แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธทาสภิกขุ : เอ้า, พร้อมก็มี เอาสิ ใครมีปัญหาเอาเลย
ผู้ถาม : ส่วนใหญ่พวกผมก็มีปัญหาครับ แต่นึกปัญหาไม่ออก ที่นี้ผมคิดว่าปัญหาที่ส่วนใหญ่อยากจะรู้กัน คือเรารู้จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติหรือการฝึกธรรมะ แต่ยังไม่ได้ทราบขั้นตอนของการฝึกว่าควรจะเริ่มต้นด้วยอย่างไรดี หมายความว่าอยากจะเรียนรู้ธรรมะตั้งแต่ขั้น basic หรือขั้นเริ่มต้นไปเรื่อยๆ ให้ตามลำดับขั้น ทีนี้ก็อยากจะให้อาจารย์ช่วยอธิบายตั้งแต่ขั้นปฏิบัติตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ หรือเริ่มต้น ไปจนถึงขั้นปฏิบัติที่สูงขึ้น อยากทราบแค่นี้ครับ
พุทธทาสภิกขุ : คือว่าทั้งหมดของระบบแห่งการปฏิบัติตั้งแต่ต้นจนปลาย ไม่ว่าจะฝึกฝนหรือปฏิบัติกันอย่างไร ก็นับว่าเป็นปัญหาที่เหมาะสมอยู่ คือเป็นปัญหาที่ควรจะเป็นปัญหา เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่แน่ว่าสำหรับการเป็นอยู่อย่างพระหรือว่าการเป็นอยู่อย่างฆราวาส และที่จริงโดยใจความ โดยหลักส่วนลึกแล้วก็ไม่ค่อยแตก ไม่ค่อยแตกต่างอะไรกัน มันควรจะแยกให้เป็น ๓ ส่วน ๓ เสี้ยว คือว่าในฐานะที่เป็นมนุษย์ไม่ต้องคำนึงว่าเป็นฆราวาสหรือเป็นบรรพชิต เอาแต่ว่ามันเป็นมนุษย์ก็แล้วกัน มันจะต้องมีระบบทั้งหมด การปฏิบัติแต่ต้นจนปลายกันอย่างไร แล้วทีนี้ถ้าว่าเป็นพระมันจะมีระบบเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างหรือไม่เมื่อไปเปรียบเทียบกันกับฆราวาส ที่คุณถามเมื่อครู่ดูเหมือนจะเล็งถึงเมื่ออยู่เป็นพระ ในระหว่างที่อยู่เป็นพระ จะปฏิบัติกันอย่างไร ปัญหามันคาบเกี่ยวกันอยู่ มันเลยดูยุ่งๆ อยู่ และผมก็เคยบอกมาแล้วคราวหนึ่งว่า มันไม่ควรจะทำให้ผิดแปลกแตกต่างกันไประหว่างพระกับคฤหัสถ์ ควรจะมีหลักเกณฑ์เดียวๆ กันเพื่อจะดับทุกข์ เพื่อจะควบคุมความทุกข์ไม่ให้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน จนกลายเป็นมันไม่เกิดขึ้นโดยเด็ดขาดไปเลย ทั้งหมดนั้นมันคือตัวพรหมจรรย์ทั้งหมดหรือตัวการปฏิบัติในศาสนาทั้งหมด มันแตกต่างกันอยู่แต่เพียงว่า ฆราวาสไม่สะดวกที่จะปฏิบัติ อย่างในบาลีก็มีพูดถึงข้อนี้ประโยคนี้ชัดมากว่า คนนั้นเมื่อได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วก็รู้สึกว่า ระบบอย่างนี้อยู่เป็นฆราวาสจะปฏิบัติให้ครบถ้วนบริสุทธิ์ถูกต้อง ไม่ได้ ฉะนั้นเราจะต้องบวชเพื่อเป็นโอกาสให้ปฏิบัติได้ครบถ้วนเพราะมันอำนวย ชีวิตบรรพชิตนี่อำนวยให้การปฏิบัตินั้นเป็นไปโดยสะดวก โดยง่าย ลุล่วงโดยเร็ว แล้วยังเคยเปรียบให้ฟังง่ายๆ ว่าเหมือนกับการเดินทาง พระมันเดินตัวเปล่า มันก็เดินเบา ปลิว สบายไป ฆราวาสนี่มันเหมือนกับว่าหาบบ้านหาบเรือน หาบอะไรไปทั้งหมดเลยด้วย หาบบ้านเรือนไปด้วย มันจะเดินเร็ว ตัวเบาปลิวไม่ได้ มันก็ไปงุ่มง่ามๆ ไป แต่อย่าลืมว่ามีทางเดียวเท่านั้นน่ะ ฆราวาสก็ดี บรรพชิตก็ดี มันไปทางนั้นทางเดียวเท่านั้นที่จะดับทุกข์ได้ ไม่ใช่ว่าจะแยกกันคนละทาง
นี่ถ้าเราเข้าใจหลักใหญ่ๆ อันนี้ของธรรมชาติน่ะว่ามันมีทางเดียว บรรพชิตก็เดินไปได้เร็ว สะดวก ในการประพฤติปฏิบัติ มันสะดวก มันไปได้เร็ว ถ้าเป็นฆราวาสจะปฏิบัติอย่างนั้นมันติดนั่น ติดนี่ ติดโน่น ติดกันจนไปได้ยาก คนเขาถึงได้ออกบวช ทีนี้ปัญหามันเกิดขึ้นเฉพาะกรณีของเราว่า เรามันไม่ได้ต้องการจะออกบวช ไม่ได้ออกบวชเพื่อต้องการจะไปที่ปลายทาง มันออกบวชเพียงมาศึกษาให้รู้วี่แวว ร่องรอย แล้วก็กลับไปเป็นคฤหัสถ์ ไปมีการเดินทางชนิดที่อย่างคฤหัสถ์ เหมือนกับหาบบ้านหาบเรือนต่อไปอีก นี่แหละคุณก็ไปวินิจฉัยตัดสินเอาเองว่ามัน มันจะเป็นอย่างไร หรือเอาแต่เพียงว่า บวชนี่มาศึกษาอย่างผู้บวช ให้เข้าใจหลักเกณฑ์ แนวทางอะไรดี แล้วกลับไปเป็นฆราวาสหาบบ้านหาบเรือน เดินทาง ดีกว่าที่ไม่เคยบวชเสียเลย มันก็มีหวังเหมือนกันที่จะเป็นอย่างนั้นได้ คือมันจะดีกว่าที่ไม่ได้บวชเสียเลย นี่ข้อเท็จจริงมันมีอยู่ในส่วนลึกอย่างนี้ แล้วเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ในที่สุดก็เอาเป็นว่า มันต้องอย่างนี้ มาบวชชั่วขณะแล้วก็กลับไปเดินทาง ดำเนินชีวิตอย่างแบบคฤหัสถ์กันอีก ถ้าว่ามันเป็นจริงอย่างนี้นะ ก็ มันก็อย่างนี้แหละ แต่ถ้ามันไม่จริงอย่างผมว่า คือฆราวาสเขาสามารถจะ..... (นาทีที่ 10.25) ให้เร็วได้ ไม่แพ้พระอย่างนี้ หลักมันก็เปลี่ยน ในหลักการมันก็เปลี่ยน ถ้าฆราวาสสามารถจะทำให้เร็วได้ แต่มันก็มีข้อที่ทำให้นึกถึงได้อยู่เหมือนกัน คือว่าฆราวาสบางคนไปเฝ้าพระพุทธเจ้า สนทนากันพักเดียวกลายเป็นบรรลุมรรคผลไปเลย นี่มัน มันมีอะไรยกเว้น เป็นฆราวาสอยู่ที่บ้านหยกๆ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า สนทนากันพักเดียวบรรลุมรรคผลไปเลย ถึงกับเป็นพระอรหันต์ก็ดูเหมือนจะมี ในบาลีนะ แต่ถ้าในอรรถกถาแล้วเยอะไปหมดเลย ฆราวาสแบบนี้ไปเป็นพระอรหันต์ตรงหน้าพระพุทธเจ้าอย่างนี้ก็มีมาก ถ้าในอรรถกถา เรื่องราวในอรรถกถา
ฉะนั้นเราจะถือเอาประโยชน์ ก็ศึกษาไว้เป็นทุนสำรองเพื่อไปเป็นฆราวาสแบบนี้กันหรือเปล่า คือฆราวาสที่ปุบปับๆ ก็บรรลุมรรคผลไปได้ ไม่ใช่ฆราวาสที่หาบเรือน หาบบ้านหาบเรือนเดินทาง เรื่องนี้อธิบายยาก ที่เขาเป็นฆราวาสแบบฆราวาสแล้วไปเฝ้าพระพุทธเจ้า สนทนากันไม่กี่คำ เป็นพระอรหันต์ไปก็มี ที่ไม่ถึงกับเป็นพระอรหันต์นั้นก็มากแหละ ดังนั้นมันจะต้องพิจารณาดูให้ดีว่า มันจะมีอยู่ ๒ ประเภท ประเภทที่ไปตามแบบฉบับ มีเรื่องมาก ก็เรียกว่ามีบริกรรมมาก มีข้อที่ต้องทำมันมาก แล้วมันก็ช้า อืด ไปตามแบบของมัน นี่ก็พวกหนึ่ง ทีนี้อีกพวกหนึ่งมันมีแบบฟ้าแลบ อย่างที่พวกเซน นิกายเซน เขาอวดอ้างกันนัก ว่าไปทำกันพักเดียวก็บรรลุมรรคผลได้กับพระอาจารย์ที่สามารถ นิกายเซนนี่มันไม่กล้าอ้างพระพุทธเจ้า หรอก เพราะมันเกิดทีหลัง พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว ไม่กล้าอ้างว่าฟังจากพระพุทธเจ้า ๒-๓ คำบรรลุแล้ว แต่เขาก็มีการฟังทำการกันกับพระอาจารย์โดยเฉพาะ ไม่กี่มื้อกี่คราว ไม่กี่วันก็ได้ แล้วมันก็บรรลุโพล่งพล่างออกไป แค่นี้มันก็มี แล้วก็เป็นฆราวาสมากเสียด้วย พวกที่บรรลุแบบนี้
ทีนี้เราจะเอากันอย่างไร จะวางหลักเกณฑ์อย่างไรเพื่อมันแน่ลงไปว่า ระหว่างที่บวชอยู่นี้จะต้องมีขอบเขตของการปฏิบัติ มีระบอบอย่างไร เท่าไร แล้วเก็บติดตัวเอาไปบ้าน ไปปฏิบัติอยู่ในระบอบอย่างไรอีกแหละ ซึ่งมันจะบรรลุแบบสายฟ้าแลบได้ หรือว่าจะไปอืดอาด, อืดอาด, อืดอาด ไปตามแบบธรรมดาสามัญก็ได้ แต่สำหรับความเห็นของผมนั้นเห็นว่าไม่ไหว ไอ้อืดอาดนี่ไม่ไหว หรือว่าจะมีโอกาส แสวงหาโอกาสบรรลุแบบสายฟ้าแลบ แบบเซนกัน ก็ดูจะหายากเต็มที โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ ในเมืองไทยปัจจุบันนี้ ดังนั้นจึงตัดบท โดยตัดลัดไปหาหลักเอาเองใหม่ว่า ทำอย่างไรเราจะออกไปอยู่เป็นฆราวาสที่มีความทุกข์น้อยที่สุดหรือยากที่จะมีความทุกข์ หมายความว่าสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ที่มันจะทำให้เป็นทุกข์ได้ดี เราก็เป็นฆราวาสที่มีทุกข์น้อยและให้มันเป็นไปเองตามธรรมชาติ ควบคุมไม่ให้เกิดความทุกข์ได้ทีหนึ่ง มันก็เก่งขึ้นทีหนึ่ง เหมือนกับว่าสร้างบารมีได้หน่วยหนึ่ง แล้วควบคุมได้ทีหนึ่งก็เพิ่มอีกหน่วยหนึ่ง เพิ่ม, เพิ่ม, เพิ่ม, เพิ่ม ไปจนถึงขีดสุด คือความทุกข์ไม่อาจจะเกิดอีก ไม่ต้องควบคุมกันอีก นี่เราก็เป็นคนมี มีอะไรดีล่ะ คือว่าไม่มีทุกข์ จะเรียกว่ามีความสุขก็ได้ ถ้าจะเป็นอย่างนี้ มันต้องมีความรู้เรื่องควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ที่เพียงพอ ที่รวดเร็วเมื่อเป็นฆราวาส ทีนี้จะมีความสามารถควบคุมมันว่องไว รวดเร็ว เต็มที่ ได้อย่างไร มันก็ฝึกกันเสียแต่เมื่อเป็นพระ ถ้าจะเอาหลักนี้กันแล้ว ก็พยายามฝึกฝนควบคุมความรู้สึกในภายในที่มันจะเกิดขึ้นจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางจิตใจเอง เป็น ๖ ทาง