แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้อันจะได้วิสัชชนาในพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาเป็นบุพพาและลำดับ (นาทีที่ 04:32) สืบต่อจากธรรมเทศนาที่ได้วิสัชชนาแล้วในตอนเย็น กล่าวคือ เรื่องธรรมธาตุ อันมีใจความสำคัญคือ ความเป็นตถตา เป็นต้น ข้อนี้ขอให้ท่านทั้งหลายระลึกถึงว่า วันนี้เป็นวันที่ระลึกแก่พระอรหันต์จนถึงกับเรียกได้ว่าเป็นวันพระอรหันต์หรือเป็นวันพระสงฆ์ ความเป็นพระอรหันต์นั้นคือความที่บรรลุถึงซึ่งธรรมธา ธรรมธาตุอันนี้ รู้ได้จากพระบาลีแห่งอันตคาหิกทิฏฐิ(นาทีที่ ซึ่งใช้คำว่า ตถาคโต (นาทีที่ 05:56) ยกขึ้นมาเป็นปัญหาสำหรับถามว่า ผู้ที่เป็นตถาคโตตายแล้วจะมีอีกหรือไม่ ตถาคตเบื้องหลังแต่การตายจักมี ย่อมมีอีกหรือไม่ดังนี้
คำถามว่าเบื้องหลังแต่การตายจักมีอีกหรือไม่ ดังนี้นั้น ถามเฉพาะผู้ที่เป็นตถาคโต ไม่ได้หมายถึงสัตว์ธรรมดาทั่วๆไป คำว่าตถาคโตในที่นี่หมายถึงอะไร เป็นสิ่งที่ควรจะทำความเข้าใจกันอย่างยิ่ง ตถาคโตประกอบขึ้นด้วยบท ๒ บท คือบทว่าตถา และบทว่าคตะ (นาทีที่ 07:05) ตถา แปลว่าอย่างนั้น คตะแปลว่าถึงแล้ว ตถาคโตแปลว่าผู้ถึงแล้วซึ่งความเป็นอย่างนั้น นี่คือความเป็นอย่างไร ถ้าจับใจความสำคัญข้อนี้ได้ ก็จะจับใจความสำคัญของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่งได้ ตถาคโตแปลว่าผู้ถึงซึ่งความเป็นเช่นนั้น ก็หมายถึงความที่ไม่ ไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น และหมายถึงความที่ไม่เป็นอื่นไปจากความเป็นอย่างนั้น และหมายถึงความตั้งอยู่ตามธรรมดา และหมายถึงกฎตายตัวของธรรมดา และหมายถึงอิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น บทอันยืดยาวเหล่านี้ สรุปใจความสั้นๆแล้ว ก็จะเหลือเพียง ๓ พยางค์ในภาษาไทยเราว่า เช่นนั้นเอง อาตมาจะวิสัชชนาสิ่งที่เรียกว่า เช่นนั้นเอง สืบต่อไปจากธรรมเทศนาที่วิสัชชนาแล้วในตอนเย็น ให้เป็นที่เข้าใจแจ่มชัดยิ่งๆขึ้นไป ขอให้กำหนดให้เป็นหลักให้ได้ว่าผู้ที่ถึงความเป็นเช่นนั้นเองนั้นคือเป็นพระอรหันต์ เมื่อเราพูดถึงพระอรหันต์ เราก็ต้องพูดถึงความเป็นเช่นนั้นเอง ถ้าวันนี้เป็นวันพระอรหันต์ วันนี้คือเป็นวันเรื่องเช่นนั้นเอง ควรจะสนใจในคำว่า เช่นนั้นเอง ซึ่งเป็นคำสั้นที่สุด เป็นคำรวมของใจความทั้งหมด ผู้ใดถึงซึ่งความเป็นเช่นนั้นเอง ผู้นั้นมีคุณค่าเป็นพระอรหันต์ เราจะถึงซึ่งความเป็นเช่นนั้นเอง กันได้สักเท่าไร ก็ควรจะได้พิจารณาให้ดีเป็นพิเศษ เพราะว่าเราไม่มีทางเลือกอย่างอื่นนอกจากทางที่จะเข้าถึงความเป็นเช่นนั้นเอง ทุกคนที่จะต้องก้าวหน้าต่อไปย่อมไม่มีทางไหนอีก มีแต่ทางที่จะเข้าถึงความเป็นเช่นนั้นเอง เมื่อเข้าถึงความเป็นเช่นนั้นเองก็หมดปัญหา หมดเรื่องที่จะต้องศึกษาหรือปฏิบัติอีกต่อไป ให้เข้าใจกันง่ายๆ ก็พูดเรื่องเรื่องง่ายๆ ที่เห็นได้ง่ายๆ ว่าถ้าเห็นความเป็นเช่นนั้นเองแล้ว มันจะไม่มีความทุกข์ จะไม่มีความรู้สึกใดๆ เกิดขึ้น ที่เป็นไปเพื่อความทุกข์หรือเป็นไปเพื่อกิเลส ที่เราไปรักอะไรก็เพราะไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งนั้น ที่เราไปโกรธอะไรก็เพราะไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งนั้น ที่เราไปกลัวอะไรก็เพราะไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งเหล่านั้น หรือที่เราจะไปรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งในความหมายที่เป็นคู่ๆ กัน อย่างที่กล่าวมาแล้วว่าไปรัก ไปโกรธ ไปเกลียด ไปกลัว ไปยินดีไปยินร้าย ต่อสิ่งใดก็เพราะไม่รู้จักความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งเหล่านั้น เราไม่สนใจที่จะศึกษาเรื่องนี้ เพราะว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังบ้าง หรือว่าได้ยินได้ฟังแล้ว เห็นเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตามประสาของคนประมาท ตามประสาของคนโง่เขลา ตามประสาของบุคคลผู้ประมาทปัญญา ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสสอนไว้ว่า ปัญญัง นัปปะมัชเชยยะ (นาทีที่ 12:28) คนอย่าประมาทปัญญา เดี๋ยวนี้คนโดยมากมันประมาทปัญญาเพราะไม่อาจจะช่วยอะไรได้ กลายเป็นนิสัยแห่งคนที่ไม่ชอบคิด ไม่ชอบพิจารณาสิ่งอะไรโดยละเอียด มันก็กลายเป็นคนไม่มีสติไปด้วย คอยพิจารณาดูตัวเองด้วยกันทุกๆคน ว่าเรากำลังเป็นคนประมาทปัญญา ไม่ตั้งใจ ไม่ใส่ใจ ไม่ลงทุนที่จะพิจารณาอะไรด้วยสติปัญญาให้ถึงที่สุด ชอบทำอะไรหวัดๆ ชอบคิดอะไรหวัดๆ ชอบตัดสินใจลงไปอย่างหวัดๆ และก็พูดไปอย่างหวัดๆ อย่างกับว่ามันเป็นเรื่องง่ายเสียเกินไป คนชนิดนี้ไม่มีทางที่จะก้าวหน้าในธรรมวินัยของ จะกล่าวคือพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาไปได้เลย จะเป็นพุทธบริษัท จะเป็นอุบาสกอุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี ไปสักเท่าไรๆ ก็ไม่สามารถจะมีความก้าวหน้าไปได้เลย เพราะว่าเขาเป็นผู้ประมาทซึ่งปัญญา
