แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านภิกษุราชภัฏที่ต้องการลาสิกขาบททั้งหลาย การบรรยายในชุดมหาวิทยาลัยต่อหางสุนัข ๑๐ ชั่วโมงเป็นครั้งที่ ๓ ในวันนี้ ผมจะกล่าวโดยหัวข้อว่านรกกับสวรรค์
ทำไมจึงต้องพูดโดยหัวข้อนี้ มันมีปัญหามากในคนที่โง่ๆเขลาๆ อาจจะเห็นว่ามันพ้นสมัยแล้วไม่ต้องมาพูดกัน แต่ผมเห็นว่าไม่ใช่อย่างนั้น ในฐานะที่เป็นพุทธบริษัทเราก็ต้องรู้เรื่องนี้ และพูดเรื่องนี้ในลักษณะที่มีประโยชน์สำหรับจะพูดให้ถูกต้อง และสำหรับจะปฏิบัติให้ได้รับประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องของนรกและสวรรค์ อย่าเพ่อหาว่าพ้นสมัยและไม่เกี่ยวกับเรา
อีกประการหนึ่งนั้นให้ความรู้เรื่องนรกสวรรค์นี่แหละ เคยมีประโยชน์อย่างยิ่งแก่สังคมคือทำให้คนมีศีลธรรมดี ข้อที่สมัยโบราณคนมีศีลธรรมดีก็เพราะว่าเรื่องนรกสวรรค์นี้มีอิทธิพลอยู่ เดี๋ยวนี้เรื่องนรกสวรรค์นี้มันกำลังไร้อิทธิพลในการควบคุมหัวใจของมนุษย์ในสังคมปัจจุบัน ไม่เป็นเครื่องมือให้คนมีศีลธรรมเหมือนแต่กาลก่อน หรือว่ามันกลายเป็นเรื่องที่ใครๆเห็นว่าเกะกะรกหูไม่คุ้มค่าที่จะมาสนใจในระบบความเจริญแห่งยุคใหม่ ผมจึงอยากจะทำความเข้าใจกับพวกเราเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้ยังคงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและมีประโยชน์
ถ้าหากว่าการศึกษาในโลกหรือโดยเฉพาะในประเทศไทยของเรา ยังทำให้มีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องในเรื่องเกี่ยวกับนรกหรือสวรรค์แล้ว การศึกษาก็จะไม่ไปอยู่ในระบบสุนัขหางด้วนหรือเจดีย์ยอดด้วนเป็นแน่นอน แต่เดี๋ยวนี้เขาก็ไม่มี มันก็ขาดไป เราก็มาเติมมาต่อ ขอให้คุณได้มีความรู้ในเรื่องนรกสวรรค์สำหรับพูดเรื่องนี้ได้ถูกต้องและปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างที่ว่ามีประโยชน์
เอาล่ะ... ขอเริ่มด้วยคำว่า ทุกๆศาสนามีเรื่องนรกสวรรค์ บรรดาศาสนาที่สำคัญในโลกนี้ก็มีเรื่องนรกเรื่องสวรรค์ด้วยกันทั้งนั้น มันจะเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระโดยประการทั้งปวงนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ทุกๆศาสนาเคยมี สังคมมนุษย์เคยได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ มันก็ยังคงมีอยู่ในคำสอนทางศาสนา ไม่ว่าศาสนานั้นจะเป็นศาสนาที่มีลัทธิเชื่อการเวียนว่ายตายเกิด เช่นพุทธศาสนา เช่นศาสนาฮินดู หรือศาสนาที่ไม่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดเช่นศาสนาเซนเมตริก(นาทีที่5.54)ทั้งหลาย นั่นคือศาสนายิว ศาสนาคริสต์ ศาสนาฮินดู เขาถือว่าตายแล้วก็จะไปรอคำพิพากษา แล้วก็พิพากษาให้ตกนรกหรือให้ได้สวรรค์ชนิดนิรันดรไปเลย นิรันดรเลยไม่มีเปลี่ยนแปลงอีก ส่วนพุทธศาสนาหรือศาสนาของอินเดียนี้เปลี่ยนแปลงเรื่อย เดี๋ยวนรกเดี๋ยวสวรรค์ เดี๋ยวนรกเดี๋ยวสวรรค์ มันสลับกันอยู่อย่างนี้
เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของความเชื่อ เมื่อพูดกันโดยภาษาคนน่ะมันเป็นเรื่องวัตถุ เป็นเรื่องโลกทางวัตถุ ต้องอาศัยความเชื่อเพราะพูดถึงเรื่องหลังจากตายแล้ว แต่ถ้าเป็นเรื่องภาษาธรรมที่ผมกำลังจะพูดนี่มันไม่ใช่เรื่องต่อตายแล้ว มันล้วนแต่เรื่องที่นี่และเดี๋ยวนี้ ความคิดเรื่องนรกสวรรค์หรือความเชื่อเรื่องนี้มันได้เสื่อมไปเรื่อยๆตามที่วัตถุนิยมเข้ามาครองโลก ๓๐๐ – ๔๐๐ ปีมานี้วัตถุนิยมครองโลก ครองยิ่งขึ้นทุกทีๆจนถึงบัดนี้มันครองโลกถึงที่สุด ไอ้ความเชื่อวัตถุนิยมต้องการวัตถุนิยมมันก็เข้มข้นมากพอที่จะไม้รู้ไม่ชี้เรื่องนรกสวรรค์หลังจากตายแล้ว
นี้มนุษย์ก็ไม่ต้องกลัวนรกหรือไม่อยากได้สวรรค์ มันก็เปลี่ยน มันเปลี่ยนไปจากยุคที่มนุษย์เชื่อ ต้องการจะได้สวรรค์หรือกลัวนรกหลีกนรก นั่นน่ะมันเป็นเรื่องยึดเหนี่ยวมนุษย์ไว้ในศีลธรรมเพื่อสันติสุข เดี๋ยวนี้ปัญหาก็เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันนี้ว่า เมื่อไม่มีความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์แล้วอะไรจะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวมนุษย์ไว้ในศีลธรรม เราทุกคนนี้จะต้องมีความรู้เรื่องนี้อย่างไรจึงจะไม่กลายเป็นคนโง่เง่า คือไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่านรกสวรรค์ หรือเรื่องนรกสวรรค์
ฉะนั้นเราก็จะไม่งมงายไม่โง่เง่าชนิดที่มันไม่มีประโยชน์อะไรก็มี แต่ว่าเรื่องนี้ยังทำให้เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์และมีความจำเป็นแก่พวกเราแม้ในยุคนี้ เราคงไม่สามารถจะล้มเลิกเรื่องนี้จนไม่มีใครพูดถึง ทีนี้เราก็ต้องหาวิธีที่จะทำให้มันยังคงมีอยู่อย่างที่มีประโยชน์ นี่อย่างที่ผมกล่าวข้างต้นว่าเราต้องรู้เรื่องนี้อย่างที่มีประโยชน์ และปฏิบัติเรื่องนี้อย่างที่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นเราจะต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าในที่นี้ก็คือช่วยกันสร้างสัมมาทิฐิ ความคิด ความเห็น ความเชื่อ ความเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนรกหรือสวรรค์ขึ้น ในวันนี้ หมายความว่าในยุคนี้ ในวันนี้ มันก็เพื่อว่าเรื่องนรกเรื่องสวรรค์มันจะไม่ต้องเป็นหมัน คือพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ต้องเป็นหมัน คือมันมีประโยชน์กับเรา ไม่อยู่อย่างเป็นหมัน