ถ้าเมื่ออยู่เป็นพระเราฝึกแต่อย่างนี้นะ ฝึกการควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ด้วยสติ ได้เป็นที่พอใจ คือไม่เกิดความทุกข์คือไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดกิเลสก็ไม่เกิดความทุกข์ พูดภาษา ภาษาอะไร ภาษาเทคนิค หรือภาษาวิทยาศาสตร์ของฝ่ายพุทธหน่อย ก็ต้องพูดว่า เราควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทได้ ระหว่างที่บวชอยู่นี่เราฝึกจนควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทได้ กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทนี่มันตั้งต้นที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็เป็นกระแสไหลๆ ไปตามลำดับ จนกระทั่งไปจบลงที่ความทุกข์ นี่ก็เรียกว่า กระแสปฏิจจสมุปบาท คุณก็สวดก็ท่องอยู่แล้ว คงจะจำได้กันทุกคน นี่ฝึกให้ดีที่สุดจนมองเห็นชัดอยู่ว่าเราควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาทได้ ไม่ ไม่เต็มที่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็ต้องได้หลายเปอร์เซ็นต์แหละ แล้วมันก็จะมากขึ้นๆ นี่แปลว่าเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาทดีจนควบคุมได้ แล้วออกไปเป็นฆราวาส ก็ทำอย่างเดียวกันอีกแหละ เพราะว่าในการเป็นอยู่อย่างฆราวาสนั้น ไอ้เรื่องที่จะมาทำให้เกิดกระแสปฏิจจสมุปบาทนั้น มันยิ่งมีมากกว่า เร็วกว่า รุนแรงกว่าเมื่อเป็นพระเสียอีก เมื่ออยู่วัดนี่โอกาสอย่างนั้นมันมีน้อย เมื่อออกไปเป็นฆราวาสมันจะมีมาก คือสิ่งที่จะมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ แล้วปรุงเป็นปฏิจจสมุปบาทจนเป็นทุกข์ มันยิ่งจะมีมาก ไหนมีเรื่องของตัวเอง ไหนมีเรื่องของครอบครัว ไหนมีเรื่องของผู้บังคับบัญชา แม้แต่ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชามันก็ไม่หยอก มันจะทำให้เกิดเรื่องทุกข์ทนหม่นหมอง เรื่องกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทนี่ได้มากเหมือนกัน ทั้งผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งผู้บังคับบัญชาที่อยู่เหนือ ถ้าเราไปทำงานในโลกนี้มันเป็นอย่างนี้ เมื่อมีครอบครัวนี่ก็ไม่ใช่เล่น แล้วตัวเอง มีเรื่องของตัวเองอีก ฉะนั้นก็หวังได้อยู่ว่าถ้าเป็นนักเลงจริง เป็นนักเลงธรรมะจริงๆ รู้ธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ ได้อย่างพอตัว เรียกว่านักเลง นั่นแหละมันก็จะควบคุมกันไปได้ ถูไถกันไปได้ แล้วความทุกข์ก็จะน้อย น้อยกว่าที่ควบคุมไม่ได้มากมายทีเดียว
นี่เรื่องมันมีอยู่อย่างนี้ สรุปความว่ามันสำคัญอยู่ที่ควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้เกิดกระแสปฏิจจสมุปบาทดำเนินไปจนเป็นทุกข์ ไปศึกษาให้ดี ผมชอบใช้คำสั้นๆ สรุปคำสั้นๆ คือว่าไม่ได้ตั้งขึ้นเองหรอก ก็ไปเอาคำของพระพุทธเจ้าที่มีอยู่แล้วอย่างสั้นๆ นั่นแหละมา มาใช้แล้วมันแปลกหู คนเขาไม่เคยได้ยินเพราะมันซ่อนเงียบอยู่ในพระไตรปิฎก พอเรามาพูด คนเขาไม่เคยได้ยิน ก็แปลกหู เขาคิดว่าเราหลอกลวงเขา ตั้งเอาเอง พูดเอาเอง อะไรเอาเอง นี่ปฏิจจสมุปบาทบาลีตามที่สวดอยู่ทุกวันนั้นมันก็มี ว่าแต่ละอัน ละอันนี้มันเป็น ตถตา, อวิตถตา, อนัญญถตา, ธัมมฐิตตา, ธัมมนิยามตา, อิทัปปัจจยตา ถ้าคุณเข้าใจคำเหล่านี้หมด ก็จะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งสรุปความสั้นๆ ได้ว่า มันอย่างนั้นเอง, มันอย่างนั้นเอง มีการกระทบทางตา เกิดวิญญาณทางตา ทำงานร่วมกันเรียกว่า ผัสสะ ตากับรูป กับวิญญาณทางตา ทำงานร่วมกันเรียกว่าผัสสะ เพราะมีผัสสะก็มีเวทนา เพราะมีเวทนาก็มีตัณหา มีตัณหาก็มีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานก็มีภพ เพราะมีภพก็มีชาติ เพราะมีชาติ ก็มีชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขโทมนัส อุปายาส มันมีเท่านี้ ปัญหาเกี่ยวกับความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความทุกข์โทมนัส สรุปความแล้วไม่ได้ตามที่ต้องการก็เป็นทุกข์ นี่เราควบคุมอย่าให้กระแสแห่งอวิชชา กระแสแห่งความโง่มันดำเนินไปจนถึงอย่างนั้น เมื่อมีการกระทบทางตา ทางหู เป็นต้น แล้วมันก็มีสติควบคุม ต่อต้าน ระงับเสีย ด้วยหลักของปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง รวมเป็น สักว่าอย่างนั้นหนอ เท่านั้นหนอ ตามกฎของธรรมชาติเท่านั้นหนอ เมื่อมีอะไรมากระทบ มีผัสสะ มีเวทนา แล้วก็รู้สึกทันควันว่า โอ้, นี้มันสักว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นแก่ระบบประสาทตามธรรมชาติอย่างนี้เองเท่านั้นหนอ นี่คำนี้จำให้ดีเถอะ ฉะนั้นต้องการสติที่มาก ที่จริง ที่รุนแรง ถ้าไม่มากไม่พอหรอก สติไม่พอแล้วมัน มันจะระลึกอย่างนี้ไม่ได้ ระลึกได้ไม่ทันควัน ไม่ทันที่อะไรมากระทบ เราก็ฝึกหัดสติให้เร็ว ให้มากพอสำหรับจะรู้สึกว่า มันเป็นสักว่าตามธรรมชาติอย่างนั้นเองเท่านั้นหนอ มันก็ไม่เกิดเวทนาที่หลอกให้เกิดตัณหา มันก็ไม่เกิดตัณหา มันก็ไม่มีปัญหา มันก็ไม่มีความทุกข์ คนมองเห็นชัดในสิ่งที่มากระทบนั้นจนไม่เกิดอวิชชาขึ้นในขณะนั้น คือไม่เกิดความรู้ผิดๆ เห็นผิดๆ เข้าใจผิดๆ ขึ้นในขณะนั้น คืออวิชชาไม่เกิด นี่เรียกว่าอวิชชาไม่เกิด มันรู้สิ่งเหล่านั้นตามที่เป็นจริง เวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา ความรู้สึกตามธรรมชาติเท่านั้นหนอ อย่างนี้ตัณหาจากเวทนานั้นไม่เกิด หรือเวทนานั้นไม่ทำให้เกิดตัณหาได้ ฉะนั้นมันก็จะสะดุดหยุดลงที่ตรงนี้ เมื่อตัณหาไม่เกิดหรือดับ เรียกว่าดับนี่ อุปาทานก็ไม่เกิด ภพก็ไม่เกิด ชาติก็ไม่เกิด ทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่เกิด
นี่หัวใจของมัน หัวใจของทั้งหมด ทั้งหมดของพุทธศาสนามันมีเท่านี้ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ธรรมะน่ะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เรื่องมันจบเท่านี้ ทั้งพระศาสนามารวมอยู่ที่คำว่าธรรม ก็คือเห็นปฏิจจสมุปบาท ก็คือเห็นอย่างที่ว่านี้แหละ ไม่ใช่เห็นท่องในหนังสือ หรือว่าบทท่อง บทเรียน มันเห็นชัดอยู่ว่า อายตนะภายนอก เช่น ตา เอ้อ, ภายใน เช่น ตา กระทบอายตนะภายนอก เช่น รูป แล้วเกิดวิญญาณขึ้นมา ถ้าเห็นด้วยความรู้สึก รู้สึกด้วยความรู้สึกทุกวันเลย เห็นทั้ง ๓ อย่างนี้มาร่วมกันเมื่อไรเราเรียกว่าผัสสะ คือตากับรูปกับจักษุวิญญาณ ๓ ประการนี้มาเข้าชุดทำงานร่วมกันเมื่อไรเรียกว่าผัสสะ เมื่อมีผัสสะ มันก็มีทางที่จะแยกกันว่าโง่หรือไม่โง่ในขณะนั้น ถ้าขณะนั้นโง่ คือมีอวิชชา มันก็ผัสสะลงไปด้วยความโง่หรืออวิชชา มันก็ให้เกิดเวทนาอย่างโง่ เวทนาอย่างที่จะหลอกไอ้คนนั้นให้รู้ว่า นี้อร่อย นี้สวย นี้ไม่อร่อย นี้ไม่สวย นี้สุขเวทนา นี้ทุกขเวทนา นั่นน่ะมันจะเกิดตัณหาต่อไป เดี๋ยวนี้ถ้ามันมีวิชา มีปัญญา คือไม่โง่ในขณะที่กระทบผัสสะ ผัสสะนั้นมันก็คลอดเวทนาออกมาอย่างเป็นเวทนาไม่โง่ เวทนาไม่โง่นั่นคือ ไม่, ไม่, ไม่ คือมันไม่มาหลอกให้เราหลงว่าสุขหรือทุกข์ อร่อย ไม่อร่อย สวย ไม่สวย หอม ไม่หอม นี่มันไม่มี มันมีเวทนาที่แสดงตัวขึ้นมาว่า โอ้, มันสักว่าความรู้สึกแก่ระบบประสาทตามธรรมชาติเท่านั้นหนอ อย่างคุณฉันอาหาร เคี้ยวเข้าไปอร่อย แล้วคุณว่าอร่อยโว้ย อร่อยแก่ใจโว้ย นี่มันก็คือผัสสะโง่ เวทนาโง่นั่นแหละ ฉันเคี้ยวอร่อยอยู่ โอ้, นี่มันความรู้สึกตามธรรมชาติปรากฏแก่ระบบประสาทเท่านั้นหนอ นี่คือผัสสะฉลาด เวทนาฉลาด ถ้ามันเกิดมาในฝ่ายฉลาดแล้ว มันไม่เกิดตัณหา แล้วไม่เกิดอุปาทาน ไม่เกิดทุกข์ มันหยุดเสียแค่ แค่เวทนา แค่ตัณหานั้นเอง มีเท่านี้ นอกนั้นเป็นเรื่องประกอบ เรื่องมีศีลก็เพื่อให้อยู่อย่างปกติ เพื่อจะปฏิบัติข้อนี้ได้โดยง่าย ที่มีสมาธิก็เพื่อจิตใจเข้มแข็งเพื่อจะเข้าถึงอันนี้ได้โดยง่าย ที่ว่ามีปัญญาก็คือรอบรู้ในสิ่งเหล่านี้ และเมื่อรู้อยู่อย่างนี้แล้วนั่นคือ ศีล สมาธิ ปัญญา อยู่แล้ว ควบคุมผัสสะ ควบคุมเวทนา ได้อย่างนี้ นั่นคือตัวศีลที่แท้จริง ตัวสมาธิที่แท้จริง ตัวปัญญาหรือวิปัสสนาที่แท้จริงอยู่แล้ว มันก็ดับตัณหาเสียได้ ไม่เกิดเวทนาโง่ที่จะทำให้เกิดตัณหา ก็เรียกว่าไม่เกิดตัณหาหรือตัณหาดับ มันก็คือการได้รับผลแห่งพรหมจรรย์ ผลแห่งพระศาสนา คือไม่ทุกข์ ไม่มีความทุกข์ ถ้ามันรุนแรงมาก แล้วเป็นความดับทุกข์ที่รุนแรงมาก ก็เรียกว่าบรรลุมรรคผล ถ้าถึงที่สุดก็เรียกว่าชั้นพระอรหันต์กันเลย ถ้าไม่ถึงที่สุด ก็รองๆ ลงมา