ทีนี้ก็ดูถึงเรื่อง ตถตา หรือความเป็นเช่นนั้น ว่ามันจะเป็นสิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างไรกันบ้าง เมื่ออภิปรายเรื่องศาสนสัมพันธ์ ก็ได้ชี้ให้เห็นแล้วว่าสิ่งสำคัญในพระศาสนาหรือพระเจ้านั่น มันก็คือสิ่งที่เป็นเช่นนั้นเอง ในระดับสูงสุดหรือระดับทั่วไป สิ่งที่ไม่อาจจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นหรือไม่เหมือนใคร นั่นแหละคือความเป็นเช่นนั้นเอง แต่ว่าคำๆ นี้มันมีใจความกว้างขวางมากเกินประมาณ นับตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆเกือบจะไม่มีค่าไม่มีความหมายอะไร มันก็ยังเป็นไปในลักษณะนี้ คือเป็นเรื่องของความเป็นเช่นนั้นเอง ที่พุทธศาสนาเราเรียกว่า เรื่องปฏิจจสมุปบาท ถือเป็นเรื่องทั้งหมดของพระพุทธศาสนา ไม่มีอะไรที่จะไม่ต้องใช้กฏเกณฑ์ของความเป็นเช่นนั้นเอง หรืออิทัปปัจจยตา เช่นจะถามกันว่าสุขหรือทุกข์นี้มีมาเพราะเหตุอะไร ถ้าพูดว่ามีมาเพราะผลแห่งกรรมเก่า มันก็เป็นของที่ตายตัวลงไป คือแก้ไขไม่ได้เพราะมันเป็นกรรมเก่า เราก็เลยไม่สามารถจะสร้างกรรมใหม่หรือทำความดับทุกข์อะไรต่อไปได้ เพราะว่ากรรมเก่ามันเข้ามาครอบงำเสียโดยเด็ดขาด นี่เราก็สามารถที่จะเพิกถอนกรรมเก่า หรืออำนาจของกรรมเก่า หรือผลของกรรมเก่านี้ออกไปเสียได้ ด้วยความเป็นอิทัปปัจจยตา คือสร้างเหตุอสร้างปัจจัยขึ้นมาใหม่ เพื่อได้รับผลตามที่เราปรารถนา หรือว่าบางคนเขาจะตอบว่า เมื่อถามว่าอะไรเป็นเหตุแห่งทุกข์หรือสุขก็จะตอบว่า เพราะพระเจ้าบันดาล การตอบอย่างนี้ไม่เป็นพระพุทธศาสนา เพราะถ้าพระเจ้ามีอำนาจเด็ดขาด บันดาลเสียแล้ว เราก็หมดสามารถที่จะทำอะไรให้ได้รับผลตามที่เราต้องการ ดังนั้นเราจึงถือหลักที่ว่ามันเป็นอิทัปปัจจยตา มันมีความเป็นเช่นนั้นเองไปตามกฏแห่งอิทัปปัจจยตา หาใช่พระเจ้าเป็นผู้บันดาลไม่ เราจึงสามารถทำอะไรไปได้ตามที่เราปรารถนา เช่นจะดับทุกข์ ดังนี้เป็นต้น เว้นเสียแต่ว่าเราจะเอาความเป็นเช่นนั้นเองเสียแหละมาเป็นพระเจ้าเสียเอง จึงจะสามารถทำอะไรตามที่ควรจะทำได้ นี่มาพิจารณาดูให้ละเอียดออกไปถึงความหมายของคำว่าเช่นนั้นเอง นี่จะมีขอบเขตครอบงำไปถึงไหน ดูที่เนื้อที่ตัวของเราก็จะเห็นว่าทุกๆ ปรมาณูในเนื้อตัวของเรามันก็เป็นเช่นนั้นเอง มันไปเป็นไปตามกฎของความเป็นเช่นนั้นเอง คือเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งกัน หรือว่าจิตของเราอาจจะรู้สึกอย่างไร มันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยแห่งอิทัปปัจจยตาคือความเป็นเช่นนั้นเอง หรือแม้ที่สุดแต่ว่าวัตถุสิ่งของของเรา ในบ้านเรือนเรา ทำไมมันจึงเป็นอยู่อย่างนั้น มันก็เพราะมีความเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นอย่างนั้น มันมีเหตุปัจจัยเพื่อความเป็นเช่นนั้น แม้ที่สุดแม้สิ่งที่มันจะต้องเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างมันจึง มันจะต้องเป็นไปตามกฎของความเป็นเช่นนั้นเอง เราอยากกินข้าว เราก็หุงข้าว ทำไมหม้อข้าวจึงเดือด ทำไมข้าวจึงสุก ก็จึงเอาข้าวมากินได้ นี่ก็เพราะว่ามันเป็นไปตามกฎแห่งความเป็นเช่นนั้นเอง หรือเราจะทำสวนครัว ทำไมจึงปลูกอะไรขึ้นมาได้ แล้วงอกงามได้ เก็บกินได้ ขายก็ได้ เพราะว่ามันเป็นไปตามกฎแห่งอิทัปปัจจยตา คือความเป็นเช่นนั้นเอง หรือถ้าเราทำไม่สำเร็จ ไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องหุงข้าวกินก็ดี ในเรื่องทำสวนครัวก็ดี เพราะมันไม่ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา คือความเป็นเช่นนั้นเอง หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็ว่า มันไปถูกต้องกับความเป็นเช่นนั้นเอง ในลักษณะที่ตรงกันข้าม มันจึงได้ผลตรงกันข้าม ไม่ ไม่ตรงตามที่เราต้องการ และจะกลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา
ความเป็นเช่นนั้นเองนี่ มันมีความลึกลับซับซ้อนอยู่ ขอให้สังเกตุดูให้ดีๆ จะพูดได้ว่าความชั่วร้ายเลวร้ายหรือวิกฤตการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ ล้วนเกิดมาแต่คนอันธพาลที่ไม่มีปัญญาที่จะมองเห็นอิทัปปัจจยตา หรือความเป็นเช่นนั้นเองทั้งนั้น เช่นอย่างที่ว่าเป็นปัญหาสังคมอยู่ในบัดนี้ คืออบายมุข ก็ดี หรือว่าการบูชาในส่วนเกินก็ดี นี้มันมาจากการที่คนอันธพาลเหล่านั้น ไม่มีความรู้เรื่องความเป็นเช่นนั้นเอง จึงได้หลงเป็นของดีวิเศษที่ตรงกับกิเลสของตน และก็ทำไปอย่างที่มันเป็นอันธพาล ข้อนี้มันเกี่ยวกับหลักที่ลึกซึ้งของสิ่งที่เรียกกันว่าเวทนา เวทนาคือความรู้สึกที่เกิดมาแต่สัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนังและทางจิตใจ มันเป็นเวทนา เหตุที่รู้สึกหรือเกิดขึ้นตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ หรือความเป็นเช่นนั้นเองของธรรมชาติ คือ กระทบกันทางอายตนะ ผัสสะแล้ว มันก็เกิดเวทนา ทำไมไม่มองเห็นว่านี่มันเป็นสักว่า เป็นผลที่เกิดขึ้นของการกระทบเป็นผัสสะของอายตนะเท่านั้น มันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น มันเป็นเพียงเท่านั้น มันไม่มีอะไรแปลกไปจากความเป็นอย่างนั้น เพราะมันมีความเป็นเช่นนั้น