แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สามเณรทั้งหลาย ฉันมีโอกาสพูดกับเธอเป็นครั้งที่ ๒ เท่าที่จะนึกได้ว่า ควรจะพูดอะไรให้เป็นประโยชน์ ก็เอามาพูด ให้เธอตั้งใจฟังให้ดี ให้สำเร็จประโยชน์ การที่เราบวชเณรกันในลักษณะอย่างนี้ เป็นความหวังของบิดามารดาครูบาอาจารย์ว่าจะทำอะไรที่มันยังขาดอยู่ บกพร่องอยู่ ไม่สมบูรณ์นั้นหนา ให้มันเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ขึ้นมา ให้เด็ก ๆ ได้รับการศึกษาอย่างไร จึงจะเรียกว่าสมบูรณ์ เราก็จะทำกันอย่างนั้น
เดี๋ยวนี้เราเห็นว่าในโรงเรียนนั้น เขาก็เรียนกันแต่หนังสือ หรือวิชาบางอย่างที่จะเป็นอาชีพต่อไปข้างหน้า ไม่ได้มีการเรียนในส่วนธรรมะเลย คนที่ไม่รับการเล่าเรียนธรรมะเลยนั้น จะไม่ได้รับความรู้หรือการอบรมในการที่จะเป็นมนุษย์ให้ถูกต้อง รู้หนังสือมาก ๆ รู้อาชีพมาก ๆ มันก็ไม่ได้เป็นที่แน่นอนว่า เขาจะเป็นคนที่ดี คนรู้หนังสือมาก คนฉลาดนั้น ถ้ามันเป็นคนอันธพาล มันอันธพาลสุดยอด คนที่เฉลียวฉลาดในวิชาชีพนี่ ถ้ามันจะคดโกง มันก็คดโกงสุดยอด มันไม่เป็นที่แน่นอนว่า เรียนเพียงเท่านี้มันปลอดภัย ฉะนั้น เราจะต้องเรียนอีกอย่างหนึ่ง เป็นอย่างที่ ๓ คือเรียนธรรมะ เพื่อไม่ให้กลายเป็นคนคดโกง ฉะนั้น เธอก็คงจะเข้าใจเรื่องนี้ ถ้าไม่เข้าใจ ก็เข้าใจเสียเดี๋ยวนี้ ที่ว่าเราจัดให้มีการบวชชั่วคราว และอบรมกันเป็นพิเศษ
ถ้าเขาจะพูดว่า อบรมลิง ๒๓๖ เอ้อ, ๒๓๐ ตัว ให้เป็นสามเณร ๒๓๐ องค์นี่ เธอจะโกรธหรือไม่โกรธ ที่ว่าลิงนั้นก็หมายความว่า มันยังไม่บังคับตัวเอง ไอ้ลิงมันหลุกหลิก หลุกหลิก หลุกหลิกอยู่เสมอแหละ ใคร ๆ ก็เห็นลิงว่ามันอยู่นิ่งไม่ได้ มันหลุกหลิก หลุกหลิก หลุกหลิกเสมอ ก็มันไม่มีการบังคับตัว นี่เรามาฝึกฝนบวชนี่เพื่อบังคับตัวให้หายเป็นลิง มันก็เป็นเณร ฉะนั้น ใครจะมานั่งหลุกหลิก ๆ อยู่ตรงนี้ เอานิ้วจี้คนนั้น เอานิ้วจี้คนนี้ แม้กำลังมานั่งฟังอย่างนี้ นี่มันยังเป็นลิงอยู่ การอบรมยังไม่ได้ผล บางตัวก็นั่งอ้าปากหวอ มันก็เป็นลิงเหมือนกัน บางตัวก็เอานิ้วไปแหย่คนนั้นไปแหย่คนนี้ที่อยู่ข้าง ๆ หลุกหลิก ๆ อย่างนี้ มันก็ยังเป็นลิงอยู่เหมือนกัน มันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การอบรมนั้นมีผลหรือไม่มีผล
ฉันอยากจะเน้นตรงที่บังคับตัว ถ้าบังคับตัวได้ มันก็ไม่หลุกหลิกสิ ก็ไม่ทำอะไรชนิดที่ไม่รับผิดชอบ ไม่มีระเบียบ เด็ก ๆ เกิดมาในตระกูลป่าเถื่อน พ่อแม่มันไม่รู้ พ่อแม่มันไม่สั่งสอน มันไม่อบรมลูกให้ดี มันก็มามีปัญหาเมื่อมันโตขึ้น ๆ ถ้ามันเกิดมาในตระกูลที่มีสัมมาทิฏฐิ เขาก็ควบคุมอย่างดีมาตั้งแต่เล็ก ตั้งแต่กินนม ตั้งแต่อ้อนแต่ออก เขาว่าอย่างนั้นมันก็รู้ประสีประสา รู้ประสีประสา อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ มันก็ทำถูกมาตั้งแต่เล็ก ๆ จนเป็นนิสัย จนเป็นนิสัย โตขึ้นก็เป็นนิสัย แล้วมันก็ดี
ทีนี้ถ้าไม่ได้อบรมมาตั้งแต่เล็ก มันก็ผิดมาตั้งแต่เล็ก ไอ้ผิดนั้นก็ติดมาเป็นนิสัยมาจนโต มันก็มีปัญหาอีก นิสัยผิด ๆ เลวร้ายติดมาจนโต จนเป็นนักเรียน จนเป็นนักศึกษา ไม่บังคับตัวเอง เห็นแต่ความสนุกสนานเอร็ดอร่อย แล้วก็เห็นแก่ตัวนั่นแหละ คือมันทำตามใจตัว มันเห็นแก่ตัว
ฉะนั้น ขอทบทวนให้พวกเธอไปนึกดูว่า มันควรจะมีอะไรที่เป็นความถูกต้อง ที่เราจะต้องรู้ต้องเข้าใจมาตั้งแต่เล็ก ๆ ให้ติดเป็นนิสัย นับตั้งแต่ว่า รักบิดามารดา ไม่อยากให้บิดามารดาร้อนใจ พอพ่อหรือแม่บอกว่ากูเสียใจเท่านั้นแหละ ไอ้เด็กคนนั้นมันก็เสียใจอย่างยิ่งด้วยเหมือนกัน เพราะมันรับผิดชอบ เพราะมันรู้สึกว่ามันได้ทำให้แม่เสียใจ ได้ทำให้พ่อเสียใจ นี่ถ้านิสัยอย่างนี้ติดมามันก็ดีมาก จะไม่ทำให้ใครต้องเสียใจต้องเดือดร้อน เขายอมอดทนอดกลั้นทำเสียเอง ไม่ต้องให้คนอื่นเดือดร้อน นี่เขาไม่เห็นแก่ตัว เขาเห็นแก่คนอื่น นิสัยนี่ดีมากสำหรับจะเป็นมนุษย์ที่ดีจนตลอดชีวิต คือไม่เห็นแก่ตัว