ฉะนั้นเราอยู่ด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติสัมปชัญญะ สำหรับจะรู้สึกเมื่อมีอะไรมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นต้น แล้วมันเกิดความรู้อย่างถูกต้องขึ้นมาทันควัน ทันที ว่า โอ้ย, ความรู้สึกนี้ ความรู้สึกตามธรรมชาติแก่ระบบประสาทตามธรรมชาติเท่านั้นหนอ จะไม่ไปหลงรักหรือหลงเกลียดมัน แล้วก็วินิจฉัยลงไปด้วยจิตที่เป็นอิสระนั้นแหละว่า เราจะต้องทำอย่างไรกับมัน รายนี้ กรณีนี้ที่มาทำอย่างนี้ ได้เห็นอย่างนี้ ได้ยินอย่างนี้ ได้อะไรอย่างนี้ เราจะต้องทำอะไรหรือไม่ ถ้าเราต้องทำหรือควรทำอันไหน ก็ทำ ทำให้มันถูกต้องเรื่อง ถ้ามันไม่ต้องทำ เราก็ไม่รู้ไม่ชี้ เลิกกัน จนกว่ามันจะมีอันอื่นมาใหม่อีก มากระทบ มาเป็นปัญหาอีก ก็ควบคุมตัดสินกันไปโดยวิธีเดียวกันอีก ให้มันถูกต้องทุกที ถูกต้องคือไม่ก่อให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา ฉะนั้นก็เป็นไปได้ ชีวิตนี้ก็เป็นไปได้ เมื่อต้องการอะไร ปรารถนาอะไร มันก็เป็นไปได้ตามที่ควรจะปรารถนา คือเราไม่มีความทุกข์นี่อย่างหนึ่ง เรามีชีวิตอยู่อย่างเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นอีกอย่างหนึ่ง พอแล้ว ต้องการเกินกว่านั้นก็บ้าแล้ว ผมกล้าพูดอย่างนี้ ไม่ว่าใครสักคน ตัวเองไม่ต้องมีความทุกข์นี่ข้อหนึ่ง แล้วความมีอยู่แห่งตัวเองนั้นเป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์รอบด้านนั่นก็พอแล้ว, พอแล้ว ต้องการเกินกว่านั้นก็คือมันบ้าแล้ว
ทีนี้จะมีชีวิตอยู่อย่างไม่เป็นทุกข์ ก็เพราะมันควบคุมอันนี้ได้ ควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทนี้ได้ แล้วก็มีอยู่อย่างไม่เป็นทุกข์ ก็มีโอกาสที่จะทำอะไรได้ดี มันก็จะเหลือกินเหลือใช้ จนไปช่วยคนอื่นได้ แม้จะอยู่เฉยๆ ก็เป็นตัวอย่างที่ดี นี่ก็เรียกว่าเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นที่สุดอยู่แล้ว คือเราเป็นตัวอย่างแห่งบุคคลผู้ไม่มีความทุกข์ให้แก่ผู้อื่นได้ ทีนี้คนอื่นเขาเอาอย่าง เขาก็ได้ความไม่ทุกข์เหมือนกับเรา ก็เรียกว่าเราช่วยเขาให้ได้รับประโยชน์สูงสุดทางจิตทางวิญญาณแล้ว ดีกว่าช่วยด้วยเงินด้วยทอง ด้วยข้าวด้วยของทางวัตถุเสียอีก ก็แปลว่าช่วยทั้งทางวัตถุ ช่วยทั้งทางจิตทางวิญญาณ ให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ เราเองไม่มีทุกข์เลย เพราะมันอยู่เหนือความรู้สึกที่จะเป็นทุกข์ได้ โดยความรู้สึกว่ามันเช่นนั้นเอง ความตายก็เช่นนั้นเอง ความรอดชีวิตอยู่ก็เช่นนั้นเอง เจ็บปวดก็เช่นนั้นเอง ไม่เจ็บไม่ปวดก็เช่นนั้นเอง หายก็เช่นนั้นเอง ตายก็เช่นนั้นเอง นี่มันอยู่ด้วยความรู้สึกสูงสุดที่ไม่ทำให้จิตใจเป็นทุกข์ ที่ว่า เช่นนั้นเอง คือมันเป็นไปตามกระแสแห่งเหตุปัจจัยตามธรรมชาติที่เราเรียกว่า อิทัปปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาท นั่นแหละ ที่มันมีความเป็นเช่นนั้นเองสำหรับจะเจ็บไข้ มันก็เจ็บไข้ขึ้นมา มีความเป็นเช่นนั้นเองสำหรับจะหาย มันก็หายไป มีความเป็นเช่นนั้นเองสำหรับจะตาย มันก็ตายไป ไม่เห็นว่ามีอะไรมากไปกว่าความเป็นเช่นนั้นเอง อย่างนี้คือไม่เป็นทุกข์ ไม่มีตัวกูของกู ที่มา มาเจ็บ มาไข้ มาเป็น มาตาย มาได้ มาเสีย อะไรมันไม่มี ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นตัวกูของกู มีแต่กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ที่ถ้าควบคุมไม่ได้ มันก็สร้างความรู้สึกที่เป็นทุกข์เหลือประมาณแก่จิตใจนี้ ถ้าควบคุมได้มันก็ไม่สร้างความทุกข์อะไรเลยแก่จิตใจนี้ แก่ชีวิตนี้ แก่อัตภาพนี้ ฉะนั้นมันจึงอยู่ที่ว่า สามารถควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทได้หรือไม่ ถ้ามันควบคุมความรู้สึกนี้ได้ มันก็ไม่มีความทุกข์ แล้วมันเห็นแต่ธรรมชาติเป็นไปเช่นนั้นเอง ไม่มีตัวตน แม้จะต้องตายอยู่หยกๆ มันก็ไม่เป็นทุกข์ ก็เช่นนั้นเอง หัวเราะเยาะก็ได้ นี่เขาเรียกว่า อมฤตธรรม ครั้งพุทธกาลในประเทศอินเดียเขาแสวงหากันนัก หา อมตธรรม อมฤตธรรม ธรรมที่ทำความไม่ตาย พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้โดยหลัก เช่นนั้นเอง มันไม่มีความตาย แม้ว่าร่างกายจะต้องตาย มันก็ไม่มีความหมายเป็นความตาย คือมันไม่ทำให้คนนั้นมีความทุกข์ในความหมายของคำว่า ความตาย จึงถือว่ามันไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความตาย คือมันไม่ตายนั่นเอง ความรู้หรือการปฏิบัติที่ทำได้อย่างนี้เรียกว่า อมฤตธรรม ธรรมที่ทำความไม่ตาย คือความตายไม่มีความหมายแหละ ทีนี้ความเจ็บไข้ก็เช่นนั้นเอง น่าหัวเราะเยาะไป ก็มันไม่เจ็บ ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่เกิด ก็คือไม่รู้สึกว่ามีตัวเราเกิดอยู่ นี่มันไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ แล้วก็ไม่ตาย เพราะมองเห็นชัดอยู่ว่ามีแต่กระแสแห่งการปรุงแต่งของธรรมชาติที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท อย่างนี้เราเรียกว่าเกิด อย่างนี้เราเรียกว่าแก่ อย่างนี้เราเรียกว่าเจ็บ อย่างนี้เราเรียกว่าตาย ถ้ามองเห็นเป็น เกิด แก่ เจ็บตาย มันก็มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันก็ต้องเป็นทุกข์ ถ้ามองเห็นว่า โอ้, มันกระแสธรรมชาติล้วนๆ เป็นไป ไม่มีความหมายว่าเกิด ว่าแก่ ว่าเจ็บ ว่าตาย และตัวเราที่จะเป็นผู้เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันก็ไม่มี อย่างนี้มันก็คือ อมฤตธรรม ธรรมที่ทำให้ไม่ตาย แต่เราไม่อยากจะใช้คำอย่างนี้ ดูมันโลดโผดมากไป จะเอาแต่เพียงว่าไม่ทุกข์ก็แล้วกัน
พระพุทธเจ้าท่านเน้นมากทุกหนทุกแห่งในพระบาลี ไม่ทุกข์ คือที่สุดแห่งความทุกข์คือไม่ทุกข์ เอาแต่ว่าไม่ทุกข์กันเถอะ มันก็อันเดียวกันแหละ กับที่ว่าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันไม่ทุกข์เพราะมันไม่มีตัวเราที่เป็นผู้ทุกข์ แล้วมันควบคุมให้ไม่เกิดความหมายในความทุกข์ทั้งหลาย ทุกข์ทั้งหลายไม่มีความหมาย ไม่มีค่า ไม่มีน้ำหนัก มันก็ไม่ทุกข์ แต่ที่จริงแล้วเราควบคุมไอ้ความรู้สึกที่จะเป็นทุกข์นั้นไว้ได้ ไม่ให้มันเกิดเป็นทุกข์ อย่างว่ามันจะเจ็บ จะปวด มันก็ โอ้ย, ความรู้สึกแก่ระบบประสาทตามธรรมชาติเท่านั้นหนอ นี่ถ้าปัญญามันมากจริง สติมันมากจริง มันจะไม่รู้สึกเป็นทุกข์เหมือนกับที่เป็นทุกข์กันอยู่ แน่ล่ะมันจะรู้สึกเจ็บปวดบ้าง เช่น มีแผลมีอะไรมันก็เจ็บปวดบ้าง แต่มันก็เห็นเป็นความรู้สึกแก่ระบบประสาทตามธรรมชาติไปเสียหมด กูไม่ได้เจ็บ กูไม่ได้เป็น เกิดขึ้นเป็นเจ้าของความเจ็บ นี่มันก็ไม่ ไม่ทุกข์ ไม่ทุกข์ในความหมายที่เรียกว่าทุกข์ มันเป็นความรู้สึกที่รู้สึกเองตามธรรมชาติแก่ระบบประสาทที่มันจะต้องรู้สึก เช่น เอามีดมากรีดเข้าก็รู้สึก แต่มันเกิดความรู้สึกแก่ระบบประสาทตามธรรมชาติ อย่าให้เกิดความรู้สึกโง่เขลาขึ้นว่า ตัวกูจะตายแล้วโว้ย ตัวกูกำลังจะตายแล้วโว้ยเพราะแผลอันนี้ อย่างนั้นก็เรียกว่าควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทได้ ไม่เกิดเวทนา ไม่เกิดตัณหา ไม่เกิดอุปาทาน ว่าตัวกูจะตายแล้วโว้ย สติสัมปชัญญะมันให้รู้สึกแต่เพียงว่า เอ้ย, มันรู้สึกอย่างนี้แก่ระบบประสาทตามธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ เมื่อทำใจเข้มแข็งหน่อย มันหายไปเลย ตะเพิดให้หายไปเลย ไอ้ความรู้สึกแก่ระบบประสาทตามธรรมชาตินี่ สามารถเพิกถอนออกไปได้เลยด้วยจิตที่มันเข้มแข็งและมีปัญญาเห็นอยู่อย่างนี้ มันต้องมีต้นทุนคือปัญญาที่เห็นอยู่ว่า นี่ความรู้สึกแก่ระบบประสาทตามธรรมชาติเท่านั้น