เวทนาเป็นสักแต่ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแล้วก็ค่อยเห็นชัดลงไปว่ามันเป็นสักแต่ว่าเวทนา มันเป็นสักแต่ว่าเวทนานี้ คนโง่ๆ ที่ประมาทปัญญามันฟังไม่ออก ให้เป็นพระสัก ๓๐ - ๔๐ พรรษา มันก็ฟังไม่ออกว่าเวทนานั้นมันเป็นสักแต่ว่าเวทนา เหมือนบทอธิบายธรรมะแห่งสติปัฏฐานทั้ง ๔ ที่พูดว่า กายนี้ก็สักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เวทนาก็สักแต่ว่าเป็นเวทนา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา จิตนี่ก็สักแต่ว่าจิต ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ธรรมทั้งหลายก็เป็นสักว่าธรรม ไม่ได้เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา หลัก ๔ ประการนี้เรียกว่าสติปัฏฐานทั้ง ๔ ที่คนโบราณมักจัดไว้เป็นวัตรปฏิบัติสำหรับภิกษุผู้จะถือบาตรออกไปบิณฑบาตในเวลาเช้า จะต้องเอามือควานลงไปในบาตรให้ทั่วพร้อมด้วยพิจารณาโดยสติปัฏฐานทั้ง ๔ อย่างที่ว่ามาแล้วว่า กาย ไม่ใช่บุคคล ตัวตน เรา เขา เวทนาไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา จิตไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา มีสติรู้สึกอยู่อย่างนี้จริงๆ แล้วจึงถือบาตรไปเพื่อจะบิณฑบาต นี่ดูให้ดีเถิดว่ามันเป็นเรื่องนี้ลึก แล้วคนก็มาทำกันแต่เพียงพิธีรีตอง แม้แต่เพียงพิธีรีตองมันก็ยังไม่ทำ ทำเป็นเพียงพิธีรีตอง มันก็ไม่ได้ผล ถ้าทำแต่เพียงเป็นพิธีรีตอง มันก็ยังไม่ได้ทำ นี่คนสมัยนี้มันโง่มาก มันประมาทมากอย่างนี้ จะว่าทำให้เป็นพิธีกรรมจริงๆ จังๆ ลงไปเลย แม้แต่เพียงพิธีรีตองมันก็ไม่ได้ทำ ผู้รู้ครูบาอาจารย์ในกาลก่อนก็รู้เรื่องนี้ ก็จึงจัดตั้งเป็นแบบเป็นพิธีให้ทำมันก็ไม่ได้ทำ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เกี่ยวกับความเป็นเช่นนั้นเอ งคือไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ถ้ามันเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ถือเอาอย่างเราได้ เป็นไปตามอำนาจของเรา นั้นมันก็เป็นอย่างหนึ่ง อย่างนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น มันเป็นไปตามกฏของอิทัปปัจจยตาคือความเป็นเช่นนั้นเองของมัน ไม่อาจจะเรียกว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ของเรา หรือของใครอื่น
ขอให้สนใจความหมายของคำว่าเช่นนั้นเองในทุกๆ เรื่อง ในทุกๆ กรณีที่มันทำให้เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา ถ้าว่าคนทุกคนมองเห็นว่าเวทนา สักว่าเวทนาเป็นเช่นนั้นเอง แล้วก็ไม่ยินดีในสุขเวทนา ไม่ยินร้ายในสุขเวทนาในทุกขเวทนา มันก็ไม่หลงใหลในเรื่องอันเกี่ยวกับเวทนา คนอันธพาลก็ไม่เกิดขึ้น แต่นี่คนมันหลงใหลในรสอร่อยของสุขเวทนา มันหลงใหล มันบูชา เมื่อมันหายาก หรือมันหาไม่ได้โดยถูกต้องตามทำนองคลองธรรม มันก็ลุแก่อำนาจของกิเลส มันจึงแสดงความเป็นอันธพาล เป็นอันธพาลที่ข่มขืน ข่มขืนแล้วฆ่า เพราะมันต้องการจะได้ในสุขเวทนาซึ่งมันสำคัญว่าเป็นสิ่งเลิศเป็นสิ่งประเสริฐในชีวิตนี้ นี่เป็นไปในทางร้าย เป็นไปในทางเบียดเบียน ที่จะให้เกิดอันธพาลขึ้นมาในโลก สำหรับทำ (นาทีที่ 28:07)ไปในทางฝ่ายร้ายหาความสงบสุขไม่ได้ ทีนี้เหตุพร้อมๆกันไปนั้น มันหลงใหลในสุขเวทนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็เรื่องเกี่ยวกับเพศ มันก็คิดครุ่นอยู่แต่จะมีคู่รัก คิดครุ่นอยู่แต่จะมีแฟน ไม่ได้ตามที่มันต้องการ มันก็ร้องไห้มันก็กลัดกลุ้ม มันก็เป็นโรคประสาท จนกระทั่งมันเป็นบ้าตายไป นี่แหละคือโทษของการที่ไม่มองเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ในกรณีของสุขเวทนา และเมื่อต้องการสุขเวทนาแล้วอย่าอวดดีไปเลย มันต้องได้ประสบกับทุกขเวทนา เพราะว่ามันไม่มีสิ่งอะไรที่จะเป็นไปตามที่มันปรารถนา เมื่อมันต้องการสุขเวทนา มันหลงในสุขเวทนาแล้ว มันก็ต้องประสบกับความผิดหวัง เพราะว่าความไปหวังในสุขเวทนานั้น มันเป็นความโง่ เหลือที่จะโง่ มันไปหวัง แล้วมันก็ต้องผิดหวัง เพราะว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นไปตามกฏอิทัปปัจจยตาของความเป็นเช่นนั้นเอง ผู้มีปัญญาจึงไม่หวังด้วยกิเลสตัณหาเช่นนี้ เป็นผู้ถือตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าโดยเคร่งครัด พยายามที่จะไม่หวังอะไร เพราะรู้ว่ามันไม่มีสิ่งใดที่มันจะเป็นไปตามความหวังของเรา พอไปหวังเข้า มันก็มีความผิดหวังทันที มันจึงเกิดทุกขเวทนาติดตามมาในขณะที่ไปหวังต่อสุขเวทนา