เห็นแก่ตัวนั้น ความหมายมันลึก คือนับตั้งต้นตั้งแต่ว่า มันเอาตามใจตัว ถ้ามันเห็นแก่ตัว เอาตามใจตัว ตามสบายของตัว ไอ้สัญชาติเลวนั่น กินข้าวมันก็ไม่ล้างจาน ไอ้เด็กสัญชาติเลว กินข้าวมันก็ไม่ล้างจาน ทิ้งให้สกปรกเหม็นเบอะอยู่ตรงนั้น มันก็ไม่ ไม่ ไม่รู้สึกอะไร แล้วมันก็ไม่รู้สึกว่านี่เลว นี่มันเป็นคนไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่มีความละอาย เรียกว่ามันสัญชาติเลว บางทีพ่อแม่ต้องมาดุด่าว่ากล่าวสั่งสอนให้มันล้าง ให้มันล้างให้สะอาดด้วย และให้มันเก็บให้เรียบร้อยด้วย อย่างนี้เป็นต้น
ทีนี้ที่จะเป็นมากอีกอย่างหนึ่งคือ มันไม่รักของ ไอ้เด็กสัญชาติเลว มันไม่รักของ มันทำของแตกหักเสียหาย ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ อย่างเช่น ผ้า มันก็ไม่ซัก แล้วมันก็เอาไปทิ้งไว้ที่ซัก แล้วมันก็ไม่ซัก หรือผ้าอาบน้ำนี่มันก็ไม่ซัก สบงมันก็ไม่ซัก ถ้ามันซักมันก็ทิ้งไว้ที่นั่น เพราะมันมีตัวอื่นนุ่ง นี่มันไม่รักของ แล้วมันจะทำอะไรเสียหายเรื่อยไปแหละ แม้แต่ดินสอปากกา มันใช้อย่างลิง มันใช้อย่างฉิบหายหมด ไม่ทนทานไปตามอายุของดินสอปากกา มันไม่รักของ ฉะนั้น โตขึ้นมาก็ไม่รักของ ของกลางก็ไม่รัก ของโรงเรียนก็ไม่รัก ของสาธารณะก็ไม่รัก เพราะแม้แต่ของมัน มันก็ยังไม่รัก สันดานเลวมันเป็นอย่างนี้
ขอร้องว่าอย่าได้เหลือยู่เลย ในบรรดาเณรทั้งหลายนี่ สันดานเลวนี้อย่าได้เหลืออยู่เลย คือไม่รักของ ของเราก็ตาม ของพ่อแม่ก็ตาม ของครูบาอาจารย์ก็ตาม ของส่วนรวมก็ตาม บางทีเขาให้ใช้ให้บริโภคนี่ ดินสอ ปากกา สบง จีวร บาตร อะไรก็ตาม ต้องถือว่ามันเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ซื้อมาไม่กี่สตางค์ แล้วเอามาใช้กัน แล้วก็ทิ้ง มันเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าเขาให้มาด้วยศรัทธา พ่อแม่ก็ดี ใครก็ดี ที่ให้สบง จีวร บาตร ดินสอ ปากกา มานี่ มันให้ด้วยศรัทธา มันให้ด้วยความรักและความหวังดี นี่ถ้าเราเป็นคนสันดานเลว เราก็ไม่รู้จักรักของเหล่านั้น ทำมันเสียหายไปในระยะเวลาอันสั้น มันไม่ ไม่ ไม่รู้ว่ามันมีค่า แล้วมันไม่ ไม่ ไม่รู้ว่ามีค่าทางจิตใจ คือของที่เขาให้มาด้วยความรัก ค่าทางวัตถุนั้นไม่กี่บาทไม่กี่สตางค์ แต่ค่าทางจิตใจนั้น ตีราคาไม่ไหว มันมากเหลือเกิน นี่มันไม่รู้จักค่า
ฉะนั้น ขอให้สำรวมระวัง รู้จักรักสิ่งของ บาตร จีวร เครื่องใช้ไม้สอยประจำตัวภิกษุสามเณร ถ้ามันไม่รู้จักค่าเพราะมันคิดว่ามันได้มาฟรี มันได้มาเปล่า ทั้งพ่อแม่มาให้มาก็ซื้อมาไม่กี่สตางค์ เราไม่รักษา เราไม่สงวน เราไม่ต้องถนอมอะไร นี่คือความโง่ ทว่า ความโง่นี้มันเหลืออยู่ ต่อไปคนนั้นมันจะต้องวินาศโดยไม่ต้องมีใครมาแช่งก็ได้ มันจะไม่รักค่าของสิ่งของ แล้วมันจะไม่รักค่าของทุกสิ่ง กระทั่งชีวิตของมันเอง มันเอาไปใช้อย่างเลวที่สุด อย่างโง่ที่สุด ชีวิตของมันก็ไม่มีค่า มันคงจะไปตายอย่างสุนัขอย่างหมาสักวันหนึ่งเป็นแน่นอน เพราะมันไม่เห็นว่าชีวิตมีค่า เพราะมันได้อบรมมาอย่างผิด ๆ ตั้งแต่เล็ก ๆ ไม่รู้ว่าไอ้สิ่งเหล่านี้มีค่า
เราเห็นบ่อย ๆ พระเณรสันดานเลว ทิ้งสบู่บ้าง แปรงถูฟันบ้าง ผ้าบ้าง สบงบ้าง ให้เกลื่อนกลาดไปหมด ให้ปลวกมันกิน นี่แหละมันไม่เหมาะแก่การเป็นบรรพชิต มันยังเป็นลิง มันไม่ มันยังไม่ได้เป็นเณร ไม่ได้เป็นเณรแล้วมันก็เป็นพระไม่ได้ สามเณรแปลว่าผู้ที่จะเป็นสมณะ ที่จะเป็นบุคคลชั้นดีเลิศ นี่สมณะ สมณะนี่มันเป็นคนชั้นดีเลิศ สามเณระคือผู้ที่จะเป็นสมณะ เธอดูสิ มันมีค่ากี่มากน้อย สมณะมีค่ากี่มากน้อย เราเป็นสามเณรแล้ว จะต้องเป็นสมณะให้จงได้ เพราะว่าสามเณรนี่คือผู้ที่จะเป็นสมณะ ฉะนั้น เธอต้องยินดีพอใจรับการอบรมให้เปลี่ยนจากลิงมาเป็นเณร
ก่อนนี้เอาแต่เล่นแต่หัว แต่หลุกหลิก แต่หยอกแต่ล้อ แต่กิน แต่สะดวกแต่สบาย ไม่มีระเบียบ ไม่มีอะไร นี่เป็นลิง อยู่ในโรงเรียนก็ได้ อยู่ที่ไหนก็ได้ ทีนี้ถูกอบรมขจัดสันดานนั้นออกไป มันก็เป็นเณร ก็เป็นสามเณรขึ้นมา จะเป็นสมณะในอนาคต ประโยชน์สูงสุดมันอยู่ที่นั่น ฉะนั้นอย่า อย่าเห็นแก่สะดวกสบายอิสระอะไรมันมากนัก ยินดีที่ยอมเสียอิสรภาพชนิดนั้นมาอยู่ในการบังคับบัญชา เชื่อฟังครูบาอาจารย์หรือผู้อบรมเรา ให้ได้กลายเป็นสามเณรที่ดีตามความประสงค์มุ่งหมาย สึกออกไปแล้วก็ยังมีความเป็นสามเณรที่ดีติดไปด้วย ก็ไปเป็นนักเรียนที่ดี เรียนหนังสือดี ทุกอย่างจะทำถูกต้อง ไม่มีอะไรที่น่าตำหนิ สังคมก็เคารพนับถือ แล้วมันก็ใช้ได้
ทีนี้ที่มันมีปัญหาอยู่คือว่า เณรบางคนไม่รู้เรื่องนี้ ไม่รู้สึกอย่างนี้ ไม่ ไม่อยากรับการอบรม บิดพลิ้วการอบรม หน้าไหว้หลังหลอกอยู่ตลอดเวลา จนการบวชสิ้นไป มันก็ไม่รับการเปลี่ยนแปลงอะไร มันก็ยังเท่าเดิม ฉะนั้นเราจะต้องแน่ใจนะว่าเราจะยินดีรับการอบรม อันคำว่าอบรมนี่มีความหมายอย่างไร ถ้ามีความหมายว่า ถ้าเธอคิดว่ามันสนุก อย่างนั้นก็เห็นจะผิดแล้ว สำหรับคนธรรมดาไม่รู้สึกสนุกหรอก เว้นว่าแต่คนมันฉลาดมากนั่น จึงจะเห็นว่าการอบรมเป็นของสนุก คนธรรมดาเห็นว่าการอบรมบังคับนั่นบังคับนี่ ห้ามนั่นห้ามนี่ ไม่สนุกเลย แต่ความจริงนั้นมันต้องทำอย่างนั้น มันต้องห้ามอย่างนั้น มันต้องห้ามอย่างนี้ บังคับให้ทำอย่างนั้น บังคับให้ทำอย่างนี้ จนเกิดความโกรธเคืองขึ้นมาก็ได้ นี่แหละ ยังไม่รู้ว่าอบรมนั้นหมายความว่าอย่างไร
มันก็มาแต่คำว่าพรหมจรรย์ บวชนี่ บวชพระก็ตาม บวชเณรก็ตาม มันเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติอย่างดีเลิศ เมื่อมันเลวอยู่ ก็แก้ไขอย่างตรงกันข้าม เพราะฉะนั้นมันเจ็บปวด มันต้องเจ็บปวด ระเบียบบังคับทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดในใจ ถ้ามันขูดเกลาความเลว ๆ ออก มันก็ต้องเจ็บปวด เหมือนว่าเราจะขูดเนื้อร้าย ๆ ออก ให้เนื้อมันสะอาด แล้วจะใส่ยาให้แผลหายมันก็เจ็บเป็นธรรมดา นี่พรหมจรรย์ในพระศาสนาก็เป็นอย่างนั้น มันจะขูดไอ้ของเลวร้ายในจิตใจ เพราะฉะนั้นจิตใจมันก็รู้สึกเจ็บปวด ถ้าไม่ทนก็เลิกกัน ก็เลิกการอบรม ถ้าทนได้ก็ได้รับการขูดเกลาจนเกลี้ยง จนดี จนหาย จนสบาย จนหมดปัญหาในอนาคต
ฉะนั้น เธอจะต้องรับการขูดเกลา ยินดีรับการขูดเกลา ควรจะสัญญากันตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ก่อนบวช หรือ หรือเมื่อแรกจะบวช จะต้องสัญญาก่อนว่ายินดีรับการขูดเกลา คือเจ็บปวดตลอดเวลาที่จะบวช อย่างนี้เป็นดีแน่ คือจะไม่โกรธครูบาอาจารย์ที่เขากวดขันในเรื่องการอบรม กลับเห็นเป็นความรัก เห็นเป็นความเอ็นดู กรุณา เมตตา ปรานี จะมาช่วยให้ผมดี มาช่วยให้ผมหาย อย่างนี้ใช้ได้
นี่จะได้สัญญากันมาแล้วเมื่อวันแรกบวชหรือไม่ก็ไม่รู้ ที่ดีที่ถูกที่ควร ควรจะมีหนังสือสัญญากันแล้วว่า ข้าพเจ้ายินดีรับการขูดเกลาอย่างเต็มที่ จะไม่ดื้อ จะไม่เถียง จะไม่บิดพลิ้ว จะไม่หลีกหนี จะไม่หน้าไหว้หลังหลอก สัญญากันอย่างนี้เมื่อวันบวช พอบวชเข้ามาแล้วให้มันจริงอย่างนั้น มันก็ขูดเกลาไอ้เลว ๆ ออกไปได้มากหรือได้หมด ถ้ามีอะไรเลว ๆ ติดอยู่ก่อนบวช มันก็ขูดเกลาไปได้หมด เราก็ได้รับสิ่งที่ดีเลิศคือพรหมจรรย์ ความประพฤติอย่างดีเลิศ ก็กลายเป็นคนที่ดีขึ้นมา ได้ผลคุ้มค่าของการบวช เปลืองจีวร เปลืองเวลา เปลืองแรงงานของบิดามารดา อุปัชฌาอาจารย์ หมดเปลืองทุก หมดเปลืองทุกอย่างหลายอย่าง แล้วก็ไม่ได้รับผลคุ้มกัน อย่างนี้มันก็พลอยโง่กันไปหมด ทั้งหมดไม่ยกเว้นใคร เพราะมันทำอะไรไม่ได้ประโยชน์
มันขึ้นอยู่กับเราคนเดียว ทำให้ดี ทำให้จริง แล้วมันก็ได้รับประโยชน์ มันก็เลยคุ้มค่า ถ้าเธอเปลี่ยนนิสัยลิงมาเป็นนิสัยเณรได้แล้วล่ะก็เกินค่า ได้ผลเกินค่า ทีนี้อย่าหลุกหลิก ๆ ชนิดที่ไม่บังคับตัวเองกันอีกต่อไป อย่าจะเอาแต่กิน แต่เล่น แต่สนุกสนานสะดวกสบายอีกต่อไป เอาความถูกต้อง เอาระเบียบวินัยเป็นหลัก นี่จะได้พิสูจน์ให้คนเขาเห็นทีว่า ไอ้การบวชเณรนี่ไม่เป็นหมันเปล่า ไม่ทำอย่างโง่เขลา เพ้อ ๆ กันไป จะเป็นสิ่งที่มันมีประโยชน์ให้เกิดมนุษย์ที่ดีขึ้นมา โดยจำนวนเท่านี้ เท่าที่เห็นอยู่หน่วยหนึ่งแล้วแน่นอน
