แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นภิกษุราชภัฎที่ต้องลาสิกขาทั้งหลาย การบรรยายแบบมหาวิทยาลัยต่อหางสุนัข ๑๐ ชั่วโมงของเราเป็นครั้งที่ ๔ นี้ ผมจะพูดด้วยหัวข้อว่า นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้
ดังได้เคยพูดมาแล้วในตอนก่อนเกี่ยวกับนรกและสวรรค์ ถ้าเป็นอย่างที่แท้จริงต้องเป็นที่นี่และเดี๋ยวนี้คือเป็นสันทิฏฐิโก แล้วก็ได้กล่าวไว้ถึงนิพพานก็ต้องที่นี่และเดี๋ยวนี้ ซึ่งจะได้พูดกันก็คือที่กำลังจะพูดนี้เอง เรามีการศึกษาไม่สมบูรณ์ ศึกษาพุทธศาสนาไม่สมบูรณ์แล้วก็ฟั่นเฝือด้วย พุทธบริษัทจึงไม่รู้เรื่องนิพพานโดยสมบูรณ์ มันก็ต้องบรรลุนิพพานไม่ได้ ไม่ได้รับรสของนิพพานตามที่ควรจะมี
ทีนี้ขอให้มองให้เห็นว่าถ้ามันไม่มีนิพพานมันก็ไม่ใช่พุทธศาสนา คุณต้องต้องยอมรับข้อนี้เอาไปคิดพิจารณา ถ้ามันไม่มีนิพพานมันจะเป็นพุทธศาสนาไม่ได้ ไม่ใช่พุทธศาสนาหรือไม่มีพุทธศาสนา ทีนี้ถ้าไม่รู้จักนิพพานก็ไม่ใช่พุทธบริษัท ถ้ามาถือตามความหมายที่ถูกต้องเป็นพุทธบริษัทกันทั้งทีก็ต้องรู้สิ่งหัวใจหรือสิ่งที่สูงสุดของพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมีความรู้เรื่องนิพพานโดยถูกต้อง ปฏิบัติอยู่เต็มตามที่ควรจะปฏิบัติ แล้วก็ได้รับผลเท่าที่ควรจะได้รับไม่มากก็น้อย อย่างนี้ต่างหากจึงจะเป็นพุทธบริษัท อย่าถือเสียว่าบวชเหลืองเหลืองแดงแดงแล้วก็จะเป็นพุทธบริษัท ถ้ามันไม่รู้เรื่องหัวใจของพุทธศาสนาเสียเลย มันก็เป็นแต่เปลือก เป็นแต่บัญชี เป็นแต่ทะเบียนทำนองนั้น
ทีนี้ขอให้คุณทดสอบดูตามผมกำลังจะพูดต่อไป ว่าความรู้เรื่องนิพพานของเรานี้กำลังมีอยู่อย่างไรในที่ทั่วๆไป รวมทั้งคุณเองคนหนึ่งๆด้วย คุณคอยฟังดูว่าคุณมีอย่างนั้นหรือเปล่า เดี๋ยวนี้ในเมืองไทยเราประชาชนถือว่านิพพานเป็นสิ่งที่ยากนักยากหนาในการที่จะถึงได้ และเป็นของเหลือวิสัยและพ้นสมัยที่จะถึงได้แล้วในสมัยนี้ นี่คุณคิดอย่างนี้หรือเปล่า คุณเล่าเรียนมาอย่างนี้ คุณมีความคิดต่อพระนิพพานอย่างนี้หรือเปล่า มันยากเกินกว่าถึงได้ แล้วก็เหลือวิสัย แล้วก็สมัยนี้พ้น พ้นสมัยแล้ว ไม่ต้องเอาเรื่องนิพพานมาพูดกัน ถ้าคุณกำลังมีความรู้เหมือนคนทั่วไปอย่างนี้ แล้วก็เราก็จะต้องพูดกันใหม่แล้ว
แล้วเขารู้หรือถือกันอยู่ว่า ต้องสร้างบารมีตายเกิดตายเกิดตายเกิดเรื่อยไปเป็นหมื่นชาติแสนชาตินั่นจึงจะถึงนิพพาน หมายความว่าเข้าโลงกันหมื่นหนแสนหนจึงจะถึงนิพพาน ถ้าคุณเคยรับความรู้มาอย่างนี้ หรือเชื่ออยู่อย่างนี้ก็ขอให้เตรียมตัวสำหรับจะพูดกันใหม่แล้ว แล้วก็ว่านิพพานนั้นถึงต่อตายแล้วนั่น ก็คิดว่าเรามีความเชื่ออย่างนี้กันมากทีเดียว ที่นี่เราบอกว่านิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ต่อตายแล้ว เพราะว่าไอ้การศึกษาหมาหางด้วนน่ะมันสอนด้วนๆ สอนว่านิพพานแปลว่าตายของพระพุทธเจ้าหรือของพระอรหันต์
ในโรงเรียนเขาสอนว่าคนตายเรียกว่าตาย พระเจ้าแผ่นดินตายเรียกว่าสวรรคต เจ้านายตายเรียกพิราลัย นิจกรรมอะไรต่ออะไรเรื่อยมา ช้างตายเรียกว่าล้มเพื่ออธิบายคำว่าตายตัวเดียว แล้วเอาคำว่าตายนี้ไปให้เป็นอาการของพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ ทีนี้เด็กๆมันก็เข้าใจว่านิพพานคือตาย แล้วจะได้อะไรกันล่ะ พอนิพพานแล้วคือตายตายแล้วจะได้อะไรกัน แล้วจะนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร นี่นิพพานต้องที่นี่และเดี๋ยวนี้
ทีนี้เขายังพูดกันอยู่อย่างทำลาย เป็นการทำลายหมดว่าไอ้นิพพานนี้จืดชืดไม่มีรสชาติอะไร นิพพานนี้สูญเปล่าไม่มีอะไร ว่างเปล่าสูญเปล่าไม่มีอะไร ก็เลยหมดกัน ตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ผลก็คือว่าไม่มีใครสนใจนิพพาน ไม่มีใครรู้สึกว่านิพพานเป็นเรื่องที่ควรสนใจ และคุ้มค่าที่ควรที่ไปสนใจเข้า เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครสนใจในนิพพานแม้ในเมืองพุทธ ประเทศไทยชาวพุทธเมืองพุทธนี่ก็ไม่มีใครสนใจในนิพพานซึ่งเป็นตัวแก่นแท้ปลายทางของพุทธศาสนา นี้ผมยังยืนยันอยู่ว่าถ้ายังไม่รู้จักหรือไม่รู้เรื่องของนิพพานก็ไม่ใช่พุทธบริษัท ถ้าไม่มีนิพพานก็ไม่ใช่พุทธศาสนา
ทีนี้ก็ขอทำความเข้าใจกันใหม่ เรามีความเชื่อมีความเข้าใจกันอยู่อย่างนั้น นี้ก็ขอทำความเชื่อขอทำความเข้าใจกันเสียใหม่มันจะได้เชื่อกันเสียใหม่ อย่าเป็นพุทธบริษัทที่ไม่รู้จักพุทธศาสนา ถ้ารู้จักพุทธศาสนาต้องรู้เรื่องนิพพาน ฉะนั้นเราอย่าเป็นพุทธบริษัทโดยที่ไม่รู้จักพุทธศาสนา เพราะว่าเราเกิดมาโดยทะเบียน พ่อแม่เป็นพุทธไอ้ลูกก็เป็นพุทธ มันก็มีโอกาสที่จะเป็นพุทธบริษัทได้โดยที่ไม่ต้องรู้พุทธศาสนา ขอให้เป็นพุทธบริษัทที่รู้จักพระพุทธศาสนาซึ่งมีพระนิพพานนี้เป็นหัวใจ
เราอย่าต้องเป็นพุทธบริษัทที่เรียนพุทธศาสนา ปฏิบัติพุทธศาสนากันอย่างละเมอๆ เรียนกันอย่างละเมอ ปฏิบัติกันอย่างละเมอ เรากำลังเป็นอย่างนี้หรือเปล่า และที่ว่าจะลึกมองยากสักหน่อยก็คือ อย่าเป็นคนเนรคุณต่อพระนิพพานซึ่งช่วยให้เรารอดชีวิตอยู่ได้ ผมคิดว่าคุณคงไม่เข้าใจยังไม่เข้าใจ เพราะพระนิพพานช่วยให้เรารอดชีวิตอยู่ทุกวันๆนี้ได้ และเราก็เนรคุณคือไม่รู้คุณของพระนิพพาน นี้เดี๋ยวก็จะพูดกันแน่นอน
เพราะว่าพระองค์ไม่ได้ตรัสสิ่งที่เหลือวิสัย คุณช่วยให้ความเป็นธรรมแก่พระพุทธเจ้าบ้าง ไปเหมาเขลาๆตามๆกันไปว่าเหลือวิสัย บางเรื่องเหลือวิสัย เช่นเรื่องพระนิพพานนี้เหลือวิสัยของคนทั่วไป แต่ความจริงแล้วพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัสสิ่งหรือเรื่องที่เหลือวิสัย เพียงแต่ว่าต้องเป็นวิญญูชนอยู่บ้าง อย่าเป็นคนโง่เง่าเต่าตุ่นดังบทพระพุทธพระธรรมคุณว่า ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เราสวดอยู่ทุกวันว่า วิญญูชนพึงรู้ได้เฉพาะตน ท่านใช้คำว่าวิญญูชนคือคนธรรมดามีความรู้ที่จะรู้อะไรได้ ไม่ใช่คนโง่เง่าเต่าตุ่น มันอาจจะเหลือวิสัยกับเฉพาะคนโง่เง่าเต่าตุ่น แต่ว่าคนโง่เง่าเต่าตุ่นถ้าเขี่ยถูกจุดมันก็ลุกโพลงได้คือรู้ได้เหมือนกัน