ข้อที่ควรปฏิบัติก็คือไม่ต้องหวัง ก็ทำไปตามที่ควรจะทำก็แล้วกัน มันควรจะทำอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น ก็ไม่ต้องหวังให้มันเริ่มผิดหวังตั้งแต่เริ่มหวัง รู้ว่าควรทำอย่างไรก็ทำไป มันก็จะต้องได้สิ่งที่ตัวต้องการนั้นตามสมควร นี่จึงมีกฏเกณฑ์เกิดขึ้นมาว่าไม่ต้องทำด้วยความหวัง แต่ทำด้วยสติปัญญาความรอบรู้ว่ามันเป็นอย่างไร ควรจะต้องการอย่างไร ควรจะทำลงไปอย่างไรเพื่อให้ได้ตามที่ต้องการหรือเท่าที่ควรจะต้องการ อย่างนี้มันไม่ใช่ความหวังแต่มันเป็นความรู้ มันไม่ผิดหวังเพราะเราไม่ได้หวัง เมื่อได้ทำไปตามที่ควรจะทำด้วยปัญญาแล้วมันยังไม่ได้ผลอีก มันก็ไม่มีการผิดหวัง มันก็ไม่ต้องนั่งร้องไห้อยู่ มันก็ไม่ต้องมานั่งกลัดกลุ้มอยู่ ขอให้เข้าใจในเรื่องนี้ให้ดีๆ ทุกคนที่จะต้องทำอะไร จะมีการงานชนิดไหนก็จะต้องมีหลักเกณฑ์อย่างนี้ จะกำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ก็ดี ก็ต้องมีหลักเกณฑ์อย่างนี้ จะสำเร็จการเรียนมาประกอบการงานอาชีพอยู่ก็ดี มันก็ต้องมีหลักเกณฑ์อย่างนี้ ประกอบการงานแล้ว เป็นพ่อบ้านแม่เรือนอยู่ก็ดี มันก็ต้องมีหลักเกณฑ์อันนี้ คือมันไม่หวังด้วยความโง่ ไม่หวังด้วยกิเลส แต่มันรู้ด้วยปัญญาในเรื่องของความเป็นอย่างนั้นเอง แล้วมันก็จัดไปทำไปตามกฏเกณฑ์ของสิ่งนั้นๆด้วยสติปัญญา เราไม่อยู่ด้วยความหวังเหมือนคนโง่ๆ สมัยนี้เขาพูดกัน ไม่รู้ว่าใครมันเป็นคนโง่คนแรกที่มาสอนเด็กๆให้มีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง มันไม่เป็นธรรมะเสียเลย คือมันจะไม่ทำให้เยือกเย็นเป็นสุขได้เลย เพราะว่ามันร้อนอยู่ด้วยความหวัง เพราะว่ามันไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ที่ใครจะไปหวังเอาอะไรกับมันไม่ได้ นี่เป็นรื่องเกี่ยวกับเวทนาคือความที่รู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นสุขเวทนาบ้าง เป็นทุกขเวทนาบ้าง แต่แล้วก็ทำให้เกิดความทุกข์แก่บุคคลผู้ไม่รู้เรื่องความเป็นเช่นนั้นเองของเวทนาทั้งหลายทั้งปวง ถ้าผู้ใดมองเห็นชัดในความเป็นเช่นนั้นเองของเวทนาทุกชนิดแล้ว เวทนานั้นก็จะไม่เป็นพิษเป็นภัยแผดเผาจิตใจของบุคคลนั้นได้เลย จะไม่มีใครที่เป็นอันธพาลที่บูชาเวทนาและทำอะไรไปตามกิเลสตัณหาที่เลวร้ายที่สุด ที่เต็มไปทั่วทุกหัวระแหงเต็มบ้านเต็มเมืองแห่งยุคปัจจุบัน
ทีนี้ก็จะพูดไปถึงเรื่องส่วนเกิน คนที่ไปหลงบูชาส่วนเกินก็เป็นพวกที่ไม่รู้เรื่องความเป็นเช่นนั้นเองเช่นเดียวกับเรื่องของเวทนาที่เป็นมาแล้ว มันไปหวังเวทนาที่เกินไปกว่าที่มันเป็นอยู่ตามธรรมดา มันก็ยิ่งผิดหนักขึ้นไปอีก ผิดมากขึ้นไปอีก รู้เรื่องของเวทนาตามธรรมดาให้ถูกต้องแล้ว มันก็ไม่หวังส่วนเกินอะไรที่ไหนอีก เพราะเวทนาตามปกติธรรมดา มันก็เป็นเช่นนั้น เมื่อทำความทุกข์ให้แก่คนที่เข้าไปหลงใหลยึดถือ ยิ่งให้มันเกินมาก มันก็ยิ่งเป็นทุกข์มากเพราะมันยิ่งต้องหวังมากยิ่งขึ้นไปกว่ากรณีธรรมดา ฉะนั้นการที่เราหลงความเอร็ดอร่อยทางอายตนะนี้ ก็เพราะไม่รู้ความเป็นเช่นนั้นเองของทุกอย่างที่เกี่ยวกับอายตนะนั้น
นี่จะพูดถึงอบายมุขทั้ง ๖ อย่าง ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน อย่างนี้เป็นต้น ที่มันไปหลงได้ถึงขนาดนั้น ก็เพราะมันไม่รู้ความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งเหล่านั้น มันไม่รู้ความเป็นเช่นนั้นเองอย่างตายตัวของการดื่มน้ำเมา ของการเที่ยวกลางคืน ของการเล่นการพนัน ของการคบคนชั่วเป็นมิตร หรือเกียจคร้านทำการงาน เป็นต้น คือไม่รู้ความเป็นเช่นนั้นเองว่ามันเป็นปากทางแห่งอบาย ไปเกี่ยวข้องกับมันเข้า ก็พลัดตกลงไปในอบาย คือความ คือสูญเสียความเป็นมนุษย์ ฉิบหายไปจากความเป็นมนุษย์ นี่มันเป็นอบาย มันไม่รู้ มันไม่รู้ในชั้นพื้นฐานว่าดื่มน้ำเมานั่นน่ะ มันอร่อยอย่างคนบ้า มันไม่ใช่อร่อยอย่างคนปกติ มันไม่รู้ความเป็นเช่นนั้นเองในความเอร็ดอร่อยของน้ำเมา มันก็หลงที่ดื่มน้ำเมา แพงก็แพงมันก็อุตส่าห์หามากินกันจนได้ นี้การเที่ยวกลางคืนมันก็มีรสอร่อยไปตามแบบของการเที่ยวกลางคืน แต่มันมีความเป็นเช่นนั้นเองของมัน คือความที่จะต้องตกอบาย สูญเสียความเป็นมนุษย์เนื่องมาจากการเที่ยวกลางคืน ซึ่งก็รู้กันอยู่ดีแล้วว่ามันมีอะไรบ้าง ไปเที่ยวกลางคืน ไปเที่ยวที่ไหน ไปทำอะไรที่ไหน นี่มันก็เป็นเรื่องของการเที่ยวกลางคืน มีความเป็นเช่นนั้นเองของมัน สำหรับจะให้ตกจมลงไปในอบายแบบหนึ่ง ดูการเล่น ในที่นี่ก็หมายถึงสิ่งที่ยั่วจิตใจ แต่การเล่นทุกอย่างต้องเป็นเรื่องยั่วจิตใจ ไม่อย่างนั้นไม่มีใครไปดู เก็บสตางค์ไม่ได้ ถ้ามันจะทำให้สำเร็จประโยชน์ ล้วงกระเป๋าคนอื่นได้ มันก็ต้องมีการเล่นที่มีความยั่วยวนอยู่ในนั้น ให้คนหลงใหลลืมความจริงว่ามันเป็นอย่างไร คนชนิดนี้ที่มันหลงไปแล้ว มันก็ไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง อย่างเดียวกันอีก มันทนเสียเงินมันทนทุกอย่างเพื่อจะให้ตัวเองจมลงไปในอบาย สูญเสียความเป็นมนุษย์ เล่นการพนัน คนที่เคยเล่นการพนันย่อมรู้ดีว่ารสชาติของมันเป็นอย่างไร มันเล่นจนหมดเนื้อหมดตัว ขายลูกขายเมีย ขายเรือน ขายสวน ขายช้าง ขายควาย เอาไปเล่นการพนัน เพราะว่ามันมีรสอร่อย จนถึงกับจัดกันไว้ว่าเป็นผีขนิดหนึ่ง มันจึงมีการครอบงำจิตใจของคนเล่นได้เป็นอย่างมาก มันโง่ถึงขนาดนี้แล้ว มันจะรู้จักความเป็นเช่นนั้นเองของการเล่นการพนันได้อย่างไร เราจึงได้เห็นคนที่บูชาการเล่นการพนัน ยิ่งกว่าหมดเนื้อหมดตัว
