แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(ธรรมเทศนาท่านพุทธทาส เรื่อง สิ่งที่จะทำความสัมพันธ์ระหว่างศาสนานั้น ก็คือสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้านั่นเอง จาก 57.07-1.50.40 ชั่วโมง)
(เสียงผู้แทนศาสนาคริสต์) เด็กๆ เดี๋ยวร้องทั่วไปเท่าที่จะทำได้
(เสียงตัวแทนเยาวชน) ขอบคุณ เออ ท่านวิทยากร กราบนมัสการท่านเจ้าคุณและก็พระคุณเจ้าทุกท่านและผู้มีเกียรติทุกท่านที่ร่วมการสัมมนา การชุมนุมกันในวันนี้ พวกเราเป็นผู้แทนของเยาวชนจากบ้านโป่ง วัดนักบุญโยเซฟ บ้านโป่ง ที่นั่นเรามีสมาชิกเยาวชนหลายร้อยคนนะฮะ ที่ทั้งเป็นรุ่นเล็ก รุ่นกลาง และรุ่นใหญ่ พวกเรานี่มาในฐานะผู้แทนของเยาวชนรุ่นใหญ่ผู้ที่ทำงานแล้ว เพื่อจะมาฟังธรรมะและก็ปฏิบัติธรรมะร่วมกับพวกท่านในวันฉลองมาฆบูชานี้ด้วย และโอกาสนี้ขอสลับรายการด้วยบทเพลง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ขอเชิญรับฟังครับ
(เสียงเพลง นาทีที่ 01:18 – 03:48) พวกเราทุกคนว่ายวนผลกรรมนำเนื่อง ตกต่ำรุ่งเรืองเกี่ยวเนื่องด้วยกรรมของตน ความดีค้ำจุนจากบุญกุศล ความชั่วจากบาปทุกคน เพราะตนนั้นก่อเวรไว้
บางคนถือดีมั่งมีเพราะทำกรรมชั่ว นั่นบาปสักตัวเกลือกกลั้วมัวเมาเผาไฟ บางคนระอาว่าเหตุไฉน ทำดี แต่จนเหลือใจ ไม่เห็นได้ดีเหมือนว่า
*อย่าเพลินถือว่าเงินเป็นใหญ่ จิตใจเหนือสิ่งใดล้ำค่า เพราะความทุกข์ความสุขใด เป็นที่ใจ ใช่ที่ตา อย่าพะวงหลงลืมตน ทำดีทุกทีต้องมีผลดี โดยทั่ว ก่อกรรมทำชั่ว ได้ชั่วตอบแทนทุกคน คนดีรักดีโชคดีมีผล คนชั่ว ชั่วโฉดเฉาชน ไม่พ้นผลกรรมซ้ำเติม
[ซ้ำ *]
(เสียงผู้แทนศาสนาคริสต์) เห็นท่านทั้งหลายก็เริ่มลืมตาแล้ว แต่ก่อนที่จะหลับตาอีกครั้งหนึ่งอยากจะให้ร้องอีกบทหนึ่ง บท เอาอีกบทหนึ่ง บทอะไร ปลูกบ้านบนหิน สร้างบ้านบนศิลา อันเป็นมีคติอยู่ในตัว มีคติอยู่ในบทนี้
(เสียงตัวแทนเยาวชน) เพลงบทนี้มีชื่อว่า “คนมีปัญญา” ซึ่งก็คือพวกเราท่านทุกคนนี้ ที่มาชุมนุมที่นี้ ดูสิว่าคนมีปัญญาคือคนชนิดใดครับ
(เสียงเพลง นาทีที่ 04:28 – 06:03) คนมีปัญญา สร้างบ้านไว้บนศิลา คนมีปัญญา สร้างบ้านไว้บนศิลา เมื่อมีลมพายุพัดมา เมื่อฝนตกหนัก และน้ำก็ไหลเชี่ยว เมื่อฝนตกหนัก และน้ำก็ไหลเชี่ยว บ้านของเขาก็ยังคงอยู่
คนโง่สร้างบ้าน สร้างบ้านไว้บนหาดทราย คนโง่สร้างบ้าน สร้างบ้านไว้บนหาดทราย เมื่อมีลมพายุพัดมา เมื่อฝนตกหนัก และน้ำก็ไหลเชี่ยว เมื่อฝนตกหนัก และน้ำก็ไหลเชี่ยว บ้านของเขาก็พังทลาย โครม
(เสียงผู้แทนศาสนาคริสต์) เอาอีกทีหนึ่ง
คนมีปัญญา สร้างบ้านไว้บนศิลา คนมีปัญญา สร้างบ้านไว้บนศิลา เมื่อมีลมพายุพัดมา เมื่อฝนตกหนัก และน้ำก็ไหลเชี่ยว เมื่อฝนตกหนัก และน้ำก็ไหลเชี่ยว บ้านของเขาก็ยังคงอยู่
คนโง่สร้างบ้าน สร้างบ้านไว้บนหาดทราย คนโง่สร้างบ้าน สร้างบ้านไว้บนหาดทราย เมื่อมีลมพายุพัดมา เมื่อฝนตกหนัก และน้ำก็ไหลเชี่ยว เมื่อฝนตกหนัก และน้ำก็ไหลเชี่ยว บ้านของเขาก็พังทลาย โครม
(เสียงผู้แทนศาสนาคริสต์) เอ้า พอก่อน อีกประเดี๋ยว ก็เอาอีกๆ เตรียม เตรียมอีก ๒ เพลง คือเปลี่ยนบรรยากาศนิดหน่อย เดี๋ยวก็ฟังไปฟังมา ก็สัปหงกไปหมด
(เสียง ศ. เสถียร ธรรมรังษี) ขอเชิญครับ การอภิปรายจะเริ่มต่อไปครับ
(เสียงผู้แทนศาสนาคริสต์) ครับ ขอบคุณมาก เราเห็นเยาวชนเหล่านี้ มีอะไรในใจอยากให้ มีเพลงอยากร้องให้ฟัง หากว่าไม่ให้ร้อง เขาก็กลุ้มใจ ไม่สบายใจ เมื่อให้แล้วก็มีความสุขใจ นี่จะเป็นบทสอนเรา พระเจ้าสร้างคนมา เพื่อความสุข เมื่อไรเราได้ความสุข เมื่อเก็บโกยมา หรือเมื่อเรารู้จักให้ บางคนคิดว่า เก็บโกยมา แล้วก็มีความสุข เขาตั้งความสุขในสิ่งที่เขาเก็บโกยมา แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาเก็บมานั้น เป็นทราย เป็นสิ่งที่เปลืองที่ เป็นเงินรึ โอ้ เงินอยู่กับมือไม่นาน เงินเป็นทรายแท้ๆ ที่เปลืองที่ ใครสร้างชีวิตบนตัวเงิน มีหวังจะพังแน่ๆ สร้างชีวิตบนตัวมีเกียรติรึ อยากมีเกียรติยศชื่อเสียงรึ โอ้โห เราเห็นหลายคนเกียรติสูงๆ ประเดี๋ยวเดียวก็พังลง นั่นเป็นทราย แต่เราจะตั้งที่เกิดของความสุขที่ไหน ธรรมชาติของพระเจ้าก็สอน เราดูหิน ซึ่งอยู่รอบๆ เรานี้ มันคล้ายๆ กับมีความสุข ต่อเมื่อมีคนนั่งบนเขา บนมัน สถานที่ที่เราอยู่นี้ รู้สึกตื่นเต้นทั้งหมด ต่อเมื่อเรามาเหยียบ มานั่ง มาอาศัย แสดงว่ามันเป็นประโยชน์ ถ้าคนไม่เคยมา ไม่มีประโยชน์อะไรเลย โอ้โห มันโศกเศร้า ดูต้นไม้เหล่านี้ คล้ายๆ จะมีชีวิตอยู่
(เสียง ศ. เสถียร ธรรมรังษี) ขอโทษครับ ผมขอโทษหลวงพ่อ หลวงพ่อกำลังจะพูดเรื่องอะไรครับ
(เสียงผู้แทนศาสนาคริสต์) พูดเรื่อง ไอ้เกินไป
(เสียง ศ. เสถียร ธรรมรังษี) นั่นแหละฮะ
(เสียงผู้แทนศาสนาคริสต์) ไอ้เรื่องเกินไปนั่น
(เสียง ศ. เสถียร ธรรมรังษี) ครับ ครับ ช่วยกรุณาบอกแบบอย่างการครองชีวิตนะฮะ ของทางศาสนาคริสต์ที่จะได้ตัดส่วนเกินออกไป เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง
(เสียงผู้แทนศาสนาคริสต์) กำลังจะถึง
(เสียง ศ. เสถียร ธรรมรังษี) ครับ ครับ
(เสียงผู้แทนศาสนาคริสต์) นี่เป็นอารัมภบทเล็กๆ น้อยๆ ดูธรรมชาติต้นไม้ ดูต้นมะม่วงต้นหนึ่งทำงานมาตลอดปี ก็เพื่อผลิตผล ผลนั้นสำหรับใคร ต้นมะม่วงกินเองรึ เคยเห็นมะม่วงกินลูกมะม่วงไหม หรือเมื่อเราไปเก็บ ต้นมะม่วงนั้นก็รู้สึกเหมือนกับมีความสุข พระเจ้าสร้างสิ่งใดมา เพื่ออุทิศตนสำหรับคนอื่น แต่พระเจ้าสร้างมนุษย์มา สำหรับเราจะได้ใช้ชีวิตของเรา ช่วยมนุษย์ซึ่งกันและกัน ถามคนหนึ่งไปเรียนแพทย์ทำไม บางคนว่าเพราะเรียนแพทย์แล้วได้เงินเยอะ แหม อุดมการณ์ต่ำจริง อีกคนหนึ่งมาจากปักษ์ใต้ มาจากนครฯ ถามเขาว่าเรียนแพทย์ทำไม ผมไม่เห็นในหมู่บ้านของผมไม่มีหมอ คนตายเพราะไม่มีความรู้ทางแพทย์นี้เยอะแยะ ผมจะเรียนเพื่อกลับบ้านของผม และก็จะเป็นแพทย์ที่นั่นช่วยชีวิต เขามีความสุขเพราะว่าต้องการช่วยชีวิต คริสตศาสนาไม่มีอะไรดีกว่าศาสนาอื่นในเรื่องนี้ คือว่าสอนว่าเราต้องอุทิศตนสำหรับคนอื่น เพราะว่าเรามีพรสวรรค์ไม่เหมือนกัน คนที่ได้รับพรสวรรค์มาก ก็เพื่อช่วยคนที่ได้รับน้อย ไม่ใช่สำหรับเก็บเอาไว้สำหรับตัวเอง หากว่าคนหนึ่งรวย เพราะมีสติปัญญาดี รู้จักทำมาหากิน ไม่ใช่เพื่อเก็บเงินเอาไว้ แต่เพื่อจะใช้นั้น ให้เป็นประโยชน์สำหรับมนุษยชาติทุกๆ คน ทุกอย่างในโลกนี้เป็นสมบัติของมนุษย์ทุกคน เพียงแต่คนที่มีมาก เป็นผู้จัดการ สำหรับคนที่มีน้อย จะต้องแบ่งให้แก่ซึ่งกันและกัน พระเยซูเจ้าทรงเสกสรรบทสอนนี้ให้เป็นบทบัญญัติของพระองค์ พระองค์ว่าขอมอบบทบัญญัติใหม่ คือให้รักกันและกัน เมื่อท่านให้น้ำแก้วหนึ่งกับผู้ที่กระหาย เหมือนการให้แก่เราโดยตรง บุญของผู้ที่มีใจเผื่อแผ่เมตตา บุญของผู้ที่รู้จักเยี่ยมคนไข้ คนเจ็บ คนป่วย รู้จักเยี่ยมนักโทษในคุก รู้จักบรรเทาทุกข์ของคนทั้งหลาย คนเหล่านั้น เมื่อทำแก่คน แม้จะต่ำต้อยที่สุด ทำต่อเรา คล้ายๆ กับว่าในพุทธศาสนา พระโปรดสัตว์แต่ละเช้าโดยออกบิณฑบาต ให้โอกาสแก่ปุถุชนทั้งหลาย ที่จะทำบุญ และปุถุชนก็ไหว้ขอบใจพระ พระเจ้าออกบิณฑบาตเหมือนกัน ในตัวคนจนทุกคน โปรดสัตว์ เพื่อให้โอกาสแก่เราทุกคนที่จะขอบคุณพระองค์ ที่ให้โอกาสเราที่จะแบ่งสิ่งที่เรามีอยู่เกินไป ให้แก่ธรรมทั้งหลาย การทำบุญให้ทาน จึงเป็นกิจวัตรสำหรับนมัสการพระเจ้า ซึ่งเราแลไม่เห็นพระองค์ แต่เราเห็นพระเจ้าในผู้ที่มีความต้องการ นี้เป็นหลักใหญ่ในการใช้สมบัติของโลก เพื่อเป็นประโยชน์ซึ่งกันและกัน คิดว่าผู้ดำเนินการอภิปรายก็ ผมถึงจุดหรือเปล่าไม่รู้
(เสียง ศ. เสถียร ธรรมรังษี) ถึงแล้วครับ
(เสียงผู้แทนศาสนาคริสต์) เอาล่ะ ขอบคุณ พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวหาว่าเลยเวลาไป
(เสียง ศ. เสถียร ธรรมรังษี) ขอเชิญครับ ขอบคุณมากครับ
(เสียงผู้แทนศาสนาอิสลาม) รอบที่สอง อดสงสารท่านผู้ฟังไม่ค่อยได้ ที่มาคอยรอรับการแจกยาของพวกกระผมในวันนี้ มียามาแจก แต่ว่าเป็นยาลม คือยาลมปาก ไม่ใช่ยาแก้ลม ถ้ายาแก้ลมนี่อีกเรื่อง
เออ วันนี้เรามาถึงไอ้ตอนเรื่องของการให้ ตัดทอนการส่วนเกิน หรือว่าระงับ อย่ารับส่วนเกินอะไรอย่างนี้ หรือช่วยกันกำจัดไม่ให้ส่วนเกินมันมาแผ้วพานกับตัวของเรา เพื่อจะได้เกิดความสันติ สันติสุข สันติภาพอะไรเกิดขึ้น ศาสนาอิสลามได้มีคำสอนซึ่งนำมาโดยพระศาสดาว่า สูทั้งหลายพึงอุปโภค บริโภคตามความจำเป็นของสู แต่สูทั้งหลายอย่าฟุ่มเฟือย หรือว่าอย่ามากเกินไป เอาแต่พอปานกลาง หรือมัชฌิมาอะไรที่ว่า จะกิน จะดื่ม ประทานโทษนะ เราพูดกันคำไทยๆ คำตลาดๆ ง่ายดี ฟังง่าย พูดคำพระ คำเจ้า จะฟังยากสักหน่อย ผมเลยขอนอกเรื่องนิดหนึ่ง ผมเคยออกไปชนบทกับพวกบัณฑิตทั้งหลาย ทั้งที่เป็นดอกตงดอกเตอร์อะไรนั้นนะฮะ และก็มีผู้สำเร็จเป็นท่านมหาฯอะไรบ้าง ท่านมหาฯเองก็พูดว่า เรื่องของศาสนาเราเสื่อมหรือไม่เสื่อม ก็พูดกันไปพูดกันมาก็ลงเอยกันที่ว่า การอรรถาธิบายศาสนานั้นน่ะ ควรจะใช้ภาษาของเขาพูดออกจากตลาดเกินไป คือใช้ภาษาคน เขาว่าอย่างนั้น บอกภาษาที่พระพูดก็ดี หรือผู้รู้ทางศาสนาต่างๆ พูดก็ดี มักจะเป็นเอาศัพท์ของศาสนามาพูด ผู้ฟังเลยไม่เข้าใจ ก็เลยพูดภาษาตลาดๆ จะได้เข้าใจ ก็อย่างที่เรากำลังจะพูดกันในวันนี้ กระผมรู้สึกปิติยินดีมาก กระผมพยายามฟังวิทยุ เมื่อบ่อยๆ ครั้ง แทบทุกต้นเดือน ก็ได้ฟังพระท่านเทศน์ภาษาชาวบ้าน ฟังง่าย ศาสนิกที่อื่นก็เข้าใจ อันนี้ก็ตรงเป้าของพวกเราแล้ว