เอาล่ะเราจะพูดถึงเรื่องนรกสวรรค์อย่างที่มีอยู่ในศาสนานั้นๆก่อน เราอาจจะแบ่งกลุ่มศาสนาออกเป็น ๒ ฝ่าย ๒ ซีก คือฝ่ายตะวันออกและฝ่ายตะวันตกออกไป ที่จริงมันก็ยังอยู่ในฝ่ายที่ฝรั่งเขาเรียกว่าตะวันออกน่ะ ตะวันออกใกล้ที่เกิดศาสนายิว คริสเตียน อิสลามนี้มันก็เป็นตะวันออกใกล้ของฝรั่ง อินเดียนี้เป็นตะวันออกไกลออกมา ทีนี้เรามามองเห็นว่าไอ้ซีกตะวันตกไปนั้นน่ะเขามีความคิดเกี่ยวกับไอ้เวียนว่ายตายเกิดอีกอย่างหนึ่งคือไม่มี นี้ฝ่ายตะวันออกเราโดยเฉพาะในอินเดียมันมีความคิดเรื่องเวียนว่ายตายเกิด มันจึงพูดเหมือนกันไม่ได้ ถ้าว่าเป็นนรกสวรรค์ฝ่ายศาสนาฝ่ายตะวันตก ตะวันตกของเรานะ จึงรวมเรียกว่าศาสนาของพวกเซนเมตริก(นาทีที่12.10) ยิว คริสต์ อิสลาม เขาก็มีสวรรค์นิรันดร นรกนิรันดร
เมื่อได้รับการพิพากษาให้ตกนรก เขาก็ตกนิรันดรไม่มีเปลี่ยนแปลง เมื่อได้รับการพิพากษาให้ขึ้นสวรรค์ก็ขึ้นสวรรค์นิรันดร อย่างนี้มันเข้ากันไม่ได้กับนรกสวรรค์ฝ่ายตะวันออกนี้คืออินเดีย เขาไม่มีนรกสวรรค์นิรันดร มีแต่นรกสวรรค์ที่เปลี่ยนแปลงเรื่อยตามเหตุตามปัจจัย ขึ้นมาก็ได้กลับไปตกใหม่อีกก็ได้ ถ้าเรามีหลักเรื่องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักสิ้นสุด
ทีนี้เรื่องที่มันจะต้องทราบต่อไปอีกก็คือว่าสวรรค์หรือนรกก็ตามนี้ มันมีเป็นอย่างภาษาคนคือทางวัตถุ และเป็นอย่างภาษาธรรมคือทางนามธรรมหรือจิตใจ ในอดีตที่แล้วมาความรู้เรื่องนี้มีแต่นรกสวรรค์มีแต่ภาษาคนทั้งนั้นล่ะ ฝ่ายโน้นฝ่ายตะวันตกออกไปก็มีนรกสวรรค์ชนิดที่เป็นคนแล้วไปตกก็ไปอยู่กับอะไรต่ออะไร ตามแต่ว่ามันจะเป็นนรกหรือสวรรค์ เป็นเนื้อตัวของคนเข้าไปอยู่นรกหรือสวรรค์นี้ ตามรายละเอียดเหล่านั้นเราเรียกว่าภาษาคน มันไม่มีภาษาธรรมอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่ามันมีที่อายตนะ
ในอินเดียมีศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ ก็กล่าวนรกสวรรค์อย่างภาษาคน อย่างที่ติดมาถึงประเทศไทยน่ะเป็นนรกสวรรค์อย่างภาษาคนทั้งนั้นแหละ มาสู่ประเทศแถบนี้เป็นพม่า ลังกา ไทย อะไรก็เป็นนรกสวรรค์เป็นภาษาคนทั้งนั้นแหละ อย่างที่มันเกิดหนังสือไตรภูมิพระร่วงขึ้นมา นั่นก็คือความคิดเดิมๆในอินเดีย นรกสวรรค์ภาษาคน ซึ่งเราก็จะต้องวินิจฉัยบ้างเหมือนกัน
ทีนี้มันมีข้อที่สะดุดอยู่ว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสนรกสวรรค์ในภาษาธรรม คือทางอายตนะ แต่ทำไมพุทธบริษัทเราจึงไม่รู้เรื่องนี้เสียเลย ยังคงรู้แต่เรื่องนรกสวรรค์ในภาษาคนอย่างเดียวกับฝ่ายฮินดู มันตรงกันดิกนี่ ยังถือว่าเราไปยืมเขามา เขาพูดกันอยู่ก่อน ก่อนจะมีศาสนาพุทธก็มีพูดเรื่องนรกสวรรค์อย่างในแบบภาษาคนนี่กันอยู่แล้ว ประชาชนเขาเชื่ออย่างนั้นกันอยู่แล้ว ถือกันอย่างนั้นอยู่แล้ว พอพระพุทธเจ้าท่านเกิดขึ้น ปฏิปทาของพระพุทธเจ้าก็เป็นอย่างที่ผมเคยพูดให้ฟังว่า ท่านจะไม่คัดค้านใคร เมื่อคนอื่นเขามีอย่างอื่นไม่ตรงกับของท่านท่านก็บอกว่าก็ถูกตามเรื่องของท่านน่ะ แต่เราจะพูดอย่างนี้
ท่านคงจะนิ่งเฉยเกี่ยวกับไอ้นรกสวรรค์ชนิดนั้น แต่ท่านก็เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เพียงแต่ว่าถ้าท่านต้องการสวรรค์เป็นที่พอใจของท่าน ท่านก็ต้องปฏิบัติอย่างนี้ๆจึงจะไปสวรรค์ เช่นปฏิบัติกุศลกรรมบถสิบก็ไปสวรรค์ นี่มันก็ไม่ละทิ้งคำสอนเก่าๆด้วยเหมือนกัน คำสอนเก่าๆนั้นไม่ได้มีแต่บูชายันต์หรือทำอะไรทำนองนั้นจึงจะไปสวรรค์ เขาก็มีเรื่องประพฤติประพฤติชอบเหมือนกันจึงจะไปสวรรค์ แต่ยังคงมีความหมายนรกสวรรค์อย่างภาษาคน คือคนตายแล้วก็ต้องไปสู่ที่แห่งหนึ่งทนทุกข์ทรมานในนรก หรือไปสู่ที่แห่งหนึ่งเป็นสุขสบายอย่างสวรรค์
ทีนี้ไอ้นรกสวรรค์ทางอายตนะนี้ทำไมมันจึงไม่มีการเอามากล่าวถึง ผมไปพบเข้าผมก็สนใจว่านี่มันเป็นของพุทธเรา นรกสวรรค์ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้นรกสวรรค์ที่นี่คือของพุทธเรา ส่วนนรกใต้ดินสวรรค์บนฟ้าน่ะของพวกก่อนโน้นเขา ทำไมเราจึงไม่สนใจตามหลักของเราบ้าง ผมจึงเอามาพูดขึ้น ทำให้มันแพร่หลาย แต่ผมจะไม่ถือว่าผมเป็นคนแรกนะ บางทีเป็นคนแรกที่พิมพ์ขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรเรื่องนี้ก็ได้ แต่อย่าลืมว่าปู่ย่าตายายของเราท่านได้พูดมาก่อนแล้วว่าสวรรค์ในอกนรกในใจ สวรรค์ในอกนรกในใจนี้ปู่ย่าตายายพูดมานานแล้ว
นี้แปลว่าไอ้ปู่ย่าตายยายชุดนั้นมองเห็นนรกสวรรค์ที่แท้จริง ไม่พูดว่านรกอยู่ใต้ดินสวรรค์อยู่บนฟ้าอย่างที่เขาพูดกันมาแต่ก่อน อย่างที่เชื่อๆกันอยู่ ที่ปู่ย่าตายายของเราพูดว่าสวรรค์ในอกนรกใจนี้มันตรงกับคำที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้เป็นหลักว่า มันอยู่ที่อายตนะ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ได้อยู่ใต้ดินหรือบนฟ้า นี่มันก็เกิดเป็น ๒ อย่างขึ้นมา สวรรค์ในอกนรกในใจตรงกับคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่ามันมีอยู่ที่อายตนะ ทำอายตนะนั้นให้เป็นสวรรค์ก็ได้เป็นนรกก็ได้ อย่างนี้เราเรียกว่านรกสวรรค์ในภาษาธรรม คือภาษานาม ภาษาจิต ภาษาวิญญาณ
ถ้านรกใต้ดินสวรรค์บนฟ้าเป็นภาษาคน คนธรรมดาพูดแล้วก็เอาวัตถุเนื้อหนังเป็นหลัก ของเก่าของเขาในศาสนาฮินดู ศาสนาพราหมณ์มันก็มีอยู่แล้วอย่างนั้น คงจะได้ไปยืมเอามาหรือไม่ยืมเอามาก็ประชาชนก็เชื่ออย่างนั้นแล้ว มันเปลี่ยนเขาไม่ได้เพราะประชาชนทั้งหลายมันเชื่ออยู่อย่างนั้นนั้นแล้ว มันก็เลยต้องทำให้กลมกลืนกันไป
ทีนี้ก็จะได้พิจารณาดูไอ้นรกสวรรค์ที่มีอยู่ก่อน ถ้าคุณเคยศึกษาหนังสือเรื่องไตรภูมิพระร่วงซึ่งเป็นหนังสือสำหรับระดับมหาวิทยาลัย เห็นรูปภาพเหล่านั้นแล้วคุณก็เข้าใจได้ง่ายน่ะ ของเก่าๆรูปภาพในเรื่องในไตรภูมิพระร่วงมันมีหมดเกี่ยวกับนรกสวรรค์ทำนองนี้ คือภาษาคน อะไรๆเขาก็เอาไปรวมไว้ที่เขาสุเมรุ จุดอยู่ที่เขาสุเมรุ คือที่เรียกว่าภูเขาหิมาลัยน่ะเขาเรียกกันในพระคัมภีร์ว่าเขาสุเมรุ สุเมรุ
