แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมเทศนาเป็นบุพพาปาละ(นาทีที่1:44)ลำดับ สืบต่อจากธรรมเทศนาที่วิสัชนาแล้วในตอนต้นแห่งราตรีนี้ จักได้กล่าวโดยหัวข้อพระบาลีว่า อนุปาทา วิมุตจันติ(นาทีที่2:02)มีใจความว่าเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นย่อมหลุดพ้นดังนี้ ฟังดูก็เป็นคำง่ายๆ เด็กๆ ก็พูดได้ เด็กๆ ก็พอจะเข้าใจว่าเพราะไม่ยึดมั่นย่อมหลุดพ้น ตัวเมื่อไม่ไปติดอยู่ที่อะไรก็ย่อมจะหลุดพ้น และนี่ก็เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เมื่อพระองค์ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ก็มีบุคคลที่มองเห็นธรรมเป็นคนแรกคือพระอัญญาโกณฑัญญะได้เกิดดวงตาเห็นธรรมว่า ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธธัมมัง สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีความดับเป็นธรรมดา เมื่อเห็นว่าทุกสิ่งมีความเกิดเป็นธรรมดา แล้วก็ต้องดับไปเป็นธรรมดาดังนี้ ก็นำไปสู่ความไม่ยึดมั่น ไม่ยึดถือโดยจิตใจมาเป็นตัวตนหรือมาเป็นของตน จิตก็ย่อมจะหลุดพ้น แม้ในอันดับแรกของบุคคลผู้เป็นโสดาบัน ความที่เคยยึดมั่นถือมั่นมาแต่ก่อนก็ย่อมคลายออกเป็นวิราคธรรม คือจางออกคลายออกแห่งความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง อาการที่จะคลายออกได้ก็ไม่ยึดมั่น ก็เพราะเห็นความจริงแห่งสิ่งนั้นๆว่าไม่ควรยึดมั่นหรือไม่ยึดมั่นขึ้นมาเอง นี่เป็นเวลาที่จะต้องศึกษากันให้เข้าใจเป็นพิเศษ คือเห็นความไม่น่ายึดมั่นถือมั่นแล้วก็เกิดความหน่ายจากความยึดมั่นถือมั่นแล้วก็เฉย ก็คือการที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นโดยสมบรูณ์ เพราะเฉยได้จึงไม่ติด เพราะไม่ติดก็จะหลุดคือความหลุดอยู่ในตัวมันเอง ความเบื่อหน่ายนี่พูดกันอยู่บ่อยๆ แต่ดูจะเข้าใจผิด อาตมาก็ได้ยินคนพูดถึงความเบื่อหน่ายอยู่บ่อยๆ แต่มันดูจะคนละเบื่อหน่ายกับความหมายในที่นี้ เบื่อหน่ายเพราะไม่ถูกใจ นี่มันก็มีอยู่ทั่วๆ ไป อย่างนี้ก็ไม่ ไม่หลุดพ้น ความไม่ถูกใจก็คือความยึดติดหรือยึดมั่นถือมั่นอย่างหนึ่งอยู่ เบื่อหน่ายเพราะไม่ถูกใจนี่ไม่ใช่ความหลุดพ้น ความเบื่อหน่ายที่แท้จริงในทางธรรมะเพราะเห็น ความเป็นอนัตตา เป็นต้นนั้น จะเป็นไปในทางเฉย คือจะเคลื่อนเข้าไปในทางเฉยจนกระทั่งเฉยถึงขีดสุด คนที่เบื่อหน่ายแล้วกระสับกระส่ายอยู่ เพราะความไม่ชอบใจนั้นไม่ใช่เบื่อหน่ายในที่นี้ แม้ว่าจะเฉยเพราะเกลียดกันโกธรกันก็ไม่ใช่ความเฉยในที่นี้ ความเฉยในที่นี้ก็เพราะเห็นความไม่น่ายึดมั่นถือมั่น ซึ่งมีความหมายไปในทางว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง ก็นำไปสู่ความเฉยไม่ใช่ว่าจะเพราะเกลียดชัง