เออ ย้อนกลับไปถึงเรื่องเมื่อกี้นี้ ว่าอย่ากิน อย่าดื่ม อย่าใช้เครื่องใช้ จนเกินความพอดี เขาบอกว่าอย่าฟุ่มเฟือย เพราะว่าอย่าเกินความพอดี คนเรามีกระเพาะก็จำกัด มีร่างกายก็จำกัด เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องการก็ปัจจัย ๔ สิ่งที่เกินนั้นไม่มีประโยชน์ เรารับประทานอิ่มโดยเต็มกระเพาะ ถ้าเรามีเงินร้อยหนึ่ง อาหารราคาร้อยหนึ่ง และเรารับประทานอิ่มเพียงร้อยหนึ่ง ส่วนที่เกินกว่าร้อยนั้นน่ะ รับประทานอีกไม่ได้แล้ว เพราะกระเพาะมันเต็ม เราจะมีเงินอีกสักเท่าไรก็ตามเถอะ ก็คงบริโภคได้เพียงแค่ร้อย มันเป็นอยู่แค่นั้น เหมือนแก้ว แก้วใบนี้บรรจุน้ำได้เพียงแค่นี้ จะไปเอากระป๋องกระแป๋งอะไรซึ่งโตกว่านี้มาบรรจุไม่ได้ ส่วน ส่วนเกินนั้นมันจะล้นออก ก็คงจะได้แต่เพียงปริมาณของแก้วที่มีน้ำหนักบรรจุ เอ้อ มีที่บรรจุ ที่มีที่ว่างบรรจุแค่เท่านั้นเอง ฉะนั้นส่วนเกินนั้นมีประโยชน์ไหม ถ้าเราเทน้ำที่ล้นออกจากแก้วนี้ไป ไม่มีประโยชน์ แก้วมันต้องการเพียงน้ำที่เต็มมันเท่านั้น ฉะนั้นส่วนที่เกินนั้นไม่มีประโยชน์แก่แก้ว ในทำนองเดียวกัน คนก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกัน แล้วทำไมเราจึงอยากได้ ไอ้สิ่งที่เราอยากได้ ก็ด้วยเหตุว่าคนเรามันมีกิเลส ไอ้ที่รบกัน ฆ่ากัน ที่แย่งกันเป็นใหญ่เป็นโตเพื่อจะครองบ้านครองเมืองและครองโลกอะไรนี้ ก็เกิดจากกิเลส ซึ่งมาจาก รส เสียง แสง สี อะไรเหล่านี้ อย่างที่พระคุณเจ้าท่านว่าเมื่อกี้นี้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเหตุว่า มนุษย์เรานั้น ห่างเหินจากพระธรรม ศาสนาทุกศาสนาไม่มีเสื่อมเป็นอมตะ คงทนถาวรอยู่ตลอดเวลา หากเสียว่าศาสนิกต่างหากเป็นผู้ทำให้เสื่อม คือศาสนิกเสื่อมเอง ไม่ศรัทธาจริง ไม่ปฏิบัติจริง ไม่ได้ชื่อว่าเป็นศาสนิก ผู้ที่เป็นศาสนิกต้องศรัทธาจริง ปฏิบัติจริง จึงจะเรียกว่าศาสนิก คือเป็นผู้ถือศาสนานั้นๆ จริง ไม่มีพระธรรมที่ไหนเลย ที่สอนแล้วไม่บอกว่าให้ปฏิบัติตามนั้น ทุกพระธรรมให้ปฏิบัติ สอนให้ปฏิบัติในทางที่ดี และละเว้นในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ฉะนั้นเรื่องส่วนเกินนี้ พระธรรมก็สอนไว้ ว่าไม่ควรแสวงหาส่วนเกิน ที่จะไปริดรอนความต้องการของผู้อื่นเขา และที่ร้ายที่สุด เป็นการบ่อนทำลายเศรษฐกิจทางอ้อม ทางตรงด้วยไม่ใช่ทางอ้อม ทางตรงทีเดียว เพราะว่าเราเห็นได้ว่าในประเทศไทยของเรานี้ มีคนรวยน้อย แต่คนจนมาก แต่ว่าคนพวกเหล่านั้นน่ะ กอบโกยเอาแต่ส่วนเกินไปไว้ในที่ที่เดียว และก็ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลย ถ้าจะเกิดก็เป็นส่วนเกินอีก คือการรีดเอาดอกเบี้ย ก็เรียกว่าส่วนเกินอีกนั่นแหละ ศาสนาอิสลามห้ามเด็ดขาด ไม่ให้ ไม่ว่ากิจการใด จะเป็นการค้า การขาย ห้าม ไม่ให้เอาส่วนเกิน ซึ่งไทยๆ เราเรียกว่าดอกเบี้ย ศาสนาอิสลามเรียกว่า ริบา ใครรับ ใครให้ถือว่าเป็นบาป ไม่ใช่แต่ผู้ให้อย่างเดียวนะ ผู้รับก็บาป เพราะว่าผู้รับนั่นน่ะ เป็นผู้สมรู้ด้วย กฎหมายกับธรรมบัญญัติน่ะ มันมารอยเดียวกัน คือกฎหมายนี้เอามาจากธรรมบัญญัติ จึงมาตราเป็นกฎหมายขึ้น ฉะนั้นคนขโมย กับคนให้ที่อยู่อาศัยแก่ขโมยก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ฉะนั้นผู้ให้เป็นตัวแรกที่ก่อให้เกิดการประพฤติมิชอบ และผู้รับก็เป็นผู้สนับสนุนด้วย เป็นผู้ร่วมด้วย
ส่วนเกินของมนุษย์นี่มีมาก มีมากเหลือเกิน ทั้งนี้เพราะเหตุว่ามนุษย์เรานั้นน่ะไม่ชอบมองต่ำ ชอบมองสูง ตื่นเช้ามาทุกคน ขอโทษ ไม่มีใครที่จะมองเท้าของตัวก่อน ต้องมองหน้า มองศีรษะก่อน ตื่นเช้ามาหวีผม ล้างหน้า ผัดหน้า แปรงฟัน ไม่ได้คิดถึงเท้าเลยว่ามันมีความสุขอยู่ด้วยหรือเปล่า มีอะไรไปซอกซ้อนอยู่ในเล็บในอะไรมั่งหรือเปล่า ซึ่งมันจะเป็นอันตรายแก่เท้าเรา ไม่มีใครคิด ไม่มีใครดู นิสัยของมนุษย์เป็นอย่างนั้น และที่ก่อให้เกิดความปั่นป่วนแก่โลกนั้น ไม่ใช่มองเฉพาะอย่างที่ผมอุปมา หากแต่ว่าไปมองสิ่งที่เย้ายวน คือโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือทรัพย์สินนั่นเอง เราชอบไปมองคนรวย และก็ตั้งความอิจฉา ตั้งความริษยา และก็ตั้งเจตนาว่า ฉันอยากจะได้เหมือนอย่างนั้นด้วย ไม่ว่าจะได้มาโดยวิธีใด เราอยากได้มาด้วย ทำไมเราไปมองอย่างนั้น ที่เราหักห้ามกิเลสไม่ได้ก็เพราะเหตุว่า เราขาดพระธรรมตัวเดียว
ถ้าหากว่าเรามีธรรมประจำใจอยู่แล้ว กิเลสนั้นไม่อาจจะโงหัวขึ้นมาได้ เพราะว่าธรรมเป็นเกราะที่สำคัญยิ่งทีเดียว ศาสนาอิสลามบอกว่า ผู้ที่จะชนะอะไรๆ ได้นั้นน่ะไม่ใช่ผู้ที่มีความแข็งแรง มีความแข็งแกร่ง ร่างกายล่ำสัน มีอาวุธชั้นดีอยู่ในมือ ไม่ใช่คนประเภทนั้น คนเหล่านั้นที่ชนะด้วยการฆ่าคน ชนะด้วยการชกคน ไม่ใช่อัศวิน แต่อัศวินที่แท้จริงนั้น ต้องฆ่าตัณหาหรือกิเลสของตัวได้ คือขจัดกิเลสของตัวได้นั่นล่ะอัศวิน ส่วนเกินจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเราไม่มีกิเลส ถ้าเราเอาธรรมะเป็นอาวุธ เพื่อกำจัดกิเลสนั้น ฉะนั้นท่านทั้งหลายโปรดอย่ามอง แสง สี เสียง รส นะฮะ สีก็คือความ ท่านไปคิดเอาเองก็แล้วกันนะ อะไรก็แล้วแต่เถอะ รสก็คือความเอร็ดอร่อยอย่างพระคุณเจ้าท่านว่า อย่าไปมอง อย่าไปอยากได้ สิ่งที่เราต้องการ เราทราบดี เราทราบดีครับ ว่าอะไร หิวต้องการกิน กระหายต้องการดื่ม ก็หาสิ่งที่ต้องการกิน ต้องการดื่มนั้นมาไว้ เพื่อตัวเองและครอบครัว พอแล้ว ส่วนเกินนั้นทำอย่างไร ก็แจกจ่ายให้ชาวบ้าน ศาสนาอิสลามบอกว่า จะไม่ยอมรับว่าผู้นั้นเป็นผู้ศรัทธาศาสนาจริง ถ้าตัวเขาอิ่ม แต่เพื่อนบ้านนั้นหิว คนๆ นั้นน่ะ ไม่ใช่ผู้ศรัทธาศาสนาจริงหรอก ศาสนาอิสลามอุปมาไว้ว่า มนุษย์ทุกคนนี่ เหมือนร่างกายร่างเดียว มนุษย์ทุกคนเป็นพี่น้องกันครับ เป็นพี่น้องกัน ถือกำเนิดมาจากอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ ต้องเป็นพี่น้องกัน ฉะนั้นมนุษย์ทุกคนก็คือร่างเดียวกัน ปวดที่ศีรษะ มันร้าวไปทั้งร่าง ปวดที่เท้า มันก็สะท้อนขึ้นมาส่วนบน คือเจ็บตรงหัวใจด้วย ถ้าเช่นนั้นอีกคนหนึ่งเจ็บ เราน่าจะเจ็บด้วย อีกคนหนึ่งเป็นทุกข์ เราน่าจะทุกข์ด้วย ไม่ใช่ว่าเขาทุกข์ แล้วเราก็สบาย นั่นแหละเรากำลังรีดเอาส่วนเกินของคนอื่นเขา ฉะนั้นถ้าเราเป็นสุข ก็ควรผ่อนความเป็นสุข หรือว่าอุทิศความเป็นสุขให้แก่ผู้มีทุกข์บ้าง ถ้าเราทำกันอย่างนี้ ความจริงศาสนาทุกศาสนาก็สอนไว้อย่างนี้ แต่ว่าเราจะเข้าถึงหรือไม่ มันอีกเรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่ง เพราะเหตุว่าเราชอบให้มีวัดใหญ่ๆ มีมัสยิดหรือสุเหร่าใหญ่ๆ มีโบสถ์ใหญ่ๆ ที่ผมว่าอย่างนี้ ไม่ใช่เดี๋ยวจะห้ามท่านไม่ให้สร้างวัด สร้างโบสถ์ ไม่ใช่ ที่บอกว่ามีโบสถ์ใหญ่ๆ วัดใหญ่ๆ ศาลาการเปรียญใหญ่ๆนั้นน่ะ เพราะมันใหญ่โดยว่างคน ถ้าคนเข้าไปอยู่ในนั้น มันจะแคบครับ แต่นี่เราปล่อยให้มันว่าง วันพระ วันโกน วันดีคืนดี ไม่รู้จัก แต่ชอบสร้าง ชอบสร้างเพื่อให้เกิดความว่างเปล่า ท่านสร้างท่านแล้วไม่ไปดูแลรักษา ไม่ไปช่วยปรุงแต่ง สร้างเรือนไม่มีคนอยู่ ไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์แก่คนเลย และไม่หรูหรา สร้างไว้แล้วปล่อยให้ร้างไว้ ไม่หรูหราหรอกครับ พัง ท้ายที่สุดคือความพัง
ส่วนเกินที่มีประโยชน์ก็มีอยู่ แต่ส่วนเกินนั้นต้องเอามาผนวกไว้ในส่วนที่เป็นธรรม ที่เป็นธรรมะ ส่วนเกินอย่างนั้นท่านขวนขวายเถอะ ท่านขวนขวายเถอะ มีประโยชน์แก่โลก แต่ส่วนเกินที่เป็นทุกข์ของคนอื่น และเป็นทุกข์ของตัวเองด้วยนั้น อย่าขวนขวายหามา คนที่อยากได้อะไรมากๆ นั้นน่ะ ไม่ใช่เพราะมีความสุขนะ เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ครับ นึกทั้งวันทั้งคืนที่อยากจะได้ ได้มาแล้ว อยากจะได้มากขึ้นอีก ได้มามากแล้วก็กลัวเขามา จะมาปล้นมาขโมยอีก ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ มีแต่ความทุกข์ทั้งสิ้นเลย มีเสื้อผ้ามากเกินไป ก็กลัวตัวมันจะกินบ้าง กลัวอะไรบ้าง ก็ต้องเดือดร้อนกับการซักการรีดมากเกินไป
ถ้าเรามีความพอดี สรรพสิ่งทั้งปวงในโลกนี้ ก็จ่ายแจกไปยังมนุษย์ด้วยความพอดี เมื่อทุกคนหรือมนุษย์ทุกรูปทุกนามมีความพอดีแล้ว ความสันติสุขมันก็เกิด เพราะไม่มีการเบียดเบียนกัน ไม่มีการแย่งกัน ไม่มีการเอาเปรียบกัน ไม่มีการเอาส่วนเกินกัน สิ่งเหล่านี้มีอยู่ทุกศาสนา ฆราวาสทั้งหลายมีเพียงศีล ๕ แต่ว่าศีล ๕ นั้น ถ้าหากว่าท่านยึดและท่านปฏิบัติจริงแล้ว นั่นก็พอแล้วสำหรับสร้างความสันติสุขให้แก่มนุษย์และให้แก่โลก นั่นก็พอแล้วครับ ศาสนาอิสลามมีรอบตัวเลย มีรอบตัวเลยฮะ ไม่ใช่ศีล ๕ หรอก ศีลรอบตัวเลย กระดิกไปทางไหนต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ของกฎบทบัญญัติของศาสนา และเราจะเป็นสุข คนที่อยู่ในศาสนาที่จริงจัง ทั้งการศรัทธาและการปฏิบัตินั้น เป็นสุขครับ มีความสุข อย่างที่ท่านนั่งอยู่นี้ อากัปกิริยาการนั่งของท่านเป็นทุกข์ แต่ว่าจิตใจของท่านเป็นสุข เพราะว่าได้มาได้ฟังพวกผมตอแหลให้ฟัง เอ้า, ว่าตลาดๆ ให้มากๆ ก็ท่านง่วงน่ะ ท่านง่วง ไอ้ง่วงนี่มันก็เป็นสุขเหมือนกัน เพราะง่วงถึงเวลาจะได้หลับ นี้ถ้าง่วงถึงเวลามัวกังวลว่า เราจะเอาส่วนเกินจากส่วนเกินที่ท่านได้รับวันนี้ ได้รับแจกวันนี้ซึ่งเป็นยาลมนี่ เป็นส่วนเกินที่มีประโยชน์ครับ เป็นส่วนเกินที่มีประโยชน์ ถ้าเราไม่ได้แจกวัตถุออกไป แจกแต่ลม รับเอาไปก็ไม่หนักหนาอะไร ไม่ต้องแบก ไม่ต้องหาม เก็บเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจแล้วก็สบาย มีความสุข
อยากจะสรุปว่าท่านรักตัวของท่านมากน้อยเพียงใด ท่านต้องรักคนอื่นเท่าเทียมกับที่ท่านรักตัวของท่านด้วย นั่นล่ะ สันติสุขมันจะเกิดในสังคมมนุษย์และสังคมบนโลก ครอบครัวใดเอาตัวรอดแต่เพียงตัวของตนเอง หรือว่าตัวใครตัวมัน ครอบครัวนั้นไม่มีความสุขหรอกครับ ไม่มีความสุข และถ้าครอบครัวใดแย่งกันเพื่อแสวงความสุข มีของดีแล้วก็เก็บเอาไว้ เก็บงำเอาไว้ และก็กินเสียคนเดียว เมียจะเป็นไงก็ช่าง หรือผัวจะเป็นไงก็ช่าง ฉันกินแล้ว ฉันสบายใจแล้ว ฉันอิ่มแล้ว ลูกอดโซแค่ไหน ก็ไม่ได้คำนึงถึง ครอบครัวนั้นไม่มีความสุขหรอก ฉันใดก็ดี สังคมมนุษย์ก็ฉันนั้น คือถ้าให้เกิดความพอดีเหมือนๆ กัน ถ้ามีใคร ใครคนใดล้นไป ก็เฉลี่ยความล้นนั้นแก่ผู้ที่ขาด เพื่อจะได้เกิดความพอดีขึ้นมาบ้าง ไม่มากก็น้อย ก็ยังเป็นกุศล ฉะนั้นเรื่องของศาสนานั้นน่ะ วันนี้หัวข้อเรื่องก็คืออยากจะให้พวกเราได้ทราบว่า ศาสนานั้นมันสร้างความสุขแก่โลก สร้างความสันติภาพ สร้างความสันติสุข เราตื่นเช้ามักจะกล่าวกันว่าสวัสดีครับ ต่างก็ให้พรกันอยู่ตลอดเวลา อิสลามนั้นบอกว่า อัสลามุอะลัยกุม มีความหมายว่าขอให้ท่านประสบความสุขสันติ ศาสนาอิสลามว่าอย่างนั้น ก็ได้ความว่าสวัสดีนั้นแหละ อันเดียวกันนั่นแหละ ฝรั่งเขาก็บอก Good, Good morning, Good afternoon Good evening อะไรเหล่านี้ แต่อิสลามคำเดียวเลย ทั้งเช้า ทั้งเย็น ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ทั้งเมื่อไรก็แล้วแต่ไทยๆ เราก็สวัสดีเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องบอกว่าสวัสดีตอนเช้า พอพูดตอนเช้ามันก็เช้าแบบนั้นล่ะครับ พูดตอนสายมันก็ตอนสาย แต่ฝรั่งเขายัดเอาเช้าด้วย เอาเที่ยงด้วย เอาเย็นด้วย เอากลางคืนด้วยใส่ไป ผมว่าไม่จำเป็นหรอก เราพูดตอนไหนมันก็เป็นตอนนั้นน่ะ ไม่ต้องบอกว่าที่ฉันพูดเป็นตอนบ่ายนะ ไม่จำเป็นต้องบอก สวัสดีครับตอนบ่าย ไม่จำเป็น นี่นอกเรื่องนะ ก็ปล่อยให้มันครึ้มๆ เล่นเท่านั้นแหละ ก็น่าจะพอแล้วมั้งท่านพิธีกร