เอาเขาสุเมรุเป็นหลักแล้วมนุษย์เราก็อยู่ในระดับตีนเขาคือผืนแผ่นดินธรรมดา ยังแบ่งออกเป็น ๔ ทวีปทำนองตะวันออก ตะวันตก เหนือ ใต้ เขาเรียกชมพูทวีปคือฝ่ายนี้ฝ่ายที่เราอยู่นี่ บุพวิเทหะนี้เป็นตะวันออก อมรโครยานจะเป็นตะวันตก อุตรกุรูก็จะอยู่ที่ค่อนเหนือทางประเทศรัสเซียนั่น จุดมันอยู่ที่ภูเขาหิมาลัย ทีนี้ยอดภูเขาหิมาลัยขึ้นไปน่ะเขาก็บรรยายเป็นชั้นๆสำหรับพวกสวรรค์คือพวกเทวดา จนสุดยอดขึ้นไปยอดเขาหิมาลัยก็เป็นเรื่องของพวกเทวดาในสวรรค์ทั้งนั้น ส่วนใต้พื้นดินลงไปจากภูเขาหิมาลัยนี้จะเป็นเรื่องเมืองบาดาล เมืองนรก พญานาค อสูรอย่างนี้ ก็อยู่ที่ชั้นบาดาลใต้นั้นลงไป แล้วก็นรกจะอยู่ใต้นั้นลงไปอีกเป็นชั้นๆ หลายขุมมีตั้งแต่ขุมเล็กขุมใหญ่ หมายความว่าไอ้ขุมที่ไม่สู้ร้ายกาจก็ลงไปจนถึงขุมที่ร้ายกาจที่สุด แล้วก็หมดจบหมดจบกันเรื่องนรก
ฉะนั้นคุณหลับตาเห็นภาพภูเขาหิมาลัย บนภูเขาหิมาลัยขึ้นไปทางยอดเป็นสวรรค์ รอบๆเชิงเขาเป็นมนุษย์ ๔ ทวีป ใต้นั้นลงไปก็เป็นไอ้พวกนรก ทีนี้ก็มีเรื่องละเอียด นรกก็มีความหมายคือเต็มไปด้วยการทนทรมาน เจ็บปวดอย่างยิ่งในรูปแบบที่ต่างๆกัน จนถึงสุดที่ที่มันจะทรมานอย่างยิ่งที่เขาเรียกว่าชั้นอเวจี อเวจีหรืออวิจี บาลีเป็นอวิจี ในบางนรกก็ถูกต้มในน้ำทองแดง ให้กินน้ำทองแดง บางนรกก็ทิ่มแทงด้วยของมีคม บางนรกก็มีสัตว์กัด บางนรกก็บังคับให้ขึ้นต้นไม้หนาม บางนรกก็เต็มไปด้วยของเหม็น กระทั่งนรกน้ำตาร้องไห้คร่ำครวญอยู่เสมอ
ผมไม่ได้จำหรอกผมก็พูดไปตามลำดับ ไม่ได้เพราะไม่จำ เพราะไม่อยากจะจำ จำคร่าวๆมันจบลงที่อเวจีที่ร้อนที่สุด อเวจีนี้ก็แปลว่าไม่มีเปลวไฟ คือไฟที่ไม่มีเปลวไฟนี่มันร้อนที่สุดเลย โยนลงไปในไฟนั้นน่ะคือตกนรกอเวจี ทีนี้ลองพิจารณาดูเถอะว่ามันจะเป็นได้อย่างไร แล้วมันยังมีหลักสำคัญว่าถูกทำโทษทรมานจนตายลงไปแล้วมันกลับเป็นขึ้นมาทันที แล้วก็ถูกทรมานจนตายลงไปแล้วก็กลับเป็นขึ้นมา ซ้ำๆซากๆให้มันสาสม ถ้ามันตายทีเดียวแล้วก็เลิกกันมันก็ไม่ค่อยจะสาสมอะไร ฉะนั้นจึงมีคำบัญญัติว่าถูกทรมานจนตายลงไปแล้วก็กลับเป็นขึ้นมาเพื่อรับโทษนี่อย่างซ้ำๆซากๆ
ทีนี้จะวิจารณ์กันบ้างก็ได้ มันก็มีทางที่แปลความหมาย ถูกต้มถูกทำให้ร้อนนี่มันก็คือเมื่อมีความร้อนใจ ผมแปลคำว่านรกคือความร้อนใจ สัตว์เดรัจฉานคือความโง่ เปรตคือความหิว อสูรกายคือความกลัว เมื่อใดเราร้อนใจก็เป็นสัตว์นรก เมื่อใดเราโง่เราก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน เมื่อใดเราหิวหิวด้วยกิเลสเราก็เป็นเปรต เมื่อใดเรากลัวอย่างไม่มีเหตุผลเราก็เป็นอสูรกายในร่างมนุษย์นี้
จนเขายืนยันกันไปแบบภาษาคนว่านรกก็ต้องไปอยู่ที่ว่านี่ นรกที่ว่า เดรัจฉานก็ไปเป็นวัวเป็นควายตามทุ่งนา เปรตคือเปรตอย่างที่เขาเขียนเขาพูดเขาเล่าถึงกันอยู่ ทนทรมานด้วยความหิวผอมโซ ปากเท่ารูเข็ม ท้องเท่าภูเขาทำนองนี้ รูปร่างก็ต่างๆกันนั้นมันเปรต อสูรกายก็คือผีชนิดหนึ่งซึ่งไม่ต้องการแสดงตัวให้ใครเห็นเพราะว่าเขากลัว เขามีความขลาด ถ้าอสูรกายหมายถึงพวกอสูรก็มีเล่าเรื่องว่าอยู่ใต้บาดาล ภพของมันอยู่ใต้บาดาล บางทีก็ขึ้นมาตาม ... (นาทีที่ 26.43)อยู่ที่ไหล่เขาหิมาลัยแห่งใดแห่งหนึ่งก็รบกับพระอินทร์ พระอินทร์รบชนะอสูร อสูรหนี ในบาลียังมีพูดกันว่าทำตัวให้เล็กหนีลงไปตามรูสายบัวลงไปเมืองบาดาลของเขาก็มี
นี้มันภาษาคน คนพูดเป็นวัตถุ ทีนี้ผมชอบภาษาธรรมแต่ไม่ได้ยกเลิกของเขานะ คุณช่วยเป็นพยานให้ผมพูดตลอดเวลา ไม่ได้ยกเลิกเหล่านั้น ที่เขาเชื่อกันอย่างนั้นเขาพูดอย่างนั้นผมไม่ได้มีสิทธิที่จะไปยกเลิกเขา และก็ไม่ได้ยกเลิก แต่ขอให้มาเข้าใจอีกอย่างที่มีประโยชน์กว่า ประโยชน์ที่เราจะเห็นได้ เราจะควบคุมมันได้
นรกร้อนใจไฟเผา เดรัจฉานก็มันโง่ บางทีเราโง่อย่างที่เราหมดความนับถือตัวเอง บางทีเราก็หิวกระหายด้วยความอยากด้วยกิเลส บางทีเราก็กลัวไม่มีเหตุผล ถ้าอย่างนี้เป็นภาษาธรรม นี่นรกในภาษาธรรมก็ลองคิดดู นรกที่ถูกทิ่มถูกแทงมันก็เหมือนกับเราเจ็บปวด เหมือนกับมีอะไรถูกแทง ร้อนใจเพราะถูกต้มถูกเผา พวกคุณจะไม่เคยบ้างเหรอ บางทีน่ะมันทำอะไรผิดพลาดจะต้องเสียหายเสียชื่ออะไรต่างๆ มันร้อนใจนอนไม่หลับ ไอ้ความหมายหรือคุณค่าของความร้อนใจนั้นน่ะคือนรกแบบที่ว่าไฟเผา
ทีนี้บางคราวเราทำอะไรชนิดที่เราก็ขยะแขยงตัวเอง นั่นน่ะเราตกนรกเหม็น นรกที่เต็มไปด้วยอุจจาระของเหม็น ก็คือเรามันทำเลวเสียจนเหม็นตัวเอง อันนั้นมันก็หมดสุขเหมือนกัน หรือว่าเราขึ้นต้นงิ้วต้นหนามเมื่อเราจำเป็นที่เราจะต้องทำสิ่งที่เราไม่ปรารถนา มันก็ทิ่มแทงเอาเหมือนการถูกบังคับให้ขึ้นต้นไม้หนามอย่างนี้เป็นต้น อเวจีอันสุดท้ายนี้มันก็คือร้อนถึงที่สุด ร้อนถึงเป็นบ้าตายไปเลย ขาดใจตายไปเลย
ความหมายตามชื่อของนรกนั้นๆสามารถจะแปลจากภาษาคนเป็นภาษาธรรมได้ทั้งนั้น จึงขอให้คุณนี้สังเกตตัวเองต่อไปข้างหน้าที่มันจะมีความทุกข์ทางจิตใจในรูปแบบต่างๆกันอย่างไร ต้องกำหนดให้ดีเถิดมันจะเอามาปรับเข้ากับความหมายของนรกชนิดหนึ่งๆในพระคำภีร์นี้ได้ทั้งนั้น นี่เรียกว่านรกในภาษาคน
ที่ว่าถูกทรมานตายลงไปแล้วเกิดขึ้นมาทันทีรับโทษอีก ตายลงไปแล้วเกิดขึ้นมาทันทีรับโทษอีก นี้มันก็เห็นๆอยู่ไอ้คนอันธพาลทั้งหลายไม่รู้จักเข็ดหลาบ มันเจ็บปวดรวดร้าวอย่างยิ่งแล้วมันก็คิดว่าจะเลิก แต่แล้วมันก็ไม่เลิกโดยเฉพาะเรื่องกามารมณ์นี้ จะเสียหายเจ็บปวดวินาศแล้วมันก็ยังไม่เข็ดหลาบ มันก็มาเอาอีก มันก็ซ้ำซากๆอยู่อย่างนี้ ความหมายเหมือนกับว่าสัตว์นรกถูกลงโทษจนตายแล้วก็เกิดกลับขึ้นมาทันทีอีกเพื่อรับต่อไป ตายเกิดๆรับโทษต่อไปอยู่ในนรกนั้น เหมือนกับคนอันธพาลทำบาปไม่รู้จักเข็ดหลาบทำซ้ำๆซากๆ
