แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
มมญฺหิ อานนฺท กลฺยาณมิตฺตํ อาคมฺม
ชาติธมฺมา สตฺตา ชาติยา ปริมุจฺจนฺติ
ชราธมฺมา สตฺตา ชราย ปริมุจฺจนฺติ
มรณธมฺมา สตฺตา มรณสฺมา ปริมุจฺจนฺติ
โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสธมฺมา สตฺตา
โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาเสหิ ปริมุจฺจนฺตีติ ฯ
ธมฺโม สกฺกจฺจํ โสตพฺโพติ (ท่านทั้งหลายพึงตั้งใจฟังธรรมโดยความเคารพ)
ณ บัดนี้ จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา
ธรรมเทศนานี้ชื่อว่าปรมกัลยาณมิตตกถา แสดงถึงความที่สัตว์ทั้งหลายได้อาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นกัลยาณมิตรแล้ว ย่อมพ้นจากความเกิด ความแก่ ความตาย และโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทั้งหลาย ดังนี้
วันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชา เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเป็นวันพระธรรม คือเป็นวันที่พระธรรมปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก ก่อนนี้พระธรรมอย่างนี้พระธรรมอย่างในพระพุทธศาสนานี้ ไม่ได้มีปรากฏแก่โลก เพิ่งจะมีในวันเช่นวันนี้ในสมัยพุทธกาลโน้น วันวิสาขะคือวันที่ตรัสรู้ ก็รู้พระธรรมเป็นเครื่องกำจัดทุกข์ วันอาสาฬหบูชาถัดมา ก็เป็นวันที่ประกาศพระธรรมเป็นครั้งแรกที่เรียกว่าธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นเครื่องกำจัดทุกข์ ต่อมาอีกเจ็ดเดือนจากวันนั้น ก็ถึงวันมาฆบูชา เป็นวันที่พระอรหันต์ประชุมกันประกาศความเป็นปึกแผ่นของพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เป็นการพิสูจน์ว่าได้มีผู้ถือเอาพระธรรมเป็นเครื่องกำจัดทุกข์ได้แท้จริงโดยปริมาณมากมาย ทำให้เห็นได้ว่าวันวิสาขบูชาเป็นวันพระพุทธเจ้าเกิด พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เพราะการตรัสรู้จึงได้เกิดมีพระพุทธเจ้า สองเดือนต่อมาก็เป็นวันอาสาฬหบูชา คือวันพระธรรม คือพระองค์ได้ทรงเปิดเผยธรรมที่ได้ตรัสรู้เป็นครั้งแรกและเริ่มมีผู้รู้ตาม เจ็ดเดือนต่อมาเป็นวันมาฆบูชา เป็นวันพระสงฆ์ เพราะเกิดพระสงฆ์ขึ้นอย่างเป็นปึกแผ่นแน่นหนา ประดิษฐานพระศาสนาไว้ได้อย่างมั่นคง ขอให้เราทุกคนถือวันทั้งสามนี้ว่าเป็นวันสำคัญ
บางคนก็เรียกว่าวันสำคัญของศาสนา อาตมาเห็นว่าเข้าใจยาก ถ้าเป็นวันสำคัญของศาสนาก็อาจจะไม่มีประโยชน์อะไรแก่มนุษย์ก็ได้ ฉะนั้นให้เป็นวันสำคัญของมนุษย์เสียจะดีกว่า วันสำคัญของมนุษย์นั้นหมายความว่าอย่างไร หมายความว่าก่อนหน้านี้มนุษย์เป็นคนมืดบอด อยู่ในความมืดของอวิชชา ไม่รู้เรื่องความทุกข์ความดับทุกข์ ครั้นถึงวันนี้ ได้รับธรรมเทศนาแสดงถึงเรื่องความทุกข์และความดับทุกข์ มนุษย์เป็นผู้ได้รับประโยชน์ ความสำคัญนั้นได้เกิดขึ้นเพื่อมนุษย์ จะถือว่าเป็นวันของมนุษย์สำหรับมนุษย์จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากพระพุทธเจ้า นี่แหละเห็นว่าเรียกวันสำคัญนี้ว่าเป็นวันสำคัญของมนุษย์จะดีกว่ากระมัง เพราะมัวแต่ว่าเป็นวันสำคัญของศาสนา ก็ทิ้งไว้ให้เป็นของศาสนา มนุษย์ก็ไม่เอาใจใส่ จึงได้โง่งมงายกันมาตลอดเวลาที่ยกเอาเรื่องนี้ไว้ให้เป็นเรื่องของพระศาสนาไปเสีย ไม่เอามาเป็นเรื่องของมนุษย์เลย
หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้นอีก ก็อยากจะพูดว่าวันสำคัญของโลกทั้งโลกทั้งมวล คือทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก โลกอะไรก็ตามทุกๆ โลก วันนี้เป็นวันสำคัญของโลกทุกโลก ปรากฏในพระคัมภีร์นั้นๆ ว่า เมื่อแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรจบลงแล้ว แผ่นดินไหวทั่วทุกโลกธาตุ เทวโลก มารโลก พรหมโลก ได้บอกต่อๆ กันไปถึงข้อที่พระองค์ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนี้ที่อิสิปตนมฤคทายวัน เป็นเครื่องกำจัดมารกำจัดทุกข์แท้จริง ไม่มีใครคัดค้านได้ จึงน่าจะถือว่าวันสำคัญนี้เป็นวันสำคัญของสัตว์โลกทุกโลก แต่บางคนคงจะคิดว่ามันมากไปนัก มันไกลไปนัก มันกว้างไปนัก เอาเพียงของมนุษย์ในโลกนี้โลกเดียวจะพอดี ถ้าอย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน ขอแต่ว่าให้คนทุกคนในโลกรู้จักความสำคัญของวันนี้ สำคัญเพราะเหตุอะไร สำคัญเพราะเหตุว่าได้รับสิ่งที่ประเสริฐที่สุดสำหรับมนุษย์
พวกที่เห็นว่าเงินทองดีกว่า ก็จะมีอยู่มากเหมือนกัน ไม่ได้เห็นว่าธรรมะเป็นเครื่องดับทุกข์ประเสริฐสูงสุด แต่เห็นว่าเรื่องเงินเรื่องทอง เรื่องข้าวเรื่องของ บุตร ภรรยา สามี เป็นเรื่องประเสริฐสุดไปเสียดังนี้ก็มี ฉะนั้นคนพวกนี้คงจะพูดกันไม่รู้เรื่อง เก็บเอาไว้เสียทางหนึ่งก็ได้ มาดูกันสำหรับคนที่พอจะพูดกันรู้เรื่องว่าธรรมะที่ได้รับเป็นของขวัญ หรือเสมือนหนึ่งของขวัญจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันนี้นั้นประเสริฐอย่างไร ข้อนี้ก็จะต้องดูให้ลึกเข้าไปหรือเป็นวงกว้างครบถ้วนทั้งสามพระองค์ คือพระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้สิ่งซึ่งเป็นเครื่องกำจัดมาร แล้วประทานสิ่งนั้นให้แก่เรา พระธรรมที่ตรัสรู้นั่นแหละเป็นเครื่องกำจัดมาร เป็นของขวัญที่ทรงประทานให้แก่เรา พระสงฆ์ทั้งหลายได้รับธรรมะ เครื่องกำจัดมารนั้นแล้วเอามาใช้เป็นเครื่องกำจัดมารได้ แล้วก็สอนสืบๆ ต่อกันมา เราทั้งหลายทุกคนก็ถูกนับเนื่องอยู่ในคำว่าพระสงฆ์
คำว่าพระสงฆ์นั้นแม้จะหมายถึงผู้ปฏิบัติบรรลุมรรคผลก็ได้ แม้จะหมายถึงผู้กำลังปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลก็ได้ เราทั้งหลายก็อย่าได้ต่ำหรือเลวเกินไปจนถึงขนาดที่ไม่เป็นผู้ที่กำลังพยายามเพื่อการดับทุกข์หรือเพื่อการบรรลุมรรคผลนั้นๆ คนที่ไม่พยายามเพื่อจะดับทุกข์นั้นก็ต้องเรียกว่าคนมืดคนบอด ไม่เห็นว่ามีความทุกข์ ไม่เห็นว่าจะต้องพยายามดับทุกข์ มันก็ช่วยไม่ได้ แต่ถ้าว่าไม่เป็นคนโง่เกินไป ไม่เป็นคนพาลเกินไป ไม่เป็นคนหลงเกินไป ไม่เป็นคนมืดบอดเกินไปแล้ว ก็พอจะรู้สึกได้ว่า ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ต้องต่อสู้ต้องปรับปรุง คือถูกเบียดเบียนอยู่ด้วยมารร้าย อันได้แก่กิเลสและความทุกข์ ทำให้ได้รับความทนทุกข์ทรมานไม่มีความสงบเย็น นี้เรียกว่าเป็นมาร เราจะต้องกระทำทุกอย่างทุกประการเพื่อกำจัดมารนั้นเสีย เพื่อว่าชีวิตนี้จะได้เป็นของเย็น เป็นชีวิตที่เยือกเย็นแทนที่จะเป็นชีวิตอันเร่าร้อน นี่แหละคือคนที่พอจะนับเนื่องได้ในหมู่แห่งพระสงฆ์ แม้ว่ายังไม่บรรลุมรรคผลนิพพานก็เรียกว่าผู้กำลังปฏิบัติขวนขวายอยู่เพื่อการบรรลุมรรคผลนิพพาน เราจึงถูกนับเนื่องอยู่ในคำว่าพระสงฆ์
ทบทวนอีกทีหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ชนะมารแล้วแจกเครื่องมือสำหรับกำจัดมาร พระธรรมที่ได้ตรัสรู้นั่นแหละเป็นเครื่องกำจัดมาร พระสงฆ์ได้รับเครื่องกำจัดมารนั้นมาเป็นเครื่องกำจัดมารของตนแล้วสั่งสอนสืบต่อๆ กันไป ความสำคัญมันอยู่ที่คำว่าเป็นเครื่องกำจัดมาร ในวันนั้นพระองค์ได้ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ดังนั้นพระธรรมแห่งธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนั่นเองเป็นเครื่องกำจัดมาร ใจความสำคัญของพระสูตรนี้ก็คือเรื่องมัชฌิมาปฏิปทา คนแต่ก่อนนี้ ไม่รู้เรื่องมัชฌิมาปฏิปทา เป็นผู้ที่แล่นไปสุดเหวี่ยงข้างซ้ายข้างขวา แล่นไปสุดเหวี่ยงข้างซ้ายที่เรียกว่ากามสุขัลลิกานุโยค ประกอบตนพัวพันอยู่ในกาม ซึ่งเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอาคาฬหปฏิปทา แปลว่าการปฏิบัติชนิดที่เปียกแฉะ
ทีนี้อีกพวกหนึ่งไปในทางขวาสุด ทรมานกายด้วยคิดว่าจะทำให้กิเลสหมดสิ้นเพราะการทรมานนั้น นี้เรียกว่าอัตตกิลมถานุโยค คือประกอบตนอยู่ในการทำตนให้ลำบาก เรียกอีกอย่างหนึ่งว่านิชฌามปฏิปทา แปลว่าปฏิปทาอันแห้งเกรียม,ไหม้เกรียม คิดดูเถิดว่า พวกหนึ่งเปียกแฉะ พวกหนึ่งไหม้เกรียม คือพวกหนึ่งมัวเมาอยู่ในกาม พวกหนึ่งมัวเมาอยู่ในการทำตนให้ลำบาก หมายความว่าก่อนหน้าที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้ขึ้นมานี้ เขารู้จักกันแต่สองวิธีนี้เท่านั้น...เสียงขาดหาย(นาทีที่ 25:27-25:35) เรื่องที่อยู่ตรงกลางนั่นแหละจะเป็นเครื่องกำจัดทุกข์ได้ มัชฌิมาปฏิปทาหรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งก็ว่าอริยอัฏฐังคิกมรรค อันประกอบไปด้วยองค์ ๘ ประการ ทรงนำมาแสดงว่าไม่ข้องแวะกับสุดเหวี่ยงซ้ายขวาเหล่านั้น ตั้งอยู่ตรงกลาง เป็นเครื่องทำให้เกิดปัญญา เกิดจักษุ เกิดความรู้แจ้งว่า อะไรเป็นความทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อะไรเป็นความดับสนิทแห่งทุกข์ และอะไรเป็นทางให้ถึงความดับสนิทแห่งความทุกข์นั้น นี่คือมัชฌิมาปฏิปทา ตรัสว่าไม่เคยฟังมาแต่ก่อน ไม่เคยฟังมาจากใคร เป็นอภิสัมพุทธา คือรู้พร้อมเฉพาะด้วยพระองค์เอง แล้วก็ทรงแสดงมัชฌิมาปฏิปทาให้เป็นของขวัญแก่ปัญจวัคคีย์ในวันเช่นวันนี้
ใจความสำคัญอยู่ที่มัชฌิมาปฏิปทา แต่บางคนอาจจะคิดว่าสำคัญอยู่ที่อริยสัจ นี้ไม่ต้องทะเลาะกัน อริยสัจ ๔ นั้นมันเป็นหลักวิชา มรรคมีองค์ ๘ นั้นเป็นตัวการปฏิบัติ อริยสัจ ๔ เป็นตัวหลักวิชา คือบอกให้รู้ทั้งหมด รู้เรื่องความทุกข์คือสิ่งที่เหลือจะทนได้ รู้เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์คือกิเลสทั้งหลายเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ และว่าความดับกิเลสเสียได้นั้นเป็นความดับแห่งทุกข์ และว่าทางประกอบด้วยองค์ ๘ นั่นแหละเป็นทางที่จะให้ดับกิเลสเสียได้ นี้มันเป็นหลักวิชา บอกไว้อย่างครบถ้วน ไม่ใช่ตัวปฏิบัติโดยตรง ครั้นมาถึงตัวปฏิบัติโดยตรงก็คืออริยมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง หรือที่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทานี้เอง ใจความสำคัญของมัชฌิมาปฏิปทานี้อยู่ที่ความถูกต้อง ที่เรียกว่าสัมมาหรือสัมมัตตา แปลว่าความถูกต้อง ความถูกต้องนี้มีอยู่ ๘ ประการด้วยกัน เอามารวมเข้าเป็นทางทางเดียว
ถูกต้อง ๘ ประการนั้น คือความถูกต้องในเรื่องความคิดเห็น เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง มีความเชื่อถูกต้อง มีอุดมคติถูกต้อง มันเป็นเรื่องถูกต้องของความรู้ ความคิด ความเห็น ความเชื่อ รวมเรียกว่า ถูกต้องของทิฏฐิ เรียกเป็นบาลีว่าสัมมาทิฏฐิ นี้เป็นถูกต้องข้อที่ ๑
ข้อที่ ๒ เป็นความถูกต้องของความปรารถนา ความต้องการ ความประสงค์ เรียกว่าสัมมาสังกัปโป หรือสัมมาสังกัปปะ แปลว่า ความปรารถนาที่ถูกต้อง ข้อนี้ไม่ต้องกลัว ถ้ามันมีสัมมาทิฏฐิ เข้าใจถูกต้องว่าอะไรเป็นอะไรจริงแล้ว ก็รู้จักปรารถนาได้ถูกต้อง ดังนั้น สัมมาทิฏฐิ ต้องมาก่อน นอกนั้นตามมาทีหลัง มีความถูกต้องในความปรารถนา ใฝ่ฝัน ประสงค์ หรือต้องการ
ทีนี้ถัดไปก็เป็นความถูกต้องในทางการพูดจา วิธีพูดก็ถูกต้อง คำที่พูดก็ถูกต้อง กาลเทศะสำหรับจะพูดมันก็ถูกต้อง เป็นความถูกต้องทางวาจา ไม่มีทางที่จะเกิดโทษใดๆ ขึ้นเพราะการพูดจา นี้เรียกว่าความถูกต้องที่ ๓ สัมมาวาจา
ถัดไป เป็นความถูกต้องที่ ๔ สัมมากัมมันโต การกระทำทางกายอย่าให้มีผิดพลาด ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ละเมิดของรักของผู้อื่น เหล่านี้เป็นต้นเรียกว่า ถูกต้องทางการกระทำทางกาย
ความถูกต้องถัดไป ก็คือการดำรงชีวิตอยู่ หาเลี้ยงชีวิตอยู่ เพื่อดำรงชีวิตอยู่ ก็ดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาชีพที่ถูกต้อง อย่าทำอาชีพที่น่ารังเกียจ โดยสมควรแก่ฐานะแห่งตนๆ ที่เป็นบรรพชิตก็มี เป็นคฤหัสถ์ก็มี อาชีพที่ถูกต้องที่บริสุทธิ์ตามควรแก่ฐานะแห่งตนก็มีรายละเอียดอยู่แล้ว
ถัดไป เป็นความถูกต้องทางจิตใจ เป็นความถูกต้องที่ ๖ คือสัมมาวายาโม มีความขวนขวาย พากเพียร ดิ้นรน ต่อสู้อะไรอยู่อย่างถูกต้อง ในที่นี้หมายถึงระวังไม่ให้ความผิดพลาดเกิดขึ้น ละความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแล้วเสีย มีแต่กุศลความถูกต้องเกิดขึ้นแล้วก็รักษาไว้ให้เจริญต่อๆ ไปจนสมบูรณ์ นี้เรียกว่า สัมมาวายาโม มีความพากเพียรถูกต้อง
ความถูกต้องที่ ๗ ถัดไป ก็คือสัมมาสติ มีความระลึกรู้สึกตัวอยู่อย่างถูกต้อง ไม่ให้ลืมตัว ระลึกอยู่อย่างถูกต้องในทุกกรณี ก็เรียกว่าสัมมาสติ
ความถูกต้องสุดท้ายเป็นลำดับที่ ๘ คือสัมมาสมาธิ นี้หมายความว่าตั้งใจไว้มั่นอย่างถูกต้อง จิตใจที่ตั้งมั่นนั้น มันต้องตั้งมั่นถูกต้อง ตั้งมั่นผิดก็มี เมื่อได้ปรับปรุงให้จิตใจตั้งมั่นลงไปอย่างถูกต้องแล้วก็รักษาไว้ตลอดเวลา เรียกว่า ตั้งจิตมั่นคงอย่างถูกต้อง เรียกว่าสัมมาสมาธิ