ถัดไปก็คือ การคบคนชั่วเป็นมิตร มีความเป็นเช่นนั้นเอง คือจะต้องชั่วไปตามคนที่ตนคบ และก็มันให้อบายคือความสูญเสีย ความวินาศฉิบหายในความเป็นมนุษย์ของตน คือกลายเป็นคนชั่ว เป็นสัตว์นรกทั้งเป็นๆ มันมีความเป็นเช่นนั้นเองอย่างนี้ ข้อสุดท้ายคือเกียจคร้านทำการงาน นี่มันโง่มากเหมือนกัน โง่ถึงขนาดที่ว่าชีวิตนี้มันต้องเคลื่อนไหวอยู่ตามธรรมชาติ จะเป็นชีวิตของพืชพรรณพฤกษาชาติ หรือว่าจะเป็นชีวิตของสัตว์เดรัจฉาน มันก็ยังต้องเคลื่อนไหว ต้องดิ้นรน มันจะอยู่นิ่งไม่ได้ มันต้องเคลื่อนไหวไปในทางที่เป็นประโยชน์ ชีวิตมันก็คือการเคลื่อนไหวที่เป็นประโยชน์ เราเรียกกันว่าการทำงาน ให้มีการเคลื่อนไหวที่เป็นประโยชน์เถิด ก็จะเรียกว่าการทำงาน ไม่เคลื่อนไหวอยู่นิ่งๆ มันก็ต้องตาย มันจะให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ มันต้องเคลื่อนไหว นี่ไม่เคลื่อนไหวเปล่า ต้องเคลื่อนไหวเป็นประโยชน์ ให้เป็นประโยชน์ยิ่งๆ ขึ้นไปแก่ชีวิตนั้น นี่เราจึงต้องทำการงาน คือการเคลื่อนไหวที่เป็นประโยชน์ยิ่งๆ ขึ้นไป คนมันไม่รู้ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง มันต้องทำให้ถูกตามกฏของความเป็นเช่นนั้นเอง มันก็คิดว่านอนเสียสบายกว่า มันก็บูชาความเกียจคร้าน เพราะมันไม่รู้เรื่องความเป็นเช่นนั้นเองเอาเสียเลย อาตมาคิดว่าถ้าจะขจัดอบายมุขทั้งหลายออกไปนั้น อย่าไปมัวโง่ มัวหลง ฝันเพ้อ หวังจะพึ่งรัฐบาล หวังจะพึ่งคนนั้นคนนี้ มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องสอนให้รู้เรื่องความเป็นเช่นนั้นเอง ต้องช่วยกันอบรมสั่งสอนให้รู้จักธรรมะ ให้รู้จักศีลธรรม ว่ามันเป็นเช่นนั้นเองแค่นั้นอย่างไร ช่วยกันเผยแผ่ให้รู้จักหัวใจของพระพุทธศาสนา หรือของศาสนาทุกศาสนา หรือสอนให้รู้จักพระเจ้าสูงสุดของศาสนาคือความเป็นเช่นนั้นเองตามกฏของธรรมชาติที่เป็นตัวธรรมธาตุอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว นี่เอาพระเจ้าเข้ามา เอาพระธรรมเข้ามา เอาพระศาสนาเข้ามา เอาศีลธรรมเข้ามา ให้คนเหล่านั้นมันรู้จักความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วมันก็จะถอยหลังจากอบายมุข ที่มันไม่ควรจะมีในโลก เดี๋ยวนี้เราไม่ทำกันอย่างนี้ อบายมุขมันก็เต็มไปทั้งโลก มันเป็นตัวอย่างที่มากเกินไป เต็มไปทั้งโลก เด็กๆ มันก็เอาอย่าง มันบูชารสอร่อยของอบายมุขแต่ละอย่างๆ เพราะความที่มันไม่รู้จักความเป็นเช่นนั้นเอง นี่แหละอาตมาพูดว่าแม้แต่เรื่องต่ำๆ เตี้ยๆ เรื่องในโลกนี้ เรื่องของคนโง่นี้ มันก็ไม่รู้จักความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วมันจะไปรู้จักความเป็นเช่นนั้นเองที่สูงขึ้นไป คือเรื่องการบรรลุมรรคผลนิพพานนั้นได้อย่างไร มันเป็นเรื่องเช่นนั้นเองที่สูงเกินไป ยังไกลเกินไป มันรู้ไม่ได้ เพราะว่าเรื่องต่ำๆ เรื่องง่ายๆ ที่นี่มันก็ไม่รู้เสียแล้ว ฉะนั้นขอให้เราที่หวังดีต่อความเป็นมนุษย์ ต่อความเป็นพุทธบริษัทของตนรู้จักหน้าที่ของตน จงมีความพยายามที่จะเอาสิ่งสูงสุด ประเสริฐแท้จริง มาใช้แก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้ จะพูดอย่างอุปมาก็ว่าเอาพระเจ้ามาทีเดียว เอาพระเป็นเจ้ามาทีเดียว มาช่วยกันแก้ปัญหานี้ หรือเอาพระธรรมมาแก้ปัญหานี้ เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทั้งหมดทั้งสิ้นมาช่วยแก้ปัญหานี้ คือความเป็นเช่นนั้นเอง
เรื่องปฏิจจสมุปบาททั้งหมดนั้นเป็นเรื่องความเป็นเช่นนั้นเอง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า นี่แหละคืออาทิพรหมจรรย์ อาทิพรหมจรรย์คือเงื่อนต้นของพรหมจรรย์ พรหมจรรย์คือชีวิตอันประเสริฐ พรหมะแปลว่าประเสริฐ จริยะแปลว่าชีวิต คือความเป็นไป พรหมจรรย์จึงเป็นชีวิต หรือการประพฤติกระทำ (นาทีที่ 45:25)อันประเสริฐ อาทิพรหมจรรย์ก็คือเงื่อนต้น หรือจุดตั้งตนของชีวิตอันประเสริฐ นั่นก็คือความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่สรุปเอาใจความแต่สั้นๆ แล้วมันเหลือเพียง ๓ พยางค์ว่าเช่นนั้นเอง ขอให้สนใจเรื่องที่พูดกันแล้ว และกำลังจะพูดกันต่อไป ว่าเรื่องตถตา เรื่องอวิตถตา เรื่องอนัญญถตา เรื่องธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา อิทัปปัจจยตา กี่ตาๆ มันก็รวมอยู่ตรงที่มันเป็นเช่นนั้นเอง เรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นตัวพุทธศาสนาตั้งแต่ตัวกอ ถึง ตัวฮอ นี่พูดเปรียบเทียบโดยอุปมาว่ามันเป็นทั้งตัว ตั้งแต่ตัวกอ เรื่อยไปจนถึงตัวฮอ พุทธศาสนาทั้งดุ้นทั้งหมดทั้งสิ้นตั้งแต่จุดตั้งตนจนถึงจุดหมายปลายทาง มันไม่มีเรื่องอื่นเลย นอกจากเรื่องอิทัปปัจจยตาหรือเรื่องปฏิจจสมุปบาท ความทุกข์เกิดขึ้นโดยปฏิจจสมุปบาท มันก็เป็นเช่นนั้นเอง ความทุกข์ดับสนิทลงไปไม่มีเหลือ มันก็โดยปฏิจจสมุปบาท หรือกฎแห่งปฏิจจสมุปบาท หรือความเป็นเช่นนั้นเอง ในฝ่ายที่ว่าความทุกข์มันจะดับลง แต่เราก็ไม่สนใจเรื่องปฏิจจสมุปบาท ให้มันเพียงพอให้มันเป็นตามความหมายที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์ ขอให้ไปค้นดูเถิดว่าในพระไตรปิฎกในทั้งสิ้นนั้น มันมีสูตรไหนบ้างที่พระองค์ได้ทรงนำเอามาท่องอยู่เหมือนกับเราท่องอะไรเล่น (นาทีที่ 47:30) มันพบแต่ว่าสูตรปฏิจจสมุปบาทนี้เท่านั้น