หน่วยอื่นก็เหมือนกัน ควรจะเป็นอย่างนั้นทั่วกันไปหมด ไม่ว่ามันจะมีการบวชที่ไหน อบรมกันที่ไหน สักวันหนึ่ง เธอก็จะโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ เป็นบิดามารดา เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ เธอจะเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น จะเห็นว่าการกระทำนี้จำเป็นอย่างยิ่ง เป็นบุญกุศลของเราเหลือเกิน ที่เผอิญได้มารับการอบรมอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เธออาจจะไม่เห็น อาจจะเห็นเป็นเรื่องจู้จี้ เป็นเรื่องฝืนน้ำใจ เรื่องข่มเหงน้ำใจ นี่ไปทางหนึ่งอย่างนี้ก็ได้ หรือมิฉะนั้นก็เห็นว่าสนุกดี ทำกันเป็นฝูง ๆ พร้อม ๆ กันอย่างนี้ มันสนุกสนานดี อย่างนี้ก็ได้ ถ้าอย่างนี้แล้ว มันก็เป็นอันว่าไม่คุ้มค่า
แล้วฉันก็พูดมากไปจนเธอจะลืมไปแล้วว่า ฉันต้องการจะพูดเรื่องการบังคับตัวเอง อะไร ๆ จะมารวมอยู่ที่การบังคับตัวเอง มีการบังคับตัวเองแล้วมันก็จะแก้ปัญหาได้หมด เช่น หลุกหลิกเป็นลิง ถ้าบังคับตัวเอง มันก็หายเป็นลิง หายหลุกหลิก มันไม่รักของ มันสุรุ่ยสุร่าย มันใจลอย ถ้าบังคับตัวเองเสีย มันก็รักของ มันก็มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย รักษาให้มันสะอาด ให้มันทนทาน ถ้ามันสุรุ่ยสุร่าย มันก็เลิกสุรุ่ยสุร่าย ถ้ามันใจลอย อย่างนั้นก็บังคับแล้วมันก็หายใจลอย เช่น เราฝึกสมาธินี่ ถ้าเราฝึกจริงไม่หลอกกันนะ มันเป็นการบังคับตัวเองอย่างยิ่ง แล้วมันก็แก้ใจลอยได้ แก้การบังคับจิตไม่ได้ ได้ขึ้นมา นี่เราก็เป็นผู้บังคับจิตได้ ให้นึกถึงลิงไว้เสมอว่า ลิงไม่มีการบังคับตัวเอง มันหลุกหลิกเป็นลิงอยู่ตลอดเวลา เราเอานั้นมาทำในใจแล้วก็ละอาย ละอาย ละอาย อย่า อย่าเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย อย่าดื้อ อย่าด้าน อย่า อย่าไม่ละอาย ถ้าเรามีอะไรผิดพลาดอยู่ มันก็จะออกไปหมด เพราะการบังคับตัวเอง
คำสอนของพระพุทธเจ้ามีอยู่มาก เรื่องการบังคับตัวเองทั้งนั้น เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา รวบยอดนี่ก็เป็นเรื่องบังคับตัวเอง จะปฏิบัติธรรมะข้อไหน สติ สัมปชัญญะ ขันติ โสรัจจะ ถ้าว่าไปทั้งหมด ทั้งหมดตำรานั้นเป็น มา มารวมใจความอีกทีว่าต้องบังคับตัวเอง ถ้าเราเป็นคนไม่ซื่อตรง หลอกลวงได้แม้แต่บิดามารดา เราก็บังคับตัวเอง แล้วมันก็หาย หายหลอกลวง เลิกหลอกลวงกันไปเสีย ฉะนั้นก็จงมีเป้าหมาย ที่สรุปได้สั้น ๆ ว่าเราจะเป็นอะไร จะเป็นอย่างไร เราจะเป็นมนุษย์ที่ดี เราจะไม่เป็นคนชาติเลวชาติชั่ว
มันมีอยู่ ๒ ฝ่าย จะเป็นไอ้คนชาติชั่ว หรือจะเป็นมนุษย์ที่ดี ถ้าเรารู้สึกว่า ให้เป็นไอ้คนชาติชั่วนี่ไม่ไหว มันเสียชาติเกิดจริง ๆ ด้วย ก็ตั้งเป้าหมายให้ที่ว่าจะเป็นมนุษย์ที่ดี มนุษย์ที่ดีสร้างขึ้นมาด้วยการอบรม การอบรมทั้งหมดสรุปอยู่ที่บังคับตัวเอง เราบังคับเอง ครูบาอาจารย์ก็มาแนะนำให้เราบังคับตัวเอง ครูบาอาจารย์จะมาบังคับเราโดยตรงไม่ได้ มันคนละคน จิตของเรา เราต้องบังคับเอง ครูบาอาจารย์เขาก็คอยแนะนำคอยแวดล้อมให้เรามีการบังคับตัวเอง ให้เป็นคนซื่อตรงต่อตัวเอง คนเราถ้าว่ามันไม่รู้จักตัวเองแล้ว มันก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม
นี่เราจะต้องได้รับการชี้แจงพอสมควร ตลอดเวลาที่บวชนี่ ให้รู้ว่าเกิดมาทำไม เป็นต้น ให้เรารู้จักตัวเองว่าเราเกิดมาเป็นคน เพื่อเป็นมนุษย์ที่ดีในชั้นสูงสุด ไม่ใช่เกิดมาสำหรับเลว เกิดมาสำหรับดี และมันดีได้โดยธรรมชาติ ธรรมชาติก็สร้างมาให้เลว จะเอาไปทำให้เลวก็ได้ จะเอาไปทำให้ดีก็ได้ เดี๋ยวนี้เราเอามาทำให้ดี ให้ดีกว่า มุ่งหมาย หมายว่าจะไปแต่ข้างฝ่ายดี รู้จักตัวเองว่าธรรมชาติมันให้มาอย่างนี้ ให้เกิดมาเป็นคน เป็นมนุษย์นี้มันเพื่ออย่างนี้ และทำได้ เชื่อตัวเองว่าทำได้ แล้วก็รักตัวเอง แล้วมันก็ต้องทำ อย่าให้มันเสียชาติเกิด บังคับตัวเองในเรื่องศีลก็อย่าให้เสียหาย ในเรื่องสมาธิก็อย่าให้เสียหาย ในเรื่องสติปัญญาก็อย่าให้มันผิดพลาด มันถูกเสมอไป นี่บังคับตัวเองก็สรุปได้อย่างนี้
ฉะนั้น ต้องอดกลั้นอดทน เมื่อกิเลสมันมาบังคับให้เหลวไหล เราก็ไม่เอากับมัน ก็คือไล่กิเลสออกไป นี่ก็เรียกว่า บังคับตัวเอง กิเลสเป็นของใหม่เพิ่งมา ไล่กลับไปได้ ให้นิสัยสันดานของเรามันบริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจากกิเลสอยู่ ระวังอย่าให้กิเลสเข้ามายึดครองในจิตใจ มันก็เป็นเรื่องของการระวังบังคับรอบด้าน แล้วก็มีจิตใจชนิดที่ดี ที่น่าเลื่อมใส ที่ว่าเห็นแล้ว ดูเห็นแล้วก็พอใจตัวเอง สบายใจตัวเอง เป็นสุขในตัวเอง เคารพนับถือตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ เพราะว่าไม่เสียทีที่เกิดมา
ฉันอาจจะเคยพูดคำนี้มาแล้วว่ายกมือไหว้ตัวเองได้ ก็พูดอีก จะพูดอีกไม่มีที่สิ้นสุดว่า ทุกคนนั้นพยายามกระทำจนถึงกับยกมือไหว้ตัวเองได้ กลับไปนี้ ไปอยู่ที่พักที่สงัดแล้ว ใคร่ครวญดูทีว่ายกมือไหว้ตัวเองได้ไหม ที่แล้วมาจนถึงวันนี้ ถ้ายกมือไหว้ตัวเองไม่ได้ก็ทำต่อไป ทำให้ดีกว่าเดิม ทำให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนถึงกับว่าวันหนึ่งเราจะยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่ เป็นมนุษย์ชั้นเลิศ ชั้นดีเลิศนะ
ทุก ๆ อย่างที่อาจารย์เขาสอนมาอย่างไร ให้ประพฤติปฏิบัติอย่างไร ให้ขูดเกลาความชั่วในสันดานอย่างไร ก็ทำไป ทำไป ทำไป เช่นว่า ต้องมาทำวัตรสวดมนต์ตามเวลานี่ มันก็ขูดเกลาเอาของสกปรกคือ ความขี้เกียจ ความเหลวไหล ความโลเล ความไม่เอาจริง ถ้ามันลำบากบ้างก็ต้องทน เพราะว่าเราได้รับผลดีเกินคาด คือเราจะกินอาหารอย่างเหมือนบรรพชิตด้วยความสันโดษ ด้วยความสำรวมระวัง ด้วยความไม่มัวเมาในอาหาร นี้มันก็ขูดเกลาไอ้ความสะเพร่า ความละโมบโลภลาภ ความตะกละ ความอะไรได้ ฉะนั้น เณรบวชแล้วหัดฉันอาหารแบบนี้ กว่าจะสึกมันก็เปลี่ยนนิสัยไอ้ตะกละมัวเมาโลเลอะไรได้ จนไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินอีกต่อไป ถ้ามันเป็นคนตะกละ เงินเดือนมันก็ไม่พอใช้ มันเอาไปกินเหล้ากินยา กินอาหารอย่างเล่นหัวสนุกสนานหมด ฉะนั้น เราจะต้องควบคุมให้ได้
ทีนี้จะพูดกันทุกเรื่องมันก็ไม่มีเวลา ยกตัวอย่างให้ฟังแต่บางเรื่องก็พอแล้ว พอจะรู้ได้เองว่า ไอ้สิ่งนี้ทำลงไปแล้วมัน มันกลายเป็นไอ้ชาติชั่ว มันไม่เป็นมนุษย์ที่ดีได้ อย่าเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ที่เรียกว่าความชั่วความไม่ดีนั้น อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่เป็นไร เล็กน้อย ไอ้คนที่เห็นอะไรเล็กน้อยนี่ มันจะโง่ลง โง่ลง โง่ลง จนเรื่องใหญ่ ๆ มันก็เห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องสูบบุหรี่ ไอ้คนบรมโง่มันก็เห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย มันก็สูบบุหรี่แล้วมันก็ไม่ละ ใคร ๆ จะชวนให้ละเท่าไร มันก็ไม่ละ มันก็เป็นคนที่เลวลง คือมันอ่อนแอ มันบังคับตัวเองไม่ได้ มันมีความโง่มากขึ้น สิ่งที่ไม่มีประโยชน์มันยังทำ จะไม่ให้ว่าโง่อย่างไร ถ้าสิ่งนี้มันให้โทษ ปอดมันอยู่ดี ๆ เอาควันไปรมเข้าให้ปอดมันเสียเร็ว ๆ นี่มันโง่กี่มากน้อย คนไหนสูบบุหรี่เอาไปคิดดูด้วย เณรทำไม่ได้หรอก ถ้าทำก็หมดความเป็นเณร เพราะมันโง่เกินไป จะไม่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าได้ ข้อแก้ตัวว่าเขาก็สูบมาไม่เห็นเป็นอะไร แล้วเขาไม่สูบแล้วเขาก็เสียเพื่อน เพื่อนเขาไม่คบ นี่มันยิ่งโง่หนักเข้าไปอีก มันโง่เพิ่มเข้าไปอีก สูบบุหรี่มันโง่แล้ว มันยังแก้ตัวว่าถ้าไม่สูบบุหรี่มันหาเพื่อนไม่ได้ นี่มันโง่ครั้งที่สอง โง่ครั้งที่สาม โง่ครั้งที่สี่ ที่ห้า ที่หก ต่อไป