คนทุกคนก็มีธรรมชาติ มีระบบประสาทตามธรรมชาติ มีรู้สึกตามธรรมชาติ เดี๋ยวนี้มันได้มีอะไรมาทำให้ระบบประสาทนี้เกิดความรู้สึกตามธรรมชาติอย่างนั้น ถ้ามันมาเกิดนิ่มนวล ชวนให้เกิดกามารมณ์ มัน โอ้, ก็รู้สึกธรรมชาติ ถ้ามันมากรีด มาฟัน มาฆ่า มันก็รู้สึกแก่ระบบประสาทตามธรรมชาติ จะมาในรูปของเพศ ของกามารมณ์ มันก็ว่ารู้สึกแก่ระบบประสาทตามธรรมชาติ ฉะนั้นมันจึงไม่มีเรื่องที่จะต้องไปหลงรัก รสของกามารมณ์หรือของเพศ เท่าๆ กับที่มันจะไม่หลงไอ้ความรู้สึกที่ว่ามันจะต้องตาย เพราะโรคภัยไข้เจ็บ เพราะอาวุธ เพราะถูกฆ่าถูกยิงอะไรก็ตาม ถ้ามันถูกยิงเจ็บปวด ก็ให้รู้สึกว่ามันความรู้สึกตามระบบธรรมชาติ ถ้าถึงขนาดที่มันต้องแตกดับคือตาย มันก็ตายตามธรรมชาติไปเช่นนั้นเอง ให้มันตายไปโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ก็แล้วกัน นี่ก็เรียกว่ามันอยู่เหนือความตายอย่างนี้ คือว่าดับทุกข์สิ้นเชิง คำว่า ความทุกข์ ไม่อาจจะเกิดเป็นความหมายขึ้นมาได้ มันหยุดเสียเพียงแค่ ความรู้สึกแก่ระบบประสาทตามธรรมชาติเสียตั้งแต่ต้นมือโน้น ตั้งแต่ต้นมือ ตั้งแต่ผัสสะ ตั้งแต่เวทนา ถ้าเราคุมไว้ไม่อยู่ มันมาถึงตัณหา ถึงอุปาทานแล้ว ทีนี้มันช่วยไม่ได้แล้ว มันต้องเกิดเป็นความรู้สึกว่า ตัวกูอร่อยเหลือเกินโว้ย หรือว่าตัวกูจะตายแล้วโว้ย อะไรก็ตามเถอะ นี่มันมาถึงขั้นที่เรียกว่าอุปาทานแล้ว มันควบคุมไว้ไม่ได้ในขั้นของผัสสะและเวทนา หรือก่อนที่จะเกิดตัณหา ถ้าเกิดตัณหาแล้วนึกขึ้นมาได้เต็มที่ ของผลแห่งเวทนา ความรู้สึกตามระบบธรรมชาติ ตัณหาก็ยังจะดับลงไปได้สักทีหนึ่ง คือไม่สร้างตัวกูของกู กูจะเกิด จะตาย จะได้ จะเสีย จะกำไร จะขาดทุนอะไรขึ้นมา
ฉะนั้นท่านจึงวางแนว สายแห่งปฏิจจสมุปบาทไว้อย่างนี้ ถ้ามันควบคุมไม่ได้ตลอดสาย มันก็ไปจบที่ความทุกข์ ทุกข์อย่างยิ่ง เพราะทุกข์ด้วยอุปาทาน หมายมั่นเป็นตัวกูของกูแล้วเป็นทุกข์ นี้ทุกข์อย่างยิ่ง ทุกข์ด้วยจิต ทุกข์ด้วยวิญญาณหมดสิ้นเลย แต่ถ้ามันควบคุมไม่ให้เกิดอย่างนั้นได้ มันก็เหลืออยู่แค่ความรู้สึกแก่ระบบประสาทตามธรรมชาติเท่านั้นเอง ทำจิตใจให้เข้มแข็งด้วยสมาธิหน่อย มันก็ควบคุมให้มันเงียบไปได้ ให้ระงับไปได้ ถ้าไม่ได้มันก็ตาย ถ้าตาย มันก็คือธรรมดาตามที่ธรรมชาติมันจะเป็นอย่างนั้น จะไม่เกิดความรู้สึว่า กูตาย ฉันตาย ขึ้นมาในกรณีนี้ มันเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติแก่ระบบประสาท จนชีวิตนี้มันทนไม่ได้แล้วมันก็ตาย ไม่ต้องมีตัวฉันเป็นผู้ตาย เป็นผู้เจ้าของความตาย หรือเป็นเจ้าของเรื่อง นี้เรื่องปฏิจจสมุปบาทมีเท่านี้ ฉะนั้นถ้าคุณจะฝึกเพื่อประโยชน์อย่างยิ่งแก่ความเป็นมนุษย์ทั้งหมด ก็ต้องฝึกปฏิจจสมุปบาท หรือว่าจะฝึกว่า ออกไปเป็นฆราวาสที่มีความทุกข์น้อย อาจจะบรรลุมรรคผลในความเป็นฆราวาสได้ มันก็ยังต้องฝึกปฏิจจสมุปบาทอยู่นั่นเอง หรือว่าบางคนมันจะอยู่เป็นพระตลอดไป มันก็ต้องฝึกอันนี้เพื่อไม่ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา ฝึกง่าย ฝึกเร็ว กว่าฆราวาสเพราะว่าชีวิตบรรพชิตมันอำนวย หรือว่าคุณจะบวชชั่วคราว จะกลับออกไป คุณก็ต้องฝึกอันนี้ให้ ให้เป็นคล่องแคล่วไว้สำหรับจะได้ไปใช้เมื่อเป็นฆราวาสให้มันคล่องแคล่วอีก ไปๆ มาๆ มันก็มารวมอยู่ที่นี่ ไม่ว่าเราจะจัดแผนการของชีวิตของเราไว้ในรูปไหนแบบไหน
เอาละเป็นอันยุติว่าหัวใจของเรื่องนั่นคือปฏิจจสมุปบาท ทีนี้จะทำให้เตรียมตัวนี่ให้เหมาะสมแก่การฝึกฝนควบคุมปฏิจจสมุปบาทนั้นน่ะ ก็มีธรรมะอื่นๆ ซึ่งช่วย, ช่วย เช่น มีศีล มีวินัย มีธุดงค์ มีสติสัมปชัญญะทั่วๆ ไป มีอินทรียสังวร มีอะไรทั่วๆ ไป มันก็ล้วนแต่ช่วยแวดล้อมจนกระทั่งทำสมาธิ ทำปัญญา มันก็เพื่อฝึกฝนจิตให้มันทำอย่างนี้ อย่างที่ว่านี้ได้โดยง่าย ศีลทุกข้อมันช่วยให้เรามีชีวิตที่เหมาะสมที่จะศึกษาและปฏิบัติเรื่องนี้ หรือจะช่วยให้มีสมาธิปัญญาได้โดยง่าย ฉะนั้นเราก็มีศีล มีธุดงค์ ถือธุดงค์กันบ้างนั่นน่ะ ข้อใดข้อหนึ่งนั้นแหละ ก็เพื่อมีความเหมาะสมยิ่งขึ้นสำหรับร่างกายจิตใจนี้ที่มันจะมีสมาธิ มีปัญญา ก็ฝึกทุกอย่างแหละ อยู่ในที่สงบสงัด (นาทีที่ 47: 07) ....ก็มี ก็ช่วยได้มาก ฝึกสันโดษมักน้อย ฝึกพิจารณาปัจจเวกขณ์ จตุปัจจัยทั้ง ๔ อันนี้มันก็ล้วนแต่มาช่วยจุดศูนย์กลางนี้ทั้งนั้น คือให้มีร่างกาย อัตภาพ ชีวิตจิตใจที่เหมาะสมที่สุดที่จะเรียนรู้และปฏิบัติเรื่องปฏิจจสมุปบาทได้ดี
มันเป็นเรื่องประหลาดที่ว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ มันตกค้างอยู่ในพระไตรปิฎกมากเกินไป คือไม่มีคนเอามาสอน ไม่มีคนเอามาเรียนมาสอน มากเหมือนเรื่องอื่นๆ เข้าใจว่าคงจะเป็นเพราะเขาเห็นว่ามันยาก เขาก็เลยไม่เอามาสอน ฉะนั้นเราไม่เคยได้ยินเรื่องปฏิจจสมุปบาทอย่างที่ผมเก็บมารวมไว้หมดในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ คุณไปดูเถอะ กล้าท้าเลยว่าเรื่องอย่างนั้นมันไม่มีใครเอามาสอนก่อนหน้านี้ มันยากหรือมันละเอียด หรือเขาเห็นว่ามันไม่ ไม่ต้องการ ไม่ต้อง มันดีเกินไป แต่พระพุทธเจ้าท่านว่านี้คือตัวพรหมจรรย์ นี่คือ อาทิพรหมจรรย์ จนถึงกับพระพุทธเจ้าทรงนำมาท่องเล่นด้วยพระองค์เอง เหมือนกับคนเราร้องเพลงอะไรเล่นอย่างนั้นแหละ เมื่อคนเราจะ จะผิวปากเล่น จะร้องเพลงเล่น จะเล่น มันก็เอาเรื่องที่มันชอบที่สุดมาทำ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านก็เอาเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี่มานั่งว่าเล่นคนเดียว ฮึมฮัมอยู่คนเดียว อยู่พระองค์เดียวอย่างในพระบาลีเขาเขียนไว้อย่างนั้น จนกระทั่งพระองค์หนึ่งแอบไปนั่งฟังอยู่ข้างหลัง ท่านเหลียวมาเห็นเข้า เอ้า, ดีแล้วแกมาอยู่ที่นี่ แกจงจำเรื่องนี้ไปศึกษา เรื่องนี้ไปปฏิบัติ เพราะนี่คือ อาทิพรหมจรรย์ คือเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ จงตั้งต้นมันที่นี่ แล้วมันก็จะไปจบลงที่ดับทุกข์สิ้นเชิง
ปฏิจจสมุปบาทที่พระพุทธเจ้าทรงเอามาท่องเล่นเองในยามพักผ่อนนั้นน่ะ เข้าใจได้ง่าย คือมันโผล่ขึ้นมาว่า ตาเนื่องกับรูป ย่อมเกิดจักษุวิญญาณ สามประการนี้ถึงกันเข้าเรียกว่า ผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ ภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ ชาติเป็นปัจจัยจึงเกิดทุกข์ ทุกข์เป็นปัจจัยจึงมีชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข เรื่อยไปจนถึงทุกข์ทั้งปวง เกิดขึ้นเพราะ เกิดขึ้นโดยอาการอย่างนี้ นี่เราไม่เอามาท่องกันไว้ ไม่เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ไม่ร้องเพลงปฏิจจสมุปบาทกัน ที่เป็นบาลีก็ว่า
จกฺขุญฺจ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ
ติณฺณํ ธรรมานัง สงฺคติ ผสฺโส
ผสฺสปจฺจยา เวทนา
เวทนาปจฺจยา ตณฺหา
ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ
อุปาทานปจฺจยา ภโว
ภวปจฺจยา ชาติ
ชาติปจฺจยา ชรามรณํ
โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสาปิ ทุกขา
เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ
ท่องเรื่องตา ท่องเรื่องหู แล้วเรื่องจมูก เรื่องจมูกแล้วก็เรื่องลิ้น ลิ้นแล้วก็เรื่องผิวหนัง แล้วก็เรื่องใจ เหมือนกันทั้ง ๖ เรื่อง ข้อความเหมือนกัน แต่ถ้าปฏิจจสมุปบาทอีกรูปหนึ่งมันสมบูรณ์กว่านี้ มันขึ้นมา
อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา
สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ
วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ
นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ
สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส
ผสฺสปจฺจยา เวทนา
