แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาจารย์ : นิมนต์นะ
ผู้ถาม : ผมอยากจะทราบว่า จะแก้ไขอย่างไรครับ เมื่อเกิดความกลัวในสิ่งที่เกิดขึ้น ขณะจิตสงบในการเจริญภาวนา
อาจารย์ : นี่ความกลัวในขณะแห่งการเจริญภาวนา หมายความว่ามันเป็นปัญหาส่วนย่อยเกี่ยวกับการเจริญภาวนา ดังนั้นไม่ ๆ ๆ ใช่ความกลัวหรือไม่เหมือนกับความกลัวในความหมายทั่ว ๆ ไป ถ้ามันเป็นปัญหาจริง มันก็ต้องบอกตามจริง มันจะพิจารณาแก้ไขไปตามจริง แต่ถ้าเป็นหัด เป็นปัญหาที่คิดเผื่อไว้ มันอาจจะมี มันก็คำตอบอย่างเผื่อไว้เหมือนกันแหละ
ในความกลัวโดยทั่ว ๆ ไปนั้น มันเป็นธรรมดาของคนธรรมดาที่มีความรู้สึกว่ามีตัวตน ความรู้สึกว่ามีตัวตนมันพร้อมอยู่เสมอ เพราะพอมีอะไรที่จะกระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายแก่ตัวตน ไอ้ความรู้สึกที่เป็นความกลัวมันก็เกิดขึ้น นี่มันมีเหตุผลตามธรรมชาติ ไอ้ความกลัวโดยทั่ว ๆ ไป มันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น จำเป็นต้องเกิดขึ้น ตามหลักเกณฑ์หรือเหตุผลแห่งธรรมชาติ ดังนั้นการแก้ไขของมัน มันเป็นคนละอย่าง คือมันมีการแก้ไขให้ตัวตนมันน้อยลง ๆ ไอ้ความกลัวมันก็น้อยลง
ทีนี้คุณมาถามว่า ความกลัวที่เกิดขึ้นในการเจริญภาวนา นี่มันก็ยังมีปัญหาว่า ภาวนาชนิดไหน เช่นภาวนาที่น่ากลัวมากและเกิดง่ายก็ เขาหมายถึงไอ้การเจริญภาวนาเกี่ยวกับซากศพชนิดใดชนิดหนึ่ง หลาย ๆ ชนิดในป่าช้า นี่เป็นการเจริญภาวนาที่จะทำให้เกิดความรู้สึกกลัวได้มากทีเดียว แต่เขาก็มีระเบียบวิธีที่ดีมาก ทำให้ถูกต้องตามระเบียบของเขา ก็ ๆ จะกลัวน้อยหรือเป็นอันตรายน้อย
ก็เตรียมตัวสำหรับจะไม่ให้กลัว ป้องกันความกลัว มีหลาย ๆ อย่าง ก็ต้องไปตั้งแต่กลางวัน ไปทำความคุ้นเคยกับซากศพนั้น ๆ ตั้งแต่กลางวัน แล้วก็นั่งในทิศทางที่ได้เปรียบข้างผู้ปฏิบัติ ก็จะไม่เกิดความกลัวหรืออาการน่ากลัวอะไรมาก แล้วก็มีสติที่ฝึกไว้เพียงพอ จึงมีการปฏิบัติที่เตรียมไปเพียงพอ มันก็ไม่ ๆ ๆ ติดปัญหาที่น่ากลัว นี้กรรมฐานประเภทที่มีอารมณ์ที่น่ากลัว ก็มีระเบียบของเขาอย่างหนึ่งนะ
ทีนี้กรรมฐานภาวนาที่ไม่มีนิมิตที่น่ากลัว เช่นอย่างอานาปานสติเป็นต้น นี่มันก็ต่างกันมาก มันไม่ควรจะเกิดอาการของความกลัว แต่ว่าถ้ามันเป็นเรื่องเบื้องต้นไปทั้งหมด ไอ้คนนั้นมันก็ยังจะกลัว แม้แต่ความเงียบ กลัวการนั่งอยู่คนเดียวในที่เงียบ นี้มันก็กลัว จะต้องมีวิธีต่อสู้ธรรมดา ๆ ให้เกิดความเคยชิน จนกระทั่งให้เกิดความแน่ใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่กลัวความเงียบ ไม่กลัวความมืด ไม่กลัวอะไรต่าง ๆ
ทีนี้ยังเหลืออยู่ มันก็เป็นเรื่องภาพนิมิต ภาพที่จิตสร้างขึ้น ไมใช่ของจริง จิตสร้างเป็นภาพขึ้นมา จะเรียกว่า หลอกหลอนก็ได้ อาจจะสร้างเป็นภาพที่น่ากลัวขึ้นมาก็ได้ นักปฏิบัติที่เขานักเลง เขาก็ไม่กลัว เขาก็รู้ว่า มันอาจจะเกิดขึ้นได้ เป็นภาพสร้าง ภาพหลอน ภาพมโนคติของจิต ซึ่งเมื่อถูกบีบบังคับอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างโน้น มันก็ดิ้นรน ซึ่งมันรับประกันไม่ได้ว่าจะไม่เกิด และจะไม่ต้องเกิดเหมือนกันทุกคน แต่บางคนมันก็ไม่เกิด แม้แต่พวกที่เกิด มันก็ไม่ต้องเหมือนกันทุกคน
ดังนั้นถ้ามันเกิดภาพที่น่ากลัว เหมือนกับหลอกหลอน ก็รู้ว่า มันอย่างนั้นเอง คือเป็นเรื่องของจิต สร้างขึ้นตามเหตุตามปัจจัยของจิตนั้น ๆ แล้วเราก็ไม่สนใจไอ้ความรู้สึกที่กลัว มาสนใจต่ออารมณ์ของสมาธิ หรือนิมิตของสมาธิให้มันหนักขึ้น ความรู้สึกที่กลัวหรือภาพที่กลัว มันก็หายไปเอง ก็ทุกอย่างมันแล้วแต่จิต ดังนั้นถ้าคนเขารอบคอบ เป็นคนรอบคอบ ไม่ประมาท ไม่สะเพร่า ไม่ทำอะไรหวัด ๆ จะไม่มีปัญหาอย่างนี้ มันทำตระเตรียมไปอย่างดี ดำเนินไปอย่างถูกต้อง จิตคอยแต่จะกำหนดหาความสงบ ไม่มีโอกาสให้เกิดไอ้ภาพหลอนที่เป็นของน่ากลัว
นี่หมายถึงกรณีที่ปรกติ ปรกติ คนนั้นมันปรกติ นี่ถ้าว่าคนนั้นมัน ผู้ปฏิบัติคนนั้นมันเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้ายอย่างนี้ อย่างนี้ก็อีก ๆ อย่างหนึ่ง อีก ๆ ปัญหาหนึ่ง อีกแนวหนึ่ง มันจะเกิดมากก็ได้ หรือมันจะทำลาย เลิกล้างหมดก็ได้ ดังนั้นคนที่จิตใจอ่อนแอหรือว่าคุ้มดีคุ้มร้ายอย่างนี้ จะต้องได้รับการอบรมสั่งสอนเบื้องต้นที่เพียงพอว่าอย่างนั้นเถิด และก็มีอาจารย์ที่เรียกว่ากัลยาณมิตร คอยคุ้มครอง คอยให้คำตอบ คอยให้คำปรึกษาที่ ๆ เพียงพอ คือเป็นอาจารย์ที่จริง ที่ดีจริง ๆ ที่สำหรับ เหมาะสำหรับจะเป็นอาจารย์ได้จริง ๆ ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ มันก็คือล้มเหลว
นี่คุณถามปัญหาเผื่อว่า มันก็ต้องตอบอย่างเผื่อว่าอย่างนั้น ถ้าอะไรทำอยู่จริงและเกิดขึ้นจริง เป็นปัญหาจริง ก็รายงานเฉพาะเรื่องนั้น มันก็มีคำตอบที่ชัดเจนหรือเจาะจงมากกว่านี้ ทีนี้ก็ตอบและสรุปว่า ถ้ามันเกิดไอ้อย่างนั้นขึ้นมา อย่าไปรู้ไปชี้กับมันก็แล้วกัน ถ้าเกิดภาพหลอนน่าเกลียดน่ากลัว อย่างเป็นสัตว์ร้าย ก็อย่าไปรู้ไปชี้ ตอนภาพหลอนอย่างยั่วยวน ภาพของเพศตรงกันข้าม เป็นเรื่องทางเพศ ภาพทางเพศ อย่างลามกอนาจาร นี้ก็เหมือนกัน มันก็น่ากลัวเหมือนกันถ้ามาถี่ ๆ ก็อย่าไปรู้ไปชี้กับมัน เพ่งหาแต่ความสงบเรื่อยไป
ทำนองเดียวกัน แม้เป็นภาพที่น่ารักน่าพอใจ ตรงกันข้าม ก็เหมือนกัน ไม่รู้ไม่ชี้กับมัน จะเป็น จะเห็นภาพสวรรค์ วิมาน นางฟ้า เทวดา พระพุทธรูปอันสวยงาม หรืออะไรก็ตาม ถ้ามันยังไม่ใช่ความสงบ แล้วก็ยังไม่ ๆ สนใจ ปล่อยให้มันหายไปเสีย มันไว้แต่วิธีของเขา มันจะต้องการเอาภาพอย่างนั้นมาเป็นอุปกรณ์มาเป็นเครื่องปฏิบัติ นั้นก็ไปอีกอย่างหนึ่ง นี่เราหมายถึงภาพที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ มาเองโดยไม่ตั้งใจ แล้ว มารบกวนให้ยุ่งไปหมด สำหรับให้รักก็มี ให้โกรธก็มี ให้เกลียดก็มี ให้กลัวก็มี อะไรก็แล้วแต่เถิด ไม่รู้ไม่ชี้ ส่ายหาแต่จุดที่สงบ ที่สงบเงียบสงัดลงไป ๆ ๆ นี่คำตอบเผื่อไว้ สำหรับกรณีทั่ว ๆ ไป
ผู้ถาม : ขอกราบคารวะท่านอาจารย์ กระผมมีปัญหาบางประการที่จะกราบทูลถามท่านอาจารย์ดังนี้นะครับ คือการทำงานในชีวิตฆราวาสนั้น ย่อมหนีอัตตาและอัตตนียาไปไม่พ้น สมมติว่าเพื่อนคนหนึ่งประสบกับความอยุติธรรมในการทำหน้าที่การงาน และมีความกลุ้มใจตีอกชกหัว จะมาขอคำปรึกษา แต่เขาเป็นคนที่ไม่มีความรู้ทางธรรมะมาก่อน เราจะหาคำตอบวิธีใดให้เขาชื่นใจกลับไป
อาจารย์ : โอ้, นี่มัน ๆ เป็น ไม่รู้ว่าปัญหาอย่างไร แต่คุณก็ถามกว้าง ถามไว้กว้าง ถามไว้กว้างเกินไป ที่เหมือนกับตอบโดยหลักที่กว้างได้ทั่วไป
ผู้ถาม : เช่นได้รับการกลั่นแกล้งจากผู้บังคับบัญชาอย่างนี้
อาจารย์ : นี่เป็นปัญหาในโลก ในโลกต้องมีปัญหาอย่างนี้ คือในโลกต้องมีไอ้คนที่มีกิเลส แล้วคนที่ต้องมีกิเลส เขาก็ใช้กิเลส ไอ้คนถูกใช้กิเลส มันทนไม่ได้ มันก็ต้องดิ้นรน จะต่อสู้หรือจะยอมแพ้ หรือจะให้ทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเขายังยึดหลักมั่นอยู่ว่า เราไม่ ๆ ต่อสู้ด้วยความชั่ว ไม่ต่อสู้อย่างอันธพาล เราจะแก้ปัญหาด้วยธรรมะที่ถูกต้องนี่ มันก็มีปัญหาอย่างนี้ ปัญหาแคบเข้ามาอย่างนี้
ในโลกมันมีอย่างนี้ แต่ว่ามันเป็นเรื่องตัวตน ถูกแล้ว ในโลกที่ยังมีตัวตน ก็ต้องมีปัญหาอย่างนี้ ไอ้คนที่มาทำแกล้ง มาทุจริต เอ่อ, กลัว ผู้ทำให้เกิดปัญหา มันก็มี มันก็มีตัวตน ไอ้เราผู้ถูกแกล้ง มันก็ยังมีตัวตน มันก็เลยเป็นเรื่องของบุคคลที่ยังมีตัวตน จะต่อสู้แก้ไขกันอย่างไร ถ้ายอมรับในข้อที่ว่าจะชนะความชั่วด้วยความดี เอ่อ, มันก็แคบเข้ามาล่ะ ปัญหาเหลือน้อย แต่บางคนเขาไม่ถืออย่างนั้น เช่นถือเป็น ฟันต่อฟัน ตาต่อตานี่ แต่ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ใช่ ๆ ศาสนา ไม่ใช่หลักธรรมะ ผมก็ไม่เห็นด้วย ก็ไม่ตอบไอ้ปัญหาแบบนั้น ดังนั้นก็เหลืออยู่แต่ว่าจะชนะความชั่วด้วยความดี
ทีนี้มันก็มีอยู่เป็น ๒ ชนิด คือจะชนะไอ้ความทุกข์ของเรา ชนะตัวเอง คือ ๆ ๆ ขจัดความทุกข์ในจิตใจของเราออกไปเสีย อย่าให้มีความทุกข์ได้ อันนี้มีทางจะทำได้และง่ายกว่าและจริงด้วย ส่วนที่จะไปชนะไอ้ผู้บังคับบัญชาทุจริต ไอ้ ๆ คนทุจริต ไอ้บุคคล ที่มันเป็นบุคคล อย่าไปเอาชนะบุคคลนั้น จะยาก จะยากมาก ให้เพื่อจะไม่ต้อง ไม่ควรจะทำด้วยซ้ำไป อย่างนั้นมันก็ต้องทำไปอย่างศัตรู เป็นคนปองร้าย เป็นศัตรู เป็นอะไรกันไป มันก็ไม่มีทางที่จะชนะได้