ที่มีเกียรติสูงสุดถึงกับพระพุทธองค์นำเอามาท่องเล่น อย่างที่เคยเอามาเล่าให้ฟังหลายครั้งหลายหนแล้ว อย่างพระองค์ประทับอยู่พระองค์เดียว ก็สาธยายขึ้นมาว่า จ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺาณํ ติณฺณํ ธัมมานัง สงฺคติ ผสฺโส ผสฺสปจฺจยา เวทนา เวทนาปจฺจยา ตณฺหา ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ อุปาทานปจฺจยา ภโว ภวปจฺจยา ชาติ ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสก ปริเทวทุกฺข โทมนสฺ อุปายาสา (นาทีที่ 48:02) ท่องเรื่องตาเสร็จแล้ว ก็ท่องเรื่องหู แล้วก็ท่องเรื่องจมูก เรื่องลิ้น เรื่องกาย และเรื่องจิตโดยทำนองเดียวกัน นี่เป็นพระธรรมสำคัญจนถึงกับพระองค์ทรงนำมาท่องด้วยพระองค์เองเหมือนกับคนเขาร้องเพลงเล่น เมื่ออกบวชก็ค้นคว้าเรื่องปฏิจจสมุปบาท ว่าความทุกข์เกิดขึ้นมาอย่างไร และดับไปอย่างไร เมื่อตรัสรู้ก็ตรัสรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ว่าความทุกข์มันเกิดขึ้นอย่างนั้น ความทุกข์มันจะดับไปอย่างนั้น ก็เป็นการรู้ที่สูงสุด เพียงพอและครบถ้วน คือไม่ต้องรู้อะไรอีกก็ได้ ถ้ารู้ว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร และดับไปอย่างไร โดยที่ประพฤติกระทำได้จริงมันก็พอแล้ว มันก็หมดแล้ว นี่คือตัวพุทธศาสนาได้แก่เรื่องปฏิจจสมุปบาท มันก็น่าประหลาดที่ว่า ทั้งหมดนั้น มันสรุปเหลือแต่เพียงถ้อยคำสั้นๆ ๓ พยางค์ว่า เช่นนั้นเอง ในพระบาลีบางแห่งก็มีกล่าวว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคต ผู้นั้นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต นี่ถ้าไม่ได้ลองนึกดูบ้าง ไม่ได้ลองพิจารณาดูบ้าง ก็เห็นปฏิจจสมุปบาทนั้นก็คือเห็นธรรม เห็นพระธรรมเจ้า เห็นพระเป็นเจ้า เห็นกฎสูงสุดเหนือกฎทั้งหลาย และเมื่อเห็นธรรมนี่แล้วก็คือเห็นตถาคต คือเห็นพระพุทธองค์ ทำไมเราไม่สนใจที่จะเห็นพระพุทธองค์ หรือไม่สนใจที่จะเห็นพระธรรมเจ้าในฐานะที่เป็นพระเจ้าที่สูงสุดกว่าสิ่งใดตามความหมายของคำว่าพระเจ้า ถ้าเราสนใจกันจนถึงกับรู้จักพระเจ้า รู้จักความหมายของพระเจ้าอย่างนี้แล้ว มันก็เป็นการเห็นความเป็นเช่นนั้นเองอย่างเพียงพอ ที่จะไม่ตกไปเป็นอันธพาลเลวร้าย ที่จะไม่ตกไปเป็นคนบูชาส่วนเกิน ที่จะไม่ตกไปเป็นคนที่จมอยู่ในอบายมุขทั้งหลาย เราจะต้องใช้ธรรมะเป็นเครื่องแก้ไขปัญหาเหล่านี้ อย่าไปหวังการใช้อำนาจใดๆ เสียให้มันยากเลย มันทำไปไม่ได้ มันไม่สำเร็จประโยชน์ จะต้องใช้อำนาจของพระธรรมเท่านั้น จะใช้อำนาจกำลังอื่นๆ นั้น มันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ นี่ถ้าเราหวังว่าจะประพฤติประโยชน์ตน ด้วยประพฤติประโยชน์ผู้อื่นด้วยให้เป็นไปด้วยดีแล้ว ก็มีแต่สิ่งเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้สำเร็จประโยชน์ คือความรู้เรื่องการเป็นเช่นนั้นเอง สอนลูกเด็กๆ ให้รู้จักความเป็นเช่นนั้นเองให้มันหายโง่ อย่าให้มันไปหลงรักอะไร หลงเกลียดอะไร กระวนกระวายใจอยู่ด้วยความโง่ ที่ไม่รู้จักว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง มันไม่รู้เรื่องความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วมันก็ปฏิบัติสิ่งใดๆให้สำเร็จประโยชน์ตามที่มันต้องการไม่ได้ มันก็ต้องมาเป็นทุกข์ทรมาณอยู่ มันก็ยิ่งหวังให้ผิดหนักขึ้นไปอีก มันก็ยิ่งผิดหวัง มันก็จะต้องร้องไห้มากขึ้นไป ในที่สุดมันจะเป็นโรคประสาท ในที่สุดมันจะบ้า และในที่สุดมันก็จะต้องตาย ถ้ามีความรักความเอ็นดูลูกหลานเหลนทั้งหลาย หรือเพื่อนบ้านเรือนเคียงทั้งหลาย หรือเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย แล้วก็จงช่วยกันขวนขวายให้มีการศึกษาและปฏิบัติในกฎเกณฑ์แห่งอิทัปปัจจยตา ที่เรียกว่าความเป็นเช่นนั้นเอง ทุกคนควรจะเข้าใจความหมายของคำที่กล่าวมาแล้วทุกคำว่า ตถตา ความเป็นเช่นนั้น อวิตถตา ไม่ผิดไปจากความเป็นเช่นนั้น อนัญญถตา ไม่เป็นอื่นไปจากความเป็นเช่นนั้น ธัมมัฏฐิตตา เป็นความตั้งอยู่โดยธรรมดาคือความเป็นเช่นนั้น ธัมมนิยามตา เป็นกฏตายตัวของธรรมดาคือความเป็นเช่นนั้น อิทัปปัจจยตา ความที่มีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย และสิ่งนี้ๆจึงเกิดขึ้น นี่แหละคือตัวความเป็นเช่นนั้นอย่างยิ่ง เมื่อมันก็ครอบงำสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอยู่ในลักษณะที่ว่ามันเป็นพระเจ้าเอาเสียทีเดียว เรามีกฏเกณฑ์ในเรื่องอิทัปปัจจยตานี้เป็นพระเจ้าที่สูงสุด มีอำนาจสูงสุดอยู่ในที่ทั้งปวง สร้างอะไรก็ได้ ควบคุมอะไรก็ได้ ทำลายอะไรก็ได้ นี่พระเจ้าแท้ ไม่ต้องเป็นตัวเป็นตนเป็นบุคคล แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่ยิ่งไปกว่าบุคคลคือมันเป็นกฎ มันเป็นธรรมธาตุที่เป็นกฎควบคุมสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอยู่ ในลักษณะที่มันเป็นเช่นนั้นเอง คนที่มันไม่เข้าใจมันก็จะหัวเราะเยาะว่าคนบ้า พร่ำพูดอยู่แต่ว่า เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง มันก็ต้องว่านี่เป็นคนบ้า แล้วใครจะบ้ากว่ากันก็ลองไปคิดดู มันไม่รู้เรื่องความเป็นเช่นนั้นเอง มันบ้าเท่าไร เรารู้ความเป็นเช่นนั้นเอง เราพร่ำอยู่แต่ว่าเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง นี้มันบ้าเท่าไหร่ ใครจะบ้ากว่าใครก็ลองวัดน้ำหนักกันดู ใครจะรอดตัวได้ไม่ต้องตกอยู่ในกองทุกข์หรืออบายนั่นแหละเป็นเครื่องตัดสิน