(เสียง ศ. เสถียร ธรรมรังษี) ผมก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกัน เห็นท่านกำลังเพลิน ท่านพอแล้วครับ
(เสียงผู้แทนศาสนาอิสลาม) มีอะไรจะถามก็ถามได้
(เสียง ศ. เสถียร ธรรมรังษี) ผมได้สัญญาไว้ตั้งแต่ตอนต้น ว่าการอภิปรายวันนี้จะต้องมีหัวข้อสรุปและจะต้องทำความศักดิ์สิทธิ์ให้เกิด คือนำผลแห่งการอภิปรายวันนี้ไปปฏิบัติ ไม่ใช่เพียงเพื่อผู้ฟัง และก็เอาเก็บไปโดยที่ไม่ไปปฏิบัติเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่กลุ่มชน เพราะฉะนั้นผมจะลองสรุป การอภิปรายรอบที่สองของท่านผู้อภิปรายทุกท่าน ท่านผู้แทนศาสนาทุกศาสนา มีหลักธรรมเพื่อกำจัดส่วนเกินด้วยกันทั้งสิ้น ในพุทธศาสนาพระคุณเจ้าแสดงถึงเหตุแห่งอบายมุข ซึ่งควรจะต้องทำลาย และแสดงถึงหลักประหยัด ซึ่งตรงกันทั้งศาสนาคริสต์และทั้งศาสนาอิสลาม ส่วนหลักทั่วไปนั้น ท่านผู้แทนศาสนาทั้ง ๓ ศาสนา ประกาศอยู่เหมือนกันหลักหนึ่ง คือหลักเมตตากรุณา หรือที่เรียกว่าช่วยเหลือรักใคร่ซึ่งกันและกัน นี้คือหลักการอภิปรายที่พอจะสรุปได้ในรอบที่สอง เพื่อให้ได้ตามความมุ่งหมายของท่านผู้ที่เชื้อเชิญเรามาว่า ควรจะได้กำจัดเรื่องที่เกี่ยวกับส่วนเกิน และเพื่อให้ธรรมะในศาสนาทุกศาสนา ก่อรูปเป็นศาสนสัมพันธ์ เพื่อให้บุคคลในศาสนาทุกศาสนาก่อเป็นสังคม เพื่อเป็นศาสนสัมพันธ์ ทั้งบุคคลและทั้งส่วนธรรมะ เพื่อให้เกิดความรักกันฉันท์พี่น้องและช่วยเพื่อนร่วมโลก ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย กล่าวโดยเฉพาะก็คือช่วยสังคมไทยนี่เอง กระผมเห็นว่าหลักเหล่านี้ เป็นหลักที่ศาสดาทุกท่าน ในพุทธศาสนาเองก็มีหลักเมตตาที่ ขอโทษ ทางมหายาน พุทธศาสนาฝ่ายมหายานถือว่าหลักเมตตาเป็นหลักสูงสุด ถึงกับสมมติเป็นพระโพธิสัตว์สูงสุดองค์หนึ่งในหลักของมหายาน พุทธภาษิต ขอโทษ ที่ว่าเมตตาเป็นหลักสูงสุดนั้น ก็คือถือหลักว่าถ้าพระพุทธเจ้าไม่มีเมตตาธรรม ถ้าไม่ทรงพระกรุณา ถ้าไม่ทรงเมตตาในเบื้องต้น ธรรมะที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว จะไม่มาถึงพวกเราเลย มหายานจับตรงนี้
อย่างไรก็ตาม เรารับกันว่าเมตตานั้นเป็นธรรมะคุ้มครองโลก คุ้มครองสังคม ซึ่งชาวพุทธย่อมทราบทั่วกัน ทางฝ่ายศาสนาคริสต์นั้น คุณพ่อบาทหลวงก็ได้แสดงถึงหลักเมตตาเอาไว้ให้ปรากฏ มีพระธรรมเทศนาบทหนึ่งของพระเยซูคริสโตเจ้า คือเทศนาบนภูเขา ซึ่งถือว่าเป็นปฐมเทศนา เป็นเทศนาที่สำคัญที่สุดของพระเยซูเจ้า เทศนากัณฑ์นี้แสดงถึงเมตตาธรรมทั้งหมด หรือ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของเทศนากัณฑ์นี้ ศาสนาคริสต์ได้ชื่อว่าเป็นศาสนาของความรัก ศาสนาอิสลามนั้นเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ อย่างที่ท่านผู้แทนได้แปลให้พวกเราฟังแล้ว สันติภาพที่จะเกิดนั้นก็คือการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การเมตตาปราณีซึ่งกันและกัน การที่รู้จักพอดีในตัวเองและในส่วนอื่นๆ และที่น่าขอบใจที่สุดก็คือ ท่านผู้แทนศาสนาอิสลามยอม ขอโทษ ไม่ใช่ยอมครับ สนับสนุนหลักการปฏิบัติศีลของมนุษย์ ๕ ข้อ ว่าถ้าปฏิบัติตามนี้ได้ ปัญหาอื่นไม่มี มีแต่อย่างเดียวคือ สันติภาพเท่านั้น กระผมในฐานะที่เป็นชาวพุทธต้องขอขอบพระคุณท่าน เพราะฉะนั้นเมื่อได้สรุปเนื้อหาของคำอภิปรายตามความปรารถนาของผู้ที่เชื้อเชิญเรามาแล้ว เราก็จะทำข้อสรุปของการอภิปรายเพื่อให้เป็นหลักในการที่จะรณรงค์ต่อไป ผมจะถามความเห็นจากท่านผู้ฟังก่อน ว่าหลักที่ผมจะสรุปต่อไปนี้พอหรือไม่ ถ้าไม่พอ ถ้าท่านผู้หนึ่งผู้ใด มีความนึกคิดอื่น เหนือจากที่ผู้ร่วมอภิปรายทั้ง ๓ ท่าน ได้อภิปรายไปแล้ว ผมให้โอกาสที่จะมาแสดงความคิดเห็นในที่นี้ เพื่อจะสนับสนุนการอภิปรายของเราให้ได้ผลยิ่งขึ้น
หลักที่ผมคิดว่าควรจะทำการรณรงค์ได้ ถือเป็นหลักรณรงค์ได้ก็คือ หัวข้อนี้อาจจะสลับนะครับ ขอท่านผู้แทนมูลนิธิฯ จดไว้ด้วย ท่านผู้แทนกลุ่มศาสนสัมพันธ์ จดไว้ด้วย แล้วเราเอาไปปรับกันทีหลัง
๑. ทำลายแหล่งอบายมุข
๒. รู้จักประหยัด หรือรู้จักความพอดีอะไรก็ตาม
๓. เมตตา รักเพื่อนมนุษย์นะครับ อันนี้ นี่เป็นแต่ความเคลื่อนไหวทางใจเท่านั้น
๔. ช่วยเหลือเจือจานซึ่งกันและกัน ให้เป็นความเคลื่อนไหวทางกายออกไปด้วย บังคับไว้ในใจ ในหลักเหล่านี้เลย
๕. อันนี้ก็ ผมไม่รู้จะใช้คำว่ากระไรนะฮะ รักษาศีลของมนุษย์ ซึ่งผมพอใจมากในเรื่องศีล ๕ นี่
เป็น ๕ ข้อด้วยกัน Wording เราควรจะปรับปรุงอย่างไรต่อไป เราคิดกัน แต่ว่าเป็นอันแน่นอนครับ ว่าจะต้องทำข้อสรุปเหล่านี้เป็น เป็นข้อตกลงที่ศักดิ์สิทธิ์ และจะให้ผู้รับผิดชอบที่ผมกล่าวแล้วเริ่มรณรงค์ เพราะในคำเชิญของเรานี้ ได้แสดงความมุ่งหมายไว้สมกับที่เราตั้งใจก็คือ โครงการของมูลนิธิฯมีว่าอย่างนี้ครับ ให้ถือว่าโครงการวันนี้เป็นครั้งแรก และจะทำโครงการนี้ในครั้งต่อๆ ไป ก็หมายความถึงรณรงค์หัวข้อตามหัวข้อต่างๆ อย่างที่เรากล่าวมานี้ ขอเชิญครับ ท่านผู้หนึ่งผู้ใด มีความคิดอื่นใด ที่ควรแก่การส่งเสริม หรือเพิ่มเติม ผมขอเชิญครับ
(เสียง ศ. เสถียร ธรรมรังษี) ไม่มี
(เสียงผู้ชาย) มี กำลังเดินมา
(เสียง ศ. เสถียร ธรรมรังษี) อ้อ เชิญครับ บอกชื่อ
(เสียงครูวงศ์ อมรสินสวัสดิ์) ผม อดีตเป็นครู ชื่อวงศ์ อมรสินสวัสดิ์ ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นวิทยากรของมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ ในหัวข้อที่จะฝึกนิสัยเด็กของเรา ไปสู่เป้าหมายที่จะให้เป็นคนดีในอนาคต ควรจะทำอย่างไร ผมฟังการอภิปรายตลอด และก็เห็นด้วยที่ท่านผู้นำอภิปรายสรุปลงไว้ ๕ ข้อเมื่อตะกี้นั้น แต่การที่จะนำสิ่งเหล่านี้ ไปสู่จุดหมายที่เราต้องการ คือโลกจะพบสันติภาพได้นั้น จุดหมายสำคัญที่สุดก็คือการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงสร้างในการศึกษานี่จะต้องเปลี่ยนแปลงหมดทั้งโลก โลกจึงจะพบกับสันติภาพได้ สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงการศึกษามีอยู่ ๙ ประการ
ประการแรกก็คือ ปรัชญา โดยเฉพาะผมจะเน้นในเรื่อง ยกระดับจิต นะครับ ซึ่งมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ กำลังรณรงค์ ที่กระทำอยู่ หาปรัชญาการศึกษา หลักสูตร แบบเรียน วิธีสอน อุปกรณ์ การวัดผล การฝึกหัดครู อย่างพระคุณเจ้าอาจารย์พุทธทาสบอกว่า ครูคือผู้กำชะตาโลก ฉะนั้นสิ่งที่เราจะนำโลกไปสู่สันติภาพถาวรได้ ก็คือครู ถ้าหากว่าครูทั้งโลกไม่เข้าใจความมุ่งหมายอันนี้ สิ่งที่มนุษยชาติปรารถนานั้น เป็นอันว่าไม่พบแน่นอน ฉะนั้นจะต้องสร้างครูของเราขึ้นมาใหม่ เป็นครูที่ยกระดับวิญญาณได้อย่างแท้จริง นะครับ อันนี้ผมเห็นว่าสำคัญที่สุด และโลกที่เราไม่พบสันติภาพ ตามที่มนุษย์ปรารถนา นอกจากการศึกษาแล้ว ก็คือการปกครอง ปัจจุบันนี้โลกมีการปกครองอยู่ ๒ ระบบ คือคอมมิวนิสต์กับประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ยืนอยู่ได้ เพราะใช้เผด็จการอย่างสมบูรณ์แบบ คือใครขวาง แขวนคอ ส่วนพุทธศาสนานั้น ก็ต้องปฏิบัติดังผู้อภิปรายนำไปแล้ว ที่พูดแล้ว ผมไม่พูดซ้ำอีก อันนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ปัจจุบันนี้โลกมีทั้งคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตย จะคอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตยครองโลกก็ตาม ยังไม่ใช่เป็นระบบการปกครองที่จะนำโลกไปสู่สันติภาพถาวร ที่มนุษยชาติปรารถนาได้ ระบบการปกครองที่จะนำโลกไปสู่สันติภาพได้ก็คือ ธรรมาธิปไตย อันนี้ผมได้เขียนหนังสือขึ้นเล่มหนึ่งให้ชื่อว่า สันติภาพในฝัน นะครับ ก็คงไม่นานเกินรอที่ทางมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐจะพิมพ์ขึ้น และก็ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของผลกำไร ก็จะบำรุงมูลนิธิทั้งหมด ส่วนอีก ๒๐ เปอร์เซ็นต์ผมในฐานะผู้เขียนก็ขอรับไว้เป็นค่าใช้จ่าย ก็โปรดเรียนให้ทราบ
ประการที่สามที่โลกเราไม่พบสันติภาพก็คือ ศาสนา อย่างที่ผู้นำ ที่อภิปรายกันในวันนี้ ก็เป็นเหตุเหตุหนึ่งซึ่งจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลามก็ดี ต่างก็เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีความโลภ โกรธ หลง ขอโทษ ถ้าใช้คำตลาดๆ อย่างท่านผู้นำอภิปราย การอภิปรายของศาสนาอิสลามที่ว่าภาษาตลาด ขอโทษนะครับ ที่ผมอาจจะพูดคำที่โสกโดก คือกิน ขี้ ปี้ นอนเหมือนกันหมด เรียกว่าเป็นมนุษย์ แล้วด้วยเหตุไร เราจึงไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจกันได้ในเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ฉะนั้นระบบการศึกษาของโลกต้องเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในเรื่องศาสนา จะต้องเข้าไปใน คือขั้นแรกนี่วิทยาลัยครูทุกแห่งในโลก จะต้องเปลี่ยนแปลงใหม่หมดเลยครับ คือจะต้องให้ศึกษาศาสนาของแต่ละศาสนาที่ตนนับถืออยู่ อย่างถึงแก่นแท้ และยิ่งกว่านั้นก็จะต้องศึกษาศาสนาอื่น เพื่อเปรียบเทียบ หรือเรียนรู้เหมือนกับเรียนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์อะไรทำนองนั้นด้วย อันนี้เป็นความฝัน ซึ่งผมฝันมานานนักหนา และก็เขียนหนังสือขึ้น ซึ่งบางท่านอาจจะคิดว่า มันจะเป็นไปได้หรือ นะครับ รายละเอียดจะมีอยู่ในหนังสือ อย่าให้ผมพูดยาวเลย การที่มนุษย์ไปเหยียบโลกพระจันทร์ได้ ก็มาจากนวนิยาย คือเขาฝัน เขียนขึ้น และในระยะ ๗๐ ปีก็ขึ้นไปถึง เหยียบได้ ตามที่เขาฝัน ความฝันที่ผมฝันนี้ ตามหลักของขงจื้อกล่าวว่า ถ้าหากว่าท่านจะรับประทานข้าว ก็ลงมือปลูกต้นฤดูฝน พอสิ้นฝน ได้กินแล้วครับ ถ้าหากท่านจะทานผลไม้ ลงมือปลูกวันนี้ บำรุงดูแลให้ดี ไอ้ขนุน น้อยหน่า พุทรา มังคุดที่ปลูก ไม่เกิน ๑๐ ปีครับ ได้กินแน่ ถ้าหากว่าจะเปลี่ยนจิตใจมนุษย์ ก็ต้องลงมือทำวันนี้ แต่ก็คอยไปอีกหนึ่งศตวรรษคือร้อยปี ผลที่เราต้องการ เป็นอันว่าสำเร็จแน่ และสันติภาพซึ่งผมถือว่าพระเดชพระคุณคือท่านอาจารย์พุทธทาสได้ดำเนินมาแล้ว ๓๐ ปีนะครับ ผมคิดว่าเหลือเวลาอีก ๗๐ ปีนั้น สันติภาพที่เราต้องการนั้น สำเร็จแน่ครับ ขอบคุณครับ