มันเป็นถึงอย่างนั้น ถ้าสำหรับคนธรรมดาสามัญแล้วต้องไม่เหลือวิสัย พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัสเรื่องที่เหลือวิสัย ฉะนั้นเราควรจะนึกถึงข้อที่เดี๋ยวนี้ถือกันว่าเรื่องนิพพานเหลือวิสั ยถ้าว่าเหลือวิสัยจะมีประโยชน์อะไร การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ารู้แต่เรื่องเหลือวิสัย สอนแต่เรื่องเหลือวิสัยก็ไม่เป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย
ที่เชื่อกันว่าต้องสร้างบารมีหมื่นชาติแสนชาติจึงจะถึงนิพพานนั้น นี่มันมีปัญหาอยู่ที่คำว่าชาติ คำพูดว่าชาตินี้มีอยู่สองความหมายคือในภาษาคนอย่างหนึ่ง ในภาษาธรรมอย่างหนึ่ง เอ่อ...ขอแทรกตรงนี้ว่าไอ้ความรู้เรื่องภาษาคนภาษาธรรมนี้สำคัญมาก ภาษาคนจะพูดไปโดยมองเห็นด้วยตา ไม่รู้เรื่องความหมายอันลึกซึ้งทางจิตใจก็พูดออกไป คนธรรมดาพูดออกไปนี้ก็พูดอย่างภาษาคน
ทีนี้พูดภาษาธรรมนั้นมองมองลึกลงไปถึงความหมายและภายใน ไม่เอาอยู่ที่ร่างรูปร่าง ภายนอก ไอ้คนนั้นมันรู้ลึกถึงภายในแล้วมันพูดออกมา มันก็เรียก ต้องเรียกว่าพูดภาษาธรรม ภาษาคนภาษาธรรม คำพูดทุกคำมีสองความหมายทั้งนั้น ถ้าพูดโดยภาษาคนเอาวัตถุและร่างกายเป็นหลัก พระพุทธเจ้าก็นิพพานแล้วคือตายแล้วเผาแล้วเหลือแต่กระดูกแล้ว นี่ถ้าพูดภาษาคนคือดูด้วยตาเห็นอย่างนั้นแล้วก็พูดอย่างนั้น ทีนี้ถ้าพูดโดยภาษาธรรมเนี่ย พระพุทธเจ้ายังอยู่และไม่รู้จักตายอย่างที่พระองค์ตรัสไว้เองว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม พระพุทธเจ้าเป็นธรรม พูดภาษาธรรมก็ยังอยู่ นี่ดูเถิดมันต่างกันอย่างไร ถ้าพูดภาษาคนพระพุทธเจ้าตายแล้วเผาแล้วหมดแล้ว พูดภาษาธรรมพระพุทธเจ้ายังอยู่ตลอดกาล ยังอยู่กับเราตลอดกาล
ทุกเรื่องมองให้อย่างนี้เหมือนที่พูดกันตอนเช้าว่าถ้าพูดภาษาคน นิพพาน เอ้ย...นรกอยู่ใต้ดินสวรรค์อยู่บนฟ้าถึงกันต่อตายแล้ว แต่ถ้าพูดภาษาธรรมนรกและสวรรค์อยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ นี่ความต่างกันมันมีอยู่อย่างนี้ ทำความเข้าใจเสียให้ถูกต้องว่าเรากำลังพูดภาษาไหน
ฉะนั้นถ้าพูดชาติ ชาติน่ะความเกิดในภาษาคน เอาวัตถุร่างกายเป็นหลักก็คือเกิดมาจากท้องแม่ออกมาเป็นเด็กโต จนกว่าจะตายก็นับว่าชาติหนึ่ง อายุหลายสิบปีจึงจะตาย นี่ชาติในภาษาคนคือเนื้อหนังที่เกิดมาจากท้องแม่อยู่หลายสิบปีแล้วก็ตายก็เรียกว่าชาติหนึ่ง ทีนี้ถ้าชาติในภาษาธรรมมันไม่อย่างนั้น มันเล็งไปที่ตัวความคิด เกิดความคิดเกิดความรู้สึกว่ากูขึ้นมาครั้งหนึ่งน่ะ ตัวกูอย่างนั้นตัวกูอย่างนี้ขึ้นมาครั้งหนึ่งน่ะ แล้วเดี๋ยวมันก็ดับไป ความคิดนี้เดี๋ยวก็ดับไป นี่ก็เรียกว่าชาติหนึ่ง
เพราะฉะนั้นในวันหนึ่งเรามีได้หลายชาติเกิดได้หลายชาติ ซึ่งถ้าถืออย่างภาษาคนก็หลายสิบปี ชาติหนึ่งต้องกว่าจะเข้าโลงน่ะทั้งหมดมีชาติเดียว ถ้าพูดในภาษาธรรมวันเดียวมีได้หลายชาติ หลายสิบชาติก็ได้แล้วแต่ว่ามีเรื่องมากเรื่องน้อย ความรู้สึกประเภทที่ว่ากูหรือฉันหรือเราอะไรก็ตาม มันเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่งก็เรียกว่าชาติหนึ่ง ต้องศึกษากันอย่างละเอียด เช่นว่าเราเห็นนี่น่ารักแล้วก็รัก นี่เป็นความคิดที่เป็นกิเลส แล้วก็อยากจะได้เพราะความน่ารักก็อยากจะได้ นี้เรียกว่าตัณหา
ความรู้สึกอยากจะได้นี้มากเข้าๆมันก็เกิดความรู้สึกว่ากูจะได้ กูอยากจะได้ ไอ้ความรู้สึกว่ากูอยากจะได้นี่มันเกิดขึ้นมาทีหลัง อยากอะไรเต็มที่แล้วจะเกิดความรู้สึกที่ว่ากูอยาก กูจะได้ อันนี้ถ้าไม่สังเกตที่ตัวจริงแล้วก็จะเหมาเอาว่า มันขัดความจริง มันขัดลอจิก (Logic) ทำไมผู้อยากจึงเกิดทีหลังความอยากเล่า มันอยากเพราะมันเป็นเรื่องของธรรมชาติไม่ใช่เรื่องตัวตนบุคคลอะไร ธรรมชาติมันปรุงในใจเป็นความอยากขึ้นมาก่อน แล้วความรู้สึกอยากนั้นจะปรุงความรู้สึกว่าฉัน มีฉันเป็นผู้อยากอยากจะได้อยากจะเอา นี่อย่างนี้เรียกว่ามันเกิดตัวกู เกิดความรู้สึกตัวกู พูดอย่างนั้นพูดอย่างนี้ขึ้นมาทีหนึ่งก็เรียกว่าชาติหนึ่ง
นี่ให้เข้าใจชาติอย่างนี้เป็นวันหนึ่งเกิดได้หลายชาติ เดือนหนึ่งหลายร้อยชาติ ปีหนึ่งหลายพันชาติ หลายๆปีก็หลายหมื่นหลายแสนชาติได้เหมือนกัน นับชาติอย่างนี้แล้วก็เข้าก็ไม่ขัดกับหลักที่ว่าต้องบำเพ็ญบารมีไปหลายหมื่นหลายแสนชาติจึงจะนิพพาน นี้มันก็จริงน่ะ คำพูดนี่จึงจริง แต่ความหมายมันคนละอย่าง เมื่อเขาพูดว่าเราต้องตายเข้าโลงหมื่นหนแสนหนจึงจะนิพพานนี่ เราไม่ต้องเข้าโลงไม่ทันจะเข้าโลงหมื่นหนแสนหน เราก็มีชาติครบหมื่นหนแสนหนเพราะว่าชาติแห่งความรู้สึกนี่มันเกิดได้ ไม่ทันจะตายก็หมื่นหนแสนหน
เกิดชาติหนึ่งเป็นทุกข์ทีหนึ่ง เกิดชาติหนึ่งเป็นทุกทีหนึ่ง นี่ในชาติอย่างนี้เพราะมันมีความอยาก ความยึดมั่นด้วยความอยาก เป็นตัวกูแล้วมันก็เป็นทุกข์ ความทุกข์เกิดมาจากความยึดมั่น ยึดมั่นทีไรก็เป็นทุกข์ทุกที หรือว่าบาลีก็จะกล่าวว่า เกิดทุกทีเป็นทุกข์ทุกที ก็เพราะว่าไอ้เกิดนั่นน่ะคือยึดมั่น ยึดมั่นนั่นน่ะคือเกิด นี่มันก็รู้จักเข็ดหลาบ รู้จักเข็ดหลาบ รู้จักบรรเทากิเลส รู้จักละกิเลส แล้วมันก็นิพพานได้โดยชาตินี้ไม่ต้องเข้าโลง
แต่มันมีชาติในภาษาธรรมเป็นหมื่นชาติแสนชาติแล้ว นี่เรียกว่าบำเพ็ญบารมีหมื่นชาติแสนชาติก่อนแต่ที่จะเข้าโลง แล้วก็บรรลุนิพพานได้ก่อนแต่จะเข้าโลง คุณช่วยจำไว้ให้แม่นๆ แม่นยำในคำพูดนี้แล้วไปคิดดูใหม่ ไปทบทวนดูใหม่ทีหลัง เราสร้างบารมีได้ถึงแสนหมื่นชาติแสนชาติในชีวิตนี้นะ หลังจากนั้นเราก็บรรลุนิพพานได้ในชีวิตนี้ ในทีนี้ให้รู้ไว้ว่าไอ้นิพพานนั้นมันหมายความว่าเย็น
เดี๋ยวจะพูดกันให้ละเอียดสักหน่อยให้รู้ว่านิพพานนี้แปลว่าเย็น เย็นเพราะไม่มีของร้อนคือกิเลส เมื่อใดของร้อนคือกิเลสไม่มี เมื่อนั้นก็เย็น นี่คือนิพพานที่เราได้รับอยู่หลายๆคราว เป็นนิพพานน้อยๆ เป็นนิพพานตัวอย่าง เป็นนิพพานระยะสั้น เมื่อใดจิตไม่มีกิเลสว่างจากกิเลส แต่ไม่ใช่เรานอนหลับนะ เรารู้สึกอยู่อย่างนี้ จิตว่างจากกิเลสเมื่อนั้นเราจะเย็น พอกิเลสชนิดไหนก็ตามเกิดขึ้นเมื่อนั้นเราจะร้อน มันก็เป็นนรกหรือเป็นวัฏฏสงสารน่ะมันร้อน นิพพานนี้ถ้าเทียบคู่ก็เทียบกับวัฏฏสงสาร พอกิเลสเกิดขึ้นก็มีวัฏฏสงสารวงหนึ่งน่ะร้อน พอกิเลสไม่ปรากฏว่างจากของร้อนมันก็เย็น
ฉะนั้นสักวินาทีหนึ่ง สิบนาที ห้านาทีอะไรก็ตามที่เราไม่มีกิเลส กำลังว่างจากกิเลส เมื่อนั้นเราจะเย็น เมื่อนั้นเราจะอยู่กับนิพพานตัวอย่าง นิพพานน้อยๆ นิพพานขนาดเล็ก นิพพานระยะสั้นๆ นี่อย่าอย่าอย่ามองข้ามไปเสีย ถ้าไม่มีนิพพานชนิดนี้นะพวกคุณก็ตายหมดแล้วไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่ หรือว่าอย่างดีก็เป็นบ้าหมดแล้วน่ะ เข้าใจไหมถ้าเราไม่มีนิพพานน้อยๆสั้นๆนิพพานตัวอย่างคั่นอยู่เป็นระยะๆนี่มันก็เต็มไปด้วยกิเลส เผาทั้งทุกนาทีตลอด ๒๔ ชั่วโมงทุกวันๆเดี๋ยวก็เราเป็นโรคประสาทเป็นบ้าและตายแล้ว ฉะนั้นที่เรามีจิตว่างจากกิเลสเป็นครั้งคราวๆสลับกันอยู่นั่นน่ะมันช่วยให้ปกติอยู่ได้ ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องนอนไม่หลับ ไม่ต้องเป็นโรคประสาท ไม่ต้องเป็นโรคจิตหรือเป็นบ้า
คุณต้องไปดูเอาเองผมพูดได้เท่านี้ ไปดูเอาเองว่าไอ้คนแต่ละคนน่ะมันมีว่างจากกิเลสอยู่ คั่นอยู่ กิเลสเกิดเป็นคราวๆ อย่าไปเชื่ออาจารย์ที่สอนว่ากิเลสเกิดตลอดเวลา กิเลสนี้เกิดเป็นคราวๆต่อเมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิด อย่างนี้มันอาจจะขัดกับการสั่งสอนของที่อื่นก็คุณก็รู้ไว้เสียด้วย รู้ล่วงหน้าไว้เสียด้วย หากเขาสอนกันว่ากิเลสเกิดตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับทั้งตื่นนี้เราไม่ เราไม่บอกอย่างนั้น เราบอกว่ากิเลสเป็นคราวๆเมื่อได้เหตุได้ปัจจัย เมื่อตากระทบรูปมีสัมผัสแล้วมันโง่ไป มันก็เกิดกิเลสเป็นคราวๆอย่างนี้
ฉะนั้นขอให้ขอบคุณพระนิพพานน้อยๆ ตัวอย่างระยะสั้นนี่ ที่คอยป้องกันไม่ให้เราเป็นโรคประสาทหรือเป็นบ้าตาย ถ้าเราไม่สนใจเรื่องนิพพาน เราก็สัตว์เนรคุณต่อสิ่งที่มันช่วยเราไว้ไม่ให้ต้องตายไม่ต้องเป็นบ้า นี่ทุกคนควรจะมองเห็นว่าไอ้ระยะที่เราว่างจากกิเลสเท่าไรก็ตามนั้นน่ะเป็นนิพพาน ที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้ยังคงอยู่ได้ไม่เป็นบ้าและไม่ตาย เมื่อนิพพานมีคุณอย่างนี้เราก็ควรจะทดแทนคุณ สนใจให้มาก
ทีนี้นิพพานน้อยๆสั้นๆอย่างนี้มันก็มีอยู่แล้ว ก็พอที่จะพูดได้ว่ามีที่นี่เดี๋ยวนี้ แต่ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น หมายความว่านิพพานที่จริงที่สมบูรณ์น่ะจะมีได้แม้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ คือในชาตินี้ ไอ้นิพพานน้อยๆสั้นๆตัวอย่างนั้นน่ะมันก็มีอยู่แล้ว ถ้าไม่มีก็ตายแล้วนี่ต้องพูดว่าอย่างนั้น ทีนี้มันไม่ได้ตายมันก็มีอยู่แล้ว จิตที่ว่างจากกิเลสเป็นระยะๆนั้นเป็นนิพพานน้อยๆที่หล่อเลี้ยงชีวิตเราไว้ และมันก็มีอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ มันไม่ต้องรอต่อว่าตายจึงจะได้นิพพาน เรามีนิพพานน้อยๆได้อยู่ตลอดเวลา แล้วจะทำให้เต็มให้สมบูรณ์ได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้
คือเราเป็นอยู่อย่างที่กิเลสไม่เกิด กิเลสเกิดได้อย่างไรเรารู้เท่าทัน เรามีสติปัญญาป้องกัน และทำลายไม่ให้กิเลสเกิด กิเลสนี้ถ้าเราปล่อยให้มันเกิดได้ทีหนึ่งมันก็เพิ่มกำลังที่จะเกิด เพิ่มความเคยชินที่จะเกิดเอาไว้หน่วยหนึ่ง ฉะนั้นเราปล่อยให้กิเลสเกิดทีหนึ่งมันจะเพิ่มกำลังที่จะเกิดนี้หน่วยหนึ่งๆเสมอไป ถ้าเราเป็นคนเหลวไหลปล่อยให้กิเลสเกิดเรื่อยเกิดบ่อย มันก็เพิ่มไอ้ความเคยชินที่จะเกิดกิเลสที่เรียกว่าอนุสัย อนุสัย เคยชินที่จะเกิดกิเลสนี้มันเพิ่มขึ้นๆ
ทีนี้ในทำนองที่ตรงกันข้ามนะ ถ้ากิเลสมันควรจะเกิดเราไม่ให้เกิด ไม่ให้เกิด ในเมื่อมันมีโอกาสที่จะเกิด ควรจะเกิดเราไม่ให้เกิด ถ้าอย่างนี้มันจะกลายเป็นลบ คือมันจะลบความเคยชินที่จะเกิดกิเลสหน่วยหนึ่งๆ ลบหนึ่งๆๆเสมอ ลบหนักเข้ามันหมดความเคยชินที่จะเกิด กิเลสมันก็ไม่เกิดได้ นี้เป็นนิพพานที่สมบูรณ์ เพราะเราทำกันเสียจนไอ้ความเคยชินหรือความสามารถความเป็นไปได้ที่จะเกิดกิเลสนั้นหมดไป มันก็เกิดกิเลสไม่ได้ ก็เป็นนิพพานที่สมบูรณ์ เมื่อทำได้ในชาตินี้ไม่ต้องรอต่อตายแล้วต่อเข้าโลแล้ว
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า จิตนี้เป็นประภัสสรคือไม่มีกิเลส รุ่งเรืองสุกใสเหมือนกันเพชรหรือว่าอะไรที่มันมีแสงเรือง แต่ว่าจิตนี้เศร้าหมองเพราะกิเลสเกิดขึ้นเป็นนครั้งคราว จิตนี้ตามธรรมชาติผ่องใส ถ้ายังไม่มีกิเลสเกิดขึ้นมันก็เป็นประภัสสรผ่องใสรุ่งเรือง แต่ทีนี้มันก็เศร้าหมองไปเพราะกิเลสเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว เพราะว่าจิตนั้นยังไม่ได้อบรมให้ดี จิตนั้นยังเปิดโอกาสให้กิเลสเกิดได้ ดังนั้นกิเลสจึงเกิด ทีนี้เรามาปฏิบัติธรรมอบรมกันเสียใหม่ๆจนจิตมันเปลี่ยนไปสู่สภาพที่กิเลสมันเกิดไม่ได้ เมื่อกิเลสเกิดไม่ได้จิตนั้นก็ประภัสสรตลอดกาล ไม่มีกิเลสแล้วก็เรืองแสงเพราะความไม่มีกิเลสตลอดกาล ฉะนั้นเราจงช่วยกันปฏิบัติธรรมในลักษณะที่ป้องกันไม่ให้กิเลสเกิดได้
ในเมื่อเกิดขึ้นแล้วทำลายเสียได้ทันทีอย่างนี้ มันก็ไม่สะสมอนุสัยคือความเคยชินที่จะเกิดกิเลส อนุสัยลดลงๆๆ เพราะว่าอนุสัยนี่สร้างไว้มาแต่อ้อนแต่ออกน่ะ คลอดจากท้องแม่ก็ได้สร้างไว้มาก กิเลสกับความเคยชินแห่งกิเลสมันมีอยู่มากในสันดาน ทีนี้เรามาลบออกๆมันคือการป้องกันไม่ให้เกิดกิเลสทุกคราวที่มันควรจะเกิด อนุสัยก็ถูกลบไปหน่วยหนึ่งๆๆเรื่อยไปโดยการกระทำอย่างนี้จนมันหมด มันก็เกิดกิเลสอีกไม่ได้ เดี๋ยวนี้จิตมันได้รับการฝึกฝนกระทำเปลี่ยนแปลงจนไม่คิดเป็นที่เกิดแห่งกิเลส เมื่อกิเลสไม่เกิดจิตนี้ก็ประภัสสรตลอดกาล ประภัสสรเดิมนั้นจิตยังไม่ได้อบรม กิเลสจึงเกิดได้ จึงสูญเสียประภัสสรบ่อยๆ เดี๋ยวนี้จิตถูกอบรมจนไม่เป็นที่เกิดที่ตั้งของกิเลสแล้ว ความเป็นประภัสสรก็สมบูรณ์จึงเป็นประภัสสรตลอดกาล กิเลสเกิดไม่ได้เรื่องมันมีอยู่อย่างนี้
