เลยหัวเราะกันใหญ่ เราคนไทยผู้ถือพุทธมี มีพระเจ้าคือมีกฎของพระธรรม กฎของธรรมชาตินั่นเอง ธรรมะในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาตินั่นแหละคือพระเจ้าของเรา เราจะเรียกธรรมะว่าเป็นพระเจ้าก็ได้ เพราะมันเป็นกฎของธรรมชาติ เอาเป็นว่าพุทธศาสนามีพระเจ้าเช่นนี้ เราต้องปฏิบัติให้ถูกตามกฎอันนี้ แล้วเราก็จะทำการบังคับจิตบังคับตนได้ แล้วก็ประสบผลเป็นความสงบสุขได้ ทีนี้ก็พิจารณาถึงกฎ คำว่า กฎ กฎที่สูงสุดในพระพุทธศาสนานั่นเรียกว่า กฎอิทัปปัจจยตา อิทัปปัจจยตา ถ้าเรียกให้เต็มยศก็ว่าอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสอย่างนี้ อิทัปปัจจยตาปฏิจสมุปปาโท ลากติดกันไปหมด อันนี้คือตัวกฎสูงสุดตามหลักของพระพุทธศาสนาในฐานะที่เป็นพระเจ้า แต่ถ้าเรียกให้สั้นที่สุดก็ยังเรียกได้ว่าตถาตา ตถาตาแปลว่าความเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างไรก็คือเป็นตามกฎปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง ฉะนั้นปฏิจจสมุปบาทนี่คือกฎตถาตา แปลว่าความเป็นอย่างนั้น อวิตถตา ไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น อนัญถตา ไม่เป็นโดยประการอื่นนอกไปจากความเป็นอย่างนั้น ธัมมัฎฐิตตาเป็นการตั้งอยู่ตามธรรมชาติโดยกฎของธรรมชาติหรือตามธรรมดา ธัมมนิยามตาเป็นกฎตายตัวของธรรมดา เรียก เรียก เรียกโดยตรงก็เรียกว่ากฎของปฏิจจสมุปบาท นี่เราต้องเรียนกฏนี้ให้เข้าใจเพียงพอ สำหรับจะบังคับจิตหรือบังคับตนให้ได้หรือบังคับกิเลสให้ได้ จะเป็นการตัดต้นเหตุทันแก่เวลา ทีนี้ผมอยากจะขอร้องให้ทุกคนเข้าใจกฎปฏิจจสมุปบาท ซึ่งมีความสำคัญจนพระพุทธเจ้าท่านทรงเอานำ ทรงนำเอามาใช้คำว่าอะไรดีล่ะ ท่อง เล่น หรือเหมือนกับคนเขาชอบพึมพำฮึมฮัมอะไรเล่นที่เขาชอบเป็นเพลงเป็นอะไรก็ตาม หรือว่านักเรียนต้องท่องสูตรคูณก็ตามเพราะมันมีความจำเป็นอย่างไร นี่พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงนำมาทำอย่างนี้สำหรับตัวกฎอันนี้ คือมีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งทรงประทับพักผ่อนอยู่พระองค์เดียว ท่านก็เอ่ยบทอันนี้ขึ้นมาตามสูตรที่ปรากฎอยู่ในพระบาลีว่า จกฺขุญฺจ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ ติณฺณํ ธมฺมานํ สงฺคติ ผสฺโส ผสฺสปจฺจยา เวทนา เวทนาปจฺจยา ตณฺหา ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ อุปาทานปจฺจยา ภโว ภวปจฺจยา ชาติ ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสาปิ ทุกฺขา เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส(นาที 30.41.8) สมุทโย โหติ
นี้เป็นเรื่องตา แล้วท่านก็พูดเรื่อง ท่องบท เรื่องหู เรื่องจมูก เรื่องลิ้น เรื่องผิวหนัง เรื่องจิตใจ ครบทั้งหกน่ะ ทีนี้เผอิญท่านเหลียวไปข้างหลังเห็นภิกษุองค์หนึ่งมายืนแอบฟังอยู่ โดยท่านไม่รู้สึก เอ้า ท่านจับอ้าว อ้าว อ้าวดีแล้ว แล้วแกอยู่ที่นี่ เอานี่ไป เอา ปุคฺคณฺหาติ ปะริยา กุนันติ(นาทีที่ 31:16) ให้เล่าให้เรียน ให้ท่อง ให้จำ นี้เป็นอาทิพรหมจรรย์ นี่คือกฎปฏิจจสมุปบาทที่สำคัญมากจนถึงกับพระพุทธองค์ก็ทรงนำมาท่อง เป็นต้น นี้มันมีใจความง่าย ๆ พอที่จะเข้าใจได้ คุณจะต้องทำในใจไปถึงของจริงแถมเรื่องหมวดที่ว่าด้วยด้วยตา จกฺขุญฺจ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ เมื่อตานี่ ตานี่ด้วย แล้วก็รูปนั่นด้วยมาถึงกันเข้าย่อมเกิดจักษุวิญญาณ คือการเห็นทางตา ขอทำความเข้าใจต่อเนื่องเสียก่อนบรรยายเป็นตัวหนังสือ เป็นเรื่องจริง ตานี่มันมีระบบประสาทอยู่ในตาของมนุษย์ที่ยังเป็น ๆ มันไม่ใช่เนื้อเฉย ๆ มันมีระบบประสาทสำหรับรู้สึก เป็นที่ตั้งแห่งจิต แห่งมโนธาตุ แต่เราเรียกว่าตา ทีนี้ตาทำหน้าที่ คือ ติดต่อกันกับรูปที่อยู่ข้างนอก เพราะมันมาชนกันอย่างนี้มันกระเด็นออกไปเป็นจักษุวิญญาณ คือ การเห็นทางตา นี่เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ เห็นได้ รู้สึกได้อย่างสันทิฏฐิโกนะ ไม่ใช่ตัวหนังสือที่ท่องออกมานะ ทุกคนต้องเป็นอย่างนั้นนะ เรียกว่าได้ทั้งสามอย่าง ตากับรูป กับจักษุวิญญาณ การเห็นทางตาได้เป็น ๓ ชนิด และยังมีบาลีว่า ติณฺณํ ธมฺมานํ สงฺคติ ผสฺโส การมาถึงกันเข้าแห่งสิ่งทั้ง ๓ นี้ชื่อว่าผัสสะ ตา รูป จักษุวิญญาณ สามประการนี้มาถึงกันเข้า คือ ทำงานร่วมกันนี้เรียกว่าผัสสะ ผัสสะในพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ลุ่น ๆ เพียงว่าตาเห็นรูปแล้วเรียกว่าผัสสะ มันต้องเกิดจักษุวิญญาณด้วยเป็น ๓ ประการก่อนมันถึงกันเข้าจึงจะเรียกว่า ผัสสะ มี ผสฺสปจฺจยา เวทนา เพราะผัสสะที่ว่านี้เป็นต้นเหตุเป็นปัจจัย มันก็เกิดเวทนาที่เขาเรียกว่า Feeling ถ้ารู้สึกประเภท Feeling ขึ้นมาในจิต ถูกใจก็เป็นสุขเวทนา ไม่ถูกใจก็เป็นทุกขเวทนา ที่ยังไม่เป็นอย่างนั้นก็เรียกว่าอทุกขมสุขเวทนา อันนี้แหละตัวร้ายที่จะเกิดกิเลสรู้จักมันไว้ดี ๆ ไอ้เวทนานี่เป็นตัวร้ายของเรื่อง บางทีท่านจะไม่ตรัสถึงย้อนมาถึงข้างต้น ท่านยกเอาเวทนามาเป็นจุดตั้งต้นสำหรับสอนเลยก็มี เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าเวทนานี่ใคร ๆ ทุกคนรู้จัก เพราะเรากระทบกับมันอยู่ทั้งวันตลอดเวลานี่ เวทนาทางตา ทางหู ทางจิต ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เกิดความรักบ้าง ความโกรธบ้าง ความเกลียดบ้าง ความกลัวบ้างตามความรู้สึกที่เป็นเวทนานั้น มันมาจากผัสสะ คือการกระทบของสิ่งทั้งสามนี้ รู้จักเวทนาโดยความเป็นเวทนาให้จริง ๆ เสียก่อนไม่ใช่ตัวหนังสือหรือคำพูดที่จำไว้ พอพูดเวทนาถึงนึกถึงความรู้สึกที่มันเกิดจริงอยู่ในจิต
ทีนี้ เวทนาปจฺจยา ตณฺหา เพราะเวทนานี้เป็นปัจจัย ก็เกิดตัณหาคือความอยากไปตามอำนาจแห่งเวทนานั้น เพราะอำนาจความโง่ของบุคคลนั้นเพราะว่าเกิดความอยากไปตามอำนาจของเวทนานั้น ไอ้สูตรนี้ฟอร์มูล่าอันนี้มันวางไว้สำหรับคนปุถุชน ปุถุชนก็คือคนโง่ ไม่มีปัญญา ไม่มีวิชชา ฉะนั้นปุถุชนเมื่อมีเวทนาแล้วก็ย่อมเกิดตัณหา คือ ความอยากอย่างใดอย่างหนึ่งตามสมควรแก่เวทนานั้นด้วยความโง่ของตน ไม่อยากทิ้งเสียด้วยความโง่ของตนเสมอ เพราะมันไม่มีความฉลาดในเรื่องเวทนา ถ้าเวทนาอร่อยเอร็ดอร่อยสวยงามมันก็รัก ไม่เอร็ดอร่อยสวยงามก็โกรธ น่าเกลียดก็เกลียด น่ากลัวก็กลัว เวทนาให้เกิดตัณหาคือความอยาก ไม่ต้องมีตัวตนที่ไหนเป็นเพียงความรู้สึกแห่งจิต ความรู้สึกแห่งจิตนี่ต้องจำไว้ให้ดี คิดว่ามันไม่มีตัวตนเพราะมันเป็นเพียงความรู้สึกแห่งจิต ฉะนั้นตัณหาเป็นความอยาก เป็นความรู้สึกอยากตามธรรมชาติตามธรรมดาไม่ต้องมีตัวมีตนไม่ต้องมีผี ไม่ต้องมีเทวดาอะไรที่ไหน ตัณหาความอยากก็จะเกิดขึ้นมาได้จากเวทนานั้น ทีนี้เมื่อความรู้สึกที่เป็นความอยากเกิดขึ้นแล้ว ความรู้สึกอันนั้นจะปรุงให้เกิดความรู้สึกถัดไป คือ ความรู้สึกที่เรียกว่าอุปาทาน คือจิตจับฉวยเอาตามตัณหานั้น นี่คือความรู้สึกว่าตัวเรา ของเรา จับฉวยอะไรมาเป็นตัวเราก็อย่างหนึ่งแล้ว จับอะไรมาเป็นของเราก็อย่างหนึ่งแล้ว ไอ้จิตที่รู้สึกว่าสวยว่าต้องการนั้นแหละจับเอาจิตนี้มาเป็นตัวเรา จับเอาเวทนาหรือรสของเวทนานั้นเป็นของเรา ความรู้สึกว่าเราว่าของเราซึ่งเป็นเพียงมายามันก็เกิดขึ้นนี้ก็เรียกว่าอุปาทาน ยึดมั่นในสิ่งใด โดยความเป็นตัวเรา ยึดมั่นในสิ่งใดโดยความเป็นของเรา เพราะอุปาทานมีอย่างนี้แล้วก็เหมือนที่พูดเมื่อวาน ต้องร้อนและเป็นทุกข์ ไม่นิพพาน แล้วมันจึงเกิด เกิด เกิดภพ คือ ความเป็นชนิดใดชนิดหนึ่งขึ้นมาตามรูปแบบของอุปาทานนั้น อุปาทานยึดถือว่าอย่างไร มันก็เป็นภพขึ้นมาตามรูปแบบของอุปาทานนั้น ฉะนั้นอุปาทานนี่มันเหมือนกับว่าจุดตั้งต้นของการมีครรภ์ มีสัตว์อะไรขึ้นในท้องเป็นภพ ครรภ์ในที่นี้คือความรู้สึกทางจิต มีภพคือความเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แล้วมันก็เกิดชาติ ไอ้ความเป็นนั้นมันแสดงออกมาทางรูปธรรม หรือเป็นความรู้สึกอยู่ข้างในที่เกี่ยวกับรูปธรรมข้างนอก