หรือไม่ใช่จะเพราะรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์อะไรเหมือนท่านเดินไปเห็นของบางอย่างแล้วก็เฉยไม่หยิบขึ้นมา นั่นก็เพราะว่าเห็นว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรกับเรา ตัวเราก็ยังมีอยู่ แต่สิ่งนี้ไม่มีประโยชน์อะไรแก่เรา ก็ไม่หยิบเอาขึ้นมา จะเรียกว่าเฉยก็ได้ ตามธรรมดามันก็เฉยในแบบของคนที่มีตัวเรา เมื่อเห็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์แก่ตัวเรามันก็เฉยได้ จึงไม่ใช่ความเฉยโดยแท้จริง ความวางเฉยโดยแท้จริงของพระอริยเจ้านั้น ก็เพราะเห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเองในแง่ที่ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ได้ ก็เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่มี เกิดขึ้น ดับไปก็ได้ และเห็นว่ามันกำลังมีความเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็เฉยได้ ไม่มีความอึดอัดขัดใจหรือไม่ใช่มองเห็นความไม่เป็นประโยชน์แก่ตน เหมือนกับว่าเพชรเม็ดนึงถ้าไก่เห็นเข้าก็ไม่สนใจ แต่ถ้าข้าวสารเม็ดหนึ่ง ไก่เห็นเข้ามันก็สนใจ ในข้อที่ไก่ไม่สนใจในเพชรเม็ดหนึ่ง แต่เมื่อคนไปเห็นเข้าก็จะตาลุกโปนทีเดียว เพราะมีความสนใจ ไก่ไม่สนใจเพราะเห็นความไม่มีประโยนช์อะไร มันก็เฉยได้ ถ้าคนจะเฉยในสังขารทั้งหลายก็ย่อมเห็นความที่มันไม่น่ายึดมั่นถือมั่น ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง เพราะมันเป็นอนัตตา เพราะมันว่างจากความหมายที่ควรจะยึดมั่นถือมั่น ซึ่งเรียกว่าสุญญตา ถ้าเห็นอนัตตา เห็นสุญญตา หรือเห็นตถตาเหล่านี้ ล้วนแต่มีความหมายอย่างเดียวกันทั้งสิ้น คือทำให้เฉยได้ เราควรจะศึกษาไอ้ความเฉยได้นี้กันไว้ให้ดีให้เป็นที่เข้าใจกันทุกคน มันเฉยได้ทั้งที่น่ารัก มันเฉยได้ทั้งที่น่าเกลียด เพราะมันมองเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ความเป็นเช่นนั้นเองช่วยให้เฉยได้ นับตั้งแต่ช่วยให้เกิดนิพพิทา คือความหน่ายไม่ยึดมั่นถือมั่นหรือเกาะไม่ติดหรือมันไม่มียางเหนียวที่จะทำให้เกาะติด ควรจะสังเกตให้ดีในข้อที่ว่าไอ้นิพพิทานี้ไม่ทำอันตราย ไม่ทำให้เบื่อหน่าย การที่เบื่อหน่ายในสังขารแล้วทำลายชีวิตตนเองนั้นไม่ใช่ความเบื่อหน่ายในที่นี้ เป็นความเบื่อหน่ายด้วยความโง่เขลา ถ้าเบื่อหน่ายด้วยสติปัญญา มันจะนำไปในทางที่ให้เฉยได้ ไม่ต้องมาฆ่าตัวเองให้เสียเวลาให้เหน็ดให้เหนื่อย ความเบื่อหน่ายก็มีอยู่กันสองความหมาย คนที่ชอบพูดว่าเบื่อหน่ายระวังให้ดี มันเป็นเบื่อหน่ายชนิดนี้ หรือว่าเบื่อหน่ายเพราะอย่างอื่น เพราะความซ้ำซากไม่เป็นที่ตั้งแห่งความพอใจนี่ก็เบื่อหน่าย