แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักศึกษาผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย ในการบรรยายครั้งนี้ พูดโดยหัวข้อว่า ชีวิตคู่ เอ่อ, ตามที่ท่าน กำหนดให้ แต่ขยายความ หรือตัวหนังสือออกไปนิดหนึ่งว่า ชีวิต อ่า, ที่ต้องอยู่กันเป็นคู่ ขอให้ทบทวนถึง การบรรยายครั้งที่แล้วมา ที่เราพิจารณาชีวิตกันในแง่มุมต่างๆ ที่เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า ธรรม ตามที่ควรจะทราบ มันเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันอยู่ระหว่างชีวิตกับสิ่งที่เรียกว่า ธรรม แต่ถ้ามองให้ลึกไปกว่านั้น ตามวิธีการของ พุทธบริษัท แล้ว มันยิ่งกว่านั้น คือมันกลายเป็นสิ่งเดียวกัน ไอ้ชีวิตก็ ก็คือธรรม ไอ้ธรรมก็คือธรรม เพราะว่า อ่า, ไม่มีอะไรที่มิใช่ธรรม นี่ควรจะจำไว้ด้วย เคยบรรยายมาหลายสิบครั้งแล้วกระมัง ที่ว่าธรรมนั้นคือทุกสิ่ง ธรรมคือตัวธรรมชาติ ธรรมคือตัวกฎของธรรมชาติ ธรรมคือตัวหน้าที่ตามกฎของ แล้วธรรมคือผล เกิดจากหน้าที่ นี่ขอให้พยายามทำความเข้าใจและจำไว้เป็นหลัก ไอ้คำว่า ธรรม ใน ๔ ความหมายอย่างนี้ และต่อไปข้างหน้านู้น จะศึกษาสิ่งที่เรียกว่า ธรรม ได้โดยสะดวก ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะคำว่า ธรรม หมายถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร แม้แต่สิ่งที่มิใช่ธรรม ที่เราเรียกกันเดี๋ยวนี้ว่า อธรรม อธรรม มันก็คือธรรม เพราะว่าธรรมมันหมายถึงธรรมชาติทั้งหมดไม่ยกเว้นอะไร
ชีวิตนี่ก็เป็นธรรมชาติ ทั้งร่างกายและจิตใจ ธรรมคือกฎของธรรมชาติ ในร่างกาย ในชีวิตจิตใจนี่ มันมีกฎของธรรมชาติอยู่ สิงอยู่ ควบคุมอยู่ มันจึงเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ จนออกมา จนตายน่ะ มัน มันควบคุมอยู่ด้วยกฎของธรรมชาติ มีกฎของธรรมชาติ อ่า, บังคับให้เป็นไป มันก็มีหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เซลล์แต่ละเซลล์ที่ประกอบกันเป็นร่างกายนี้มันก็มีหน้าที่ ตามหน้าที่ของเซลล์ ประกอบเป็นหน่วยๆ เป็นกลุ่มๆ เป็นส่วนๆ เป็นภาคๆ กระทั่งเป็นกล้ามเนื้อ เป็นเลือด เป็นอะไร มันก็มีหน้าที่ นี่เรียกว่ามันมีหน้าที่ กระทั่งเป็นคน แล้วก็มีหน้าที่ตามความหมายของคน
ทีนี้ผลที่เกิดจากการทำหน้าที่ จะได้ผลเป็นอย่างไรบ้าง เป็นสุข เป็นทุกข์ เป็น แล้วแต่ มันไปทำหน้าที่ อะไรเข้า นี่มองเห็นธรรมในความหมายที่สมบูรณ์อย่างนี้กันไว้บ้าง จะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า ธรรม ได้หมด แต่ต้องทราบไว้ด้วยว่า เขาไม่ได้เรียกว่าธรรม ธรรม เรียกว่าธรรมชาติ เขาเรียกกฎธรรมชาติ เรียกว่าหน้าที่ เรียกว่าผลบ้าง แล้วในบางสิ่งบางอย่างมันก็ไปเรียก ด้วยคำอื่น ยิ่งในภาษาอื่น ศาสนาอื่น มันก็ยิ่งเป็นคำอื่น เช่น กฎของธรรมชาติ เราเรียกว่าธรรม พวกอื่นอาจจะเรียกว่าพระเจ้า พระเป็นเจ้า ผู้สร้าง ผู้ อ่า, ควบคุม ผู้ทำลาย อะไรก็ได้ แต่เรารู้ไว้เถอะว่าในๆ ในหลักของพุทธศาสนานี้มันมีคำเดียวว่า ธรรม แล้วก็หมายถึงทุกสิ่ง
แล้วเราจะดูชีวิต เป็นธรรมไปด้วยก็ได้ ชีวิตกับธรรม มันก็เลยเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ในความหมาย ที่ต่างกันก็ได้ ชีวิตก็คือธรรมชาติอันหนึ่งที่กำลังเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของมัน ทั้งหมดนั้นมันเรียกว่าธรรม ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ประกอบกันเป็นร่างกาย ก็เรียกว่าธรรม ที่เป็นจิตเป็นวิญญาณก็เรียกว่าธรรม กฎเกณฑ์ที่ให้มันเป็นไป ก็เรียกว่าธรรม ไอ้ทั้งกลุ่มนั้นก็เรียกว่าธรรม เดี๋ยวนี้เรามา ให้หัวข้อว่า ไอ้ชีวิตที่เกี่ยวกับธรรม หรือแยกออกไปว่าหนทางแห่งชีวิต ชีวิตก็คือธรรม ธรรมก็คือธรรม หนทางก็คือธรรมนั่นเอง หนทางก็คือหน้าที่ รวมอยู่ในคำว่าหน้าที่ ต้องมีทาง ต้องเดินทาง นี่พูดมาพอสมควรแล้ว จึงชี้ให้เห็นว่า ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรม ฉะนั้นชีวิตกับธรรมก็คือสิ่งเดียวกัน แม้จะแยกความหมายกันบางอย่าง มันก็ยังคงเรียกว่าธรรม คือเป็นไปตามธรรมชาติ เนื่องอยู่กับธรรมชาติ เป็นกระแสแห่งธรรมชาติ อยู่นั่นแหละ
ในการบรรยายครั้งแรกเราพูดถึงชีวิตคือสิ่งที่ต้องรู้จัก คือธรรมะที่เราต้องรู้จัก ตัวชีวิตก็คือธรรม สิ่งที่ชีวิตจะต้องประพฤติปฏิบัติก็คือธรรม เราจึงต้องรู้จักชีวิตเหมือนอย่างที่เราพูดกันมาแล้ว ในการบรรยายที่นี่ ครั้งที่ ๑ เมื่อปล่อยไปตามเรื่องไม่ได้ ต้องให้เป็นไปตามถูกต้อง ตามกฎเกณฑ์ของธรรม
กระทั่งถัดมาว่าชีวิตคือการต่อสู้ เป็นการต่อสู้อยู่ในตัวมันเอง เพราะว่าไอ้วิวัฒนาการทุกอย่างน่ะ มันมีอุปสรรค จึงมีการต่อสู้อยู่ในกระแสแห่งวิวัฒนาการ ถ้าพ่ายแพ้มันก็สูญหายไป ถ้าชนะมันก็เหลืออยู่ แม้ว่ากระแสอันยาวยืดของวิวัฒนาการตั้งแต่ทีแรกมามันก็มีการต่อสู้ จนชนะเหลืออยู่เป็นคนอย่างเราๆนี่ ที่อยู่ต่อไปนี่ก็ยังต่อสู้ ต่อสู้พื้นฐานก็คือต่อสู้ให้มันรอดชีวิตอยู่ อย่าให้มันตายเสีย เพราะโรคภัยไข้เจ็บ หรือไม่มีอาหาร หรืออะไรก็ตาม และยังต้องต่อสู้เพื่อให้ถึง อ่า, จุดสุดท้าย จุดยอดสุดของความเป็นมนุษย์ ก็มีอุปสรรคอยู่ทั้งข้างนอกและข้างใน ที่ร้ายกาจก็คือข้างใน มันก็คือในตัวชีวิตนั่นเอง ชีวิตในที่นี้ เอ่อ, มันมีศูนย์กลางอยู่ที่สิ่งที่เรียกว่า จิต มีจิตฝ่ายต่ำเอียงไปฝ่ายต่ำ จิตฝ่ายสูงเอียงไปฝ่ายสูง แล้วแต่อะไรจะมีโอกาส อ่า, เข้าไป ยึดเอา จิตนั้นมันยัง จึงต้องทำหน้าที่ ที่จะรู้สึกตัว ช่วยตัว เป็นที่พึ่งแก่ตัว ทำให้ตัวสามารถตั้งอยู่ ในฝ่ายสูง และขจัดฝ่ายต่ำออกไป นี่มัน มันน่า น่าท้อแท้ก็ตรงนี้ ที่ว่า ไม่มีอะไรที่ไหนมาช่วยอีกได้ นอกจากจิตหนึ่ง นั่นแหละ มันต้องช่วยตัวมันเอง รู้จักตัวมันเอง ดิ้นรนต้อสู้ให้ตัวมันเอง รอดอยู่ แล้วก็เป็นไปฝ่ายสูง มี เอ่อ, ธรรมะสำคัญอันหนึ่งที่เรียกว่า สติ คอยรู้สึกทันท่วงที ด้วยตัวมันเอง และทำให้ตัวมันเองมีสติมีปัญญา เราดูเด็กเล็กๆก็ได้ เกิดมาจากท้องแม่ มันสอนของมันใน ในตัวเอง จะเรียกธรรมชาติสอนก็ได้ ไอ้ธรรมชาติก็คือตัวมันเอง เด็กนั้นรู้จักกินอาหาร รู้จักทุกอย่างขึ้นมาตามลำดับ เพราะว่าในตัวมันเองมันมีการสอน สอนโดยการสัมผัส มีเวทนาเกิดขึ้น และมันก็พอจะรู้ว่า อะไรเป็นอันตราย อะไรเป็นประโยชน์ จึงรู้จักเว้นสิ่งที่เป็นอันตราย ตามลำดับ ยิ่งได้ศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติม มันก็ยิ่งรู้ขึ้นตามลำดับ ขอให้ทุกคนสนใจ ไอ้ความเป็นมาชนิดนี้ด้วย
มันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่สำคัญที่จะต้องเป็นอย่างนั้น บางคนอาจจะมองแต่ แต่เพียงว่าเราเรียน จากผู้อื่น จากสิ่งอื่น จากบิดามารดา ครูบาอาจารย์ จากสิ่งภายนอก แต่ที่แท้นั้น ไม่ ไม่มากเท่ากับที่มัน เรียนในตัวมันเอง ตัวชีวิต ตัวจิตเองน่ะ มัน มันเรียนเอง มันสอนเอง มันเรียนเอง มันสอบไล่เอง เป็นมาตามลำดับ ตามลำดับ จนถึงบัดนี้ ถึงแม้ว่าเราจะเรียนบางอย่างจากบิดามารดา ครูบาอาจารย์ มันก็ไม่จริงไม่จัง ไม่ฝังแน่น ไม่แน่นอนเท่าที่มันไปสัมผัสเข้าเอง เรื่องความผิดความถูก ความได้ความเสีย ความสุขความทุกข์ ความแพ้ความชนะ อะไรนี่ ที่มันสอนเองชัดเจนเต็มที่ เมื่อเรา มันรู้สึกอยู่เรื่อย สัมผัสอยู่เรื่อย ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นไปเรื่อยอยู่เรื่อย มันสอนตลอดเวลา ส่วนนั้นสำคัญที่สุดเพราะมันเป็น ไอ้, เรื่องจริง เป็นเรื่องที่เกิดเป็นเรื่องจริง ไอ้ที่เรียนจากหนังสือนี่ เป็นเพียงแนว แนวของเรื่องจริงเอาไปใช้สำหรับทำให้เป็นเรื่องจริง หรือว่าอย่างดีที่สุดก็เป็น เรื่องจริงที่เขาบันทึกไว้ แล้วเขาก็มาสอนกันต่อๆไป แต่ตามธรรมชาติมันสอนของมันเอง แล้วก็จริงที่สุด นึกถึงเรื่องขม หวาน เปรี้ยวนี่ใครสอนได้ ไม่มีใครจะสอนใครได้นอกจากไปชิมเข้า แล้วก็รู้ว่าขม หวาน เปรี้ยว การที่จะบอกคนอื่นให้รู้ว่าขมเป็นอย่างไร หวานเป็นอย่างไรอย่างนี้ มันไม่มีทางที่จะทำได้ นี่เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ทีนี่ที่มันมีความหมายมากกว่านั้น มันก็ยิ่งบอกกันไม่ได้ มันต้องไปทำเข้าเอง ไปสัมผัสเข้าเอง ไปรู้สึกเข้าเอง นี่ ชีวิตมันเป็นมาอย่างนี้ โดยตัวมันเอง มันสอนมันเอง มันเรียนมันเอง มันสอบไล่เลื่อนชั้นมันเอง มันมาตามลำดับ จนมาเป็นเรา นั่งอยู่ที่นี่ เราต้องการจะรู้อะไรต่อไปอีก ก็จะบอกกันได้แต่เพียงว่า มันเป็นบันทึกของผู้ที่เคยศึกษาสังเกตมาก่อน แล้วก็มาบอกให้ฟัง เพื่อว่าคนชั้นหลังนี่ไม่ต้องเสียเวลามากนัก ที่เราเรียนธรรมะจากพระพุทธเจ้านี้ ก็เพื่อว่าจะไม่ต้องเสียเวลา ไปค้นคว้าอย่างเดียวกัน ประหยัดได้ตอนนี้ แต่ว่าไม่ได้หมายความว่าพอได้ฟังแล้วก็รู้หมด พอได้ฟังแล้วมันก็ต้องเอาไปทำ ไปย่อย ให้กลายเป็นเรื่องของเราเอง ให้เป็นสติปัญญาของเราเอง ใช้ประโยชน์ได้ เรื่องทางธรรมะก็เป็นอย่างนี้ เช่นเดียวกับเรื่องทางวัตถุ วิชาความรู้ทางวัตถุ โดยเฉพาะไอ้เรื่องทางวิทยาศาสตร์ มันก็ถ่ายทอดกันมาตั้งแต่คนแรก คนป่าคนแรกรู้จักไฟ รู้จักน้ำ รู้จัก จนมาเป็นวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งว่าไปโลกพระจันทร์กันได้ โดยอาศัยความรู้วิทยาศาสตร์ ที่ตั้งต้นมาจากคนป่าสมัยนู้นสมัยที่ยังไม่นุ่งผ้า อย่าไปดูถูกเขา เขารู้อะไรเป็นข้อแรก แล้วเขาก็บอกต่อๆกันมา นี่เรียกว่า การถ่ายทอดวิชาความรู้ ของมนุษย์ ซึ่งสัตว์เดรัจฉานทำไม่ได้ สัตว์เดรัจฉานถ่ายทอดกันอย่างนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นสัตว์เดรัจฉานจึงตันอยู่ที่นั่น ตีบตันอยู่ที่นั่น เป็นอย่างไรเมื่อหมื่นๆปีมาแล้ว มันก็ยังจะอยู่อย่างนั้น ส่วนมนุษย์นี่มันถ่ายทอดได้ ไอ้คนทีหลังก็ได้เปรียบ ก็เรียนเอา เรียนเอา เรียนเอา ที่เขาบันทึกไว้ให้ มันก็รู้มากเท่ากับคนมีอายุเป็นหมื่นๆปี มันก็เลยทำอะไรได้ เดี๋ยวนี้เราก็กำลังทำอย่างนั้น วิชาความรู้ที่พระมุนี ฤๅษี พระศาสดา เขาเคยคิดเคยค้นเคยรู้กันมาแล้วแต่พันปีหมื่นปีนู้น มันถ่ายทอดกันมาเรื่อย มันถูกปรับปรุงเสริมต่อให้มันสูงขึ้นไปเรื่อย จนมันสูงสุด แล้วก็มีการถ่ายทอด เช่น คำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าจะดับทุกข์กันอย่างไร ก็สอน ทีแรกมันก็ถ่ายทอดกันมา ที่เรากำ…ที่เรามา มาพูดกันที่นี่ กำลังพูดกันอยู่ที่นี่ มันก็เป็นเรื่องการถ่ายทอดชนิดหนึ่ง ส่วนหนึ่ง ขอให้ท่านทั้งหลาย พยายามทำให้มันสำเร็จประโยชน์ ในการถ่ายทอด ซึ่งจะบอกว่า ไอ้ธรรมะนั้นคืออะไร ที่มันเกี่ยวกับชีวิตมันคืออะไร หรือมันเป็นตัวชีวิตเลยเสียเอง เลยทีนี้ มันมี คือ มันๆ มันเป็นอะไร
ทีนี้อยากจะทำความเชื่อมโยง ว่าไอ้ธรรมะมันก็คือความจริงของ สิ่งทั้งปวง บางทีก็ใช้คำว่า โลกนี่ โลกนี่ เรื่องโลก เรื่องเหตุให้เกิดโลก เรื่องความดับสนิทแห่งโลก เรื่องทายถึงความดับ อ่า, ดับสนิทแห่งโลกนั่นแหละ คือธรรมะ ดังนั้นเรื่องสภาพเป็นจริงของไอ้ก้อนหิน ดินทราย ใบไม้ ต้นไม้ นี้ก็เป็นเรื่องธรรมะไปหมด มันจึงเนื่องกัน แยกกันไม่ได้ ไอ้วัตถุธรรมกับ ไอ้นามธรรมคือจิต มันๆ มันแยกกันไม่ได้ เพราะว่ามันอาศัยกันอยู่ ความถูกต้องทางไอ้วัตถุธรรมทางร่างกายนี่ มันทำให้ร่างกายอยู่ เพราะเป็นที่ตั้ง ที่เกิด ที่ทำงาน ของสิ่งที่เรียกว่า จิต ดังนั้นจิตมันต้องรู้ทุกสิ่ง รู้เรื่องร่างกาย ให้รู้เรื่องสิ่งที่จะมาเกี่ยวข้องกับร่างกาย เช่น ทรัพย์สมบัติ เป็นวัตถุ เช่น เกียรติยศชื่อเสียง ไอ้ความได้ ความเสีย ความแพ้ ความชนะ ที่จะเข้ามาเป็นของร่างกาย มันก็ต้องรู้ แล้วก็ต้องรู้ตัวมันเองซึ่งเป็นจิต ซึ่งเป็นนามธรรม ว่าเป็นอย่างไร ไอ้ตอนนี้ ลึกกว่ายากกว่า ยาก เอ่อ, แก่การศึกษา ที่ว่าไอ้ตัวจิตเองมันจะรู้ตัวมันเองอย่างไร จึงจะสามารถควบคุมตัวเองให้เป็น อยู่ในฝ่ายที่ถูกต้อง ไม่มีฝัก…เอ่อ, ไม่ตกไปฝ่ายผิด คือเป็นไปทางสูงไม่เป็นไปทางต่ำ นี่ ตอนนี้นี่น่าดู หรือว่าอัศจรรย์ อย่างยิ่ง ไม่มีอะไรอัศจรรย์เท่า ในเรื่องของจิต เพราะว่าไอ้เรื่องของมนุษย์ทั้งหมดมันไม่มีเรื่องอะไรที่ลึกซึ้งน่าอัศจรรย์เหมือนกับเรื่องของจิต ฉะนั้นส่วนใหญ่จึงมาติดอยู่ที่เรื่องของจิต เราจึงมาศึกษาเรื่องนี้ กันมากเป็นพิเศษ เรื่องที่เกี่ยวกับร่างกายนั้น ศึกษากันพักเดียว ก็พอก็คงจะหมด แต่ศึกษาเรื่องจิต ไม่ๆไม่หมด ก็ยังมีที่ศึกษาไม่ไหว ศึกษาไม่ได้อีกมากมาย ไม่ต้องพูดถึง