ทีนี้ถ้าจะชนะคนคนนั้น ด้วยธรรมะอีก ด้วยความดีอีก ไอ้คนนี้มันจะทำไหวไหม มันจะมีปัญญา มีความอดทน มีอะไรไหวไหมที่จะไปชนะคนพาล เพราะฉะนั้น เราก็ลองให้เขาพยายามชนะตัวเองก่อน ชนะไอ้ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ เห็นมันของธรรมดาในโลกเป็นอย่างนี้ เขายังไม่ได้มาฆ่าเราให้ตายนี่ เพียงแต่เขาทำอะไรมันทุจริต ทำให้เราขาดประโยชน์ ทำให้เราเดือดร้อน ทำให้เราเสียชื่ออะไรก็ตาม เราอย่าเป็นทุกข์ ข้อทีแรก ด้วยวิธีที่จะตัดจะปลงโดยหลักทั่วไป ที่พูดอยู่เสมอ ๆ เรื่องเช่นนั้นเอง เรื่องอะไรก็ตาม อย่าเป็นทุกข์ เราอย่าเป็นทุกข์
ถ้า ๆ ๆ ไม่เป็นทุกข์ ก็ควรจะไม่ต้องทน ถ้าที่ต้องทนนั้น มันเป็นทุกข์ ดังนั้นมันไม่ ๆ ๆ มีคำว่าต้องทน มันมีหลักว่า สลัดออกไปจากจิตใจเลยโดยไม่ต้องทน ถ้าทนน้ำตาไหล ก็จะเห็นว่า ก็เรียกว่ามันเป็นทุกข์ มัน ๆ ไม่ถูก ดังนั้นสลัดจิตใจออกไปโดยไม่ต้อง ๆ เป็นทุกข์ ซึ่ง ๆ จะต้องทนนั้นมันไม่มี นี่มันมีธรรมะสูง เรายังจะช่วยให้เขามีธรรมะนี้ได้ แล้วเราเองเคยช่วยตัวเองได้ถึงขนาดนี้หรือเปล่า ถ้าเราเคยช่วยตัวเองได้ถึงขนาดนี้แล้ว เราก็คงจะช่วยให้เขารู้จัก ช่วยตัวเขาเองถึงขนาดนี้ได้บ้างเหมือนกัน
ดังนั้นจะช่วยให้คนอื่น แนะนำให้คนอื่นรู้จักทำจิตใจไม่ให้เป็นทุกข์นี่ คนนั้นมันต้องทำได้แล้วอย่างน้อย ดังนั้นมันก็มี เพราะมันอย่างนั้นเอง ในโลกมันอย่างนั้นเอง ไม่เห็นเป็นของแปลก กระทั่งไม่เห็นว่า มัน ๆ ๆ ไม่ใช่อยุติธรรมหรืออะไรนะ มันเป็นอย่างนั้นเอง แล้วเราก็เกิดมาตามกรรมของเราในลักษณะอย่างนี้ เผอิญต้องมาพบกันกับบุคคลชนิดนี้ มีบุคคลชนิดนี้เป็นผู้บังคับบัญชา เราต้องปรับตัวเรา อย่าให้ต้องเป็นทุกข์ แล้วมันเช่นนั้นเอง
ในแง่ของศีลธรรม ผมเคยแนะนำว่าให้ต้อนรับศัตรู เหมือนกับผู้มาสอบไล่ เหมือนกับผู้มาฝึก เอ่อ, มา ๆ ๆ ๆ ๆ ให้ มาสอนให้เราฝึกอดกลั้นอดทน คือเขาเอาบทเรียนยาก ๆ มาให้เราทำ เราทำได้ ก็ก้าวหน้าในทางธรรม ทาง อาจจะบรรลุมรรคผลไปเลย เราจะเรียกศัตรูว่าเป็นผู้มาให้ ให้ความก้าวหน้า ให้ความดี ให้ความเก่ง ถ้าเราต้อนรับเขาอย่างนี้ ก็ไม่มีศัตรู เหมือนศัตรูกลายเป็นผู้ให้ไปเสีย ก็ไม่มีศัตรู
ดังนั้นที่เขาทำให้เราเสียหาย เสียชื่อ หรือว่าถึงกับแกล้งให้อะไรก็ตามเถิด เราจะ รับเอามาเป็นบทเรียนสำหรับเอาชนะให้ได้ ชนะตัวเรา ชนะจิตของเรา โดยวิธีนี้เราชนะความทุกข์ส่วนตัวเรา ของเรา ซึ่งมันเป็นการชนะจริง ดับทุกข์ได้จริงนี่ และถ้าว่าทำได้อย่างนี้ มันจะมีผลเลยไปถึงให้คนชนะคนโน้นได้ด้วย คือคนโน้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เห็นอกเห็นใจ ละอาย เปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมา มันก็พลอยชนะไปได้ด้วย ศัตรูคือผู้ให้บทเรียนด้วย ผู้สอบไล่ด้วย ผู้เลื่อนชั้นให้ด้วย ลองต้อนรับกันแบบนี้
แล้วมันเป็นธรรมดาที่คนเราในโลกนี้จะต้องมีศัตรู ยิ่งทำอะไรเด่นออกไป นี่ก็คือการเพิ่มศัตรู ผู้ที่เขาอยากจะทำลายเสีย เพราะว่าไอ้ความเด่นของเรา มันก็ไป มันไปกระทบประโยชน์ของเขา ดังนั้นคุณควรจะถือเป็นของธรรมดาสำหรับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะเพื่อนของเราคนนั้น ที่ว่าเราจะต้องมีศัตรู มันมีกันทั่วโดย ๆ เอ่อ, ทั่ว ๆ ไป ไอ้ศัตรูจากข้างบนคือผู้บังคับบัญชา เอ่อ, มันก็ลำบากหน่อย นี่ศัตรูที่เสมอ ๆ กัน เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มันก็ค่อยเพลาลงมา ศัตรูที่ผู้แข่งขันกันโดยทางประโยชน์ นี้ก็เป็นธรรมดา ต้องมี เช่น พระพุทธเจ้านี้ก็มี ๆ ศัตรูผู้ทำลายล้าง เป็นลัทธิอื่น เดียรถีย์อื่น ซึ่งเป็นคู่แข่งขัน
นี้ปัญหาของเรามันจำกัดแคบอยู่ว่า ไอ้ ๆ ความยากลำบากที่มาจากผู้ที่เป็นเหนือกว่า ผู้บังคับบัญชาเป็นศัตรู คงจะมีกันมาก เคย ๆ ๆ มีผู้ถามอย่างนี้ว่ามาแล้วครั้งเดียวนี่ ไม่ใช่คุณถามเป็นรายแรก ร้องห่มร้องไห้ก็มี แล้วมันกลุ้มใจ แต่ปรากฏว่าชนะได้ในที่สุด หลาย ๆ คนนั้นน่ะ เมื่อเขาทำอย่างนี้ ต้อนรับศัตรูในลักษณะอย่างนี้ มันเปลี่ยนแปลงไปได้ กระทั่งตัวศัตรูนั้นก็เปลี่ยนแปลง
อย่างน้อยแต่มัน ๆ ธรรมดาอย่างนั้นเอง แล้วมันไม่มีอะไรแท้แน่นอน ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน มันก็ต้องเปลี่ยนแหละ ไม่แน่เขาก็ย้ายไปไหนก็ไม่รู้ มันต้องมีการเปลี่ยนนะ อย่าไปเป็นทุกข์ ป่วยการ ทำให้ดีที่สุด แล้วพิสูจน์ความที่เราไม่ ๆ ๆ ถือว่าเขาเป็นศัตรูไว้เรื่อย แต่ว่ากิเลสของคนสมัยนี้ ไม่ค่อยยอม มันมักจะทำแบบ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ก็มักจะวินาศกันไปทั้ง ๒ ฝ่าย
นึก เอ่อ, สรุปความว่า นึกถึงพระพุทธภาษิต ชนะความไม่ดีของเขาด้วยความดีของเรา มันมีเท่านั้น และเรารู้จักทำตัวเองไม่ให้เป็นทุกข์ มันก็พอแล้ว เมื่อไม่เป็นทุกข์ก็พอแล้ว แล้วเขาก็ไม่ได้ทำอย่างที่ว่าจะมาฆ่าให้ตาย เขาทำแบบย่ำยีจิตใจหรือว่าแกล้ง กลั่นแกล้ง มันก็ไม่เจ็บปวดในทางร่ายกายหรือทางชีวิตอะไรนัก แต่มันเจ็บปวดทางตัวกู เจ็บปวดทางเกียรติยศ เราก็อย่ารับมันไว้สิ เขาด่าเรา เราอย่ารับเอามาสิ มันก็กลับไปหาเขา
ดังนั้นจะอยู่ในโลกก็เตรียมไปอย่างนั้นแหละ เตรียมชนะความไม่ดีของผู้อื่นด้วยความดีของเรา คืนก่อนก็พูดกันทีหนึ่งแล้ว คล้าย ๆ นี้ ชนะความไม่ดีของเขาด้วยความดีของเรา อย่าเอาความร้ายเข้าไปชนะความดี มันก็ร้ายมายิ่งกว่าเดิม และมันก็ร้ายไปยิ่งกว่าเดิม ก็เลยวินาศกันทั้ง ๒ ฝ่าย ไอ้เรื่องในประวัติศาสตร์หรือในตำนานนิยายมันก็มี เขาสามารถทำความเข้าใจกับศัตรูได้ ด้วยสติปัญญา โวหาร พูดจาอันฉลาดคมคายของเขา เขาก็เคยทำสำเร็จเหมือนกัน
คิดไปทางนั้น มองไปทางนั้น ชนะความดีของเขาด้วยความดีของเรา แล้วเขาก็เป็นเพื่อนมนุษย์เกิดแก่เจ็บตายคนหนึ่ง เราอย่าไปซ้ำเติมเขาเลย ช่วยแก้ไขให้เขาด้วย แต่ก็ยอมรับว่ายาก ๆ ที่จะทำได้ ไม่ง่ายเหมือนที่พูดนี้ ไอ้ที่พูดนี้มันก็ไม่สู้ง่ายอยู่แล้ว แต่ไปทำเข้าจริงมันยังยากกว่านั้นหลายสิบเท่า ในโลกนี้อย่างนี้เอง คือว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตน จะต้องเกิดมาเป็นอยู่ต่างกัน ๆ เหลื่อมล้ำกัน อะไรกัน นี่มองให้เห็นอย่างนี้เสียก่อน
แต่ทีนี้ทุกคนมีกิเลส เราก็มีกิเลส เขาก็มีกิเลส เขามีกิเลสที่จะด่า เราก็มีกิเลสที่จะรับเหมือนกัน มันก็โดนกันไป ถ้าเขามีกิเลสที่จะด่า เราไม่มีกิเลสที่จะรับ มันก็ไม่โดนกัน มันก็ไม่เกิดเรื่อง นี่เขาว่าเตรียมตัวสำหรับอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยกิเลส คืออันธพาลนะ เขามีคำพูดอย่างนี้ เขาพูดอย่างที่ของคุณ คือเตรียมตัวสำหรับจะอยู่ในโลกอันธพาลนี้ ที่เรามาศึกษาธรรมะนั่นนี่โน่นเพราะกลัว แสวงหาความรู้ เตรียมตัว เพื่อจะอยู่ในโลกแห่งอันธพาล
ถ้าไม่มีอันธพาลก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้ในโลกมันต้องมีอันธพาลแน่ ดังนั้นเราเตรียมสำหรับ อย่าให้มันเป็นทุกข์ขึ้นมาก็แล้วกัน ชนะคนพาลด้วยความไม่พาล ชนะเวรด้วยความไม่จองเวร ชนะชั่วด้วยความดีอย่างนี้ เขามีหลักอย่างนี้กันมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล ไอ้หลักอย่างนี้มันง่ายเกินไป จนไม่ต้องอาศัยความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เขาพบหลักเกณฑ์อันนี้มาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล เขาใช้คำว่าดึกดำบรรพ์ ไอ้การชนะไม่ดีด้วย ๆ ดี ชนะเวรด้วยไม่เวรนี้
เอส ธมฺโม สนนฺตโน ข้อนี้เป็นหลัก สนันตนะ ก็ไม่รู้จะแปลว่าอะไร ก็ ๆ ใจความของมัน ก็คือเก่าเกินที่จะรู้ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไร เอส ธมฺโม สนนฺตโน ธรรมะนี้เป็นของเก่านี่ มีอยู่ไม่กี่บท มันมีอยู่บางบท ธรรมะที่เก่าก่อนพุทธกาลหรือว่าเก่าจนไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เขาใช้กันมา แต่คำนี้เป็นของเก่าก็แล้วกัน ดังนั้นเราก็ไม่มีทางหลีก เอามันเป็นของเก่า ชนะความไม่ดีด้วยความดีเรื่อยไป เก่าก่อนการเกิดพระพุทธเจ้า มีอยู่ไม่กี่คำไม่กี่ข้อ ผมเคยพบบ้าง จำ ๆ แล้วก็ลืม แต่คำนี้คำหนึ่งด้วยแน่นอน ชนะความไม่ดีด้วยความดี ชนะเวรโดยไม่จองเวร ใครมีอะไรอีก
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณครับ
อาจารย์ : ซ้ำก็ได้ ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจ
ผู้ถาม : อาจารย์ครับ ผมอยากจะถามเกี่ยวกับว่า ศาสนาพุทธนี้มีวิธีการอย่างไรครับ ที่จะฝึกคนให้มีจิตใจที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้นทุก ๆ ที แล้วก็มีวิธีการอย่างไรหรือเปล่า ที่จะ ทำที่เรา ที่เราสามารถทำ เวลาเราเก็บความ ให้เราเก็บความรู้สึกของตัวเองได้ เก็บความลับของตัวเองได้โดยไม่แสดงออก โดยที่เราไม่มีอาการของโรคประสาทหรือเป็นโรคประสาทได้ แล้วก็สามารถมีจิตใจแข้มแข็งพอที่จะเก็บความลับหรือ เรื่องราวของตัวเอง ความรู้สึกของตัวเองที่จะแสดงออก โดยไม่ ๆ เป็นโรคประสาท ทำครับ ทำให้จิตใจเข้มแข็ง ทำอย่างไร