หรือเพราะว่าเห็นไปในทางที่ว่าไม่เป็นมิตร ไม่เป็นเพื่อน ไม่เป็นผู้หวังดี แล้วก็เบื่อหน่าย นี่เป็นความเบื่อหน่ายชนิดที่ทำอันตรายแก่บุคคลผู้รู้สึกเบื่อหน่าย ไม่นำไปสู่ความสงบสุขคือความเฉยได้ ถ้าจะเรามีสัมมาทิฏฐิกันให้สมบูรณ์ ถูกต้องตามหลักแห่งธรรมะแล้ว สัมมาทิฏฐินั้นจะนำไปสู่ความเบื่อหน่ายที่ถูกต้อง สู่ความวางเฉยที่ถูกต้องที่เรียกว่าเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นย่อมหลุดพ้นดังนี้ ทีนี้คนธรรมดาสามัญทั่วไปที่ยังไม่ถึงกับเป็นพระอรหันต์นั้น จะได้รับประโยชน์อะไรในการที่เบื่อหน่ายและเฉยได้ ก็ควรจะมองเห็นดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ไม่เฉยไม่ได้ มันก็ต้องยึดถือ ยินดียินร้าย และก็ทำให้เกิดความทุกข์ไปตามแบบความยึดถืออย่างดีหรืออย่างร้าย หรือเมื่อสลัดออกไปไม่ได้ มันก็มาเป็นสิ่งที่ทรมานใจเป็นโรคภัยไข้ เจ็บในทางจิตใจ จิตใจที่ทนทรมานนำมาซึ่งโรคทางกายอีกหลายๆ ประการ หรือเป็นโรคระหว่างกายกับใจ ดังเช่นโรคประสาทเป็นต้น มันก็หลายๆ ประการ นี่คือความที่มันเฉยไม่ได้ เห็นง่ายๆ ว่าคนนอนไม่หลับ เพราะว่ามันเฉยไม่ได้ มารบกวนจิตใจอยู่ แม้โดยไม่เจตนาถ้าคนเราไปศึกษาเรื่องของตัวเองให้ดี ไม่ต้องศึกษาพระคัมภีร์ก็ยังได้ ศึกษาเรื่องของตัวเองให้ดี ให้พบความยึดมั่นถือมั่นที่มีอยู่โดยแท้จริง เห็นโทษของความยึดมั่นถือมั่นและก็จะเบื่อหน่ายไปตามทางที่ถูกต้อง ถึงขนาดแล้วก็จะเฉยได้ บางคนอาจจะเก่งกว่านั้น คือมองชะเง้อไปหยั่งความเฉยได้ เหมือนกับที่เรียกว่าจะมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ เดี๋ยวนี้ยังเฉยไม่ได้จะคอยจ้องความที่จะเฉยให้ได้ มีความเฉยได้เป็นอารมณ์อยู่ข้างหน้า อย่างนี้ก็ยังเป็นการดี คือมันจะทำให้เขยิบไปข้างหน้า ไปตามทางของความปล่อยวางมีความเฉยได้คือวางได้นั่นเป็นที่สุด จะต้องรู้จักสังเกตพิจารณาจิตใจของตน เป็นการศึกษาเล่าเรียนในภายในอยู่เสมอ พูดอย่างนี้มีบางคนหาว่าดูถูกดูหมิ่นพระคัมภีร์ตำรับตำราหนังสือหนังหาที่เคยอ่านเคยศึกษามาแล้วเป็นอย่างมาก อาตมาก็ต้องบอกว่าไม่ได้ดูถูกดูหมิ่นพระคัมภีร์ตำรับตำราหนังสือหนังหา หากแต่ว่าเราจะทำให้สำเร็จประโยชน์ตามพระคัมภีร์ตำรับตำราหนังสือหนังหานั่นเอง ถ้ามีแต่พระคัมภีร์ หนังสือหนังหา ตำรับตำรา อยู่เฉยๆหรือว่าอ่านแล้วลืมอ่านแล้วลืม หรือคิดแล้วลืม คิดแล้วลืมอยู่อย่างนี้และมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร และมันก็จะต้องเป็นอย่างนั้นเอง เพราว่าเขาไม่ได้ทำการศึกษาต่อไปจากตำรับตำราหนังสือหนังหา พูดอีกอย่างหนึ่งก็พูดว่าจะต้องเปลี่ยนให้เป็นการปฏิบัติ คือยกเอาความรู้ลงไปใส่ลงไปในการปฏิบัติ ทำความรู้ให้กลายเป็นการปฏิบัติ ความรู้เป็นเรื่องของหนังสือหนังหาตำรับตำรา เก็บใจความได้เท่าไหร่อย่างไร ความจริงนั้นต้องนำไปสู่การปฏิบัติเรียกว่าวางความรู้ลงไปในการปฏิบัติ นั่นแหล่ะคือการที่จะต้องศึกษาในภายต่อไป ถ้าไม่มีการศึกษาในภายใน ก็เห็นธรรมะอันแท้จริงไม่ได้ ก็ได้แต่ท่องว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่อย่างนกแก้วนกขุนทอง หรือว่าอัดเป็นเสียงให้ร้องเป็นจานเสียง มันก็ร้องได้ มันก็ร้องอยู่อย่างนั้น ฉะนั้นสิ่งใดที่ได้เล่าเรียนมา ได้ศึกษามาโดยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสุญญตาว่างเป็นตถตาเช่นนั้นเองนี่ จะต้องเอาไปทำให้เป็นความรู้ที่แท้จริงขึ้นมาในจิตในใจ และทำให้คล่องแคล่วชำนาญอย่างยิ่งจนถึงกับว่าจะพิจารณากันที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ในความรู้ที่แท้จริงนั้นสามารถที่จะนำไปใช้ที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ คือโดยสติที่เพียงพอดังที่กล่าวแล้ว เพราะเราได้ฝึกฝนอบรมมาดีทั้งสติ ทั้งสัมปชัญญะ ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา ทั้งสัมมาทิฏฐิ เหมือนกับว่าที่เรากำลังกระทำอยู่นี้ กระทำบ่อยๆ บางอย่างก็ทำทุกปี บางอย่างก็ทำทุกเดือน บางอย่างก็ทำทุกวัน บางอย่างก็ทำวันละหลายๆครั้ง นี่ก็เพื่อให้เกิดความรู้ที่ก้าวหน้าที่สมบรูณ์ เป็นความรู้ที่จะต้องใช้เกี่ยวกับความรู้สึกในจิตในใจ ไม่ใช่ความรู้ที่เก็บไว้ในสมุดในตำราเหมือนที่เป็นกันอยู่โดยมาก เกิดเรื่องอะไรต้องไปเปิดหนังสือ ต้องไปเปิดตำราดู แล้วมันจะทันเวลากับกิเลสได้อย่างไร เพราะเรื่องของกิเลสนั้นรวดเร็วว่องไวเหมือนกับสายฟ้าแลบ เราก็จะผลัดเพี้ยนเวลาขอเปิดตำราดูก่อน อย่างนี้มันเป็นสิ่งทำไม่ได้ จะต้องมีความรู้เท่าถึงการณ์ก่อนแต่ที่กิเลสจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำไป แล้วก็รู้แจ่มแจ้งเมื่อกิเลสมันเกิดขึ้น หรือเมื่อความทุกข์มันเกิดขึ้นก็ต้องมีความรู้ที่แจ่มแจ้งชนิดที่ทำลายกิเลสได้ หรือทำลายความทุกข์ได้ นี่คือเรื่องจริงที่จะต้องทำให้ได้ ทั้งการเห็นเช่นนั้นเองก็ดี การเห็นว่างจากตัวตนก็ดี ล้วนแต่จะต้องเห็นอย่างแจ่มแจ้ง ซึ่งท่านอุปมาว่าเป็นเหมือนกับอาวุธที่ดีที่สุด อย่างเรียกว่าพระขรรค์เพชรก็เคยมีเรียก หมายความว่าความรู้ที่เฉียบแหลมที่สุดที่มีอำนาจมากที่สุด ที่จะตัดกิเลสหรือต้นเหตุของความทุกข์ใดๆ ในที่สุดก็คือความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง ถ้าถามว่าจะต้องตัดอะไร ก็ต้องตอบว่าตัดความยึดมั่นถือมั่น และตัดตามควรแก่โอกาส ตัดเป็นการป้องกันล่วงหน้าก็ได้ตัดเมื่อกำลังจะเกิดก็ได้ ตัดเมื่อเกิดแล้วก็ได้ นั่นแหล่ะคือความแตกฉานเชี่ยวชาญในญาณความรู้ในมัคคญาณที่มีมาแต่ความเห็นแจ้งถึงที่สุด เพราะฉะนั้นขอให้ท่านทบทวนถึงเรื่องที่จะมีอาวุธอันวิเศษนี้ ซึ่งทำได้ด้วยการศึกษาในภายในต่อไปจากการศึกษาภายนอก ฟังเทศน์นี้ก็เรียกว่าการศึกษาภายนอก แต่ให้มันซึมเข้าไปเป็นการศึกษาภายในต่อไป อ่านหนังสือก็เป็นการศึกษาภายนอก และเอาไปใช้ไปทำให้มันเป็นการศึกษาภายในต่อไปจึงจะสำเร็จประโยชน์ จะต้องมีจิตใจที่ฝึกฝนอบรมให้ถูกต้องตามหนทางของความหลุดพ้น เรามีสติปัญญาตามธรรมชาติธรรมดา ซึ่งธรรมชาติให้มาก็สูงกว่าสัตว์เดรัจฉานอยู่แล้ว เอามาเปรียบเทียบกันดู สัตว์เดรัจฉานก็มีความรู้ มนุษย์ก็มีความรู้ แต่มนุษย์มีความรู้อย่างปัญญา สัตว์เดรัจฉานมีความรู้อย่างสัญชาตญาน คือมันรู้ได้เอง รู้เป็น รู้เองตามธรรมชาติ รู้เท่าที่ธรรมชาติให้รู้หรือถ่ายทอดกันมา เรียกว่ามันเกิดได้เอง นั่นก็เพราะมันถ่ายทอดกันมาตามธรรมชาติ สัตว์เดรัจฉานรู้อะไรได้เพียงเท่าที่สัญชาตญานทำให้รู้ แต่มนุษย์นี้มีปัญญาอีกประเภทหนึ่งซึ่งจะเรียกว่าพาวิตตญาน(นาทีที่ 26:00) คือความรู้ที่เราได้ทำให้มันเกิดขึ้น เพิ่มขึ้นๆ ไม่หยุดอยู่เพียงสัญชาตญาน ซึ่งแปลว่าเกิดเองและพาวิตตญานแปลว่าได้ทำให้เกิดขึ้น มนุษย์มีปัญญาชนิดพาวิตตญาน แม้ว่าจะมีปัญญาจากสัญชาตญานก็ไม่ได้อาศัยปัญญาชนิดนั้น เพราะมันไม่ใช่ปัญญา แม้ว่าจะเฉลียวฉลาดตามสัญชาตญานถ่ายทอดกันมาจากบิดามารดามันก็ยังไม่ใช่ปัญญา มันจะต้องมีการศึกษาอบรมให้ก้าวหน้าเกินไปกว่าที่มันเป็นสัญชาตญาน นี่มนุษย์ต่างจากสัตว์เดรัจฉานก็ที่ตรงนี้ แต่แล้วมีปัญญานี้ยังทำผิดเพราะว่ามันฉลาดมากเกินไป ไอ้ความฉลาดนี้ถ้ามันเดินไปถูกทางมันก็ดี ถ้ามันเดินไม่ถูกทางมันก็เป็นอันตราย แม้สิ่งที่เรียกว่ากิเลส กิเลสนั้นก็คือปัญญาชนิดหนึ่งด้วยเหมือนกัน แต่ว่ามันเป็นปัญญาที่ผิดทาง เราจึงไม่เรียกว่าปัญญา ไปเรียกว่ากิเลส เมื่อเราเด็กๆ ถ้าเราทำผิด เรากลัวพ่อแม่จะตี เราก็ต้องโกหก อย่างใดอย่างหนึ่งจะต้องแก้ตัวอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำก็บอกว่าไม่ได้ทำ ไปก็บอกว่าไม่ได้ไป นี่โกหกอย่างนี้มันก็เป็นปัญญาชนิดหนึ่ง แต่ไม่เรียกว่าปัญญาไปเรียกเสียว่ากิเลส หรือไม่มีอะไรจะกิน ปัญญามันก็มีอยู่มันก็ขโมย ทีนี้การไปขโมยก็คือการใช้ปัญญาชนิดหนึ่ง ซึ่งเราไม่เรียกว่าปัญญาแต่เรียกว่ากิเลส ไปดูให้ดีเถิด กิเลสหรือปัญญานี้มันก็เป็นสิ่งเดียวกัน เพียงแต่ว่ามันให้ผลต่างกัน ส่วนที่เป็นกิเลสนั้นจะต้องให้ผลเป็นทุกข์ ส่วนที่เป็นปัญญาเป็นโพธิอันแท้จริงนั้นจะเป็นไปเพื่อดับทุกข์จะแก้ปัญหาของมนุษย์ ถ้าใช้ปัญญา อย่างกิเลสมันก็อยู่กันไม่ได้เพราะว่าทุกคนจะเห็นแก่ตน