(เสียง ศ. เสถียร ธรรมรังษี) ขอขอบพระคุณครับ ครูวงศ์ที่ได้มาให้ข้อคิดในเรื่องสันติภาพ และมีเรื่องของศาสนาเข้าไปเกี่ยวด้วย ผมเห็นด้วยกับโครงการสันติภาพของครู ที่กำหนดให้มีการสร้างโครงการศึกษาใหม่ เป็นเรื่องที่แม้เราจะยังทำไม่ได้โดยกำลังของมูลนิธิฯ หรือกำลังของพวกเรา ที่เป็นสมาคมศาสนสัมพันธ์ หรือกลุ่มศาสนสัมพันธ์ก็ตาม แต่ก็เป็นโครงการหรือข้อเสนอแนะที่ไม่น่าจะทิ้งขว้าง น่าจะรับเอาไว้พิจารณา ถ้ามีโอกาส เราควรจะได้เอาโครงการเหล่านี้ มาพูดจากันในที่เปิดเผย เช่นการอภิปรายในวันนี้สักครั้งหนึ่ง ก็น่าจะเป็นประโยชน์ ในฐานะที่กระผมเป็นผู้ดำเนินงานนี้ ก็ขอกลับมายืนยันคำประกาศในครั้งแรกก่อน ตามหัวข้อทั้ง ๕ ที่ได้ประกาศไว้แล้ว ผมเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิ คงได้จดไว้แล้ว และขอให้ได้ปฏิบัติตามนี้ และขอให้แจ้งผลแห่งการปฏิบัติ ให้แก่พี่น้องที่นี่ โดยเฉพาะผู้ที่มาเป็นพยานของการอภิปรายในวันนี้ ได้รับทราบเป็นกลุ่มแรก ก่อนกลุ่มใด พี่น้องที่นี่จะได้ชื่นใจ
ท่านเจ้าคุณอาจารย์ที่เคารพ และท่านศาสนิกที่เคารพรักทุกท่าน กระผมในฐานะที่เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย ก็ใคร่จะปิดการอภิปรายนี้ ด้วยการบอกความรู้สึกในตอนสุดท้ายไว้สักอย่างหนึ่งคือ กระผมเองก็รู้สึกอยู่บ้างว่าการอภิปรายในวันนี้ ถ้าไม่มีหนุ่มน้อยๆ ของหลวงพ่อ เอ้อ คุณพ่อบาทหลวงท่านมาช่วยกล่อมไว้บ้าง ก็คงจะเหงาหงอยเต็มที เพราะเรื่องที่กล่าวกันวันนี้ ถ้าจะว่าเป็นเทศน์ ก็แห้งแล้งเต็มทน ไม่มีความสนุกสนานเลย และถ้าหากการอภิปรายในวันนี้มีหัวข้อที่ผิดพลาดอะไรไปบ้าง ก็ต้องขอโทษ อย่าได้ถือโทษเลย และขอขอบพระคุณท่านที่ได้อุตส่าห์มานั่งฟังอยู่ตลอดเวลา ท่านอาจจะต้องเสียเวลากับการฟังของเราไปเป็นอันมาก เพราะตามกำหนดเวลานั้น เวลานี้ท่านเจ้าคุณอาจารย์ควรจะได้เทศนา เนื่องในวันมาฆบูชาได้แล้ว ผมไม่มีอะไรที่จะกล่าวต่อไปอีก จึงขอขอบพระคุณอีกครั้งหนึ่ง และขอปิดการอภิปรายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ ขอขอบพระคุณครับ (เสียงปรบมือ) ( 57.07 นาที)
(เสียงท่านพุทธทาส) ตามหมายกำหนดการนี้ มีว่าให้อาตมากล่าวสรุปคำบรรยายทั้งหมด คำอภิปรายทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อง่ายแก่ท่านทั้งหลาย ผู้มาฟัง จะเก็บใจความได้ ความมุ่งหมายของการอภิปรายนั้น ไปไกลจนถึงกับว่าศาสนสัมพันธ์กับสันติภาพของโลก ซึ่งหมายความว่าสันติภาพของโลกขึ้นอยู่กับศาสนสัมพันธ์ ท่านจงถือเอาใจความนี้ให้ได้ว่าโลกจะมีความสงบสุขก็เพราะว่าศาสนาเข้ากันได้ ถ้าศาสนาทุกศาสนา หากเข้ากันได้ โลกนี้ก็จะมีสันติภาพ ใจความใหญ่ของเรื่องก็มีว่าอย่างนั้น ทีนี้ก็ให้อภิปราย เพื่อประกอบเพื่อความเข้าใจอย่างนั้น จึงตั้งหัวข้อปลีกย่อยออกไป และแนะทางปฏิบัติไว้เสร็จ คือเพื่อศาสนิกของศาสนาทุกคน เข้าใจถึงหัวใจแห่งศาสนาของตน แล้วก็ปฏิบัติตามศาสนา ซึ่งระบุไปถึงเรื่องส่วนเกินและเรื่องให้รักกัน สำหรับเรื่องรักกันนี้ มันแฝดกันอยู่กับเรื่องส่วนเกิน ถ้าเราเอาส่วนเกินก็คือไม่รักผู้อื่น ถ้าเรารักผู้อื่น เราก็ไม่อาจจะเอาส่วนเกิน เข้าใจว่าทุกคนจะมองเห็นได้ ถ้าเรานึกถึงผู้อื่นอยู่ เราคงไม่กินหมด หรือไม่กินเกิน จะได้เหลือไว้ให้ผู้อื่นบ้าง ฉะนั้นเรื่องรักผู้อื่น กับเรื่องไม่เอาส่วนเกินนั้น มันกลายเป็นเรื่องเดียวกัน นี่เป็นเรื่องที่สองออกมา จากเรื่องหัวใจของพระศาสนา
ทีนี้ก็อยากจะให้ถือเอาใจความตอนที่สำคัญที่สุด คือคำว่า ศาสนาสัมพันธ์ ซึ่งถ้ามีแล้วจะเป็นสันติภาพแก่โลก คำว่าศาสนสัมพันธ์คือความสัมพันธ์กันระหว่างศาสนาทุกศาสนา ทีนี้อะไรจะมาเป็นเครื่องสัมพันธ์ หรือเป็นเครื่องทำความสัมพันธ์กันระหว่างศาสนา ใครเคยคิดบ้าง ที่นั่งอยู่ที่นี่ อะไรจะเป็นเครื่องทำความสัมพันธ์ ระหว่างศาสนาทุกศาสนา ลองเดาดูพลาง ลองคิดดูพลาง อาตมาก็มีความคิดอยู่อย่างหนึ่งเหมือนกัน เป็นของตนเอง เอ้า, ถ้าจะให้ตอบก็ตอบไปเลยว่า สิ่งที่จะทำความสัมพันธ์ระหว่างศาสนานั้นก็คือสิ่งที่เรียกว่า พระเจ้า นั่นเอง นี่ขอช่วยให้ฟังตรงนี้ให้ดีๆ อาตมากล่าวอย่างนี้ว่า สิ่งที่จะทำความสัมพันธ์กันระหว่างศาสนา หรือจะเอามาใช้เป็นเครื่องทำความสัมพันธ์กันระหว่างศาสนาก็คือ สิ่งที่เรียกว่าพระเจ้านั่นเอง เมื่อกล่าวอย่างนี้ ทุกคนก็ต้องถือว่าอาตมายืนยันว่า ทุกศาสนามีพระเจ้า อ้าว ทีนี้อาตมาก็ยอมรับว่าทุกศาสนามีพระเจ้า ถ้าไม่มีพระเจ้า ก็ไม่เรียกว่าศาสนาได้ ทีนี้ตำราเรียนก็เขียนไว้ให้เรียนกันผิดๆ ว่าศาสนาบางศาสนาไม่มีพระเจ้า เรียกว่าพวกไม่มีพระเจ้า เป็น Atheist และก็มีบางศาสนาที่มีพระเจ้า นั่นเป็น Theist เป็นอันว่า คนในปัจจุบันนี้ ที่เรียนตามตำราที่พวกนั้นเขียนให้เรียน มันได้ความว่าบางศาสนามีพระเจ้า บางศาสนาไม่มีพระเจ้า นี่อาตมาถือว่ามันเรื่องบ้า อย่าไปเชื่อมัน ทุกศาสนามีพระเจ้า แต่มันไม่เหมือนกัน พวกหนึ่งมีพระเจ้าอย่างที่เป็นบุคคล พูดเหมือนบุคคล พูดโดยภาษาคน มีลักษณะเป็นคนๆ มีความรู้สึกเหมือนคน ทีนี้ศาสนาอีกพวกหนึ่งนั้น เขาไม่มีพระเจ้าอย่างคน เขามีพระเจ้าอย่างพระเจ้า ฟังดูให้ดี ที่มีพระเจ้าอย่างพระเจ้านั่นแหละแท้จริง มีพระเจ้าอย่างคนนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะพระเจ้าจะเป็นคนไม่ได้ พระเจ้าจะเหมือนกับคนก็ไม่ได้ พระเจ้าจะมีอะไรๆ เหมือนกับสิ่งใดๆ ก็ไม่ได้ นอกจากจะเป็นพระเจ้าเท่านั้น มีความเป็น เช่นนั้นเองของพระเจ้า และก็ไม่เหมือนกับใครด้วย ถ้าเป็นพระเจ้าละก็เหมือนกับใครไม่ได้ นี่คือพระเจ้าที่ไม่ใช่คน ไม่เป็นอย่างคน พุทธศาสนาอยู่ในพวกนี้ พุทธศาสนามีพระเจ้าชนิดที่มิใช่อย่างคน พูดเป็นภาษาฝรั่งสักหน่อยก็ว่า Personal God พระเจ้าอย่างคน Non-Personal God พระเจ้าอย่างที่ไม่ใช่คน ไม่เหมือนคน ที่เขากล่าวอย่างเหมือคน ก็มีกันหลายศาสนา แต่พุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ นั้นเขาก็มีพระเจ้า อย่างที่ไม่ใช่คน คือเป็น Non-Personal ทีนี้มันจะเป็นพระเจ้าที่เหมือนกันได้อย่างไร เมื่อพระเจ้าพวกหนึ่งเป็นคน พระเจ้าพวกหนึ่งไม่เป็นคน นี่แหละคือข้อที่เราพูดกันคนละภาษา พวกหนึ่งพูดภาษาธรรมดา พูดภาษาคน พวกหนึ่งพูดภาษาธรรม ภาษาที่มีความหมายลึก
ทีนี้ก็ไม่ ไม่เอาคน หรือไม่ใช่คนเป็นเกณฑ์กันแล้ว เอาลักษณะ เอาคุณสมบัติของพระเจ้ามาเป็นเกณฑ์กัน ว่าพระเจ้ามีคุณสมบัติอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเราก็พูดได้ว่า พระเจ้าต้องมีคุณสมบัติข้อแรกก็คือ เป็นปฐมเหตุ เป็นที่ออกมาแห่งสิ่งทุกสิ่ง หรือจะเรียกว่าผู้สร้างสิ่งทุกสิ่งก็ได้ นี่เป็นคนก็ได้ไม่เป็นคนก็ได้ ถ้ามันเป็นปฐมเหตุที่ออกมาแห่งสิ่งทุกสิ่ง ได้แล้วก็เรียกว่าพระเจ้าได้ทั้งนั้น จะเป็นคนก็ได้ไม่ใช่คนก็ได้ เหมือนคนก็ได้ ไม่เหมือนคนก็ได้ เอาความหมายทั่วๆ ไปว่าเป็นผู้สร้าง เป็นผู้ควบคุมและเป็นผู้ทำลายสิ่งทั้งปวง สร้างสิ่งทั้งปวง ควบคุมสิ่งทั้งปวงอยู่ ทำลายสิ่งทั้งปวงอยู่ตามโอกาส สิ่งไรทำหน้าที่อย่างนี้ สิ่งนั้นเป็นพระเจ้า จะเป็นอย่างคนก็ได้ ไม่ใช่อย่างคนก็ได้ ถ้าสามารถทำหน้านี้แล้วก็เรียกว่าพระเจ้า หรือจะเอาความหมายอย่างอื่นว่าเป็น Omnipresent อยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง เป็น Omnipotent เหนือกว่าสิ่งใด เป็น Omniscient คือรู้หมด มีปัญญารู้หมด หมายความไม่มีอะไร นอกไปจากสิ่งที่เป็นคุณสมบัติของพระเจ้า ความข้อนี้เหมือนกับจะพูดว่าพระพุทธะ เอ้อ, พระเป็นเจ้านั้นเป็นดิกชันนารีทั้งหมด อะไรๆ ทุกคำมันรวมอยู่ในดิกชันนารี พระเจ้าเป็นเหมือนกับดิกชันนารี นี่สิ่งใดมันมีอยู่ในที่ทุกแห่ง ใหญ่กว่าสิ่งทั้งปวง แล้วก็รู้หมด นี่ก็คือพระเจ้า เอาเท่านี้ก็พอ มาสร้างทุกสิ่ง ควบคุมทุกสิ่ง ทำลายทุกสิ่ง มีอยู่ในที่ทุกแห่ง เป็นใหญ่กว่าทุกสิ่ง รู้ทั้งหมด เอานี้เป็นพระเจ้าก็แล้วกัน ฉะนั้นจะเป็นอย่างคนหรือมิใช่อย่างคนก็ได้ ถ้าว่าสามารถทำหน้าที่เหล่านี้หรือมีลักษณะอย่างนี้แล้วก็เรียกว่าพระเจ้าได้ พุทธศาสนายอมรับเท่าที่อาตมาศึกษามาในพระคัมภีร์ทั้งสิ้น หลักพระพุทธศาสนายอมรับ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ว่ามันมีสิ่งชนิดนี้ มันมีสิ่งที่เป็นที่ออกมาแห่งสิ่งทั้งปวง เหมือนกับว่าสร้างสิ่งทั้งปวงเป็นปฐมเหตุ และก็ควบคุมสิ่งทั้งปวงอยู่ก็มี ทำลายสิ่งทั้งปวงตามคราวตามโอกาสก็มี เหนือกว่าสิ่งทั้งปวงก็มี อยู่ในที่ทุกแห่งก็มี และก็รู้ เป็นที่รวมแห่งความรู้ทั้งหมดนี้ก็มี เรียกชื่อว่าอะไร ก็ไม่เรียกชื่อว่าพระเจ้าอย่างที่คนเขาเรียก แต่เราเอามาแปลว่าพระเจ้าก็ได้ จะเรียกด้วยคำสั้นๆ ว่า สัจจะ ก็ได้ ธรรมะก็ได้ เพราะไอ้คำว่าสัจจะ หรือคำว่าธรรมะนี้ ความหมายมันมากเหลือเกิน มันลึกเหลือเกิน ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลจากหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ไอ้คำว่ากฎธรรมชาติหรือกฎแห่งวิวัฒนาการโดยเฉพาะนี้ เป็นที่ออกมาแห่งสิ่งทั้งปวง ควบคุมสิ่งทั้งปวง มีอยู่ในสิ่งทั้งปวง เหนือสิ่งทั้งปวง คำว่ากฎ กฎคำนั้นแหละฟังให้ดี ทีนี้อาตมาก็เลยเริ่มสนุก เพื่อนคริสเตียนที่เป็นกันเองก็มาเยี่ยม อาตมาก็บอกเขาว่าชาวพุทธก็มีกฎ มี God แต่เราเรียกสั้นเป็นกฎ กลายเป็นกฎ คุณลองออกเสียงคำว่ากฎให้มันยาวสิ มันก็เป็น God คือพระเจ้านั่นเอง ชาวพุทธก็มี God คือมีกฎนั่นแหละ ให้เป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวง ควบคุมสิ่งทั้งปวง ทำลายสิ่งทั้งปวง อยู่ในที่ทุกแห่ง ใหญ่กว่าสิ่งทั้งปวง จะเรียกชื่ออย่างอื่นก็มี เรียกชื่อว่าธรรมธาตุ ธรรมะ ธา ตุ(ทำ-มะ-ทา-ตุ) ในฐานะที่เป็นกฎ และก็เป็นกฎแห่งอิทัปปัจจยตา ประกอบด้วยความหมายว่า ตถตา อวิตถตา อนัญญถตา ธมฺมฏฐิตตา ธมฺมนิยามตา อีกมากมาย มีความหมายเป็นลักษณะของพระเจ้า ผู้เฉียบขาด ผู้สูงสุด ฉะนั้นในพระพุทธศาสนาก็มีพระเจ้า แต่เป็นพระเจ้าอย่างที่มิใช่บุคคล