เอ้า, ทีนี้ ชีวิตมันก็คือ เอ่อ, ธรรมชาติ ความเป็นไปตามธรรมชาติ มีร่างกาย มีจิต ไปด้วยกัน นิทานที่เขาเล่าไว้สำหรับจำง่าย ใน ในหมู่นักศึกษาธรรมะสมัยโบราณ เขาเรียกว่า คนสองคน คนหนึ่งง่อยเปลี้ย เอ่อ, ขาเดินไม่ได้ ถึงมือก็ใช้การไม่ได้ อีกคนหนึ่งนั้นสมบูรณ์ทุกอย่าง เว้นแต่ตาบอดอย่างเดียว ทีนี้เขาก็มา มาๆ รวม รวมกัน ไอ้คนตาบอดขึ้นขี่อยู่บนคอ เอ้ย, ให้คนตาดีคนเปลี้ย ขึ้นขี่บนคอคนตาบอด แล้วก็บัญชาให้คนตาบอดทำทุกอย่าง ตามที่คนตาดีขี่อยู่บนคอ นี่คือร่างกายนี่เหมือนคนตาบอดแข็งแรง จิตใจเหมือนกับคนตาดี แต่ว่าเป็นง่อย อยู่บนคอคนตาบอด แล้วก็ไปด้วยกัน นี่ก็อุปมาชีวิต ที่มันจะต้องเป็นไปด้วยกัน โดยร่างกายและโดยจิต เรียกว่า ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น เขาก็มองเห็นไอ้ความเป็นอย่างนั้น อย่างนั้น แล้วก็บอกให้สังเกต ก็คือเรานี่ เราจะต้องใช้ร่างกายให้ถูกต้อง ซึ่งมันเหมือนกับคนตาบอด อ่า, คนแข็งแรงแต่ตาบอด แล้วก็ต้องใช้จิตให้ถูกต้อง ซึ่งเหมือนกับอย่างคนง่อย แต่ตาดี เอามารวมกันเข้า ก็สำเร็จประโยชน์
นี่มันก็มาเป็นชีวิตขึ้นมา จะต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ นี่เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งที่มีชีวิตขึ้นมาได้ ไม่ว่าชีวิตสัตว์เดรัจฉาน หรือชีวิตต้นไม้ คำว่าชีวิต เคยแนะให้มองดูทั้งในแง่ของ ไอ้, ชีววิทยา วิทยาศาสตร์ทางวัตถุ ให้ดูทั้งในแง่ของทางนามธรรม ทางจิตใจ ทางศาสนา จนมองเห็นว่าชีวิตนั้น มันหมายถึงอะไร เป็นต้นไม้ก็มีชีวิต รู้สึกได้ ต้องการได้ แต่ในระดับต่ำมาก สัตว์เดรัจฉานก็สูงขึ้นมา รู้สึกได้ ต้องการได้ตามประสาของชีวิต แต่ไม่สูงถึงคน ทีนี้คน รู้สึกได้ต้องการได้ สูงสุด เพราะอะไร ก็เพราะมันถ่ายทอดกันอย่างที่ว่าเมื่อตะกี้นี้ ไอ้สัตว์ไม่มีการถ่ายทอด ไอ้ความรู้หรืออะไรได้ มันก็เท่านั้น ไอ้คนเรามันถ่ายทอดได้มากมาย มันจึงผิดจากสัตว์ แม้จะเป็นชีวิตด้วยกัน รู้สึกได้ต้องการได้ แต่มันผิดกันไกลมาก แต่ที่มันเหมือนกันก็คือ มันเป็นชีวิตด้วยกัน เพราะฉะนั้นอย่าไปดูถูกมัน อย่าไปทำอันตรายมัน มองในแง่ที่ว่า มันก็เป็นชีวิตด้วยกัน เป็นสัตว์ที่มีชีวิตด้วยกัน ในทางหลักธรรมะ อีกทางหนึ่งสอนให้ถือว่า เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน สัตว์เดรัจฉานก็เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน ถ้าจิตใจละเอียดพอ ก็จะยอมรับได้ว่าแม้แต่ต้นไม้ที่มันมีชีวิตนี่ มันก็เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน เพราะมันก็อยากจะรอดอยู่ ไม่อยากตาย คุณไปศึกษาเอาเองก็ได้ โดยทางชีววิทยาหรือทางวัตถุนี่ ให้รู้ว่าชีวิต เอ่อ, ต้นไม้ก็มีความรู้สึก ไม่อยากตายและอยากอยู่ เช่นเดียวกับสัตว์เดรัจฉานและคน
ทีนี้เราจะพูดกันถึง ไอ้ความอยากอยู่ ความอยากไม่ตาย เป็นจุดของเรื่อง ชีวิตคือความ อยู่ และต้องการอยู่ และไม่อยากตาย นั่นแหละคือชีวิต ทีนี้ธรรมชาติ มันทำตัวมันไว้ดีแล้ว เมื่อมันอยากอยู่ เอ่อ, ไม่อยากให้สูญพันธุ์ ไม่ยอมสูญพันธุ์ มันก็ต้องมีการสืบพันธุ์ อืม, คือการถ่ายทอดกันไว้เรื่อย ถ้าไม่มีการถ่ายทอดกันไว้เรื่อย เดี๋ยวนี้มันก็ไม่มีอะไรเหลือ มันก็ไม่มีพวกเรามานั่งกันอยู่ที่นี่ เพราะมันมีการสืบพันธุ์ของบรรพบุรุษ เรื่อยๆมา นี่ก็มาถึงคำว่า สืบพันธุ์ ที่เรารู้ไม่ได้ว่าพระเจ้ามีอะไรของ ของๆ ของท่านอย่างไร มันแน่นอนตายตัวที่ว่า ถ้ามีการสืบพันธุ์มันต้องเป็นคู่ ไม่ เอ่อ, ไม่มีการเป็นคู่ มันก็สืบพันธุ์ไม่ได้ เพราะว่ามันต้องการจะแบ่งแยกออกไปจากที่มีอยู่เดิม เราจึง มีการสืบพันธุ์ โดยการ เอ่อ, สัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่เป็นคู่ ถ้าไม่มีการสืบพันธุ์เป็นอันว่า ล้มเลิกกันหมด ไม่มีอะไรเหลือ เพื่อยังอยู่นี่ จึงมีการสืบพันธุ์ ถ้าเชื่อพระเจ้าก็ถือว่าเป็นความต้องการ หรือการบังคับของพระเจ้า ถ้าไม่เชื่อพระเจ้า ก็เชื่อธรรมชาติ ว่าธรรมชาติมันต้องการให้เป็นอย่างนี้ ดังนั้นธรรมชาติจึงมีการแยก ให้เป็นเพศคู่ คือเพศผู้ หรือเพศเมีย นี่ ถ้าใช้คำกลางๆก็ต้องใช้คำว่าเพศผู้เพศเมีย ถ้าใช้กับมนุษย์ก็ว่า เพศหญิงเพศชาย ถ้าไปดูถึงตัวที่เป็นจุดนิวเคลียสของเพศจริงๆแล้ว ใช้คำว่าเพศผู้เพศเมียดีกว่า
ในสิ่งที่มีชีวิตจะต้องมีส่วนที่เป็นจุดสำคัญของสิ่งที่เรียกว่าเพศ เป็นเพศผู้ เป็นเพศเมีย ดูที่ต้นไม้ ต้นไม้จะต้องมี เอ่อ, ไข่ซึ่งเป็นเพศเมียซึ่งจะ จะเป็นตัวลูก แล้วก็มีเกสรถึงจะเป็นเพศผู้ ผสมแล้วมันก็เกิด ชีวิตใหม่ เป็นลูกไม้ แล้วก็งอกเติบโตขึ้นไป ไม่รู้จักสูญพันธุ์ ในการต้องการสืบพันธุ์นี้รุนแรงมาก แม้แต่ต้นไม้ ถ้าเราไม่ศึกษาเราไม่รู้ ถ้าศึกษาอย่างละเอียดก็รู้ได้เหมือนกันว่า ต้นไม้นี้ต้องการสืบพันธุ์ ไม่ต้องการสูญพันธุ์ อย่างยิ่งนะ แล้วก็เป็นโชคดีที่ธรรมชาติมันจับของมันมาเองแล้ว ในดอกเดียวมีทั้งเพศผู้เพศเมียก็มี อยู่กันคนละดอกก็มี อยู่กันคนละต้นก็มี อยู่กันคนละเมืองก็มี ที่เขาค้นพบ ที่มันเกสรตัวผู้อยู่เมืองหนึ่ง แล้วลอยไปตามกระแสน้ำ ไปพบปะ ไอ้, ไข่ตัวเมียที่อีกเมืองหนึ่งก็ได้ นี่เรียกว่าอยู่กันคนละเมือง ต้นไม้ยังสืบพันธุ์ถึงกันได้และมีลูกได้ หรือลมพาปลิวไปก็ได้ มันมีอยู่ที่เรียกว่า มันต้องมีเพศผู้และเพศเมีย จะเป็นพื้นฐาน ในสัตว์เดรัจฉานเราเห็นง่าย ยิ่งคนก็ยิ่งเห็นง่าย การที่มีผู้หญิงมีผู้ชาย มีตัวผู้มีตัวเมีย ธรรมชาติสร้างมาเสร็จ ในประเภทในพวกหนึ่งก็สร้างไข่ เพื่อเป็นร่างกายเป็นชีวิต ส่วนหนึ่งก็เป็นสิ่งที่ ทำให้ชีวิตงอกงามเป็นเชื้อตัวผู้ เมื่อมีการผสมมันก็เกิดชีวิตใหม่ ถ้าไม่มีการผสม มันก็ตายเปล่า สูญหายไป แล้วก็จะพาลหมดเอาด้วย ไม่มีเหลือ ฉะนั้นการที่ต้องสืบพันธุ์นี่มันเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด รุนแรงที่สุด อยู่โดยธรรมชาติ นี้จึงมีเหตุการณ์ที่จะต้องพบปะกัน ระหว่างเพศทั้งสอง เราเรียกว่า ไอ้การอยู่กันเป็นคู่ หรือชีวิตคู่ มันมีความลึกลับ ขึ้นอยู่กับสัญชาตญาณแห่งการสืบพันธุ์ นี่เป็นจุดแรกที่เราจะพูด ว่า ไอ้การอยู่กันอย่างเป็นคู่ ที่เรียกว่าชีวิตคู่ มันมีความลับลึกซึ้ง ก้นบึ้งอยู่ที่สัญชาตญาณแห่งการสืบพันธุ์ สัญชาตญาณทั้งหลายก็อธิบายกันไว้ชัด ในหนังสือประเภทชีววิทยา หาอ่านดูได้ แล้วก็เน้นความสำคัญมาก สัญชาตญาณแห่งการต่อสู้เพื่อรอดชีวิตอยู่ กินอาหาร เติบโต แล้วก็มาถึงไอ้สัญชาตญาณแห่งการสืบพันธุ์ สัตว์รู้จักสืบพันธุ์เองโดยไม่ต้องสอน ต้นไม้ก็มีการสืบพันธุ์เหมือนกับว่าธรรมชาติเป็นไปเอง เขาจัดมาเสร็จ ให้สืบพันธุ์ได้โดยง่าย แม้ว่าลมพาไป หรือว่ากระแสน้ำพาไป มันก็สืบพันธุ์ได้ในที่สุด ไอ้คนนี่มันง่ายกว่านั้น เพราะมีความรู้ มีไอ้ความสามารถ มันจัดมันทำเอาได้ให้มีการสืบพันธุ์ แต่ความลับมันอยู่ที่ สัญชาตญาณแห่ง การสืบพันธุ์ คือมันทนอยู่ไม่ได้ มันดิ้นรนเพื่อจะสืบพันธุ์ เมื่อถึงวัยสืบพันธุ์ได้ มันก็ดิ้นรนสุดเหวี่ยง จึงไม่ ไม่ๆเป็นเรื่องที่ต้องสอน เพราะมันเป็นเรื่องที่ธรรมชาติจัดมาเสร็จ บีบบังคับมาเสร็จ ให้ทนอยู่ไม่ได้ แม้แต่ต้นไม้มันก็มีอาการที่ต้องการสืบพันธุ์ให้เห็นชัด มันเบิก…มันเบ่งบาน มันคอยดักคอยท่า คอยอะไรกันไปตามเรื่องของต้นไม้ สัตว์เดรัจฉานมันก็ทนอยู่ไม่ได้ มันต้องพบปะกันได้ ถึงฤดูกาลสืบพันธุ์ แล้วก็ต้องจับคู่กันจนได้ แม้อยู่กันต่างถิ่นต่างตำบล คนภูเขานางเอ(นาทีที่33:30) นี่ สมัยก่อนพอถึงเดือน มกรากุมภาจะมี เสียงเสือร้องหาคู่ ฮึมๆ คล้ายกับไอ้วัวร้อง เมื่อจะชนกัน ตลอดคืน ตลอดฤดู เสือร้องเพื่อทำให้เกิดการพบคู่ พบปะคู่ ไม่ต้องนอน เรา เราหลับไปแล้วตื่นมาเสือยังร้องอยู่ ไม่ต้องนอน ร้องตลอดคืน ร้องอยู่จนสามโมงเช้า ฤทธิ์ ฤทธิ์ร้าย แรงร้ายของไอ้ความต้องการสืบพันธุ์ มันทำให้ร้องได้ตลอดคืน ไม่ได้นอน
นี่สัญชาตญาณแห่งการสืบพันธุ์ ฝังแน่นอยู่ในสิ่งที่เรียกว่ามีชีวิต ธรรมชาติจึงจัดต่อม Glands เพื่อการสืบพันธุ์ไว้โดยเฉพาะ เมื่ออายุพอสมควรที่เรียกว่าถึงเขต Major นี่ ไอ้ต่อม Glands เหล่านั้น ก็ทนอยู่ไม่ได้ ก็ต้องรู้จักดิ้นรนเพื่อจะสืบพันธุ์เอง มันก็ มันก็เกิดปัญหา ถ้าทำน่าดูไม่น่าดู ทำให้มีผลร้ายแก่สังคม ไม่มีผลร้ายแก่สังคม นี่ มันเป็นไปได้ทั้งนั้น คนที่เกิดก่อนเรา ครั้งบรรพบุรุษ แต่กาลก่อนนั้น รู้จักวิธีให้ประพฤติปฏิบัติต่อกันอย่างนั้น ที่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์นี่ มาตั้งแต่สมัยคนป่า ไอ้บทบัญญัติทางศีลธรรมอย่างนี้ ก็ยังไม่จัดเป็นศีลธรรม พวกฝรั่งเขาไม่จัดเป็นยุคศีลธรรม เขาจัดเป็นยุคก่อนศีลธรรม เรียกว่า Taboo นี่เขาก็ใช้คำว่า Taboo คือที่หัวหน้าครอบครัวคนเฒ่าคนแก่ เขาบัญญัติลงไปอย่างนี้แหละ ไอ้เด็ก เด็กคนนี้ เด็กวัยรุ่นนี่ เด็กหญิงวัยรุ่น เด็กชายวัยรุ่น เขาก็มีการประพฤติ กระทำกันอย่างนี้ จนกระทั่งเป็นสาว จนกระทั่งสมรสกระทั่งแต่งงาน เขามีระเบียบให้ประพฤติให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้มันเกิด ไอ้ความเสียหายอันตรายขึ้นในๆ ในสังคมของเขา การที่ปรับปรุงให้เป็นศีลธรรม เป็นรูปที่น่าดู เป็นระบบศีลธรรม นี่ทีหลัง นี่มนุษย์มันก็รู้เรื่องนี้ หรือเผชิญปัญหาข้อนี้มาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที คือปัญหาที่เนื่องด้วยการสืบพันธุ์ เพราะเหตุว่ามันเป็นความรู้สึกที่รุนแรงมาก มันรุนแรง เพราะอะไร ก็ลองรู้สึกดูเองเถอะ ทุกคนก็มีความรู้สึกเรื่องนี้ แล้วก็ดูได้จาก ไอ้คนที่มันไม่มีศีลธรรมไม่มีระเบียบ มันประพฤติผิดศีลธรรม เลวร้ายเท่าไร ที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ แล้วเมื่อมันไม่ได้ตามที่มันต้องการ มันก็เป็นอันธพาล เลวร้ายยิ่งกว่ายักษ์กว่ามาร นี่ มันฆ่ากัน มันฆ่าพ่อฆ่าแม่ของมัน เมื่อมันไม่สมประสงค์ ในเรื่องเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ อย่างนี้เป็นต้น นี่รุนแรงมาก สัญชาตญาณแห่งการสืบพันธุ์ที่ลึกซึ้งอยู่ ในภายในของสันดาน
เอ้า, ทีนี้เราก็พูดกันแล้วว่า เอ่อ, การสืบพันธุ์นี้จำเป็นสำหรับชีวิต ถ้าไม่มีการสืบพันธุ์ชีวิตก็ไม่เหลืออยู่ อย่างที่เรามีอยู่ เพื่อไม่ให้ชีวิตสูญ มันจึงมีการสืบพันธุ์ สิ่งที่เรียกว่าชีวิตต้องมีการสืบพันธุ์ อำนาจที่ต้องการสืบพันธุ์นี้รุนแรงมาก
ทีนี้ก็มาถึงความลับไอ้ขั้นที่ ๒ คือธรรมชาติ มันจัดค่าจ้าง อย่างดีที่สุด ไว้จ้างให้คนสืบพันธุ์ ไอ้เรื่องสืบพันธุ์นี้ถ้าปล่อยไปตามธรรมดาแล้ว มันน่าเกลียด มันสกปรก มันเหน็ดเหนื่อย มันอะไร ก็ไปดูเองเถอะ มันไม่น่าทำ มันไม่ชวนทำ แต่เขาได้เอาค่าจ้างอันสูงสุดมาจ้างก็คือ กามารมณ์ ก็ลองดูสิกามารมณ์ มันมีรส มีอำนาจเท่าไร นั่นคือค่าจ้างของธรรมชาติ เอามาให้สิ่งที่มีชีวิตรับจ้างสืบพันธุ์ ทำสิ่งที่ยุ่งยากลำบาก สกปรกเหน็ดเหนื่อยนี่ ทำได้เพราะมันมีค่าจ้างที่ล่อใจที่สุด คือกามารมณ์ อาการอันนี้ในหมู่คนนั้นเห็นได้ชัด มันมีความหมายทางกามารมณ์เป็นรสบังหน้าสูงสุด ก็เพื่อให้คนสืบพันธุ์ สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกัน ถ้าเราไปสนใจใกล้ชิดศึกษาก็เห็นว่า มันมีรสกามารมณ์เป็นเครื่องบังคับ ให้สัตว์ทำการสืบพันธุ์ แม้ที่สุดแต่กับสัตว์ง่ายๆ เช่น ปลา นี่ คนเลี้ยงปลาก็จะเห็นว่า ไอ้รสทางกามารมณ์ มีในหมู่ปลา ในขณะที่ทำการสืบพันธุ์ ถ้าความรู้สึกอันนี้มันไม่เกิด ปลาก็ไม่สืบพันธุ์ อยู่เฉยๆ เมื่อต่อม Glands นี้ถึงที่สุดเข้า ไอ้ไข่ในท้องมันแก่พอเข้า มันก็เกิดความรู้สึกที่จะสืบพันธุ์ และต้องการไอ้รสของกามารมณ์ เมื่อปลามันเบียดกัน ตามประสาของปลาที่สืบพันธุ์ ก็เป็นเวลาที่เสวยรสกามารมณ์สูงสุด ดังนั้นอย่าว่าแต่ มนุษย์ แม้แต่สัตว์มันก็รับจ้างธรรมชาติ โดยเพื่อบริโภครสสูงสุดทางกามารมณ์ แล้วก็เกิดการสืบพันธุ์ ต้นไม้นี่ ถ้าวัดได้ด้วยเครื่องวัดที่ละเอียด