คำพูดเหล่านี้เราก็ท่องกันได้ทุกคน เหลืออยู่แต่จะเอามาทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้ง อย่าเพียงแต่ท่องกันไว้อย่างนกแก้วนกขุนทองว่า สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จับนกขุนทองมาสักตัวหนึ่งแล้วก็สอนให้ร้องอย่างนี้ ไม่กี่วันมันก็ร้องได้ แล้วก็คิดดูเถิดว่ามันจะเกิดประโยชน์อะไร คนนี้ก็เหมือนกัน มันก็เป็นนกขุนทองได้ คือมันได้แต่ร้องได้ว่าอย่างนั้น มันไม่รู้ว่าอะไร ไม่รู้ว่าอะไรแล้วจะปฏิบัติได้อย่างไร นี่ขอให้สนใจว่า เครื่องกำจัดมารที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วนำมาฝากแก่พวกเราเป็นของขวัญอันประเสริฐนั้น ก็คือสิ่งที่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา คือการดำเนินอยู่ตรงกลาง ดูมันก็จะไม่ยากเย็นอะไรนักที่จะเข้าใจว่าอย่าสุดเหวี่ยงทางซ้าย อย่าสุดเหวี่ยงทางขวา ให้ไปตรงกลางคือพอดี นี่ก็เรียกว่าหนทางสายกลาง หรือความถูกต้องทั้ง ๘ ประการนั้น
รู้จักความถูกต้องแล้วก็คำนวณเอาเองว่า ที่มันตรงกันข้ามนั้นเป็นอย่างไร มันก็คือ มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปโป มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันโต มิจฉาอาชีโว มิจฉาวายาโม มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ ฝ่ายนี้ เติมคำว่ามิจฉา เข้าไป คำว่ามิจฉาแปลว่าผิด ฝ่ายโน้นมีคำว่าสัมมา สัมมานำอยู่ข้างหน้า คำว่าสัมมาแปลว่าถูก ท่านทั้งหลายสังเกตดูจะเห็นได้ด้วยเหตุผลของตนเองว่า ธรรมะคือความถูกต้องทั้ง ๘ ประการนี้ จะสามารถกำจัดมารได้อย่างไร พอจะเห็นได้ง่ายๆ ว่าสิ่งที่เรียกว่ามารนั้นคือความไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องทางจิตทางความคิดนึก ก็เรียกว่ากิเลส มีแล้วมันก็เศร้าหมองเป็นอย่างน้อย เศร้าหมองนั้นไม่สู้เท่าไหร่ แต่ที่มันเผาลนเอาอย่างเจ็บปวดนี้มันทนไม่ได้ บางทีมันก็เสียดแทงอย่างเจ็บปวด บางทีมันก็ผูกมัดอย่างอึดอัด บางทีมันก็ครอบงำมืดมิดเหมือนกับอยู่ใต้กะลาครอบ นี้มันทนไม่ไหว จึงต้องพยายามที่จะกำจัดมารอันนี้เสีย
เราได้รับประทานจากพระพุทธเจ้ามาใช้เป็นเครื่องกำจัดมารสำหรับมนุษย์ในโลก ที่พูดว่าในโลกหรือทั้งโลกนี้ มันต้องนึกกันบ้างเหมือนกัน บางคนอาจจะคิดว่า มนุษย์พวกอื่นไม่ต้องการ นั่นก็เพราะว่ามองแคบๆ มนุษย์ทุกชนิด ทุกประเภททั่วไปทั้งโลก แถมไปถึงโลกเทวดาโลกพรหม มันก็มีความเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือมีอวิชชาหุ้มห่อ มันก็มืด แล้วมันก็เกิดกิเลส แล้วก็เป็นทุกข์เหมือนกันหมด กิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้เหมือนกันหมด กิเลสของมนุษย์ กิเลสของเทวดา กิเลสของพรหม ถ้ามันยังไม่หมดกิเลส มันยังมีกิเลสอยู่แล้ว มันก็เป็นกิเลสอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้นจึงมีความทุกข์เหมือนกัน เพราะว่ามันก็ถูกกิเลสเผาเหมือนกัน มันมีความทุกข์ หรือว่ามันมีความเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน มันยังโง่อยู่ มันก็กลัว พวกมนุษย์นี้ลำบากหรือกลัวความเกิดแก่เจ็บตายอย่างไร พวกเทวดาก็กลัวอย่างนั้น มีข้อความกล่าวไว้ว่า พวกพรหมเสียอีกยิ่งกลัวมาก เพราะว่าพวกพรหมนั้นเป็นพวกที่อยู่ในความสุขชั้นสูง ยึดมั่นถือมั่นในความสุขมาก เพราะฉะนั้นจึงกลัวตายมาก มนุษย์นี้มีความสุขไม่ค่อยจริงจังอะไรนัก ก็เลยกลัวตายน้อย ผู้ที่มีความสุขชั้นสูง ยึดมั่นความสุขนั้นมาก ก็กลัวตายมาก ที่เห็นได้ง่ายๆ คือว่าคนจนกลัวตายน้อยกว่าคนมั่งมี จริงไม่จริงก็ไปปรึกษากันดูก็แล้วกัน ถ้ามีสิ่งที่เป็นเหตุให้ยึดมั่นถือมั่นมาก มันก็กลัวตายมาก จึงเป็นอันว่ามีกิเลสเหมือนกัน มีความทุกข์เหมือนกัน ดังนั้นธรรมะนี้ใช้ได้สำหรับสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เป็นมนุษย์ก็ได้ เป็นเทวดาก็ได้ เป็นพรหมก็ได้ มีกิเลสอย่างเดียวกัน มีความทุกข์อย่างเดียวกัน มีปัญหาอย่างเดียวกัน เรียกว่ามีหัวอกเดียวกัน เพราะว่าทนทุกข์ทรมานอย่างเดียวกัน ด้วยเหตุอย่างเดียวกัน สามารถจะแก้ไขได้ด้วยเครื่องแก้ไขอย่างเดียวกัน นี้เรียกว่าอยู่ในฐานะที่เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน
ขอให้ท่านทั้งหลายเข้าใจข้อนี้ไว้สำหรับจะได้ถือว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ข้อที่เราไม่ถือว่ามนุษย์แต่ละคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายของเรานั่นแหละ มันเป็นที่ตั้งแห่งความโง่ เป็นที่ตั้งแห่งกิเลสหรือการเบียดเบียน คือเรารักเขาไม่ได้ เรารักผู้อื่นไม่ได้ มันรักแต่ตัวเรา มันก็ทำไปอย่างที่เห็นแก่ตัว มันจึงไม่สำรวมระวังในบุคคลอื่น เราจึงอยู่กันไม่เป็นผาสุก นี้ดูในข้อที่ว่าเรามีกิเลสให้เกิดทุกข์อย่างเดียวกัน มีความทุกข์อย่างเดียวกัน ถ้าจะดับทุกข์ก็ต้องดับโดยวิธีเดียวกัน อย่างนี้แล้วก็จะพอใจในการที่จะถือว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิดเพื่อนแก่เพื่อนเจ็บเพื่อนตายด้วยกันทั้งนั้น นี่แหละธรรมะสำหรับกำจัดมารในโลกนี้ ธรรมะที่ทำให้เราประพฤติถูกต้องถึง ๘ ประการ มีความเห็นอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะเห็นไปในทางที่จะเห็นแก่ผู้อื่น รักผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว ดังนั้นผลมันจึงเกิดขึ้นมาว่า บุคคลหนึ่งๆ นั้นก็อยู่เป็นสุข แล้วเพื่อนมนุษย์ที่อยู่ด้วยกันอยู่ร่วมกันก็เป็นสุข เพราะไม่เบียดเบียนกัน