ขอให้ฟังดูให้ดี เรื่องนี้ต้องฟังดูให้ดี เพระว่าเป็นเรื่องที่อาตมาถูกด่าเหลือประมาณ เขาหาว่าขบถต่อพุทธศาสนาแล้ว ไปทำให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีพระเจ้าเสียแล้ว ทั้งที่พุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า อาตมาบอกว่าคุณนั่นแหละบ้า คุณนั่นแหละตาบอด คุณไม่ดูให้ดี พุทธศาสนาก็มีพระเจ้า คือมีสิ่งที่สร้างสิ่งทั้งปวง ควบคุมสิ่งทั้งปวง เหมือนกับคุณสมบัติทุกอย่าง และอาตมาเอาคำที่เป็นความหมายของพระอัลลาห์ที่ว่าตั้ง ๙๙ คำ หรือ ๙๒ คำมาพิจารณาดูแล้ว ก็เห็นว่ามันหมดเลย มันมีอยู่ในไอ้ความหมายนี้หมดเลย ในคำว่าธรรม ในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นพุทธศาสนามีพระเจ้า ในความหมายนี้ ศาสนาอื่นที่เป็นเครือเดียวกันเขาก็มีพระเจ้าในความหมายนี้ และยังใช้ประโยชน์ได้ด้วย จะเล่าแม้ว่าจะเคยเล่าแล้ว ที่อินโดนีเซีย ประชาชนอินโดนีเซียประมาณ ๕ – ๖ ล้านคน ตกค้างมาตั้งแต่สมัยอิสลามเข้ามายึดครอง พวกนี้หลบหลีกอยู่ในป่าไม่ยอมรับนับถือศาสนาอิสลาม ก่อนนี้เขาก็เคยถือพุทธศาสนา สมัยอิเหนาพวกนั้นน่ะ อินโดนีเซียถือพุทธศาสนา ต่อมาศาสนาอิสลามเข้ามา บังคับให้เปลี่ยนเป็นศาสนาอิสลาม คน ๕ – ๖ ล้านคนนี้ไม่ยอมเปลี่ยน หลบหลีกอยู่ในป่า จัดเป็นพวกที่ไม่มีศาสนาไป รัฐบาลก็จดทะเบียนเป็นคนไม่มีศาสนาเพราะไม่ถือพระเจ้า เพราะถือพุทธศาสนา ยืนยันถือพุทธศาสนาและก็ไม่มีพระเจ้า ถูกบีบคั้นหนักเข้าก็ยอมว่าเป็นผู้ที่ไม่มีศาสนา นี้ประโยชน์มันเสียไป คือตามกฎหมายของประเทศนั้น ถ้าไม่มีศาสนา ก็ไม่ถือว่าเป็นพลเมืองที่สมบูรณ์ เมื่อไม่เป็นพลเมืองที่สมบูรณ์ เขาก็ไม่จ่ายเงิน Subsidy แก่พลเมืองรายหัว ไอ้คน ๕ – ๖ ล้านคนนี้มันก็ไม่ได้ มันก็เดือดร้อน เพราะว่ามันถือพระพุทธศาสนา ที่พวกฝรั่งเขาจัด จัดไว้ว่าไม่มีพระเจ้า ไม่มีพระเจ้าก็ไม่มีศาสนา ไม่มีศาสนาก็ไม่เป็นพลเมือง ทีนี้อาตมาอธิบายแก่พระองค์หนึ่งอย่างนี้ พระชายในอินโดนีเซียองค์หนึ่งได้รับคำอธิบายอย่างนี้ เขาก็ไปต่อสู้กับรัฐบาล บอกว่าชาวพุทธทั้งหลายมีพระเจ้า ที่เรียกว่า Non-Personal God แล้วก็อธิบายเหมือนกันหมดกับที่พระเจ้า Personal God มีอย่างไร พระเจ้านี้ก็มีสมรรถภาพ มีสมรรถนะ มีคุณสมบัติ มีอะไรเหมือนกันหมด รัฐบาลก็ยอมรับ เอ้อ ว่ามีพระเจ้า ให้พวกชาวพุทธมีพระเจ้า และคือมีเป็นศาสนาขึ้นมา ให้เป็นพลเมืองที่มีศาสนา เป็นพลเมืองสมบูรณ์เลยได้รับเงินช่วยเหมือนกับพลเมืองคนอื่นๆ เพราะว่ามีศาสนา คือมีพระเจ้า นี่มันเป็นประโยชน์อย่างนี้ ช่วยกันลองคิดดู
อ้าว ทีนี้จะบอกต่อไปว่าทุกศาสนามีพระเจ้า ก็คือว่าถ้าไม่มีอย่าง Personal God ก็ต้องมีอย่าง Non-Personal God จะไม่มีโดยสิ้นเชิงไม่ได้ และคำนี้มันกว้างนะ คำว่าพระเจ้าๆ นี่ มันเป็นภาษาไทยนะ ไม่ใช่ภาษาฝรั่งนะ ฉะนั้นเอาภาษาไทยเป็นเกณฑ์ ว่าคำว่าพระเจ้านั้นหมายถึงอะไร คำว่าพระเจ้าในภาษาไทยแต่เดิมมา หมายถึงผู้สูงสุด สิ่งสูงสุดที่เป็นที่พึ่งได้ ความหมายนั้นมันมีอยู่ตรงนั้นนิดเดียว สิ่งที่เป็นที่พึ่งได้คือพระเจ้า พระเจ้าอย่าง Personal God หรือ Non-Personal God ก็ต้องมีความหมายตรงที่ว่าเป็นที่พึ่งได้ ถ้าเป็นที่พึ่งได้ แล้วก็มีความหมายเป็นพระเจ้า ทีนี้คนทุกคนมันมีพระเจ้า คือทุกคนมันโดยสัญชาติญาณมันต้องการที่พึ่ง และโดยสัญชาติญาณมันเห็นว่าอะไรเป็นที่พึ่งได้ มันจะต้องยึดเอาสิ่งนั้นเป็นพระเจ้า ฉะนั้นพระเจ้าคือผู้ที่เขาหวังกันว่าจะช่วยให้รอด ถ้าสิ่งใดมันมีความรู้สึกคิดนึกได้ คือมันมีชีวิต และมันรู้จักหวัง มันรู้จักหวังจะให้รอด มันก็เห็นว่าสิ่งใดจะช่วยให้รอด มันก็เอาสิ่งนั้นเป็นพระเจ้า ตามที่สติปัญญามันมี ช่วยจำคำนี้ไว้ให้ดีๆ เขาจะหวังในสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งจะช่วยเขาได้ ตามที่สติปัญญาของเขามี เพื่อนของเราคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่า เขาสนทนากับเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของบริษัทฮิตาชิ ซึ่งเป็นญี่ปุ่น อย่าต้องออกชื่อเขาเลย เพื่อนคนนั้นเขาถามญี่ปุ่นคนนั้นว่า คุณถือศาสนาอะไร คนญี่ปุ่นคนนั้นเขาก็ตอบทันทีว่า เขาถือศาสนาฮิตาชิ เพราะบริษัทฮิตาชิเลี้ยงเขาอยู่ทุกวัน เขารอดอยู่ได้เพราะบริษัทฮิตาชิ ฮิตาชิเป็นที่พึ่งของเขาให้รอดได้ เขาก็ว่าถือศาสนาฮิตาชิ นี่คุณลองจับ จับความหมายดูให้ดี ว่าไอ้คนจะยอมรับเอาไอ้สิ่งที่จะช่วยให้เขารอดได้ แน่ใจว่าจะช่วยให้เขารอดได้ นั่นแหละ เป็นศาสนาทั้งนั้นแหละ ถ้าคุณคิดว่าเงินช่วยได้ คุณก็ถือศาสนาเงินแหละ ร้องตะโกนว่า สตางค์ สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถือสตางค์เป็นสรณะนี่ จะมีอยู่ที่นี่หลายคนล่ะมั้ง ที่ถือศาสนาสตางค์เป็นพระเจ้า มันต้องมองลึกลงไปถึงว่า สิ่งที่มีชีวิตรู้จักคิด รู้จักนึก และมันจะมีพระเจ้าทั้งนั้นแหละ คือวิธีการที่จะช่วยให้รอด นั่นแหละเป็นพระเจ้า ฉะนั้นเราจำกัดความให้แคบลงมาว่าพระเจ้าคือสิ่งที่จะช่วยให้รอด หรือผู้ที่จะช่วยให้รอด ถ้ามันเป็นปู เป็นเปี้ยว เป็นหนู มันก็มีรูนั่นแหละเป็นพระเจ้า มันวิ่งลงรูแล้วมันก็รอด ฉะนั้นมันก็ถือเอารูนั่นแหละเป็นพระเจ้า มันเป็นเปี้ยว เป็นปู เป็นหนู เป็นอะไร เป็นแย้ เป็น ทีนี้ถ้ามันสูงขึ้นมากว่านั้น มันเห็นว่าอะไรจะเป็นที่พึ่งได้ รอดได้ มันก็เอาความที่จะรอดได้จากอะไรนั่นแหละ มาเอาเป็นความหมายของคำว่าพระเจ้า คือช่วยให้รอดได้ ใครมีอะไรที่รู้สึกว่าจะช่วยให้รอดได้ และเขาจะถือเอาสิ่งนั้นเป็นพระเจ้า ในความหมายเป็น Personal God ก็ได้ ในความหมายเป็น Non-Personal God ก็ได้ มันจะเลวลงมาถึงว่า เงินเป็นพระเจ้า อย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน ก็จัดไว้เป็น Personal God หรือ Non-Personal God ก็แล้วแต่ความคิดของบุคคลนั้น
ฉะนั้นเราพูดได้ว่าสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายทุกระดับ จนถึงคนเรานี่ จะมีพระเจ้าอยู่ในความรู้สึกของเขาแล้ว เสร็จแล้ว มีแล้ว มีเสร็จแล้ว ไม่ใช่คิดว่าจะต้องมี คนนั้นถือเอาอะไรไว้จะเป็นที่พึ่งได้ คนนั้นก็มีสิ่งนั้นเป็นพระเจ้า ฉะนั้นจึงพูดเสียว่าทุกคนมีพระเจ้า ทุกคนจะไปถือศาสนาอะไร เขาก็ถือเอาความหมายที่ช่วยให้รอดได้นั่นแหละ เป็นพระเจ้าของเขา ถ้าในศาสนาที่กล่าวพระเจ้าไว้เป็นอย่างบุคคล ขออภัยที่จะระบุชื่อว่าศาสนาพราหมณ์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์อะไรก็ตาม ก็มีพระเจ้าอย่างบุคคล มุ่งหมายบุคคลชนิดนั้น ที่จะช่วยให้รอดได้ แต่ถ้าเป็นศาสนาที่ไม่มีพระเจ้าอย่างนั้น แต่ยอมรับว่ามีอำนาจชนิดนั้นอย่างพุทธศาสนา ศาสนาไชนะ ศาสนาอีกหลายศาสนาในอินเดีย เขาก็มีสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ คือธรรม ที่ไม่ใช่บุคคลนั่นแหละเป็นพระเจ้า ฉะนั้นอาตมาจึงอธิบายให้ทุกคนเข้าใจว่า พระเจ้าของพุทธศาสนาก็คือสิ่งที่เราเรียกกันว่า พระธรรมเจ้า พระธรรมเจ้า นั่นน่ะสูงสุด และเราทุกคนหวังที่จะช่วยให้เรารอดได้ เราก็มี God เป็นพระธรรมเจ้า ระบุไปยังธรรมะที่เป็นกฎของสิ่งทั้งปวง ที่เรียกกันว่ากฎอิทัปปัจจยตาโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นกฎแห่งวิวัฒนาการของธรรมชาติ กฎนั้นเฉียบขาดเป็น อสังขตะ มีความเป็นเช่นนั้นเอง เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เรียกว่า ตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง เรียกว่า อวิตถตา มันไม่เป็น เอ้อ, มันไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น อนัญญถตา มันไม่เป็นอย่างอื่นนอกไปจากความเป็นอย่างนั้น นี่มันเป็นธมฺมฏฺฐิตตา มันเป็นการตั้งอยู่แห่งธรรมดา เป็นธมฺมนิยามตา เป็นกฎตายตัวของธรรมดา เป็นอิทัปปัจจยตา คือความที่เพราะมีสิ่งนี้จึงมีสิ่งนี้ เพราะมีพระเจ้าจึงมีเรา กฎที่ทำให้เพราะมีพระเจ้าจึงมีเรา นั่นแหละคือพระเจ้า แม้เราจะไม่มีพระเจ้าอย่างคน แต่เราก็มีพระเจ้าสมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เหมือนกับที่เขามีพระเจ้าอย่างคน ถ้าพูดอย่างนี้แล้วจะยังไม่มองเห็นอีกว่าทุกศาสนามีพระเจ้า ไม่ในความหมายใดก็ความหมายหนึ่ง เราก็จะต้องพูดว่ามันอยู่กันคนละระดับหรือมันต่างกันบ้าง แต่ที่มุ่งหมายและมันตรงกันหมด อย่างเดียวกันหมด คือสิ่งที่จะช่วยให้รอดได้ เราไปหวังอะไรจะช่วยให้รอดได้ สิ่งนั้นก็จะเป็นพระเจ้าแก่เราในทันที
เมื่อเรามุ่งหมายพระธรรมมาเป็นเครื่องช่วยเราให้รอด เราก็มีธรรมเป็นพระเจ้า นี่เรียกว่าอย่างไม่ใช่คน พูดเป็นภาษาธรรมคือ ถ้าเราในหมู่คนที่พูดอย่างนี้ไม่รู้เรื่อง เขาก็ต้องพูดเป็นภาษาคน พูดให้เป็นอย่างคนขึ้นมา เพื่อให้ฟังกันรู้เรื่อง แล้วมันก็สำเร็จประโยชน์เหมือนกัน คือทุกคนมีพระเจ้า และทุกคนก็ทำตามพระเจ้า แล้วโลกนี้ก็มีสันติภาพ เพราะฉะนั้นอาตมาจึงกล่าวว่า สิ่งที่จะทำความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาทุกศาสนาก็คือ พระเจ้านั่นแหละ ไม่มีสิ่งอื่นหรอก ที่ทำความสัมพันธ์แก่กันทุกๆ ศาสนา ทุกๆ ระดับ ก็คือสิ่งที่เรียกว่า พระเจ้า ของทุกๆ ศาสนา หรือทุกๆ ระดับ ฉะนั้นเราไม่ควรจะมาโง่ทะเลาะกันว่า แกมีพระเจ้า ฉันไม่มีพระเจ้า นี่เป็นเรื่องคนโง่ จะเกินโง่ก็เป็นคนบ้า ที่ว่ามันไม่มีพระเจ้า ทั้งถ้ามันมีพระเจ้าอยู่ในจิตใจของมันทุกคน มันหวังเอาอะไรเป็นที่พึ่ง อันนั้นแหละเป็นพระเจ้า ฉะนั้นในภาษาไทยก็มีความหมายอย่างนี้ ที่ซึ่งถือพระเจ้าว่าโง่เง่าเต่าปูปลาว่าใบ้บ้า พระเจ้าคำนี้มีความหมายอย่างนี้ ถือพระถือเจ้า ก็คือไม่ได้ถือว่ามีสิ่งที่เป็นที่พึ่งที่จะช่วยให้รอดนั่นน่ะ คำว่าพระเจ้ามันมีความหมายอย่างนี้ เมื่อเห็นว่าภิกษุสงฆ์จะ เอ้อ, ภิกษุบรรพชิตจะช่วยให้รอด เขาก็เอาคำว่าพระเจ้ามาเรียกชื่อบรรพชิต เรียกชื่อภิกษุสงฆ์ เรียกว่าพระเป็นเจ้าก็มี คำโบราณในหนังสือเก่าๆ ในกฎหมายเก่าๆ เรียกภิกษุนี่ว่าพระเป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าด้วยซ้ำไป นี้มันไม่ใช่พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าในระดับเดียวกับที่มีอยู่ ที่มีอยู่ในหลักของศาสนา มันยังต่ำเกินไป แต่มันความหมายเดียวกันแหละ เพราะเขาก็ถือว่าพระผู้เป็นเจ้า หรือภิกษุที่บวชนั่นแหละจะช่วยเขาได้ เลยตั้งให้เป็นพระเป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าเสีย นี่มันเป็นเรื่องของภาษา ไม่ใช่เรื่องของทางศาสนา ถ้าเป็นเรื่องทางศาสนา มันต้องเอาความหมายตรงที่ว่า ช่วยให้รอดได้