ต่อไปนี้เหมือนกัน เหมือนกันกับเมื่อตะกี้ อย่างนี้อธิบายยาก เข้าใจผิด อธิบายกันให้เข้าใจไม่ได้จนบัดนี้ในประเทศไทย ในประเทศลังกา ในประเทศพม่าก็เหมือนกัน อธิบายชนิดที่รู้เรื่องไม่ได้ โดยพระพุทธโฆษาจารย์เป็นผู้นำการอธิบายอย่างนี้ขึ้นมา รับเชื่อถือกันอยู่ในประเทศลังกา ในประเทศพม่า แล้วพวกฝรั่งก็มาเรียนแนวนี้ทั้งนั้น มันก็เข้าใจไม่ได้ พวกฝรั่งเรียนปฏิจจสมุปบาทตามแนวพวกลังกาที่อธิบายตามแบบพระพุทธโฆษา กินเวลาตั้ง ๓ ชาติ หนึ่งรอบกินเวลาตั้ง ๓ ชาติ เราบอกว่า ๑ รอบนี่ครึ่งนาทีก็ได้ เช่นว่า ๑ รอบกินเวลาครึ่งนาที จากการเห็นรูปไปถึงความทุกข์ เกิดทุกข์ในใจนี่ครึ่งนาทีก็พอ ไม่ต้องรอเข้าโลงแล้วเข้าโลงอีกถึง ๓ ชาติ จึงจะครบปฏิจจสมุปบาท ๑ รอบ พอผมพูดอย่างนี้มีคนด่า ในเมืองไทยนี้ก็ด่าแยะ ถ้าคำอธิบายนี้ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษออกไปถึงลังกา พม่า แล้วล่ะก็จะถูกด่ามากกว่านี้อีกหลายร้อยเท่าพันเท่า เพราะเขาไม่ยอมให้พูดอย่างนี้ และเราเชื่อเหลือเกินว่ามันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นจึงเก็บเหตุผลต่างๆ มารวบรวมไว้ ขึ้นไว้เป็นหนังสือเล่มนั้น ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ คุณไปหามาอ่านดู คำว่า ชาติ ชาติ นี่คือเกิดความรู้สึกว่าตัวเรา เป็นเจ้าของเรื่องนั้นเป็นเจ้าของเรื่องนี้ขึ้นมาครั้งหนึ่ง นี่เรียกว่า ชาติ ชาติหนึ่ง ไม่ใช่เกิดจากท้องแม่แล้วเข้าโลงเรียกว่า ชาติหนึ่ง ไม่ใช่อย่างนั้น เราอาจจะเกิดชาตินี่วันหนึ่งหลายๆ หน เมื่อเกิดเวทนา ตัณหา โง่ ความอยากโง่ เกิดอุปาทาน สำคัญมั่นหมายเป็นตัวกู เจ้าของเรื่องๆ นี้ เรื่องดีใจ เรื่องเสียใจ เรื่องกำไร เรื่องขาดทุน เรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องหญิงเรื่องชาย เรื่องลูกเรื่องผัว หนึ่งเรื่องก็คือ ๑ ชาติ เกิดความรู้สึกเป็นตัวกูเจ้าของเรื่องใดขึ้นมาทีหนึ่งก็เรียกว่า ชาติหนึ่ง ฉะนั้นวันหนึ่งมีได้หลายชาติหรือหลายสิบชาติ เดือนหนึ่งมันก็หลายร้อยหลายพัน ปีหนึ่งก็หลายหมื่นหลายแสน นี่หลายสิบปีกว่าจะตาย ก็เกิดขึ้นเป็นแสนๆ ชาติ พอแล้วที่จะเรียกว่าสร้างบารมีสำหรับไปนิพพาน เพราะมันได้ผ่านมาหลายแสนหลายล้านชาติ ทีนี้พวกหนึ่งเขาต้องรอนับชาติ เกิดจากท้องแม่ทีเข้าโลงทีเรียกว่าชาติหนึ่ง แล้วก็ต้องทำจนครบหลายแสนหลายล้านชาติเหมือนกันนะ จึงจะนิพพานน่ะ ก็รอเถอะ คุณรอไว้หรือ นี่เราไม่ต้องเข้าโลง ไม่ทันเข้าโลง เราครบเสียก่อน เราระวังไม่ให้ความทุกข์เกิดขึ้นในหนึ่งชาตินั้นแหละ ก็เรียกว่าบารมีหนึ่งล่ะ หนึ่งบารมี เราก็บำเพ็ญบารมีได้หลายแสนหลายล้านชาติในชั่วชีวิตนี้ แล้วเราก็บรรลุนิพพานได้ แต่ความจริงพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัสอย่างนั้น ท่านตรัสไว้สั้นกว่านั้นอีกว่า เมื่อไม่เกิดอุปาทาน ก็ดับเย็นเป็นนิพพานที่ตรงนั้นแหละ เมื่อมีรูปน่ารัก เสียงไพเราะ อะไรที่ทางตาหูนี่อร่อย ยั่วยวนที่สุดเข้ามา แล้วไอ้คนโง่คนนั้นน่ะมันก็ อภินนฺทติ เพลิดเพลินอย่างยิ่ง อภิวทติ พร่ำสรรเสริญอย่างยิ่ง อชฺโฌสาย ติฏฺฐติ มัวเมาหมกมุ่นอันนั้นอย่างยิ่ง เมื่อเขาทำอยู่อย่างนี้วิญญาณที่อาศัยอารมณ์อันนั้นก็มีขึ้นมา และนั่นแหละคืออุปาทาน ผู้มีอุปาทานไม่ปรินิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ คือไม่ดับเย็น ผู้มีอุปาทานจะไม่ดับเย็นที่นี่และเดี๋ยวนี้ นี่ท่านตรัสว่าอย่างนี้ ทีนี้ในกรณีที่ตรงกันข้าม เมื่อมันเกิดอย่างนั้นแล้ว เขาไม่โง่น่ะ เขาก็ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่มัวหมกในอารมณ์นั้น วิญญาณที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยอารมณ์นั้นมันก็ไม่มี มันก็ไม่มีอุปาทาน ผู้ไม่มีอุปาทานย่อมปรินิพพาน คือดับเย็นที่นี่และเดี๋ยวนี้ ทิฏเฐวะ ธัมเม ในธรรมอันตนเห็นแล้วคือที่นี่และเดี๋ยวนี้ นี่มันสั้นมาก มันนิพพานสั้นมากๆ ทีเดียว เมื่อไม่โง่หลงเกิดอุปาทานในอารมณ์นั้นๆ แล้วก็ปรินิพพานที่ตรงนั้นเอง คือไม่ใช่ตาย หมายถึงดับเย็นสนิท ปรินิพพาน แปลว่า เย็นสนิท ที่ตรงนั้น ทีนี้มันเป็นนิพพานอย่างนี้ได้บ่อยๆ ให้ปรินิพพานนี้มันยืดติดต่อถึงกันเป็นปรินิพพานสมบูรณ์โดยแท้จริง ไม่ต้องรอกันเป็น เข้าโลงแล้วเข้าโลงอีก, เข้าโลงแล้วเข้าโลงอีก ถ้าต้องการผ่านไปสักแสนชาติก็นับไปสิ วันหนึ่งกี่ชาติ กี่สิบชาติ เดือนหนึ่งกี่ร้อยกี่พันชาติ ปีหนึ่งกี่หมื่นกี่แสนชาติ แล้วอยู่สัก ๓๐-๔๐ ปี มันก็เป็นล้านชาติ โกฏิชาติ อสงไขยชาติก็ได้ มันก็พอที่จะบรรลุนิพพานกันได้แล้ว คือมันควรจะเข็ดหลาบ มันเข็ดหลาบจนไม่ปล่อยให้จิต มีผัสสะ มีเวทนายึดมั่นถือมั่นอย่างนั้น มันเข็ดหลาบ เพราะมันเกิดชาติทุกที เป็นทุกข์ทุกที เกิดตัวกูทุกที เป็นทุกข์ทุกที เกิดตัวกูเป็นเจ้าของเรื่องทุกที เป็นทุกข์ทุกที มันก็เข็ดหลาบ แล้วมันก็ระมัดระวังเอง
แม้แต่แมวนี่ มันขโมยปลา เราตีมันทีทุกที มันก็หยุดขโมย มันเข็ดหลาบ สัตว์เดรัจฉานแท้ๆ มันยังรู้จักเข็ดหลาบ แต่คนมันไม่ค่อยรู้จักเข็ดหลาบ ปัญหาที่คุณถามมันก็มีว่า ถ้าเอาตามความคิดความเห็นของผม ฆราวาสก็ดี บรรพชิตก็ดี ในฐานะเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วๆ ไปก็ดี มันมีเรื่องนี้เรื่องเดียว ฝึกอย่าให้เกิดกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท โอกาสที่จะฝึกเมื่อเป็นพระนี่มีมากกว่า ก็รีบฝึกมันเสีย ไปเป็นฆราวาสก็จะได้ทำได้ดีขึ้นหรือใช้ประโยชน์ได้เลย เราก็ไม่เป็นทุกข์ และความที่มีเราอยู่ในโลกนี้ เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์เท่านี้พอ มากกว่านี้บ้า เอ้า, ใครมีปัญหาอะไรอีก เอาสิมีปัญหาอะไรว่าไป
ผู้ถาม : ผมอยากจะทราบความหมายสภาวะของคำว่า บรรลุอรหันต์ ต่าง แตกต่างจากสภาวะคำว่า บรรลุโสดาบันอย่างไร
พุทธทาสภิกขุ : เอ้า, คุณถามสับสนเสียแล้ว ภาวะการเป็นพระอรหันต์กับภาวะโสดาบันเป็นอย่างไร ต่างกันอย่างไร ทำไมไม่เอาอันโน้นมาว่าก่อน มันมีโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี แล้วจึงอรหันต์ ควรจะเอ่ยถึงพระโสดาบันก่อน แล้วจึงเอ่ยถึงพระอรหันต์ก็ได้ จุดตั้งต้นของอริยบุคคลก็คือโสดาบัน ปลายสุดของพระอริยบุคคลก็คือพระอรหันต์ ตรงกลางนั่นก็เรียกว่า สกิทา และอนาคา พระโสดาบันคือมันเริ่มเปลี่ยนจากบุถุชน ละความเป็นบุถุชนเข้าไปอยู่ในแนวในสายของพระอริยเจ้าที่จะบรรลุนิพพาน โสดาบัน คำนี้ แปลว่า ถึงซึ่งกระแส โสตะ แปลว่า กระแส อาปนฺน แปลว่า ถึง โสตาปนฺน แปลว่า ถึงซึ่งกระแส กระแสคือกระแสที่ไปนิพพาน เกลียวที่ไปนิพพาน นี่ส่วนพระอรหันต์น่ะมันถึงนิพพานแล้ว ถึงปลายทางแล้ว ก็ต่างกันอย่างนี้
ทีนี้เขามีบทประกอบอีกมากนะสำหรับพระโสดาบัน นี่ก็น่าสนใจนะ เพราะมันเพิ่งเขยิบละออกมาจากระดับบุถุชนอยู่หยกๆ นี่เอง ยังไม่ไปถึงไหน คือยังไม่ถึงปลายทาง แล้วก็ยังไม่ได้ไปมากมายถึงครึ่งทางก็ได้ แต่ว่ามันก็ดับทุกข์ได้มากแหละ ฉะนั้นท่านจึงว่า อมตทวารํ อาหจฺจ ฐิโต (นาทีที่ 01:03:31) ถึงประตูแห่งอมตะและยืนอยู่ ก็มี แปลว่า มันก้าวข้ามประตู ก้าวข้ามประตูเมืองฝ่ายโน้น นี่ก็พูดให้เป็นอุปมาเหมือนกับบ้านกับเมือง หรือจะพูดว่า ถึงกระแสก็มี เพราะมีลักษณะที่ว่าผิดหรือโง่อีกไม่ได้แล้ว อนาวัฏฏิตธมฺโม (นาทีที่ 01:04:16) นี่มันจะเหลียวกลับไปสู่ไอ้โง่ๆ บ้าๆ เป็นทุกข์นั้นอีกไม่ได้แล้ว นี่จึงเรียกว่าพระโสดาบัน มันถึงกระแสฝ่ายนี้เสียแล้ว เหมือนกับมันตกลงไปในกระแสน้ำที่จะออกทะเลแน่นอนแล้ว มันไหลกลับไม่ได้ มันก็ไม่มี ไม่มีอบายอีกต่อไป คือไม่ต้องผิด ปิดประตูอบายเสียได้ มีคำเปรียบอีกเยอะแยะ แต่รวมความว่ามันเป็นจุดตั้งต้นของการเข้าถึงฝ่ายโน้น ฝ่ายโลกุตตระ ฝ่ายนี้โลกียะ ฝ่ายโน้นโลกุตตระ พอถึงประตูแห่งโลกุตตระก็ยืนอยู่ตรงนั้นยังไม่ทันเดินเข้าไปในเมืองโน้น นี่พระโสดาบัน เข้าไปมากหน่อยเป็นสกิทาคามี เข้าไปมากอีกเป็นอนาคามี เข้าไปถึงที่สุดเลยครองเมืองนั้นแล้วเป็นพระอรหันต์ วัดได้ด้วยกิเลสอนุสัยที่ละได้ต่างๆ ต่างๆ กัน ตามที่อธิบายไว้แล้วในแบบเรียนนั่นแหละ เปิดดูเองก็ได้ คือมันแน่สำหรับฝ่ายโน้น ใช้คำว่าอย่างนั้น พระโสดาบัน คือมันถึงจุด แดนน่ะ แล้วก็แน่สำหรับฝ่ายโน้น นี่พระโสดาบัน ส่วนพระอรหันต์น่ะครองเมืองโน้นแล้ว