ภาษาธรรมดาชาติคือเกิดจากท้องแม่ แต่ในทางนามธรรม ชาตินี่มันเกิดจากภพ ความรู้สึกที่เป็นภพว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ที่มาจากอุปาทานความยึดถือว่าเป็นอย่างไรสืบต่อมาจากตัณหา พอมีชาติทีนี้ก็หมายความว่ามีตัวเราของเรา ชัดเต็มที่ตัวกูของกูเต็ม เต็ม เต็ม เต็มที่ มันยังเป็นอุปาทานเป็นจุดตั้งต้นแห่งตัวกูของกู พอเป็นภพมันก็แก่เข้าแก่เข้า พอเป็นชาติก็ตัวกูของกูเต็มความหมายเต้นเร่า ๆ อยู่ในภายในนี่คือชาติ ที่พูดเมื่อวันก่อนว่า นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้มันหมายถึงไอ้ชาติชนิดนี้ เราจะทำให้มีกี่ร้อยชาติ พันชาติ หมื่นชาติ แสนชาติ จนเบื่อจนระอาแล้วก็มาต้องการนิพพาน ชาตินี้เป็นตัวทุกข์เพราะมันมีความยึดถือว่าตัวตนหรือของตน ไอ้ชาติที่คลอดจากท้องแม่มันเฉย ๆ มันกลาง ๆ ต่อเมื่อมีชาติชนิดนี้เข้าไปสวมรอยอีกทีหนึ่ง ชาติที่เกิดจากท้องแม่มันก็จะมีฤทธิ์มีเดชมีความหมายมีอะไรขึ้นมาจนเป็นทุกข์ ชาติเป็นทุกข์ก็เพราะว่าไปยึดถือไอ้ความหมายที่ว่ากูเกิดขึ้นมาแล้ว เด็ก ๆ ที่ยังไม่รู้จักยึดถือไอ้การเกิดของของตัวเองก็ยังไม่เป็นทุกข์ จนกว่าเด็ก ๆ จะมีความรู้สึกตามนัยยะแห่งปฏิจจสมุปบาทนี้ เด็กนั้นจะเริ่มรู้สึกรู้จักความเป็นทุกข์ ในที่สุดทุกข์ก็เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ตามกรณีนั้น ๆ นี่ก็เรียกว่ากฎอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท เป็นกฎของธรรมชาติเฉียบขาดเหมือนพระเป็นเจ้า ก็รู้เสียสิ ผมขอร้องให้ไปทบทวนใหม่ ไปศึกษาใหม่ที่จดไว้นี่ไม่พอต้องไปทบทวนใหม่ ฟังให้ดีอีกทีทบทวนใหม่ซ้ำว่า ตา แล้วรู้เกิดการสัมพันธ์กันขึ้น ปฏิจจคือมันสัมพันธ์กันขึ้น เมื่อเกิดจักษุวิญญาณได้เป็น ๓ ประการคือตา รูป จักษุวิญญาณ ทั้ง ๓ ประการนี้เนื่องกันก็เกิดผัสสะสัมผัส
ในกรณีของคนธรรมดาสามัญคือปุถุชนนั้น ไม่มีปัญญา ไม่มีความรู้เรื่องเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ของพระอริยเจ้าก็เป็นผัสสะโง่ ผัสสะนี้มันโง่ การสัมผัสสัมผัสลงไปด้วยความโง่ ปราศจากปัญญา ปราศจากสติ ปราศจากคุณธรรมใด ๆ เป็นผัสสะโง่ของปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปต้องเป็นอย่างนั้น ผัสสะโง่อย่างนี้ก็เกิดเวทนาเอามาเป็นเวทนาโง่ เวทนามืด เวทนามายา รู้สึกว่าสุขบ้าง ทุกข์บ้าง อทุกขมสุขบ้าง ไอ้เราที่เป็นคนโง่ก็ถือว่าเป็นความสุขบ้าง ทุกข์บ้าง อทุกขมสุขบ้าง แต่ถ้ามีปัญญาอย่างพระอริยเจ้าผัสสะนั้นมันฉลาด มันก็รู้ว่าไอ้เวทนานี้เป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นแก่ระบบประสาทของเราเท่านั้น ไม่ใช่สุขจริง ทุกข์จริง อทุกขมสุขจริงอะไร เป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นแก่ระบบประสาทของเรา ของสัตว์ทั่วไปที่มันมีระบบประสาท แล้วเราจะไม่ไปหลงรักว่าสุข หลงเกลียดว่าทุกข์ หรือว่าสงสัยสนใจว่าอทุกขมสุขนี่ไม่มันต่างกันอย่างนี้ ทีนี้เราพูดตามกรณีของคนธรรมดาสามัญปุถุชนคนโง่ มันไม่รู้สึกแต่เพียงว่าสักว่าเวทนา เวทนาสักว่าเวทนามันไม่รู้สึกได้ มันรู้สึกเป็นสุขที่น่าปรารถนา เป็นทุกข์ที่น่าเกลียดน่าชัง อทุกขมสุขที่ยังเป็นปัญหาน่าพะวงสงสัยนี่มันรับเอาเวทนาอย่างนี้ นี่มันจะไปจนเป็นทุกข์ แต่ถ้ามารู้ทันเสียด้วยปัญญาว่า โอ้นี้มันสักแต่ว่าเวทนาเป็นของปรุงแต่งตามธรรมชาติธรรมดา ไม่มีค่าเป็นสุขจริงทุกข์จริง อะไรจริง มันไม่เกิดตัณหาสนิท มันหยุดเสียเพียงเท่านั้น มันไม่เกิดตัณหา เมื่อไม่เกิดตัณหาก็ไม่เกิดอุปาทาน ไม่เกิดภพ ไม่เกิดชาติ ไม่เกิดทุกข์ มันหยุดลงเสียแค่เวทนา ทีนี้คนธรรมดาไม่มีไม่มีปัญญาขนาดนี้ ในบาลีท่านใช้คำว่าไม่มีความรู้เรื่องเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ บุคคลนั้นมันจึงสำคัญเวทนาว่าเป็นสุขบ้าง ทุกข์บ้าง อทุกขมสุขบ้าง มันจึงเกิดตัณหา เวทนานั้นทำให้เขารักบ้าง โกรธบ้าง เกลียดบ้าง กลัวบ้าง มันก็เกิดความอยากที่จะเอาตามความรัก