สัมมาทิฏฐินี้ ทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างนี้ ถ้าไม่มี มันก็ไม่มีความเข้าใจถูกต้อง มันก็เห็นแก่ตัว มันก็ไม่คิดจะช่วยใคร ไม่คิดที่จะรักใคร สิ่งที่เป็นเครื่องกำจัดมารนี้ก็เรียกว่าเป็นความรู้อันสูงสุดสำหรับมนุษย์ จะรู้กันให้อย่างไร เพียงไร มากมายเท่าไหร่ ถ้ามันไม่กำจัดความทุกข์ มันก็ไม่ใช่ความรู้อันสูงสุด อยากจะขอโอกาสนิดหนึ่งให้พิจารณาดูว่าในโลกนี้ทั้งโลก มนุษย์เจริญด้วยการศึกษาเหลือประมาณ ศึกษาอย่างนั้นศึกษาอย่างนี้ เหลือที่จะกล่าวได้ แล้วโลกก็ยังมีความทุกข์มากขึ้น นี้มันเป็นเรื่องบ้าบออย่างไรกันล่ะ ยิ่งศึกษามาก มีการศึกษามากเหลือประมาณ แต่ความทุกข์มันกลับยิ่งมากขึ้น มันเป็นการศึกษาที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมือนสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงประธานในฐานะที่เป็นของถูกต้อง เดี๋ยวนี้ยิ่งรู้มากยิ่งยากนาน ยิ่งรู้มากยิ่งยากนาน ทุกคนช่วยจำไว้ให้ดี อย่ารู้มากชนิดยากนาน มันจะทำให้อยู่อย่างเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะรู้มากนั่นเอง รู้มากแล้วก็ยากนาน ก็ยิ่งรู้มากยิ่งเป็นทุกข์มาก อย่างนี้สู้แมวตัวหนึ่งก็ไม่ได้ แมวตัวหนึ่งไม่ค่อยรู้อะไรแต่ก็ไม่เป็นทุกข์เลย คนรู้มากรู้ไปทุกอย่างแต่แล้วเป็นทุกข์ ต้องปวดหัว ต้องกินยานอนหลับ แมวไม่ต้องกินยานอนหลับ มันก็น่าละอายแมว เพราะว่าความรู้ของมนุษย์มันไม่ถูกต้อง มันรู้มากยากนานไปเสียหมด แมวมันรู้จักอยู่อย่างพอดีไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องเป็นโรคประสาท ไม่ต้องเป็นโรคจิตเหมือนกับมนุษย์ที่เป็นกันมากยิ่งขึ้นทุกที ไม่ใช่เป็นแต่ประเทศเราประเทศไทยเล็กๆ นี้ก็เป็นโรคประสาทกันจำนวนแสน เป็นโรคจิตกันจำนวนหมื่น ยิ่งประเทศอื่นที่ใหญ่โตเจริญรุ่งเรือง มันยิ่งเป็นมาก เพราะว่าความเจริญนั้นมันเจริญไปแต่ในเรื่องที่ยั่วให้เกิดกิเลส มันจึงต้องเป็นโรคประสาทโรคจิตกันมากกว่าในประเทศไทยซึ่งมีธรรมะเหลืออยู่บ้าง เพราะบรรพบุรุษปู่ย่าตาทวดของเราเคยเจริญเคยรุ่งเรืองด้วยธรรมะ การศึกษาชนิดยิ่งรู้มากยิ่งยากนานนี้มันป่วยการ
ทีนี้สิ่งที่เขาชอบกันนัก เขามายกย่องกันนัก วิชาเทคนิคและการใช้เทคนิคให้ดีที่สุดเรียกว่าเทคโนโลยีนี้ บูชากันนัก เดี๋ยวนี้ก็พูดถึงกันนัก แล้วก็ไม่มีทางที่จะทำให้มนุษย์มีสันติภาพ ยิ่งมากด้วยเทคโนโลยีก็ยิ่งยุ่ง ไม่มีทางที่จะมีความสงบสุขเป็นสันติภาพ เพราะว่าวิชาเทคโนโลยีทุกแขนงนั้นมันเป็นไปแต่ในทางวัตถุ มันไม่เป็นไปในทางจิตทางวิญญาณ พวกนี้ไม่รู้เรื่องเทคโนโลยีทางจิตทางวิญญาณ ถ้าท่านสังเกตดูให้ดี เรื่องอริยมรรคมีองค์ ๘ นี่แหละคือ เทคโนโลยีทางจิตทางวิญญาณ ซึ่งมนุษย์ในโลกนี้ไม่รู้และไม่สนใจกันเสียเลย มันก็มีแต่เทคโนโลยีทางวัตถุ มันก็ยิ่งหลงยิ่งจมในเรื่องของวัตถุคือความเอร็ดอร่อยสนุกสนานอันเนื่องด้วยวัตถุ เทคโนโลยีในโลกมันจึงเป็นเหมือนกับว่า เครื่องขุดหลุมฝังมนุษย์ให้จมดักดานอยู่ใต้นรกของวัตถุนิยม ความหลงนิยมวัตถุนั้นมันเป็นนรกชนิดหนึ่ง มันทรมานอย่างไม่รู้สึกตัว วิชาเทคโนโลยีทางวัตถุล้วนๆ นี้ มันก็ฝังมนุษย์นี้ให้จมอยู่ใต้นรกวัตถุนิยม ถ้าใครรู้สึกตัวก็ต้องสนใจเรื่องเทคโนโลยีฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณกันเสียบ้าง คือความถูกต้อง ๘ ประการดังที่กล่าวมาแล้ว เดี๋ยวนี้เขาเจริญกันมากในทางเทคนิคทั้งหลายนี้ จนก้าวหน้าในกิจกรรมทางอวกาศ ไปโลกพระจันทร์ก็ได้ เดี๋ยวนี้เขาอยากจะไปโลกไหนเขาก็ต้องไปได้ในเวลาอันไม่นานนัก นี่ความรู้ทางอวกาศมันไปโลกต่างๆ ได้ เที่ยวหาก็ไม่พบสันติภาพ เหมือนเทวดาองค์หนึ่งเขาเที่ยวหาที่สุดแห่งความทุกข์หรือที่สุดแห่งโลก
เรื่องในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า เทวดาองค์นี้ มันมีความไวยิ่งกว่าลูกศรหรือลูกปืนที่แล่นไปในอากาศ มันมีอายุตั้งกัปตั้งกัลป์ มีกำลังมาก มันวิ่งไปทุกทิศทุกทาง มันก็ไม่พบที่สุดทุกข์ คือตรงไหนที่จะเป็นที่สุดที่จบของความทุกข์หรือที่สุดของโลก มันก็ต้องมาหาพระพุทธเจ้า มาเฝ้ามาทูลถาม พระพุทธองค์ก็ตรัสตอบไปในทำนองว่า แกมันโง่ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันอยู่ในร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี้เท่านั้น อย่างนี้เป็นต้น
เดี๋ยวนี้คนก็กำลังโง่ ในโลกนี้คนกำลังโง่เหมือนเทวดาองค์นั้น เที่ยวหาสันติภาพ แสวงหาสันติสุขสันติภาพให้แก่มนุษย์ ก้าวหน้าเหลือประมาณอย่างว่าอวกาศนี่ ความรู้เรื่องอวกาศนี้ไปที่ไหนก็ได้ โลกไหนก็ได้ หาไปจนตายมันก็ไม่พบสันติภาพ มันไม่ถูกฝาถูกตัว อาตมาอยากจะเปรียบเรื่องนี้นะ เรื่องอวกาศ กิจกรรมอวกาศนี้ เปรียบได้กับมันขี่เครื่องบินไอพ่นไล่จับตั๊กแตน ถ้าใครเข้าใจคงจะฮากันใหญ่เลย มันขี่เครื่องบินไอพ่นไล่จับตั๊กแตน คนเราแต่โบราณนี้พูดว่าขี่ช้างจับตั๊กแตน นี่ก็ถือว่ามันคนโง่ที่สุดแล้ว คนบ้าที่สุดที่ขี่ช้างไล่จับตั๊กแตน แต่เดี๋ยวนี้คนเดี๋ยวนี้เขามากกว่านั้นนะ เขาขี่เครื่องบินไอพ่นไล่จับตั๊กแตน ความรู้เรื่องอวกาศมันก็เป็นอย่างนี้ มันไม่ช่วยให้โลกนี้มีสันติภาพได้ เราอย่าไปบ้ากับมันเลย วันก่อนได้ยินหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า ที่ญี่ปุ่นนั้นเขาประกาศให้จองตั๋วไปอยู่กันที่โลกพระจันทร์หรือโลกพระอังคาร มีคนซื้อตั๋วจองกันมาก คิดดูเถิด มันว่าที่นั่นจะมีสันติภาพ ที่แท้มันก็เป็นเรื่องขี่เครื่องบินไอพ่นไล่จับตั๊กแตน ผลมันไม่คุ้มค่าเลย แล้วมันก็ไม่พบด้วย ที่มันจะมีสันติภาพได้ มันกลับไปหาพบในร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี้ ที่ยังเป็นๆ คือยังไม่ตาย ธรรมะนี้มีสำหรับคนเป็นๆ ไม่ใช่สำหรับคนตาย ที่คนตายมันไม่มีอะไรได้ ที่คนเป็นๆ นี้มันมี สัมมาทิฏฐิ สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ อยู่ที่คนเป็นๆ ที่ยาวประมาณวาหนึ่งนั้น ในนี้จะพบหมด และพบสันติภาพ ฉะนั้นไม่ต้องขี่เครื่องบินไอพ่นเที่ยวคว้าเที่ยวหาที่ไหน มองดูเข้ามาข้างในก็จะพบสันติภาพ แต่ต้องปฏิบัตินะ ไม่ใช่เพียงแต่รู้อริยสัจ ๔ เฉยๆ ไม่มีปฏิบัติมันใช้ไม่ได้ ต้องปฏิบัติ อัฏฐังคิกมรรค และก็ดับกิเลสและดับทุกข์ จะพบสันติภาพกันที่นี่
เดี๋ยวนี้เรื่องที่น่าจะยกมาพูดบอกกันไว้อีกสักเรื่องหนึ่ง ก็คือเรื่องความก้าวหน้าของกิจกรรมทางปรมาณู เขาพูดกันว่าไม่เท่าไหร่อะไรก็หมดในโลกนี้ น้ำมันก็หมด แก๊สก็หมด ถ่านหินก็หมด อะไรก็หมด แล้วเราก็จะได้ใช้กำลังปรมาณู ทำเครื่องปรมาณูขึ้นมาสำรองไว้ กำลังก้าวหน้าทางปรมาณู แล้วก็คิดว่าจะทำให้โลกนี้มีสันติภาพได้เพราะความรู้ทางปรมาณู อย่างนี้อาตมาเห็นว่ามันเป็นเรื่องบ้าบอยิ่งขึ้นไปอีก เรื่องปรมาณูจะมีเท่าไหร่มันก็ไม่ทำให้มนุษย์นี้มีสันติภาพได้ แล้วสักวันหนึ่งมันก็จะเอาอำนาจปรมาณูนี้ล้างผลาญกันให้โลกนี้วินาศไป มันโกรธขึ้นมา มันควบคุมสติไว้ไม่ได้ มันไม่มีธรรมะแล้ว มันก็เอาอาวุธปรมาณูนี้ล้างผลาญกัน เพราะฉะนั้นความก้าวหน้าในเรื่องปรมาณูนี้ มันก็เหมือนกับว่าต่อโลงใหญ่ๆ ไว้ใส่โลกในอนาคต ความรู้เรื่องปรมาณูนี้เหมือนกับการต่อโลงไว้ใส่โลกในอนาคต แล้วน่าชื่นใจอะไร มันควรจะเลิก เลิกหลง ถ้าใช้คำหยาบๆ ก็เรียกว่าเลิกโง่ดักดานกันเสียที ที่ว่ามนุษย์จะอาศัยความรู้อันนี้แล้วจะสร้างสันติภาพกันในโลก มันเป็นความโง่ดักดาน