ก็จะเห็นว่าดิ้นรนเหลือประมาณเหมือนกัน แล้วก็พอใจในขณะที่เป็นการ สืบพันธุ์ เมื่อเกสรตัวผู้กับเกสรตัวเมียถึงกันนั้นน่ะ เป็นเวลาที่รู้สึกเป็นสุขทางกามารมณ์ เราพูดไปแล้วเดี๋ยวเขาว่าบ้าแล้ว ว่าเอาเอง เรื่องนี้ท้าทายให้ใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันสูงสุด ที่เขาวัดความรู้สึกของต้นไม้ได้น่ะ วัดดูเถอะ มันจะยิ่งกว่าไอ้การวัดไอ้ความรู้สึกที่ว่ากลัวตาย หรือว่าต้องการอาหาร หรืออะไรของต้นไม้ ไปเสียอีก หนังสือประเภทนี้เขามีอยู่ๆ อยู่พวกหนึ่ง สมาคมๆหนึ่งมัน มันตั้งขึ้นมา มันทำไอ้เครื่อง เอ่อ, มิเตอร์อาศัยอิเล็กทรอนิกส์ทันสมัยที่สุด วัดความรู้สึกของต้นไม้ได้ วัดความรัก ความโกรธ ความกลัว อะไรของต้นไม้ได้ โดยไอ้เข็มวัดนี่ เมื่อ เมื่อไอ้คนที่เกลียดต้นไม้เดินมาใกล้ต้นไม้นี้ เข็มที่วัดอยู่นี่จะแสดงให้เห็นทันที พอคนนั้นออกไป คนอื่นเข้ามาเป็นคนรักต้นไม้ เข็มนั้นแสดงค่าตรงกันข้ามทันที นี่เป็นเรื่องทางวัตถุไปเลยนะ ไอ้เรื่องความรู้สึกนี้ ไอ้เรื่องทางกามารมณ์ก็เหมือนกัน ที่เขาเปิดเพลงให้ต้นข้าวฟัง แล้วมีรวงข้าวดก ทำนองนี้ ก็อยู่ในชุดนี้ คือมันมีความรู้สึก เป็นสุขทางวัตถุ ทางกามารมณ์นี้ด้วย
เราตัดบทสรุปความว่า มีธรรมชาติก็ได้ พระเจ้าก็ได้ มีไอ้รสของกามารมณ์สูงสุด เป็นค่าจ้าง ให้สิ่งที่มีชีวิต ทำการสืบพันธุ์ ไอ้ระบบความรู้สึกทางประสาท อ่า, ของมนุษย์นี่ไม่มีความรู้สึกระบบไหนสูงสุด เท่าระบบของกามารมณ์ โดยเฉพาะวัตถุอวัยวะสำหรับเพศ ให้เกิดความรู้สึก นี่สูงสุดกว่าระบบไหนหมด มันอาศัย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หกอย่างนี้เหมือนกัน แต่ถ้าไม่เกี่ยวกับเพศไม่สูงสุด แต่เมื่อเกี่ยวกับเพศแล้ว จะสูงสุด ไอ้ตาเห็นรูป ถ้าไม่เกี่ยวกับเพศ รูปนั้นจะสวยยังไงก็ไม่ค่อยสนใจ แต่ถ้ารูปนั้นมันเกี่ยวกับเพศแล้ว รูปนั้นมันๆๆ มันประทับใจ มันมีผลต่อจิตใจที่สุด เสียงก็เหมือนกัน เสียงทางเพศ กลิ่นทางเพศ รสเนื่องด้วยเพศ สัมผัสผิวหนังเนื่องด้วยเพศ ความคิดนึกใฝ่ฝันเนื่องด้วยเพศ ทั้งหกอย่างนี้ ถ้ามันเกี่ยวกับเพศ แล้วมันก็สูงสุด หรือรุนแรง เราจึงมีความหมายรวมไปที่คำว่าเพศ กามารมณ์ที่เกี่ยวกับเพศ มีอำนาจบีบคั้นให้คนทนอยู่ไม่ได้ ต้องขวนขวายสืบพันธุ์ ซึ่งเป็นการกระทำที่น่าเกลียด สกปรก เหน็ดเหนื่อย ก็ทำได้ แล้วก็ทำสุดเหวี่ยง เราดูไอ้คนที่ไม่มีการศึกษา ไม่มีการควบคุม หรือดูสัตว์เดรัจฉานที่ไม่มีการศึกษา ไม่มีการแสร้งทำนี่ มันทำอย่างสุดเหวี่ยง กามารมณ์ทางเพศสุดขีดของที่ระบบประสาทที่จะรู้สึกได้ นั่นแหละคือค่าจ้าง ที่ธรรมชาติจ้างให้สิ่งที่มีชีวิตให้สืบพันธุ์
ไอ้สิ่งที่มีชีวิต ทุกชนิด มันก็ต้องตกเป็นลูกจ้าง ไม่มีใครช่วยได้ คุณไปดูให้ดี มีชีวิตตามธรรมชาติ รู้สึกตามธรรมชาติ พอถึงขนาดของไอ้ต่อม Glands สมบูรณ์ เป็นเหมือนกับ เป็นคนเป็นสัตว์ที่สมบูรณ์ แล้วมันก็ ตกอยู่ใต้อำนาจการจ้างของธรรมชาติ เอ่อ, เพื่อการสืบพันธุ์ แล้วก็ยิ่งกว่าโดยสมัครใจ เพราะความโง่ ความหลงด้วยอำนาจของอวิชชา ไอ้ทางกามนี่ มันยิ่งกว่าความสมัครใจ นี่ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติ ก็เป็นอย่างนี้ เพื่อบริโภครสกามารมณ์สูงสุด คนจึงทำการสืบพันธุ์ ซึ่งตามธรรมดา ไม่ ไม่อยากจะทำ แต่เดี๋ยวนี้มนุษย์ออกจะเก่ง ถึงขนาดที่เรียกว่า ไม่ ไม่ต้องรับโทษ ทำงานเพื่อการสืบพันธุ์ แต่ก็บริโภค กามารมณ์ได้ นี่ มนุษย์สมัยนี้ สามารถจะคดโกง คดโกงพระเจ้า คดโกงธรรมชาติ กินกามา..อ่า, บริโภคกามารมณ์โดยไม่ต้องสืบพันธุ์ ซึ่งสมัยก่อนเขาทำไม่เป็นนะ สมัยนี้มีเครื่องมือ คุมกำเนิดไม่ต้องสืบพันธุ์ แต่ประพฤติทางกามารมณ์กันสุดเหวี่ยง นี่มนุษย์ปัจจุบัน จะต่างกับมนุษย์โน้นบ้าง ก็ที่ตรงนี้ ก็เริ่ม เริ่มเป็นคนโกง โกงค่าจ้าง โกงธรรมชาติ บริโภคกามารมณ์โดยไม่ทำการสืบพันธุ์ แต่อย่ากลัว มันก็ต้องเกิดปัญหาอย่างอื่น ขึ้นมาทดแทน สมน้ำหน้ามันล่ะ ลองดู ไปลองดู ไปโกงพระเจ้า โกงธรรมชาติ โกงเรื่องนี้เท่าไร มันจะเกิดปัญหาอย่างอื่นขึ้นมาทดแทน ทำให้มันเป็นคนโรคประสาท เป็นคนบ้า เป็นคนไม่สมประกอบอย่างอื่นต่อไปอีก ไม่คุ้มกัน
ว่าแต่ว่า พวกเราเดี๋ยวนี้มันเป็นลูกจ้างหรือไม่ นี่คือปัญหาที่จะต้อง ที่ควรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชีวิตคู่นี่ เราจะมีชีวิตคู่ มุ่งหมายชีวิตคู่ อย่างที่จะเป็นลูกจ้างธรรมชาติ เพียงเพื่อกามารมณ์ ไปดเอาูเองนะ อย่าให้ต้องพูดดีกว่านะ (หัวเราะ) ว่าเดี๋ยวนี้เรากำลังเป็นลูกจ้าง สิ่งนี้กันเต็มที่หรือเปล่า นะ คุณตั้งใจจะเรียนให้ดีที่สุดนี่จะเรียนไปทำไม เรียนธรรมศาสตร์ หรือเรียนอะไรก็ตาม เรียนให้ดีที่สุดนี่เพื่ออะไร มันจะไปจบกันที่ตรงนั้นนะ แล้วเดี๋ยวนี้เพื่อประกาศนียบัตร เพื่อปริญญาอะไรก็ตาม แต่แล้วในที่สุด มันจะไปจบอยู่ที่ตรงนั้น เพื่อผลคือได้กามารมณ์สูงสุด เมื่อเรามีเงิน มีอำนาจ มีปัจจัยอะไร เราก็มุ่งหมาย ไอ้กามารมณ์สูงสุดกันทั้งนั้น เรียนให้ดีที่สุดไปทำไม หาความมุ่งหวังในอนาคตนั้นคืออะไร มันแปลไปอยู่ที่ปัจจัยแห่งกามารมณ์สูงสุดไปเสียหมด โอ้ย, มันยังมีปัญหาอย่างอื่นมาก ที่ทำให้คนคดโกง คอรัปชั่นอะไรต่างๆซึ่งไม่ควรกระทำ มันก็มุ่งหมายไปอยู่ที่นั่นเหมือนกัน เพื่อให้ได้ปัจจัยแห่งกามารมณ์สูงสุด
เอาล่ะ เป็นการสรุปความในตอนนี้ว่า ไอ้ชีวิตที่เป็นคู่นี่ มันขึ้นอยู่กับสัญชาตญาณแห่งการสืบพันธุ์ มันมีความลับอยู่อย่างนี้ เราจะทำอย่างไรดี ก็ลองตั้งปัญหาดู แล้วเราก็กำลัง บากบั่นเข้าไป สู่ปัญหานี้ด้วย เพราะเราก็เป็นคนธรรมดา เป็นสัตว์ตามธรรมดา มีความรู้สึกอย่างธรรมดา ก็หลีกปัญหาเรื่องนี้ไม่พ้น