เอาตามความโกรธ เอาตามความเกลียด เอาตามความกลัวนี้คือตัณหา ความอยากที่โง่เขลาของบุคคลที่ไม่มีความรู้ นี่อยากให้เอาไปปรับไอ้ความรู้สึกของของเราเองอย่าให้เป็นเรื่องตัวหนังสืออยู่ในพระบาลี ให้เป็นเรื่องของพวกคุณทุกคนว่ามันมีตัณหาอย่างไร เมื่อมีเวทนาแล้ว จับมันให้ได้ว่ามันมีตัณหาอย่างไร แล้วมีภพมีความรู้สึกต่อไป เป็นตัวฉัน ตัวกู ผู้หยาบ ผู้ต้องการดิ้นรนขวนขวาย ทีนี้มันจะทำกรรมทำอะไรต่อไป จนเป็นทุกข์ เต็มไปด้วยความทุกข์ ฉะนั้นทุกข์มันอยู่ปลายสุดเป็นผล เหตุของมันอยู่ที่ตรงไหน พระพุทธเจ้าท่านตรัสเหตุแห่งทุกข์ บางทีก็ตรัสที่ตัณหา บางทีท่านก็ตรัสที่อุปาทาน บทสวดมนต์ของเราว่า สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา พระพุทธภาษิตนี้แสดงอุปาทานว่าเป็นเหตุแห่งทุกข์หรือเป็นตัวทุกข์ บางทีท่านตรัสตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ความอยากที่มาจากเวทนาโง่ อยากได้ อยากเอาอยากเป็นอยากไม่เป็น เป็นทุกข์ ถ้าตรัสรวบยอดท่านระบุไปยังอวิชชาความโง่ อวิชชาความไม่รู้ที่เข้ามาผสมลงไปในผัสสะ ผัสสะด้วยความโง่ ผัสสะด้วยอวิชชานี้ เพราะว่าถ้าผัสสะด้วยวิชชา ด้วยปัญญา มันไม่มีทุกข์ มันไม่เกิดทุกข์ พอผัสสะลงไปด้วยอวิชชามันจึงทุกข์ ดังนั้น ต้นเงื่อนสุดแท้แท้สุดสุดเงื่อนต้นจริง ๆ คืออวิชชานั่นเอง อวิชชาเกิดในผัสสะหรือเข้ามาทำงานร่วมกับผัสสะ อวิชชาสภาพปราศจากความรู้ ถ้าจะใช้คำให้เป็นไอ้ภาษาถูกต้องตามตรรกะ นั่นแปลว่าสภาพที่ปราศจากความรู้ ภาวะที่ปราศจากความรู้ก็ได้ มันก็มาทำงานร่วมกับผัสสะ แล้วก็ผัสสะด้วยความโง่ผัสสะด้วยอวิชชา ผัสสะโง่ให้เกิดเวทนาโง่ เวทนาโง่ให้เกิดความอยากที่โง่ ฉะนั้นมันก็เกิดอุปาทานยึดถือด้วยความโง่ มีภพมีชาติด้วยความโง่ เกิดตัวกูของกูด้วยความโง่ นี่เหตุและผลมันเป็นอยู่อย่างนี้ ถ้าเราสกัดไว้ไม่ได้มันก็ไปถึงความทุกข์ ถ้าเราหยุดเสียได้สกัดเสียได้มันก็หยุดอยู่ตรงนั้นไม่ไปถึงความทุกข์ ขอให้สังเกตดูอีกทีหนึ่งว่าไอ้เหตุผล เหตุผล เหตุผล เหตุผลนี่มันแสดงว่าอันนี้เป็นเหตุให้เป็นผล แล้วผลมันกลับเป็นเหตุให้เป็นผล ผลนั้นกลับเป็นเหตุและเป็นผล ผลนั้นกลับเป็นเหตุและเป็นผลอย่างนี้เรื่อยไป ไม่มีอะไรที่จะเป็นเหตุโดยส่วนเดียวหรือเป็นผลโดยส่วนเดียว ในโลกนี้ก็เหมือนกันแหละ เช่นว่าต้นไม้นี้เป็นผลเกิดมาจากเหตุอะไร แล้วต้นไม้ที่เป็นผลก็จะกลายเป็นเหตุให้เกิดผลอย่างอื่นต่อไปอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด เหตุให้เกิดผล ให้เกิดผลเรื่อยไปจนเหมือนกับลูกโซ่ที่คล้องกันไป ไม่มีสิ่งใดเป็นเหตุโดยส่วนเดียวหรือเป็นผลโดยส่วนเดียวได้ นี่ต้องรู้ไว้ด้วยเป็นเรื่องของสิ่งที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท นี่อย่าไปศึกษาปฏิจจสมุปบาทที่อื่นต้องศึกษาในภายในในความรู้สึกในจิต เช่น ตาให้มันรู้จักตานี่จริง ๆ รูปข้างนอกก็รู้จักรูปจริง ๆ ถึงกันเข้าเกิดจักษุวิญญาณการเห็นทางตา ก็ให้มันเห็นจริงๆ แต่มันเร็วมากมันทำงานเร็วมาก สามอย่างนี้รวมกันเรียกว่าผัสสะ แป๊บเดียวเป็นผัสสะ แป๊บเดียวเป็นเวทนา แป๊บเดียวเป็นตัณหาอุปาทานซึ่งเร็ว จะเรียกว่ายิ่งกว่าหรืออย่างน้อยก็เสมอกับสายฟ้าแลบ ฉะนั้นเราจึงรู้สึกไม่ทัน ไปรู้สึกต่อเมื่อเป็นทุกข์มีความทุกข์เสียแล้ว อย่างที่พูดเมื่อสักครู่นี้ว่ามันไปรู้สึกเมื่อมันจมลงไปถึงคอเสียแล้ว เมื่อเริ่มจมนี้มันไม่รู้สึก เพราะว่าอะไรเพราะว่าไม่มีความรู้นั่นแหละ เพราะไม่มีสติ เพราะไม่มีปัญญา ทีนี้คุณก็ดูเอาเองว่าปฏิจจสมุปบาทนั่นคืออะไร ช่วยออกเสียงให้ถูกนะ ปะติดจะสะหฺมุบบาด อย่าว่าสะมุบปะบาด บาลีมันเป็นสะหฺมุบบาด เพราะมันสะหฺมุบปาด แต่ทีนี้เป็นไทยเราไม่ชอบว่าปาด เราชอบว่าบาด เราก็ต้องออกเสียงว่าปะติดจะสะหฺมุบบาด อย่าเห็นตัวหนังสือมีตัว ป อยู่ในนั้น ก็จะไปออกเสียง ปะติดจะสะหฺมุบปะบาด ก็เลยยุ่ง มีคนออกเสียงอย่างนั้น ปฏิจจสมุปบาทอยู่ที่ไหนใครเข้าใจหรือตอบได้ คืออยู่ในกระแสแห่งการปรุงแต่งภายในจิต เป็นสายไปอย่างนี้จนถึงความทุกข์ ซึ่งเป็นผล แล้วทุกข์แต่ว่าทุกข์นี่เป็นเหตุให้เกิดการกระทำอย่างอื่นต่อไปอีก มันไม่หยุดอยู่แค่นั้น แต่นี่เราเอาเพียงว่าทุกข์นี่เป็นตัวการสำคัญเกิดมาจากเหตุเป็นลำดับ ลำดับ ต้นตอของความทุกข์อยู่ที่ความโง่เมื่อผัสสะ เมื่อมีผัสสะ ก็ต้องขอบอกไว้เสียด้วยนะกันการเข้าใจผิดนะ ว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี่พวกอื่นอธิบายอย่างอื่นไม่เหมือนที่ที่กำลังพูดนี้นะ เราไม่ไปทะเลาะกันแล้ว เรา เรายกให้ว่าอธิบายแบบนั้น เขาเขามุ่งหมายให้มีตัวตน ให้กลัวบาป ให้กลัวกรรม ให้มีตัวตนเวียนว่ายเป็นตัวเป็นตน เป็นปฏิจจสมุปบาทแบบที่ส่งเสริมทางศีลธรรม ส่วนปฏิจจสมุปบาทแบบนี้มันมุ่งไปทางปรมัตถธรรม ไม่ให้ ไม่ให้ ให้หมดตัวตนให้อยู่เหนือบุญเหนือบาป ให้ไม่เป็นทุกข์ ฉะนั้นปฏิจจสมุปบาทนี่อย่างน้อยมีคำอธิบายสองแบบ แบบนั้นเขาข้ามภพ ข้ามชาติ ตายแล้วเข้าโลงแล้วจึงไปมีอะไรต่อไป ส่วนแบบนี้ที่นี่และเดี๋ยวนี้มีได้ครบทั้งสาย และวันหนึ่งมีได้หลาย ๆ สาย เกิดชาติที่หนึ่งก็คือสายหนึ่ง เกิดความรู้สึกว่าตัวกูของกูทีหนึ่งก็เรียกว่าวงหนึ่ง วงหนึ่ง วันหนึ่งหลาย ๆ วง คือ หลาย ๆ ชาติ ฉะนั้นกว่าจะตายมีได้หลายหมื่น หลายแสนชาติ ควรจะเบื่อหน่าย ควรจะหลาบจำแล้วก็ไปหานิพพานทันที ถ้าอธิบายแบบโน้นต้องเข้าโลงแล้ว เข้าโลงอีกหลายหมื่นชาติหลายแสนชาติจึงจะนิพพาน กระผมเห็นว่านานนักทนไม่ไหว ไม่สนใจเลยไม่สนใจแล้วไม่เป็นสันทิฏฐิโกด้วย สันทิฏฐิโกนี่รู้สึกอยู่ในใจตลอดเวลา นี่แหละเป็นปฏิจจสมุปบาทแบบที่พระพุทธเจ้าท่านประสงค์ นี่ผมพูดไปตามบาลีที่พระพุทธเจ้าท่านสั่ง ส่วนคำอธิบายแบบโน้น เขา เขาวาด เขาวางกันขึ้นใหม่ในยุคหนังสือวิสุทธิมรรคพ.ศ.ตั้งพันแล้ว อย่าไป ไม่ต้องพูดถึงแล้วไม่ต้องไปตำหนิติเตียนด้วย เพราะเขาส่ง ส่งเสริมศีลธรรมได้ดีกว่า แต่ถ้าจะหลุดพ้นไปนิพพานกันแล้วต้องอย่างนี้ ต้องไม่มีตัวตนอย่างนี้
ทีนี้คุณก็ดูตลอดสายของปฏิจจสมุปบาทที่ปรุงแต่ง ปรุงแต่ง ปรุงแต่ง ปรุงแต่ง เหตุผล เหตุผล เหตุผลเหตุผล จุดไหนที่ว่ามันเป็นจุดที่ต้องควบคุมให้ทันแก่เวลา และอาจจะควบคุมให้ทันแก่เวลา จุดไหนเดาลองเดาดูบ้าง จุดที่เรียกว่าผัสสะนั่นแหละ กระทบข้างใน กระทบกับข้างนอกเรียกว่าผัสสะ จุดนั้นน่ะเป็นจุดที่ต้องควบคุม ทีนี้ควบคุมด้วยอะไรควบคุมด้วยสติปัญญา ไอ้ผัสสะนั้นมันฉลาด เป็นผัสสะของความฉลาด อย่าให้เป็นผัสสะของความโง่ จึงใช้คำว่าต้องควบคุมด้วยสติและปัญญา ทีนี้จะเอาสติปัญญาไหนมาควบคุม คุณก็ต้องทำมันขึ้น คุณก็ต้องอบรมปัญญา อบรมปัญญา ศึกษาอบรมปัญญา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อะไรก็แล้วแต่ที่มันเป็นเรื่องของปัญญา แล้วคุณก็ต้องอบรมให้มีสติ คือ ระลึกเร็ว ระลึกทันท่วงที ระลึกไว้ได้แม้ล่วงหน้า นี่สติ สติกับปัญญานี้จะเป็นเครื่องควบคุมผัสสะ อย่าให้เป็นผัสสะโง่ ให้เป็นผัสสะฉลาด พออะไรมากระทบก็โอ้มีอะไรมากระทบแล้ว พอเกิดความรู้สึกเวทนาโอ้สักว่าความรู้สึกเท่านั้นหนอ รู้สึกเท่านั้นหนอ ที่เขาสอนเรื่องหนอหนอ ก็เพื่อที่จะควบคุมอันนี้ เจ็บหนอ ไม่เจ็บหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนออะไรอย่างนี้ คือ ฝึกสติให้มันสมบูรณ์ วิธีฝึกอานาปานสตินี้เป็นวิธีฝึกสติ สูงสุดสมบูรณ์ที่สุด ถ้าฝึกนั้นแล้วจะมีสติสมบูรณ์ แล้วมีปัญญาอยู่พร้อมเสร็จในระบบอานาปานสติ ๑๖ ขั้น ฝึกจากสติล้วน ๆ ก็จะเป็นระบบอื่นนะ ถ้าฝึกสติมีปัญญาพร้อมไปเสร็จในตัวก็คืออานาปานสติ ๑๖ ขั้นตามพระบาลี อานาปานสติสูตร อุปริปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย นี่ระบบสมบูรณ์ที่สุดฝึกแล้วจะมีทั้งสติมีทั้งปัญญา เอ้าเราก็มีเครื่องมือสมบูรณ์สติปัญญาเอามาใช้ทำหน้าที่ในขณะแห่งผัสสะ เพราะว่าเราฝึกไว้ดี สติเร็ว ระลึกเร็ว มันมาทันระยะสายฟ้าแลบ จะมีผัสสะ กำลังมีผัสสะ มีผัสสะแล้ว ก็มีสติ แล้วปัญญาก็มีรู้อะไรเป็นอะไร ก็จึงไม่หลงในเวทนานั้นๆ ต้องมีทั้งสติและปัญญา สตินั้นเป็นเครื่องระลึกได้แล้วขนเอาปัญญามา เปรียบเทียบเหมือนอย่างว่าไอ้คลื่นวิทยุ ไอ้คลื่นหนึ่งมันเป็นคลื่นเสียง ไอ้คลื่นหนึ่งมันเป็นคลื่นพาคลื่นนำไป ผมเข้าใจว่าคุณก็เรียนวิทยาศาสตร์มาแล้วคงจะรู้ว่าวิทยุมันมีสอง สองคลื่นทำงานสัมพันธ์กัน คลื่นพาไป แล้วก็คลื่นเสียง คลื่นพาก็พาคลื่นเสียงไปแล้วไปสร้างไอ้ระบบขึ้นมาใหม่ที่ในเครื่องรับ จึงเกิดเป็นเสียงขึ้นมาได้ สติเปรียบเหมือนคลื่นพาพาไป ปัญญาเหมือนกับคลื่นเสียงมันไปด้วยกัน แล้วมันก็ไปแสดงออกเป็นสติปัญญาที่ผัสสะ ไอ้ผัสสะนั้นก็ฉลาดไม่โง่ เกิดเวทนามาก็เวทนาฉลาด โอ้เวทนาสักว่าเวทนา สักว่าความรู้สึกตามระบบประสาท จะมาหลอกมาหลอกให้กูรัก กูโกรธ กูเกลียด ไม่ได้ ไม่ได้ เพราะว่ามันมีปัญญาพอ นี่วิธีตัดต้นเหตุที่ต้นเหตุและก็แก่เวลาซึ่งมันเร็วมาก ควบคุมจิตหรือตนได้ทันแก่เวลาที่ตรงผัสสะนั้นเอง ทีนี้ปุถุชนมันคุมไม่ได้มันทำไม่ได้เพราะมันไม่มีสติปัญญา นี้เราจึงมาอบรมศึกษากันใหม่ให้มีสติปัญญา นี้ให้มันเป็นไปในทางปุถุชนชั้นดีหรือเป็นพระอริยเจ้าไปเลย ปุถุชนแท้ๆไม่มีปัญญา ไม่มีวิชชา ไม่มีสติ ไม่มีสมรรถภาพอะไรที่จะมาหยุดกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท มันก็ต้องเป็นทุกข์ คนปุถุชนธรรมดาสามัญก็ต้องเป็นทุกข์ไปตามสายแห่งปฏิจจสมุปบาท ที่มาศึกษามาอบรมกันจนเป็นปุถุชนชั้นดี เรียกว่ากัลยาณปุถุชนก็ค่อยยังชั่ว แต่ว่ายังไม่ถึงที่สุดต้องเป็นพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าชั้นสูงสุดมันจึงจะควบคุมได้เด็ดขาด เอาแต่เพียงว่าเป็นปุถุชนชั้นดีก่อนเถอะให้มันค่อยยังชั่วหน่อยไม่โง่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ มันควบคุมไว้ได้บ้าง จนกว่าจะเปลี่ยนเป็นพระอริยเจ้าแล้วก็มากขึ้นมากขึ้นจนเป็นพระอรหันต์ คือ พระอริยเจ้าขั้นสูงสุด ที่เราตัดต้นเหตุของความทุกข์ทันเวลาที่ตรงผัสสะ คุณจะต้องมองให้เห็นว่าปัญหาทุกอย่างมันไปรวมอยู่ที่ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัวนั่น อันนั้นเป็นเหตุให้เกิดอันอื่นต่อไปอีกจนเป็นเรื่องยุ่งไปหมด ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัวยกมาสัก ๔ อย่างก็พอที่จะเป็นเครื่องศึกษา มันทำให้เรารักแล้วเราทำไปตามความรัก มันทำให้เราโกรธแล้วก็ทำไปตามความโกรธ ไปศึกษาเรื่องความรักความโกรธเอาเองเถิด โกรธจัดมันก็ฆ่าแม่ฆ่าพ่อก็ได้นะ อย่าว่าแต่มนุษย์ธรรมดาด้วยกัน ความเกลียดนี่มันทรมานที่สุดมันตกนรกเหม็น นรกขุมหนึ่งเขาเรียกว่านรกเหม็นตกไปแล้วก็เหม็น เหมือนกับเมื่อเราเกลียดอะไรอยู่ไม่มีความผาสุข ความเกลียดก็เป็นทุกข์ให้ทนทรมาน ความกลัวก็เป็นทุกข์ยืดเยื้อก็เป็นโรคประสาทเป็นโรคจิตบ้าเลยตายเลย ฉะนั้น ผมยกเอามาเพียง ๔อย่างว่า ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว แล้วมีแตกแขนงเล็ก เล็ก เล็ก เล็กออกไปอีกมากมายนับไม่ไหว แต่ไอ้ตัวใหญ่ ๆ มันก็มีอยู่ ๔ ตัวนี้นี่เป็นปัญหา เราต้องตัดต้นเหตุของมันให้ทันแก่เวลาอย่าให้มันเกิดมาทรมานเรา รัก โกรธ เกลียด กลัว ในที่สุดแต่ว่าจะเรื่องผิว ๆ เรื่องอคติผู้พิพากษากินสินบนก็เรื่องนี้แหละ เรื่องรัก โกรธ เกลียด กลัว มีเรื่องอื่น ๆ ซึ่งไม่ถึงกับเป็นทุกข์มากมายแต่เป็นเหตุให้ทำกรรมชั่ว มันก็เรื่องรัก โกรธ เกลียด กลัว มันก็เป็นปัญหาของมนุษย์ทุกคนในโลกนี้ในทั่วสากลจักรวาล มันเป็นศัตรูของเราไอ้ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัวมันกัดเรามันทรมานเรา เราต้องตัดต้นเหตุของมันให้ทันแก่เวลาแล้วมันก็ไม่เกิดขึ้นมาสำหรับจะทรมานเรา ไม่รู้กี่โมงแล้วนาฬิกาผมตายแล้ว สติถูกต้องสมบูรณ์ทันเวลา นี่แหละเครื่องมือตัดต้นเหตุ สติถูกต้องสมบูรณ์ คือ เพียงพอทันแก่เวลา ถ้าไม่ถูกต้องมันก็แก้ไม่ได้ ไม่มากพอก็แก้ไม่ได้ ไม่มาทันเวลาก็แก้ไม่ได้ ฉะนั้น ฉลาดให้ทันเวลา คือ สติเอาปัญญามาให้ทันเวลา มีปัญญาเพียงพอ สติพามาทันเวลา ที่เป็นชั้นเลิศนะ มีสติปัญญาก่อนเกิดเรื่อง ก่อนที่จะเกิดรักโกรธเกลียดกลัว มันมีสติปัญญามาป้องกันล่วงหน้านี่ชั้นเลิศ ถ้ามาในขณะที่กำลังมีเรื่องกำลังมีเรื่องนี่เป็นชั้นกลาง แต่มาทีหลังก็ยังมีประโยชน์เพราะมันจะได้แก้แก้ไขให้ออกไป แต่ถ้ามาก่อนก่อนเกิดเรื่องแล้ววิเศษ ไม่ต้องเกิดเรื่องไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้ามาเมื่อกำลังเกิดเรื่องมันก็จะได้ควบคุมเรื่อง ถ้ามาทีหลังแล้วก็จะแก้ไขเรื่องที่เกิดอยู่แล้วให้หมดไป ดังนั้น เรื่องของสติปัญญาจึงมีแต่คุณโดยส่วนเดียวโดยส่วนเดียวไม่มีโทษ มีสติก่อนเกิดเรื่อง กำลังเกิดเรื่องและเกิดเรื่องแล้ว ทีนี้เราไม่มีไม่มีสักระยะหนึ่ง ไม่มีสักตอนหนึ่ง เราก็ต้องเป็นไปตามเหตุ สิ่งทั้งหลายมีเหตุนี้คือว่าไอ้สังขารทั้งหลาย สังขารธรรมทั้งหลาย คือ สิ่งธรรมดาทั้งหลายนี้มันมีเหตุ พระพุทธองค์ทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และทรงแสดงความดับแห่งเหตุให้หมดไปไม่มีเหลือ ไอ้ธรรม ธรรมดานี่มันมีเหตุ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุว่ามีมันมีอย่างไร ทรงแสดงธรรมที่ดับเสียซึ่งเหตุนั้น เมื่อเหตุไม่มีไอ้ผลมันก็ไม่มีมันก็ไม่มีเรื่อง ทีนี้เราศึกษาสติปัญญาเพื่อจะตัดต้นเหตุ เราจึงต้องรู้จักตัวเหตุจริง ๆ เมื่อพวกหนึ่งเขาถือว่าพระเจ้าเป็นเหตุพระเจ้าเป็นเหตุ เทวดาข้างบนเป็นเหตุ ผีสางเป็นเหตุ อะไรก็นี่อะไรก็ตามเถอะ พรหมลิขิตเป็นเหตุ นี่เป็นเรื่องเทวดาเขาก็จัดตามกับเทวดา ส่วนเรานี้จัดการกับกฎของธรรมชาติ กฎของพระธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎปฏิจจสมุปบาทที่กำลังกล่าว จะกฎอะไรก็ตามเราเรียกว่ากฎของกฎของพระธรรมธรรมชาติ กฎอริยสัจ ๔ ก็ได้ กฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานี้ก็ได้ กฎเหล่านี้คือกฎของธรรมชาติ ซึ่งเป็นเรื่องจริงของธรรมชาติและไม่ต้องสมมุติให้เป็นบุคคลอะไร เราให้เรารู้ก็แล้วกัน เรารู้เองไม่ได้เราก็รู้ตามพระพุทธเจ้า การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือ รู้กฎเหล่านี้ ท่านทรงนำมาแสดง ทรงนำมาเปิดเผย ทำให้แจ้งแก่คน คนก็ปฏิบัติตามมันก็ดับทุกข์ได้ ทีนี้เรากำลังศึกษาคำสอนของท่านด้วย ให้ธรรมทั้งหลายนี้มันมีเหตุ ความทุกข์หรือปัญหาหรือวิกฤตการณ์อะไรก็ตามมันมีเหตุ ถ้ารู้จักเหตุเราก็ดับเหตุเสีย อย่าให้เป็นทุกข์แก่เรา ถ้าดีกว่านั้นก็อย่าให้เป็นทุกข์แก่เพื่อนมนุษย์ของเรา นี่คือเรื่องที่เราจะต้องรู้ เรียกว่าตัดต้นเหตุให้ทันแก่เวลา ไม่ใช่เรื่องสำหรับเก็บไว้ในพระคัมภีร์ เป็นเรื่องที่ต้องเอามาทำกันที่นี่เดี๋ยวนี้ทุกวันทุกเวลา จงมีสติปัญญาตลอดเวลา รับหน้าวิกฤติการณ์แห่งความทุกข์ทั้งหลาย แต่ถ้าเราไม่มีสติปัญญาไว้อย่างเพียงพอเราไม่สามารถจะตัดต้นเหตุทันแก่เวลา เราต้องมีสติปัญญาเพียงพอถูกต้องรวดเร็วก็ตัดต้นเหตุทันแก่เวลา ฉะนั้น เพื่อจะให้มีเพียงพอรวดเร็วเราก็อุตส่าห์ฝึกฝนอบรม แม้สึกไปแล้วก็พยายามเถิด อบรมให้มีสติยิ่งขึ้น อบรมให้มีปัญญายิ่งขึ้น แล้วมันก็จะมากเพียงพอทันแก่เวลา เรื่องก็จะมีเท่านั้นแหละ ถ้าออกไปนี้ไม่มีสติปัญญา ไม่ประสีประสา ไม่ลืมหูลืมตาต่อเรื่องของสติปัญญา มันก็ตัดต้นเหตุไม่ได้หรอก มันก็ต้องเรียกว่าจมอยู่ในกองทุกข์ต่อสู้กันกับความทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งหมดนี้ต้องเป็นธรรมะจริง รู้สึกจริงๆ ปรากฎในใจจริง ไม่ใช่ธรรมะท่อง เรื่องศีลธรรมเรื่องศาสนาที่เขาจัดให้เล่าให้เรียนกันนั้นมันมักจะเป็นเรื่องธรรมะท่องและธรรมะเก็บไว้ในสมุด มันก็เลยไม่ช่วยช่วยไม่ได้เพราะมันอยู่ในสมุด ความรู้อยู่ในสมุดสุดขัดสน เป็นคำกลอนของสุนทรภู่ลงไปผมก็ลืมแล้วแต่ผมจำได้ตัวมันได้ว่า ไอ้ความรู้ในสมุดสุดขัดสนเหมือนที่คุณจดไว้ในสมุด คุณก็ยังเป็นยากจนเป็นคนจนต่อความรู้มันไม่มาอยู่ในจิตใจ ไม่เป็นสันทิฏฐิโก