ถ้าเป็นพุทธบริษัทอย่างน้อยก็ต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากความเป็นเช่นนั้นเองนี้ตามสมควร อาตมาเคยได้ยินคนแก่ๆ เขาจะพูดห้ามปรามลูกเล็กๆ ที่นั่งร้องไห้อยู่ ว่าอย่าร้องไห้ไปเลยลูกเอ๋ย มันเป็นเช่นนั้นเอง อย่าร้องไห้ไปเลยหลานเอ๋ย มันเป็นเช่นนั้นเอง ที่ยายแก่เขารู้เรื่องนี้ แต่ลูกหลานมันไม่รู้ มันก็ร้องต่อไปจนกว่ามันจะรู้ มันก็จะหยุดร้อง ไอ้ความเป็นเช่นนั้นเองนี้ มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเสียแล้ว มันจะแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา ปัญหาในการจะแสวงหามาให้ได้ มันก็ต้องใช้กฎเกณฑ์อันนี้ แม้แต่การที่จะเจริญรุ่งเรืองต่อไป มันก็จะต้องใช้กฎเกณฑ์อันนี้ หรือว่าเมื่อทุกอย่างได้ทำดีที่สุดแล้ว มันก็ยังไม่เป็นไปตามที่ต้องการ มันก็ต้องใช้กฎเกณฑ์อันนี้ สำหรับที่จะไม่มีความทุกข์ ฉะนั้นเราจะต้องให้ลูกหลานเล็กๆ ของเรารู้ใจความของพระพุทธศาสนาข้อนี้ไว้ให้มากที่สุด ว่ามันเรียนหนังสือ มันต้องประพฤติให้ถูกต้องตามกฏของความเป็นเช่นนั้นเอง มันจึงจะเรียนหนังสือสำเร็จ ถ้ามันเกเรออกไปเสียนอกลู่นอกทางของความเป็นเช่นนั้นเอง มันก็จะเรียนไม่สำเร็จ ดังที่เห็นๆกันอยู่ และเมื่อมันเรียนสำเร็จ จะสำเร็จไปตามลำดับ มันจะต้องไปประกอบอาชีพการงาน มันก็ยังต้องอาศัยกฎเกณฑ์ของความเป็นเช่นนั้นเองนั่นแหละต่อไปอีก จนประสบความสำเร็จการงานในการงานแล้วจะเป็นพ่อบ้านแม่เรือนที่แสวงหาความสุขจากบ้านเรือน มันก็ยังต้องอาศัยความเป็นเช่นนั้นเองอยู่นั่นแหละ กว่ามันจะแก่งอมอยากจะเข้าโลงเต็มทีแล้ว มันก็ยังต้องอาศัยความเป็นเช่นนั้นเอง มันก็ต้องตายไปด้วยความเป็นเช่นนั้นเอง ถ้ามันจะเกิดใหม่อีก มันก็จะต้องเกิดใหม่ด้วยอำนาจของความเป็นเช่นนั้นเอง ตามกฎเกณฑ์ของความเป็นเช่นนั้นเอง เรื่องมันก็จบกัน ตั้งแต่ต้นจนปลายมันก็มีแต่เรื่องของความเป็นเช่นนั้นเอง อาตมาก็พูดเหมือนกับคนบ้า คนผู้ฟังก็คงจะคิดว่าเป็นคนบ้า พูดแต่ว่าเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง แล้วก็ยังขอร้องให้แขวนคอติดกลับไปบ้านด้วย เหมือนที่เขาแขวนพระเครื่องรางนี่ เราก็มาแขวน เช่นนั้นเอง ไว้ที่คอติดกลับไปบ้านด้วย ที่จริงมันก็แขวนไว้ในใจ คนข้างในแขวนไว้ในใจเหมือนที่คนข้างนอกแขวนไว้ที่คอ แขวนไว้ในใจดีกว่าแขวนไว้ที่คอ เพราะมันนึกได้ง่ายกว่า นี่แหละจะต้องมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีพระเจ้าหรือพระธรรมเจ้า แห่งความเป็นเช่นนั้นเองแขวนไว้ที่คอ คนที่เขาถือศาสนาเคร่งครัด เขามีสัญลักษณ์ของศาสนานั้นๆ แขวนไว้ที่คอ เราก็มีของเรา และเรามีชนิดที่กล้าท้าทายว่าดีกว่า จริงกว่า สำเร็จประโยชน์กว่า เป็นที่พึ่งได้จริง ก็แขวนไว้ที่คอคือในใจ ใครทำได้คนนั้นจะไม่ต้องเสียน้ำตาอีกแม้แต่หยดเดียวอีกต่อไป และจะไม่ต้องเป็นโรคประสาท เป็นโรคบ้าวิปริต ผิดไปจากความเป็นเช่นนั้นเอง ที่มันผิดไปจากความเป็นเช่นนั้นเองนั่นแหละ มันเป็นโรคประสาทบ้าง มันเป็นบ้าบ้าง มันก็ตาย ถ้ายังมีความเป็นเช่นนั้นเองคงเส้นคงวาอยู่แล้ว มันไม่ต้องเป็นโรคประสาท ไม่ต้องเป็นบ้า และมันก็ไม่ต้องตาย นี่มันคุ้มครองกันได้ถึงขนาดนี้ นี่พูดในฝ่ายที่มันเป็นการคุ้มครอง ถ้าจะพูดในฝ่ายที่สร้างสรรค์ขึ้นมา มันก็ทำให้สร้างสรรค์ สืบเสาะแสวงหาสร้างขึ้นมาจนได้ จนสำเร็จตามกฎแห่งความเป็นเช่นนั้นเอง และก็รักษาไว้ยังคงอยู่ หรือเจริญงอกงามต่อไปก็ต้องอาศัยกฎแห่งความเป็นเช่นนั้นเอง คนบางคนเขาไม่เข้าใจ เขาเข้าใจไปในทางตรงกันข้ามว่าถ้า เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง แล้วมันก็ไม่ต้องทำอะไร ตามกฎเกณฑ์ของพระธรรมของพระศาสนา มันไปทำตามความรู้สึกของมันเอง มันก็จะเกิดเป็นผลร้ายขึ้นมา อย่างนี้ก็เพราะว่าคนนั้นมันฟังไม่ถูก มันฟังไม่ออกว่าความเป็นเช่นนั้นเองหรือตถตาของพระพุทธเจ้านั้นมันเป็นอย่างไร ถ้าเขาศึกษามาแต่ต้น เขาก็จะพบว่าเช่นนั้นเอง ของพระพุทธเจ้านั้น ชุดแรกที่สุดก็คือเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจัง ก็เป็นเช่นนั้นเอง ทุกขังก็เป็นเช่นนั้นเอง อนัตตาก็เป็นเช่นนั้นเอง เห็น ๓ เรื่องนี้แล้วคือ เห็นเช่นนั้นเอง ที่เป็นลักษณะปรากฏอยู่ในสังขารทั้งหลายทั้งปวง