อาจารย์ : มันก็ ๆ ๆ เป็นหลักทั่วไปนั่นแหละ มัน คนคนนั้นมันต้องบังคับความรู้สึกได้ ไอ้ที่คุณมาถามว่าทำไมจึงบังคับความรู้สึกไม่ได้ นี้มันก็เป็นข้อปลีกย่อย คือว่าธรรมะในพระศาสนาหรือศาสนาไหนก็ได้ เขาสอนไว้เพียงพอสำหรับเราจะบังคับความรู้สึกได้ เขา ๆ ๆ ๆ สอนไว้เพียงพอ แต่แล้วเรามันปฏิบัติไม่ได้เป็นตามนั้น ไม่ได้ปฏิบัติหรือเป็นตามนั้น มันก็เลยไม่ได้ ไปศึกษาเสียใหม่ให้มันพอ ให้เพียงพอ เอ่อ, มันเป็นหัวใจของศาสนา ที่เรียกว่า เอ่อ, บังคับตัวเอง บังคับจิต บังคับกิเลส นี่เขาเรียกว่าบังคับตัวเอง
เอ่อ, ในคำสอนนั้น ๆ มันก็บอกไว้เสร็จแล้วว่า มันยาก ก็มันยาก ไอ้บังคับตัวเองนี้ยากกว่าบังคับอะไรหมด แต่ว่าไม่ใช่ว่าจะบังคับไม่ได้ แล้วยืนยันว่ามันบังคับได้ แต่มันยากที่สุด มันก็เป็นหน้าที่ของคนนั้นจะศึกษาค้นคว้าให้ครบถ้วนให้เพียงพอว่า จะต้องบังคับกันอย่างไร ใช้วิธีอย่างไร แก้ไขอย่างไร ทำให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปอย่างไรนั้นน่ะ เกิดอะไรขึ้นจะแก้ไขอย่างไร ถ้าบังคับตัวเองได้ มันก็เรียกว่า มัน ๆ หมด มันหมดปัญหา
เขาเรียนละเอียดลงไปถึง มัน ๆ มี ๆ กิเลสอะไร มีกิเลสที่มีเป็นนิจ กี่ขั้นตอน กี่ลำดับ อย่างเราเรียนเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท มันมีกี่ขั้นตอน แล้วขั้นตอนไหนที่จะแทรกแซงเข้าไป เอ่อ, บังคับ คือทำลายเสีย อย่างบังคับเมื่อเป็นผัสสะ บังคับเมื่อเป็นเวทนา เมื่อเป็นตัณหา เมื่อเป็นอุปาทาน มันต่าง ๆ ๆ ๆ กันทั้งนั้น แล้วมันยังมีดีกว่านั้น คือว่าไม่ใช่บังคับ เผชิญหน้ากับมัน แต่ว่าป้องกัน ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นก็มี
เดี๋ยวนี้ปัญหาของเรา มันมาถึงขั้นที่ว่าบังคับไม่ได้ โดยหลักทั่วไปมันก็อย่างนั้นแหละ คือไม่ยอมแพ้ หาทางต่อสู้ให้ละเอียด ประณีต สุขุมแยบคาย ยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก จนเนื่องถึงธรรมะอื่น ๆ ซึ่งเป็นธรรมะช่วยเหลือ ธรรมะอุปกรณ์ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีนี่ มันทำให้เกิดกำลังใจที่จะบังคับ แล้วมันละอาย นี่มันไม่ เอ่อ, มันไม่ด้าน มันไม่หน้าด้าน มันละอาย เมื่อบังคับไม่ได้ มันเสียหายขึ้น มันละอาย มันละอายมาก ๆ เข้า มันจะช่วยบังคับได้ง่ายขึ้น
เหมือนกับว่าที่เราไม่ทำอะไรเลว ๆ ให้ ๆ สังคมเขาดูหมิ่น เพราะว่าเราละอาย หรือว่าเราไม่ทำผ้านุ่งหลุดกลางถนนเพราะเหตุไร เพราะว่าเรามันละอาย เมื่อเราละอายมันมากขนาดนั้น ระวังมันมากขนาดนั้น มันก็จะบังคับได้ กระทั่งเอาขั้นบังคับไว้ให้ได้ อย่าให้เกิดอาการที่มันน่าละอายขึ้นมา นี้ปัญหามันก็มีเป็นชั้น ๆ มันยากลำบาก บางอย่างมันรุนแรง มันไม่ทัน ไม่ทันคิดถึงละอาย เป็นโทสะ นั่นน่ะเกิดแรง เกิดเร็ว วู่วาม มันก็ทำให้ทำไปได้ ทำผิดทำเลวไปได้ ทีนี้ก็เสียหาย ก็เสียหายแล้วมาตั้งต้นละอายกันใหม่ เอาเป็นบทเรียนสำหรับจะละอายกันใหม่
ถ้าเราเป็น ๆ นักบวช ไว้เป็นเรื่องทางจิตใจมากกว่าทางวัตถุทางสังคม เราก็ละอายโดยไม่ต้องมีใครเห็น คือละอายของเราเองคนเดียวได้ และก็เสียใจเหลือประมาณ นี่มีหิริ มีโอตตัปปะ ทั้งละอาย ทั้งกลัว ทั้งเสียใจ มันจะช่วยให้บังคับได้โอกาสต่อไป มันโดนก็เจ็บปวดแสบเผ็ด นี่เป็นเหตุให้รู้จักกลัว รู้จักละอายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้บังคับได้ แต่ว่าคนสมัยนี้มันทะนงตัวเกินไป ไม่รู้ไม่ชี้ คือไม่ละอาย ยืนยันกระต่ายขาเดียวเรื่องไม่รู้ไม่ชี้ มันก็ไม่ละอาย มันก็ทำไปได้อย่างไม่ควรจะทำ
ในความอดทนอดกลั้นให้บังคับได้ มันวิเศษที่สุด จะทำไม่ให้เกิดทุกข์เกิดอะไรขึ้นมา แต่แล้วเราก็ทำไม่ได้ เพราะเราไม่ละอาย เราไม่กลัวความเสียหาย ไม่กลัวความทุกข์ที่เกิดขึ้น แล้วก็ไม่ละอายว่า เป็นมนุษย์ทั้งทีทำไมทำอย่างนี้ไม่ได้ เป็นมนุษย์ทั้งที นี่เรียกว่าส่วนบุคคล เป็นภายใน แต่ที่ชาวบ้านชาวเมืองเขาจะเห็นแล้วก็ละอาย คนข้างนอกนั้นมันก็อีกส่วนหนึ่ง อย่างนั้นคนธรรมดาคนบุถุชนเขาละอาย ไอ้ที่เห็นเองนี้ เขาไม่ค่อยละอาย เดี๋ยวคนนอกเห็น เขาละอาย
แต่ถ้าเขามี โลภะ โทสะ โมหะ มากเกินไป เขาก็ไม่ละอายอีกเหมือนกัน เขาบังคับไว้ไม่ได้ ก็เลยไม่ละอาย แม้แก่คนทั้งโลก มันก็ยังไม่ละอายต่อคนทั้งโลก ก็เป็นทำ ๆ อย่างไรได้เล่า เมื่อมัน ๆ เกิดไม่ละอายถึงขนาดนั้นแล้วก็ มันก็เป็นกรรมของคนนั้น เป็นบาปของคนนั้น ถ้าเรากลัวบาป ละอายบาป เราก็เปลี่ยนเหมือนกัน เราก็ไม่เอาอย่างนั้น ไม่ให้ใครมาตำหนิเราได้ และตัวเราก็ตำหนิตัวเราไม่ได้ ๒ ข้อนี้มันก็พอแล้วนะ บทปัจจเวกขณ์ ไอ้ ๙ ข้อที่ตรวจกันอยู่ เอ่อ, ๑๐ ข้อ อภิณหปัจจเวกขณ์ คุณไปสังเกตดู
คนที่มีธรรมะพอ ธรรมะลึก มันถึงกับละอายตัวเองได้ นั่นแหละคนที่ไม่มีธรรมะ ไม่มีศีล แต่มันไม่ละอาย และมันไม่ละอายกระทั่งสังคม เขา ๆ จะตำหนิติเตียน มันก็ไม่ละอาย มันไม่ละอายทั้ง ๒ ข้อเลย ส่วนผู้มีศีลธรรมมันละอายทั้ง ๒ ข้อ เราติเตียนคนเดียว ตัวเราเองคนเดียวก็ไม่ได้ ก็ไม่ได้ เรา ๆ ๆ ไม่กล้าทำ ถ้ามันผิดนี้มัน ถ้ามัน เอ่อ, คนจะติเตียนนี่ แล้วสังคมก็ไม่มีทางที่จะติเตียนเรา เราไม่ทำให้ผิดจนสังคมตำหนิติเตียนได้ ดังนั้นคนชนิดนี้จะบังคับตัวเองได้ เพราะว่าเขาละอายลึก เขากลัวลึก และเขารับผิดชอบมันลึก
ดังนั้นการศึกษาธรรมะประเภทช่วย ประเภทช่วยให้ธรรมะที่เป็นหลักสำเร็จ นั่นแหละก็สำคัญเหมือนกัน ดังนั้นเราจึงศึกษาธรรมะปลีกย่อย ๆ ออกไป ๆ ๆ เพื่อช่วยธรรมะหลักให้มันสำเร็จได้ง่าย เช่นเรามีความละอาย หิริโอตตัปปะ เราก็มีศีล มันดีอย่างนี้ ถ้าเราอยากจะมีศีลจริง ๆ เราก็ไปเพิ่มไอ้ธรรมะอุปกรณ์ คือว่าหิริและโอตตัปปะ มันก็มีศีล
นี่บังคับให้มีศีลโดยตรง มันทำไม่ค่อยได้ มัน ๆ กระด้าง มันแข็ง ไม่รู้จะบังคับอย่างไร ก็ใช้อุบายอันละเอียดอ่อน อ้อมเข้ามาอีกทางหนึ่ง เช่นว่ามีความละอายบาป มีความกลัวบาป กลัวสังคม กลัว ๆ ที่มันควรจะกลัวไปทั้งหมด มันก็มีศีลได้ เดี๋ยวนี้ก็มีความประมาท คนยุคนี้มีความประมาท มีความไม่ละอาย มีความหน้าด้าน ไม่กลัว ไม่ละอาย เอ้า, ใครจะทำไมกู แล้วก็ทำไปตามที่เขาชอบ นี้ก็เป็นเรื่องที่ว่าพูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่ต้องพูดกันดีกว่า
ธรรมะมีอยู่ ๒ ประเภท ธรรมะหนึ่งเป็นตัวหลักที่เราจะเอามาประพฤติ ไอ้ธรรมะอื่นมันจะช่วยเป็นอุปกรณ์ให้ประพฤติได้โดยง่าย เช่น สติ สัมปชัญญะ ขันติ โสรัจจะ หิริ โอตตัปปะ นี่มันจะเป็นธรรมะอุปกรณ์ช่วยให้ธรรมะหลัก เช่น ศีล สมาธิ ปัญญา นี้เป็นไปได้ หรือว่าเราจะประพฤติกรรมฐานภาวนาอะไรที่มันเป็นหลัก เช่น ๆ ๆ อานาปานสติ สติปัฏฐาน ๔ อย่างนี้ เราจะปฏิบัติอันนี้ให้ได้ ทีนี้เราก็ต้องมีความเพียร ๔ มีอิทธิบาท ๔ มีอะไร สี่ ๆ อีกหลาย ห้า ๆ เจ็ด ๆ แปด ๆ เข้ามาช่วย ก็ทำได้นี่ มันก็ทำได้ ประพฤติได้ มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ที่เรียกว่า พละบ้าง พละ ๕ อินทรีย์ ๕ บ้าง นี่มันมีลักษณะผู้ช่วยหรืออุปกรณ์ เพิ่มศรัทธา เพิ่มความเพียร เพิ่มสติ เพิ่มสมาธิ เพิ่มปัญญา ก็ปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ได้นะ
นั่นมันเรื่องไปนิพพาน นี้เรื่องอยู่ที่นี่ อยู่ที่บ้านในโลกนี้ ก็เหมือนกันแหละ เช่นเราจะทำไร่ ทำนา ประกอบอาชีพอะไรที่เป็น ๆ หลักนี่ เราก็เอาธรรมะทั้งหลายที่เป็นอุปกรณ์นั้นมาช่วย เอามา ๆ ช่วยประกอบเข้าไป เรื่องพละ เรื่องอินทรีย์ เรื่องอิทธิบาท เรื่องความเพียรอะไร เอามาช่วยแม้ในทำนา ไอ้การทำนาก็ทำนาสนุก ทำนาได้ดี
ผมคิดมากใน ๆ พวกเหล่านี้ แล้วเอาไปพูดตามความคิด ก็มีคนค้าน มีคนด่าด้วย มีคนหาว่าทำให้มันผิดรูป ผิด เอ่อ, ฝาผิดตัว เคยอธิบายเรื่องโพชฌงค์ ๗ ที่จะบรรลุนิพพาน เป็นอุปกรณ์ของการทำนา หรือ มรรคมีองค์ ๘ ก็ตาม เอามาเป็นอุปกรณ์ของการทำนา ถ้าคุณสนใจ คุณก็เห็นได้เองเมื่อเข้าใจได้เอง โพชฌงค์ ๗ น่ะ เขาไว้สำหรับจะบรรลุมรรคผลนิพพาน แต่เราเอามาเป็นอุปกรณ์ธรรมะ เอ้า, ธรรมะอุปกรณ์สำหรับทำนา
มันโผล่ขึ้นมาด้วยสติ คนทำนาแหละมีสติ ธัมมวิจยะ คือวิจัย คนทำนามันก็ต้องวิจัยสิ่งที่เกี่ยวข้อง วิริยะ คนทำนาเขาพากเพียร ปีติ มันอิ่มใจพอใจในการทำนาอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับคน ๆ สมัยก่อน เขายิ้มกริ่มทำนา ปัสสัทธิ มันเข้ารูป มีความพากเพียร มีความพอใจ มันก็ไปในทางเข้ารูปเข้ารอย คือจะสำเร็จแล้วก็มีสมาธิ ทุ่มเทกำลังใจเต็มที่ อุเบกขา ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันถูกต้องแล้ว แล้วความถูกต้องแล้วก็ไป ๆ ต่อไป เราต้องรอหน่อย ไม่ใช่มันจะได้ทันที เหมือนกับทำนาทุกอย่างถูกต้องแล้ว ก็รอหน่อยกว่าข้าวเปลือกมันจะออกมา จะออกรวงมา