ถ้าจะสร้างสันติภาพกันในโลกแล้ว ก็มาหาพระพุทธเจ้ากันดีกว่า ก็คือเครื่องมือที่พระองค์ทรงประทานให้ในวันเช่นวันนี้ที่เรียกว่าวันอาสาฬหปุณณมี พระจันทร์เต็มดวงแห่งเดือนอาสาฬหะ ความรู้อันนี้สิ่งนี้มันจะทำให้โลกมีสันติภาพได้ ความรู้อย่างอื่นไม่มี ความรู้อย่างอื่นที่โลกกำลังมีเป็นเรื่องทางวัตถุทั้งนั้น มันไม่แก้ปัญหาของมนุษย์ได้เพราะเป็นเรื่องทางจิตใจอยู่ครึ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อย มนุษย์เรามิได้มีแต่ร่างกาย มันมีจิตใจ ปัญหามันจึงคาบเกี่ยวกันอยู่ระหว่างร่างกายกับจิตใจ ไปสนใจแต่เรื่องทางวัตถุทางร่างกาย แล้วว่ามันจะแก้ปัญหาได้ มันก็เป็นเรื่องโง่ดักดาน อาตมาพูดหยาบไปแล้วก็ขออภัยบ้าง มันประหยัดเวลา จะต้องมาสนใจเรื่องทางจิตใจ เป็นแสงสว่างทางจิตใจ มีสติ มีปัญญา มีญาณะ มีจักษุ มีแสงสว่าง มีวิชชา อะไรก็ตามซึ่งล้วนแต่เป็นความรู้ที่ถูกต้องทั้งนั้น มาสนใจกันที่นี่ แล้วเราก็จะพบสันติภาพในโลกนี้ แล้วก็พบที่การประพฤติกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ ของคนแต่ละคน ซึ่งมีขนาดยาวไม่เกินวา อย่างมากก็เรียกว่าอยู่ในพวกยาววาหนึ่งทั้งนั้น ไม่ต้องไปนอกโลก ไม่ต้องไปอวกาศกันที่ไหน
นี่แหละสิ่งที่จะต้องมานึกกันในวันนี้คือวันอาสาฬหบูชา ว่าวันนี้พระองค์ได้ประทานสิ่งวิเศษสูงสุดเป็นเครื่องกำจัดมารให้เราใช้กำจัดมารให้หมดเกลี้ยงไป เรียกกันอย่างบาลีไพเราะๆ ก็ว่าอริยอัฏฐังคิกมรรค แปลว่า มรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ เป็นของจริงชนิดที่จะดับทุกข์ได้ ได้แก่ความรู้เรื่องอริยสัจทั้งสี่ และถ้าเอาแต่ที่ตัวการปฏิบัติแล้ว ก็เหลือเพียงมรรคมีองค์ ๘
เมื่อตะกี้ได้บอกแล้วว่า เรื่องอริยสัจทั้งสี่มันเป็นเรื่องหลักวิชา เรื่องทุกข์เรื่องกิเลสนี้เป็นเรื่องบอกโดยหลักวิชา แต่การปฏิบัติเพื่อจะดับกิเลสนั่นแหละเป็นตัวการปฏิบัติ เป็นตัวธรรมะจริงที่จะดับทุกข์ได้ ขอให้เราสนใจสิ่งที่เรียกว่ามรรคมีองค์ ๘ อยู่ตรงกลาง คำว่ากลางนี้ ความหมายมาก ไม่เอียงซ้ายเอียงขวา ก็เรียกว่ากลาง อยู่ในระหว่างกลางไปหมด เช่นพูดว่ามีกับไม่มี นี้ก็ไม่ใช่กลาง ถ้าอยู่ที่ตรงกลางมันไม่พูดว่ามีหรือมันไม่พูดว่าไม่มี มันพูดว่าแล้วแต่เหตุแล้วแต่ปัจจัย ปัจจัยมีก็มีการปรุงแต่งก็มีการเปลี่ยนแปลง ก็มีเท่านั้น ปัจจัยไม่มีมันก็หยุดปรุงแต่งมันก็ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลง นี้เรียกว่าความคิด ความนึก ความรู้สึก สติปัญญามันถูกต้อง สามารถที่จะดำรงไว้ที่ตรงกลาง ไม่พูดว่าตัวเอง ไม่พูดว่าผู้อื่น พูดว่าตัวเองมันก็โง่ไปยึดถือตัวเอง พูดว่าผู้อื่นมันก็โง่ไปยึดถือผู้อื่น พูดอย่างถูกต้องคือเป็นกลางก็พูดว่าอิทัปปัจจยตา เมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัยสิ่งนี้ก็เกิดขึ้น เมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัยสิ่งนี้ก็เกิดขึ้น ไม่ใช่ตัวเองหรือไม่ใช่ผู้อื่นที่ไหน อันนั้นมันเล็งเอาประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วบัญญัติเป็นตัวเองบัญญัติเป็นผู้อื่น เพื่อเอาประโยชน์ก็มี เพื่อจะทำลายล้างกันก็มี เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่กลาง อะไรๆ ที่มันเหวี่ยงสุดไปทางใดแล้วมันไม่ใช่กลาง
ถ้าว่ามันอยู่ตรงกลาง มันก็อยู่ตรงที่ปัจจุบันที่ว่ามันมีการปรุงแต่งอย่างไร ผลมันก็เกิดขึ้นอย่างนั้น พูดอย่างนี้มันลึกไป เขาไม่เข้าใจ เขาก็ว่าบ้า อาตมาก็ถูกด่าว่าบ้า พูดเกินเรื่องเกินราวอยู่มาก เช่นตรงนี้ นั่งกันอยู่ตรงนี้ ถามว่าคนเหล่านี้มันมีอยู่ไหม ท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ตรงนี้มันมีอยู่ไหม แล้วอาตมาก็บอกว่า จะว่ามีมันก็เหวี่ยงสุดไปทางหนึ่ง ว่าไม่มีมันก็เหวี่ยงสุดไปทางหนึ่ง เพราะว่ามันกำลังเป็นกระแสแห่งอิทัปปัจจยตา มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เป็นอย่างนี้ มันก็จะกำลังมีอยู่อย่างนี้ กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย พูดว่ามีก็สมมติ พูดว่าไม่มีก็มองไม่เห็น ถ้าจะถือว่าไม่มีตัวไม่มีตน ไม่เป็นอัตตาเลย เรียกว่าไม่มี อย่างนี้มันก็ไม่ถูก เพราะมันก็ยังมีเปลือกร่างกายเป็นวัตถุกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนี้ ก็มันกำลังมีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะจิต เราพูดไม่ทันจบมันเปลี่ยนเป็นอดีตไปหมดแล้ว ความคิดที่เป็นปัจจุบันนี้ พอคิดจบมันก็กลายเป็นอดีต รูปธรรมที่รู้สึกอยู่นี้ พอรู้สึกแล้วก็กลายเป็นอดีต ที่ยังไม่มาก็ยังไม่มา ที่เป็นปัจจุบันนี้แทบจะหาไม่ได้หาไม่ทัน ตะครุบเอาไม่ทัน เพราะมันคอยแต่เปลี่ยนเป็นอดีตอยู่เรื่อยไป อย่างนี้จึงไม่ให้พูดว่ามีหรือไม่มี ฉะนั้นจึงพูดว่าท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่นี้จะพูดว่ามีก็ไม่ถูก จะพูดว่าไม่มีก็ไม่ถูก พูดว่ามันมีแต่กระแสแห่งอิทัปปัจจยตา การปรุงแต่งในรูปอย่างนี้มันมีอยู่จึงได้มานั่งกันอยู่นี้ในสภาพอย่างนี้ นี่อย่างนี้มันลึกเกินไปแล้ว เขาก็ว่าบ้า พูดแล้วใครฟังไม่ถูก พูดไปทำไมให้เสียเวลา สู้พูดว่ามีไม่ได้ ก็พูดว่ามี มีคนนั้นคนนี้ มีผู้หญิง มีผู้ชาย มีอะไรเต็มไปหมด ที่พูดอย่างโง่เขลานี้กลายเป็นเรื่องถูกไปเสีย
นี่เรื่องลำบากในโลกนี้มันมีอยู่อย่างนี้ มันไม่กลางเพราะมันไม่รู้เรื่องกลาง ถ้ารู้เรื่องกลางมันก็จะไม่พูดว่ามีหรือไม่มี ก็มีคำๆ หนึ่งที่ดีมาก คือเขาพูดว่ามันอย่างนั้นเอง มันไม่ต้องพูดว่ามี ไม่ต้องพูดว่าไม่มี มานั่งกันอยู่อย่างนี้ก็ว่า มันอย่างนี้เอง ตถาตา-มันอย่างนี้เอง อะไรๆ ก็เป็น ตถาตา ไปหมด เป็นอย่างนั้นเองไปหมด ที่ว่ามีปัจจัยแต่งขึ้นแล้วก็มีอยู่แล้วก็เปลี่ยนไป นี้มันก็อย่างนั้นเอง ถ้าพูดว่าอย่างนั้นเองนั่นแหละมันถูกที่สุดและถูกหมด ไปเป็นมัชฌิมาปฏิปทา คืออยู่ตรงกลางสำหรับจะถูกทั้งหมด อัฏฐังคิกมรรคนั่นเอง มีความหมายเป็นตถตา คือมันเป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโปอะไรก็ตาม มันเป็นอย่างนั้นของมันเอง แล้วมันก็ดับทุกข์ได้ อันนั้นมันเป็นอย่างนั้นของมันเอง เรารู้เรื่องอย่างนั้นเองที่มันดับโลภะ ดับโทสะ ดับโมหะได้ด้วยอัฏฐังคิกมรรค มันเป็นอย่างนั้นเองสำหรับจะดับกิเลส หรืออย่างนั้นเองเมื่อรู้แล้วมันก็ดับความทุกข์ ความแก่เกิดขึ้น มันก็หัวเราะเยาะว่าอย่างนั้นเอง มันไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะความแก่ ความเจ็บไข้เกิดขึ้น มันก็หัวเราะเยาะว่าอย่างนั้นเอง ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์กับมัน แม้ความตายจะมาถึงอยู่จ่อหน้า โอ้,ก็อย่างนั้นเอง กูไม่กลัวมึง นี่อย่างนั้นเองมันช่วยได้อย่างนี้ มันดับไฟกิเลสก็ได้ มันดับไฟทุกข์ก็ได้ เพราะมันทำให้เห็นความที่เป็นจริง เห็นแต่ความเปลี่ยนแปลงแห่งอิทัปปัจจยตาว่า มีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่ต้องเอามาทำไว้ในใจตลอดเวลา
ใครทำอยู่อย่างนี้ คนนั้นเป็นนักวิปัสสนาตัวเอกตัวยงตัวเลิศประเสริฐกว่าใครๆ มันเดินนอนอยู่ในโลกนี้ แต่ว่าจิตใจมันคำนึงถึงและมองเห็นอยู่ว่า โอ้,เพราะมีอย่างนี้เป็นปัจจัย อย่างนี้จึงเกิดขึ้น เพราะมีอย่างนี้เป็นปัจจัย อย่างนี้จึงเกิดขึ้น จะเหลียวดูไปที่ไหนมันก็เห็นแต่อย่างนี้ทั้งนั้น เนื้อหนังชีวิตโลหิตร่างกาย มันก็เพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น รวมทั้งตัวก็เพราะว่ามีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ข้างนอกของคนอื่นก็เพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น แก้วแหวนเงินทองบุตรภรรยาสามีก็เหมือนกัน เพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ไม่อยากจะเรียกมันว่าตัวตน เพราะมันเป็นเพียงกระแสแห่งการปรุงแต่งของเหตุปัจจัย
นี่ความสำคัญที่สุดที่จะต้องมองให้เห็น คือมัชฌิมาปฏิปทา ไม่พูดว่าตัวตน แล้วก็ไม่พูดว่าไม่ใช่ตัวตน พูดแต่ว่า กระแสแห่งอิทัปปัจจยตา เห็นเป็นกระแสแห่งอิทัปปัจจยตา มันก็คือเห็นเช่นนั้นเอง มันจึงไม่ได้รักอะไร ไม่ได้เกลียดอะไร คนไม่เห็นมันก็โง่ดักดาน มันก็มัวแต่รักสิ่งนั้นเกลียดสิ่งนี้ รักสิ่งโน้นเกลียดสิ่งนี้ วนเวียนอยู่อย่างนี้ นี่ก็เรียกว่ามันไม่รู้ มันก็ต้องทนทุกข์ ถ้ามันรู้มันก็หัวเราะเยาะ ไม่ต้องรักอะไร ไม่ต้องเกลียดอะไร เห็นความเป็นอิทัปปัจจยตา นั่นแหละคือสิ่งสูงสุด ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนพวกเราให้ปฏิบัติในข้อนี้ คือปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ ก็จะเห็นทุกอย่างเป็นตถาตา อย่างนั้นเองๆ
คำนี้เป็นคำสูงสุดลึกซึ้งที่สุด เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามีคำสอน ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ ๘๔,๐๐๐ ข้อ ใจความสำคัญมันกลายเป็นเรื่องว่าให้เห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง แล้วก็ไม่เกิดความรัก คือไม่เกิดความโลภ ไม่เกิดความโกรธ คือไม่เกิดโทสะ แล้วไม่โง่ไม่หลงไม่มัวเมาติดพันอะไร มันก็ไม่เกิดโมหะ เห็นตถาตาแล้ว มันก็ไม่ทะเยอทะยานในอะไร จิตมันก็ตกลงสู่ความเป็นปรกติคือเยือกเย็น ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะสัตว์ สังขาร บุคคล อันเป็นที่รัก อันไม่เป็นที่รักอะไรต่างๆ นานา ตามประสาของคนโง่ ที่มันมีชีวิตอยู่ในโลกนี้สำหรับมีความทุกข์ มันไม่เดินตามรอยของพระพุทธเจ้าหรือของพระอริยเจ้า ที่จะอยู่ที่ไหนก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ สำหรับจะไม่เป็นทุกข์ จนกว่าว่าร่างกายมันจะแตกดับลงไปเพราะเหตุ เพราะหมดเหตุหมดปัจจัย ร่างกายตายมันก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้มันยังไม่ตายมันมีปัญหา มันเป็นไฟกิเลสและไฟทุกข์ เผาอยู่ทุกวันทุกเวลา จงดับไฟกิเลสและไฟทุกข์นั้นเสีย ก็เป็นพระนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรออีกหมื่นชาติแสนชาติเหมือนที่เขาคิดกัน
กิเลสเกิดขึ้น ก็เป็นไฟ ก็ร้อน กิเลสดับไป ก็หมดกิเลส เป็นระยะสั้นๆ ก็เรียกว่าหมดกิเลสระยะสั้นๆ หมดกิเลสน้อยๆ ก็เป็นหมดกิเลสน้อยๆ เพราะฉะนั้นนิพพานได้ทันทีเมื่อกิเลสไม่เกิด หรือเมื่อกิเลสไม่ปรากฏ หรือเมื่อกิเลสดับลงไป ถ้าท่านปฏิบัติอยู่โดยอริยมรรคมีองค์ ๘ จริงๆ เท่านั้นแหละ กิเลสมันเกิดไม่ได้ มันก็จะมีความว่างจากกิเลสอยู่เป็นประจำ คือเราอยู่กับพระนิพพานชนิดนี้อยู่เป็นประจำ พระนิพพานเดี๋ยวนี้ พระนิพพานที่นี่ พระนิพพานชั่วเวลา ชั่วสมัย ชั่วขณะ ยังไม่สมบูรณ์ เพราะว่ากิเลสมันอาจจะเกิดขึ้นมาอีกก็ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ดี ในขณะที่กิเลสเกิดไม่ได้ หรือไม่เกิดนี้ ชีวิตนี้ก็เยือกเย็น เป็นนิพพาน คืออยู่กับนิพพาน คืออยู่กับความเย็น
นี่ขอให้สนใจประโยชน์และอานิสงส์ของการเห็นว่า มันเช่นนั้นเอง,มันเช่นนั้นเอง อย่าไปหลงรักที่มันมาหลอกให้รัก อย่าไปหลงโกรธที่มันมาหลอกให้โกรธ อย่าไปหลงเกลียดที่มันหลอกให้เกลียด อย่าไปหลงกลัวที่มันหลอกให้กลัว อย่าไปหลงเศร้าโศกเมื่อมันมาหลอกให้เศร้าโศก ให้มันอยู่ปรกติเช่นนั้นเองอยู่เสมอไปคือ อัฏฐังคิกมรรค กำจัดไฟกิเลส แล้วก็กำจัดไฟทุกข์
เอ้า,ทีนี้ก็มาถึงหัวข้อนิกเขปบทที่แสดงในวันนี้ว่า พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า มมญฺหิ อานนฺท กลฺยาณมิตฺตํ อาคมฺม ดูก่อน อานนท์ สัตว์ทั้งหลายเหล่าใด ได้อาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้ว, ชาติธมฺมา สตฺตา ชาติยา ปริมุจฺจนฺติ สัตว์พวกที่มีความเกิดเป็นธรรมดาก็จะพ้นจากความเกิด, ชราธมฺมา สตฺตา ชราย ปริมุจฺจนฺติ สัตว์ที่มีชราเป็นธรรมดาก็จะพ้นจากชรา, มรณธมฺมา สตฺตา มรณสฺมา ปริมุจฺจนฺติ สัตว์ที่มีความตายเป็นธรรมดาก็จะพ้นจากความตาย, โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสธมฺมา สตฺตา โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาเสหิ ปริมุจฺจนฺติ สัตว์ที่มีโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสเป็นธรรมดา สัตว์เหล่านี้ก็จะพ้นจากโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส อย่างนี้