ไอ้คนโง่นี่ ไม่ควรจะมาอยู่ในวัดของพระพุทธเจ้าเลย เพราะพุทธะแปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้จริง ตื่นจากหลับคือความโง่ แล้วก็เบิกบานเป็นสุขอยู่ ไม่มีปัญหา จึงยกตัวอย่างว่า อย่าเอาควันไฟมารมปอดด้วยการสูบบุหรี่เลย ปอดมันดี ๆ อยู่ นี่สามเณรจงฟังดู สามเณรองค์ไหนสูบบุหรี่ สามเณรองค์ไหนลักแอบสูบบุหรี่ สามเณรองค์ไหนเตรียมตัวว่าสึกออกไปแล้วกูจะสูบบุหรี่ให้สมให้สนุกไปอีกนี่ ก็จงไปฟังไว้ คิดดูไว้ ถ้ามันฉลาดอยู่แล้วไปทำให้มันโง่ มันดีอยู่แล้วไปทำให้มันเสีย นี่ยกตัวอย่างเรื่องบุหรี่นะ มันยังมีอีกมากมายนะ ซึ่งมันจะมีอีกหลายเรื่องทีเดียว เพราะว่ามันไม่บังคับตัวเอง มันไม่บังคับตัวเองมันก็ไปสูบบุหรี่ มันไม่บังคับตัวเองมันก็ทิ้งบุหรี่ไม่ได้ มันก็ติดบุหรี่ไปจนตาย มันต้องตายเร็วเข้าแหละ เพราะปอดดี ๆ เอาควันไปรมให้มันเสียเร็วเข้า มันไม่เป็นหยูกเป็นยาช่วยแก้ไขอะไรได้เลย
มีข้อความที่สำคัญที่น่าสนใจอยู่ประโยคหนึ่งว่า อติโรจติ ปัญญายะ สัมมาสัมพุทธสาวโก ที่เขาเขียนไว้ที่ประกาศนียบัตร พระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมรุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญา ย่อมเรืองอยู่ด้วยปัญญา เครื่องทำความรุ่งเรืองมันไม่มีอะไรจริงด้วยนอกจากปัญญา ไอ้ความโง่มันทำให้รุ่งเรืองไม่ได้ ทีนี้ เราต้องมีปัญญา เราจึงจะรุ่งเรือง ถ้าเราอยากจะรุ่งเรือง เราต้องสร้างปัญญา สะสมปัญญา เพิ่มพูนปัญญา ถ้าปัญญาก็ไม่โง่ ถ้าไม่โง่ ก็ไม่มีทำอะไรผิดพลาดอีกต่อไป
นี่เราฉลาดเองไม่ได้ เราก็ต้องศึกษาวิชาความรู้ของบัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข บัณฑิตทั้งหลายในสากลจักรวาลนี้มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข คือเลิศกว่าใคร แล้วก็ศึกษาวิชาความรู้ สติปัญญาของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือเลิศ คือสูงสุด อยู่ด้วยปัญญา นี่เราเป็นพระ เป็นเณร เป็นสาวกของท่าน เราก็ต้องเลยรุ่งเรืองด้วยปัญญา รุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญา คำว่ารุ่งเรืองในที่นี้ก็หมายถึง ชีวิตนี้มัน มันสะอาด มันแจ่มใส มันสดชื่น มันไม่มีความทุกข์ มันไม่มีความโง่ ไม่มีความมืดมน เป้าหมายของเราจะมีชีวิตที่สะอาด สว่าง สงบ ไม่สกปรก ไม่มืดมัว ไม่เร่าร้อน นี่มันจะสำเร็จได้ด้วยปัญญา
รู้สิ่งที่ควรรู้อย่างถูกต้องและสมบูรณ์ แล้วก็แก้ไขไอ้สิ่งผิดพลาด สิ่งเลวร้ายเหล่านั้นให้มันหายไปได้ด้วยปัญญา มีบทว่า ปัญญายะ ปริสุชติ บริสุทธิ์สะอาดได้เพราะปัญญา สิ่งอื่นหรือธรรมะข้ออื่นนี้ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ดีเท่าปัญญาที่จะมาทำให้อะไร ๆ มันสะอาด ทำกายวาจาใจให้สะอาด ทำความคิดความเห็นความเชื่ออะไรให้มันสะอาดนี่ มันต้องปัญญา อย่ามัวหลับตางมโข่ง งมโง่ งมงาย งมอะไรอีกเลย นี่เหมือนกับว่าเกิดใหม่ล่ะทีนี้
ถ้าได้รับการอบรมถูกต้องเพียงพอแล้ว มันก็จะมีอาการเหมือนกับว่าเกิดใหม่ มันจะไม่โง่อีกต่อไป มันจะเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้นทุกที สวดมนต์ก็สวดอยู่ทุกวัน พระพุทธเจ้าผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานนี่ อุตส่าห์ท่องไว้ทุกวัน เพื่อกันลืม เราต้องรู้ รู้ตามที่เป็นจริง ถ้าตื่นจากหลับคือความโง่ แล้วก็เบิกบานอยู่ด้วยความสุข ไม่มีความทุกข์ ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน อย่าไปทำให้มันโง่ อย่าไปทำให้มันหลับ อย่าไปทำให้มันหดเหี่ยว เพราะว่ากิเลสมันเผาลน