บางคนเขาหาว่าอุตริแหวกแนวหรือลดค่าของธรรมะสูงมาเป็นธรรมะต่ำเสีย ผมบอกว่า ไอ้นั่นน่ะมันโง่ เขาด่าผมว่าบ้า เขา ผมก็ด่าเขาว่าโง่ เพราะฉะนั้นถ้ามันเกิดปัญหาอะไรขึ้น คน เอ่อ, คุณรีบเสาะหาส่ายตาหาไอ้ธรรมะอะไรที่มันจะแก้ได้ ธรรมะข้อไหนที่มันจะแก้ได้ มันจะพบแหละ แล้วมันก็จะพบมากขึ้น
เรื่องที่จะบังคับจิตให้ได้อย่างที่ถามคำถามนี้ มันมีคำตอบมาก เอ่อ, แต่ว่าเราใช้หลักครอบสารพัด คือเช่น อริยมรรคมีองค์ ๘ อย่างนี้ มีสัมมาทิฏฐิที่มันถูกต้อง มันจะต้องบังคับจิตได้ ทีนี้ว่าสัมมาทิฏฐิมันไม่พอ ไม่ ๆ ๆ ๆ ๆ ฉลาด ไม่แตกฉาน ไม่มีสัมมาทิฏฐิในเรื่องนี้พอ มันบังคับไม่ได้ มันก็ไปเพิ่มไอ้ความรู้ที่เป็น ของถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้พอ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต จนครบทั้ง 8 องค์ ให้มันมี เอ่อ, สัมพันธ์กันให้ดี ไม่มีอะไรที่จะไม่สำเร็จ ไม่มีธรรมะไหนที่จะปฏิบัติให้สำเร็จเท่าว่าเดินไปตามทางอริยมรรคมีองค์ ๘ ก็ดูไม่มีอันไหนที่จะไม่สำเร็จ แต่มันอาจจะเกิดปัญหาขึ้นว่า เดินไม่ได้เสียอีก ก็จนใจเหมือนกัน ก็พยายามเดินให้มันได้
ไอ้สิ่งที่เราต้อง ๆ เอาใจใส่มาก เพิ่มพอกพูนให้มาก พยายามให้มาก ปลูกฝังให้มาก ก็คือไอ้องค์แรกนั่นน่ะ สัมมาทิฏฐิ เมื่อผมบรรยายวันเสาร์ที่แล้วมาเรื่องสัมมาทิฏฐิ มันช่วยให้หลุดจากความทุกข์ทุกชนิดได้ ตามหลักที่พระะพุทธเจ้าตรัสไว้ ยกสัมมาทิฏฐิเอามาเป็นหลักธรรมะ ที่จะดับความทุกข์หรือแก้ปัญหาทุกชนิดได้ ธรรมะอื่นก็มีเหมือนกัน ดับทุกข์ได้ แต่มันไม่พบคำว่าทั้งหมดหรือทุกชนิด สำ สำหรับสัมมาทิฏฐินี้ มันพบคำว่าทุกชนิด คือสัพพัง ทุกชนิด
นึกจะสนใจไอ้สัมมาทิฏฐิให้มันมากให้มันแรง แล้วมันจะไปสูงสุดอยู่ที่เรื่องปฏิจจสมุปบาท นั่นแหละสัมมาทิฏฐิ ไอ้สัมมาทิฏฐินั่นนี่ไปตามไอ้ต้น ๆ นี้ มันก็ ๆ สัมมาทิฏฐิเหมือนกัน แม้แต่เรื่องตัวตนนี้ก็ยังต้องมีสัมมาทิฏฐิ ถ้ามีตัวตนก็ต้องว่าตัวตนให้มันถูกต้อง แล้วในที่สุดมันจะเลื่อนขึ้นไปจนไม่มีตัวตน สัมมาทิฏฐิมันจะไปจบหมดที่ไม่มีตัวตน มีแต่กระแสแห่งการปรุงแต่ง ปฏิจจสมุปบาทอะไรทำนองนี้ ถ้าอย่างนี้แล้วมันจะแก้ปัญหาได้หมด เพราะมันไม่มีตัวตน เพราะมันไม่ไปติดอยู่ที่ประโยชน์แห่งตัวตนหรืออะไรทำนองนั้น
ดังนั้นเมื่อเราตั้งใจว่าจะออกไปสู้โลกที่เต็มไปด้วยอันธพาล ก็เอาอาวุธอย่างสูงสุดคือสัมมาทิฏฐิ เรียกว่าปัญญาก็ได้ สัมมาทิฎฐิจะเรียกมันเสียธรรมดา ๆ ว่าปัญญาก็ได้ แต่ปัญญาที่สมบูรณ์ สัมมาทิฎฐิจะช่วยให้แก้ปัญหาทั้งหมดได้ แต่นี้มัน ๆ ดื้อ มันอวดดี มันพลุ่งอยู่ด้วยความประมาท เอ่อ, สัมมาทิฏฐิมันก็เข้ามาไม่ได้ มันเข้าไม่จุ ไอ้คนนั้นมันก็เป็นบ้าอาละวาด ก็หมุนจี๋อยู่ สัมมาทิฏฐิมันก็เข้ามาไม่ได้ มันต้องปรับปรุงตัวเองให้ดี ๆ เหมาะที่มันจะมาเกิดสิ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโปอะไรขึ้นมา
ดังนั้นจะขอให้ ๆ ทุก ๆ องค์นี่ พยายามศึกษาธรรมะให้มันเข้าใจเพิ่มขึ้น เดี๋ยวนี้คุณก็เริ่มศึกษา ต้องศึกษาหลาย ๆ ข้อด้วย หลายอย่างด้วย แล้วมันไม่เข้าใจเต็มหรือสมบูรณ์ตามเรื่องของธรรมะข้อนั้น ๆ เพราะฉะนั้นทำให้ดีไว้ อย่าให้มันเกิดปนกันยุ่ง ให้มันชัดเจนอยู่ แล้วก็เพิ่มความเข้าใจในข้อนั้น ๆ ให้มากขึ้น ๆ ไม่ว่าจะเอ่ยถึงธรรมะข้อไหน ให้เราเข้าใจถูกต้องเต็มตามความหมายของธรรมนั้น ๆ
แล้วมันก็ไม่มากมายอะไร มันมารวมอยู่ที่ตรงนี้ สัมมาทิฏฐิ ถ้าลองมีสัมมาทิฏฐิแล้ว มันก็ดึงกวาดเอามาซึ่งไอ้ธรรมะที่ ๆ จำเป็นอย่างอื่น ๆ ได้หมดเอง มันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ควรจะทำอย่างไร ควรจะทำเมื่อไร ควรจะทำเท่าไร มันเป็นเรื่องของสัมมาทิฏฐิ เลยจำคำสำคัญ ๆ นี้ไว้ มันไม่มีกี่คำ ถ้าเราเข้าใจ มันจะไปหากันหมดแหละ พูดอย่างนั้น พูดอย่างนี้ พูดอย่างนั้น ที่จริงเป็นเรื่องเดียวกัน มันไปหากันหมด และดูจะไปรวมจุดตั้งต้นที่สัมมาทิฏฐิ
รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้ก็คือสัมมาทิฏฐิ รู้ว่ายึดมั่นถือมั่นไม่ได้ นี้ก็คือสัมมาทิฏฐิ หรือว่าสิ่งต่าง ๆ ในโลกเป็นเช่นนี้เองโว้ย อย่าไปนั่งร้องไห้หรือหัวเราะอะไรอยู่ มันก็เป็นสัมมาทิฏฐิ รู้ชนิดที่ถูกต้องตามที่เป็นจริง เห็นหรือเข้าใจหรือเชื่อ ไอ้เชื่อน่ะไว้ทีหลัง ให้เห็น ให้เข้าใจแล้วเห็นแจ้ง เห็นโดยประจักษ์แจ้งอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง แล้วมันเชื่อของมันเอง ถ้ามันเห็นถูกต้อง มันก็เชื่ออย่างถูกต้องเอง ทีนี้มันก็มีการกระทำอย่างถูกต้อง เรื่องมันก็จบได้
มันมีปัญหาที่เถียงกันอยู่ว่า จะศรัท จะมีศรัทธาก่อน หรือมีสัมมาทิฏฐิก่อน หรือจะมีปัญญาก่อน ไอ้เรามันอยู่ในพวกที่ถือว่ามีสัมมาทิฏฐิก่อน มีปัญญามีอะไรก่อน แล้วความเชื่อมันก็เกิดขึ้นตามมา แต่ว่าหัวโบราณหรือว่าไอ้ลัทธิบางลัทธิอื่น ก็มีที่เขา ๆ จะเอาไอ้ศรัทธามาก่อน ให้ตั้งต้นด้วยศรัทธา มันก็ถูกเหมือนกันแหละ มัน ๆ ๆ ก็เป็นศรัทธาคนละความหมาย ศรัทธาตาม ๆ กันมาก่อน แล้วก็มาหาปัญญา มาหาสัมมาทิฏฐิพบ พอพบแล้วก็มีศรัทธาจริงนี่ มีศรัทธาจริง ศรัทธาจากปัญญา
แต่เราจะพูดตามแบบของเราว่า ต้องปัญญา คือสัมมาทิฏฐินั่นแหละก่อน จะเอาความเชื่อโดยคนอื่นบอกคนอื่นแสดงอย่างนี้ มันก็ไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ต้องการด้วย เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วก็ยังไม่เชื่อ ตามหลักของกาลามสูตร ๑๐ ประการ ต้องสร้างไอ้ยถาภูตสัมมัปปัญญา พิจารณาดู เหมือนกับสร้างศรัทธาขึ้นมาเท่าที่มองเห็น ก็ลองดู ลองดูได้ผล ได้ผลดี ก็ค่อยเชื่อ เหมือนอย่างไอ้ตัวอย่าง เหมือนอย่างว่า ฝรั่งเขาเอายามาเสนอขาย จะแก้โรคดีอย่างนั้น ๆ เลย ทีนี้เราจะทำอย่างไร เรามีศรัทธาก่อนหรือว่าเรามีสัมมาทิฏฐิก่อน
เอ่อ, คุณแยกกันเสียให้ออก ถ้าเราเชื่อฝรั่ง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็คือศรัทธาก่อน ซื้อ แต่ถ้าเราไม่เอาอย่างนั้น เราไม่เชื่อก่อน เราซักไซ้ไล่เลียงดูก่อน ซักไซ้ไล่เลียงอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างโน้น จน ๆ ๆ เกิด ๆ สัมมาทิฏฐิขึ้นมาล่ะก็ น่าจะลองดู มันน่าจะลองดูนี่ อย่างนี้มันไม่ใช่ศรัทธาโง่ ๆ ๆ นะ มันมาจากสัมมาทิฏฐิว่า น่าจะลองดู ก็ถามเขาดูว่าเป็นอย่างไร ทำขึ้นมาอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร มันก็เป็นสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่ศรัทธาชนิดงมงาย น่าจะลองดู ก็ลองดูอย่างระมัดระวังว่าได้ผลจึงเชื่อ เชื่อว่ายานี้จะแก้ไอ้โรคร้ายนั้นได้ แล้วต่อไปก็ใช้ ใช้จนเป็นที่เข้าใจคุ้นเคยกัน มันก็รอดตัวไป
ไอ้ยาควินินมัน ๆ ๆ มาในรูปนี้ ยาควินินที่ ๆ เราไม่มี ที่ฝรั่งเขาทำได้ก่อนแล้วมาเสนอขาย ครั้งแรกไม่มีใครกิน ไม่มีใครยอมกิน ขว้างทิ้งหมด แต่ในที่สุดมันมาเป็นที่เข้าใจกันได้ด้วยการลองดู คนที่มีปัญญาลองดู หรือเมื่อนายแพทย์ไทยโบราณเขาก็วินิจฉัย เขาก็ลองดู ยาควินินทีแรก ๆ นี่ถูกเอามาปนกับยาไทยแผนโบราณก่อนนั้น ปนยาเขียวหรือยามหานิลดีกว่า แล้วกินเข้าไป แล้วมันก็ได้ผล ยุคต่อมามันจึงกล้ากินยาควินินล้วน ๆ
มันก็ถูกหาว่าเป็นยาร้ายกาจ กินเข้าไปแล้วร้อนเหมือนกับจะเป็นบ้า มันก็จริงอย่างนั้นแหละ เพราะยานั้นมันต้องการผลอย่างนั้น คือมันแรงกว่าไอ้สมุนไพรธรรมดานั่นเอง เขาก็สกัดออกมาจากสมุนไพรธรรมดาเอาแต่ไอ้ฤทธิ์ยาเข้มข้นของมันออกมาเป็น ๆ ยาควินิน สมัยผมเป็นเด็ก ๆ น้อยคนที่จะกล้ากินยาควินิน เขากลัวร้อนแล้วกลัวตาย และมันก็ร้อนจริงเหมือนกัน กินยาควินินเข้าไป สร้างความร้อนเพื่อทำลายพิษมาลาเรีย ทำลายเชื่อไข้ ไอ้เชื้อไข้นั้นมันต้องทำลายด้วยความร้อน ไอ้ยานี้กินเข้าไปก็เพื่อให้ร้อนเพื่อให้ทำลายพิษไข้
นี่คนไทยเรามันมีหลักอย่างอื่น มันก็ มันก็กลัวสิ กลัวมันร้อนแรงยิ่งกว่าเดิม กลายเป็นยาแอสไพริน มันกินแล้วเย็นสบายนี่ ไอ้คนก็รับเอาได้ง่าย ไอ้ยาควินินกินแล้วร้อน หูอื้อ คนเขาก็กลัว แต่ในที่สุดมันก็รอดได้โดยการสังเกต พิจารณา ทดลองดูนิดหนึ่งก่อน แล้วต่อไปก็คุ้นเคย นี้การที่เราจะเชื่ออะไรมันก็ต้องมีอย่างนั้น เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็ยังต้องการให้เชื่ออย่างนั้น แม้จะมาเชื่อในพระพุทธศาสนานี่ ท่านก็ยังต้องการให้เชื่อโดยปัญญา เอาปัญญามาก่อน