และก็ต้องเบียดเบียนผู้อื่นเป็นแน่นอน ปัญญากิเลสมันก็ใช้ไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นใช้ปัญญาที่ถูกต้อง ไม่เป็นกิเลส มันเป็นการเห็นอย่างถูกต้อง ว่าเราจะต้องอยู่ด้วยกันเราจะต้องช่วยกัน กระทั่งถึงว่าเราจะต้องเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน เราก็ไม่เบียดเบียนกัน เราก็อยู่กันได้ ความรู้หรือปัญญา มันมีอยู่เป็นพื้นฐานตามธรรมชาติธรรมดา สัตว์เดรัจฉานเมื่อไม่มีอะไรจะกินมันต้องขโมยเป็นเหมือนกัน คนเมื่อไม่มีอะไรจะกินมันก็ขโมยเป็นเหมือนกัน นี่เรียกว่ามันใช้สัญชาตญาณไปในทางที่ผิด ควบคุมไม่ได้ก็ต้องเป็นทุกข์ ทีนี้เราเป็นมนุษย์ เราต้องรู้จัก เราต้องควบคุมได้ และต้องทำให้เป็นไปในทางที่จะอยู่กันเป็นผาสุขได้ ขอให้ทุกคนรู้จักปัญญาต้นทุน ปัญญาเดิมพันที่ธรรมชาติได้ให้มาแล้วด้วยกันทั้งนั้น และจัดการกับมันให้ดี หรือฝึกฝนอบรมให้ดี ให้เดินไปตามทางของปัญญาที่เรียกว่าโพธิอันถูกต้อง อบรมปัญญาชนิดนี้อยู่ก็เรียกว่าโพธิสัตว์ เมื่อเสร็จสิ้นในการอบรมปัญญานี้แล้วก็กลายเป็นพุทธะหรือพระพุทธเจ้าขึ้นมา ทุกคนเป็นพระพุทธเจ้าได้ด้วยการอบรมปัญญาของตน ของตน ถ้าทำได้เองก็เป็นพระพุทธเจ้าชนิดสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าฟังของพระพุทธเจ้ามาทำก็เป็นพระพุทธเจ้าเดินตาม เรียกว่าอนุพุทธะเป็นพุทธะที่เดินตาม ก็ไม่อาจจะตรัสรู้ชอบได้ด้วยตนเอง แต่ก็ไม่เป็นไรเมื่อรู้ได้เอง เรื่องเดินตามนี้มันก็ยังมีผลด้วยกันทั้งนั้น คือดับทุกข์ได้ เราได้ยินได้ฟังคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มาทำให้เป็นปัญญาของเรานี้ไม่ใช่ขี้ตู่ เป็นเรื่องที่ควรจะทำ ควรจะรับเอา ปัญญาที่พระพุทธเจ้าประสิทธิ์ประสาทให้มาและทำให้เป็นปัญญาของตน เพื่อให้เกิดความรู้ขึ้นภายในอย่างแจ่มแจ้ง ให้กลายเป็นของตน ซึ่งมันจะช่วยให้ตนได้ ตนในที่นี้ก็คือร่างกายจิตใจ ที่มันประกอบอยู่ด้วยปัญญา มันก็มีความรักตน เห็นแก่ตนอยู่แล้วก็เปลี่ยนเสียให้มันถูกต้อง ให้มันรู้จักให้ปล่อยวางตน ความรู้สึกว่าตนเป็นความคิดผิดพลาด เป็นความโง่เขลาเกิดมาจาก การไม่มี ไม่มีการศึกษา หลายการศึกษาของพระพุทธเจ้าเติบโตขึ้นมาด้วยอวิชชา ด้วยมิจฉาทิฏฐิ แต่มันก็ยังดีที่ว่ามันเป็นปัญญาตามสัญชาตญาณทำให้ยึดมั่นตัวตน ทำให้เห็นแก่ตน ทำให้อยากดี ใน ใน ในชั้นต้น ไอ้ความอยากดีนี่มันเป็นพื้นฐาน คนเราถ้าไม่รู้จักอยากดี มันก็ไม่ทำอะไรชนิดที่จะเป็นความเจริญก้าวหน้าแก่ตน ฉะนั้นการที่ได้รับอบรมสั่งสอนมาให้รู้จักดีและให้อยากดีนี้ถือว่าเป็นเรื่องเบื้องต้น เป็นจุดตั้งต้น เป็นเดิมพันที่ควรจะมี แต่ทีนี้มาดูอีกทีก็เห็นได้ว่า