ทีนี้ก็ถามกันเองดูทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ใครบ้างที่ไม่หวังจะมีสิ่งที่จะช่วยให้เรารอด เราหวังมีสิ่ง หรือมีผู้ หรือมีบุคคลอะไรต่างๆที่จะช่วยให้เรารอด ถ้าเราเห็นว่าคนช่วยไม่ได้ เราก็หวังไปหาที่มิใช่คน คือธรรมะ พระธรรม ที่สูงสุดในพระพุทธศาสนาว่าจะช่วยให้รอดได้ ฉะนั้นคำว่าพระเจ้าในกรณีนี้ จึงเล็งถึงพระธรรมที่อาจจะช่วยให้เราให้รอดได้ แล้วก็มีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง และก็เป็นที่ออกมาแห่งสิ่งทั้งปวง อย่างพระคัมภีร์โยฮัน คัมภีร์ไบเบิล New Testament ก็มีคำว่า The word at the beginning, The word was. The word นั้นมีอยู่ในจุดตั้งต้นเริ่มแรก แรกเริ่มเดิมทีมี The word, The word นั้นอยู่กับพระเจ้ากระทั่ง Word นั้นเป็นอันเดียวกับพระเจ้า The word นั้นน่ะคงไม่ใช่คนนั้นนะ เพราะมีคำว่า God อยู่ต่างหากจากคำว่า The word ถ้า The God เป็นคน The word นั้นก็ไม่ใช่คน ต้องเป็น Non-Personal ด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นเราก็มีพระเจ้า ที่ใช้คำว่า The word ในคัมภีร์คริสเตียนได้ ว่าเป็นพระเจ้าในพุทธศาสนา คือเป็นกฎอะไรอันหนึ่งซึ่งมีอยู่แต่แรกเริ่มเดิมที ซึ่งมีอยู่ใน อะไร สากลจักรวาลนี้ หรือในที่ไม่รู้จะเรียกอะไร ใน ทั้งหมดนี้ มันก็มีสิ่งนี้อยู่ก่อน เป็นอันว่าควรจะถือได้ว่าทุกศาสนามีพระเจ้า ทุกคนมีพระเจ้า แม้แต่ปู เปี้ยว นก หนู เขาก็มีพระเจ้าไปตามแบบของเขา ทุกชีวิตมีพระเจ้า ใครค้าน อย่ามาสู้ ใครจะค้านที่จะพูดว่า ทุกชีวิตนั้นมีพระเจ้าโดยสัญชาตญาณ ยกเว้นไม่ได้ ถูกด่ามามากแล้ว ก็ไม่เป็นไร เรื่องนี้ก็ยืนยันอยู่เดี๋ยวนี้ว่า ทุกชีวิตมีพระเจ้าของมันเอง ถ้าเราเอาทุกชีวิตมาสัมพันธ์กัน เราก็ต้องเอาพระเจ้านี้มาเป็นสื่อแห่งความสัมพันธ์กัน ถ้าเราจะเอาศาสนาทุกศาสนามาทำความสัมพันธ์กัน เราก็ต้องเอาพระเจ้าในแต่ละศาสนานั่นแหละ มาเป็นสื่อสำหรับทำความสัมพันธ์กัน ฉะนั้นการที่เราจะทำการศาสนสัมพันธ์ได้ เราก็เอาพระเจ้ามาเป็นผู้เป็นสื่อทำความสัมพันธ์ ให้ได้ใจความที่เข้ากันได้ทุกศาสนา ว่าเป็นผู้ เป็นปฐมเหตุ ออกมาแห่งสิ่งทั้งปวง เป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวง เป็นผู้ควบคุมสิ่งทั้งปวง เป็นผู้ทำลายสิ่งทั้งปวง เป็นผู้อยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง เป็นใหญ่กว่าทุกสิ่ง แล้วก็มีความหมายรวมอยู่ในคำว่าพระเจ้านั้นทุกสิ่ง เหมือนกับเป็นดิกชันนารีของทุกสิ่ง ถ้าใครค้าน ก็ลองค้าน เอามาสู้ ว่าเรามีพระเจ้ากันทุกศาสนา เอาพระเจ้าสูงสุดที่พึ่งของเรานั่นแหละมา เป็นสื่อสำหรับทำความสัมพันธ์ อย่าให้ความหมายของพระเจ้านั้นมันพร่ามากไปนัก เอาคำเดียวก็พอ ว่าพระเจ้านั้นเป็นผู้ช่วยให้รอด เหมือนกับพระเจ้าฮิตาชิที่ช่วยให้นายคนนั้นให้รอดนั้นน่ะ God the Savior, God the Savior, God ผู้ช่วยให้รอดนั่นแหละ เอาคำนี้คำเดียวพอ คำอื่นไม่ต้องเอา อะไรมันช่วยให้รอดได้ อันนั้นเป็นพระเจ้า ทุกคนเราก็มีสิ่งที่เราจะยึดเอาเป็นที่พึ่งที่จะช่วยให้เรารอด ฉะนั้นก็เอาผู้ที่ทำให้เรารอดนั้นมา รวมกัน มาสัมพันธ์กัน ก็คงจะสำเร็จประโยชน์ ในการที่จะทำศาสนสัมพันธ์ คือความช่วยกัน ให้เกิดการสัมพันธ์ในทุกศาสนา ถ้าอย่างนี้โลกมันจะไปไหนเสีย มันจะรักกันเหมือนกับเป็นคนคนเดียวกัน สันติภาพมันก็มี ถ้าจะเอาความหมายง่ายๆ ที่ชอบเถียงกันนัก อย่าไปเถียงกันเลย ป่วยการ เอาความหมายว่าพระเจ้าน่ะคือสิ่งที่รวมจุดจุดดียว ดึงเข้ามารวมเป็นจุดเดียว เข้าหากันเป็นจุดเดียว นี้คือความหมายของพระเจ้า ถ้าทุบให้แยกแตกกระจายออกไปเป็นหลายๆ อย่างนั้น ไม่ใช่พระเจ้า ถ้ามันมีการกระทำชนิดทุบให้แยกแตกออกกันเป็นหลายๆ อย่าง และนี้ไม่ใช่พระเจ้า แต่ถ้ามันดึงเข้ามาหาจุดเดียว รวมกันเป็นจุดเดียว นี้พระเจ้า ฉะนั้นความประสงค์ของพระเจ้าก็จะรวมหมดทุกโลก ให้มันเป็นโลกเดียว เพราะท่านสร้างขึ้นมาโลกเดียว พระเจ้านี้มีแต่พระเจ้าเดียว ฉะนั้นโลกที่ท่านสร้างขึ้นมาจึงมีโลกเดียว นี้คนบ้ามันไปแยกเป็นหลายๆ โลก จนได้ทะเลาะวิวาทกัน ฉะนั้นเราจึงถือว่าพระเจ้าเดียว มีโลกๆ เดียว มีหนทางทางเดียว มีความรอดแต่ทางเดียว ที่จะไปสู่พระเจ้านั้น และความหมายนั้นมันก็คือรวม คือทำให้มันรวม เป็นสิ่งเดียว ถ้ามันทำให้แตกแยกเป็นหลายสิ่งแล้ว ไม่ใช่พระเจ้าแล้ว ไม่ใช่ธรรมะแล้ว ไม่ใช่ศาสนาแล้ว นี้มันจึงปรากฏให้เราเห็นอยู่ว่าทุกศาสนาต้องการให้เราเป็นคนคนเดียวกัน ให้รักกันเหมือนกับว่าทุกคนมันเป็นลูกของพระเจ้า มันมีจุดเดียวอยู่ที่พระเจ้า ไปรวมจุดอยู่ที่นั่น มันก็รักกันเอง เมื่อมันรักกันแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องส่วนเกิน ให้เสียเวลา พูดอย่างคุณสมานว่าก็ไม่ต้องพูดให้เสียน้ำลาย ป่วยการ เพียงแต่ว่ามันรักกันแล้วมันก็มันไม่เอาส่วนเกินหรอก ถ้ามันรักกันแล้ว มันคอยจะกินน้อยๆ และก็เหลือมากๆ ไว้ให้ผู้อื่น เพราะมันรักกัน คนแก่ๆ เหล่านี้ เป็นพ่อเป็นแม่มาแล้วทั้งนั้น กินอะไรกินไม่ค่อยลงใช่ไหม อุตส่าห์เหลือไว้มากๆ ไว้ให้ลูกหลานมันกิน นี่เพราะมันมีความรัก มันกินมากไม่ลง มันก็มีเหลือไว้มากๆ ให้เด็กๆ กิน ฉะนั้นเราก็มีความรัก มนุษย์เป็นคนเดียวกัน อย่างที่พระเจ้าท่านสร้างเรามา หรือหวังไว้ในเรา เราก็จะรักกันตามความประสงค์ของพระเจ้า พระเจ้ารักเราอย่างไร เราจะรักผู้อื่นอย่างนั้น มันเป็นความประสงค์ของพระเจ้า แล้วใครจะกินส่วนเกินลงเล่า คิดดูสิ มันกินส่วนเกินไม่ลง เพราะมันนึกถึงผู้อื่น นึกถึงเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายของเรา แล้วก็กินเกินไม่ได้
เรื่องเกินนี้เป็นเรื่องของพญามาร กินก็เกิน นุ่งห่มก็เกิน เครื่องใช้ไม้สอยในบ้าน ในเรือน อะไรก็เกิน แม้แต่จะบำบัดบริหารร่างกาย มันก็เกิน เพราะมันชอบอร่อย ไอ้เกินนี่มันมาจากความหลงความอร่อย อร่อยทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มันชอบอร่อย ทีนี้ท้องมันอิ่มแล้ว แต่ไอ้ความเป็นทาสของความอร่อย เป็นทาสของพญามาร มันยังอยู่ มันก็ยังเอาของปรุงรสมา เอาของปรุงรส มาปรุงให้รสมันแปลกออกไปอีก มันก็กินได้อีก ฉะนั้นไอ้ศัตรูของส่วนเกินก็คือสิ่งปรุงรส สิ่งแต่งรส ที่บูชากันนัก แล้วก็โฆษณาขายกันเหลือเกิน ผงชูรส แป้งชูรส อะไรชูรสนั่นแหละ เป็นเหตุให้เกิดกินเกิน อย่าไปบูชามัน เอาโยนทิ้งเสียให้หมด และระวังให้ดี ไอ้น้ำจิ้มถ้วยเล็กๆ นั่นแหละ นั่นน่ะคือตัวร้ายกาจที่สุด ที่จะทำให้กินเกิน อย่างน้ำจิ้มนี่มีน้ำจิ้มเค็ม น้ำจิ้มเปรี้ยว น้ำจิ้มเผ็ด น้ำจิ้มขม น้ำจิ้มอะไรก็ไม่รู้ พอไปจิ้มเข้าแล้ว มันก็กินได้อีกคำหนึ่งอีกแหละ เพราะรสมันแปลกออกไป ทั้งที่มันอิ่มแล้วน่ะ ไปจิ้มน้ำจิ้ม มันกินเข้าไปอีกคำหนึ่งแหละ ด้วยความหวังในรสอร่อยที่แปลกออกไป ฉะนั้นเราจึงถือว่าไอ้สิ่งปรุงรสน่ะ มันมาจากพญามาร มันทำให้กินส่วนเกิน เพราะฉะนั้นขอเลิกทีเถอะ อย่าไปชอบสิ่งปรุงรสเลย ไอ้น้ำจิ้มทั้งหลายไปขว้างทิ้งเสียให้หมด ไอ้ผงชูรสทั้งหลายไปขว้างทิ้งเสียให้หมด กินตามที่ธรรมชาติธรรมดามันมีรสอย่างไรแล้วพออิ่มมันก็หยุด อย่าไปเอาไอ้เครื่องชูรสมา มันจะทำให้กินเกิน นี่เรียกว่ากระเพาะนี่มันยืดหยุ่นได้ ในเมื่อจิตมันยังหลงในความอร่อย มันก็ไปหาสิ่งชูรสมา ทำให้กินเกิน พอไม่มีสิ่งชูรส เราก็ไม่ต้องกินเกิน เช่นสัตว์ เช่นสุนัข เช่นสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย มันไม่กินเกิน เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ต้องการผงชูรส ไม่ต้องการสิ่งชูรส มันไม่กินเกิน มันก็ไม่ต้องเป็นโรคประสาทเหมือนคน ใครเห็นหมาเป็นโรคประสาทบ้าง ไก่เป็นโรคประสาทบ้าง แมวเป็นโรคประสาทบ้าง มันไม่มี เพราะมันไม่ ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาส่วนนี้ นี้คนกำลังเป็นโรคประสาทกันเกือบจะทุกคนไม่มากก็น้อย เพราะมันเข้าใจผิด มันทำผิดเกี่ยวกับความจริง ความถูกต้อง มันก็ไปบูชาส่วนเกิน มันก็คิดว่าพรุ่งนี้จะไม่มีอะไรกินอร่อยๆ พรุ่งนี้มันยังคิดไปล่วงหน้านะ ไอ้หมา แมว ไก่ ไม่มีพรุ่งนี้ ฉะนั้นมันนอนหลับสนิท มันไม่เป็นโรคประสาท ไอ้คนเหล่านี้มันคิดถึงพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เดือนหน้า มันจะกินอะไรอร่อยโว้ย มันก็ต้องเป็นโรคประสาทเป็นแน่นอน นี่คนจึงได้เป็นโรคประสาท สมน้ำหน้าไหม คิดว่าเป็นเหมือนพระเจ้าลงโทษ ไปชอบของพญามาร ที่ว่ามันอร่อยแล้วกินให้เกิน
เรื่องกินเกินไม่ควรจะมี ไอ้กินเกินอย่างอื่นนั้น มันเลวมาก เช่นเหล้า เช่นบุหรี่ นี่เรียกว่าเกินอย่างไม่มีเหตุผล มันก็เรียกว่าเกินยิ่งกว่าเกิน อย่ามีกันดีกว่า อาหารที่กินในชามในจานในครัวแท้ๆ นี่ ก็อย่าให้มันเกิน อย่าเป็นทาสของความอร่อย ซึ่งเรียกว่าเหยื่อของพญามาร เราอย่าไปเป็นเหยื่อ อย่าไปหลงเหยื่อของพญามาร แล้วก็ไม่กินส่วนเกิน ไม่ต้องพูดให้เสียเวลา ปัญหาเรื่องส่วนเกิน คือก็อย่าเป็นทาสของความอร่อยซึ่งเป็นเหยื่อของพญามาร ของซาตาน เราก็ไม่กินส่วนเกิน ถ้าไม่หลงความอร่อย และไม่มีเรื่องเกิน ฉะนั้นเราก็เหลือกิน สำหรับไปช่วยผู้อื่น แต่ถ้าการหานี่ หาให้มากได้ หาให้เกินไว้ได้ หามาให้มากให้เกินไว้เพื่อจะช่วยผู้อื่น พอทีกิน อย่ากินเกิน มันจะบาป มันจะเป็นกิเลส ที่ทำให้ไม่เห็นแก่ผู้อื่น ฉะนั้นเราจะถือเป็นหลักว่า กินเกินนั้นบาป บาป บาปเต็มความหมายคำว่าบาป กินเกินใช้เกินมั่ง มีไว้เกิน สะสมไว้เกิน นั่นน่ะจะเรียกว่าบาป แต่ถ้าไม่เกิน ก็เอาให้ ช่วยผู้อื่นเสียเรื่อย ไม่มีบาป เพราะเรื่องกิน นี่เราไม่มีเกินเกี่ยวกับเรื่องกิน ทีนี้เรื่องนุ่งห่มก็ด้วย อย่าไปทำให้มันเกิน ไม่ต้องสีแดง สีเขียว ไม่ต้องไหม ไม่ต้องแพร ไม่ต้องไปให้มันเกินในเรื่องนั้น ซึ่งมันทำให้หมดเปลือง จนต้องไปโกงเขามา หรือว่ามันเป็นห่วงเรื่องสวยเรื่องงาม จนไม่มีสติปัญญา ฉะนั้นถ้าใครใส่เสื้อสวยๆ แพงๆ และไม่กี่วันก็ขาด เปลี่ยนเสียเถอะ ใส่เสื้อหนาๆ ไม่ต้องมีสีสันวรรณะอะไร ขอแต่ให้มันทน นี่มันจะไม่มีเรื่องเกิน เกี่ยวกับการนุ่งห่ม ทีนี่เรื่องเป็นอยู่ใช้สอยในบ้านในเรือน กระทั่งรถ กระทั่งเรือน กระทั่งของใช้ในเรือน อย่าให้มันมีเรื่องเกิน กลับไปที่บ้านคราวนี้ ไปคิดพิจารณาดูอะไรเกิน โยนทิ้ง หรือว่าอย่างดีก็ไปให้คนอื่นเสีย ที่เขาอาจจะใช้ได้โดยไม่เป็นส่วนเกิน ในบ้านในเรือนของเราอย่ามีส่วนเกิน เครื่องใช้ไม้สอยทุกชนิดทุกอย่าง