ไอ้กาลามสูตร ๑๐ ข้อนั้น ไม่ ๆ ๆ เสียที คุณจำไว้เถิด อุตส่าห์จำไว้ จะช่วยได้มาก ๑๐ ข้อ อย่าเชื่อเพราะว่าบอกต่อ ๆ ๆ ๆ กันมาตามคำบอก อย่าเชื่อเพราะว่าปฏิบัติ ๆ ตาม ๆ กันมาอย่างปรัมปรา แล้วก็อย่าเชื่อเพราะว่ากำลังลืออยู่กระฉ่อนไปทั้งโลก แล้วก็อย่าเชื่อมันมีอยู่ในปิฏก คำพูดนี้มีอยู่ในปิฏก ยังไม่เชื่อ อย่าเชื่อโดยตรรกะ โดยวิธีทางตรรกะ คือตรรก ตรรกวิทยา อย่าเชื่อโดยวิธีนัย คือวิธีปรัชญา อย่าเชื่อโดยว่าเป็นสามัญสำนึกที่เรา ใคร ๆ ก็นึกกันอย่างนี้
แล้วก็อย่าเชื่อเพราะว่ามันทนต่อการพิสูจน์ของเรานี่ อันนี้ยากมาก ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา เพราะมันทนต่อความคิดความเห็นของเรา คือเราพิสูจน์แล้วมันทนต่อการพิสูจน์ของเรา เราก็ต้องเชื่อ อย่างนี้ไม่น่าจะห้ามนะ แต่พระพุทธเจ้าก็มีห้าม ก็อย่าเพ่ออีกนั่นแหละ อย่าเพ่อ ให้มันมากกว่านั้น เพราะว่าเราเป็นคนโง่ก็ได้ ที่เราเหมือนคนเป็นคนโง่ นั่นแหละคำพูดนั้นมาเข้ากับความโง่ของเรา แล้วเราก็เชื่อ อย่างนี้ก็ไม่ได้ อย่าเชื่อเพราะมันทนต่อการพิสูจน์ด้วยทิฏฐิของเรา
แล้วก็อย่าเชื่อโดยว่าผู้พูดนั้นมันอยู่ในสถานะที่น่าเชื่อ รู้ดีเกินเหตุ เอ้า, แล้วข้อสุดท้ายว่า อย่าเชื่อเพราะว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา มา สมโณ โน ครุ ซึ่งหมายถึงพระพุทธเจ้าเองก็ได้ เมื่อพระพุทธเจ้าพูดนั่น เราอย่าเชื่อว่าพระสมณะนี้ คือพระพุทธเจ้านี้เป็นครูของเรา เราต้องไปแตะต้องไอ้ ๆ สิ่งที่ตรัสออกมาหรือที่สอนมาเข้ามานั้นน่ะ ให้มันชัดเจนละเอียดแจ่มแจ้งด้วยสัมมัปปัญญา จนเห็นว่าน่าจะลองดู
ไม่มีศาสนาไหนให้ ๆ เสรีภาพ ให้อิสรภาพมากเหมือนกับพุทธศาสนา ก็ที่ตรงนี้แหละ ไม่ต้องเชื่อเพราะผู้นี้เป็นศาสดาของข้าพเจ้า ศาสนาอื่น ๆ เขาเน้นให้เชื่อว่า เป็นศาสดาของเรา เราต้องเชื่อ มีแต่พุทธศาสนา อย่าเชื่อเพราะว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา หรือสมณะนี้ดูน่าเชื่อ หรือคำพูดของท่านทนต่อความคิด ความเห็นของเรา หรือมันเข้ากันได้กับสามัญสำนึก หรือมันถูกตามวิธีการอนุมานทางปรัชญา
คนโบราณเขาไม่มีคำว่าปรัชญาปรัชเญออะไรใช้ แต่เขามีวิธีคิดนึกอย่างหนึ่ง คือวิธีปรัชญาอย่างปัจจุบัน เขาเรียกมันว่านัย วิธีการแห่งนัย แล้วก็คำนวณด้วยเหตุผลของทางตรรกก็มี เขาเรียกว่าตรรกะเหมือนกัน ตรรกะมาแต่เดิม คำนี้ยืม ๆ คำเขา ยืมคำเดิมเขามาใช้ อย่าเชื่อเพราะมัน ข้อความนี้มันมีอยู่ในปิฏก แม้พระไตรปิฏกนี้ก็เรียกว่าปิฏก คำว่าปิฏกแปลว่าตำรา อย่าเชื่อเพราะมันลือกันกระฉ่อน เชื่อกันทั้งโลก อย่าเชื่อเพราะเขาทำตาม ๆ ๆ กันมาอย่างนี้ อย่าเชื่อเพราะว่าเขาบอกต่อ ๆ กันมา บอกต่อ ๆ กันมาว่าอย่างนี้ รวมกันเป็น ๑๐ ข้อ
นี้เป็นเครื่องกรองพุทธ เอ่อ, กรองธรรมะ กรองพุทธศาสนา จำบาลีไม่ได้ก็จำไทยให้ได้ก็ได้ มา อนุสฺสเวน นี่เชื่อเพราะพูดบอกต่อ ๆ กัน มา ปรมฺปราย เพราะทำตาม ๆ กันมา อิติกิริยาย เพราะว่าลือกันกระฉ่อน ปิฏกสมฺปทาเนน เพราะมันมีอ้างอยู่ในปิฏก นยเหตุ โดยเหตุ เอ่อ, ตกฺกเหตุ นยเหตุ โดยตรรกะ โดยนัย อาการปริวิตกฺเกน นี่คือว่าตามอาการตามสามัญสำนึก ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา เพราะมันทนได้กับความเห็นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีความเห็นอย่างไร พิสูจน์อย่างไร มันก็ทนได้ต่อความเห็นของข้าพเจ้า ก็ยังไม่เอา แล้วก็ ภพฺพรูปตาย ผู้พูดมี ๆ ลักษณะน่าเชื่อ สมโณ โน ครูติ สมณะนี้เป็นครูของข้าพเจ้า
เอ้า, มีปัญหาอะไรอีก
ผู้ถาม : ใน ๆ ฐานะที่ศาสนาเป็นสถาบันหนึ่งของประเทศชาติ เอ่อ, กระผมอยากจะทราบว่า ในภาวะที่สังคมของประเทศเรา ที่เรียกว่าระบบมือใครยาวสาวได้สาวเอานั้น กิจของสงฆ์ควรจะมีอย่างไรบ้าง นอกเหนือจากการเจริญภาวนาหรือการกระทำตนตามระเบียบวินัยต่าง ๆ ซึ่งในการเจริญภาวนานั้น กระผมเห็นว่าเป็นวิธีการที่ได้ผลช้าและไม่ทันกับการที่จะเอาชนะกับความเลวร้ายทั้งหลาย และที่สำคัญคือ ผมเห็นว่าเป็นการเอาตัวรอดเฉพาะตนของพระสงฆ์องค์นั้น ๆ
อาจารย์ : คือคน เอ่อ, คือว่าคนปัจจุบันนี้ถือลัทธิมือใครยาวสาวเอาอย่างเต็มที่ คือนี่เราเข้าใจนะ เราต้องการจะให้ ต้องการจะเอาชนะอะไร
ผู้ถาม : เอาชนะความเลวร้ายที่เกิดจากระบบอันนี้
อาจารย์ : อืม, ไอ้ความเลวร้ายของสังคมหรือระบบอันนี้ ทีนี้เราจะมาถือศีลถือธรรม มาบวชมาปฏิบัติธรรมะอยู่ มันจะแก้ได้อย่างไร มันจะทันกันไหม ดูเถิด ดูให้ดีคุณ ๆ จะพูดไขว้กันหรือว่าขัดกันเองอยู่ ไอ้ที่มาบวช มาศึกษาธรรมะปฏิบัติธรรมะ นั่นแหละคือเพื่อหาวิธี มาบวชนี่มาเพื่อหาวิธีจะแก้ปัญหาทั้งของเราและของผู้อื่น
ถ้าเราไม่ต้องมาบวช เราจะแก้ปัญหาได้ ก็เอาสิ ก็ทำได้เลย ก็ควรจะทำได้เลย แต่กลัวว่าเราจะไม่มีไอ้ความรู้เพียงพอที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ เพราะฉะนั้นจะต้องมาหาเวลาหาโอกาสศึกษาค้นคว้า จะแก้ปัญหาของโลกได้ แต่ถ้ามาบวชแล้วก็สบาย ก็ไม่ ๆ คิดไม่นึก ไม่ค้นคว้าไม่ศึกษา มันก็ไม่พบเหมือนกันแหละ แก้ไม่ได้
คำว่ามาบวชนี้ ต้องบวชกันจริง ๆ พยายามศึกษาไอ้สิ่งที่มันเป็นปัญหาของมนุษย์โดยทั่วไปก่อน แล้วก็ปัญหาของสังคมหรือของไอ้ตัวศัตรูอุปสรรคโดยเฉพาะนี่ ถ้าเราจะศึกษาแก้ปัญหาโดยการปะทะเผชิญหน้ากับศัตรูหรือปัญหาไปพลาง มันก็เป็นวิธีการอันหนึ่งเหมือนกัน ก็เดี๋ยว ๆ นี้เราเห็นว่า ไอ้อย่างนั้นไม่ ๆ ๆ ปลอดภัยหรือหวังได้ยาก จึงได้หลีกมา ๆ บวชนี่ มาปฏิบัติธรรมะนี่ เพื่อแก้ปัญหาส่วนตัวผู้นั้น เอาชนะผู้นั้นให้ได้เสียก่อน ถึงจะมีปัญญามีความรู้ไปชนะผู้อื่นได้
เพราะว่าถ้าเรามาบวชจริงเรียนจริงนี้ เราจะรู้ข้อความจริงอัน ๆ สำคัญที่สุดอันหนึ่งคือ เอ่อ, คือต้นเหตุที่ว่า ทำไมไอ้คนเลว ๆ อย่างนั้น มันจึงทำอย่างนั้น ทำไมศัตรูสังคม มันจึงได้ทำตนเป็นศัตรูสังคม เพราะเหตุอะไร เรามาค้นพบเมื่อมา ๆ ทำความเพียร มาศึกษาทางจิตใจจึงพบ ทีนี้ก็ออกไปแก้ปัญหานั้นได้
เช่นเดี๋ยวนี้เมื่อเรามาศึกษาแล้ว เราก็รู้ว่า เอ้า, กิเลสเป็นอย่างนั้น เป็นธรรมดาอย่างนั้น ครอบงำใครเข้าแล้วมันต้องทำอย่างนั้น แล้วมันจึงเกิดศัตรูสังคมขึ้นมา ก็คือกิเลสทั้งหลายนั่นเอง เรามารู้เรื่องกิเลสทั้งหลายให้ จะเอาชนะมันได้ ทีนี้ก็ ๆ ชนะกิเลสของตัวได้ ก็ชนะกิเลสของผู้อื่นได้ เอ่อ, มันคงจะคุ้มกัน แต่มัน ๆ จำเป็นที่ว่า ต้องชนะไอ้ของตัวนี้ให้ได้เสียก่อน จึงจะไปชนะของผู้อื่นได้
การทำอย่างนี้ คุณมองเอาเองเถิดว่า มันเป็นการเห็นแก่ตัวหรือไม่ มีคนพูดว่า แม้แต่พระพุทธเจ้าออกไปบวชนั้นก็เป็นการเห็นแก่ตัว แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเห็นแก่สัตว์ทั้งหลาย ทั้งเทวดาและมนุษย์ มหาชนทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ทั้งเทวดาและมนุษย์ เพราะการบวชของท่านเป็นประโยชน์ การตรัสรู้ของท่านเป็นประโชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์ ดังนั้นการที่พระพุทธเจ้าออกไปเป็นพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว
ทีนี้เราสาวกของพระพุทธเจ้า มันก็เหมือนกันแหละ ถ้าเราไปทำตามนั้น จะไม่ใช่ลักษณะแห่งการเห็นแก่ตัว มันเป็นการช่วยตัวให้รอดก่อน สำหรับจะไปช่วยผู้อื่นได้สำเร็จ เมื่อตัวเองก็ยังช่วยไม่ได้ มันก็ช่วยคนอื่นไม่สำเร็จ บางทีเขาพูดไว้อย่างเอาเปรียบถึงขนาดว่า เพียงแต่ทำให้เป็นพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลกเท่านั้นแหละ ไม่ต้อง ไม่ต้องไปช่วยอะไรกันโดยไม้โดยมืออะไรมากนัก มันก็เป็นการช่วยอย่างยิ่ง คือพระอรหันต์อยู่สำหรับเป็นตัวอย่าง อย่างนี้ก็ถือเป็นการช่วยโลกถึงที่สุดแล้ว
แต่เมื่อเขามองผิวเผินก็ว่า พระอรหันต์อยู่นิ่ง ๆ กินข้าวของชาวบ้านทุกวัน เอาเปรียบเห็นแก่ตัว นั่นมันก็เป็นเรื่องของคนที่มองไม่เป็นมองไม่เห็น คนโบราณเขาตีค่าของพระอรหันต์ คือผู้ที่สำเร็จแล้ว ไว้มากถึงกับว่า เพียงแต่ได้เห็นนั้นน่ะพอ สิ่งต่าง ๆ จะเป็นไปดี มีพระอรหันต์ไว้ในโลกให้ได้ดูได้เห็นเท่านั้นน่ะพอ แล้วไม่ใช่เห็นแก่ตัว พระอรหันต์ไม่ใช่ผู้เห็นแก่ตัว คือมีอยู่สำหรับให้มนุษย์ได้เห็น โลกนี้ก็จะเดินไปถูกทาง แต่มันก็ต้องพูดกันบ้างแหละ มันคงจะไม่ใช่ว่าเพียงแต่เห็นอย่างเดียว
การศึกษาสมัยใหม่ โดยแฉพาะของพวกฝรั่ง เขามองเข้าไปไม่ถึงสุดโน้น เขาก็ไปหยุดอยู่แค่ เอ้า, นี่เป็นเห็นแก่ตัว เอาประโยชน์แก่ตัว เอาความสบายส่วนตัว มันก็มีมากเหมือนกัน ทีนี้คนไทยเราไปเรียนมาอย่างฝรั่ง เรียนจากฝรั่ง ก็พลอยเห็นอย่างนั้นไปด้วย ก็เป็นธรรมดา
พระพุทธเจ้าพยายามเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อจะแก้ปัญหาของมนุษย์ทั้งหมด เรื่องกิเลส เรื่องความทุกข์ มันลึกลับ มันต้องตั้งพิธีศึกษาค้นคว้ากันเป็นการใหญ่จนกว่าจะพบ พบแล้วก็แจกความรู้อันนี้ ให้ทุกคนเอาชนะกิเลสได้ ดังนั้นไม่ควรจะถือว่าเป็นการเห็นแก่ตัว หรือคุณจะเห็นอย่างไรอีกก็ได้ คุณลอง คุณลองว่ามาสิ ซักก็ได้