เมื่อเรามีนรกในความหมายอย่างนั้น แล้วก็ที่นี่และเดี๋ยวนี้นะ ไม่ต้องรอแต่ตายแล้วนะ แล้วก็ไม่ต้องลงไปใต้โลกใต้บาดาลอะไร นี่เลยเป็นนรก ๒ ชนิดด้วยกัน เป็นคู่กันขึ้นมา
เอ้า... ทีนี้พูดถึงเรื่องสวรรค์สักที ตามแบบที่เขาเชื่อกันอยู่ในอินเดีย แล้วก็มาเขียนเป็นรูปภาพไตรภูมิพระร่วงเหมือนกัน คุณไปๆแสวงหาดูเถิดภาพไตรภูมิพระร่วงแล้วจะพบอย่างนี้ มากมายละเอียดเหลือที่จะเอามาพูด มันก็เรื่องสวรรค์ ขึ้นไปเป็นชั้นจาตุมหาราช เป็นชั้นดาวดึงส์ ดุสิต ยามา ๖ ชั้นนะ แต่ชั้นสุดยอดเรียกว่าปรนิมมิตวสวัสตี นี่สวรรค์ชั้นกามาวจร ลองจำคำ ๓ คำนี้ไว้บ้างเถิดมีประโยชน์ กามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร จะดูมันเป็นศัพท์ในวัดครึคระอยู่มากแต่คุณลองจำไว้มันจะมีประโยชน์
คือเขาจัดระดับชั้นความสุขไว้เป็น ๓ ชั้น กามาวจรน่ะมันสุขด้วยกาม เกี่ยวกับเรื่องกาม เรื่องกามเต็มเปี่ยม ... (นาทีที่ 32.15) เต็มไปหมดด้วยกามนี่เรียกสุขกามาวจร ถ้าสูงขึ้นไปจากนั้นก็สุขรูปาวจร รูปธรรมบริสุทธิ์ รูปธรรมบริสุทธิ์คือไม่เกี่ยวกับกาม เอามาเป็นปัจจัยของความสุข หรือว่าจะทำให้เกิดเป็นสมาธิเพราะรูปธรรมก็ความสุขนี้ก็ยังเรียกรูปาวจร อย่าไปเกี่ยวกับกามก็แล้วกัน เกี่ยวกับสิ่งที่มีรูปอันบริสุทธิ์ ทีนี้ก็ยังต่ำไป สูงกว่านั้นให้มันละเอียดประณีตกว่านั้นก็เลยเป็นอรูป คือไม่ต้องมีอรูป เรียกว่าอรูปาวจร
ถ้าผมจะเทียบเป็นตัวอย่างนะ อุปมาก็ได้ว่าไอ้กามาวจรคือกามเพศนี้ เรื่องเพศนี้กามาวจร มีความสุขไปแบบหนึ่งนี้คนเขาลุ่มหลงกันมากกว่าพวกไหน ทีนี้บางคนมันไม่บูชากาม มันไปบูชาทรัพย์สมบัติรูปธรรมอันไม่เกี่ยวกับกาม เป็นสิ่งของที่ไม่เกี่ยวกับกาม แม้ที่สุดแต่การเล่นหัวอะไรกันต่างๆก็ยังได้ นี้เขาเรียกความสุขที่ค่อยสะอาดขึ้นมาหน่อย ทีนี้ไอ้ความสุขที่สูงขึ้นไปหน่อยไม่มีรูป มันก็เป็นเรื่องนามธรรม เป็นเกียรติยศ ชื่อเสียง บุญกุศลอะไรก็ได้ ก็มีความสุขสูงไปอีกแบบหนึ่ง พอจะสงเคราะห์ในพวกอรูปาวจร
อย่าเห็นเป็นคำครึคระเพราะมันมีหลักดี แสดงจิตใจของมนุษย์ว่ามีอยู่ ๓ ระดับดังนี้ บางทีตัวคุณเองนั่นแหละไม่ต้องไกลอื่นที่ไหน ในบางขณะคุณก็บ้ากาม ในบางขณะคุณก็บ้าวัตถุล้วนๆไม่เกี่ยวกับกาม ในบางขณะคุณก็บ้าไอ้สิ่งที่เป็นนามธรรมไม่มีรูป เช่น เกียรติยศ ชื่อเสียง อะไรอย่างนี้เป็นต้น คนๆเดียวกันน่ะมันมีความเปลี่ยนแปลงได้ถึง ๓ อย่างอย่างนี้
เมื่อเรากล่าวในภาษาธรรม มันก็เป็นภาษาคนอย่างที่มีมาแต่กาลก่อนมาเป็นหลักอยู่อย่างนี้ เขาจัดสวรรค์เป็นชั้นๆๆ เป็นชั้นๆเหมือนกับบ้านเรือน ชั้น ๖ ชั้นนี้ทีแรกนี้เป็นกามาวจร อีก ๑๖ ชั้นเป็นพวกรูปาวจร อีก ๔ ชั้นเป็นอรูปาวจร คือเป็นชั้นๆๆ... (นาทีที่ 34.54) ทีนี้เดี๋ยวนี้เรามาชี้ที่นี่เดี๋ยวนี้ในจิตใจของคน บางเวลามีสภาพอย่างนี้จัดเป็นกี่ชนิดก็ได้ บางเวลาอยู่ในสภาพอย่างนี้คือสูงไปกว่า บางเวลาสูงไปกว่าจะเป็นกี่ชั้นก็ได้ นี่การจัดชั้นสวรรค์โดยภาษาคนมันก็อย่างหนึ่ง โดยภาษาธรรมมันก็อีกอย่างหนึ่ง มีความสุขเฉพาะแบบๆของตน กามาวจรก็สุขเพราะกาม รูปาวจรก็สุขเพราะรูปบริสุทธิ์ อรูปาวจรก็สุขเพราะอรูปคือไม่มีรูป
แต่ที่มันน่าหัวเราะก็คือว่าเทวดาทั้งหลายเหล่านี้ยังมีกิเลสน่ะ ยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ตามแบบของตนๆ ชั้นพรหมน่ะรูปาวจร อรูปาวจร อาจจะไม่กิเลสประเภทกามหรือโลภหรือโกรธอะไรมากนัก แต่ก็มีโมหะ มีตัวตนอย่างยิ่งยิ่งกว่าไอ้พวกชั้นล่างๆเสียอีก ไอ้พวกพรหมมันยิ่งกลัวตายยิ่งกว่าชั้นคนธรรมดาซะอีกเพราะมันมีตัวตนที่เป็นที่พอใจมาก นี้เมื่อเป็นสวรรค์เป็นเทวดาแล้วมันก็ยังมีกิเลสหยาบละเอียดตามลำดับ จนกระทั่งละเอียดที่สุดยึดถือตัวตนอันบริสุทธิ์เป็นชั้นพรหมสูงสุด
เมื่อยังมีความยึดถือที่เรียกอุปาทาน แล้วมันช่วยไม่ได้หรอกมันต้องเป็นทุกข์ อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ยึดถือในขันธ์แล้วก็ต้องเป็นทุกข์ ยึดถือทั้ง ๕ ขันธ์ก็เป็นทุกข์ ยึดถือเพียงขันธ์เดียวเช่นพวกอสัญญีสัตว์มีแต่รูปนี้มันก็เป็นทุกข์ เพราะมันไม่ควรยึดถือ พวกที่เป็นอรูปมีแต่เวทนา ๔ ขันธ์ ๔ ขันธ์มันก็ยังเป็นทุกข์เพราะมันยึดถือไอ้ ๔ ขันธ์นี้ ฉะนั้นเทวดาทั้งหลายก็ยังมีกิเลสและยังมีความยึดถือทั้งนั้นจึงมีความทุกข์
เอ้า... ที่นี้มันมีจุดที่คนทั่วไปจะยอมรับได้ยาก เว้นไว้แต่หลับตาเชื่อ อย่างในสวรรค์กามาวจรนี้ไอ้เทวดาผู้ชายทั้งนั้นล่ะก็มีนางฟ้าตั้งร้อยตั้งพันตั้งหมื่น คนสวยๆที่เต็มไปด้วยปัจจัยแห่งกามา แห่งความรู้สึกทางกามน่ะ หลายๆร้อยคนมารุมกระทำกับคุณคนเดียว คุณจะทนไหวเหรอ คุณเป็นผู้ชายคนเดียวแล้วผู้หญิงเป็นหลายๆร้อยที่สมบูรณ์ด้วยปัจจัยทางเพศมารุมแก่คนเดียวมันคงตายเลย อย่างนี้มันเข้าใจยากไอ้ที่เขาพรรณนาไว้ในสวรรค์ มีว่าชั้นปรนิมมิตวสวัสตีนี้ แปลว่า ไม่ต้องทำอะไรหมด ไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไรหมด อะไรๆก็มาช่วยทำให้ คล้ายๆว่ากินอาหารก็มีคนป้อนให้ นี่สวรรค์ชั้นนี้ชั้นสุดที่เป็นที่อยู่ของพญามารวสวัสตีน่ะ เป็นชั้นที่จะมีคนอื่นช่วยทำให้ เขาเรียกว่าปรนิมมิตน่ะ คนอื่นมาทำให้คือนิมิตให้ มันก็รับไปไม่ค่อยลง คนอื่นจะไปช่วยถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะแทน มันเป็นสิ่งที่เข้าใจไม่ได้ มันก็เกินไป
แล้วเทวดาพวกอสัญญีมีแต่ร่างกายลุ่นๆ เขาเรียกกันว่าพรหมลูกฟัก แต่เขาก็ต้องมีอธิบายอย่างอื่น มีเหตุปัจจัยอย่างอื่นที่มันยังเป็นสัตว์อยู่ได้ ไม่มีจิต มีแต่กาย ผมอธิบายไอ้พรหมไม่มีแต่จิตมีแต่กายหรือที่เรียกว่าขันธ์เดียวนี้ มันเหมือนกับบางเวลาเราไม่สนใจเรื่องจิตใจเลย เราทำความรู้สึกสนใจแต่เรื่องร่างกายเท่านั้น มีความหมายแต่เรื่องร่างกาย มันจะพอสงเคราะห์สรุปลงในพรหมชั้นนี้ได้