ฟังให้ดีว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าสัตว์เหล่าใดอาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้ว จะพ้นจากความเกิด ความแก่ ความตาย อะไรๆ อีกหลายอย่างที่รวมอยู่กับความเกิด ความแก่ ความตาย คือพ้นจากทุกข์นั่นแหละ เดี๋ยวนี้เรามักจะสวดมนต์ท่อนเดียว สวดมนต์กันแต่ท่อนเดียวว่า ชาติธมฺโมมฺหิ ชาติอนตีโต เรามีความเกิดเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเกิดไปได้ มีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ มีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ อย่างนี้มันก็หมดแหละ มันไม่มีอะไรเหลือ มันยอมแพ้ ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องตาย เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นไปได้ มันหมดเลย เพราะเราสวดมนต์ท่อนเดียว ไม่สวดมาถึงบทที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ถ้าได้อาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้ว พวกที่มีความเกิดเป็นธรรมดา ก็จะพ้นจากความเกิด ที่มีความแก่เป็นธรรมดา ก็จะพ้นจากความแก่ ที่มีความตายเป็นธรรมดา ก็จะพ้นจากความตาย เหล่านี้เป็นต้น เราสวดมนต์ท่อนเดียว,เห็นไหม แล้วก็ว่าเพ้อๆ เหมือนนกขุนทอง จับมาตัวหนึ่งสอนให้ร้องพักเดียวมันก็ร้องได้ว่า ชราธมฺโมมฺหิ ชราอนตีโต มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์จนกระทั่งบัดนี้ เดี๋ยวนี้มาทำความเข้าใจกันเสียให้ถูกต้องว่า สัตว์ที่มีความเกิดเป็นธรรมดาอาศัยพระพุทธองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้ว จะพ้นจากความเกิด มีความแก่เป็นธรรมดาอาศัยพระพุทธองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้ว ก็จะพ้นจากความแก่ สัตว์ที่มีความตายเป็นธรรมดาอาศัยพระพุทธองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้ว จะพ้นจากความตาย ทั้งเกิดทั้งแก่ทั้งตาย
ปัญหามันก็เหลืออยู่ว่า ทำอย่างไรเรียกว่าอาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตร กัลยาณมิตรมันมีความสำคัญมากนะ จะเล่าเรื่องกัลยาณมิตรนี้เสียทีหนึ่งก่อนว่า ครั้งหนึ่งพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระอานนท์กราบทูลว่าเดี๋ยวนี้ท่านมองเห็นชัดแล้วว่า กัลยาณมิตรนี้เป็นตั้งครึ่งของพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ทั้งหมดนี้มีกัลยาณมิตรเป็นเครื่องสำเร็จประโยชน์ตั้งครึ่งหนึ่ง หมายความว่าพอเรามีกัลยาณมิตรแล้ว พรหมจรรย์ของเราลุล่วงไปตั้งครึ่งหนึ่ง พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เอ้อ,อย่าพูดอย่างนั้น อย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ ไม่ถูกๆ กัลยาณมิตรนั้นเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ ขอให้เลิกพูดอย่างนั้น ว่าเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์ ให้เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมด ทรงแสดงอัฏฐังคิกมรรคว่าเป็นกัลยาณมิตร ใครปฏิบัติอัฏฐังคิกมรรค ๘ นี้ คนนั้นชื่อว่ามีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร ถ้าจะพูดอีกทีหนึ่งก็ว่า ใครอยากมีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร คนนั้นจงประพฤติมัชฌิมาปฏิปทาหรืออัฏฐังคิกมรรคอันประกอบไปด้วยองค์ ๘ นี้
ฉะนั้นใครที่นั่งอยู่ที่นี่ ไม่อยากมีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตรก็ตามใจ ถ้าอยากจะมีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร ก็ต้องทำอย่างพระองค์ว่า คือปฏิบัติอัฏฐังคิกมรรค มรรคมีองค์ ๘ นั่นแหละ ปฏิบัตินั่นแล้วมันก็เกิดเป็นกัลยาณมิตรกับพระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วก็เป็นเต็มหมดทั้งพรหมจรรย์ เพราะอัฏฐังคิกมรรคทั้ง ๘ นี้มันไม่ใช่ครึ่งพรหมจรรย์ มันเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ นี้ คือพรหมจรรย์ทั้งหมด ทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา แล้วก็จะบรรลุมรรคผลนิพพาน ฉะนั้นขอให้มีอัฏฐังคิกมรรค ความถูกต้อง ๘ ประการอย่างที่ว่ามาแล้วนั่นแหละ พอทำอยู่อย่างนี้ก็ชื่อว่าอาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตร เมื่ออาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้ว พวกที่มีความเกิดเป็นธรรมดาก็จะพ้นจากความเกิด ที่มีความแก่เป็นธรรมดาก็จะพ้นจากความแก่ มีความตายเป็นธรรมดาก็จะพ้นจากความตาย
เดี๋ยวนี้ใครมีปัญหาเรื่องความเกิด เดือดร้อนอยู่ด้วยความเกิด อยากจะพ้นจากความเกิด ก็มีพระองค์เป็นกัลยาณมิตร คือมีอัฏฐังคิกมรรคอยู่ที่เนื้อที่ตัวเต็มที่ นี้เรียกว่ามีพระองค์เป็นกัลยาณมิตร ใครกำลังเดือดร้อนอยู่ด้วยความชรา เพราะมีชราเป็นธรรมดา และเดือดร้อนอยู่ด้วยความชรา ทีนี้ไม่อยากจะเดือดร้อนอยู่ด้วยความชรา ก็จงมีพระองค์เป็นกัลยาณมิตร ประพฤติอัฏฐังคิกมรรคให้เต็มที่ จะไม่ต้องรับผลร้ายอะไรอันเกิดจากชรา มันจะหัวเราะเยาะ ชรา ตะเพิดหนีไปเลย ตะเพิดชราหนีไปเลย ไม่มีชราอะไร มีแต่ตถาตา คือความเป็นเช่นนั้นเองของสังขาร ไม่มีชราที่ไหน ไม่มีเกิดที่ไหน ไม่มีตายที่ไหน มีแต่ ตถาตา ความเป็นเช่นนั้นเองของสังขาร
สัมมาทิฏฐิ อย่างเดียวก็พอแล้วที่จะเห็นตถาตา แล้วก็ไล่ ชาติ ชรา มรณะ โสกะไปให้พ้น,ไปให้พ้น หรือมันมาเกิดขึ้น ก็เห็นว่า เอ้า,นี่มันสักว่าการปรุงแต่งของสังขาร ไม่เอากับมัน ไม่รักมัน ไม่ยึดถือมัน มันก็หนีไปหมด มันหายหน้าไปหมด ความทุกข์มันก็ไม่เกิดขึ้นเพราะความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เมื่อเห็นมันเป็นเช่นนั้นเอง เป็น ตถตา มันก็ไม่เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ ก็ไม่แผดเผา ความเกิดแก่เจ็บตายก็ไม่มีความหมายสำหรับบุคคลนี้ เพราะว่าเขาได้มีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร คือการประพฤติอัฏฐังคิกมรรค อันประเสริฐอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