เอาละ อยากจะให้ทุกเณรนี่ คิดดูว่ามันได้ผลอะไรบ้าง ที่เราบวชแล้วมาจนถึงวันนี้ มันมีอะไรดีขึ้นบ้าง ไล่ไปดู เรียงอย่างไปเลย มันเสียทีที่ว่าเราไม่ได้สำรวจกันทีแรก ไม่ได้ทดสอบกันแต่ทีแรกว่า มีความโง่ มีความเลว มีความชั่วอะไรมากี่อย่างติดตัวมาแล้ว แล้วมาบวชนี่เพื่อจะแก้ไขความโง่ ความชั่ว ความเลวอะไรบ้าง นี่ไม่ได้ทำ เข้าใจว่าไม่ได้ทำ เพราะว่าระบอบระเบียบแผนการอบรมเณรนี่ มันยังทำอย่างที่เรียกว่าสมัครเล่น หรือเพ้อ ๆ ไป ไม่ประกอบด้วยหลักวิชา
ถ้าประกอบด้วยหลักวิชาจริง ๆ แล้ว เณรทุกคนที่จะมาบวชต้องมาทดสอบ มาเปิดเผยว่า ผมมีอะไรบ้าง ความชั่ว ความเลวอะไร กี่อย่าง ทำไป ทำลงไปทุก ๆ คนเลย มันไม่เหมือนกันแล้ว มันต่าง ๆ กัน แล้วก็ลงไปในใบแบบฟอร์มทดสอบว่า ผมมีความเลว ความชั่ว ความโง่ ความหลง ความโลเล อะไรกี่อย่าง เขียนเป็นรายการไปเลย แล้วก็ลงชื่อรับผิดชอบว่า ผมยินดีที่จะรับการขูดเกลาอันนี้อย่างเจ็บปวด จะไม่โกรธอาจารย์ จะไม่ประชดประชันแดกดันอะไรต่ออาจารย์ผู้จะให้การอบรมขูดเกลา แล้วเซ็นชื่อสัญญารับรองกัน แล้วทีนี้ อาจารย์ที่เป็นหัวหน้าหมู่ ก็มาพิจารณาดูว่าเณรคนนี้ มันเป็นโรคอะไร ต้องแก้ไขอย่างไร เณรคนนั้นมันเป็นโรคอะไร ต้องแก้ไขยังไง แล้วเณรคนโน้นเป็นโรคอะไร ทำรับผิดชอบหมด เรียกว่าตนจะต้องอบรมเณรสัก ๑๐ รูป ๑๕ รูป ๒๐ รูป ทีนี้ เณรก็ต้องดีจริง ๆ เขาอบรมแก้ไขขูดเกลาก็ไม่โกรธ ยินดีปฏิบัติตาม ไม่เท่าไรหรอก ไม่ ไม่ทันสึกเลย มันคงจะได้รับการแก้ไขหมดสิ้น ขูดเนื้อร้ายออกหมดสิ้น และใส่ยาให้หายหมดทุกโรค อย่างนี้จะดีไหม นี่เรียกว่าทำจริงกันแล้ว ไม่ใช่ทำอย่างสมัครเล่น ละเมอ ๆ หรือว่าทำอย่างความคิดนึกชั่วขณะ ไม่มีหลักวิชา
เอาล่ะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำ ฉันก็อยากจะขอร้องว่า เณรทุกเณรจงทำขึ้นมา บอกอาจารย์ว่า ผมมีโรคร้ายอย่างไรบ้าง ช่วยขูดเกลาให้ที ระหว่างนี้แหละ กว่าจะสึกนี่ก็คงจะทำได้ไม่น้อยเหมือนกันแหละ จะได้สะอาดขึ้น หายโรคทางวิญญาณมากขึ้น แล้วได้ผลจริง นี่กลัวว่า อาจารย์ก็ไม่รู้ว่าเณรคนนี้มันเป็นโรคอะไร ไอ้เณรคนนี้มันก็หน้าไหว้หลังหลอก มันปิดปกปิดซ่อนเร้นความชั่วความอะไรของมันอยู่เสมอ มันก็ไม่ได้รับการขูดเกลา
ฉะนั้น เณรจงเป็นคนไข้ที่ซื่อสัตย์ บอกแถลงโรคตามที่เป็นจริง อย่าปกปิดไว้เป็นความลับ แม้ว่ามันจะละอาย น่าละอาย ก็ไม่ต้องละอาย ต้องบอกกันจริง ๆ เหมือนคนไข้ละอายหมอ มันไม่บอกโรคจริง ๆ มันละอาย หมอก็รักษาไม่ถูกเลยไม่หาย คนไข้ธรรมดาที่โรงพยาบาล ถ้ามันอายหมอ ไม่บอกตามที่เป็นจริงแล้ว หมอก็ยุ่งยากเหมือนกัน เดี๋ยวนี้เราเป็นโรคทางจิตทางวิญญาณ มันยิ่งกว่านั้นอีก มันดูยากกว่านั้นอีก ฉะนั้นต้องสารภาพต้องเปิดเผย ไม่ต้องละอายว่า ผมเลวอย่างไร ผมเลวอย่างไร บอกกันหมด แล้วอาจารย์เขาก็จะหาอุบาย หาวิธีแก้ไขให้เธอ
เข้าใจว่าเด็ก ๆ นี่ต้องเป็นโรคใจลอย หลุกหลิก ไม่รับผิดชอบ นี่จะเป็นโรค โรคแรก โรคพื้นฐานทั่วไป หลุกหลิก ไม่บังคับตัวเอง ใจลอย ไม่ ไม่หนักแน่นมั่นคง แล้วก็ไม่รับผิดชอบอะไร ไอ้โรคไม่รับผิดชอบนี่เลวร้ายที่สุด จะดีจะชั่วไม่รู้ เราจะเอาแต่ประโยชน์ของเรา ไม่รับผิดชอบต่อใคร หน้าที่ที่ควรทำก็ไม่ทำ สิ่งที่ทำได้ก็ไม่ทำ ไม่รับผิดชอบว่าอยู่กันเป็นหมู่เป็นคณะ จะต้องทำอะไรให้แก่หมู่แก่คณะ มันก็ไม่รับผิดชอบ มันคอยหลีกเลี่ยงเสีย ฉะนั้นเธอแก้ไอ้โรคเลวร้ายพื้นฐานนี้ให้หมดไป อย่าเป็นคนหลุกหลิก อย่าเป็นคนใจลอย อย่าเป็นคนไม่รู้จักรับผิดชอบ เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ต้องรับผิดชอบในความเป็นมนุษย์ ฉันเป็นมนุษย์ที่แท้จริงคนหนึ่ง ก็ทำหน้าที่อย่างมนุษย์ที่แท้จริงคนหนึ่งเสมอไป รับผิดชอบ ถ้าฉันเหลวไหลในข้อนี้ มาชี้หน้าด่าฉันเลยก็ได้ ฉันจะไม่เถียงสักคำหนึ่ง