ไม่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า ความรู้ในสมุดมันยังไม่ใช่ความรู้ของเราต้องเป็นความรู้ที่มาอยู่ในหัวใจของเราจึงจะเป็นความรู้ที่ช่วยเราได้ทันแก่เวลา เราสามารถตัดต้นเหตุได้ทันแก่เวลาโดยไม่ต้องสงสัย ขอร้องในที่สุดว่าไปอุตส่าห์ฝึกฝนอบรมให้มีสติให้เร็ว อย่าทำอะไรโดยปราศจากสติ ที่เขาว่ายกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ นั่นมันฝึกให้ไม่ทำอะไรโดยปราศจากสติ ที่ว่ายกเข้าปากหนอ เคี้ยวหนอ กลืนหนอนี่ให้มันทำอะไรโดยมีสติไม่ขาดตอน นั้นควรจะทำอย่างนั้นให้ได้ อะไรที่เรามักจะขาดสติก็เอาอันนั้นแหละมาฝึก อย่างเมื่อวางของนี่จงวางลงไปด้วยสติ วาง วาง วาง แล้ววางด้วยสติ แล้วมันก็ไม่ลืมหรอก เดี๋ยวนี้มีคนลืมไม่รู้ว่าวางไว้ที่ไหน นี่มันไม่มีสติเอามาก ๆ ทีเดียว เมื่อปิดประตู เมื่อใส่กุญแจ ทำด้วยสติสิ เอ้อมันทำอย่างนี้นะ อย่างนี้นะ อย่างนี้นะ หนอ หนอหนอ หนอ แล้วมันก็ไม่ลืมว่าปิดประตูแล้วหรือยัง มีบางคนไปนอนแล้วเอ้าปิดประตูปิดแล้วหรือยังไม่รู้ ต้องลุกมาดูประตูอีกที นี้มันไม่มีสติในกรณีธรรมดาแท้ๆ มีสติล่วงหน้ามันก็ยิ่งจำเป็นมากเพราะบางเรื่องมันเร็วนัก เราก็ต้องมีล่วงหน้า จะเข้าไปในหมู่ เขาเรียกว่าโคจรที่จะเที่ยวไป ในหมู่วิสภาคารมณ์ ในอะไร ถ้าผู้หญิงก็ต้องผู้ชาย ผู้ชายก็ต้องผู้หญิง ก็ต้องมีสติล่วงหน้า ไม่งั้นกิเลสจะครอบงำจนถึงคอ ไม่รู้สึกนี้มันไม่พอ ถ้าจะเข้าไปในที่ใดไ ปหาบุคคลใด กิจการใด มีสติล่วงหน้า เข้าไปสติล่วงหน้านี้จะป้องกันไม่ให้เกิดเรื่อง แม้เมื่อเข้าไปนั่งอยู่ ทำอยู่ พูดอยู่ คุยอยู่ สนทนาอยู่ เข้าไปก็มีสติตลอดเวลา ถ้ามันเกิดเรื่องผิดพลาดมีสติแก้ไข หรือว่าสุดเรื่องแล้วยังผิดพลาดอยู่อีกก็ยังแก้ไขได้เป็นครั้งสุดท้าย สติล่วงหน้ามีประโยชน์มากกว่าสติเมื่อเกิดเรื่อง หรือเมื่อเกิดเรื่องแล้ว พยายามอบรมสติล่วงหน้า คือ ปัญญาถูกนำมาใช้ล่วงหน้าป้องกัน คนโง่ไม่มีปัญญา ไม่มีสติ แต่เขาก็วางแก้วไว้ที่ขอบหน้าต่าง เดี๋ยวลมพัดมาบานหน้าต่างตีแก้วแตกกระจาย มันโง่หรือมันไม่มีสติล่วงหน้า ถ้าว่าเรามีสติล่วงหน้าเราก็ไม่ทำอย่างนั้นเพราะว่าลมมันจะพัดมาบานหน้าต่างปิดมาตีแก้วกระเด็นไป นี้เรียกว่าสติปัญญามันล่วงหน้า หัดฝึกฝนไว้ให้มาก ๆ เรามันโง่ในส่วนนี้กันมาก ๆ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วก็จะมาบ่น บ่นโทษผีโทษสาง มันบ่นพึมพำอยู่คนเดียว มันไม่รู้ว่านี่ความโง่ของมันจะบ่นเอาใคร บ่นโชคร้ายบ้าง บ่นลางร้ายบ้าง บ่นอะไรบ้าง มันความโง่ของมันแท้ ๆ ไม่มีสติไม่มีปัญญามันตัดต้นเหตุอะไรไม่ได้ สรุปแล้วเราจงมีสติมีปัญญาป้องกันเหตุล่วงหน้า ตัดต้นเหตุไว้ล่วงหน้า เมื่อเกิดแล้วก็ยังนั่นได้ เกิดแล้วก็ยังแก้ไขได้ถ้ามีสติและปัญญามันไม่ถลำลึกจนแก้ไขไม่ได้ มันมีสติ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นสิ่งจำเป็นในทุกกรณี ทำไมไม่ตรัสว่าปัญญาจำเป็นในทุกกรณี ปัญญาดับทุกข์ได้นะ แต่ไปตรัสว่าสติจำเป็นในทุกกรณี เพราะเหตุอะไร เพราะเป็นเครื่องพาปัญญามา ถ้าปัญญาไม่ถูกสติพามามันก็แก้ไขอะไรไม่ได้ หรือถ้าพูดให้จริงกว่านั้นอีกในสตินั้นมีปัญญารวมอยู่ด้วยเสมอ ฝึกสติปัฏฐาน ฝึกอานาปานสติ นี้มันฝึกปัญญารวมอยู่ด้วยเสมอ เพราะในคำว่าสติที่สมบูรณ์แบบสมบูรณ์ด้วยความหมายและมีปัญญารวมอยู่ด้วยเสมอ พระองค์ยังตรัสว่า สติสัพพัฏฐปรัชญาสติเป็นสิ่งที่จำปรารถนา คือต้องมีในทุกกรณี สัพพัฏฐ แปลว่าในทุกที่ ทุกเวลา ทุกกรณี ทุกทุกอะไร สติต้องใช้ในทุกกรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีแห่งการตัดต้นเหตุให้ทันแก่เวลา นี่เป็นหัวข้อของการบรรยายในวันนี้ นาฬิกาของคุณเท่าไรแล้ว ของผมตายแล้ว
(เสียงผู้ชายตอบ) สิบเอ็ดโมงห้านาที
(เสียงท่านพุทธทาส) สิบเอ็ดโมงแล้ว มันมากไปแล้วสิ นาฬิกายังทะเลาะกัน ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ ปิดประชุม นาฬิกาข้างๆ ผมมันตาย ตายง่ายตาย เงียบเลย