ทีนี้ อรูปพรหม ก็ไม่มีรูปมีแต่จิตมันจะมีได้อย่างไร ล้วนแต่เป็นแง่มุมที่เป็นปมด้อยให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างที่ยอมรับไม่ได้ ถ้ากล่าวในภาษาคนนะ ฉะนั้นผมจึงชอบกล่าวในภาษาธรรมอธิบายให้เห็นได้ เข้าใจได้ ยอมรับได้ ในความหมายอย่างนี้ ก็เรียกว่าสวรรค์ในภาษาคนคืออย่างนั้น ถ้าสวรรค์ในภาษาธรรมก็เรื่องจิตใจ เมื่อจิตใจมันรู้สึกเป็นสุขในลักษณะอย่างนั้นมันก็เรียกว่าสวรรค์ เดี๋ยวก็จะพูดกันให้ละเอียดเพราะผมต้องการให้ทุกคนเข้าใจและมีสวรรค์ภาษาธรรม
เดี๋ยวนี้อยากจะพูดกันเสียให้หมดก่อนว่า ในหมู่ศาสนาทั้งปวงหรือว่าในหมู่พุทธบริษัททั้งปวง มันมีความคิดความเชื่อเรื่องสวรรค์อยู่อย่างนี้นะ เรียกว่าอย่างนี้ซึ่งไม่มีใครถอนได้หรอกเพราะมันฝังลงไปในความเชื่ออย่างลึกซึ้ง และเราก็ไม่ต้องการถอน คุณอย่าไปพยายามเลิกให้เขาเชื่ออย่างนี้ ป่วยการเป็นไปไม่ได้ และไม่ถูกตามพระพุทธประสงค์ พระพุทธประสงค์มีหลักว่าเมื่อเขาพูดอย่างอื่นซึ่งเรารับไม่ได้ เราก็ว่า เอ้อ...ก็ของคุณพูดอย่างนั้นก็ดีแล้ว ฉันไม่ค้านแต่ฉันก็ไม่รับด้วย แต่ฉันมีอย่างนี้ฉันก็พูดไปอย่างนี้
นี่เราก็จะไม่ต้องค้านหรือรับรองไอ้นรกสวรรค์อย่างนั้น เก็บไว้ให้พวกนั้นซึ่งเป็นประโยชน์ทางศีลธรรมของเขา แต่ว่าเราที่ต้องการอะไรจริงกว่านั้นนี่เราจะมีนรกหรือสวรรค์ในภาษาธรรมตามแบบของเราที่ตรงกับพระพุทธภาษิตเผงเลยว่า มันมีอยู่ตามอายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างที่บรรพบุรุษปู่ย่าตายายของเราก็ได้พูดแล้วว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ นี่มันปู่ย่าตายายพวกไหนล่ะที่มันไปพูดได้เหมือนได้ตรงระดับเดียวกับพระพุทธเจ้า แล้วนอกนั้นก็ยังโง่อยู่ นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้าอยู่นั่นเอง แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้นะมีการศึกษาอย่างใหม่ก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ ก็เลยได้แต่ล้อเลียน ไม่เชื่อและล้อเลียน ไม่ได้สอนเรื่องนรกสวรรค์ให้ถูกต้อง นี้ล่ะคือระบบการศึกษาหมาหางด้วน
ถ้าระบบการศึกษาเขาจะพูดเรื่องนี้ไว้ชัดเจนพอสำหรับคนสมัยนี้จะเข้าใจรับได้มันก็ดี แต่น่าประหลาดที่ปู่ย่าตายายพวกไหนนะผมก็ยังค้นไม่พบ พิสูจน์ไม่ได้ ที่เป็นปู่ย่าตายายฉลาด รู้จักสวรรค์นรกในภาษาธรรม สวรรค์ในอก นรกในใจ ตรงกับพระพุทธเจ้าเลย เราได้ยินที่นี่ซึ่งอยู่ในทางภาคใต้ เลยทำให้เชื่อว่าต้องปู่ย่าตายายภาคใต้ พูดแล้วก็จะยกตัวเองเพราะเราเป็นคนภาคใต้ แต่ว่าไอ้ภาคใต้นี้มันมีอะไรที่พิเศษกว่าภาคอื่นอยู่มาก คือพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยศรีวิชัย จนกระทั่งเอาเรื่องของพระนิพพานอันสูงสุดมาแต่งเป็นบทกล่อมลูก กล่อมน้องให้นอน อย่างเรื่องมะพร้าวนาฬิเกร์ คงจะทราบกับแล้วกระมังที่เราอุตส่าห์ลงทุนสร้างสระนาฬิกร์ขึ้นมาเป็นอนุสรณ์แก่สติปัญญาเรื่องนี้ ของบรรพบุรุษชาวใต้
นิพพานในวัฏฏสงสาร มะพร้าวนาฬิเกร์คือนิพพานกลางทะเลขี้ผึ้งคือวัฏฏสงสาร นี้หมายความว่าต้องรู้พุทธศาสนาละเอียดลออลึกซึ้งสูงมากทีเดียว นี้จะต้องเป็นปู่ย่าตายายพวกนี้ที่สามารถจะพูดได้ว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ หรือมันอาจจะมีไปทั้งประเทศไทยก็ไม่ทราบ หรือบางทีจะไม่มีในประเทศอื่นก็ได้นะคำว่าสวรรค์ในอก นรกในใจ ยังแถมไกลไปกว่านั้นอีกว่านิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย มันก็อยู่ที่นี่อีกน่ะเพราะมันก่อนตาย การตายชนิดที่ก่อนตายเข้าโลงน่ะมันก็มีนิพพาน ท่านก็เก่งพอที่จะพูดว่านรกสวรรค์นิพพานอยู่ที่นี่ ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว เรื่องนิพพานไว้พูดวันอื่น
ทีนี้ทำไมจะต้องมาสนใจนรกสวรรค์ในภาษาธรรม เมื่อตะกี้ก็พูดแล้วว่าคุณก็เป็นพุทธบริษัท เป็นคนไทย นับถือพุทธศาสนา มันจะต้องรู้เรื่องของพุทธศาสนาอย่างถูกต้องให้ได้ประโยชน์สมกันหรือคุ้มกัน คือว่ามันช่วยกู้หน้าพุทธศาสนาไว้ได้ อย่าให้เค้าล้อเลียนว่าคือพระบ้าๆบอๆอย่างนรกสวรรค์ในภาษาคนน่ะ แล้วก็มีคำตอบเขาว่า เรามีนรกสวรรค์อย่างภาษาธรรม อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีที่อายตนะ พระพุทธเจ้าก็ตรัสอย่างนั้น ปู่ย่าตายายของเราก็เคยตรัสอย่างนั้น
ทีนี้ก็มาพิจารณาดูสิว่านรกสวรรค์ภาษาธรรม เมื่อใด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน เมื่อนั้นถือว่าเป็นนรกอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีชื่อเรียกรวมกันว่าผัสสายตนิกนรก นรกที่อายตนะเป็นเครื่องสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้มันเรียกว่าอายตนะ เป็นเครื่องสัมผัสของสิ่งภายนอก เมื่อใดมันเกิดเป็นไฟขึ้นมา ตาก็เป็นไฟขึ้นมา หูเป็นไฟขึ้นมา จมูกเป็นไฟขึ้นมาคือเป็นทุกข์ขึ้นมา นี้ก็เรียกว่านรกที่เป็นอยู่ที่อายตนะเครื่องสัมผัส
ทีนี้สวรรค์ก็เหมือนกัน เมื่อใดมันมีความถูกต้อง การกระทำทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นำมาซึ่งความเยือกเย็นพอใจเป็นสุข พอใจอย่างยิ่ง นี้มันก็เป็นสวรรค์ขึ้นมาที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ท่านมีชื่อเรียกรวมกันว่าผัสสายตนิกสวรรค์ ก็เลยเกิดนรกสวรรค์ที่เป็นไปทางอายตนะซึ่งไม่ค่อยเอามาพูดกัน ถ้าจะเขียนภาพก็คงเขียนยากนะ สู้เขียนเป็นไอ้อย่างที่เขาเขียนๆกันอยู่ก่อนไม่ได้ อย่างภาพไตรภูมิพระร่วงน่ะ เขียนภาพนรกเขียนภาพสวรรค์ มันเขียนง่ายนะเขียนอย่างนั้นเพราะมันเป็นรูปธรรมไปหมดแม้สวรรค์ แต่ถ้ามันเป็นไอ้ความรู้สึกทางจิตใจ ทางนามธรรม มันก็ไม่รู้จะเขียนอย่างไร