อย่าให้มันเป็น มีความหมายว่าเกิน ให้มันพอดีๆ ถ้ามันเกินก็เอาไปจัดการเสียให้พ้นหูพ้นตา มีบ้านเท่านี้ก็พอแล้วไม่ต้องสร้างบ้านใหม่ ราคาแสน ราคาล้าน มีรถยนต์อย่างนี้คันหนึ่งก็พอแล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนซื้อรถยนต์ใหม่ ราคาแสน ราคาล้าน เหมือนที่เขานิยมกัน รถยนต์ราคาหมื่นมันก็ใช้ได้ แต่นี่ยังไม่พอ มันต้องการราคาแสน เงินก็ไม่พอ มีรถยนต์ราคาแสนแล้วมันยังจะมีรถยนต์ราคาล้าน เงินมันก็ไม่พอ แล้วมันจะเอาเงินไหนไปช่วยผู้อื่นล่ะ ถ้ามันสมัครใช้รถยนต์ราคาหมื่นอยู่ ไม่ใช้รถยนต์ราคาแสน ราคาล้าน เงิน เงินมันก็เหลือที่จะไปช่วยผู้อื่นได้ ฉะนั้นอย่ามีบ้านชนิดเกิน อย่ามีรถยนต์ชนิดเกิน อย่ามีเครื่องใช้ไม้สอยในบ้านในเรือนชนิดเกิน แม้แต่หม้อไห ก็อย่าให้มันเป็นชนิดเกิน ภาชนะใช้สอยอย่าเป็นชนิดเกิน ไม่ต้องชนิดที่ว่าอะไรๆ ก็ทอง อะไรๆ ก็ต้องใส่ทอง ปากกาก็ต้องทอง แม้แต่ตะเกียบจะหยิบอาหารมันก็จะเป็นทองเสียแล้ว นี่มันจะบ้าเกินไป เสนาสนะ เครื่องใช้เครื่องสอย มุ้งหมอน ที่นอน ฟูกอะไรก็ตาม อย่าให้มันเกิน นี่มัน มันไม่หลงในความอร่อยทางตา ทางผิวหนัง ทางสัมผัส ฉะนั้นใครมีอะไรเกิน รีบไปเอาออก การบริหารร่างกายก็เหมือนกันแหละ อย่าให้มันแพงเกิน มันถูกหลอก เขาโฆษณา ต้องกินยาอย่างนั้น ต้องทายาอย่างนี้ ต้องประคบอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ถูกให้เขาหลอกให้บริหารร่างกายแพงเกิน นี่เรียกว่าหยูกยามันก็ยังเกิน ยาขมๆ กินไม่ได้ คนโง่ๆ นี่ยาขมๆ กินไม่ได้ จะกินได้แต่ยาหวานๆ ทั้งนั้นน่ะคนโง่ มันจึงต้องแพงเกิน หรือมันต้องมีความยุ่งยาก ลำบากมาก
นี่ปัจจัย ๔ ของคนเราคือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ไม้สอย แล้วก็เครื่องบำบัดโรคนี่ อย่าให้มันเกิน ปัจจัย ๔ เป็นเรื่องทางวัตถุ มันขาดไม่ได้ทุกคนต้องมี นี่ใครๆ ก็ยอมรับว่าเราต้องมีปัจจัย ๔ นี่ขาดไม่ได้ ขอแต่อย่าให้มันเกิน ทีนี้ปัจจัยที่ ๕ มันก็สำคัญเหมือนกัน มันก็ขาดไม่ได้ คืออาหารของใจ ไอ้สิ่งประเล้าประโลมใจ มันขาดไม่ได้ เป็นธรรมดาของมนุษย์ แม้จะมีอาหาร มีเครื่องนุ่งห่ม มีบ้าน มีเรือน มีบำบัดโรคภัยอยู่แล้ว มันยังต้องการอีกสิ่งหนึ่งคือสิ่งประเล้าประโลมใจ นี่อย่าทำให้ผิด จะไปเลือกเอาเรื่องกามารมณ์ เรื่องอะไรพรรค์นั้น ทำนองนั้นมาเป็นสิ่งประเล้าประโลมใจ เอาพระธรรมมาเป็นเครื่องประเล้าประโลมใจ เอาพระเจ้าอันสูงสุดมาเป็นเครื่องประเล้าประโลมใจ ให้ยินดีพอใจเป็นสุขอยู่กับพระธรรมหรือพระเจ้า นี่เป็นปัจจัยที่ ๕ ปัจจัยที่ ๕ นี่จำเป็นนะ อย่าอวดดีนะ มันขาดไม่ได้นะ มนุษย์ต้องมีสิ่งประเล้าประโลมใจนะ เป็นฝ่ายจิต ฝ่ายวิญญาณ ต้องมี เป็นเรื่องศาสนา เป็นเรื่องหนังสือ หนังหา เป็นเรื่องพระธรรม อ่านแล้วสบายใจ นี่คือสิ่งประเล้าประโลมใจในฐานะเป็นปัจจัยที่ห้า พอ ๕ แล้ว หมดแล้ว ไม่มีเหลือแล้ว ไม่มีปัญหาอีกแล้ว เรามีปัจจัยครบทั้ง ๕แล้ว คือส่วนร่างกายมี ๔ อย่าง ส่วนจิตใจมี ๑ อย่าง และก็มีครบถ้วนแล้ว เราก็ไม่มีอะไรขาด ไม่มีอะไรเกิน เรื่องขาดนี่ไม่ค่อยต้องเตือนนะ เพราะไม่มีใครชอบอยู่แล้ว มันไม่ขาด มันมีแต่จะเกิน ในเรื่องที่จะเตือนมันจึงมีแต่เรื่องที่จะเกิน ฉะนั้นไปคิดดูว่าไอ้เรื่องเกินนี้มันเป็นเรื่องจิตธรรมชาติ มันเกิน และมันก็ผิดธรรมชาติ ไอ้ขาดมันก็ผิดธรรมชาติ มันไม่รอดอยู่ได้ เช่นต้นมะม่วงนี่ ไม่รดน้ำมันก็ตาย รดน้ำมากเกิน มันก็ตาย มันต้องรดน้ำแต่พอดี หแม้แต่ญ้าบอนทั้งหลายนี่ ปลูกแล้วต้องรดน้ำแต่พอดี ใส่ปุ๋ยแต่พอดี แสงแดดแต่พอดี อะไรๆ ก็ล้วนแต่พอดี และมันก็งอกงาม ถ้ามันขาด มันก็ต้องตายอย่างขาด ถ้ามันเกิน มันก็ต้องตายอย่างเกิน เช่นเดียวกับเรานี้ ถ้าขาดอาหารมันก็ตาย อาหารเกินไปมันก็ตายเหมือนกัน ตายทั้งทางร่างกายด้วย ตายทั้งทางจิตใจด้วย คนที่ชอบกินของอร่อย ปรุงแต่งรสให้อร่อย กินแต่ละวันๆ มากนี่ ไม่เท่าไรมันก็ต้องเป็นโรค ตาย เช่น โรคไขมันในโลหิตมันมีมากเกินไป มันก็ต้องตายเหมือนกัน มันยังตายด้วยโรคอีกหลายโรค เพราะมันกินเข้าไปมากเกินไปมันก็ต้องตาย เพราะฉะนั้นอย่าให้มันเกินแม้ในเรื่องกิน ถือว่าพระเจ้าไม่ได้ต้องการให้เรากินเกิน กฎของธรรมชาติ หรือกฎของพระธรรม หรือกฎของพระเจ้านั้น ต้องการทำให้พอดีๆ ถ้าเกินแล้วจะต้องตาย เราจะต้องทำให้ถูกต้องตามกฎ หรือเรียกยาวไปเป็น God ก็คือพระเจ้า พระเจ้าท่านบังคับไว้ครบถ้วนแน่นอน เฉียบขาดทุกอย่างแล้ว ฝืนไม่ได้ นี่เป็นหน้าที่ที่ทุกคนจะต้องประพฤติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ
ฉะนั้นเรามาเอาพระเจ้ามาเป็นเดิมพัน ทุกคนมีพระเจ้า ทุกศาสนามีพระเจ้า เอามาเป็นเดิมพัน สำหรับทำความเข้าใจแก่กันและกัน ก็จะมีศาสนสัมพันธ์ที่ดีที่สุด ที่แนบเนียนที่สุด ที่เหมาะสมที่สุด ต่ำก็ทำกันไปตามต่ำ สูงก็ทำกันไปตามสูง กลางๆก็ทำกันไปตามกลางๆ มันจะไม่มีการกระทบกระทั่งกัน ขอให้สนใจว่า เราจะเอาความจริงที่แท้จริงนั่นแหละเป็นหลัก คือเราเหมือนกันไม่ได้ เราก็ต้องต่างกัน แต่เราก็มีระดับชั้นที่เราจะทำให้เข้ากันได้ในระดับเดียวกัน เดี๋ยวนี้เรื่องระหว่างพระศาสนานี่ มีพระพุทธภาษิตอยู่ข้อหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก พระพุทธภาษิตนั้นมีว่า สักกัง หิธัมมัง ปะริปุณะ ปะริปุณะมาหุ (นาทีที่ 01:43:00) คนเขากล่าวธรรมะของตัวเองว่าสมบูรณ์ อัญญัสสะธัมมัง ปะณะหิณะมาหุ (นาทีที่ 01:43:10) คนเขากล่าวธรรมะของผู้อื่นว่าบกพร่อง เอวัมปิวิคัย อะวิวาฉะยันติ (นาทีที่ 01:43:18) เขาถือเอากันคนละแง่คนละมุมอย่างนี้แล้ว เขาก็วิวาทกันเพราะเหตุนั้น สักกัง สักกัง สัมมะติมาพุทสัจจัง (นาทีที่ 01:43:29) คนเหล่านั้นเอาสมมติของตนๆ มาทำว่ามันเป็นสัจธรรม เอาสมมติของตนๆ มาทำเป็นสัจจะ คือความจริง ทุกคนมีสมมติของตนตามที่ตนสมมติบัญญัติอย่างไร แล้วก็เอาสมมติของตนๆ นั้นมาเป็นสัจจะ มาเป็นตัวสัจจะสูงสุด ต่างคนต่างเอาสมมติของตนเป็นสัจจะสูงสุด ก็ต้องมีวิคฺคยฺห คือถือเอากันคนละแง่คนละมุม เข้ากันไม่ได้ เขาก็วิวาทกัน เหมือนที่เราวิวาทกันระหว่างลัทธิ ลัทธิการเมืองก็ดี ลัทธิศาสนาก็ดี ลัทธิบ้าๆ บอๆ อะไรก็ดี จนได้วิวาทกันเพราะลัทธิ เพราะถือกันคนละแง่ละมุม ต่างคนต่างเอาสมมติและบัญญัติของตนๆ มาทำเป็นสัจจะ และก็ชูหราขึ้นมาว่า ทำอย่างนี้ เปลี่ยนไม่ได้ ของแกมันบกพร่อง ของฉันมันสมบูรณ์ มีพุทธภาษิตกล่าวไว้อย่างนี้ เราควรจะนึกถึงพระพุทธภาษิตนี้แล้วขจัดให้มันหมดไป ไม่มีของใครบกพร่อง ไม่มีของใครสมบูรณ์ โดยคำพูดหรือโดยความยึดมั่นถือมั่น ให้มันเป็นเรื่องที่จริง ว่ามันดับทุกข์ได้ มันช่วยให้รอดได้ และนั่นน่ะถูกต้องแน่ และสมบูรณ์แน่ เมื่อถามว่าอะไรดี อะไรถูก ก็ต้องบอกว่าที่มันดับทุกข์ได้นั่นแหละ มันดีและมันถูก อย่ามีดีมีถูกอย่างอื่นเลย มีดีมีถูกแต่ว่ามันดับทุกข์ได้ ฉะนั้นข้อไหนส่วนไหนของศาสนาไหน มันดับทุกข์ได้ ข้อนั้นส่วนนั้นแห่งศาสนานั้นชื่อว่าดี ชื่อว่าถูก มาจากพระเจ้าเป็นแน่นอน สำหรับมาช่วยคนแต่ละคนให้มันพ้นจากทุกข์ได้ ฉะนั้นเราจะไม่มาเถียงกันว่าของแกดี ของฉันดี ของแกไม่ดี ของแกผิด ของฉันถูก เรามาลองปฏิบัติกันดู ว่าถ้าอันไหนมันดับทุกข์ได้ อันนั้นมันถูก เราไม่ต้องเถียงกัน ไม่มีโอกาสที่จะเถียงกัน มีแต่ว่าลองปฏิบัติดู ลองปฏิบัติดู ไม่เสียเวลาอะไรมากมาย มาใคร่ครวญดูด้วยปัญญาตามที่เรามีเวลานี้ ว่าไอ้นี่มันน่าลอง มันมีเหตุผลอยู่ มันน่าลอง ก็ลอง ลองแล้วก็พิสูจน์ว่า ดับทุกข์ได้ หรือดับทุกข์ไม่ได้ ถ้าดับทุกข์ได้ มันก็ถูก มันก็ดี เป็นส่วนหนึ่งที่มีมาจากพระเจ้าเป็นแน่นอน เป็นส่วนหนึ่งแม้ไม่ใช่ทั้งหมดที่พระเจ้าส่งมาให้เรา เราก็ทำความสัมพันธ์กันได้ ในทุกแง่ทุกมุมทุกระดับแห่งศาสนา ทุกๆ ศาสนาในสากลจักรวาล
นี่เมื่อขอให้อาตมาช่วยสรุปความ ข้อนี้มันก็พูดอย่างนี้ มันพูดอย่างอื่นไม่เป็น มันจะน่าฟังหรือไม่น่าฟังก็รู้เอาเองก็แล้วกัน เพราะพูดอย่างอื่นไม่เป็น พูดได้แต่อย่างนี้ ว่าเราจะทำศาสนสัมพันธ์เพื่อสันติภาพของโลกแล้ว เราก็ต้องเอาพระเจ้า สิ่งเดียวเท่านั้นน่ะมาเป็นสื่อของการทำความสัมพันธ์ เพราะว่าทุกศาสนามีพระเจ้าทุกคนมีพระเจ้า เอาพระเจ้ามาทำความสัมพันธ์ กลมกลืนกัน ส่วนใดส่วนหนึ่งของศาสนาใดดับทุกข์ได้ และก็อย่ารังเกียจเลย อย่ารังเกียจเลยว่าเป็นของศาสนานั้นของศาสนานี้ มันมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน พระเจ้านั้นมีแต่องค์เดียว มีหลายองค์ไม่ได้ ถ้ามีหลายองค์ไม่ใช่พระเจ้าจริง เป็นพระเจ้าเก๊ ถ้าพระเจ้าจริงต้องมีแต่องค์เดียว และก็สร้างอะไรมาอย่างเดียว โลกเดียว กฎเกณฑ์อันเดียว เดียวทั้งนั้นเลย เราก็เลยไม่ต้องมีอะไรที่จะต้องทะเลาะวิวาทกัน ฉะนั้นจึงหวังว่าสิ่งเลวร้ายหรือข้อขัดแย้งอันนี้จะไม่มีในหมู่พุทธบริษัทซึ่งลืมหูลืมตา มีความรู้ เป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เพราะการลืมหูลืมตา ถ้าพุทธบริษัทไปทำความขัดแย้งกับศาสนาไหนแล้ว พุทธบริษัทนั้นมันเป็นพุทธบริษัทเก๊ มันเป็นพุทธบริษัทบ้า ไม่ใช่พุทธบริษัทจริง ถ้าเป็นพุทธบริษัทจริงไม่มีทางจะขัดแย้งกับลัทธิใด หรือศาสนาไหน เมื่อไม่เห็นด้วยก็ไม่เห็นด้วย ไม่ต้องมีการทะเลาะวิวาท เมื่อไม่มีการทะเลาะวิวาท มันก็เป็นการสัมพันธ์อยู่ในตัว มันอยู่ด้วยกันได้ มันไม่มีปัญหาอะไร นี่ถ้าแต่ละศาสนิกของศาสนาไหน มีหลักการอย่างนี้แล้ว มันก็เป็นสัมพันธ์ระหว่างศาสนาอย่างดีที่สุด ไม่มีปัญหาอะไรเหลืออยู่เลย
เอาละ อาตมาก็พูดเท่าที่นึก เห็น และก็อิสระด้วย ไม่เกรงใจใครด้วย พูดเท่าที่นึกเห็นอย่างอิสระด้วย และก็หมดกระแสความ ก็ขอขอบคุณท่านทั้งหลายที่อุตส่าห์มาร่วมพิธี ร่วมงานนับตั้งแต่งานพิธีมาฆบูชามาจนถึงพิธีกรรม ทำความเข้าใจในศาสนสัมพันธ์ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เป็นเวลาพอสมควร อาตมาก็ถือโอกาสแสดงข้อความที่เป็นการสรุปการอภิปรายด้วย และเป็นการอธิบายธรรมะด้วย เพื่อว่าชดเชย ไอ้การที่ต้องมีการแสดงธรรมเทศนากัณฑ์หนึ่ง ในเวลา ๒๑ นาฬิกา ตามที่เราเคยทำมา เป็นอันว่าอาตมาใช้หนี้หมดแล้ว แม้ไม่ได้เทศน์เมื่อสามทุ่ม มันก็เป็นอันว่าเทศน์แล้ว ด้วยการบรรยายนี้ ก็จะเหลืออยู่แต่การเทศน์อีกครั้งหนึ่ง เมื่อตี ๓ เป็นอันว่า ขอยุติการสรุป การอภิปรายด้วย ขอยุติการบรรยายเพื่อให้เข้าใจความหมายของคำว่าพระเจ้า คือสิ่งสูงสุดสำหรับมนุษย์ทุกคน โดยสมควรแก่เวลาด้วย ขอยุติการบรรยายงวดนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ (1.50.40 ชั่วโมง)