นี่ใครจะ ใครจะยืนยันข้อนี้ได้ ใครจะเปิดเผยและยืนยันข้อนี้ได้ เพราะฉะนั้น ดีที่สุด จริง เป็นคนจริง แม้จะยังโง่อยู่ ก็เป็นคนจริง แล้วก็จะหายโง่ได้ แม้จะเป็นคนชั่วไม่ดีอยู่ ก็จะหายชั่วได้ จะเป็นคน จะกลายเป็นคนดีได้ ขอให้มันจริงอย่างนี้ว่า เพราะถ้าเราเป็นคนชั่ว เราไม่ควรมีอยู่ในโลก ไปตายเสียดีกว่า นี่รับผิดชอบความเป็นมนุษย์ของเราถึงขนาดนี้เลยนะ ถ้าเราเป็นคนเลว เป็นคนชั่ว เป็นไอ้ชาติชั่ว แล้วไม่ควรจะอยู่ในโลกนี้ ไปตายเสียดีกว่า พ้นหูพ้นตาไป ถ้าเรายังจะอยากอยู่ในโลกนี้ ก็ต้องรับผิดชอบว่าเขาอยู่กันอย่างไรที่เหมาะสม ที่จะเป็นคนอยู่ในโลกนี้ได้ เราก็ต้องรับผิดชอบ เราก็ต้องทำให้ได้ ไม่ให้ใครมาตราหน้าเราว่า เราเป็นคนไม่มีค่าไม่มีความหมาย
แล้วก็เป็นอันว่าจะ จะย้ำพูดซ้ำว่า บวชแล้วจะสึกออกไป ต้องมีอะไรที่หลุดไปจากตัวมากคือ ความชั่ว ความไม่ดี ความไม่พึงปรารถนาอะไร ๆ ไม่น่ารัก ไม่น่าปรารถนา ต้องหลุดออกไป แล้วก่อนแต่ที่จะลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาสตามเดิม ก็อย่างน้อยก็ว่าความหลุกหลิก โลเล เหลาะแหละนี่จะหมดไป ความใจลอยปล่อยไปตามอารมณ์ มีความคิดนึกแต่ชั่วขณะ ไม่เป็นระเบียบ ไม่เป็นปึกแผ่นนี้ เรียกว่ามันเป็นคนใจลอย ก็อย่าให้มันเหลืออยู่เลย ฉะนั้นรับผิดชอบเต็มที่ มีความเป็นมนุษย์เต็มที่ ยืนยันความเป็นมนุษย์ของตนว่ามีอยู่อย่างเต็มที่ แล้วทีนี้เธอก็จะมีแต่ความเจริญงอกงามก้าวหน้าไปตามทางของพระธรรมเรื่อย ๆ ไป โดยเร็วด้วย ให้เราควรจะได้เป็นมนุษย์ที่ดีที่สุด ก่อนที่จะแตกตายทำลายขันธ์ ที่จะได้เป็นสมณะที่ ๑ เช่นโสดาบัน สมณะที่ ๒ เช่นสกิทาคามี สมณะที่๓ อนาคามี เสียได้ก่อนแตก ร่างกายมันจะแตกดับแม้ในเพศของฆราวาส ก็หลักธรรมนี้ก็เป็นที่รับรองกันอยู่แล้ว เห็นกันอยู่แล้วว่า เพศฆราวาสนี้เป็นสมณะได้ถึง ๓ ชั้น คือ ชั้นโสดา ชั้นสกิทาคา อนาคา
เราก็อย่าเสียทีที่ได้เกิดมา อย่าได้เสียทีที่เป็นสามเณร คือผู้ที่จะเป็นสมณะ จะมีอะไรดีกว่านี้เธอลองคิดดู ฉันเห็นว่าไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้วถึงเอามาพูด ก็หวังว่าเธอคงจะมองเห็นตาม มองเห็นอย่างที่พูดนี้อย่างแจ่มแจ้ง อย่างกระจ่างชัด ฝังลงไปในความรู้สึก เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ยึดถือเป็นหลักที่ถูกต้องตลอดชีวิตจนกว่าจะตาย ต้องได้สิ่งประเสริฐนี้ในชีวิตนี้ ตายแล้วไม่ต้องพูด ต้องในชีวิตนี้ ต้องได้ความดีที่สุดของความเป็นมนุษย์ หรือจะเรียกว่าได้นิพพานก็ได้ เย็นได้ถึงที่สุดในชีวิตนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ก็แปลว่าไอ้การที่เราบวชกันทั้งที สนับสนุนให้มีการบวช ส่งเสริมช่วยกันเต็มที่อย่างนี้ ไม่เป็นหมัน ได้ผลคุ้มค่า เราก็ได้ บิดามารดาที่เสียสละนั้นก็ได้ ทุกคนมันก็ได้ อุปัชฌาย์อาจารย์ก็พลอยได้ เพราะว่าทำให้เกิดคนที่ดีขึ้นมาในโลก ก็พลอยได้บุญได้กุศลได้อานิสงส์ทุกฝ่ายเลย ทุกคน ฉันเห็นว่าพอแล้ว ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว
ในที่สุดนี้ ก็ขอให้เธอทุกคนนี้ มีความเข้มแข็งในการที่จะรักษาอุดมคติอันนี้ไว้ให้ได้ ทั้งที่ยังอยู่เป็นเณร ทั้งที่จะสึกออกไป อยู่ด้วยลักษณะอย่างนี้แล้ว มันเป็นความเจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนาอยู่ในตัวนั้น อยู่ในตัวเองอยู่โดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นเธอก็จะต้องมีความเจริญในหน้าที่การงาน การศึกษาเล่าเรียนที่จะต้องทำต่อไป แล้วก็มีความสุข เย็นอกเย็นใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้ อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ (เสียงเณรตอบ "สาธุ") สาธุแต่ปากหรือว่าสาธุด้วยจิตใจ (“สาธุด้วยจิตใจครับ") เอ้า, ไปรู้กันข้างหน้านะ
โปรแกรมต่อไปนี้มีอะไร คืนนี้ เอาสิ เอาสิ เออ, แล้วพรุ่งนี้ทำกันยังไง ใครจะหาอาหารมาให้ ที่ไชยา หา, เราอยากจะให้บางวันไม่มีข้าวกิน สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าไม่มีข้าวฉันเลย ต้องกินข้าวตากเลี้ยงม้าชุบน้ำก็เปียก ๆ นี่ พระพุทธเจ้าท่านยังเป็นอย่างนั้นนะ เอ้า, ปิดประชุม