นี่เป็นอันว่า วันนี้เราพูดกันถึงเรื่องอัฏฐังคิกมรรคว่าเป็นเครื่องกำจัดมารอันแท้จริงอันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าได้ประทานให้แก่สัตว์โลกในวันอาสาฬหปุณณมีคือวันเช่นวันนี้ พอมาถึงเข้าปีหนึ่งต่อครั้ง เราก็มาประชุมกันเป็นที่ระลึกแก่สิ่งนี้ซึ่งจะทำพิธีอาสาฬหบูชา ดังนั้นต่อไปนี้อาตมาก็จะพูดถึงการทำพิธีอาสาฬหบูชาเหมือนอย่างที่เคยพูดทุกๆ ปี เพื่อว่าเป็นการเตรียมตัวให้ดีที่สุดที่จะทำพิธีอาสาฬหบูชา ท่านทั้งหลายก็มาแต่ที่ไกลคงจะหวังจะได้รับประโยชน์คุ้มค่า แต่อาตมาไม่รับรอง ถ้าไม่ทำให้ถูกต้องมันก็ไม่ได้รับประโยชน์คุ้มค่า มันต้องทำให้ถูกต้องตรงตามความหมายของคำๆ นี้ คือคำว่าอาสาฬหปุณณมี เป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงประทานเครื่องกำจัดมารให้แก่เราทุกคน ดังนั้นในวันนี้ที่เรากำลังจะกระทำพิธีอาสาฬหบูชานี้ เราจึงเตรียมให้พร้อม คือให้มันถูกต้อง ที่ว่าเตรียมให้พร้อมคือให้มันถูกต้อง เดี๋ยวจะว่าให้ฟัง จะต้องทำในใจให้ถูกต้อง ถ้าใครยังไม่รู้เรื่อง ก็รู้เสียว่ามันเป็นวันอะไรทำอะไรทำให้ถูกต้อง คือรู้จักเครื่องกำจัดมาร ที่พระองค์ได้ประทานให้ในวันนี้ รู้จักว่ากำจัดมารได้อย่างไร รู้จักว่าอัฏฐังคิกมรรคนี้กำจัดมารได้อย่างไร มารู้กันเสียที่นี่เดี๋ยวนี้เวลานี้ให้ถึงที่สุด ก่อนแต่จะทำพิธีเวียนเทียน เดี๋ยวนี้ทำใจให้ถูกต้องเสียก่อน รู้ให้ถึงที่สุดว่า สิ่งที่ได้รับจากพระพุทธองค์ในวันนี้คือธรรมะเครื่องกำจัดมาร มีรายละเอียดโดยพิสดารดังที่อาตมาได้กล่าวมาแล้วตั้งยืดยาวว่ามันกำจัดมารอย่างไร ให้เห็นชัดตามนั้นอยู่ในใจ ก็พอใจว่าเดี๋ยวนี้เราจะทำพิธีอาสาฬหบูชา แล้วในใจก็สำนึกในพระคุณที่ทรงประทานธรรมะนี้ให้ แล้วก็ขอบใจ ถ้าพูดชาวบ้านก็ว่าขอบใจ มันจะเป็นคำหยาบคายถ้าจะพูดกับพระพุทธเจ้าว่าขอบใจ เราก็ขอบพระหฤทัย ขอบพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ เดี๋ยวนี้จงรู้สึกสำนึกในพระคุณของพระองค์ แล้วก็ขอบใจ ขอบพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ให้มันสมกัน เดี๋ยวนี้รู้สึกหรือยัง ทำแล้วหรือยัง
เอ้า,ทีนี้ก็จะมาทำพิธีอาสาฬหบูชาอย่างป่าๆ กันที่นี่ ที่นี่เรียกว่าป่าๆ ไม่ใช่ในเมือง มาทำกันอย่างป่าๆ เถื่อนๆ นี้เพื่อให้มันคล้ายกับครั้งพุทธกาล ถ้าว่ามันคล้ายกับครั้งพุทธกาล จิตใจมันก็จะคล้ายกับครั้งพุทธกาล คือจะรู้สึกได้โดยง่าย มาทำอาสาฬหะป่ากันที่นี่
เอ้า,ทีนี้เดี๋ยวก็จะจุดเทียน เดี๋ยวก็จะถือเทียน ถือเทียนนั้นมันเป็นเครื่องหมายของคนฉลาด การถือเทียนและยกขึ้นนี้ไม่ใช่เครื่องหมายของคนโง่ อย่าจุดเทียนถือเทียนแล้วเป็นคนโง่ เพราะว่าการจุดเทียนยกขึ้นนี้มันเป็นสัญลักษณ์ของคนฉลาด รู้จักแสงสว่าง แสงสว่างแห่งพระธรรม มันจะกำจัดความมืดคืออวิชชา ซึ่งเป็นบิดามารดาของกิเลสทั้งหลาย ถ้าเรากำจัดอวิชชาคือความมืดออกไปได้แล้ว กิเลสทั้งหลายที่เป็นกิเลสลูกมันก็หายไปหมดแหละ ฉะนั้นเดี๋ยวนี้เราจุดเทียนนะ ถือเทียนนะ อย่าโง่นะ ถือเทียนนี้มันเป็นลักษณะของคนมีแสงสว่าง แล้วก็จะเดินประทักษิณเวียนขวา ประทักษิณแปลว่าไปทางขวา คำว่าทางขวานี้ก็เป็นสัญลักษณ์ของความถูกต้อง ตรงตามความจริงเรียกว่าประทักษิณ ถูกต้อง แล้วก็ทำด้วยชีวิตจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้น ทำด้วยความรู้สึกความต้องการด้วยชีวิตจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้น นั้นจึงจะเป็นประทักษิณ การกระทำทางกายก็ประทักษิณ การกระทำทางวาจาก็ประทักษิณ การกระทำทางจิตก็ประทักษิณ มือถือเทียนนำอยู่อย่างนั้น อย่าให้มันผิดสิ เพราะว่าเทียนนั้นมันคือแสงสว่าง มันก็ต้องถูกต้อง
ทีนี้เวียนอยู่ก็สวดพระพุทธคุณ สวดพระพุทธคุณนี้ขอให้เห็นโดยประจักษ์ว่ามันเป็นการสรรเสริญการชนะมาร เราชมเชยการชนะมาร เราชอบเราชมเชยการชนะมาร เราก็สวดพระพุทธคุณอยู่เมื่อเดินประทักษิณ แล้วเราก็จะอุทิศเวลาให้มากที่สุดวันนี้คืนนี้ ประกอบพิธีอาสาฬหบูชาทั้งคืน ไม่ต้องนอน ถ้าว่าจิตใจมันสว่างไสวจริง มันก็ไม่ง่วง แล้วก็เป็นการแสดงกตัญญูกตเวทีให้สมกันกับที่พระพุทธองค์มีพระกรุณาธิคุณมากเหลือเกิน เพียงแต่เราอดนอนคืนหนึ่งนี้ ไม่ค่อยสมกันหรอก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำ ดีกว่าจะไม่ทำเสียเลย ทำให้มันมากไว้นั่นแหละจะเป็นปฏิบัติบูชา,จะเป็นปฏิบัติบูชา คู่กันกับดอกไม้ธูปเทียน บูชาแต่ด้วยดอกไม้ธูปเทียนไม่พอ มันเป็นเรื่องวัตถุ ต้องบูชาด้วยจิตใจ ที่เรียกว่าปฏิบัติบูชาอีกส่วนหนึ่ง บูชาด้วยดอกไม้ก็บูชา บูชาด้วยการปฏิบัติอดกลั้นอดทนก็บูชา ก็เรียกว่าการบูชานั้นสมบูรณ์ นี่ที่จะทำพิธีอาสาฬหบูชากันเดี๋ยวนี้ ขอให้เตรียมพร้อมในใจระลึกถึงพระคุณอยู่โดยบริบูรณ์ จุดเทียนถือเป็นสัญลักษณ์ของผู้ได้รับแสงสว่างของพระพุทธองค์แล้ว รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ก็เดินประทักษิณ คือแสดงว่าเราทำให้ถูกต้อง ทีนี้ก็สวดพระพุทธคุณ สรรเสริญชัยชนะ แล้วอุทิศเวลาเป็นปฏิบัติบูชา ถ้าทำได้จริง การทำอาสาฬหบูชาของเราก็ถูกต้องและสมบูรณ์ พวกเราก็จะไม่อยู่ในความมืดอีกต่อไป จะไม่หลงอยู่ในความมืดของกิเลสอีกต่อไป
นี้เป็นประโยชน์เป็นอานิสงส์ของการทำอาสาฬหบูชา ระลึกถึงพระธรรมที่พระศาสดาได้ทรงโปรดประทานในวันเช่นวันนี้ คือธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มีหลักวิชาเป็นอริยสัจสี่ มีหลักปฏิบัติเป็นอัฏฐังคิกมรรคมีองค์ ๘ ประการ ก็ไม่เสียทีที่ว่าได้เป็นพุทธบริษัทสาวกของพระองค์ อาตมาเห็นว่าท่านทั้งหลายได้พยายามกันมานักหนาแล้ว คงจะมีความก้าวไปข้างหน้ากันบ้าง อย่าให้ซ้ำซากหรือย่ำเท้าอยู่ที่เดียวเลย ขอให้ตั้งใจกระทำให้ดีให้ยิ่งขึ้นไป ให้สำเร็จประโยชน์ในเวลานี้ด้วยกันจงทุกๆ คนเถิด ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้//
เอ้า,ทีนี้ก็จะทำพิธีอาสาฬหบูชาตามแบบของวัดนี้ พระสงฆ์กล่าวคำบูชาเป็นภาษาบาลี ทายกทายิกากล่าวคำบูชาเป็นภาษาไทย เอ้า,พระสงฆ์ทั้งหลายจุดเครื่องสักการะธูปเทียน ถือแล้วก็ยืนขึ้น ว่าเราจะบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นอนันตภาวะ ไม่มีที่สุด ไม่ได้อยู่ที่ไหน,ไม่ได้อยู่ที่ไหน เราต้องทำจิตใจให้ว่าง แล้วก็ถึงความว่างของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จนเป็นอันเดียวกัน ฉะนั้นคุณก็หลับตาเสีย พระเณรนั้นหลับตาเสีย อย่ามีทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศข้างบน ทิศข้างล่าง อย่ามี ให้จิตใจมันว่าง จิตใจว่างนั้นจะเห็นถึงธรรมะได้ง่าย แล้วหูก็ฟัง แล้วปากก็ว่า ด้วยจิตใจที่ว่างก็แล้วกัน