ทีนี้เมื่อเราดูตามกิริยาอาการ พระโสดาบันก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี ยังอยู่บ้านอยู่เรือน มีลูกมีผัวมีเมียนะ ทีนี้พระอนาคามีดีไปกว่านั้น แต่ที่ยังเป็นฆราวาสก็มีเหมือนกัน พระอนาคามีเป็นฆราวาสก็มี พระโสดาบัน พระสกิทาคามีนี้เป็นธรรมดาแล้ว เป็นฆราวาสก็มีมาก ส่วนพระอรหันต์นั้นเหนือเสียแล้วที่จะกล่าวว่าเป็นฆราวาสหรือเป็นบรรพชิต ฉะนั้นที่เขาพูดกันว่า ถ้าเป็นพระอรหันต์ ฆราวาสแล้วไม่บวชเสียจะตายใน ๗ วัน ว่าเอาเองทั้งนั้น ไม่มีหลัก ในบาลีก็ไม่เคยพบ มันว่ากันเอาเอง แล้วที่มันจริงกว่านั้นก็คือว่า พอเป็นพระอรหันต์แล้วไม่อาจจะเป็นฆราวาสหรือไม่อาจจะเป็นบรรพชิต พระอรหันต์อยู่เหนือความเป็นฆราวาส เหนือความเป็นบรรพชิต มันไม่เป็นอะไร ฉะนั้นจะให้พระอรหันต์ตายใน ๗ วันเพราะไม่บวช นี่บ้าเลย คำพูดบ้าๆ บอๆ อย่างนั้น เป็นพระอรหันต์น่ะมันเลยบวชไปแล้ว ฉะนั้นจะบวชอะไรกันอีกเล่า ทีนี้เขาก็คงจะหมายความว่า ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว ระบบชีวิตมันต้องเปลี่ยนไปอยู่อย่างโน้น มันจะมาอยู่กับบ้านกับเรือนนี่มันรำคาญ และมันคงตายเพราะความรำคาญก็ได้ แต่ผมว่าเป็นไปไม่ได้ พระอรหันต์ไม่รู้จักรำคาญหรอก แต่ถ้าได้รับการเบียดเบียนในบ้านเรือนมากไป มันอาจจะตายได้จริงเหมือนกัน แต่ก็ลำบาก พูดลำบาก พระอรหันต์จะเป็นทุกข์อีกไม่ได้ จิตใจมันจะเป็นทุกข์อีกไม่ได้ มาอยู่ยิ่งกว่าเรือน มันก็เป็นทุกข์ เป็นไม่ได้ จะมีผู้หญิงมาทำอะไร มันก็ไม่มีความหมายอะไร มัน มันทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นอะไรจะทำให้ตายล่ะ มันเหนือความตาย มันเหนืออะไรไปหมด มันเหนือความเป็นหญิง เหนือความเป็นชาย เหนือความเป็นฆราวาส เหนือความเป็นบรรพชิต ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วมันก็ มันเหนือกว่านี้ไปหมด แล้วมันก็บวชของมันเองทันที เขาจึงมีคำพูดที่น่าอัศจรรย์ว่า พอเป็นพระอรหันต์แล้ว ไตรจีวร บาตร อะไรลอยมาแต่ไหนก็ไม่รู้ มาครอบมาสวมให้ทันที เขาพูดมาอย่างนี้ มันเป็นบวชอัตโนมัติ เมื่อจิตมันหลุดพ้นแล้วมันจะเป็นอะไรไม่ได้อีก เป็นพระอรหันต์แล้วจะเป็นอะไรไม่ได้อีก เรียกโดยสมมติว่าเป็นพระอรหันต์ คือไม่เป็นอะไรได้เลย ไม่มีความทุกข์ อยู่ด้วยชีวิตที่ไม่รู้จักเป็นทุกข์ ไม่รู้สึกเป็นทุกข์ จนกว่าร่างกายนี้มันจะแตกดับไปตามธรรมชาติ นี่คือพระอรหันต์ แต่ถ้าเป็นพระโสดาบันนี่มันยังไม่ถึงนั่น มันมีทุกข์ มีอะไรไปบ้างตามสมควร มีลูกมีเต้า เมีย ยุ่งเหยิง มันก็ต้องมีทุกข์ มีอะไรบ้างตามสมควร จะไม่มีทุกข์เลยน่ะไม่ได้ มันจึงมีเรื่องที่เขียนไว้ในอรรถกถาโดยมากว่า พระโสดาบันบางคนมันก็มีร้องไห้ เกิดเรื่องจนร้องไห้ หรืออะไรก็มีเหมือนกัน เพราะมันยังไม่เป็นพระอรหันต์ ยังมีความยึดถือเหลืออยู่พอสมควร พอสมควรสำหรับจะร้องไห้ มันน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่า ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้ว ก็เป็นอันว่าแน่นอน แน่นอนสำหรับไปฝ่ายโน้น ไม่ย้อนกลับมาฝ่ายนี้อีก เอ้า, ใครมีปัญหาอะไรอีก
ผู้ถาม : กระผมอยากจะเรียนถามปัญหาเกี่ยวกับนักศึกษา ในปัจจุบันนี้นะครับ เห็นได้ว่านักศึกษานี่เขาจะเรียนตามแนวของพวกฝรั่ง คือจะทำให้จิตใจของเด็กนี่มีอิสระ เป็นตัวของตัวเอง คือว่าจะคิดหรือว่าจะทำอะไรก็ได้ ทีนี้จิตใจของเด็กส่วนใหญ่จะคิดที่เกี่ยวกับในแง่ของกิเลส คือความสะดวกสบายและของกามารมณ์ ทีนี้ผมอยากจะให้อาจารย์ช่วยบอกแนวความคิดในการที่เราจะเอาเด็กพวกนี้ให้มาเข้าใจเกี่ยวกับธรรมะหรือให้มาปฏิบัติธรรมะ ว่าเราจะดึงเด็กมาได้อย่างไร หรือว่ามีหลักวิธีสอนเด็กอย่างไรบ้างครับ
พุทธทาสภิกขุ : มันเป็นสิ่งที่มันไขว้กันอยู่ มันทำไม่ได้ เมื่อเขาเกิดมาในตระกูล ในบ้านในเมือง ในที่เขานิยมกันอย่างนั้นมันก็ไปอย่างนั้น ชวนมาอย่างนี้มันก็ไม่มาแน่ ชวนมาควบคุมความรู้สึกของกิเลสนี่มันไม่เอาหรอก เพราะเขาจะปล่อยไปตามความรู้สึกของกิเลสแล้วสบายดี เมื่อมันเสียนิสัยอย่างนี้แล้วจะชวนมาปฏิบัติเพื่อควบคุมกิเลส มันก็ไม่เอา ไม่ยอมแน่ แล้วมันเข้าใจไม่ได้ว่า ความสุขที่อยู่เหนือกิเลส กับความสุขที่อยู่ใต้กิเลสน่ะมันต่างกันมาก ไอ้ความสุขที่อยู่ใต้กิเลสนั่นมันเลวที่สุด ความสุขที่อยู่เหนือกิเลสมันดีที่สุด มันก็ไม่เข้าใจแล้วมันก็ไม่เอา เพราะมันชิมความสุขที่อยู่ใต้กิเลสอยู่ทุกวันๆ มันอร่อยแบบนั้น เขาเปรียบเหมือนกับว่าอะไรล่ะ เหมือนกับชวนแมลงวันมาดมดอกไม้ แมลงวันที่กินสัตว์เน่า ศพเน่า ชวนมา ดมดอกไม้ มันไม่เอา มันไม่ใช่แมลงผึ้ง
ฉะนั้นผมก็นึกอยู่มากเรื่องนี้ว่า เราคงทำอะไรไม่ได้ที่จะชวนฝรั่งให้มามีศีลธรรมนี่มันเหลือประมาณนัก มันเหลือกำลัง เพราะว่าเขาพอใจหลงใหลในผลของความที่ไม่ต้องมีศีลธรรม ความที่ไม่ต้องมีศีลธรรมมันอร่อยดี มันสนุกดี เห็นแก่ตัวเรื่อย เรื่อย เรื่อย จนได้ฆ่าได้ฟันกันไปทั้งโลก มันก็ยังไม่เห็นว่าน่ารังเกียจ วันก่อนอ่านข่าวชนิดที่รู้สึกกระทบความรู้สึกมากคือว่า อาจารย์แก่ๆ ในมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ในอเมริกาเขาเริ่มเห็นว่าศาสนาจำเป็น ศีลธรรมจำเป็น พอเขาเสนอความคิดเห็นอันนี้แก่นักศึกษาหนุ่มสาวทั้งหลาย มันมีอาการเหมือนกับว่า ถ้าพูดอย่างไทยๆ เราก็คือว่า ถลกก้นหลอกเลย ถลกก้นหลอกใส่หน้าเสียนี่ มันมีอาการอย่างนี้ มันไม่ยอมฟัง ไม่ยอมฟังคำว่าศีลธรรมคืออะไร ศาสนาคืออะไร มันไม่ ไม่ยอมฟัง อย่า อย่าว่าแต่จะไปสนใจศึกษาทดลองเลย มันไม่ยอมฟังเสียง นี่หนังสือข่าวสารอเมริกันฉบับหนึ่งมันลงมา บอกชื่ออาจารย์คนนั้นด้วย อาจารย์ผู้เฒ่ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แล้วก็มีอาจารย์ผู้เฒ่าอื่นๆ มหาวิทยาลัยอื่นๆ ก็เห็นด้วยกับอาจารย์คนนี้ แต่ในที่สุดคนแก่ๆ เหล่านี้ยอมแพ้หมด ยอมแพ้นักศึกษาหนุ่มสาวหมด มันจะไม่ยอมฟังแม้แต่คำว่า ศาสนา หรือคำว่า ศีลธรรม ฉะนั้นมันก็ไม่ไต่ถาม สอบสวนว่าคืออะไร คืออย่างไหน มันไม่ถาม แม้แต่ชื่อมันยังไม่อยากได้ยินเลย ฉะนั้นคุณไปคิดเอาเองเถอะว่าคุณจะทำยุวชนหรือว่าเด็กของโลกที่มันมีระบบการศึกษาอย่างนั้น ให้มาสนใจในการศึกษาอย่างนี้ได้อย่างไร ผมจนปัญญา มันต้องตั้งระบบการศึกษากันมาใหม่ตั้งแต่เด็กๆ โน่น อย่าให้มันทัน อย่าให้มันเพิ่งไปเข้ามหาวิทยาลัย ให้มันรู้จักกิเลส รู้จักความเลวของกิเลส ความทุกข์ที่เกิดมาจากกิเลส เดี๋ยวนี้มันเป็นเหยื่อของกิเลสจมหัวจมหูไปแล้ว มันก็ยาก พูดกันไม่รู้เรื่อง ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังน่ะคือศาสนาของเขา ทีนี้ศาสนาที่จะประนามไอ้ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังของพวกเรานี่มัน เขาไม่เอานี่ ไม่ต้องเมืองฝรั่งหรอก เมืองไทยเดี๋ยวนี้ก็แย่แล้ว ยากแล้วที่จะดึง ดึงหนุ่มสาวมาสู่พุทธศาสนานี่ก็ยากเต็มทีแล้ว แล้วหนุ่มสาวที่ไปสมัครเป็นซ้าย เป็นอะไรกัน ก็ดูแล้วยิ่งยากใหญ่ นั่นยิ่งยากใหญ่ มีคนมาเล่าให้ฟังว่า ปาฐกถาธรรมที่ผมบรรยายไปเมื่อเดือนก่อนโน้น ไม่ใช่เดือนที่แล้วนะ ที่ว่าต้องมีหัวมีหาง ธรรมะต้องการความมีหัวมีหาง ต้องมีสูงมีต่ำอะไรนี่นะ เขามาบอกว่าหนังสือพิมพ์พวกฝ่ายซ้ายที่ชื่อว่าอะไรนะ เอาไปลงด่าอยู่ ด่าผม ด่าผม คือพูดส่งเสริมความมีหัวมีหาง หนังสือพิมพ์อะไรนะ สันติภาพหรือหนังสือพิมพ์อะไรชื่อคล้ายๆ อย่างนี้ เป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ของพวกฝ่ายซ้าย มันด่าผมที่พูดว่า เราต้องอยู่กันอย่างมีหัวมีหาง มีสูงมีต่ำ ฝ่ายซ้าย ฝ่ายคอมมิวนิสต์ เขาไม่ต้องการให้มันมีชนชั้น นี่เด็กๆ ของเรามันโง่ ตีความหมายของคำว่า ชนชั้น ผิด มันก็เลยตามพวกนั้นไป นี่ปัญหาในเมืองไทยมันยังมีอย่างนี้นะ คุณคิดดูเถอะ ไม่ใช่เมืองนอก นายอรุณ เวชสุวรรณ (นาทีที่ 01:19:22 ) เขามาเล่าให้ฟัง แล้วพระได้ฟังก็มาบอกผมอีกที ที่เราบอกว่ามนุษย์คือคนที่มีธรรมะอย่างมนุษย์ ถ้าไม่มีธรรมะอย่างมนุษย์เป็นเพียงคน ไม่ใช่มนุษย์ นักศึกษาฝ่ายซ้ายก็เอาไปด่าเหมือนกันแหละว่า นี่ยังยึดถือระบบชนชั้นอยู่ ถ้าแยกมนุษย์ออกจากคน