เอ้า, ทีนี้ก็มาดูใจความของเรื่องที่เราจะต้องรู้เรื่อง ไอ้ชีวิตคู่ หรือชีวิตที่ต้องอยู่กันเป็นคู่ เราจะตั้งสมมติฐานว่า ทำอย่างไร เราจึงจะพ้นจาก ภาวะที่เป็นลูกจ้าง ที่น่าละอายที่สุดนี้ หรือใครจะเห็นว่า ไม่น่าละอาย คือทำทุกอย่างเพื่อกามารมณ์ เพื่อเป็นลูกจ้างของธรรมชาติ ที่รับค่าจ้างคือกามารมณ์ และก็เพื่อทำงานที่น่าเกลียดน่าชัง คือการสืบพันธุ์ ถ้าเห็นว่านี่เป็น อ่า, เป็นภาวะที่น่าละอาย เป็นลูกจ้างที่น่าละอาย ก็มีปัญหาว่าทำอย่างไร ให้พ้นภาวะลูกจ้างชนิดนี้ คือธรรมะที่เรากำลังจะพูด ว่าเราจะประพฤติกันอย่างไร ปฏิบัติกันอย่างไร ก็อยากจะตอบว่าก็อย่าทำให้มันเป็นลูกจ้าง อย่าทำเพื่อรับจ้างกิเลส ไปวันหนึ่ง วันหนึ่ง เดี๋ยวนี้ในโลกนี้ ที่กรุงเทพฯก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ไอ้คนจำนวนมากเหลือเกินที่ ที่พยายามขวนขวายหากำลังทรัพย์กำลังปัจจัยอะไรมา เพื่อซื้อหากามารมณ์ ซึ่งเป็นเพียงกิเลส ไอ้ความรู้สึกปรารถนากามารมณ์นั้นเป็นกิเลส มาจากอวิชชาความไม่รู้สิ่งต่างๆตามที่เป็นจริง แล้วก็อย่าเป็นลูกจ้าง อย่าให้มีภาวะลูกจ้าง อย่าให้โง่จนถึงกับตกเป็นลูกจ้าง มีธรรมะก็คือมีความรู้ชนิดที่ ไม่ต้องตกเป็นลูกจ้าง อ่า, ของธรรมชาติ เพื่อรับค่าจ้างเป็นกามารมณ์ แล้วก็ไปทำสิ่งที่ยุ่งยาก ไม่น่าดู หรือว่าถ้าเราสมัครที่จะสืบพันธุ์มันก็มีระบบธรรมะสำหรับที่จะปฏิบัติ ไม่ให้น่าเกลียดน่าชังอย่างนั้น คืออย่าทำในลักษณะที่เป็นลูกจ้าง
ทีนี้ก็มาศึกษา ก็คือเปลี่ยน เปลี่ยนเรื่องความเป็นลูกจ้าง อ่า, ของกิเลสนั้นมาเป็น เรื่องของมนุษย์ ที่มีสติปัญญา ให้การสืบพันธุ์นั้น เป็นหน้าที่ของมนุษย์ ที่รู้จักผิด ชอบ ชั่ว ดี แล้วก็ทำการสืบพันธุ์ อ่า, ซึ่งมันต้องทำ โดยธรรมชาติมันต้องทำ อย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ อย่าให้เกิดปัญหาขึ้น เพราะเหตุนี้ ให้สมกับที่ว่ามนุษย์ มีจิตใจสูง คือสูงกว่าสัตว์ มนุษย์จึงไม่มีการสืบพันธุ์อย่างสัตว์ หรือว่าง่ายๆ โง่ๆ ต่ำๆ อย่างสัตว์ มนุษย์จึงมีระเบียบปฏิบัติ ที่เหมาะสมสำหรับความเป็นมนุษย์ เหมาะสมในที่นี้ก็คือจะ ไม่สร้างไอ้ความทุกยากลำบากให้เกิดขึ้นแก่ใคร ไม่ต้องเกิดขึ้นแก่ตัวเอง หรือแก่ผู้อื่น หรือแก่ทุกคน นี่ก็เปลี่ยนเรื่อง เป็นลูกจ้างกิเลสมาเป็นมนุษย์ที่ รู้อะไรดี เมื่อถึง อ่า, ถึงคราวที่เหมาะสม ที่จะสืบพันธุ์ คือไม่ชิงสุกก่อนห่าม การชิงสุกก่อนห่ามมันไม่ถูกต้อง ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ถึงแม้บทบัญญัติทางศีลธรรม เขาก็บัญญัติตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ที่เมื่อเสร็จหน้าที่ของพรหมจารี คือฝึกฝนอบรมตัวให้ดีถึงที่สุด มาถึงขั้นที่จะเป็นคฤหัสถ์ ก็มาเป็น ผัวเมียที่มีอุดมคติ สำหรับความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่จะปล่อยไปตามกิเลส หรือตามกามารมณ์ แต่มีอุดมคติ อ่า, สำหรับมนุษย์ ซึ่งแปลว่า มีจิตใจสูง บอกกันไม่รู้กี่ครั้งแล้วจนคนจะรำคาญก็ได้ มนุษย์แปลว่ามีจิตใจสูง อย่าแปลเฉยๆว่าคน คน มันไม่ได้ประโยชน์อะไร มนุษย์แปลว่า คนนั้น มันไม่ได้ความหมายอะไร มนุษย์แปลว่า มันมีจิตใจสูง ถ้าไม่มีจิตใจสูงไม่ใช่มนุษย์ มนะ - ใจ ,อุษยะ - สูง ,มนุษยะ - จิตใจสูง คือว่าจิตใจที่มัน ได้รับการศึกษา อบรมเรื่อยมา จนสว่างไสวสูง นั่นน่ะ เรียกมนุษย์ ถ้าไม่อย่างนั้น ก็เหมือนสัตว์เดรัจฉานทั่วไป มันต่ำ มันไม่สูง แล้วต้องทำอย่างคนมีจิตใจสูง ถ้าจะสืบพันธุ์ ก็สืบพันธุ์อย่างคนที่มีจิตใจสูง ไม่ใช่อย่างมีจิตใจต่ำ เหมือนสัตว์เดรัจฉาน
ไอ้คำว่ามนุษย์ ก็มีคนแปลว่า เหล่ากอของมนู มนู เป็นคนสูงสุดในประวัติศาสตร์ อินเดียเอเชียนี้ มนุษยะ แปลว่าเหล่ากอของมนู มันก็ไม่พ้นจากใจสูง เพราะว่า พระมนูน่ะ เขาถือกันว่าเป็นคนสูงสุดของมนุษย์ คือมันมีจิตใจสูง ถ้าเป็นเหล่ากอของมนูจริง มนุษย์ก็ต้องมีจิตใจสูงอย่างมนู นี่เราเอาง่ายๆว่า ไอ้ตัวหนังสือ นั่นน่ะ พอแล้ว มนะ แปลว่าใจ ,อุษยะ แปลว่าสูง ,มนุษยะ ก็แปลว่าใจสูง แล้วก็มาเป็นคนใจสูงเสีย ก็มีระบบแห่งการสืบพันธุ์อย่างคนมีใจสูง เขาก็มีการเป็นอยู่ เป็นคู่ ของบุคคลที่มีใจสูง ไม่ใช่ปล่อยไปตามกิเลส ไม่ได้รับจ้างกิเลสเพื่อ…
ถ้าเป็นมนุษย์มีอุดมคติ มันก็ต้องทำอะไรอย่างมนุษย์ ทั้งการแต่งงานการสมรส อย่างมีอุดมคติ มันไม่ใช่อย่างเดียวกับการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติ อ่า, ของสัตว์ที่ไม่รู้อะไรเลย คือเป็นลูกจ้างธรรมชาติ รับจ้างสืบพันธุ์
ทีนี้เป็นผัวเมียอุดมคติอย่างไร รายละเอียดมันก็มีอยู่แล้วในหนังสือหนังหาตำรับตำรา ไม่ต้องเอามาจาระไนในที่นี้ให้มันกินเวลา อย่างว่าหนังสือ ธรรมะนวโกวาท ไปซื้อมาเล่มหนึ่งไม่กี่สตางค์ ก็ได้ยกเอาพระสูตรทั้งหลายที่พูดถึงเรื่อง เป็นภรรยาสามีอย่างไร ที่อุดมคติ ดีที่สุดอย่างไร เอามาศึกษา มันก็ไอ้ศีลธรรมที่รู้ๆกันอยู่นี้ ไอ้ความซื่อสัตย์ ความกตัญญู ความรัก ความสามัคคี ที่ประกอบไปด้วยธรรม ไม่ประกอบไปด้วยกิเลส ถ้าไม่เอาธรรมะเข้ามา ไอ้ความรู้สึกตามสัญชาตญาณนี้ จะต่ำ เป็นไปตาม อำนาจของกิเลส ถ้ามีธรรมะเข้ามามันอยู่อีกระบบหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นอยู่อย่างเป็น เป็นคนคู่ เป็นสามีภรรยา มันก็มีความถูกต้อง ดีกว่าที่ปล่อยไปตาม ไอ้, ธรรมชาติ ของสัตว์ที่ไม่รู้อะไร เราไปศึกษาดูเถอะ ระบบที่ปฏิบัติ ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ ในสูตรต่างๆ รวมเอาไว้หนังสือเล่มที่ว่า ก็เป็นผู้ที่มีธรรมะ กำกับอยู่ เอ่อ, ในการอยู่กันเป็นคู่
อยากจะแนะ คำว่า อุโบสถศีล อีกครั้งหนึ่ง วันแรกมาก็แนะว่าควรจะถืออุโบสถศีลกันบ้าง ถือกี่คนก็ไม่ทราบ ศีลแปดนั่นน่ะ มันมี เอ่อ, ระเบียบเหมาะสมสำหรับฆราวาส ที่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์นี่ ก็ควบคุมได้ ไม่ทำ ไม่ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำทุกวัน หรือว่าทำด้วยความหลงใหล เอ่อ, หลับหูหลับตา มันต้องควบคุมได้ ต้องอยู่ในระยะ ในเวลา เอ่อ, หรือว่าในปริมาณ ที่มันเหมาะสม แล้วศีลข้อ ๖ นั้นไม่กินอาหารส่วนเกิน ศีลข้อ ๗ ไม่บำรุงบำเรอร่างกายด้วยการ ฟ้อนรำขับร้อง ลูบทาประดับประดา ที่มันเป็นส่วนเกิน และศีลข้อที่ ๘ ก็ไม่มีเครื่องใช้ไม้สอย ที่มันเกิน ที่มันแพงเกินดีเกิน นี่ก็เป็นกฎเกณฑ์อันหนึ่ง สำหรับความเป็นฆราวาส เป็นคฤหัสถ์ที่ดี ส่วนที่ ๕ ข้อ ที่เป็นศีล ๕ นั้น รู้แล้วไม่อธิบาย อยากจะเน้นอีกทีหนึ่งว่า ให้พยายามมี อุโบสถศีล เครื่องป้องกันการเกิน ป้องกันเรื่องเกิน กันไว้บ้าง อย่าดูถูกว่าเป็นของโง่เง่างมงายพ้นสมัย ขอให้ศึกษาเรื่องอุโบสถศีลให้ดีๆ จะพบความหมายที่ดี แล้วก็จะพบ ไอ้เรื่องการเป็นอยู่อย่าง ชีวิตคู่น่ะ ที่ดี จะไม่เกิดอันตราย หมายความว่าอย่างนั้น วิธีปฏิบัติที่สมบูรณ์มันก็อยู่ด้วยการ มีศีลอย่างที่ว่านี่ แล้วก็มีธรรมะอย่างที่บอกให้ไปค้นไปศึกษา