ฉะนั้นเราจึงสามารถที่จะมีนิพพานได้ใน ภาษาคนเรียกว่าชาตินี้ คือไม่ต้องเข้าโลงยังไม่ทันเข้าโลงยังไม่ตาย ส่วนไอ้นิพพานน้อยๆระยะสั้นตัวอย่างนั้นเรายังมีอยู่มากๆหลายๆครั้งในวันหนึ่งๆ มองให้เห็นด้วย ทีนี้มันน้อยไป มันเป็นคราวๆ เราทำให้สมบูรณ์ให้ติดต่อเป็นเนื่องกันโดยวิธีลดอนุสัยเรื่อยไปจนมันหมด จนไม่มีต้นทุนไม่มีเดิมพันที่จะเกิดกิเลสอีก นี่นิพพานคือความว่างจากกิเลสมีอยู่ตามธรรมชาติน้อยๆก็มีแต่ไม่พอ ไม่ใช่นิพพานจริง เราต้องปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องเป็นอยู่ชนิดที่ลดอนุสัยลงเรื่อยๆๆๆ จนว่ามันไม่มีอนุสัยสำหรับจะให้เกิดกิเลส อย่างพระอรหันต์หมดกิเลส หมดอนุสัยก็คือหมดกิเลส
ฉะนั้นสิ่งที่จะให้เกิดกิเลสมายั่วท่านมันก็เกิดไม่ได้ สิ่งที่เกิดกิเลสจะเกิดกิเลสมายั่วท่านก็เกิดกิเลสไม่ได้ ไม่เหมือนพวกเราที่ยังมีอนุสัย พอสิ่งที่ยั่วให้เกิดกิเลสมายั่วมันก็เกิดกิเลส มันต่างกันอย่างนี้ ฉะนั้นการที่ทำให้กิเลสไม่เกิดหรือควบคุมการเกิดแห่งกิเลสว่าได้ครั้งหนึ่งนั้นน่ะมีค่ามาก คือมันลดอนุสัยลงไปหน่วยหนึ่ง ทำได้อีกทีก็ลดอีกหน่วยหนึ่ง ทำได้อีกทีก็ลดอีกหน่วยหนึ่ง ไม่เท่าไหร่มันหมดอนุสัย หมดกิเลส หมดหมดไอ้เชื้อที่จะเกิดกิเลส คือหมดอาสวะคือการไหลออกมาแห่งกิเลส
เมื่อไม่มีกิเลสเกิดก็คือนิพพาน เมื่อไม่เกิดกิเลสโดยสมบูรณ์ก็คือนิพพานที่สมบูรณ์ นี่อย่าโง่เง่าไปตามพวกนั้นว่าจืดชืดไม่มีรสชาติอะไร ก็เทียบเอาดูสิไอ้เวลาที่เราไม่มีกิเลสนั้นมันจืดชืดไม่มีอะไรหรือเปล่า จิตของเราเองน่ะอย่าไปเอาเรื่องในหนังสือในคัมภีร์ ตัวเราเองรู้สึกอยู่เองจิตของเราเอง เมื่อไรมันว่างจากกิเลสน่ะมันเป็นอย่างไร แล้วเมื่อไรกิเลสเกิดมันเป็นอย่างไร แม้แต่เพียงนิวรณ์เท่านั้นน่ะไม่ต้องถึงกิเลสใหญ่ๆหรอก นิวรณ์ ๕ นั้นน่ะ แม้แต่ง่วงนอนมันก็ไม่เป็นสุขเสียแล้วซึ่งเป็นนิวรณ์อันหนึ่ง ความเบื่อระอาความฟุ้งซ่าน ความคิดเอียงไปในทางกามคุณ ความไม่แน่ใจในชีวิตในการกระทำนี้เรียกว่านิวรณ์ มันก็แย่แล้ว หาความสุขไม่ได้แล้ว ถ้าไม่มีนิวรณ์มันก็จะสบายมาก อยู่ในสมาธิไม่มีนิวรณ์สบายมาก ไม่มีกิเลสเลยมันสบายมากกว่านั้น
นี่คุณไม่ต้องเชื่อใคร ถ้าไปเชื่อคนอื่นมันก็ไม่เป็นธรรมะหรอก รู้สึกอยู่กับตัวเอง แล้วก็รู้สึกอยู่กับตัวเองมันก็เชื่อตัวเองว่าความไม่มีกิเลสนั้นมีรสชาติบรมสุขสูงสุด ไม่ใช่จืดชืดเหมือนที่เขาว่ากัน ไอ้พวกที่ลุ่มหลงในกามารมณ์มันก็สันนิษฐานเอาเอง ว่าเมื่อนิพพานไม่มีกามารมณ์ก็นิพพานก็จืดชืดมันก็ว่าอย่างนั้น เพราะเขาไม่รู้ถึงไอ้ความสุขอีกชนิดหนึ่งซึ่งไม่ต้องอาศัยกามารมณ์ อาศัยความไม่มีกามารมณ์รบกวนนั่นเอง ไอ้กามารมณ์รบกวนนั่นทำให้นอนไม่หลับ ไม่เคยรู้สึกกันบ้างหรือว่าไอ้ความรู้สึกทางกามารมณ์รบกวนมันนอนไม่หลับ มันต้องลุกไปบำบัดความใคร่ มันลากหัวไปบำบัดความใคร่ มันเป็นสุขอย่างไร เมื่อไม่มีกามารมณ์รบกวนน่ะ มันเป็นอิสระ มันนอนหลับ
มีคำพูดในพระคัมภีร์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าท่านเป็นสุขกว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลเพราะว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลนอนไม่หลับ หลับไม่สนิทเพราะกามารมณ์รบกวน ส่วนเราตถาคตไม่มีกามารมณ์รบกวนตลอดคืน ทางนั้นก็นอนหลับสนิทเย็นตลอดคืน ก็ใช้คำพูดกันอย่างนี้เปรียบเทียบกันอย่างนี้
อย่าหาว่านิพพานไม่มีรสไม่มีชาติจืดชืด นิพพานต้องเป็นบรมสุข คือเป็นอิสระ ไม่มีกิเลสอะไรมาบีบคั้น มันก็เรียกว่าบรมธรรม นิพพานัง ปรมัง วทันติ พุทธา ผู้รู้ทั้งหลายกล่าวพระนิพพานว่านิพพานเป็นบรมธรรม บรมธรรมคือธรรมะสูงสุด ธรรมะอย่างยิ่ง จะเรียกว่าสิ่งก็ได้สิ่งสูงสุด สิ่งประเสริฐที่สุดน่ะบรมธรรม ว่างจากความทุกข์ด้วยประการทั้งปวงเรียกว่าบรมธรรม และนี่เป็นจุดมุ่งหมายของวิวัฒนาการของชีวิต ถ้าชีวิตยังมีกิเลสอยู่มันก็ดิ้นรนไปๆ ไปถึงความไม่มีกิเลสเมื่อใดมันก็จบมันก็หยุด ไม่ดิ้นรนแล้วก็ไม่ต้องตายด้วย มันหยุดความดิ้นรนก็เย็นสมตามความหมายของคำว่านิพพาน อิสรภาพที่สุดคือความไม่ถูกกิเลสบีบคั้น
ฉะนั้นคนปุถุชนทั่วไปก็มี ไม่มีอิสรภาพหรอก ที่เรียกว่าระบบการปกครองให้อิสรภาพเสรีภาพนั้นภาษาคน เป็นภาษาคนทางวัตถุ เรามีอิสรภาพโดยระบบประชาธิปไตยอย่างนี้มันภาษาคนทางวัตถุ แต่มันเป็นขี้ข้าของกิเลสเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ มันไม่มีอิสรภาพในทางจิตจนกว่าจะหมดกิเลสเป็นพวกพระอริยเจ้านั้นล่ะจึงจะมีอิสรภาพ ทีนี้นิพพานก็หมายถึงเมื่อเป็นอิสรภาพสูงสุด ไม่มีกิเลสมาครอบงำย่ำยีเบียดเบียน เพราะฉะนั้นนิพพานจึงเป็นอิสรภาพสูงสุด แต่เป็นความหมายทางภาษาธรรม ไอ้ทางวัตถุนี่คนไม่ติดคุกไม่ติดตารางมีอิสรภาพนั้นมันภาษาคน เอาข้างนอกเป็นหลักแต่ในใจยังเป็นทาส เป็นบ่าว เป็นขี้ข้าของกิเลส ไม่ใช่อิสรภาพ ต่อเมื่อใดถึงนิพพานเมื่อนั้นจึงจะมีอิสรภาพ ฉะนั้นเราจึงถือว่าพระนิพพานน่ะคืออิสรภาพถึงที่สุด
มนุษย์จะไปทางไหนกัน จะไปหาความสูงสุดไปทางไหนกัน ไม่มีทางไหนนอกจากไปทางนิพพาน อารยธรรมทั้งหลายถ้าถูกต้องมันก็ไปหานิพพาน เดี๋ยวนี้อารยธรรมมันผิดมันก็ไปหาเหยื่อของกิเลส อารยธรรมสมัยใหม่นั้นมันผิดมันไปหาเหยื่อของกิเลส มันก็เรียกว่าอารยธรรมคือความก้าวหน้าในทางผลิต ทางประดิษฐ์ เป็นอยู่กันอย่างแข่งกับเทวดา เรียกว่าอารยธรรม อันนั้นมันอารยธรรมเนื้อหนัง อารยธรรมภาษาคน ถ้าเป็นภาษาธรรมจะทำอย่างนั้นไม่ได้ มันต้องเป็นไปเพื่อลดความทุกข์ในจิตใจ วัฒนธรรมก็ดี ภูมิธรรมก็ดี แล้วแต่จะเรียกเถิด ถ้ามันถูกต้องมันก็จะไปหานิพพานคือหมดกิเลสเป็นอิสระและเย็น ศีลธรรมก็เหมือนกันมันมุ่งไปยังนิพพาน มีอิสระและเย็น
ฉะนั้นเราจำไป จดจำลงไปได้เลยว่า อารยธรรมก็ดี วัฒนธรรมก็ดี ภูมิธรรมก็ดี ศีลธรรมจริยธรรมอะไรก็ดี มันไปสุดที่นิพพาน มันไปสุดที่นิพพานจึงจะเป็นของจริง นี้ล่ะพอจะเข้าใจกันได้แล้วสำหรับปัญหาของเราคือพวกคุณทั้งหลายนี่ คุณเคยรู้เรื่องนิพพานมาอย่างไร ได้ยินเขากล่าวกันทั่วไป ปู่ย่าตายายที่ไม่มีการศึกษาเขากล่าวกันอย่างไร แล้วเรากำลังคิดอย่างนั้นหรือเปล่า นิพพานต่อตายแล้ว เหลือวิสัยของคนสมัยนี้ จืดชืดไม่มีรสชาติ ถ้าเคยได้ยินมาอย่างนี้ไปพิจารณาใหม่เถิด มันไม่ใช่อย่างนั้น