ผู้ถาม : เอ่อ, ในการ ในการที่ผมเห็นว่า เอ่อ, มันช้าและไม่ทันกับการที่เอาชนะสิ่งเลวร้ายนั้น เปรียบเหมือนว่า เรามือเปล่าแล้วอีกฝ่ายหนึ่งมีอาวุธในมือ ซึ่งแน่นอนเราย่อมตกเป็นเบี้ยล่างในการที่จะถึงแก่ความตาย ทำให้โอกาสที่เราจะทำความเจริญก็ดีหรืออะไรก็ดีนี่ หมดไปอย่างน่าเสียดาย และอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งเรามักจะเห็นจากตัวอย่างในหน้าหนังสือพิมพพ์ก็ดี หรือที่ไหนหลาย ๆ แห่งก็ดีที่ว่า พระสงฆ์ที่ไม่ทำตนให้สมกับเป็นอยู่ในสมณเพศนั้น มีส่วนบ่อนทำลายความศรัทธาของประชาชนในศาสนาเป็นอย่างมาก จึงอยากกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า พระสงฆ์ควรจะ เอ่อ, นอก เอ่อ, คือไม่ใช่ว่าจะต้องปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเดียว ควรจะมีกิจอย่างใดซึ่งเป็นการสร้างศรัทธาให้แก่ประชาชนยิ่ง ๆ ขึ้น
อาจารย์ : เอ้า, ก็มีอยู่แล้วอย่างนั้น ไม่ต้องนั่นน่ะ พระสงฆ์อยู่ในระเบียบวินัยของพระสงฆ์ ก็เป็นการทำให้เกิดศรัทธา มีคนเชื่อไว้ใจนับถือพระสงฆ์ ไอ้ที่คุณว่ามันช้าเกินไป ถ้า ๆ คุณมีวิธีไหนที่เร็วกว่า ก็เอาสิ ก็ลองดู เราไม่ ๆ ใช่มีหลักการว่าจะต้องไปผสมโรงสร้างความก้าวหน้าทางวัตถุนะ ต้องมองดูกันข้อนี้นะ เดี๋ยวนี้เราพระสงฆ์นี่ กลายเป็นว่าจะมีหน้าที่ป้องกันอันตรายพิษภัยที่จะเกิดจากความก้าวหน้าทางวัตถุมากกว่า
อันนี้ผมขอฝากไว้ด้วยว่า ปัญหามันมีอยู่ว่า ไอ้โลกนี้มันจะวินาศเพราะความก้าวหน้าทางวัตถุที่มันมากเกินไป นับตั้งแต่ว่าไอ้ความก้าวหน้าทางวัตถุนี่ ทำให้คนเห็นแก่ตัว จนร่ำรวย จนเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งร่ำรวย ทีนี้ไอ้ที่มัน ๆ ก้าวไม่ทัน คือมันก้าวไม่ได้ มันก็เป็นโรคประสาทอยู่แยะ เป็นโรคจิต เป็นโรคประสาท นอนไม่หลับอยู่แยะ ไอ้ ๆ โทษของความก้าวหน้าทางวัตถุ ไอ้ส่วนหนึ่งทำให้นายทุนเห็นแก่ตัวไป เอ้า, ไว้อีกเรื่องหนึ่งปัญหาใหญ่
ทีนี้เรื่องหนึ่งก็ทำให้คนจนนี่ นอนไม่หลับ เป็นโรคประสาท ความกดดันที่มันไม่ได้เหมือนกับที่เขาได้กัน เหมือนกับที่พวกเศรษฐีเขาได้กัน นี้ก็เป็นปัญ เป็นอันตรายเกิดมาจากความก้าวหน้าทางวัตถุ ทีนี้พวกอันธพาลทั้งหลาย เกลื่อนบ้านเกลื่อนเมืองมากยิ่งขึ้นทุกที นี่ก็เพราะไอ้ความก้าวหน้าทางวัตถุเป็นเหตุบันดาลใจ ไอ้พวกอันธพาลเหล่านั้น อยากจะกินดี อยากอร่อย อยากสวยงามอย่าง อยากให้มันสมกับที่มันความมี ๆ ความก้าวหน้าทางวัตถุ
เมื่อเอาโดยตรงไม่ได้ หาไม่ได้ ก็ต้องเป็นอันธพาลจี้ปล้นเอามา เอาปัจจัยมาแสวงหาความเอร็ดอร่อยจากวัตถุที่มันก้าวหน้า ทีนี้มันก็เลยเถิดไปจนถึงว่า เอ่อ, บ้าเลย ข่มขื่นแล้วฆ่านี้ มันมีความหมายอะไร มันไม่ได้ต้องการแต่เพียงไอ้ความอร่อยอย่างเดียว มันต้องการจะเบ่งจะอะไรเตลิดเปิดเปิงไป เป็นอันธพาลขนาดข่มขืนแล้วฆ่า มีสิ่งกระตุ้นใจมาจากความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ สร้างขึ้น เพิ่มขึ้น
เมื่อเห็นว่าไอ้ความก้าวหน้าทางวัตถุที่ไม่มีขอบเขตอย่างนี้ มันเป็นอันตรายอย่างยิ่งแก่มนุษย์ มันก็ตกเป็นหน้าที่ของนักบวชในศาสนานี่ ช่วยกันคุ้มครองป้องกัน โดยมีศีลธรรม เอ่อ, โดยมี ๆ ๆ ศีลธรรมเข้ามาว่า อย่าไปหลงไอ้วัตถุก้าวหน้า หรือว่าอย่าไปหลงวัตถุก้าวหน้าจนต้องออกไปปล้นไปจี้ไปขโมยเขา มัน ๆ ไม่ถูกต้อง
เดี๋ยวนี้พระสงฆ์มีความ เอ่อ, มันมีความจำเป็นที่จะมีพระสงฆ์เพื่อจะแก้ปัญหาให้อย่างนี้มากกว่า เพราะว่าโลกกำลังจะก้าวหน้าทางวัตถุยิ่ง ๆ ขึ้นไปทุกวัน เราอย่าไปคิดว่าพุทธบริษัทจะก้าวไม่ทันเขา ไอ้ก้าวอย่างนั้นเราไม่ต้องการ เรากลายเป็นต้องระวังตัวระวังอันตราย ที่จะเกิดขึ้นจากความก้าวหน้าทางวัตถุกันเลย ดังนั้นไอ้คำสั้น ๆ นี้ คุณจำไปคิดต่อไปก็ได้ว่า ไอ้ความก้าวหน้าทางวัตถุนี่เป็นต้นเหตุเป็นปัจจัยแห่งความเลวร้ายทั้งหลายในโลก
ความเลวร้ายทั้งหลายในโลกน่ะ เลวร้ายที่บุคคลก็ดี เลวร้ายที่สังคมก็ดี ไอ้เลวร้ายที่โลกทั้งโลกก็ดี มันมาจากไอ้ ๆ ๆ ความก้าวหน้าทางวัตถุที่ ๆ ผิดพลาด ที่ไม่ ๆ อาจจะควบคุม ไอ้พวกที่มันต้องการจะครองโลก มันก็ต้องการวัตถุในโลกเพื่อประโยชน์แก่การก้าวหน้าหรือความสมบูรณ์อะไรของเขา มันก็แย่งกันครองโลก เป็นเรื่องมีวัตถุสำหรับก้าวหน้าให้มาก แล้วมันก็ก้าวหน้ามาก ความก้าวหน้าทางวัตถุนับตั้งแต่ไอ้ก้าวหน้าทางปรมาณู ทางอวกาศ ทางคอมพิวเตอร์ ทางพลังนิวเคลียร์อะไรก็ตาม
นี้เราคอยดูเถิด มันไปที่ไหน มันไปจบที่ไหน ไอ้ความก้าวหน้านั้นมัน ไม่เห็นว่ามันสร้างสันติภาพเลยแม้แต่นิดเดียว มันสร้างความยุ่งยากเพิ่มขึ้น แล้วมันจะจบลงด้วยการทำโลกให้วินาศแหลกลาญไปเลย นี่ไปโลกพระจันทร์ได้ด้วยก้าวหน้าทางอวกาศ ก้าวหน้าทางพลังนิวเคลียร์ ทาง มันก็ทำอะไรกันมาก ๆ ๆ ๆ รุนแรงกว่านั่น กว่าธรรมชาติมาก ๆ ๆ แล้วมันไปจบลงด้วยการทำลายเบียดเบียนกัน
เราอย่าไปผสมโรงให้มัน แล้วอย่าไปคิดว่าเราไม่ก้าวหน้า เราถอยหลังจะดีกว่า แล้วยังมีหน้าที่ต้องระวังอย่าให้อันตรายนั้นมาถึงเราด้วย แล้วถ้ามันป้องกันไม่ได้ มาถึงเรา เราก็ไม่เป็นทุกข์ เราก็ตายอย่างพุทธบริษัท ไม่มีความทุกข์ ดังนั้นเตรียมไว้สิ เตรียมตายอย่างพุทธบริษัทโดยไม่ต้องมีความทุกข์ ถ้าว่าอะไรปัจ ในเร็ว ๆ นี้ มันเกิดล้างโลกด้วย ๆ ปรมาณูด้วยอะไรขึ้นมา
เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ ของเรากำลังเป็นทาสของความก้าวหน้าทางวัตถุ คุณไปดูเองเถิด ไอ้วัยรุ่นของเรากำลังเป็นทาสของความก้าวหน้าทางวัตถุ แล้วเขาสร้างปัญหามากเหลือเกิน พร้อมที่จะออกไปเป็นอันธพาล จบไอ้มัธยมศึกษาปีหนึ่งห้าแสนเศษ เห็น ๆ ประกาศสถิติ ปีหนึ่งห้าแสนคนเศษ มีเศษ แล้วเศษนิดหน่อยที่จะได้เรียนมหาวิทยาลัย เป็นอะไรต่อไปได้ ไอ้ห้าแสนคนนี้มันจะทำอะไร ไอ้วัยรุ่นห้าแสนคนที่มันเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้นี่ มันจะสร้างปัญหา
ก็ไปสังเกตดูเถิด ไอ้วัยรุ่นอันธพาลที่ตำรวจจับมาในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวัน ๆ นี่มันก็วัยรุ่นที่ผ่านไอ้มัธยมศึกษาอะไรมาแล้ว มันปล่อยไปตามความต้องการของกิเลส แล้วมันทำอะไรอย่างน่าเกลียดน่าชัง โรงเรียนสอนแต่หนังสือกับอาชีพ ไม่สอนศีลธรรม ดังนั้นวัยรุ่นของเราก็ไม่มีธรรม ไม่มีศีลธรรม ไม่รู้ว่าแม่คืออะไร ไอ้เด็ก ๆ ที่เรียนจบมัธยม กระทั่งอุดมก็แล้ว ไม่รู้ว่าแม่คืออะไร ไม่ได้รักแม่ ทำให้แม่น้ำตาไหลเสมอ บางคนอาจจะถึงกับว่าไปเรียนเมืองนอกเมืองนา จบกลับมาแล้วยังทำให้แม่น้ำตาไหล ซึ่งไม่รู้ว่าแม่คืออะไร
นักเรียนชั้น ๆ ๆ มัธยม นักเรียนโตชั้นสูง ๆ นี่ ไปกินอาหารไปกินเครื่องดื่มที่ร้านเขา แล้วไม่จ่ายสตางค์ กลับไปเฉย ๆ คือ เอ่อ, เป็นอันธพาลนี้ จับ มันมากขึ้น คุณคงจะไม่เชื่อว่า อะไรมีแล้ว หรือคุณก็ได้ข่าวเหมือนกัน ผมก็ได้ข่าวมากขึ้น ไอ้นักเรียนมัธยมปลายนี้ แห่กันไปกินเครื่องดื่มกินอาหาร แล้วไม่ใช้เงินมากขึ้น
นักเรียนหญิงหายไป โรงเรียนนั้นนะ อย่าออกชื่อนะ โดยเฉลี่ยได้แล้วเดือนละคน ๆ ไม่ใช่หายไปบ้าน หายไปกับแฟนเด็กนักเรียนชาย หายไปจากโรงเรียน นี่ความที่มันไม่เคยมี มันได้มีแล้ว มันได้มีขึ้นมาแล้ว เพราะการศึกษามันไม่มีธรรมะ แล้วเมื่อเร็ว ๆ นี้ ไอ้นักเรียนหญิงไอ้ที่มันมีปมด้อย รูปร่างก็ไม่ค่อยสวย แล้วเรียนก็เลว มันลงทุนจ้างวานอะไรเขาให้ ๆ เด็กนักเรียนชาย ฉุดไอ้นักเรียนหญิงที่เรียนดีรูปร่างสวย ไปข่มขืนให้วินาศให้ฉิบหายไปนั้นน่ะ นี่งงเลยคุณ คุณเคยได้ยินไหม ไม่เชื่อว่ามันจะมีได้ แต่มันได้มีแล้วนะ มันได้มีแล้ว นี่การศึกษา ดูการศึกษาของเด็ก ๆ สมัยนี้
แล้วคุณ ๆ เดินทางด้วยรถไฟนี้ คุณสังเกตดูว่า ไอ้นักเรียนวัยรุ่นในเครื่องแบบนักเรียน มันไล่จับไล่กอดไล่จูบกันในรถชั้นสามที่มีพระนั่งอยู่ เขาก็มีนะ ไอ้ชาวบ้านนี้เรียกว่าก็ไม่เท่าไรนะ ชาวบ้านนั่งอยู่ มันก็ไม่ต้องเกรงใจ มีพระนั่งอยู่ก็มี วันหนึ่งถูกปล้ำกันนี่ ตามประสาวัยรุ่นนักเรียนในเครื่องแบบ ในรถไฟ ไม่เคยพบบ้างเหรอ คุณคอยดูต่อไป นี่ผมไปเห็นมากับตาเอง แล้วก็คนมาบอกเรื่อย คนมาบอกเรื่อย บอกอย่างนี้ บอกว่าไม่ต้องบอก ฉันเห็นแล้ว ฉันเคยเห็นแล้ว
ที่โรงเรียนกสิกรรม เห็นทำ เอ่อ, ไม่ ๆ ใช่เชิงกสิกรรม แต่วิชากสิกรรมในโรงเรียนนั้นมีด้วย เอ่อ, เขาทำสวนครัว ทำร่องปลูกสวนครัว แล้วเขาให้คะแนนกันบ้าง เขาประกวดระหว่างอำเภอบ้าง อะไรบ้าง มันก็มีผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ชั้นไอ้รองผู้ว่าการจังหวัดเลย หรือผู้ใหญ่ระดับนี้ไป ๆ ร่วมตรวจด้วย เพื่อเป็นพยานเพื่อเป็นเกียรติเพื่อ เอ่อ, ทีนี้ไอ้ ๆ ๆ ๆ ของนักเรียนคนหนึ่ง มันทำคด ๆ ร่องก็คด แถวก็คด ไอ้ผู้ที่ไปดูนี่ ไปตรวจนี่ แถวนี้ทำไมทำคดเล่า คนถามพาซื่อ