ผมก็คิดเหมือนคุณแหละ คุณก็คิดเหมือนผม ที่ว่าทำอย่างไรจะให้เด็กที่ได้รับการศึกษาผิดๆ สมัยใหม่ ตามใจกิเลสตัณหา ตามใจตัวเอง ไม่บังคับความรู้สึกนี่ จะช่วยเขาได้อย่างไรให้มาสู่หนทางแห่งศาสนา ถ้าไม่ยอมบังคับความรู้สึกมันก็ไม่มาสู่พุทธศาสนาได้ เพราะในพุทธศาสนามันอยู่ด้วยการควบคุมความรู้สึก บังคับความรู้สึก ที่เรียกว่าควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท นั่นแหละคือตัวพุทธศาสนา เมื่อเขาไม่ยอมควบคุมความรู้สึกอันนี้แล้วมันก็ไม่ได้ ไม่มีทางที่จะมาเข้าถึงตัวพุทธศาสนา เอ้า, ทีนี้ก็คิดหาลูกไม้ อุบาย อะไรก็แล้วกัน ว่าทำอย่างไรจะไปล่อมันมาอย่างไร จะมีลูกไม้ลึก ลึกกว่า เหนือกว่า มาล่อมันมาอย่างไร คำพังเพยเมืองนี้ที่ว่า จะให้ไก่ไม่กินข้าวสาร ให้หมาไม่กินขี้นี่ กูไม่เชื่อเลย นี่เขาว่ากันอยู่อย่างนั้น นี่มันกลับตรงกันข้ามอยู่ คือหมาหรือหมูมันชอบกินขี้จนเป็นปกตินิสัยเสียแล้ว มันจะบอกว่า ไม่กินขี้ ไม่ให้กินขี้นี้ คนเขาว่า กูไม่เชื่อเลย หรือว่าไก่ไม่กินข้าวสาร กูก็ไม่เชื่อเลย เด็กๆ ที่ได้รับวัฒนธรรมอย่างนี้มาแต่อ้อนแต่ออก มานิยมการบังคับกิเลสนี่ได้ กูก็ไม่เชื่อเลยเหมือนกัน แต่เราก็พยายาม ไม่ใช่จะไม่พยายาม จะหาช่องทางอยู่เสมอ ถ้าเผื่อมันมีอย่างไรก็จะนั่นกันไป ถ้าเขาร้องไห้มาหาเรา เพราะว่าเขาไปทำอย่างนั้นมากเข้านั่นแหละจะมีหวัง แต่เดี๋ยวนี้มันยังไม่มีอะไรถึงกับมาทำให้เขาร้องไห้ ถ้าผิดหวัง เขาสมัครฆ่าตัวตาย ไม่ร้องไห้มาหาเราหรอกพวกเหล่านี้ คุณไปคอยดูเถอะ ถ้าเขาผิดหวังในเรื่องนั้นๆ น่ะ เจ็บปวดที่สุดน่ะ เขาสมัครไปฆ่าตัวตายแหละ ไม่ร้องไห้มาขอความช่วยเหลือ ให้ธรรมะมาแก้ไขที ให้ศาสนามาช่วยแก้ไขที มันจะมีการฆ่าตัวตายเพราะเรื่องอย่างนี้มากขึ้นๆ แล้วโลกจะเป็นอย่างไรในอนาคต น่าเป็นห่วงเหมือนกัน
ได้อ่านข่าวของคุณคึกฤทธิ์รู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อยว่า ที่เมืองจีนเดี๋ยวนี้เขากลับเปลี่ยนไอ้วัยรุ่นที่ทำปฏิวัติวัฒนธรรม เขาเลิกกันหมดแล้ว เขาไม่มี ไม่มีเหลือแล้ว เขากลับไปเข้าโรงร่ำโรงเรียน ไหว้พ่อไหว้แม่ไหว้ครูบาอาจารย์ เชื่อฟังเคารพคนเฒ่าคนแก่กันแล้ว ทำจนได้อย่างนี้ก็ดีนะ ไอ้ปฏิวัติวัฒนธรรมวันก่อนที่ทำลายกันวินาศหมดน่ะ ไม่มีเหลือแล้ว มิสซิสแซนตั้น (นาทีที่ 01:24:50) เมื่อมาที่นี่ก็บอกว่า ฮิปปี้ที่อเมริกาไม่มีแล้ว ฮิปปี้มันเหลืออยู่เมืองไทยแค่นั้น นี่พวกเราคนหนึ่ง ชูศักดิ์มันเป็นนักบินต่างประเทศ มันก็มาบอกว่าในยุโรปก็หาฮิปปี้ดูยากแล้ว มันเปลี่ยนเป็นคนปกติ ไปวัดไปวาไปโบสถ์กันแล้ว โดยเหตุปัจจัยอย่างอื่น ซึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะไม่ใช่ความพยายามของใคร นอกจากของพระเจ้า นี่พระเจ้าเขาทำขึ้นมาศักดิ์สิทธิ์ พอเมืองไทยไม่เคารพบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ไม่ไหว้คนแก่อย่างนี้ จะล้าหลังเมืองจีนก็ได้ คอยดูเถอะ ถ้าเมืองจีนเป็นอย่างที่ว่า เด็กๆ ไม่เคารพพ่อแม่แล้วมันจะเคารพใครล่ะ มันไม่รักพ่อแม่แล้วมันจะรักชาติ ศาสนา มหากษัตริย์อย่างไร พ่อแม่มันยังไม่รักนี่ ต้องเอาของเก่า ของปู่ย่าตายายกลับมาอีก เคารพบิดามารดา ครูบาอาจารย์ คนเฒ่าคนแก่ พระเจ้าพระสงฆ์ คือมีศาสนากันใหม่ เขาทำไว้ดีแล้ว มันเกิดมาจากเหตุปัจจัยโดยเฉพาะโดยตรงที่ถูกต้อง เกิดเป็นบทบัญญัติ เป็นศีลธรรม เป็นศาสนา ขึ้นมาอย่างถูกต้อง แล้วมันก็ช่วยมนุษย์มาโดยสมควรแล้ว มนุษย์เกิดมาหักหลัง ทรยศ กบฏศีลธรรม กบฏศาสนากันเอง มันก็ถูกลงโทษให้เจ็บปวด ก็เลยกลับตัวกันใหม่ วงการที่มีอำนาจนั่นน่าจะทำได้ เรานี่ทำแหละ เราไม่มีอำนาจแล้วเราทำไม่ได้ ถ้ารัฐบาลต้องการ แล้วก็ใช้เผด็จการพอสมควร มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ แต่มันต้องเผด็จการนั่นแหละ
ในการที่ศีลธรรมจะกลับมาต้องมีลักษณะเผด็จการเหมือนพระเจ้าอโศก ทีนี้ประเทศไทยเราก็ไม่กล้า ประเทศเล็กนิดเดียว เมื่อทั้งโลก ประเทศใหญ่มันไม่เอากัน เราตามก้นเขาเรื่อยในเรื่องการศึกษา ทีนี้ประเทศใหญ่มันก็ไม่เอาเพราะมันกลัวเสียเปรียบอีกฝ่ายหนึ่ง อย่างอเมริกาจะกลับมีศีลธรรม มันก็กลัวเสียเปรียบรัสเซีย รัสเซียจะมีศาสนา มีศีลธรรม มันก็กลัวเสียเปรียบอเมริกา มันไม่กล้าหรอก ก็ต้องคาราคาซังกันไปก่อน จนกว่าจะถูกลงโทษเจ็บปวดเหลือประมาณนี่ ค่อยมาพูดจากันใหม่ก็แล้วกัน เราคงจะไม่ทันเห็น ลูกหลานข้างหน้าค่อยเห็น เราคงจะตายเสียก่อนไม่ทันเห็นภาพอันนี้ ฉะนั้นผมจึงตะโกนแต่เรื่องศีลธรรมกลับมา, ศีลธรรมกลับมา ทางวิทยุ ๒๖ ครั้งเท่านั้น ให้ศีลธรรมกลับมา ตะโกนไป ๒๖ ครั้ง ๒ ปีมาแล้ว ก็ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครได้ยิน ไม่มีใครรับสนองกันกี่คน เขาฟังดูเป็นเรื่องขัน ขบขันกันเสียมากกว่า บ้าไปคนเดียว ถ้าจะอยู่อย่างมีความทุกข์ แล้วมันจะอยู่ไปทำไมกัน มีเรื่องเศรษฐกิจ มีเรื่องการเมือง มีเรื่อง ทุกเรื่อง แล้วก็อยู่กันอย่างมีความทุกข์ แล้วจะอยู่กันไปทำไมกัน มันไม่เอาศีลธรรมเข้าไปใส่ในเรื่องเหล่านั้น แล้วมันไม่ มันไม่ดับทุกข์ มันต้องมีความทุกข์ มันจะเจริญด้วยวัตถุดีไปถึงไหน มันก็ยังต้องมีความทุกข์ จะเศรษฐกิจวิเศษวิโสอย่างไร มันยังต้องมีความทุกข์ เพราะมันเกิดจากความโง่ในภายในของคนๆ นั้น เศรษฐกิจดีภายนอกมันจะไปดับได้อย่างไร มันต้องดำรงจิตใจของตนไว้ถูกตามหลักของปฏิจจสมุปบาท คนเราจึงจะไม่เป็นทุกข์ คนจนก็ได้ คนรวยก็ได้นะ จะได้ผลเท่ากัน คนรู้หนังสือก็ได้ คนไม่รู้หนังสือก็ได้ แม้แต่คนขี้โรคก็ได้ คนอนามัยดีก็ได้ ถ้าเขารู้จักควบคุมจิตใจให้ถูกต้องภายใน มันก็ไม่เกิดความทุกข์ เราก็สนใจแต่เรื่องให้มีกินมีใช้ ให้ร่ำรวย ให้สบาย ให้รู้หนังสือ แล้วมันก็ไม่ดับทุกข์ ดูสิคุณดู มันไม่ดับทุกข์หรอก การศึกษาระบบนี้ อีกกี่ร้อยเท่าพันเท่ามันก็ยังไม่ดับทุกข์หรอกไอ้การศึกษาแบบนี้ ที่ให้กันอยู่ในโลกนี้ มันเป็นทาสของกิเลสกันหนักขึ้นทุกที เรียนสำหรับไปเป็นทาสของกิเลส ไปทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ ให้เสียเวลาเปล่าๆ อย่างไปโลกพระจันทร์นี่ไม่ต้องทำก็ได้เสียเวลาเปล่าๆ เปลืองเปล่าๆ นี่เรียกว่าเรียนสำหรับจะโง่ เรียนสำหรับจะสร้างความทุกข์ ไปทำไอ้ที่ไม่มีความทุกข์กันก่อนดีกว่า ถ่ายทอดกีฬาโดยดาวเทียม มันจะทำไปทำไม ให้มันโง่ ให้มันบ้า ให้มันเปลือง มันไม่มีประโยชน์อะไร คิดดูเถอะ ได้ยินเขาว่าต้องใช้เงินเป็นล้านๆ ๑๐ ล้าน จะถ่ายทอดกีฬาทางดาวเทียมนี่ แล้วจะทำไปทำไม มันมีประโยชน์ สันติสุข สันติภาพที่ตรงไหน นี่มัวแต่ทำสิ่งที่ไม่ต้องทำแล้วเปลืองมากทั้งนั้น นี่จะเรียกว่าอย่างไร มันดูหมิ่นพระธรรม ดูหมิ่นศาสนา ดูหมิ่นพระเจ้า ไปทำสิ่งที่ไม่ตรงกันกับเรื่องของความดับทุกข์