ทีนี้ก็ความหมายมันก็เปลี่ยน คือว่าเรา อยู่เพื่อจะเป็นมนุษย์ที่ดีในโลก ไม่ได้มาอยู่เพื่อมัวเมากามารมณ์ ถ้ามัวเมากามารมณ์มันก็เตลิดเปิดเปิงไปในทางที่น่าเกลียดน่าชัง จนในที่สุดมันก็ล้มเหลวมันก็วินาศ ทีนี้เรามาควบคุมได้ แล้วก็เป็นมนุษย์ที่ดี เพื่อว่าโลกนี้มันจะมีสิ่งที่มีค่า คือมีมนุษย์ที่ดี ถ้าโลกนี้มันไม่มี มนุษย์ที่ดีที่ถูกต้อง ไอ้โลกนี้ก็ไม่ค่า กลับจะเป็นนรกไปเสียอีก เป็นมนุษย์กันให้ถูกต้องแม้ที่เป็นชีวิตคู่ ก็ทำให้โลกนี้มันน่าดู ให้มันมีค่า เพราะว่าไอ้เรื่องชีวิตคู่นี้ มันหลีกไม่ได้แล้ว มันเป็นเรื่องของธรรมชาติแล้ว นี่สำหรับผู้ที่หลีกไม่ได้ มันเป็นเรื่องของธรรมชาติแล้วก็ ผสมโรงกับมัน ให้เป็นมี ชีวิตคู่ที่ดี ที่ถูกต้อง ที่ไม่เป็นอันตรายแก่โลก นี่เรียกว่าพูดไปกลางๆ ตามธรรมดาสามัญ
เอ้า, ทีนี้อยากจะมี เอ่อ, เป็นความลับที่สูงขึ้นไปอีก ก็คือว่า ไอ้ชีวิตคู่นี่ เอ่อ, ควรจะให้มันมีความหมาย เป็นเพื่อน เป็นเพื่อนชีวิต จะเรียกว่าเป็นเพื่อนคู่ชีวิตก็ได้ เป็นเพื่อนคู่ชีวิตก็ได้ แต่ไม่ใช่คู่ชีวิตสำหรับจะบ้ากัน เป็นคู่ชีวิตที่เราจะทำให้มันถูกต้อง เป็นเพื่อนที่จะ มีการประพฤติกระทำที่ถูกต้อง แล้วจะได้แบ่งเบาภาระหนัก ให้ลดลงครึ่งหนึ่ง ถ้าว่ามนุษย์เกิดมาทีหนึ่งจะต้องทำอะไรบ้าง เต็ม เต็มอัตรา เต็มมาตรฐานของมันน่ะ มีเท่าไร ชีวิตคู่นี้มีขึ้นเพื่อแบ่งเบาภาระคนละครึ่ง ให้ความยากลำบากมันเหลือกันคนละครึ่ง มันก็ไม่หนัก เท่ากับทำคนเดียว ถ้าอย่างนี้เราก็เรียกว่ามันเป็นเพื่อนชีวิต หรือเป็นคู่ชีวิตที่เป็นเพื่อน เพื่อให้หน้าที่ของ มนุษย์น่ะมันง่ายลง เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งแบ่งกันคนละครึ่ง การเป็นมนุษย์นั้น มันก็จะเบาสบายขึ้น ถ้าเราใช้ชีวิตคู่นี้ อย่างถูกต้อง
ทีนี้จะเลยไปถึงว่า ไอ้เพื่อนนี่จะไปไหนกัน อุดมคติสูงสุด มันไปนิพพาน ฉะนั้นถ้าไอ้ชีวิตคู่ไหนสูงสุด มันจะเป็นคู่ปรึกษาหารือเพื่อไปนิพพาน มัน มันจะกลายเป็นว่าไม่ ไม่เดินคนเดียว ไม่เปล่าเปลี่ยว เพราะมันมีเพื่อนสำหรับปรึกษาหารือ ถ้าไม่เข้าใจก็จะดูเป็นพูดเล่น ถ้าเข้าใจจะรู้ว่ามันมีประโยชน์ คือ ไอ้, ผัวเมียอุดมคติ มนุษย์ที่เป็นสามีภรรยาอุดมคติ ประกอบอยู่ด้วยธรรมะนั้น มันจะเป็นการปรึกษาธรรมะ ไปในเนื้อในตัวของมัน ศึกษาเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ในตัว อ่า, ชีวิตนั่นเอง เพราะว่ามันมีชีวิต อย่างฆราวาส มันก็ต้องเผชิญกับสิ่งที่ แสดงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นทุกข์ล้มลุกคลุกคลาน ถ้าเขาสามารถควบคุมได้ มันก็คือสอน ให้รู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ฉะนั้นผัวเมียคู่นั้น เขาศึกษาชีวิต ในแง่ของความจริงสูงสุดคืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรื่อยๆไป เขาจึงไม่เคยทะเลาะกัน เขาไม่เคยกัดกัน เขาไม่เคยหึงเคยหวงกัน เขาไม่ทำอะไรอย่างที่คนธรรมดามันทำ มันก็เลยกลายเป็นเพื่อนเดินทาง ไปสู่ธรรมะสูงสุด คือนิพพาน ฟังแล้วไม่น่าเชื่อ หลายคนคงไม่ยอมเชื่อว่า ไอ้ชีวิตคู่ถ้าเป็นไปถูกต้องแล้ว มันเป็นเพื่อนเดินทางไปนิพพาน ก็คือรู้เรื่องต่างๆฝ่ายโลกนี่ดี ดีถึงที่สุดแล้วไม่ๆ ไม่มีที่ไปไหนแล้ว ไปไหนไม่ถูกแล้ว นอกจากไปนิพพาน ถ้าคนเรารู้เรื่องฝ่ายนี้หมด ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรน่าบูชา น่าสรรเสริญ มันก็เหลือแต่ฝ่ายโน้น แล้วมันก็มุ่งฝ่ายโน้น ก็เป็นเพื่อนที่จะเดินทางไปฝ่ายโน้น ก็เพื่อนิพพาน แล้วยังแถมอีกว่า ถ้ามีลูกออกมา มีหลานออกมา ก็จะให้มันเป็นทายาท สำหรับเดินทางไปนิพพาน ถ้าพ่อแม่มันไม่ ไปไม่ถึงมันคลานต้วมเตี้ยมอยู่ที่นี่ มันตายเสียก่อน ให้ลูกหลานมันน่ะ เดินต่อไป แล้วมนุษยชาติในความหมายรวมๆนี้จะมีการถึงนิพพาน ถ้า Generation นี้ มันไม่ถึง ไอ้ Generation ต่อๆๆๆไปก็ต้องถึง เราจึงมีลูกมีหลาน เป็นทายาทสำหรับเดินทาง ให้พ่อแม่มัน เดินต่อๆๆๆไป จนกว่าจะถึงนิพพาน ฉะนั้นผัวเมียคู่นี้มันก็เลยมีลักษณ์ เป็นเพื่อนเดินทางไปนิพพาน หรือว่ามันจะเหลือทายาทไว้สำหรับให้เดินต่อ ถ้าว่ามันเองเดินไม่ถึง นี่เรียกว่าผัวเมียอุดม…อุดมคติ หรือว่าชีวิตคู่ที่มันเป็นอุดมคติ มันมาก สูงสุดได้เพียงเท่านี้แหละ มันไม่ๆๆ ไม่ไปไกลมากกว่านี้ได้ คือจะเป็นผัวเมียปฏิบัติธรรมะถูกต้องตามความหมายของคำว่ามนุษย์ เป็นมนุษย์ตัวอย่าง ไม่ทำผิดพลาด ในเรื่องนี้ ไม่รับจ้างธรรมชาติด้วยกามารมณ์ เพื่อสิ่งที่ตามธรรมดาไม่ยอมทำ แล้วเขาก็รู้อะไรมากขึ้นในชีวิต เป็นเพื่อนปรึกษาหารือ รู้ความจริงของชีวิต นี่เรียกว่าเขาเป็นเพื่อน เอ่อ, เดินทางไปสู่นิพพาน ถ้าว่ามีลูก มีหลานออกมา ก็จัดไว้เป็นทายาท สำหรับเดินต่อ เมื่อพ่อแม่มันเดินไม่ถึง มันก็มีการถึงนิพพาน ในนามของมนุษย์นั่นเอง ในนามของมนุษยชาติ แล้วเรามีชีวิตคู่อย่างนี้จะถือว่าสูงสุดของอุดมคติ ชีวิตที่ต้องอยู่กันเป็นคู่ มันก็มีอุดมคติเพียงเท่านี้