ทีนี้ผมก็ตีกลับว่าถ้าต้องเขียนไอ้ความหมายทางจิตใจทางนามธรรม มันก็ต้องเขียนอย่างนั้นอีกแหละ เหมือนอย่างที่เขาเขียนๆกัน มันเขียนอย่างอื่นไม่ได้ จึงเป็นอันว่าไอ้ภาพเขียนต้องตีความ ภาพเขียนทั้งหลายต้องตีความให้ได้ความหมายทางภาษาธรรม มันก็จะได้ความหมายที่แท้จริงที่ใช้เป็นประโยชน์ได้
ฉะนั้น เราจะต้องมีนรกสวรรค์ในทางภาษาธรรม รู้สึกได้ด้วยใจ นรกร้อนอย่างไรรู้สึกได้ด้วยใจ เมื่อเราทำผิดร้อนใจมีรสอย่างไร เมื่อเราโง่มันมีรสชาติอย่างไร เมื่อเราหิวเป็นเปรตมีรสชาติอย่างไร เมื่อเราขี้ขลาดเป็นอสูรกายมันมีรสชาติเป็นอย่างไร เราเคยมาแล้วทั้งนั้น มันจึงรู้สึกได้ด้วยใจ นี่สำคัญที่ตรงนี้ ถ้ารู้สึกได้ด้วยใจถึงจะเป็นธรรมะในพุทธศาสนาคือสันทิฏฐิโก รู้สึกได้ด้วยตนเองภายในใจ ถ้าสิ่งใดมันไม่รู้สึกได้ด้วยตนเองภายในใจก็คือไม่ใช่สันทิฏฐิโก เมื่อไม่เป็นสันทิฏฐิโกก็ไม่ได้เกี่ยวกับพระธรรมในพระศาสนานี้ คือไม่เป็น สวากขาโต ภควตา ธัมโม ถ้าเป็น สวากขาโต ภควตา ธัมโม ต้องเป็นสันทิฏฐิโก คือคนนั้นรู้สึกได้ด้วยใจของตนเอง
นรกสวรรค์อย่างภาษาธรรมนี้มันก็รู้สึกได้ นั่นล่ะจึงถือว่าถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา แล้วก็จะต้องเรียกว่าเป็นวิทยาศาสตร์อย่างยิ่งด้วย เป็นวิทยาศาสตร์ทางฝ่ายนามธรรมอย่างยิ่ง เพราะเห็นชัดอยู่นี่ว่าเมื่อไอ้สัมผัสทางอายตนะ เกิดความคิด นึก รู้สึกขึ้นมาอย่างไร ร้อนเป็นไฟอย่างไร มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติลักษณะเดียวกับกฎทางวิทยาศาสตร์ ฉะนั้นก็จะสอนพุทธศาสนาให้เป็นวิทยาศาสตร์ตามความเป็นจริง แล้วก็ต้องรู้จักเรื่องอย่างนี้
ตากระทบรูปเกิดจักษุวิญญาณ ๓ ประการร่วมกันเรียกว่าผัสสะ ผัสสะให้เกิดเวทนา เวทนาให้เกิดตัณหา ตัณหาเกิดอุปาทาน เกิดภพเกิดชาติเกิดทุกข์ ไม่ต้องเชื่อตามตัวหนังสือ มองดูตามความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นเป็นลำดับๆอยู่ในจิตใจของเรา นี่มันก็เป็นวิทยาศาสตร์ขึ้นมา แต่ว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ทางนามธรรมทางจิตใจ ฉะนั้น การมีนรกสวรรค์โดยภาษาธรรมนี้มันเป็นธรรมะจริง สันทิฏฐิโกจริง แล้วก็ เอหิปัสสิโก เรียกเพื่อนมาดูได้ ในใจของฉันร้อนอยู่อย่างนี้เพื่อนก็เข้าใจได้ทันที ถ้านรกใต้ดินสวรรค์บนฟ้าจะเรียกใครไปดูได้ที่ไหน นั้นเดี๋ยวนี้เรื่องมันก็มีว่า โอปนยิโก น้อมเข้ามาในใจตน ก็เลยยิ่งเห็นได้ชัด อะไรๆก็พบได้ในใจของตน
ขอแต่ว่าเป็นวิญญูชนสักหน่อยคืออย่าโง่เกินไป มันจะได้เป็น ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ มันเรื่องของคนที่ไม่โง่เง่าน่ะ ต้องฉลาดอยู่บ้างจึงจะเรียกเป็นวิญญูชน ฉลาดระดับธรรมดานี้จะมองเห็น สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ได้ ฉะนั้น คุณจงทำให้มันเห็นโดยหลักอันนี้ เรื่องนรกสวรรค์นี่
เอ้า... ทีนี้ประโยชน์ต่อไปอีกก็คือว่า นรกสวรรค์ในภาษาธรรมที่เป็นไปทางอายตนะนี้เราจัดการได้ ถ้านรกสวรรค์อย่างภาษาคน นรกอยู่ใต้ดินสวรรค์อยู่บนฟ้าเราควบคุมไม่ได้ เราควบคุมไม่ถึง แต่ถ้านรกสวรรค์ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเราควบคุมได้ เราป้องกันนรกได้ เราสร้างสวรรค์ขึ้นมาได้ มันจึงเป็นไอ้เรื่องที่ว่าประยุกต์ได้และมีประโยชน์ นรกสวรรค์ในภาษาธรรมมันดีอย่างนี้ เราอธิบายด้วยหลักธรรมดา จะเอาตรรกวิทยามาอธิบายก็ได้มันก็ถูกต้อง จะอธิบายโดยวิธีวิทยาศาสตร์ก็ได้ มันเป็นเรื่องที่มองเห็น เห็นกันอยู่ ดังนั้นเราสามารถที่จะจัดการกับนรก คือปิดมันเสียไม่ให้มันเกิดมาได้ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และเรายังสามารถจัดการกับสวรรค์คือเปิดสวรรค์ขึ้นมาได้ตามที่ควรน่ะ ให้มันมีความสุขตามที่ควร
นี้ความหมายของสวรรค์นี้เราจะพูดกันใหม่นะ ไม่เอาเรื่องมัวเมากามารมณ์ เดี๋ยวจะพูดกันใหม่คำว่าสวรรค์น่ะ ที่เป็นไปทางอายตนะทั้ง ๖ นี้ แต่แม้ว่าจะมุ่งหมายเป็นเรื่องกามารมณ์ก็ได้แต่ต้องพอดีพอควร มัชฌิมาปฏิปทา สุขสบายทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามแบบชาวบ้านปุถุชนทั่วไปก็พอจะเรียกว่าสวรรค์ได้ แต่อย่าให้มันเกิน ถ้ามันเกินมันจะกลายเป็นนรกขึ้นมา
ทีนี้ที่มันยังดีว่า ถ้าเราปิดนรกที่นี่อย่างนี้ได้ รับรองว่านรกข้างหน้ากี่ชนิดก็ไม่ตกแน่ สวรรค์ภาษาคนที่เขาพูดกันอยู่ตามธรรมดาต่อตายแล้วนั้นน่ะ ถ้าเราปิดนรกอย่างชนิดที่ว่าเราพูดนี้ได้ แล้วต่อไปข้างหน้าไม่ตกนรกชนิดไหน ถ้าสมมติว่าตายไปเกิดอีกก็ไม่ตกนรกชนิดไหนหมด ตรงนี้ต้องขอใช้คำพูด “ถ้า” แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ยังตรัสว่า “ถ้า” เช่นในบาลีกาลามสูตรน่ะท่านตรัสว่า “ถ้าโลกหน้ามี ถ้าโลกหน้าไม่มี” ท่านยังตรัสอย่างนั้น ขอให้ประพฤติอย่างนี้ๆตามหลักกาลามสูตร ถ้าโลกหน้ามีเราก็ต้องได้รับน่ะ ถ้าโลกหน้าไม่มีเราก็ได้รับที่นี่อย่างเต็มเปี่ยมเกิน กำไรเกินอยู่แล้ว นี่ถ้าว่าโลกหน้ามีเราไม่ตกนรกที่นี่อย่างที่ว่านี่ แล้วก็ไม่ตกนรกโลกหน้าชนิดไหนอีก
นี้ถ้าเราสร้างสวรรค์ขึ้นมาได้ที่นี่ ที่อายตนะทั้ง ๖ นี้ เป็นสวรรค์จริงที่นี่และเดี๋ยวนี้ ตายไปถ้าสวรรค์ในโลกหน้ามีมันก็ต้องได้อีกน่ะ เพราะมันล้วนแต่ทำดีอย่างชนิดที่เรียกว่าไปสวรรค์ด้วยกันทั้งนั้น การสร้างสวรรค์ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำเร็จนี้มันล้วนแต่ทำความดีทั้งนั้น ตายแล้วจะต้องเป็นห่วงอะไรก็ต้องไปสวรรค์อย่างที่เขาพูดกันถ้ามันมี ถ้ามันไม่มีก็ไม่เป็นไรเราได้ที่นี่พอแล้ว ไปนิพพานเสียตั้งแต่ตายก่อนตายมันก็ไม่ขาดทุน ฉะนั้น การมีนรกสวรรค์ในภาษาธรรมน่ะมันมีประโยชน์อย่างนี้ แล้วปิดนรกกันเสียที่นี่ เปิดสวรรค์กันเสียที่นี่ ซึ่งอาจจะทำได้ในความหมายทางภาษาธรรม