เช่นนั้นเองเรื่องถัดมาก็คือเรื่องอริยสัจทั้ง ๔ เช่นนั้นเองของอริยสัจทั้ง ๔ คือทุกข์มันมีลักษณะอย่างนี้ๆ เป็นเช่นนั้นเองของความเป็นทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์มันเป็นเช่นนี้ๆ มันเป็นความเป็นเช่นนั้นเองตามแบบของสิ่งที่ให้เกิดทุกข์ ฉะนั้นความดับสนิทของความทุกข์คือความดับตัณหาเสียได้โดยเฉพาะนั้น มันเป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง สำหรับที่จะดับทุกข์เสียได้ มรรคมีองค์ ๘ มันเป็นเช่นนั้นเองสำหรับที่จะดับตัณหาเสียได้ มันก็มีความเป็นเช่นนั้นเองสำหรับที่จะเป็นมรรค ทุกข์ก็ดี สมุทัยก็ดี นิโรธก็ดี มรรคก็ดี แต่ละอย่างๆ ต่างมีความเป็นเช่นนั้นเองเฉพาะตน รวมกันแล้วก็มีความเป็นเช่นนั้นเองเป็นส่วนรวมของพระธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น เรื่องอริยสัจ ๔จึงเป็นเรื่องเช่นนั้นเอง ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในทางที่เกี่ยวกับความทุกข์และความดับทุกข์ ในเมื่อเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเป็นไปในทางที่จะแสดงให้เห็นลักษณะของสิ่งที่เป็นสังขารและมีความทุกข์
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่สาม คือเรื่องอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท นี้แสดงความเป็นเช่นนั้นเองตามกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท มีอวิชชาในขณะที่มีการสัมผัสทางอายตนะ มันก็เกิด เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพชาติ จนเกิดความทุกข์ ถ้าอย่ามีอวิชชาในขณะที่มีสัมผัสทางอายตนะแล้ว มันก็ไม่เกิด เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพชาติ และทุกข์ มันมีเท่านั้น เราไม่ค่อยสนใจกัน เรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้นเอาไว้ท่องอย่างที่ไม่รู้ว่าอะไร ไม่เข้าใจแล้วปฏิบัติไม่ได้ มันก็ได้แต่เอาไว้ท่อง อย่างนี้ไม่สำเร็จประโยชน์ เรื่องเช่นนั้นเองนั้นเอาแต่ไว้ท่องไม่พอ ต้องเอาไว้สำหรับศึกษา มีความรู้ความเข้าใจ มีสติสัมปชัญญะที่จะปฏิบัติให้ได้ตามนั้นด้วย มันจึงจะพอ
นี่แหละขอให้ท่านทั้งหลายจงมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของตถตา หรือความเป็นเช่นนั้นเองนี้ให้มากยิ่งๆขึ้นไปทุกวันทุกเดือนทุกปี จนกว่าจะถึงที่สุด อย่าให้มันหยุดอยู่เพียงเท่าที่มีอยู่แล้ว เมื่อวานนี้ เมื่อตอนเย็นก็ได้พูดแล้ว ตอนนี้ก็พูดอีก และมันก็ยังจะต้องพูดกันอีกเป็นแน่นอน เพราะว่ามันซึมเข้าไปในสติปัญญาได้ยาก ยิ่งคนธรรมดาเป็นคนโง่ เป็นคนประมาทปัญญาด้วยแล้วดูจะไม่ค่อยมีหวัง จึงได้เตือนแล้วเตือนเล่าว่าอย่าอวดดี อย่าประมาท อย่าสะเพร่า จงระวังสังวรณ์ ไม่ประมาทปัญญา อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ปัญญัง นัปปะมัชเชยยะ (นาทีที่ 01:06:47) เป็นคนอย่าประมาทปัญญา จงพอกพูนหนทางแห่งปัญญา จงประกอบตนไว้ในทางของปัญญา ก็ต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่าปัญญาอันเฉียบแหลม จึงจะสามารถเข้าถึงตถตาอันลึกซึ้ง คือเข้าถึงความเป็นเช่นนั้นเอง เข้าถึงตัวความเป็นเช่นนั้นเองอันลึกซึ้ง
ในที่สุดนี้ก็ขอฝากเอาไว้กับท่านทั้งหลาย ว่าจงเอาคำว่า เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง กลับไปบ้านทุกคน แล้วไปพิจารณาดูอยู่ตลอดเวลา ว่ามันจะทำให้เกิดการกระทำความชั่วหรือมันจะทำให้เกิดการกระทำที่ถูกต้อง ถ้ามัน ถ้ามองเห็นไปในทางที่ว่ามันจะทำให้คนทำความชั่ว ตามสบายใจของตัวไม่รับผิดชอบอะไร อย่างนี้แล้วก็ขอให้เข้าใจเถิดว่าผู้นั้นยังไม่มีความรู้เรื่องเช่นนั้นเอง ถ้าผู้นั้นมีความรู้ความเข้าใจถูกต้องในเรื่องเช่นนั้นเอง เขาก็จะมองเห็นชัดทีเดียวว่า เรื่องเช่นนั้นเองนี้มันป้องกันไม่ให้กระทำความชั่ว ก็ยังจะไม่ให้หลงติดอยู่ในความดีแต่ต้องการจะทำจิตให้สะอาด ผ่องใส แจ่มใส หรือหลุดพ้น ไม่มีความทุกข์ใดๆ นี้เป็นเรื่องสำหรับจะก้าวหน้าไปตามหนทางแห่งมรรคผลนิพพาน ถ้ายังอยู่ในโลกนี้ ยังจะทำอะไรอยู่ในโลกนี้ จะเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ จะปลูกสับปะรด ปลูกแตงโม ปลูกอะไร ก็ขอให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นเช่นนั้นเองให้เพียงพอ แล้วก็จะกระทำกสิกรรมนั้นสำเร็จ จะกระทำเกษตรกรรมนั้นสำเร็จ จะกระทำสัตวกรรม เลี้ยงสัตว์นั้นได้สำเร็จ อะไรๆก็จะสำเร็จ เพราะเขามีความรู้เพียงพอเกี่ยวกับเรื่องความเป็นเช่นนั้นเอง ที่เป็นตัวของพระพุทธศานานับตั้งแต่ตัวกอ จนถึงตัวฮอ อย่างที่ว่ามาแล้ว
อาตมาก็ได้อธิบายในเรื่องอิทัปปัจจยตาหรือความเป็นเช่นนั้นเองซ้ำจากธรรมเทศนาในกัณฑ์ทีแรก ในโอกาสนี้ นับว่าพอสมควรแก่เวลาแล้ว ถ้าเราจะทำให้วันนี้เป็นวันพระอรหันต์ ก็จงทำให้แจ่มแจ้งในเรื่องความเป็นเช่นนั้นเอง เพราะพระอรหันต์เป็นผู้ที่ถึงความเป็นเช่นนั้น โดยบทว่า ตถาคโต ถึงแล้วซึ่งความเป็นอย่างนั้น ก็จะสมกับที่ว่าเรามาทำมาฆบูชาถึงชีวิตจิตใจ ไม่กระทำเพียงพิธีรีตอง แต่ว่าทำเป็นพิธีกรรมอันถูกต้อง อันสำเร็จประโยชน์สมตามความมุ่งหมายของพุทธบริษัทที่รุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญา ตามลักษณะของผู้เป็นสาวกของสมเด็จพระบรมศาสดาอันจะเป็นที่พึ่งของเราได้จริง ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
เสียงสวดมนต์ (นาทีที่ 01:11:22 – 01:19:31)
เสียงบทสนทนา ภาษาใต้ (นาทีที่ 01:19:31 – 01:22:44)