ทีนี้ก็จะดูคำว่านิพพานโดยภาษา นิพพานโดยภาษาหมายความว่า เอาตัวคำว่านิพพานนี้เป็นหลัก ก็บอกมาแล้วหลายครั้งแล้วว่านิพพานโดยภาษานั้นแปลว่าเย็น คำว่าศิวะก็แปลว่าเย็น คำว่าคำว่านิพพานก็แปลว่าเย็น ยังมีอีกหลายคำที่แปลว่าเย็น แต่เดี๋ยวนี้เรากำลังสนใจคำว่านิพพานให้รู้ว่านิพพานนี้แปลว่าเย็น เป็นคำพูดของคนธรรมดาทั่วไปในประเทศอินเดียสมัยโน้น เมื่อพูดว่านิพพาน นิพพานก็หมายความว่าเย็น เย็นก็จำกัดความว่าไม่ร้อน สิ้นไปแห่งความร้อน ดับไปแห่งความร้อน ก็เหลืออยู่แต่ความเย็น
นิพพานแปลว่าเย็นเป็นภาษาชาวบ้านพูด ลูกเด็กๆก็พูด เพราะว่าไอ้คำว่าเย็นนี้มันใช้ได้ทั้งแก่วัตถุ ทั้งแก่สัตว์เดรัจฉาน ทั้งแก่มนุษย์ นิพพานเย็นถ้าใช้แก่วัตถุก็คือวัตถุเย็น ถ่านไฟแดงๆเอาออกมาเสียจากเตาเดี๋ยวมันก็เย็นดำลงไปนี้ อาการอย่างนี้เรียกว่าถ่านไฟนั้นนิพพาน ภาษาโบราณในอินเดียครั้งกระโน้นถ่านมันนิพพาน ข้าวสุกข้าวสวยแกงกับร้อนกินไม่ได้รอไว้ก่อน กว่ามันจะกินได้คือมันเย็น คนในครัวก็ร้องบอกออกมาว่านิพพานแล้ว นิพพานแล้ว มามามากินได้ นี่วัตถุเย็นอย่างนี้ก็เรียกว่านิพพาน คำนี้ใช้ได้แม้แก่วัตถุ
ทีนี้สูงขึ้นมาใช้แก่สัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานมีฤทธิ์มีพิษมีอันตรายเอามาจากป่า เอามาฝึกฝึกกันเสียจนยอมแพ้จนเชื่องเหมือนกับแมว เป็นช้างเป็นควายเป็นอะไรที่มาจากป่าดุร้ายอย่างยิ่ง เอามาฝึกเสียจนเชื่องเหมือนกับแมวนี่เรียกว่ามันนิพพาน คำนี้ใช้ได้แม้แก่สัตว์เดรัจฉานว่ามันนิพพาน คือมันหมดร้อนมันหมดอันตราย ทีนี้ก็ใช้ได้กับคนทั้งทางกายและทางจิต ถ้ามันทำให้เย็นลงบ้างก็เรียกว่านิพพานทั้งนั้น ทีนี้คนมันมีเรื่องจิตใจเป็นใหญ่ คนชุดแรกๆน่ะเขาไปนิพพานกันที่กามารมณ์ เมื่อหิวกามารมณ์มันร้อน พอมีอารมณ์มาสนองความใคร่มันเย็นลง ก็เลยโง่ไปพักหนึ่งเอากามารมณ์เป็นนิพพาน คำนี้ก็มีอยู่ในพระบาลี ในพระคัมภีร์ ในเรื่องทิฏฐิหกสิบสองประการน่ะ เอากามารมณ์เป็นนิพพานก็เอามากล่าวถึงไอ้พวกโง่หกสิบสองประการ มีกามารมณ์เป็นนิพพานอยู่ด้วย
ทีนี้ต่อมาพวกนักค้นคว้าทางจิตน่ะ โอ้...มันไม่ใช่เว้ย มันโง่แล้ว มันก็ไปเอาเรื่องจิตสงบเป็นสมาธิ ทำสมาธิเป็นปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เพียงแค่จตุตถฌานนี้มันเงียบมันสงบมันเย็นมาก ก็เอาจตุตถฌานเป็นนิพพานกันอยู่ยุคหนึ่ง และจึงต่อมาและเอาให้ประณีตขึ้นไปก็เอาอรูปฌาน อากาสานัญจายนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานา สัญญายตนะ ว่าเป็นนิพพาน อันนี้มันเย็น เย็นมากเพราะว่ามันเป็นสมาธิชั้นลึก ที่ว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่
พระพุทธเจ้าไปศึกษานิพพานชั้นนี้ ระบบนี้กับอาจารย์คนสุดท้ายของท่าน คือ อาฬาร เอ่อ...อุทกดาบสรามบุตร พอศึกษาแล้วเสร็จแล้ว เอ้า...ไม่พอใจอาจารย์จะยืนยันอย่างไรท่านก็ไม่พอใจ เลยทิ้งอาจารย์ที่เอาไอ้อรูปฌานอันสุดท้ายเป็นนิพพานนี้ไปเสีย ก็ไปค้นของท่านเอง จนท่านตรัสรู้เองว่าไอ้ความหมดแห่งกิเลสเป็นนิพพาน ฉะนั้นเราจึงได้นิพพานแบบพุทธศาสนามาคือความหมดกิเลส นี่คุณดูประวัติของคำว่านิพพาน มันใช้ได้แม้กับสัตว์ ใช้ได้แม้กับสัตว์เดรัจฉาน มันใช้ได้กับกามอารมณ์บ้างอยู่พักหนึ่ง ใช้ได้กับสมาธิทุกทุกขั้นตอน สมาบัติทุกขั้นตอน และในที่สุดมันจึงมาพบว่าไอ้สิ้นกิเลสเป็นนิพพานคือของพระพุทธเจ้า
มันเนื่องจากว่าไอ้คำว่านิพพาน นิพพานนี้เป็นของเย็นใช้กับชาวบ้าน ชาวบ้านทุกคนก็ชอบเย็น เย็นอกเย็นใจก็พอแล้ว หญิงสาวคนหนึ่งเมื่อเห็นพระสิทธัตถะเดินผ่านไปมันร้องตะโกนขึ้นว่า นิพพุตา นูนะสามาตา (นาทีที่ 42.51) บุรุษนี้เป็นแม่ของใครแม่ของเขานิพพาน บุรุษนี้เป็นลูกของใครแม่ของเขานิพพาน บุรุษนี้เป็นลูกของใครพ่อของเขานิพพาน บุรุษนี้เป็นเป็นสามีของใครภรรยาของเขานิพพาน ใช้คำว่านิพพานอย่างนี้คือหมายถึงถึงเย็นอกเย็นใจ ภาษาโลกๆ
ฉะนั้นคำว่านิพพานเป็นคำที่ถูกยืมไปใช้ทางศาสนา เมื่อฤๅษี มุนี โยคี เขาค้นพบความเย็นอกเย็นใจยิ่งไปกว่าเย็นที่บ้าน เขาก็ต้องเอาคำนี้ไปใช้ คำคำว่า เย็น เย็น เย็นนี้ มาบอกชาวบ้านว่าฉันพบเย็นที่ดีกว่าที่เย็นจริง และก็มาสอนให้ ฉะนั้นการที่ออกไปค้นคว้าทางธรรมทางศาสนาในป่าในดงนั้น มุ่งหมายจะพบเย็นกันทั้งนั้น พบเย็นอย่างไรก็เอามาใช้คำว่าเย็น เย็น ก็คือคำว่านิพพาน ถ้าพูดเป็นภาษาไทยก็พูดว่าเย็น แต่ถ้าพูดเป็นภาษาที่นั่นสมัยนั้นก็คือนิพพาน เพราะฉะนั้นนิพพานจึงมีมากมีหลายระดับทุกคนต้องการนิพพาน แต่ว่าต้องการจะเย็นจริงที่พอใจจริงๆ
เมื่อพวกที่ถือลัทธิอื่นไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ส่งสาวกของเขาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็ไปขอร้องว่าขอพระองค์จงแสดงนิพพานของพระองค์แก่ข้าพเจ้า คุณฟังดู ไอ้พวกเหล่านี้ไปขอไปเฝ้าพระพุทธเจ้าขอร้องว่าพระพุทธ..ขอพระองค์จงแสดงนิพพานของพระองค์แก่ข้าพเจ้า คือนิพพานอย่างของพระองค์ เพราะพวกเขาเหล่านี้ก็มีนิพพานเป็นของตัวเองอยู่แล้ว เขาเป็นไอ้พวกลัทธิเป็นศาสดามีศาสนาของเขาอยู่แล้ว เขามีนิพพานอย่างของเขาอยู่แล้ว เกิดไม่พอใจเกิดขึ้นสงสัยว่าอันนี้ไม่ถูก มันก็ไปหาไปค้นคว้าใหม่ไปทูลถามพระพุทธเจ้า ขึ้นไปทางเหนือไปพบพระพุทธเจ้า ใช้คำว่าจงแสดงนิพพานของพระองค์คืออย่างของพระองค์น่ะแก่ข้าพเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงนิพพานอย่างของพระองค์ คือเรื่องทำลายอัตตา ถอนอัตตา ทำลายกิเลส เพราะถ้าทำลายอัตตาเสียได้แล้วมันก็ไม่มีกิเลสน่ะ นี่มันเป็นหลักที่ตายตัว
ถ้าทำลายความรู้สึกว่าอัตตาตัวตนเสียได้ กิเลสไม่มีที่ตั้ง ไม่มีที่งอก ไม่มีที่เกิด กรรมก็สิ้นสุด ไม่มีที่งอก ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีที่เกิด วัฏฏสงสารก็หยุดน่ะ ก็กิเลสดับ กรรมดับ ผลกรรมมันก็ต้องดับ นี่คือเย็นนิพพานแบบของพระพุทธเจ้าที่ได้ประกาศสั่งสอนแก่แจกจ่ายอย่างแบบเป็นแบบของพระองค์ นิพพานที่เย็นเพราะหมดกิเลสนี่คุณจะเริ่มรู้จักได้โดยสังเกตอย่างที่ผมว่านะ