ไอ้เด็กเจ้าของร่องมันบอก คดก็ไม่เป็นไร ขึ้นงามก็แล้วกัน ว่าอย่างนี้ พูดสาดใส่หน้าผู้ใหญ่ไปตรวจไปดูไปเพื่อจะให้คะแนนนิยม คดเคิดก็ไม่เป็นไร มันขึ้นงามก็แล้วกัน มันหยาบคายถึงอย่างนี้ ไอ้ส่วนที่มันหยาบคายนั้น มันก็หยาบไปแล้ว แล้วส่วนที่มันเลว ไม่รู้จักสวยงาม ไม่รู้จักระเบียบ ไม่รู้จักเรียบร้อย ไม่รู้จักตรง ไม่รู้จักคดน่ะ มันเลวไปอีก ๆ ทีหนึ่ง นี่การศึกษาที่ให้กันแต่หนังสือกับอาชีพ มันเป็นอย่างนี้ มันไม่มีเคารพผู้ที่ควรจะเคารพ แล้วมันยังไม่รู้จักรักสวยรักงามรักตรงรักไอ้อะไรอีก ดังนั้นเด็ก ๆ ของเรากำลังจะสร้างปัญหาที่มากกว่าปัจจุบันนี้อีกมากมายหลาย เอ่อ, จะแก้กันอย่างไร
ผู้ถาม : อย่างกรณีที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างมา ผมเคยได้ยินคำพูดอันหนึ่ง ซึ่งสมัยพวกวัยรุ่นนิยมไว้ผมยาว เขาก็มีข้อแย้งว่า อะไรจะสำคัญกว่า ระหว่างความยาวของผมกับสิ่งที่คิดในสมองของคนคนนั้น คือเราจะมัวไปติดอยู่แต่กับเปลือกโดยเราไม่คำนึงถึงแก่น
อาจารย์ : ถูกแล้ว ผมก็เคยโต้กันกับไอ้พวกผมยาวเมื่อหลายปีมาแล้ว เมื่อ ๆ แรกมีไอ้ผมยาว และถ้า ๆ ว่าคุณมีผมสั้นเรียบร้อยแล้วไม่ดีกว่าเหรอ ไม่ลำบากยุ่งยาก ไม่ทำให้เพื่อนมนุษย์เขาเสียเวลาที่จะคอยสังเกตสังกาว่า ไอ้นี้มันบ้าหรือดี เขาเสียเวลามากเหลือเกินที่จะคอยดู ไอ้ผมยาวนี้มันบ้าหรือดี นี่เราก็ทำแรงงานของประเทศให้เสียไปเปล่า ๆ เขาเสียเวลาไปเปล่า ๆ ต้องมาคอยดูว่า ไอ้นี่มันบ้าหรือมันดี ดังนั้นไม่ควรจะมีให้มันเสียเวลา แล้วมันมีประโยชน์อะไรกับคุณ มันรักษาก็ลำบาก มันเหม็นสาบเหม็นสาง มัน เด็กเห็นเข้ามันก็ยังสงสัยว่านี่บ้าหรือดี คนนั้นเป็นหม่อมราชวงศ์ด้วย ไอ้ผมยาวคนนั้นน่ะ
แต่มันก็น่า ๆ ชื่นใจที่ว่า เดี๋ยวนี้ที่ ๆ ทางต้นตอมันเลิกไปหมดแล้ว มีคนมาบอกอย่างนี้ ที่อเมริกามันก็เลิก เห็นด้วยกับฮิบปี้ผมยาว ในยุโรปมันก็เลิกฮิปปี้ผมยาว มันเป็นที่รังเกียจของประชาชนเขา มันถูกกว่าที่จะตัดผมให้เรียบร้อย สะอาดกว่า อะไรกว่า เรียบร้อยกว่า แล้วไม่เป็น ไม่ทำให้เด็กมันสงสัยว่า นี่บ้าหรือดี เสรีภาพแบบนั้นน่ะ มัน ๆ เป็นเสรีภาพของ ๆ ความโง่ เสรีภาพของความโง่ที่มันจะโง่ เสรีภาพของความหลงที่มันจะหลง มันจะประมาท มันไม่ใช่เสรีภาพโดยธรรมะ
เรามีหัวสมองฉลาดก็ถูกแล้ว แต่อย่ามาสร้างเปลือกหัวให้มันยุ่งจนคนเขาพลอยลำบากด้วย ผมไม่เชื่อว่ามันจะรักษาได้สะอาดเหมือนกับผมสั้น ๆ มันต้องมีกลิ่นมีอะไรชนิดที่น่ารังเกียจ ก็ไม่เห็นว่ามันจะช่วยคอยรักษาผมให้สะอาด แม้แต่หนวดคางที่มันมีเครามาก ๆ ยาว ๆ นี่ ผมยัง ๆ ไม่เห็นด้วย เกือบจะถามฝรั่งที่มันมาที่นี่ นี่คุณได้ประโยชน์อะไรจากเครานี้ แต่เดี๋ยวมันจะโกรธเอาหรือว่ามันจะหาว่าเราหยายคาย ไม่เคย ไม่ได้ถาม แต่อยากจะถามที่สุด
ไม่เข้าใจว่าทำไม คุณได้ประโยชน์อะไรจากไอ้เคราที่เป็นแผ่ออกมาถึงนี่ ได้ประโยชน์อะไร เราเห็นเป็นไอ้ลำบากเรื่องการรักษา จะกินอาหารหรือจะทำอะไร ก็ต้องระมัดระวัง อย่าให้มันไปติดอยู่ในนั้น แล้วมันก็ต้องเสียเวลาล้าง เรื่องสัมมาทิฏฐิก็แล้วกัน ถ้าสัมมาทิฏฐิมันช่วยให้เป็นอย่างนั้น ก็ถูกแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่สัมมาทิฏฐิจะนำไปในทางทำตัวเองให้ลำบาก ทำผู้อื่นให้พลอยลำบาก ทำผู้อื่นให้พลอยยุ่งยาก บอกเขาเสียเวลามากที่จะคอยดูว่า คุณนี้บ้าหรือดี ก็เลยนิ่ง
ถ้าคุณทำให้คนอื่นเสียเวลาโดยจำเป็น ยมบาลเล่นงานคุณตาย ก็ตามให้เขายกไปเป็นความกับยมบาล ทำให้เพื่อนมนุษย์เป็นเสียเวลาเสียประโยชน์ มันเป็นความคิดอุตริชั่วแล่น เดี๋ยวนี้มันกำลังหายไปนะ Mrs. Stanton เขามาที่นี่ เขาก็เล่าให้ผมฟังว่า อย่า ๆ ๆ ดูถูกพวกดิฉันนักเลย เดี๋ยวนี้ที่เขาเลิกกันแล้ว เขาเลิกกันแล้ว ที่อเมริกาเขาเลิกกันไป เลิกผมยาวแล้ว นี่มีคนมาจากยุโรปก็มาพูดอย่างนี้นะ ในยุโรปก็เลิก ๆ ๆ ผมยาว หวีผมเรียบร้อยกันนะ ไปโบสถ์ไปวัดกันแล้ว ที่เคยด่าพระเจ้า กลับจะไปหาพระเจ้าแล้ว เพราะเขาเริ่มรู้จักเริ่มเข้าใจก็ พระเจ้านั้นคืออะไร
ไก่ตัวหนึ่งมันเป็นโรคอะไรไม่รู้ มันเป็นไข่อ่อน ๆ หล่นลงมาเรื่อย มีอยู่ตัวเดียว ไอ้ไข่อ่อน ๆ คล้ายไข่เต่าหล่นตกมาเรื่อย ลงในน้ำบ้างก็มี มัน ๆ ขาดอาหารหรือมันขาดอะไร เป็นตัวที่เราต้องการจะไว้ดูเอาพันธุ์ เราเรียกไก่ดำ ไก่แจ้ดำสนิท มันมีแต่ตัวเมีย แล้วมันไข่อย่างนี้ มันไม่ได้ไอ้ตัวลูก ไอ้ที่เอามาดู ดังนั้นเราไม่ต้องบังคับให้ใครเชื่อเรา หรือก็เราก็ไม่ต้องเชื่อใคร ให้สัมมาทิฏฐิที่แท้จริงมันนำไป ๆ
เราพิสูจน์ด้วยความมีประโยชน์หรือสันติภาพ พิสูจน์ความถูกต้อง เอ่อ, ความผิดหรือความถูกอย่างอื่นไม่ได้ พิสูจน์ทางปรัชญา อย่างนั้นเรียกว่าถูก อย่างนี้เรียกว่าผิด ก็ไม่ ๆ ได้ ต้องพิสูจน์ด้วยความจริงว่า มันเกิดประโยชน์อันแท้จริง นั้นน่ะคือถูก ความคิด ความนึก การกระทำ อยู่ที่ว่าผิดหรือถูก ให้ ๆ เอาความมีประโยชน์ที่แท้จริง เป็นเครื่องตัดสินว่ามันผิดหรือถูก อย่าเอาโดยหลักปรัชญา อย่างนั้นต้องถือว่าถูก อย่างนั้นต้องถือว่าผิดนี้ ไม่ได้ หรือความนิยมของคนก็ไม่ได้ เพราะกิเลสของคนมันต่าง ๆ กันมาก ถ้ามันทำให้โลกนี้มีสันติภาพได้นั้น ถูก ดังนั้นเขาควรจะวิจัยศาสนาทุก ๆ ศาสนากันเสียใหม่ให้ดี ๆ ว่า มันจะทำให้โลกนี้สันติภาพได้ไหม
เดี๋ยวนี้ถูก ๆ หาว่า สัน เอ่อ, ศาสนานี้นี่ถ่วงความเจริญบ้าง ไม่มีประโยชน์บ้าง อะไรบ้าง เขาไม่มีใครสนใจที่จะเข้าใจศาสนา มีศาสนา หรือใช้ศาสนาให้เป็นประโยชน์ ไอ้ธรรมะก็เป็นหมันเพราะเหตุนี้ ความก้าวหน้าทางวัตถุอย่างหลับหูหลับตานี่ ทำให้ธรรมะเป็นหมัน ให้ศาสนาเป็นหมัน ก็เกิดการรบรา เบียดเบียน ฆ่าฟัน ที่เรียกว่าวิกฤตการณ์ทุกอย่าง
กระทั่งเกิดอันธพาลในภายในสังคม เกิดมีประชาชนที่นอนไม่หลับ เป็นโรคประสาท เป็นโรคจิตมากขึ้นโดยเร็ว หมอเขาก็ว่าอย่างนั้นว่า มัน ๆ จะไม่เพิ่มช้า ๆ แล้วทีนี้ มันจะเพิ่มเร็วแรง เร็วมากขึ้น โรคประสาทก็ดี โรคจิตก็ดี ประเทศไทยนี่ต้องใช้ยาแก้ปวดหัวเป็นตัน ๆ นี้ก็เถิด ไม่ใช่เล็กน้อยเลย ไอ้ยาที่จะแก้ปวดหัวหรือให้แค่นอนหลับนี่ยังใช้กันเป็นตัน ๆ ก่อนนี้มันไม่มี ไม่เคยมีซักเม็ดไอ้ยาอย่างนี้ มันก็ยังอยู่กันมาได้
นั่นแหละดูให้ดี ไอ้ความก้าวหน้าทางวัตถุมันคืออะไร มันเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู ถ้าเราควบคุมไม่ได้ ควบคุมมันไม่ได้ ก็วินาศโลกนี้ ธรรมะเท่านั้นที่จะควบคุมมันได้ มากพอจนควบคุมมันได้ ทีนี้สบายเลย ไอ้วัตถุมันก็รับใช้มนุษย์อย่างถูกต้อง เพราะมีธรรมะควบคุมมัน เพียงแค่มนุษย์ไม่มีธรรมะควบคุมมัน มันก็เป็นนายมนุษย์ ไสหัวมนุษย์ไปลงนรก คือความเห็นแก่ตัว แล้วก็อันธพาล แล้วก็ มันก็จะต้องได้ฆ่ากันระหว่างไอ้คนจนกับคนรวย
ถ้าคนรวยเห็นแก่ตัวมาก คนจนก็อยากจะมีอย่างนั้นบ้าง ก็ต้องทำลายกัน แล้วคนจนมันก็เอาอย่างคนรวย คนรวยกินให้ เอ่อ, กินให้ดู เล่นให้ดู อะไรให้ดู ไอ้คนจนเขาก็อยากจะมีบ้าง เมื่อมันไม่ได้ มันก็ต้องโกรธ แล้วมันก็ต้องใช้อันธพาล ดังนั้นจะมีปัญหาเรื่องคนรวยคนจนยืดเยื้อไม่มีที่สิ้นสุด จนกว่าจะควบคุมจิตใจได้กันทั้ง ๒ ฝ่าย คนรวยก็เอื้อเฟื้อคนจน คนจนก็ไม่ ๆ ถือว่า เราจะต้องมีอะไรเหมือนหรือเท่ากันกับคนรวย มันก็อยู่กันได้สบายเหมือน ๆ ๆ โบราณแต่ก่อน คนจนกับคนรวยอยู่กันอย่างร่วมมือกัน
สมัยก่อนที่เขาเรียกว่าเศรษฐีหรือคนรวยนั้น เขาไม่ ๆ มีความหมายอย่างเดี๋ยวนี้ มันไม่ได้เห็นแก่ตัวมากเหมือนเดี๋ยวนี้ ไอ้เศรษฐีน่ะตัว ๆ ๆ เลี้ยงคนจน เลี้ยงไว้เป็นบริวารเหมือนลูกเหมือนหลาน นี่เขาเรียกว่าเศรษฐีที่บริสุทธิ์แท้จริงเป็นอย่างนั้น เลี้ยงคนจนเหมือนลูกเหมือนหลานกันทั่วไปหมด ส่วนเดี๋ยวนี้ไอ้คนรวย มันก็คือคนที่จะสูบเลือดหรือเอาเปรียบคนจนให้เขารวยยิ่ง ๆ ขึ้นไป มันต่างกันเสียแล้ว
ถ้าศีลธรรมกลับมา ไอ้คนรวยมันก็เปลี่ยนเป็นไอ้ ๆ ๆ รักใคร่เอ็นดูเลี้ยงดูไอ้คนจนอย่างลูกหลานขึ้นมาได้อีก แต่ถ้าการศึกษามีอยู่อย่างนี้ จะ ๆ ไม่ค่อยมีหวัง เพราะการศึกษาไม่มีศีลธรรม มีแต่ประโยชน์ มีแต่วัตถุ มีแต่อาชีพที่ร่ำรวยที่ก้าวหน้า แล้วก็มีความฉลาดในการที่จะเอาเปรียบ การศึกษาที่เรามีอยูในโลกนี้ สำหรับให้ฉลาดในการที่จะเอาเปรียบผู้อื่น ผลมันเป็นอย่างนั้น เช่นที่ผลมันออกมาเป็นอย่างนั้น
เมื่อในหลวงรัชกาลที่ ๕ จัดการศึกษาแผนใหม่ ท่านรู้ ๆ เรื่องนี้แล้วนะ ผมอ่านในพระราชหัตถเลขาที่มีไปถึงกรมพระยาวชิรญาณวโรรส น้องชายของท่านที่เป็นพระสังฆราช รับจัดการศึกษาแผนใหม่ ท่านปรารภไปว่าดี การศึกษานี่ดีและคนฉลาด ให้คนฉลาด แต่ต่อไปนี้มันคงจะรู้จักโกงกันอย่างวิตถาร คำที่ท่านใช้คือคำอย่างนี้ มันจะรู้จักโกงกันอย่างวิตถาร เพราะการศึกษาแผนใหม่