เอ้า... ทีนี้ก็ว่าวิธีปฏิบัติไม่ให้เกิดนรกหรือปิดนรก ก็ควบคุมอายตนะ คือหลักปฏิบัติที่มีอยู่ทั่วไปน่ะว่า ควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าให้เกิดกิเลส มีสติปัญญาเป็นเครื่องมือ ปัญญารู้ว่าอะไรเป็นอะไร มันก็ไม่โง่ เมื่อไม่โง่มันก็ไม่เกิดกิเลส มันไม่โง่มันไม่มีอวิชชา มันก็ไม่เกิดโลภะ โทสะ โมหะ เราศึกษาเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจให้ดีที่สุด ถ้าควบคุมได้นรกมันก็ไม่มี เดี๋ยวนี้เราไม่มีความรู้เรื่องนี้ เราไม่มีสติปัญญาที่จะควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อไปกระทบกับอารมณ์คือรูปเสียงกลิ่นรส มันโง่มันก็เกิดกิเลส มันก็เป็นทุกข์ มันก็ตกนรกทุกอย่างที่ว่า แล้วมันพลอยให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย คืออันธพาลทั้งหลายมันก็ทำให้คนอื่นทุกคนเดือดร้อนด้วย เอานรกไปใส่เพื่อนมนุษย์กันอีกด้วยนี่มันไม่ไหว ไปศึกษาเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจดีๆ นั่นล่ะเรื่องสำคัญที่สุดของพุทธศาสนา
เราควรจะเริ่มต้นการศึกษาพุทธศาสนาด้วยเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องอื่นเก็บไว้ก่อน ตาคู่กับรูป หูคู่กับเสียง จมูกคู่กับกลิ่น อะไรทำนองนี้ แล้วตาเมื่อเห็นรูปมันก็เกิดจักษุวิญญาณ เมื่อตาเห็นรูปเกิดอะไรขึ้นนั่นน่ะเราเรียกว่าจักษุวิญญาณ เราเรียนจากของจริงล่ะไม่ต้องเรียนจากหนังสือ เรียนจากหนังสือมันก็เป็นตัวหนังสือเป็นความจำ เรียนจากของจริงคือตาเห็นรูปแล้วเกิดการเห็นทางตานี้เรียกว่าจักษุวิญญาณ รู้จักตาตัวจริง รู้จักรูปตัวจริง รู้จักจักษุวิญญาณตัวจริง แล้วรู้ว่า ๓ อย่างนี้มันทำงานร่วมกัน เขาเรียกว่า... (นาทีที่ 56.47) ธรรม ๓ อย่างนั้นถึงกันเข้าเรียกว่าผัสสะ คือการเห็นรูปเป็นไปถึงที่สุดแล้ว ผัสสะ ปัจจยา เวทนา เพราะเหตุผัสสะนี้เป็นปัจจัยก็เกิดเวทนา รู้สึกว่ารูปสวยก็รัก รู้สึกว่ารูปเกลียดก็โกรธก็เกลียด หรือถ้าไม่แน่มันก็สงสัยลังเลวนเวียนอยู่
ฉะนั้น ไอ้ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันก็เกิดขึ้นเพราะผัสสะโง่ จำคำว่าผัสสะโง่ เอาแต่จำอย่าให้มันเป็นไปได้นะ บาลีเขาเรียกว่าอวิชชาสัมผัส แปลง่ายๆว่าผัสสะโง่ เมื่อเห็นรูปแล้วก็โง่แล้วก็หลงรักหลงเกลียด เมื่อได้ฟังเสียงก็โง่หลงรักหลงเกลียด เมื่อได้กลิ่นก็ผัสสะโง่หลงรักหลงเกลียด เมื่อได้ลิ้มที่รสรสที่ลิ้นก็โง่หลงรักหลงเกลียด เมื่อสัมผัสผิวหนังก็เหมือนกันล่ะหลงรัก โดยเฉพาะกามารมณ์เรื่องผิวหนังสำคัญกว่าเรื่องอื่นก็หลงรักหลงเกลียด ความรู้สึกเกิดขึ้นเป็นสัญญาในอดีตแล้วมันก็หลงรักหลงเกลียด นี่คือผัสสะโง่
ถ้าคุณควบคุมผัสสะโง่ไม่ได้ล่ะก็ต้องตกนรกน่ะ ไม่มีใครช่วยได้ มันต้องตกนรกที่นี่และเดี๋ยวนี้ เพราะไอ้ความโง่น่ะ หลงรักหลงเกลียดน่ะ เดี๋ยวก็จะร้อนเป็นไฟบ้าง เดี๋ยวก็จะหิวเป็นเปรตบ้าง เดี๋ยวก็จะขี้ขลาดกลัวนั่นกลัวนี่ อย่าตกนรกที่นี่คืออย่าทำให้ผิดที่อายตนะทั้ง ๖ อย่าให้เกิดผัสสะโง่ ใช้วิชาความรู้ ปัญญา สติที่เราได้ร่ำเรียนอบรมมา มาช่วยทันท่วงทีในขณะแห่งผัสสะ มันก็เป็นผัสสะฉลาด เมื่อเป็นผัสสะฉลาดมันก็รู้จักสิ่งต่างๆดีไม่หลงรักหลงเกลียดในสิ่งใด นี่มันจะสร้างสวรรค์ในตอนนี้ ฉะนั้น รู้จักนรกทางอายตนะเสียก่อน แล้วปิดมันเสียให้ได้
นี่คือข้อปฏิบัติ ข้อปฏิบัติที่จะต้องเชี่ยวชาญ ควบคุมอายตนะทั้ง ๖ ให้ได้ก็ไม่มีนรกขึ้นมา ทำให้มันถูกต้องตามอายตนะมันก็จะได้รับผลสมตามประสงค์ ก็มีสิ่งที่เรียกว่าสวรรค์ อย่าทำให้มันผิดพลาดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็จะเกิดสวรรค์ขึ้นมาคือสบาย เอาเป็นสบายกันก่อน ถ้าจะให้เป็นสวรรค์ทางกามารมณ์เหมือนที่เขาใช้สอนกันอยู่ มันก็ต้องเป็นกามารมณ์ที่ถูกต้องนะ อย่าไปเอากามารมณ์ทุจริตซึ่งเป็นเรื่องหลอกลวง เป็นเรื่องกิเลสบ้าง มันก็เอามาเป็นทุกข์แน่นอน ฉะนั้น เราต้องการความสุขทางอายตนะก็ได้เหมือนกัน คือไม่ใช่เรื่องผิดสำหรับปุถุชน เพราะยังเป็นปุถุชนธรรมดา ขออย่าสร้างนรกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้สร้างขึ้นมาแต่สิ่งที่มันจะให้ความสบาย
เอาละ... ทีนี้ก็อยากบอกให้รู้ว่า พุทธศาสนาไม่ได้ต้องการให้คนมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่สวรรค์นะ ถ้ายังไม่เคยฟังก็ฟังเสียสิว่าจุดปลายทางของมนุษย์ในพุทธศาสนานั้นไม่ใช่สวรรค์ คือต้องเลยสวรรค์ไปที่เรียกว่านิพพานน่ะ คือเย็นโดยแท้จริง ฉะนั้น ปัญหาเรื่องนรกสวรรค์ไม่ควรมีสำหรับพุทธบริษัท เพราะว่าพุทธบริษัทไม่ได้ต้องการเพียงสวรรค์ นั้นมันคำสอนก่อนพุทธกาล สอนเรื่องสวรรค์ให้หลงใหลเพื่อไปสวรรค์ ให้ศีลธรรมมันดี นั้นมันยังไม่จบนะ มีสวรรค์แล้วรู้จักไอ้ความหลอกลวงของสวรรค์
พระพุทธเจ้าตรัสเรื่อง กามาทีนวก คือโทษของกามหรือโทษของสวรรค์ เพื่อจะออกไปจากกามเป็นเนกขัมมะ งั้นเราจะไปมัวเสียเวลากับนรกสวรรค์ทำไม เราไม่ต้องการนรกเพราะมันทนไม่ไหวก็ไม่เอา เราก็ไม่เสียเวลาไปหลงอยู่ในสวรรค์ซึ่งมันช่วยอะไรไม่ได้นัก มันมีแต่ทำให้หลงติด ไม่เอา ฉะนั้นไม่เสียเวลากับสวรรค์ชนิดนั้นนะ ชนิดกามารมณ์ แต่ผมจะบอกสวรรค์อีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นปัจจัยแก่นิพพาน สวรรค์ชนิดที่เป็นกามารมณ์ทางเพศนั้นสวรรค์ชนิดนี้สอนกันมานมนาน ล่อหลอก ชักจูงกันมานาน แต่สวรรค์ชนิดนี้ไม่เป็นปัจจัยแก่นิพพาน พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงโทษเป็นกามาทีนวกและไปสู่เนกขัมมะ