พอกิเลสเกิดร้อนอย่างไรคุณศึกษาอย่างดี พอว่างกิเลสแล้วมันไม่ร้อนมันเย็นอย่างไรคุณก็ศึกษาอย่างดี ทำอย่างนี้เรื่อยๆไปจะรู้จักกิเลส และรู้จักความไม่มีกิเลส นี่เป็นวิธีที่จะรู้จักพระนิพพาน เราต้องรู้สึกด้วยจิตใจของตนนะไม่ใช่ใครมาบอก ไอ้เรื่องใครมาบอกหรือว่ามีอยู่ในหนังสือเขียนไว้ใช้ไม่ได้หรอก ต้องรู้สึกว่าเย็นหรือร้อนอยู่กับใจตนเองจึงจะเป็นของจริง เรียกว่าสันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโก เห็นได้ด้วยตนเอง ฉะนั้นนิพพานนี้ต้องเย็นและก็เย็นจนรู้สึกได้ด้วยตนเอง แล้วก็เป็นสันทิฏฐิโก
ถ้าเป็นเรื่องของนิพพานเขาใช้คำว่าสันทิฏฐิกัง ถ้าเป็นเรื่องธรรมะก็สันทิฏฐิโก ไอ้เย็นที่เรารู้สึกอยู่ในใจนี้เป็นนิพพาน แล้วก็เป็นสันทิฏฐิกังรู้สึกได้ด้วยตนเอง อกาลิกังไม่ไม่จำกัดเวลา ไม่มีกิเลสเมื่อไรก็เย็นเมื่อนั้น เอหิปัสสิกังมาดูมาดู มีพอที่ให้คนมาดูเรียกให้มาดูว่านี่มาดูมันเย็นอย่างนี้ อย่างนี้ก็เรียกว่านิพพานจริง โอปนยิกังนี่ไม่มีอะไรดีเท่าในการที่จะเอามาใส่ไว้ในใจ ปัจจัตตัง เวทิตัพพัง วิญญูหิ วิญญูชนจะรู้ได้เฉพาะตน
ถ้าอย่างนี้ก็ถูกต้องตาม สวากขาตัง นิพพานัง สวากขาตัง ภควตา นิพพานัง คือนิพพานที่พระองค์ทรงแสดงไว้ เมื่อว่างจากกิเลสน่ะเรียกว่านิพพาน ชั่วคราวก็เป็นนิพพานชั่วคราว ถ้าถาวรก็เป็นนิพพานถาวร
เป็นความว่างจากกิเลส เอ้า...พูดกันเรื่องความว่างจากกิเลสหน่อย ความว่างจากกิเลสนี้มันมีอย่างธรรมชาติตามธรรมชาติก็ได้ คือจิตประภัสสรตามธรรมชาติ เมื่อยังไม่มีกิเลสเกิดตามธรรมชาตินั้นก็เป็นจิตประภัสสร ก็ว่างจากกิเลสโดยธรรมชาติ นี้ว่าโดยบังเอิญเราไปอยู่ในป่าช้าหรืออยู่ไปในที่ที่มันทำให้สิ่งกิเลสเกิดไม่ได้โดยบังเอิญอย่างนี้ ก็เรียกว่าว่างจากกิเลสโดยบังเอิญ หรือว่าโดยเจตนาเราไปทำสมาธิทำวิปัสสนาทำอะไรโดยเจตนาจะข่มกิเลส กิเลสไม่เกิดนี้ก็เรียกมันว่ามันว่างโดยเจตนา นี้นะถ้าปฎิบัติสูงสุดเป็นสมุทเฉทปหาน ตัดอนุสัยหมด นี้มันก็เลยว่างจากกิเลสแท้จริงถาวรโดยสมุทเฉทปหาน ว่างไม่ถาวรก็คือว่าชั่วคราวโดยบังเอิญก็ได้ โดยเจตนาซึ่งมันมีผลเพียงครั้งคราวก็ได้ หรือโดยประภัสสรตามธรรมชาติก็ได้ อย่างนี้ว่างไม่ถาวร
ถ้าว่างถาวรก็คือทำลายอนุสัยที่ให้เกิดกิเลสเสียหมดแล้ว สภาพของจิตนั้นมันเปลี่ยนเป็นจิตที่ไม่ยอมให้กิเลสเกิดอีกต่อไป ก่อนนี้จิตมันยังเป็นสภาพที่ยอมให้กิเลสเกิดได้ ทีนี้ฝึกกันเสียใหม่ฝึกกันเสียใหม่จนมันจิตมันเปลี่ยนสภาพเป็นชนิดที่ว่ากิเลสจะเกิดมาบนจิตนี้อีกไม่ได้ มันก็ไม่มีกิเลสที่จิตนี้ก็เรียกสมุทเฉทปหาน ไอ้ความเป็นประภัสสรของจิตก็ต่อเนื่องกันไปไม่มีกิเลสแทรกแซงนี่ก็เป็นนิพพานสมบูรณ์
นี้เรามีนิพพานชั่วคราว นิพพานตัวอย่างหล่อเลี้ยงชีวิตไว้ ผมขอเตือนเสมอ ขอท้วงไว้เสมอเดี๋ยวคุณจะไม่ให้ความยุติธรรม ว่ามันรอดชีวิตอยู่ได้เพราะนิพพานน้อยๆ มันหล่อเลี้ยงไว้ ฉะนั้นอย่าเนรคุณต่อนิพพานชนิดนี้ ถ้าไม่มีนิพพานชนิดนี้มาหล่อเลี้ยงไว้แล้วเราก็ปวดหัวเป็นบ้าตายแล้ว เดี๋ยวนี้เราก็ยังมีปวดหัว มีนอนไม่หลับ มีโรคประสาท มีโรคจิตอยู่ เพราะว่านิพพานชนิดนี้ไม่ค่อยจะมีสำหรับคนนั้น สำหรับบุคคลนั้นน่ะนิพพานน้อยๆนี้มันไม่ค่อยจะมี เพราะมันนอนไม่หลับ มันปวดหัว มันเป็นโรคประสาท มันเป็นโรคจิตอย่างน่าละอายแมวละอายหมา เพราะแมวหมามันไม่เป็นนี่
นี่นิพพานน้อยๆนี้ล่ะมันช่วยคุ้มไว้ถึงขนาดนี้ เราจะพยายามทำให้มันมีสภาพปกติของจิต คือไม่มีกิเลสนั้นน่ะให้มากพออยู่เสมอ ให้ความว่างกิเลสใหญ่ยาวออกไป ทั้งใหญ่ทั้งยาวจนติดต่อกันหมด ก็มีว่างมากขึ้น มีนิพพานมากขึ้น เป็นสุขมากขึ้น ยุคนี้คงจะทำยากเพราะว่าสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่นิพพานน่ะมันมีมากมากคือความเจริญแผนใหม่ ความเจริญทางวัตถุสมัยใหม่นี้มันเป็นข้าศึกแก่นิพพาน มันยั่วกิเลส มันส่งเสริมกิเลส ฉะนั้นบทเรียนนี้จึงทำยากสำหรับคนสมัยนี้ ซึ่งมีไอ้วัตถุก้าวหน้ายั่วยวนกิเลสมากเกินไป สมัยโบราณเขาคงไม่ยุ่งยากลำบากมากเหมือนสมัยนี้ เพราะมันไม่มีไอ้สิ่งยั่วกิเลสมากเหมือนสมัยนี้
แล้วเราจะยอมเป็นบ้าอายแมวอยู่เหรอ เราก็ต้องเร่ง เร่งกำลังจิตกำลังอะไรให้มันว่างจากกิเลสให้ได้น่ะ อย่าให้กิเลสมันลากหัวเราไปหลงใหลมัวเมาในไอ้วัตถุนิยม ซึ่งก้าวหน้าแห่งยุคใหม่ยุคปัจจุบัน เรียกว่าเมื่อมันมีวัตถุยั่วยวนกิเลสมากมันก็ยิ่งจำเป็นที่จะต้องเพิ่มกำลังของพระนิพพานให้มาก ถ้าไม่งั้นเราก็ก็ต้องอายแมวล่ะ เราก็เป็นทาสของวัตถุนิยมมีความทุกข์ไม่สิ้นสุด นี่เรื่องว่าเรื่องของนิพพานมีปัญหาอย่างนี้ มีข้อเท็จจริงแก่พวกเราอย่างนี้ มีปัญหาอย่างนี้แก่ทุกคนในโลก
เอ้า... ทีนี้ก็มาพูดถึงที่ว่านิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้กันดีกว่า เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ผมถูกด่าจนไม่รู้จะด่ากันอย่างไรแล้ว ว่าเอาพระนิพพานมาทำให้สำเร็จประโยชน์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ในเมื่อเขาต้องการให้ตายแล้วเกิดๆๆร้อยพันชาติหมื่นชาติแสนชาติแล้วจึงจะนิพพาน แล้วเรามาทำว่ามาทำให้เป็นว่าที่นี่และเดี๋ยวนี้มีนิพพาน เขาก็โกรธ ไม่รู้ว่ามันจะไปขัดประโยชน์ของเขาหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ เขาหาเรื่องว่าเรามาหลอกคนว่านิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ หรือทำให้นิพพานนี้ด้อยค่าลงไปเพราะทำได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ เขาให้ถือว่าหมื่นชาติแสนชาติจึงจะได้ ถ้าอย่างนั้นค่าของมันก็มากสิ พอมาทำได้ที่นี่เดี๋ยวนี้กลายเป็นของง่ายไป เขาไม่ เขาคัดค้าน ก็ด่า