พอจะเอามาจัดเท่านั้น ท่านก็มีความรู้สึกอย่างนี้แหละ แล้วก็จัด กรมพระยาวชิรญาณฯ ท่านก็ช่วยจัดทั่วทั้งประเทศ เพราะจัดทางวัดมันสะดวกกว่า มันไม่ต้องใช้เงิน ดังนั้นก็เป็นอันว่าไอ้คนเราก็ฉลาด ๆ ๆ ขึ้นมา ก็จะรู้จักโกงกันอย่างวิตถาร เหมือนที่รัชกาลที่ ๕ ออกปากไว้ตั้งแต่แรกจัดหรือก่อนจัด น่าหัว การฉลาดทำให้ จะทำให้คนรู้จักโกงกันอย่างวิตถาร ก่อนนี้โกง ๆ กันอย่างพอประมาณ เดี๋ยวนี้จะโกงกันอย่างวิตถาร ตั้งไอ้สำนักงาน ปปป อีกกี่ ๆ สิบกี่ร้อย มันก็ ๆ ๆ ๆ ป้องกันไม่ได้ เพราะว่าการศึกษามันทำให้รู้จักโกงกันอย่างวิตถาร
คุณอ่านข่าวเรื่องโรงพิมพ์กระทรวงมหาดไทยหรือเปล่า เอ่อ, ดูเถิด มัน ๆ ไม่น่าจะมี ไม่มีใครเคยฝันว่ามันจะมีถึงขนาดนี้ มันก็มี เพราะการศีกษามันไม่สมบูรณ์ การศึกษามีแต่ให้เห็นแก่ตัว ฉลาดทางวิชาหนังสือ แล้วก็ฉลาดในการประกอบอาชีพ เพื่อกอบโกย คำนี้มันก็เพื่อ ๆ เอาผลไม่ ๆ จำกัด เอาผลมากขึ้น ๆ เห็นแก่ตัว บางคนก็ลืมตัว แล้วก็ไปทำอย่างนั้นได้จริง ๆ เหมือนกัน ซึ่งมันไม่ควรจะทำได้เลย เป็นชั้นหัวหน้า ชั้นไอ้ผู้ใหญ่ระดับสูงสุดก็มาทำอย่างนี้ เพราะการศึกษาหมาหางด้วน มีคน มีคนด่าผมว่า พูดหยาบคายบ้าง หรือว่าเกินไปบ้าง อะไรบ้าง ผมว่าถูกแล้ว การศึกษาหมาหางด้วน เรียนแต่หนังสือกับอาชีพ ไม่เรียนเรื่องว่าเป็นมนุษย์กันอย่างไรให้มันถูกต้องนี้ ไม่เรียน เรียนแต่หนังสือกับอาชีพ
เมื่อตะกี้ได้ยินว่ารัฐมนตรีศึกษาน่ะ ประกาศออกมาแล้วว่า ยอมรับว่าไอ้การศึกษาเดินมาผิด โดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องศีลธรรม ไอ้ ๆ ความผิดพลาดทางศีลธรรมก็เกิดขึ้นอย่างมากมาย เขาพูดอย่างนี้ เหมือนกับว่าเขาจะปรับปรุงระบบการศึกษาเสียใหม่ เมื่อวิทยุเมื่อตะกี้ ศึก เอ่อ, รัฐมนตรี ข่าวออกมาอย่างนั้น ประกาศในฐานะเหมือนกับว่าสารภาพ ถ้าอย่างนี้ก็มีหวัง ไอ้ความพยายามของเราคงจะมีหวังที่ว่า ให้ศีลธรรมกลับมา ถ้ากระทรวงศึกษาเขาต้องการให้ศีลธรรมกลับมาให้สมบูรณ์ หนังสือก็เรียน อาชีพก็เรียน ศีลธรรมก็เรียนนี้ มนุษย์จะสมบูรณ์
เดี๋ยวนี้เราก็ต่อสู้ในข้อนี้ ต่อสู้ให้ธรรมะกลับมา เหมือนกับเป็นบ้าเป็นหลัง ไม่พูดเรื่องอื่น เรื่องนี้จะพูดแต่เรื่องธรรมะกลับมา ทีนี้พอได้ยินรัฐมนตรีเขาพูดอย่างนี้ ก็รู้สึก ๆ มีหวังขึ้นมาบ้าง ถ้าเขาเอาอย่างเดิมอยู่เรื่อยไป เราก็ไม่ หวังยาก เราก็หวังยากที่ว่าธรรมะจะกลับมา ธรรมะไม่กลับมา โลกาวินาศ คือไม่มีมนุษย์ มีแต่คนที่เลวเหมือนสัตว์เดรัจฉาน นั่นคือโลกาวินาศ อยู่ในสภาพที่ละอายสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานไม่ต้องกินยาปวดหัว สัตว์เดรัจฉานไม่ต้องกินยานอนหลับ สัตว์เดรัจฉานไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นโรคจิต ไม่ฆ่ากันอย่างเลวร้ายเหมือนมนุษย์ ไม่โกงกันอย่างเลวร้ายเหมือนมนุษย์ สัตว์เดรัจฉานทำไม่เป็น เราควรจะละอายสัตว์เดรัจฉาน มูลเหตุเนื่องมาจากไม่มีศีลธรรม
ผม เดี๋ยวนี้ผมยอมอุทิศชีวิตให้เขาเกลียด ให้เขาเกลียดก็เกลียด ผมจะพูดอย่างนี้เรื่อยไป เกลียดก็เกลียด หรือจะฆ่าให้ตายก็ได้ ไม่กลัว จะพูดไอ้เรื่องให้ศีลธรรมกลับมานี้เรื่อยไป จนกว่าจะไม่ ๆ มีแรงพูดหรือว่าจะตายไปเลย ถ้าศีลธรรมไม่กลับมา ก็ไม่ ๆ มีความหมายที่ว่ามีมนุษย์อยู่ในโลก แล้วเราไม่ต้องการอะไรมาก ไอ้ธรรมะหรือศีลธรรมคือทำหน้าที่ มนุษย์ทำหน้าที่ของมนุษย์เท่านั้นแหละ นั่นแหละคือศีลธรรม ไม่รีบกลับมา แล้วมนุษย์ไม่ต้องฆ่ากัน ไม่ต้องเบียดเบียนกัน ไม่ต้องเอาเปรียบกัน ทุกคนทำหน้าที่ของตนและมีความสุขในการทำหน้าที่
ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ไปศึกษาต่อไปเถิดทาง ๆ ภาษาแล้วก็ เมื่อทำหน้าที่แล้วก็เรียกว่าประพฤติธรรมะ มีหน้าที่เป็นชาวนาก็ทำนา ชาวสวนก็ทำสวน แจวเรือจ้างก็แจวเรือจ้าง กวาดถนนก็กวาดถนน หน้าที่โดยสมควรแก่อัตภาพของตน ตามที่กรรมหรือธรรมชาติสร้างมา ถ้าเชื่อกรรมก็ว่ากรรมสร้างมา ถ้าไม่เชื่อกรรมก็ธรรมชาติสร้างมา ให้เรามีสมรรถภาพเพียงแต่ว่ากวาดถนน เมื่อเราได้กวาดถนนก็คือทำหน้าที่ของเราเต็มที่แล้ว ถือว่ามีธรรมะแล้ว เป็นมนุษย์แล้ว
นับตั้งแต่ว่าเป็นแจวเรือจ้าง ล้างท่อถนน กวาดถนน เป็นบุรุษไปรษณีย์นี้ก็ควรจะพอใจ ได้ทำหน้าที่เต็มที่ของมนุษย์ ที่เรามัน ที่ธรรมชาติเราสร้างมาสำหรับเป็นบุรุษไปรษณีย์ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่พอใจ นี่มันดิ้นรนอย่างอื่น ดังนั้นศีลธรรมยังไม่กลับมา เมื่อทุกคนพอใจในหน้าที่ของตนตามที่ธรรมชาติกำหนดให้มา นั่นแหละคือมีศีลธรรม ไม่มีใครไปทำอบายมุข ไม่มีใครเป็นอันธพาล ไม่มีใครต้องเป็นอันธพาล เขาทำหน้าที่ของตนแล้วเป็นสุขและพอใจเสียแล้ว พอใจ เป็นความสุขเสียในหน้าที่การงานนั้นแล้ว
เดี๋ยวนี้เขาจะไปฉุดคร่า จะไปข่มขืน จะไปแย่งชิง จะไปนั่นถึงเขาจะรู้สึกว่า เขาได้ ๆ รับความสุขได้รับอะไร ดูไอ้การฆ่าผู้อื่น มันยิ่งง่ายดายเลวร้ายมากขึ้นทุกที ไอ้หนังสือพิมพ์เอามาลงนี่ มองในง่ายร้าย ในแง่ไม่ควร ก็ไม่ควร แต่มองในแง่ควร ก็ควร คือมีประโยชน์ที่จะรู้ว่ามันกำลังเป็นอย่างไร แต่มันก็จะคงทำให้ไอ้คนไอ้อันธพาลเล็ก ๆ อยากจะเอาอย่างอันธพาลใหญ่ ๆ ขึ้นมา ส่วนนี้มันไม่ควร
ดังนั้นไปช่วยกันเถิด ถ้าว่าเป็นครู ก็ช่วยสอนไอ้ธรรมะหรือศีลธรรมในนักเรียน ถ้าไม่เป็นครู ก็ช่วยทำเพื่อนนั่นแหละ เพื่อนของเราที่ร่วมงานกัน ให้มันหันมาถือธรรมะ ให้ลูกให้หลานให้อะไรในครอบครัวถือธรรมะ ถ้าเห็นว่าเพื่อนร่วมงานของเรา ใครมันเป็นอันธพาลอยู่สักคนสองคน พยายามเอาชนะเขาให้ได้ ให้เขาเลิกอันธพาลมาถือธรรมะให้ได้ นี่วิเศษที่สุด ทำบุญกุศลอย่างใหญ่หลวง ทำบุญกุศลอย่างใหญ่หลวง ดีกว่าสร้างโบสถ์สร้างอะไรเสียอีก ซึ่งมันสร้างอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไร
คุณลองตั้งจิตอธิษฐานว่า ในปีหนึ่งข้าพเจ้าจะทำให้คนเลิกความเป็นอันธพาลมาถือธรรมะสัก ๆ เท่าไร สามคนไหม หรือปีหนึ่ง ห้าคน สิบคน เดือนละคน ปีละสิบสองคน มีแผนการณ์เจาะจงไอ้คนที่ว่ามันไม่ชอบธรรมะ ไม่มีธรรมะ ไม่ถือธรรมะ จะกลับมันเสียให้ตรงกันข้าม ให้มันมาชอบธรรมะ ถือธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ เฉลี่ยแล้วได้เดือนละคนนี่ถมไปแล้ว
มันก็ดี ผมก็เชื่อว่าทุกคนนี้ หวังดีต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อประเทศชาติ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปเป็นเครื่องมือให้สำเร็จประโยชน์ตามนั้น ซึ่งที่จริงก็คือธรรมะ แต่เราก็ยังระแวงสงสัยไม่เชื่อธรรมะ เพราะเรายังไม่รู้จักธรรมะ แล้วคนที่ถือว่าธรรมะเป็นเครื่องถ่วงความเจริญนี้ก็ยังมีมาก ก็ต้องศึกษากันต่อไปอีกมาก จนเห็นว่าธรรมะนี้มัน ๆ ๆ สร้างความปลอดภัย ไม่ใช้คำว่าเจริญ ๆ อะไรมัน ซึ่งมันกำกวมนัก ธรรมะนี้สร้างความหลุดพ้น ความรอด ความปลอดภัย ความอยู่เป็นผาสุกคนนั้น ของมนุษย์ แต่ถ้าใช้คำว่าเจริญนี้ มันเฟ้อไป เกินไป และกลายเป็นโทษได้
ความเจริญทางวัตถุนี้ กำลังเป็นโทษที่สุดอยู่ในโลกนี้เวลานี้ ความเจริญทางวัตถุ เลยอำนาจของธรรมะที่จะควบคุมได้ กำลังทำอันตรายมนุษย์ ยุ่งกันไปหมด แล้วหนักมากขึ้นทุกที การเอาเปรียบ การเบียดเบียน และการสร้างปัญหาที่แก้ไม่ตกมากขึ้นทุกที ปัญหาเรื่องอิหร่าน ปัญหาตะวันออกกลาง ปัญหาอะไรทั่ว ๆ ไป มันเป็นเรื่องที่หนัก ๆ มากขึ้นทุกที
อิหร่านไม่ปล่อยตัวประกันนี้ พวกอเมริกันก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มันก็ต้องเป็นปัญหาที่ ๆ มันจะเพิ่มไอ้ความยุ่งยากมากขึ้นทุกที วิธีการอย่างนี้เขาก็ไม่เคยทำกัน พระเจ้าชาห์เป็นคนทำผิด แต่เอาบาปไปใส่ให้พวกอเมริกัน แล้วก็ทำมันลงไปอย่างนี้ ไม่รู้ใครถูกใครผิด มีแต่เรื่องลำบากยุ่งยากกันทุกฝ่าย ถ้าถือธรรมะแล้ว มันไม่ทำหรอก ไม่ทำอย่างนี้ มัน ๆ ทำง่าย ๆ ทำเป็นในรูปที่ว่า ยกเลิก ให้อภัย เป็นมิตรกันดีกว่าเป็นศัตรูกัน
ผมก็ฟังวิทยุบ้าง พอรู้เรื่องว่า เดี๋ยวนี้มันกำลังมีแผนการณ์ที่จะเอาเปรียบ คือทำลายล้างผู้อื่นเพื่อประโยชน์ตัวนี้ ทั้งโลก ทั้งโลกแล้วสับสนเลย นี่ประสานกันอย่างสับสนเลย อินเดียกับจีน จีนกับอเมริกัน มันสับสนกัน ล้วนแต่ประสานกันเพื่อจะ ประโยชน์อยู่ที่ไหนก็จะเอากันที่นั่น มันก็จะคบกันอย่างนั้น อเมริกันที่เคยเกลียดจีน เป็นศัตรูกับจีน เดี๋ยวนี้กลายเป็นเพื่อนคู่หูไปเลย นี่ประโยชน์มัน ๆ ดึงให้คนเปลี่ยน นี้ก็มีแผนการณ์ที่เขา ๆ ๆ กะกันไว้ลับ ๆ มากมายก่ายกอง ที่จะร่วมมือกันพลิกเหตุการณ์ให้เป็นไปในทางประโยชน์ของตน