เหตุผลของเราเขาไม่ฟัง เหตุผลที่จะดับทุกข์นี่ เขาไม่ฟังหรือเขาไม่พยายามจะเข้าใจ ไอ้ที่จะบ้ากันมากขึ้นโดยไม่จำเป็นนั่นแหละ เขาสนใจ และเขาชอบรวมหัวกันทำให้โลกนี้มันยุ่งมาก จนไม่แก้ไขได้ จนเต็มไปด้วยปัญหา เต็มไปด้วยความทุกข์ ถ้ามีธรรมะ มีศาสนากันอย่างแต่ก่อน ตามแบบก่อนแล้ว น้ำมันยังไม่หมดในโลกหรอก น้ำมันหรือว่าทรัพยากรอื่นๆ ยังไม่หมดไปจากโลก และมันไม่ต้องทำอีกมากมาย สิ่งที่ไม่ต้องทำ มากมาย นี่ไม่รู้จะเอาอะไรมาใช้แทนน้ำมันกันอยู่แล้ว แต่ก่อนน้ำมันจากพืชนี่เป็นอาหาร พวกฝรั่งถึงบทที่มันฉลาด มันก็ฉลาดเพื่อโง่ ฉลาดเพื่อจะทำผิดให้ลึกกว่าเดิม มาเรียนพุทธศาสนานี่มันเรียนชนิดปรัชญา ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ฝรั่งนี่เรียนพระพุทธศาสนามากนะ แล้วเขียนก็มาก แต่งหนังสือก็มาก มันเป็นรูปปรัชญาทั้งนั้นแหละ ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ มันไม่เป็นรูปแบบศาสนา คือบังคับกิเลสอย่างปฏิจจสมุปบาทกัน มัน มันไม่เรียนอย่างนี้ ถึงเรียนปฏิจจสมุปบาทมันก็เรียนอย่างเป็นปรัชญา ไม่มีการปฏิบัติ ไม่มีการควบคุมอายตนะ เรียนรู้เท่านั้นแหละ มันยิ่งเรียนให้โง่ ให้ยุ่ง ให้ลำบาก และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทางเทคโนโลยี ทางอะไร ก็เพื่อจะให้มันยุ่งมากขึ้นเท่านั้นเอง ฉะนั้นเราไม่มีหวังสันติภาพในโลกชนิดนี้ เพราะเขาเรียนให้มันโง่ ให้มันฉลาดสำหรับให้โง่ให้มากที่สุด ความฉลาดเพื่อจะได้ให้โง่ให้มากที่สุด ไปทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ สิ่งที่ไม่ต้องทำในโลกเวลานี้มีแยะไปหมด มันกลับจะทำให้มากขึ้นไปอีก เรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องนุ่งเรื่องห่ม เรื่องอะไรต่างๆ ที่มันไม่ต้องทำ มันก็ทำให้มากขึ้น ถือศีลอดรอมฎอนเสร็จแล้วก็ไปเที่ยวแห่ฉลองกัน แล้วก็เรือบินตก ๒๖๕ คนเผาอยู่ในเรือบิน ประตูเปิดไม่ได้ ที่อาหรับ ที่ซาอุอาระเบียนั่น ที่ซาอุดิอาระเบีย มันเรื่องไม่ต้องทำ นี่คิดดูเถอะ พระเจ้าก็ไม่บอกให้ทำอย่างนี้ ให้เอาเงินไปช่วยคนอื่น นี่ไปขี่เรือบินเล่นสนุกๆ กัน ฉลองกัน ตั้งแต่น้ำมันแพงนี่ คนมาเที่ยว เที่ยวเล่นสวนโมกข์นี่ มากกว่าเมื่อน้ำมันถูกเสียอีก รถทัวร์ที่มาเที่ยวกันปีๆ เขาก็มาเที่ยว ไปซื้อของหาดใหญ่นั่นแหละ มันมากๆ กว่าเมื่อน้ำมันยังไม่แพงเสียอีก มันทำกันอย่างตรงกันข้ามอย่างนี้ เรียกว่าโลกมันตกอยู่ในกำมือของอวิชชา อวิชชาย นิวุโต โลโก นี่พระพุทธเจ้าพูดเอาไว้แต่ครั้งกระโน้น โลกมันตกอยู่ในกำมือของอวิชชา ความโง่ แล้วมันก็ทำผิดหมด ฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทย มาเที่ยวแม้แต่เกาะสมุยนี่มากขึ้นๆ แล้วมันไม่ได้อะไรเลยที่จะเป็นประโยชน์ แสงสว่าง สันติภาพ อะไรก็ไม่ได้ แล้วมันก็มามากขึ้นๆ แม้มาที่สวนโมกข์นี่ก็ไม่ได้อะไรเพราะเราไม่อาจจะพูดให้เขาเข้าใจหรือสนใจได้ มีแหม่มคนหนึ่งเขาบอกว่าที่อเมริกาเยอะแยะไปหมด ความรู้พุทธศาสนา ครูบาอาจารย์ที่สอนพุทธศาสนาดีที่สุดเลย มีเยอะแยะไปหมดที่อเมริกา ฉะนั้นเขาก็ไม่สนใจที่จะฟังที่เมืองไทยว่ามีพุทธศาสนาอย่างไร หรือว่าต้องการจะเรียน จะอะไรบ้าง แล้วที่ว่ามันมีพุทธศาสนาเยอะไปหมด อเมริกาน่ะ มันพุทธศาสนาอย่างที่ไม่ใช่พุทธศาสนา มันพุทธศาสนาปรัชญา
ฉะนั้นเราพูดเรื่องควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องปฏิจจสมุปบาทน่ะ ไม่กี่คำหรอก ฝรั่งหลับหมดล่ะ ผมเชื่อว่าอย่างนั้น พูดให้ฝรั่งฟังไม่ทันจบ มันหลับ มันหลับเสียก่อน อย่างมีมรรยาท มันหลับแล้วมันก็ไม่ลุกไป มันไม่อาจจะเข้าใจ มันไม่ยอมสนใจ มันไม่ จะพูดพุทธศาสนาที่แท้จริงให้ฟังไม่กี่คำ เขาก็หลับ เขาก็มีไอ้เรียนอย่างเพ้อเจ้อ อย่างปรัชญาเปรียบเทียบ สนุกกันนัก เป็นอาหารอร่อยของสมองที่มันเพ้อเจ้อด้วยปรัชญา
ฉะนั้นให้มัน ให้มันบ้าไปสุดเหวี่ยงก่อน มันค่อยหมุนกลับ แต่ว่าถ้าเกิดฝรั่งมันเกิดดีขึ้นมา มันอยากจะรู้จริงรู้อะไรขึ้นมา มาขอศึกษาที่เมืองไทยก็คงจะแย่เหมือนกัน ไม่รู้จะไปเรียนที่ตรงไหน ใครจะสอน สำนักไหนจะสอนพุทธศาสนาที่แท้จริงและถูกต้องให้แก่ฝรั่งได้ เพราะมันยังเก็บหมกซุกอยู่ในพระไตรปิฎก ในส่วนที่ไม่เอามาเรียนมาศึกษากัน เช่น เรื่องปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้ เป็นต้น ถ้าสอนกันอยู่อย่างนี้ มันก็ ก็ไม่แปลกจากที่เขาเรียนเอาได้จากลังกา จากพม่า มันก็เป็นอย่างที่ว่า คือไม่ดับทุกข์ คำว่า ชาติ คำว่า ทุกข์ คำว่าอะไร มันตีความผิดหมด
นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าลงทุนสร้างอะไร พุทธมณฑล กันสัก ๔๐๐-๕๐๐ ล้านที่นครปฐมนั่นแหละ แล้วผลอะไรจะเกิดขึ้น คอยดูเถอะ นี่กำลังออกลอตเตอรี่สร้างพุทธมณฑล เรี่ยไรสร้างพุทธมณฑล ออกกัณฑ์เทศน์เมื่อวันก่อนเราก็ส่งไปให้ สร้างพุทธมณฑล, สร้างพุทธมณฑล คงจะถึง ๑,๐๐๐ ล้านบาทแหละ แล้วคุณก็คงไม่ทันจะตาย คุณก็คอยดูว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้น ยังสงสัยอยู่ว่ามันจะทำให้คนมีศีลธรรมขึ้นมาได้อย่างไร ให้วัยรุ่นหยุดเป็นอันธพาลมาเป็นเด็กที่ดีกันได้อย่างไร เดี๋ยวนี้วัยรุ่นปีละ ๕ ล้านคนกำลังเป็นอันธพาล มันมี ๕ แสนคน ๕ แสนคน จบประโยค เอ่อ, มัธยม สุดมัธยม ปีหนึ่ง ๕ แสนคนเศษ แล้วเศษจะได้เรียนมหาวิทยาลัย ไอ้ ๕ แสนคนนี่ไม่ได้เรียน ๕ แสนหรือ ๕ ล้านผมก็จำไม่ค่อยแน่ แต่ว่าผมจำได้ว่า ห้า ห้า นี่แหละ แล้วไอ้ ๕ แสน หรือ ๕ ล้านคน วัยรุ่นนี่มันจะเป็นพิษ เป็นพิษ มีฤทธิ์ขึ้นมา มันไม่ทำงาน มันไม่ชอบทำงาน มันก็ต้องเป็นอันธพาล อย่างน้อย ๕ แสนคนต่อปี ชุมกว่ายุง อันธพาล เขาสำรวจออกมาว่าที่จบมหาวิทยาลัยแล้วก็ไม่มีงานทำกันจำนวนมากเสียแล้ว คงจะมีปัญหาไม่มีงานทำ ให้การศึกษากันแบบไหน เรียนจบแล้วไปบูชายาเสพติด ไปบูชาการปล้น จี้ อันธพาล ข่มขืน ในมหาวิทยาลัยเองมันก็มีเลวร้ายมากขึ้นทุกที ทางศีลธรรม ที่เขามาเล่าให้ฟัง ไม่น่าจะเชื่อ ไม่อยากจะเชื่อ เพราะมันเกินไป แต่เขาว่ามันจริง ความไม่มีศีลธรรมของนิสิตนักศึกษาในหอพัก ในอะไรก็ตาม สภาผู้แทน รัฐสภา มันก็รับรองไม่ได้ว่ามีศีลธรรมเพียงพอ มันมีศีลธรรมพวก ศีลธรรมประโยชน์ ศีลธรรมพร้อมที่จะทำลายผู้อื่นอยู่ แล้วมันก็เป็นผู้ที่ควบคุมบ้านเมือง ควบคุมกฎหมาย ควบคุมอะไร มันจะไปกันรูปไหน ในคณะรัฐบาลก็เหมือนกันนั่นแหละ นี่เขาจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี ๙ คน หรือ ๖ คน เขาจะเอากันแล้ว เห็นหนังสือพิมพ์วันนี้ว่าตกลงแล้ว
พยายามมีธรรมะ มีศีลธรรม ในส่วนตัวกันให้พอ ตัวเองคนๆ เดียว แล้วก็ชี้ชวนให้ผู้อื่นมีเพิ่มขึ้นทีละคนสองคนตามที่จะทำได้ แต่เราต้องได้เสียก่อน เราต้องมีธรรมะมีศีลธรรมเสียก่อน เป็นเรื่องที่ประชาชนจะต้องช่วยตัวเอง ไม่หวังได้จากเบื้องบนที่ไหน ประชาชนจะต้องช่วยตัวเองโดยเอาศีลธรรมเป็นอาวุธ เป็นที่พึ่ง เป็นที่ต้านทาน เป็นอะไรขึ้นมา (เสียงแทรก : อาจารย์ ๓ ทุ่มครึ่งแล้วครับ) ๓ ทุ่มเท่าไร ครึ่ง ได้อีก ๑๐ นาที คนชั้นต่ำสุดเมื่อมันไม่มาจากเบื้องบนแล้วก็ คนชั้นต่ำสุดนี่ดิ้นรนต่อสู้เพื่อช่วยมนุษย์ช่วยตัวเองโดยมีศีลธรรม นี่ถ้าคนชั้นนี้ก็ไม่มีศีลธรรมอีก มันก็หมดแหละ คือไม่ชอบไม่รักศีลธรรมอีกมันก็หมด แม้แต่ในวัดในวาในอะไรก็ไม่ ไม่ต้องการศีลธรรมกันแล้ว มันก็หมด ประชาชนควรจะเรียกร้องศีลธรรมจากรัฐบาล เหมือนที่พวกกรรมกรเขาเรียกร้องค่าจ้าง ปรับปรุงค่าจ้างเขาก็เรียกร้องต่อสู้เป็นการใหญ่ แต่ไม่มีใครเรียกร้องศีลธรรม ที่แล้วมามันก็พิสูจน์กันแล้ว พอ พอเพิ่มค่าจ้าง เพิ่มเงินเดือนอะไร ของมันก็แพงตามขึ้นไป สมกันอีก ดักหน้าอยู่อีก มันก็ไม่มี ไม่มีวันที่ว่าเงินเดือนหรือค่าจ้างจะพอใช้ เพราะไม่มีศีลธรรมนี่ ไอ้คนนั้นเองมันก็ไม่มีศีลธรรม คนปลูกผักขายก็ไม่มีศีลธรรม คนฆ่าหมูขายก็ไม่มีศีลธรรม ไม่มีศีลธรรมกันไปหมด มันจะขึ้นเงินเดือนขึ้นค่าจ้างกันไปอย่างไรๆ มันก็ ก็ไม่พออยู่นั่นแหละ มันไม่พออยู่นั่นแหละ ฉะนั้นมีศีลธรรมกันในหมู่คนเหล่านั้นเอง กินแต่พอดี ใช้แต่พอดี ที่มันไม่จำเป็นอย่าไปกินมันเข้า ผู้ผลิต ผู้ขาย ผู้คนกลางอะไร ก็มีศีลธรรมกันไว้ อย่าโกง อย่าขูดรีด อย่า มันก็จะอยู่กันได้โดยไม่ยุ่งยาก ขึ้นเงินเดือน ขึ้นค่าจ้าง ภาคใต้จะให้ ๔๗ บาท พอขึ้น ของมันก็ขึ้น มัน มันเคยเป็นอย่างนั้นมาแล้ว ข้าวปลาอาหารอะไรมันก็ขึ้น ขึ้นกันเองอย่างไม่มีใครห้ามได้ รัฐบาลไม่มีปัญญาห้าม ผักบุ้งกำละสตางค์สมัยโน้นผมเด็กๆ เดี๋ยวนี้กำละ ๑ บาท เรียกมาดูกำละ ๑ บาท ๑ สตางค์ให้เป็น ๑ บาท ปลาตัวละสตางค์สมัยโน้น เดี๋ยวนี้มันก็ตัวละบาท มะพร้าวขึ้นมากกว่าเพื่อน ๒-๓ บาท ที่เคย ๑ สตางค์มาเป็น ๒-๓ บาท มันไม่แก้ปัญหาได้ด้วยการขึ้นค่าแรงหรอกหรือขึ้นเงินเดือน จะแก้ปัญหาได้ด้วยทุกคนถือธรรมะ ถือศีลธรรมกันทั้งทุกๆ ฝ่าย เพียงแต่หยุดกินเหล้า หยุดกิน หยุดสูบบุหรี่ หยุดกินน้ำแข็ง หยุดกินไอ้พวกที่หยุดกินแล้วไม่ตายน่ะก็พอ เงินจะเหลือออกมา ยุบสิ่งเหล่านั้นเสีย ไอ้เรื่องอาบอบนวด เรื่องอะไรต่างๆ ยุบมันสิ เอ้า, ไม่มีปัญหาแล้ว นี่มันก็จะสี่สิบ (๒๑.๔๐ น.) แล้ว ต้องปิดประชุมแล้ว คุณจะได้กลับไปเสียก่อนไฟฟ้าดับ