ไม่เป็นไร เพราะเราไม่ได้ต้องการอะไรจากคนพวกนี้ เราต้องการให้คนทั่วไปต่างหากได้รับประโยชน์จากนิพพาน มันมีหลักอยู่ว่าเมื่อใดเกิดอุปาทานน่ะเมื่อนั้นไม่นิพพาน คือจิตของเรายึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดอยู่นะ คุณรู้ความหมายว่าจิตของเรากำลังยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตนในสิ่งใดอยู่เมื่อนั้นนิพพานไม่ได้ เมื่อใดจิตไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดอยู่เมื่อนั้นนิพพานเอง เป็นนิพพานในทิฏฐธรรมด้วย
จะเล่าเรื่องก็คือว่ามี มีคนที่เป็นนักคิดนักศึกษานี้ เป็นฆราวาสทั้งนั้นไม่มีพระเลย เป็นพระอินทร์ก็มี เป็นอุบาสกเป็นเศรษฐคนร่ำรวยอะไรก็มี เขามาถามมาทูลถามพระพุทธเจ้าว่าทำไมคนจึงไม่นิพพานในทิฎฐธรรม คือทำไมคนจึงไม่บรรลุนิพพานในความรู้สึกของตัวเองที่รู้สึกได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไอ้ทิฎฐธรรมนั้นหมายความว่ารู้สึกอยู่กับใจของตัวเอง เขามาถามว่าทำไมคนจึงไม่นิพพานชนิดที่รู้สึกอยู่กับใจเองที่นี่และเดี๋ยวนี้ล่ะ ทิฎฺเฐว ธมฺเม ในธรรมอันตนเห็นแล้วเทียว คือในความรู้สึกที่ตนกำลังรู้สึกอยู่เทียวน่ะ ไม่ใช่ต่อตายแล้ว ตายจะรู้สึกอย่างไรได้ ก็คือที่นี่และเดี๋ยวนี้
พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสตอบว่ามันเป็นอย่างนั้น คือท่านยกมาทั้งกระบิทั้งระบบน่ะ เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หกอย่างนั้นน่ะแล้วท่านก็ตรัสทีละอย่าง ท่านก็ตรัสเรื่องตานี่เห็นรูปก่อนเป็นเรื่องแรก รูปที่ตาเห็นนั้นนะเป็น อิฎฺฐา แปลว่าน่าน่าปรารถนาอย่างยิ่ง กนฺตา ยั่วให้เกิดความรัก กานดาเป็นภาษาไทยมันเป็นกานดา นางกานดาคือนางสาวที่น่ารัก กนฺตา น่ารักอย่างยิ่งมัน มนาปา น่าพอใจอย่างยิ่ง ปิยรูปา มีลักษณะน่ารัก กามูปสญฺหิตา เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยแห่งกาม ไอ้รูปที่หนึ่งนั้นเป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยแห่งกามคือความใคร่ รชนียา ย้อมจิตย้อมจิต
คือรูปนั้น อิฎฺฐา กนฺตา มนาปา ปิยรูปา กามูปสญฺหิตา รชนียา หมายความว่า รูปนั้น น่าใคร่ น่ารัก น่าพอใจ ลักษณะชวนรัก ก็เป็นที่เข้าไปตั้งแห่งความใคร่ แล้วก็ย้อมจิต จับจิตอย่างยิ่ง รูปนั้นมีลักษณะอย่างนั้น ทีนี้บุคคลนั้นเห็นเข้าแล้ว ถ้าเขาชอบใจอย่างยิ่ง อภินนฺทติ ชอบอย่างยิ่ง อภิวทติ พร่ำสรรเสริญอยู่อย่างยิ่ง พร่ำสรรเสริญ ก็คุณคิด อ้า... ไม่ใช่คิดน่ะ นึกดูว่าพอมันถูกใจอะไร อร่อยอะไรนี่ มันทำเสียงสูดปากอะไรบ้างนี้ อภิวทติ พร่ำสรรเสริญเหมือนกับคนบ้า เพราะสิ่งนั้นมันอร่อยมันสวย
แล้วก็ อชฺโฌสาย ติฎฺฐติ ฝังจิตใจเข้าไปหมกอยู่ในสิ่งนั้น อย่าฟังแต่เสียงนะ คือนึกถึงไอ้ของจริงที่มันสวยอย่างยิ่งนะ แล้วมันก็เพลินอย่างยิ่ง แล้วมันก็พร่ำแสดงทางปากนี่ว่าพอใจอย่างยิ่ง ไอ้จิตมันก็ฝังลงไปในสิ่งนั้นอย่างยิ่ง คือกายมันก็เป็นไป วาจามันก็เป็นไป จิตมันก็เป็นไปในทางที่จะเข้าไปหลงใหลในสิ่งนั้น นี้เรียกว่าเขามันเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่อย่างนี้นะ วิญญาณของเขาก็เป็นวิญญาณที่กิเลสเหล่านั้นเข้าไปอาศัยแล้ว กิเลส คือความรัก ความหลงใหล ความกำหนัด เข้าไปอาศัยอยู่ในจิตของเขา ในวิญญาณ ในจิตของเขา
ความที่จิตมัน อ่า... ถูกกิเลสเข้าไปอาศัยนี่ก็เรียกว่าอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นว่าสวย ว่าหญิง ว่าชาย ว่าอะไรก็ตาม แล้วก็ของกู เพื่อตัวกู เพื่อของกู นี้เรียกว่าอุปาทาน ความที่วิญญาณนั้นถูกกิเลสเข้าไปอาศัยแล้วน่ะ กิเลสมันไปจับจิตนั้นแล้วก็คือจิตมันก็ฝังอยู่ในอารมณ์นั้น นี้เรียกว่าอุปาทาน ผู้ที่มีอุปาทานไม่ปรินิพพานในความรู้สึกของตน คือในทิฎฐธรรม ไม่นิพพาน
เอ้า... ทีนี้ก็ไปเปรียบเอาเองน่ะในทางที่ตรงกันข้าม เมื่อรูปที่มันน่าใคร่ น่ารัก น่าพอใจ เป็นที่ตั้งแห่งกาม ย้อมจิตย้อมใจมาถึงเข้า ทีนี้ไอ้คนคนนั้นหรือภิกษุนั้นก็ตามน่ะมันมีธรรมะพอ มันมีสติปัญญาพอ มันก็เห็นว่า โอ้... มันแค่นั้นล่ะ มันเท่านั้นล่ะ มันปรากฏการณ์ตามธรรมชาติอย่างนั้นล่ะ ถึงแม้ว่าน่ารักนี้ก็มันเป็นเรื่องที่เขาสมมติ รู้สึกอย่างนี้ว่าน่ารักว่า มันเห็นเป็นอย่างนั้นเอง แล้วยังเห็นลึกไปโดยรายละเอียดอะไรก็ได้ว่าไม่เที่ยง ว่าอนัตตา ว่าเป็นทุกข์ ว่าคนๆนี้มันมีความรู้พอ
มันจะศึกษามาอย่างไรก็ไม่ได้พูดโดยรายละเอียด แต่คนคนนี้มันมีความรู้สึกพอ สติพอ ปัญญาพอ มันก็ไม่หลงเพลิดเพลิน มันไม่หลงพร่ำสรรเสริญด้วยปาก ใจของมันก็ไม่ฝังลงไป เมื่อเป็นอย่างนี้ไอ้วิญญาณหรือจิตของไอ้คนคนนั้นมันก็ไม่ถูกกิเลสอาศัย กิเลสไม่เข้าไปอาศัยได้ในจิตนั้น นั้นคือไม่มีอุปาทาน ผู้ที่ไม่มีอุปาทานย่อมปรินิพพานในทิฎฐธรรม ในความรู้สึกของตนเองที่นี่และเดี๋ยวนี้
มันสำคัญอยู่ที่คำว่าอุปาทาน อย่าให้เป็นตัวภาษาหนังสือจดไว้ในสมุด หรือหูฟังว่าอุปาทานไม่พอ ไปรู้จักอุปาทานที่เรามีอยู่จริง คือทุกๆคนมีอยู่จริง มีอุปาทานในรูป ที่ที่เป็น เป็นที่ตั้งแห่งกาม ในเสียงที่เป็นที่ตั้งแห่งกาม ในกลิ่นที่เป็นที่ตั้งแห่งกาม ในรสที่เป็นที่ตั้งแห่งกาม สัมผัสผิวหนังที่เป็นที่ตั้งแห่งกาม ความรู้สึกหรือสัญญาอะไรที่มันเป็นที่ตั้งแห่งกามน่ะในใจ
ส่วนใหญ่นะตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ มันเป็นเรื่องเพศตรงกันข้ามทั้งนั้นล่ะ ของเพศตรงกันข้ามทั้งนั้น ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่เนื่องกันอยู่กับเพศตรงกันข้ามนี้ จับจิตยิ่งกว่าสิ่งใด เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทานยิ่งกว่าสิ่งใด ฝ่ายหญิงก็เป็นแก่ชาย ฝ่ายชายก็เป็นแก่หญิง นั่นอุปาทานมันมาจากหกประการนี้ที่มันมีอำนาจรุนแรง แล้วเราก็ไปดูของจริงสิ อย่าอย่าดู ตัวหนังสือ ไปดูของจริงดูที่มันเกิดแก่ใจของเราจริงๆ เราก็จะรู้จักอุปาทาน เราก็รู้จักว่าพอมีอุปาทานแล้วจิตใจนี้เหมือนกับถูกอัดไว้ด้วยไฟ บอกไม่ถูกน่ะมันมันเหมือนกับว่า ถูกทิ่ม ถูกแทง ถูกเผา ถูกลน ถูกมัด ถูกครอบงำ ถูกอะไรทุกอย่างแล้ว อุปาทาน ก็ไม่นิพพานคือไม่ว่าง ไม่เย็น