นี่ถ้าว่าอยากจะให้ดีไปกว่านั้นไกลไปกว่านั้นอีก มันก็ยังมี แต่คุณไม่ได้ถามใช่ไหม ไม่ได้พูดถึงนี่ ก็เอาว่าพูดเสียเลยก็ได้ให้มันจบเรื่อง ว่าถ้ามันดีไป ไปไกลกว่านั้นอีก มันก็จะเลยเรื่องของความเป็นเพศคู่ มันจะ จะพ้นความเป็นเพศคู่ คือว่าเราจะอยู่อย่างที่ไม่รับจ้างกิเลส ไม่รับจ้างกามารมณ์ เราผ่านมา ผ่านมา จนได้เป็นๆ เป็นสามีภรรยา เป็นคุณพ่อคุณแม่ คุณตาคุณยาย ที่รู้เรื่องเหล่านี้ดีแล้ว จิตใจมันไม่ตกเป็นทาสอย่างนั้นอีกแล้ว มันก็ต้องการที่จะ อยู่เหนือนั้น คือมุ่งหมายพระนิพพาน เป็นชีวิตที่หมดความหมายของการที่ผูกพันกันเป็นคู่ มันก็ต่างคน ต่างที่จะไปนิพพาน เป็นชีวิตสูงสุด จุดสุดท้าย จนเรียกกันว่า สมรสกับนิพพาน แทนที่จะสมรส ด้วยคู่ครองมนุษย์ด้วยกัน แต่มันกลายเป็นมีจิตใจพอใจรสของนิพพาน ไม่พอใจรสของโลกที่อยู่กันอย่างโลกๆ นี่ก็เรียกว่า สมรสกับนิพพาน หรือว่าสมรสกับสุญญตา คือความว่างจากตัวกู เดี๋ยวนี้จิตไปสมรสกับ สุญญตาเสียแล้ว คือความว่างจากตัวกู เป็นที่ดับสิ้นสุดแห่งตัวกู แล กลายเป็นชีวิตนิรันดร เธอคงจะเคยได้ยิน กันบ้างแล้ว ชีวิตนิรันดร ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง ไม่รู้จักดับ ไม่รู้จักสิ้นสุด นี่ที่ว่ามันเหนือเพศคู่ มันก็เป็นอย่างนี้ เหนือความเป็นคู่ มันอาจจะเป็นเรื่องใหม่ แปลกเกินไป สำหรับคนเดี๋ยวนี้จะฟังก็ได้ คำว่าสมรสนี่มันแปลว่า มีรสที่เป็นที่พอใจ เดี๋ยวนี้จิตมันพอใจไอ้รส ของไอ้ความอยู่เหนือโลก เหนือรสของไอ้กามารมณ์ เหนือรสของ อารมณ์ที่เป็นไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะเป็นชั้นไหนก็ตามใจ หรือแม้แต่ชั้นเป็นนามธรรม เป็นเกียรติยศชื่อเสียง เป็นดีเป็นเด่นอะไร มันก็ขี้เกียจเหนื่อยแล้ว เป็นคนดีจนขี้เกียจเหนื่อย มันก็เลยขึ้นไปจนถึงกับว่า ไปเป็นไอ้ความว่าง หรือเป็นนิพพาน ไอ้เรื่องอย่างนี้ตามปกติ มันเป็นเรื่องของคนที่ ได้ผ่านชีวิตธรรมดาๆแล้ว มันเป็นเรื่องของคนอายุมาก ที่ได้ผ่านชีวิตธรรมดา อย่างถูกต้องของความเป็นมนุษย์ ที่ดีที่สุดอย่างที่ว่ามาแล้วเมื่อตะกี้ ทีนี้มันไม่มีทางไปไหน มันก็เลยออกไปโน้น ก็เรียกว่า ออกไป ใช้คำว่า ออกไป ฝั่งนี้หรือโลกนี้มันก็มีแต่เรื่องอย่างนี้ ดีที่สุดมันก็อยู่ที่นี่ มันก็ดี อยู่ที่ดีตรงนี้ มันไม่ๆๆ ไม่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ มันต้องออกไปจากนี้ ต้องออกไปหมดจากนี้ จึงจะไปฝั่งโน้นคือฝั่งนิพพาน หรือฝั่งที่มันว่าง ฟากที่มันว่าง จิตใจฝ่ายที่มันว่าง นั่นแหละปลายทาง เอ่อ, ของชีวิต เดี๋ยวนี้มันพ้นจากความเป็นคู่ คู่ผัวคู่เมีย คู่ตัวผู้ คู่ตัวเมียแล้ว มันไปมีอย่างว่าง มีอย่างนิพพาน เป็นชีวิตเดียว นิรันดร มัน มันเข้าถึงไอ้ความไม่มีตัวตน แล้วมันก็ไม่รู้จักตาย เพราะความไม่รู้จักตายแห่งตัวตน เขาเรียกว่านิรันดร ชีวิตนิรันดร หลังจากชีวิตคู่ที่สมบูรณ์แบบแล้ว ไม่มีทางออกไปไหนนอกจาก ชีวิตนิรันดร ถ้าใครต้องการ ก็พยายามทำชีวิตแบบคู่นี้ให้ดีที่สุด พอถึงดีที่สุดมันก็จะสั่นหัว มันก็เท่านั้น มันๆๆ มันมีเท่านั้น ก็เลยออกไปฝ่ายโน้นต่อไป
จึงเป็นเรื่องของคนที่ผ่าน ไอ้โลกอย่างธรรมดานี้มา มาๆ อย่างดีแล้ว จนไม่อาลัยอาวรณ์อยู่ที่นี่แล้ว จึงจะออกไปจากโลกชนิดนี้ อย่างนี้เขาเรียกว่าเหนือโลก หรือพ้นโลก ไปเป็นชีวิตที่นิรันดร
แต่อยากจะบอกว่าไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปเป็นผัวเป็นเมีย เป็นลูกเป็นหลาน เป็นอะไรอย่าง โชกโชนก่อนแล้ว ถึงจะสามารถข้ามไปฝั่งโน้นได้ เพราะว่าเรื่องราวในพระคัมภีร์ อ่า, ก็มีคนที่เป็นพระอรหันต์ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเป็นเณรก็มี น่าสนใจนะ เรื่องราวในพระคัมภีร์ มีคนเป็นพระอรหันต์ได้ตั้งแต่เป็นสามเณร อายุสิบกว่าปี นี่ ดูเหมือนตั้ง ๗ คน ๘ คน มันก็น่าสนใจอยู่ว่า ไอ้คนชนิดนี้ไม่ได้ผ่านความมีเหย้ามีเรือน ความมี เอ้อ, เหมือนที่เราจะต้องมีจะต้องผ่าน แต่เขาไปศึกษา จุดสำคัญที่สุด คือว่าจุดที่มีค่าทางกามารมณ์ ทางอะไรต่างๆนี้ เมื่อมองเห็นว่า เท่านั้นเอง เช่นนั้นเอง แค่นั้นเอง ไม่มีวิเศษวิโสไปกว่านี้ แล้วก็เลยไม่เอา เลิกโดยไม่ต้องไปลอง เพราะว่าทั้งหมด ทั้งหมดมันสำคัญอยู่ที่ ไอ้เวทนา ไอ้เวทนาที่เอร็ดอร่อยแก่ความรู้สึก นั่นแหละ เป็นจุดที่เราจะศึกษาได้ เพื่อไม่ต้องไปลอง ให้มันตลอดให้มันทุกเรื่องทุกราว เพราะอะไรๆก็ตาม มันมาอยู่แค่เวทนา ที่หลอกหลอน ที่เป็นสุขนี่ ทางตาก็เพื่อเวทนานี้ ทางหูก็เพื่อเวทนานี้ ทางจมูก ทางกลิ่น ทางผิวหนัง ทางใจ มันก็เพื่อเวทนาอันนี้ ถ้าเด็กคนหนึ่งเขาได้รับ การสั่งสอนอบรมให้เห็น ไอ้, ความจริงของ สิ่งที่เรียกว่า เวทนานี้ เขาปฏิเสธทีเดียวตลอดโลกได้เลย ฉะนั้นจึงเป็นพระอรหันต์ได้ ในอายุเพียงสิบกว่าปี นี่มาเล่านะ ไม่ใช่ได้เห็นเองนะ /หัวเราะ/ ในคัมภีร์มันมีอยู่อย่างนี้ เอามาเล่าให้ฟัง ซึ่งเราก็ควรจะสนใจ แล้วก็ ศึกษาดูบ้าง ว่าจิตใจนี้เป็นของประหลาด ถ้าอบรมถูกวิธีแล้วมันกระโดดยาวๆ กระโดดไกลยิ่งกว่าพวก คอมมิวนิสต์เสียอีก /เสียงผู้ฟังหัวเราะ/ แล้วมันก็ไปสู่นอกโลกได้ เรียกว่าเป็นโลกุตระ เป็นเรื่องที่ควรมาศึกษา ไว้ด้วย ในฐานะเป็นเรื่องของชีวิต ไอ้ชีวิตคู่นี่ อย่างดีที่สุด มันก็ได้แต่ว่าเป็นเพื่อนเดินทางไปนิพพาน ทิ้งลูกทิ้งหลานไว้ให้เดินต่อ มันจบแค่นั้น ถ้ามันเป็นชีวิตเดียวมันก็โดดไปไกลออกไปจากโลก เป็นชีวิตนิรันดร มันเป็นความว่าง ไม่เรียกว่าเดี่ยว ไม่เรียกว่าคู่ก็ได้ มันเป็นความว่าง
เอาละวันนี้เราพูดกันถึงเรื่อง ชีวิตคู่ หรือชีวิตที่ต้องอยู่กันเป็นคู่ ก็มีศีลธรรม เฉพาะของชีวิตที่ต้องอยู่ กันเป็นคู่ ไปศึกษาโดยรายละเอียดให้มากขึ้น นี่มันเป็นหัวข้อหรือเค้าเรื่องเท่านั้น ไปศึกษาศีลธรรมรายละเอียด ของไอ้ชีวิตที่ต้องอยู่กันเป็นคู่ แล้วประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง จะไม่มีความเจ็บปวดรวดร้าวอะไร และการ ขวนขวายของเราไม่ใช่เพื่อรับจ้างกิเลสนะ ไม่ใช่เพื่อรับจ้างกามารมณ์ เราทำได้เต็มที่ อุตส่าห์ศึกษาเล่าเรียน ประกอบการงาน หาอาชีพ แล้วก็ทำให้ดีที่สุด ก็เพื่อความเป็นมนุษย์ที่เดินทางไปอย่างถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อรับใช้ กามารมณ์ ขอให้รู้จักชีวิตคู่ชนิดที่รับใช้กามารมณ์ และชีวิตคู่ที่เป็นเพื่อนเดินทาง ออกไปสู่พระนิพพาน มีลูกหลานสำหรับเดินต่อกันไว้ให้ดีๆ แล้วเลือกเอาให้มันถูกเรื่องถูกราว มันก็ไม่มีอะไรดีกว่านี้ ขอยุติการบรรยายวันนี้ อ่า, เพียงเท่านี้