(เสียงผู้ชาย) หนึ่ง สอง รายการศาสนสัมพันธ์ ได้เกิดขึ้นโดยมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ แต่ว่าสำเร็จลงด้วยดี ก็เพราะความร่วมมือของสมาคมศาสนสัมพันธ์แห่งประเทศไทยเป็นสำคัญด้วย และขอประทานเรียนเชิญท่านประธานมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ ได้โปรดขึ้นมามอบของระลึกให้แก่ท่านผู้เป็นวิทยากร คุณวิโรจน์ ศิริอัฐ เป็นเจ้าของโครงการ จัดทำขึ้นเพื่อบูชา หรือสนองมโนปณิธานของท่านอาจารย์ ที่ได้ประกาศไว้ในสวนโมกข์นี้เมื่อ ๔๕ ปีมาแล้ว บัดนี้ มโนปณิธานนั้น มูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐโดยคุณวิโรจน์ ศรีอัฐ ได้พยายามที่จะทำการบูชา เสนอ สนอง เป็นครั้งแรกที่สวนโมกข์นี้ในวันมาฆบูชา คิดว่าท่านทั้งหลายคงจะได้อนุโมทนา หนังสืออยู่ทางนี้ และท่านประธานดำเนินการอภิปราย ใคร่จะได้ฟังเสียงของท่านประธานมูลนิธิฯ ด้วยว่า พร้อมที่จะรับข้อสรุป ในการอภิปรายวันนี้ ไปปฏิบัติได้แค่ไหนเพียงไร ผมขอประทานโอกาสนี้ด้วยครับผม
(เสียงประธานมูลนิธิฯ) กราบนมัสการท่านอาจารย์ที่เคารพ และท่านสาธุชนที่เคารพทุกท่าน เอ้อ, จากการอภิปรายในหัวข้อว่าศาสนสัมพันธ์กับสันติภาพของโลกในวันนี้ มันก็ก่อให้เกิดแนวทางอะไรบางสิ่งบางอย่าง ตลอดจนคำสรุปของท่านอาจารย์ ก็ทำให้มองเห็นได้ว่า สิ่งหนึ่งที่เราน่าจะ Campaign หรือว่ารณรงค์กันเป็นการใหญ่ก็คือว่า จะทำอย่างไรที่จะให้ทุกคนเรานี่ รู้ว่าเรามีหน้าที่สร้างสันติภาพให้แก่โลก เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าไม่รู้สึกในจิตใจอันนี้ ข้อสรุปที่ท่านประธานการดำเนินการอภิปราย ๔ ข้อหรือ ๕ข้อนั้น มันก็ไม่สามารถจะสัมฤทธิ์ผลได้ เพราะเหตุว่าอย่างปัญหาข้อแรกว่าเราจะกำจัดแหล่งอบายมุขอย่างนี้เป็นต้น ผู้ที่ประกอบอบายมุขหรือว่าทำสร้างแหล่งอบายมุขขึ้นมานี่ เขารู้สึกว่าเขามีหน้าที่บ้างหรือไม่ว่า เขานี่มีหน้าที่ในการที่จะทำให้สังคมนี้ มีสันติสุขหรือว่าโลกนี้มีสันติภาพ เขารู้สึกในใจอย่างนี้อยู่บ้างหรือไม่ อันนี้ผมคิดว่ามันเป็นปัญหาใหญ่ ในข้อที่ว่า ถ้าหากว่าเรายังสร้างความรู้สึกในใจของคนส่วนใหญ่ ให้รู้สึกว่าเขาจะต้องมีหน้าที่ทำให้โลกนี้มีสันติภาพ ถ้าความรู้สึกอันนี้ไม่เกิดขึ้นอยู่ตราบใด ไอ้ความเลวร้ายทั้งหลายแหล่ที่มีอยู่ในโลกนี้ ไม่มีทางที่จะหมดไปเลย ทีนี้เครื่องมือที่จะทำให้โลก หรือว่าคนส่วนใหญ่มองกันในแง่นี้ ในข้อที่ว่าเรามีส่วนที่จะทำให้โลกนี้สันติ ฉะนั้นก็ได้แก่ศาสนาทุกศาสนา ก็หมายความว่าให้ทุกคนรู้สึกว่าตัวมีหน้าที่สร้างสันติภาพให้แก่โลก โดยสร้างสันติภาพขึ้นในใจ ในหัวใจของตัวเองก่อน ในการที่จะสร้างสันติภาพขึ้นในหัวใจของตัวเองก่อนได้นั้น ก็ไม่มีเครื่องมืออื่นใด นอกจากเข้าถึงหัวใจของศาสนาทุกศาสนาที่ตัวนับถืออยู่ เพราะฉะนั้น เมื่อสรุปในตอนท้ายที่สุดนี้ก็คือว่า ถ้าทุกคนเข้าถึงหัวใจของทุกศาสนา นั่นแหละสันติภาพของโลกก็จะมีขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นส่วนที่จะต้อง Campaign กันต่อไปก็คือว่า เราจะต้องช่วยกันให้ศาสนิกชนของทุกศาสนาเข้าถึงหัวใจของทุกศาสนาให้ได้ นั่นละครับ ความเลวร้ายมันจึงจะหมดไป และสันติภาพมันก็จะเป็นสิ่งที่หวังได้ ขอขอบคุณครับ
(เสียงผู้ชาย) ยังรออยู่ก็ ท่านผู้เป็นประธานดำเนินการอภิปราย เชิญรับของที่ระลึกจากท่านประธานฯ ครับ ขอเชิญผู้แทนศาสนาคริสต์ด้วยครับ ผู้แทนศาสนาอิสลาม เลขานุการสมาคมศาสนสัมพันธ์ ใครอยู่ก็เชิญครับ ถ้าไม่อยู่ก็ ก็ค่อยมอบที่หลัง คุณกาญจนา รังคะอุไร ยังอยู่ใช่ไหมครับ ขอเชิญครับ ขอเชิญอาจารย์เสถียร อาจารย์เสถียรยังอยู่นี่
(เสียงท่านพุทธทาส) พรุ่งนี้มากันอีกทีหนึ่งก็ได้มั้ง จะดีกว่า พรุ่งนี้อย่างน้อยก็จะได้พบกันก่อนแต่ที่จะออกเดินทาง ถ้าจะไปดูวัดพระธาตุฯ วัดแก้ว วัดอะไรจะไปด้วย ก็ได้ ไปด้วย พาไปก็ได้ ถ้าจะไปดูวัดพระธาตุฯ ไปดูวัดแก้ว ไปดูพุมเรียง ไปดูอะไร จะไปด้วยก็ได้
(เสียงผู้ชาย) รายการในช่วงนี้ครับ เพื่อเปลี่ยน เปลี่ยนความหนักทางหูมาเป็นทางตา ท่านอาจารย์พยอมจะได้ฉายภาพยนตร์และสไลด์
(เสียงท่านพุทธทาส) เอ้อ คุณ คุณประยูรน่ะไปไหนแล้ว คุณประยูรไม่มาดำเนินงานตามที่เคย
(เสียงผู้ชาย) คุณประยูรก็ยังอยู่ อาจารย์พยอมกำลังไปเอาจอ ไปเอาเครื่องครับ
(เสียงท่านพุทธทาส) นี่ก็ดำเนินการของเราไปพลางก็ได้ ขอเชิญใครมาพูด แสดงความรู้สึกคิดนึก เกี่ยวกับกิจกรรมในวันนี้ คุณวรรณหละ คุณวรรณไปไหนก็ไม่รู้
(เสียงผู้ชาย) ตอนนี้ก็กำลังรอฉายสไลด์นะครับ แล้วก็เราก็เตรียมเนื้อเตรียมตัวกันได้อีกเช่นเคยว่าจนถึงตี ๓ ฉะนั้นเพื่อเป็นการขัดจังหวะนะครับ เป็นการขัดจังหวะไว้ก่อน ก็ผมอยากใคร่จะได้นำเอาเรื่องที่เราได้อภิปรายกันนะครับ แต่ว่ายังมีบางคนยังมีข้อขุ่นข้องหมองใจ หรืออยากจะเพิ่มเติมอะไรก็มีนะครับ อย่างที่เราได้ฟังกันแล้ว ก็น่าจะ ปัญหาที่ว่าจะร่วมกันไม่ได้นั้นน่ะ คงจะหายไปบ้างแล้ว โดยใช้พระเจ้าของพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ว่าเสียอย่างละเอียด ก็คงจะรวมพระเจ้ากันได้ แต่ปัญหาว่า ที่จะนำไปปฏิบัติกันต่อไปนี่แหละครับ มันเป็นเรื่องที่ว่าจะปฏิบัติขั้นตอนอย่างไรกันบ้าง อย่างคุณวิโรจน์เมื่อกี้ก็ได้กล่าวแล้วนะครับว่า มันเป็นเพียงแต่ว่าข้อที่หนึ่งว่าจะทำลายแหล่งอบายมุขอย่างนี้ ก็ยังมีปัญหาแล้วว่าใครจะทำ ใครจะเป็นผู้ทำลาย แล้วก็จะทำได้อย่างไร ยกตัวอย่างอย่างนี้ แล้วผมก็ใคร่เสนอแนะ หรือกระตุ้นให้ฟังสักอย่างหนึ่งว่าสมัยที่รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ทำลายคนสูบฝิ่นน่ะครับ เรียกว่าทำลายทรัพยากรสำหรับใช้สูบฝิ่น ทำลายโรงยาฝิ่น แล้วเห็นหรือยังล่ะครับว่า อะไรเกิดขึ้นตามหลังการทำลายโรง โรง โรงสูบฝิ่นน่ะครับ อะไรที่เกิดขึ้นมันรุนแรงกว่า เพราะเราไม่ได้ทำลายสาเหตุของมันที่แท้จริง เราไปทำลายปลายเหตุ นะครับ ทำลายโรงสูบฝิ่น แล้วกิเลสของคนมันก็ยังอยู่ มันก็ดันไปสูบอื่นที่มันรุนแรงกว่าฝิ่นตามหลังเข้าไปอีก ฉะนั้นเรื่องที่จะ จะทำกันต่อไปนะครับ เรื่องที่จะทำกันต่อไป สมมติว่าเราวางมาตรการว่า ทำลายแหล่งอบายมุขนี่ ก็ลองคิดดูนะครับ มันก็ทำได้หรอก แต่ว่าแบบไหน อย่างไร ก็น่าคิด แล้วทำแล้ว หมดแน่แล้วหรือครับ นะฮะคนเราอาจจะออกทางอื่นก็ได้ ฉะนั้นเรื่องที่คุณวิโรจน์ได้กล่าวแล้วว่า ทำอย่างไรให้คนรู้จักสำนึกตัวว่า เราเป็นส่วนที่จะต้องช่วยสังคม ช่วยเพื่อน ช่วยเพื่อนฝูงด้วยกัน เราเป็นผู้ที่มีส่วนที่จะต้องนำความสันติ นำสันติมาสู่สังคม ไอ้นี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องคิดกัน ช่วยกันเผยแผ่ ช่วยกันกระตุ้น นะครับ ซึ่งเป็นเรา เป็นเรื่องที่เราน่าจะได้มาพูดมาคุยหรือว่ากันต่อไปนะครับ อภิปรายกันต่อไป แต่ตอนนี้น่ะผมพูดนำเกริ่นไว้ เกริ่นไว้ คือรอนั่นเองน่ะ รอการฉายสไลด์ และก็การฉายหนัง แล้วหนังวันนี้ก็เข้าใจบางคนจะยังไม่เห็นนะครับ ไม่เคยเห็นมาก่อนก็ได้ ฉะนั้นขอโฆษณาไว้ก่อน เป็นหนัง หนังฉายม้วนตอนที่พระเดชพระคุณท่านอาจาย์ ได้รับปริญญาที่เขายัดเยียดมาให้นะครับ ผมใช้ปริญญาที่เขายัดเยียดมาให้ คือปริญญาดุษฎีบัณฑิตทางวิชาพุทธศาสน์นะครับ จากมหาวิทยา จากจุฬาลงกรณ์ราชะ ราชวิทยาลัยหรือไง เรียกไม่ ผมก็เรียกไม่ค่อยถูกดีนะครับ อ้า แล้วก็จะอาจจะตามหลังไปด้วยภาพสไลด์ปริศนาธรรม ภาพสไลด์ธรรมะที่จะได้ข้อคิดให้เกิดปัญญาต่างๆ ก็ได้ แล้วหลังจากนั้นนะครับ ถ้ายังไม่ทันถึงตี ๓ เราจะได้มาอภิปรายกันต่อไปนะครับ ฉะนั้นขอเชิญที่อยู่ ที่ยังเหลืออยู่นะครับ คุณวิโรจน์ คุณนิด คุณศรีธวัช นะครับ ก็คงจะได้อยู่ร่วมกับผมด้วยนะครับ แล้วก็คุณครู คุณครู คุณครูวงศ์หรืออะไรนะครับ มีนะครับ ใครที่อยู่ผมจะ ถ้ายังไม่กลับนะครับ ถ้าใครอยากจะดูหนังดูอะไรต่อ แล้วยังไม่กลับ ยังอยู่บริเวณนี้ แล้วเดี๋ยวหนังหมด สไลด์หมด เราก็ว่ากันต่อไปนะครับ เรามาสนทนากันต่อไป ในปัญหาในแง่ที่ผมว่านี่แหละครับ ว่าทำอย่างไรจะให้เราได้มารับผิดชอบ ในด้านที่จะสร้างโลกให้มันมีสันติภาพกัน นะฮะ ส่วนศาสนาที่จะเข้ากันได้นั้น โดยใช้ยึดหลักพระเจ้านี่ผมว่ามันคงจะหมดปัญหาไปแล้ว ยึดหลักนี่แล้วก็คงจะเข้ากันได้แน่ แต่ว่าจะเข้ากันได้จริงแค่ไหน ก็น่าจะวิจารณ์กันตามหลังบ้างกันอีกก็ได้นะครับ สำหรับในคืนนี้จะมีต่อไป
ส่วนปัญหา ปัญหาอื่นนะครับ ปัญหาอื่นก็ ผมใคร่เรียนให้ทราบว่า ทุกปีแหละครับ ในวันสำคัญทางพุทธศาสนาของเรานะครับ โดยเฉพาะที่สวนโมกข์นี้ เรากำลังเด่นอยู่ในด้านปฏิบัติบูชา เราได้มีเหลือกันอย่างคับคั่งพอสมควรแล้วนะครับ คับคั่งพอสมควรในการอุทิศชีวิต เอ้อ, อุทิศร่างกายเราในวันนี้ ฝึกบังคับตัวเราวันนี้ เป็นการบูชาวันสำคัญในทางพุทธศาสนา โดยเฉพาะในวันนี้ เราก็ได้อุทิศชีวิต เอ้อ, ร่างกายเราบูชาต่อพระ พระสงฆ์เจ้า หรือวันนี้เป็นวันของพระสงฆ์ หรือวันนี้เป็นวันที่เราจะเข้าไป น้อมนมัสการหรือ หรือว่าเฝ้าพระอรหันต์ก็ได้ ฉะนั้นวันนี้เราก็อุทิศเวลาหลับ อุทิศเวลานอนทั้งหมดว่า เราไม่ได้หลับ ไม่ได้นอนก็เพื่อเฝ้าพระอรหันต์กัน ก็บัดนี้ก็มาถึงเกือบจะครึ่งคืนเข้าพอดีแล้ว อย่างน้อยเราจะได้ซาบซึ้งถึงวันสำคัญของพุทธศาสนาซึ่งมีอยู่ ๓ วัน เป็นที่ทราบกันดีแล้ว ว่าวันมาฆบูชา วันอาสาฬหะ และวันวิสาขะ ซึ่งเป็นที่ซาบซึ้ง แต่พวกเรา แต่น่า แต่เป็นที่ที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง หรือน่าเศร้าอย่างยิ่ง ที่พุทธบริษัทที่อีกหลายต่อหลายท่าน ยังไม่ทราบเลยว่าวันอาสาฬหบูชานั้นคือวันอะไร เป็นต้น กับวันเข้าพรรษามันต่างกันอย่างไร วันไหน บางคนก็ยังไม่ทราบ แล้วก็ยังมีอีกหลายท่านที่ยังไม่ทราบ ว่าวันมาฆะเป็นอย่างไร วันวิสาขะเป็นอย่างไร นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับพวกเราชาวพุทธทั้งหลาย แล้วเราจะเข้าถึงหัวใจของศาสนากันได้อย่างไรก็ยังไม่แน่ วันสำคัญ เราก็ยังจำกันไม่ค่อยได้ รัตนะ รัตนตรัย แก้ว ๓ ดวงที่สำคัญๆ นั้น เรายังเข้ากันไม่ถึง ยังรู้กันไม่ชัด ยังมองกันไม่เห็น แล้วยังไม่ ผมก็ยังนึกไม่ค่อยออกครับว่าถ้าแบบนั้น จะเข้าถึงหัวใจของศาสนา