ทีนี้จิตใจมันเป็นอิสระ มันไม่เป็นอย่างนั้นได้ มันก็ว่างมันก็เย็น นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้มีได้เพราะเราสามารถควบคุมสิ่งที่มาสัมผัสด้วย ไม่ให้สร้างความเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ หรือมัวหมกเมาหมกขึ้นมาในใจเราได้
ฉะนั้นมีเท่านี้น่ะ ถ้าคุณทำได้ไอ้เรื่องนิพพานนี้ก็เป็นของจริง ไม่ใช่ของพูดไว้พูดเฉยๆ ไม่หลอกใคร เราก็จะเป็นพุทธบริษัทจริงเพราะเรารู้จักนิพพาน และเราทำให้มีนิพพาน เสวยรสของพระนิพพานได้ มันก็ไปต่อสู้กับสิ่งที่มากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาชนะได้ ไม่มีการตกลงไป เป็นทาสของสิ่งนั้น ก็เรียกไม่มีอุปาทานผูกพัน เมื่อนั้นก็นิพพานคือว่างจากกิเลสแล้วก็เย็นอยู่ตามธรรมชาติของจิตประภัสสร นี่นิพพานที่นี่เดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างนี้
ถ้าจะเกี่ยงให้บำเพ็ญบารมีหมื่นชาติแสนชาติก็ได้ เพราะว่าเกิดตัวกูในอารมณ์ครั้งหนึ่ง เรียกว่าชาติหนึ่ง เดือนหนึ่งอาจเกิดได้หลายร้อย ปีอาจเกิดได้หลายพันหลายหมื่น ยี่สิบสามสิบปีก็เกิดได้หลายแสน พอแล้วพอแล้วอย่าให้มันมากกว่านั้นเลย มันควรจะเข็ดหลาบ นี้บำเพ็ญบารมีเป็น หมื่นชาติแสนชาติได้โดยก่อนแต่ที่จะเข้าโลง มันก็ไม่ค้านกันน่ะไอ้หลักที่เขาว่าให้บำเพ็ญบารมี หมื่นชาติแสนชาติเสียก่อนจึงจะนิพพาน ของเราปฏิบัติได้อย่างนี้ แต่ของเขามันจะเหลวคว้าง เขาต้องรอเข้าโลงแล้วหมื่นครั้งแสนครั้ง เดี๋ยวก็ลืมหมดขี้เกียจพูดกัน เข้าโลงตั้งแสนครั้ง
เราไม่ทันจะเข้าโลงสิ เรามีการเกิดตายแห่งแห่งตัวกูนี้ตั้งแสนครั้งเหมือนกัน เป็นอันว่ามันไม่ขัดกันนะที่ว่าจะต้องสร้างบารมีแสนชาติจึงจะนิพพาน ถูกแล้ว แต่ว่าที่นี่และเดี๋ยวนี้เราสร้างได้แสนชาติ แล้วหลังจากนั้นมันมีการเข็ดหลาบ มันฉลาดพอที่จะทำไม่ให้กิเลสเกิด คือเราทำอยู่ตลอดแสนชาตินั่นล่ะไม่ให้เกิดกิเลสเกิดกิเลส อนุสัยลดๆๆๆ เดี๋ยวก็หมดอนุสัย กิเลสเกิดไม่ได้มันก็เป็นนิพพานโดยสมบูรณ์
ฉะนั้นเมื่อคุณบังคับความรู้สึกได้ครั้งหนึ่ง เมื่อนั้นน่ะคือสร้างบารมีครั้งหนึ่ง ถ้าคุณปล่อยจิตไปตามอารมณ์ก็เพิ่มๆๆๆ บวกๆๆๆอนุสัย แต่บังคับจิตไว้ได้กูไม่ไปอร่อยกับมึง บังคับจิตไว้ได้อย่างนี้ทีหนึ่งน่ะมันลบๆๆหนึ่งๆๆ อนุสัยมันเป็นลบ ไม่เท่าไรมันหมด มันไม่มีพื้นฐานรากฐานไม่มีเดิมพันที่จะเกิดกิเลสก็เป็นนิพพานโดยสมบูรณ์
นี่พูดกันในชีวิตประจำวัน คุณจะต้องถือเป็นเรื่องประจำวันเพราะว่าไอ้เรื่องที่จะมาทำให้ เกิดกิเลสมันมาทุกวันๆ ฉะนั้นไอ้เรื่องที่จะกำจัดมันเสียก็ต้องเป็นเรื่องทุกวันๆประจำวัน อย่าได้ไปหลงรัก หลงเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมก จิตไม่ถูกกิเลสอาศัยไม่มีอุปาทานก็จะเป็นนิพพานในทิฎฐธรรมอยู่ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ นี่คือเรื่องนิพพาน
เอ้า... ตอนท้ายนี้อยากจะพูดอีกนิดหนึ่งว่า นิพพานนี้ให้เปล่าไม่คิดสตางค์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอย่างนั้น นิพฺพุติง มุธา นิพฺพุติง ภุญฺชะมานา ให้เปล่าไม่คิดสตางค์กับใคร นี้น่าจะขอบใจนิพพานหรือพระพุทธเจ้า ไม่เรียกร้องอะไรไม่เรียกคิดค่าอะไร ระวังอย่าให้อุปาทานเกิดขึ้นมันก็เป็นนิพพานเอง ไม่ยากลำบาก ไม่เหลือวิสัย และก็ไม่คิดสตางค์ แล้วก็ทำให้เสร็จเสียก่อนตายก่อนเข้าโลงๆ ผมจึงพูดคำพูดขึ้นมาใหม่อีกคำว่า ตายก่อนตายคือนิพพาน แต่ผมก็ได้ยินจากคนเฒ่าคนแก่อีกทีนะ ผมลืมเสียแล้วว่าใครพูด
คือมันเนื่องกันมากับว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ นิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย นี่ปู่ย่าตายายของเราไม่ใช่เล่น สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ไม่ใช่ว่าอยู่ใต้ดินอยู่บนฟ้าอะไรเหมือนที่เขาพูดกันแต่ก่อน แล้วนิพพานนี้อยู่ที่ตายเสียก่อนตาย คือตัวกูๆๆที่เคยเกิดวันละหลายๆหนให้มันตายสนิทเสีย ก่อนแต่ที่ร่างกายนี้จะตายเข้าโลง มันยิ่งแสดงว่าที่นี่และเดี๋ยวนี้ ก่อนแต่ที่ร่างกายจะตายจะเข้าโลงน่ะ ไอ้ตัวกูๆๆของกูแห่งอุปาทานให้มันหมดเสียก่อน นั่นล่ะคือนิพพาน นิพพานคือตายเสียก่อนตาย ทำได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ แล้วก็ให้เปล่าไม่คิดสตางค์ ใครยังไม่เอาอีกคนนั้นโง่กี่มากน้อยไปคำนวณเอาดู
นี่ผมพูดเรื่องที่ผมถูกด่าให้คุณฟังแล้ว ผมพูดว่านิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้แล้วก็ถูกด่าแล้วมันเปลี่ยนไม่ได้จะด่าก็ด่าไปเถิดมันเป็นเรื่องจริงอย่างนี้ มันมีหลักฐานในพระพุทธภาษิตอย่างนี้ มันมีการทดสอบด้วยใจจริงอย่างนี้ แล้วมันก็เห็นชัดๆอยู่อย่างนี้ เป็นสันทิฏฐิโกอยู่อย่างนี้ มันก็คงสภาพอย่างนี้ไว้ก็คงพูดอย่างนี้ว่านิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ เอาไปศึกษาเพิ่มเติมความรู้เรื่องพุทธศาสนาให้เต็ม
ผมได้บอกมาแล้วตั้งแต่ครั้งต้นครั้งแรกนะว่าผมจะเลือกสรรมาแต่เรื่องที่จำเป็น เป็นเนื้อหา เป็นสาระทั้งหมดทั้งสิ้นตั้งแต่ต่ำจนถึงสูงที่สุดมาพูดด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ อย่างที่ผมกำลังทำอยู่นี้ ไอ้เรื่องนิพพานนี้จะพูดกันเป็นเดือนๆก็ได้ แต่นี้เอามาแต่เนื้อหาสาระหัวข้อที่เป็นหลัก มันก็พูดเดี๋ยวนี้ชั่วโมงกว่านี้ นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ แล้วก็คาบเกี่ยวไปถึงเรื่องอื่นด้วยที่มันมันคาบเกี่ยวกันอยู่เป็นธรรมดา อะไรเป็นเหตุให้ไม่นิพพาน อะไรเป็นเหตุให้นิพพานก็ต้องพูดถึงด้วย
เอาละ... เลิกกันทีนะ เลิกว่านิพพานนี้เหลือวิสัย นิพพานไม่มีประโยชน์ นิพพานจืดชืด นิพพานต้องรอเข้าโลงหมื่นหนแสนหนนี้เลิกเลิก เอาเป็นนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ก็จะเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง มีพระนิพพานได้จริง มีพุทธศาสนาจริงคือมีนิพพาน เป็นพุทธบริษัทจริงคือรู้เรื่องนิพพาน
เอ้า... ขอยุติการบรรยายชั่วโมงนี้ไว้เพียงเท่านี้แล้วก็ปิดประชุม คืนนี้ถ้าฝนไม่ตกสองทุ่มครึ่งมาที่นี่ ฝนตกผมทนไม่ค่อยได้มันมันเป็นอะไรไม่รู้ ฝนเยือกมันทนไม่ค่อยได้