ทีนี้มันยังมีสวรรค์อีกชนิดหนึ่งที่เป็นปัจจัยแก่นิพพาน อย่างนี้เราจะเรียกว่าธรรมปีติ ขอร้องว่าให้ช่วยจำคำนี้ว่าธรรมปีติ เมื่อเราทำหน้าที่ถูกต้องของมนุษย์แล้วเราพอใจ เรามีปีติ นี้เรียกว่าธรรมปีติ จะระบุไปที่การทำงานทั้งหลายเลย ถ้าคุณมองเห็นคุณจะเห็นว่าไอ้การทำงานในหน้าที่ทั้งหลายนั้นน่ะเป็นการปฏิบัติธรรม คำว่าธรรมนี้มีความหมายว่าธรรมคือธรรมชาติ คือตัวเราก็ได้ ธรรมคือกฏของธรรมชาติที่ควบคุมตัวเราอยู่ ธรรมคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติที่เราจะต้องทำ เมื่อเราทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติที่เราจะต้องทำนั้นก็คือเราประพฤติธรรม
ถ้าเราไม่ทำหน้าที่นี้เราก็ต้องตาย เราไม่อาหาร เราไม่อาบน้ำนี่ เราก็ต้องตาย นี่ถ้าเรามีแต่เพียงว่าไม่ตายก็ไม่ได้อะไรที่ดีไปกว่านั้น เราก็ต้องทำอะไรที่ดีไปกว่านั้น ประพฤติธรรมให้มันดีมีความสุขยิ่งขึ้นไปกว่านั้น พอรู้สึกว่า อ้าว...นี่มันประพฤติธรรม มันก็ปีติ พอใจ นี่เรียกว่าธรรมปีติ ธรรมปีติที่บอกทีแรกช่วยจำไปด้วย จงสร้างธรรมปีติให้เกิดขึ้นทั้งกลางวันและกลางคืน พอธรรมปีติเกิดขึ้นในใจนั่นแหละคือสวรรค์ ธรรมปีติจะทำให้จิตเป็นสุข ทำให้พอใจตัวเอง พอใจตัวเองหนักเข้ๆาก็จะยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อไรมันยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อนั้นน่ะคือสวรรค์ที่ถูกต้อง สวรรค์สูงสุด คือสวรรค์ที่เป็นไปเพื่อนิพพาน
สวรรค์อย่างโน้นอย่างกามารมณ์มันจะลวงคนลงนรก จากสวรรค์แล้วจะไปสู่นรก จากนรกจะไปสู่สวรรค์ จากสวรรค์จะไปสู่นรกสลับกันอยู่อย่างนี้ อย่างที่มีพระบาลีว่า ... (นาทีที่ 01.04.41) ทุกข์เกิดในลำดับแห่งสุข ... (นาทีที่ 01.04.45) สุขเกิดในลำดับแห่งทุกข์ นี่สลับกันอยู่อย่างนี้ นั่นคือสวรรค์ชนิดกามารมณ์เดี๋ยวลงนรกเดี๋ยวขึ้นมาสวรรค์ เพราะว่ายิ่งหลงในสวรรค์ชนิดนั้นมันยิ่งมีกิเลสมาก มันก็เลิกสุขไปเป็นทุกข์ เบื่อเข้าก็เลิกทุกข์มาเป็นสุข สลับกันอยู่อย่างนี้เป็นสวรรค์ลวง ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน
ทีนี้คุณปฏิบัติหน้าที่ตามธรรม จนมีธรรมปีติยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อนั้นเป็นสวรรค์แท้จริง สวรรค์สูงสุด เป็นสวรรค์ที่ทำให้เลื่อนชั้นไปสู่นิพพาน เพราะปฏิบัติธรรมๆๆถูกต้องถึงที่สุดมากขึ้นๆ แล้วก็จะเกลียดสวรรค์กามารมณ์ นี่จะมาสู่สวรรค์ที่เป็นไอ้รูปาวจร อรูปาวจร เลื่อนขึ้นไปสู่นิพพาน สวรรค์นี้ที่ธรรมปีติยกมือไหว้ตัวเองได้นั่นน่ะก็เสวยสุขของพระธรรม เสวยสุขเกิดจากพระธรรมในรูปแบบธรรมดาหรือรูปแบบสูงขึ้นไป เป็นไอ้พวกเขาเรียกว่า ... (นาทีที่ 01.06.01) คือรูปาวจร อรูปาวจร มันก็ล้วนแต่กลับไปทางพระนิพพาน ไม่ให้มัวเมาเกิดกิเลสแล้วกลับไปตกนรกอีก
ฉะนั้นเราจะพูดกันเสียก็ได้ว่าไอ้สวรรค์นี้ต้องให้เป็น ๒ รูปแบบแล้ว แบบหนึ่งไม่ส่งไปนิพพาน แบบหนึ่งจะช่วยส่งไปพระนิพพาน สวรรค์นั้นคือธรรมปีติ เมื่อได้ปฏิบัติธรรมะแล้วก็พอใจ นี่คือสวรรค์ชนิดที่จะส่งไปสู่พระนิพพาน มีอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ได้อยู่บนฟ้าเหมือนสวรรค์ชนิดโน้น
ฉะนั้น ขอให้มองดูให้ดี นรกสวรรค์โดยภาษาคนอยู่ที่นี่ ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ปิดนรกเสียให้ได้ แล้วก็เป็นปิดนรกหมดทุกชาติแม้จะมีข้างหน้า ทำสวรรค์ที่นี่ให้ได้มันก็เป็นสวรรค์โดยสมบูรณ์ที่นี่ในชีวิตนี้ มีค่าเหลือประมาณและเป็นไปเพื่อนิพพาน ถ้ายังไม่นิพพาน ถ้าว่าจะต้องเกิดอีกข้างหน้ามันก็ได้สวรรค์ที่พึงปรารถนาอีกนั่นแหละ มันถูกต้องเรื่อยไป
ขอให้คุณสนใจนรกสวรรค์ที่เป็นภาษาธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นไปทางอายตนะ คืออยู่ที่อายตนะ แล้วก็ต้องของคนที่มีชีวิตเป็นๆด้วย ไม่ใช่ของคนตายแล้ว ธรรมะไม่ใช่เรื่องของคนตายแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าในร่างกายที่ยาววาหนึ่งที่ยังเป็นๆ มีสัญญาและใจนี้เป็นเรื่องของธรรมะ นรกสวรรค์ต้องเป็นเรื่องของคนที่ยังมีชีวิตเป็นๆอยู่ เพราะมันรู้สึกได้ ถ้ามันไม่รู้สึกได้แล้วมันก็ไม่มีความหมายอะไร ฉะนั้น ยังมีชีวิตอยู่นี้ระวังให้ดีอย่าให้เกิดนรกขึ้นมา ให้สร้างสวรรค์ขึ้นมา แล้วก็จะเป็นไปเพื่อนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้
นี่เวลามันหมดแล้ว เราจะพูดนิพพานในการบรรยายครั้งหลัง เดี๋ยวนี้เวลาก็หมดแล้ว ผมพูดเผลอเกินเวลาทุกที สำหรับวันนี้ก็เราพูดเรื่องนรกและสวรรค์ที่เหมาะสมจำเป็นแก่พวกคุณที่เป็นพุทธบริษัท อุตส่าห์บวช อุตส่าห์เรียน ได้รู้ให้ถูกต้องครบถ้วนเพียงพอ เพื่อว่าถ้าไปพูดกับคนอื่นก็พูดให้ถูกนะ ไปพูดกับคนต่างชาติต่างศาสนาต่างประเทศออกไปก็พูดให้มันถูกว่า นรกสวรรค์ในพุทธศาสนามันเป็นอย่างนี้นะ
ทีนี้ส่วนตัวคุณเองจะต้องปฏิบัติให้มันได้นะ อย่าตกนรกที่นี่เดี๋ยวนี้ ให้มีสวรรค์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ แล้วมันจะส่งไปพระนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้นะ มันก็คงจะได้คุ้มค่าที่บวชมาทีหนึ่ง คุ้มค่าหรือเกินค่าที่ได้บวช นี่เอาความรู้นี้ไปต่อกันเข้ากับความรู้ที่มันไม่มี ไอ้ความรู้นี้ นี่เราเรียกว่าเราจะพูดกัน ๑๐ ชั่วโมง ต่อจากความรู้ที่เราเคยมีอยู่ก่อนซึ่งมันยังไม่สมบูรณ์ เอาล่ะวันนี้พอกันทีเดี๋ยวปิดประชุม