ไอ้ความอยากดีหรือความยึดมั่นความดีนี้มันเก็บไว้ไม่ได้ มันเป็นของหนัก มันทรมานจิตใจของบุคคลผู้เก็บไว้ ผู้แบกไว้ ผู้ถือไว้ ด้วยความยึดมั่น ทีนี้ก็จะต้องจัดการกับความยึดมั่นถือมั่น อย่าให้เป็นความยึดมั่นถือมั่น ให้เป็นเพียงสิ่งที่เกี่ยวข้องกันอาศัยกันและถือเอาประโยชน์ให้ได้ คำสอนง่ายๆ แต่โบราณจึงมีว่าจงทำเหมือนกับว่าของยืม ยืมใช้ ยืมจากใครก็ยืมจากธรรมชาติ สิ่งต่างๆ เป็นสมบัติของธรรมชาติ เป็นไปตามกฏของธรรมชาติอย่างเฉียบขาดอย่างแน่นอน เราไปปล้นเอามาเป็นของเรา ธรรมชาติมันก็ลงโทษให้เป็นความทุกข์ ฉะนั้นควรจะมีปัญญาที่จะต่อรองกันว่าขอยืมใช้ ร่างกายนี้ตั้งแต่เกิดมาจนกว่าจะตาย ขอยืมใช้ทีเถิดเพราะมันเป็นที่ตั้งแห่งร่างกาย อะไรๆ ที่มันเนื่องกับร่างกายก็ยืมใช้ บ้านช่องสมบัติพัสถาน ถ้าให้พูดก็จะพูดเลยไปถึงว่า แม้แต่ภรรยาสามีก็ขอให้เป็นเรื่องยืมใช้สักทีเท่านั้น ขอยืมจากธรรมชาติ เอามาถือว่าเป็นภรรยาสามี เป็นบุตร เป็นหลาน จนกว่ามันจะตายไปในระหว่างยืมใช้นี้ อย่าโกหกหลอกลวงให้ยืมใช้ก็เป็นยืมใช้จริงๆ อย่ากล้ายึดมั่นถือมั่นขึ้นเป็นของตน เมื่อเป็นการหลอกลวงธรรมชาติมันก็ลงโทษให้สำหรับบุคคลที่ทรยศ ยืมมาใช้แล้วก็มาถือเอาเป็นของตัว อย่างนี้มันก็ต้องได้รับโทษ คือความทุกข์ คนโบราณก็สอนง่ายๆ ว่าให้ถือเสมือนหนึ่งของยืมใช้ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นของธรรมชาติ ขอยืมมาใช้เป็นร่างกาย แม้แต่ชีวิตนี้ซึ่งปรุงขึ้นมาจากสิ่งเหล่านั้น ก็ขอยืมใช้ ฟังดูแล้วมันก็น่าหัว ลูกเด็กๆ เขาก็คงจะไม่เชื่อว่าชีวิตนี้ที่แท้นั้นเรายืมใช้จากธรรมชาติ ถ้าพูดให้ถูกไปกว่านั้นอีก ก็ว่ามันเป็นสิ่งที่ธรรมชาตินั่นแหละมันปรุงแต่งขึ้นมา เราก็ไม่ได้มีเจตนาอยากที่จะเกิดขึ้นมา แต่กฏของธรรมชาติธรรมดาทำให้มีการเกิดขึ้นมาตามธรรมดาสามัญที่สุดของสิ่งที่มีชีวิต มันเป็นความลึกลับของธรรมชาติ ของกฏของธรรมชาติที่ต้องการให้ชีวิตนี้ยังคงอยู่ ธรรมชาติจึงวางระบบการสืบพันธุ์ อย่าให้มันสูญสิ้นพันธุ์ของสิ่งที่มีชีวิต การสืบพันธุ์นั้นมันลำบาก มันเจ็บปวด ธรรมชาติก็เอาเหยื่อล่อ เอาค่าจ้างล่อคือความรู้สึกเป็นสุขเอร็ดอร่อย เนื่องด้วยการสืบพันธุ์ มนุษย์จึงสมัครเป็นลูกจ้างของธรรมชาติ ทำการสืบพันธุ์ด้วยค่าจ้างที่ธรรมชาติหลอกให้เป็นความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อย ซึ่งเราเรียกว่ากามารมณ์ คนโง่ก็รับจ้างคนโง่ก็กินเหยื่อ และก็ทำงานให้ธรรมชาติหรือติดเบ็ดของธรรมชาติ สร้างเรื่องยุ่งยากขึ้นมา ผู้ที่มีสติปัญญา ก็ควรจะมองเห็นว่า เรื่องนี้มันเป็นความพ่ายแพ้เป็นความโง่เขลาติดเบ็ดของธรรมชาติคือความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่มันเป็นเพียงธรรมชาติและก็ต้องเป็นทุกข์ มันก็เลยเป็นคนธรรมดา เป็นสัตว์ธรรมดาเหมือนกันกับสัตว์เดรัจฉานซึ่งทำการสืบพันธุ์เพราะรับจ้างกินเหยื่อ หรือรับค่าจ้างนั่นเอง ให้มนุษย์มันดีกว่าสัตว์เดรัจฉานก็ต้องอย่าให้ตกไปสู่สภาพการกินเหยื่อหรือรับจ้าง มันมีอะไรมาช่วยในเรื่องนี้ ก็มีธรรมะนั่นเอง คือความจริงก็ตามกฏของธรรมชาติอีกนั่นแหล่ะ ว่าถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่นมันก็ไม่เป็นอะไรหรือว่าเป็นเรื่องยืมกันใช้ เพราะว่ามันได้เป็นมาถึงขนาดนี้แล้ว มันถอยหลังไม่ได้แล้วมันก็ต้องเดินต่อไป เดินต่อไป อย่าให้เป็นทุกข์ มันก็ต้องรู้ความจริงที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่น เรามีหน้าที่พิเศษหรือสำคัญอยู่อย่างหนึ่งก็คือจะแก้ลำกับธรรมชาติชนิดที่เอาเกลือจิ้มเกลือ ถ้าพระเจ้าสร้างเรามา เราก็เอาชนะให้ได้ว่าเราต้องไม่เป็นทุกข์ ถ้าเราเป็นทุกข์เราก็เสียเปรียบหรือเราก็ไม่มีค่าไม่มีความหมายอะไร พระเจ้าสร้างมาก็ได้ ธรรมชาติสร้างมาก็ได้ แต่เราจะเอาชนะให้ได้โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ก็คือรู้ทัน รู้เท่าทันเรื่องของพระเจ้าหรือเรื่องของธรรมชาติ แล้วแต่จะเรียกชื่ออย่างไร คนที่เขาเชื่อว่ามีพระเจ้าเขาก็ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฏของพระเจ้าเพื่อไม่เป็นทุกข์ เขาก็ไม่คดโกง ไม่ ไม่ตู่เอาของพระเจ้ามาเป็นของตน สิ่งทั้งปวงเป็นของพระเจ้าก็ไม่ยึดถือเอามาเป็นของตนมันก็ยังคงเป็นของพระเจ้า คนเหล่านี้ก็ไม่เป็นทุกข์ ถ้าถือพระเจ้าต้องถือกันอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เราไม่ถือพระเจ้าเราถือเป็นกฏของธรรมชาติ เราก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องต่อกฏของธรรมชาติ โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์เช่นเดียวกันอีก ฉะนั้นความโง่ไปตู่เอาความเป็นธรรมชาติมาเป็นของตนนี้เรียกว่าความยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปทาน ซึ่งมาจากอวิชชา เลิกกันเสียทีเถิดอย่าได้ยึดมั่นถือมั่นโดยความเป็นตัวตนหรือของตนแม้แต่สิ่งที่เรียกว่าชีวิต จิตใจ รวมทั้งร่างกาย อะไรๆทั้งหมดทั้งสิ้น มันเป็นของธรรมชาติ เป็นไปตามกฏของธรรมชาติ ประพฤติที่ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติว่ามันเป็นของธรรมชาติ ไม่โง่เอามาเป็นตัวตน มันก็ไม่มา ทำให้เกิดเป็นความทุกข์ทรมาน ถ้าทำผิดจะเอาเป็นตัวตนมันก็ต้องสู้รบกับธรรมชาติ ซึ่งดูแล้วก็ไม่มีทางจะสู้ได้ มันจึงต้องเป็นทุกข์ มันเป็นทุกข์มากขนาดเรื้อรัง เป็นทุกข์ชนิดฝังอยู่ในนิสัยสันดานเอาเสียทีเดียว เรียกว่ามันเป็นกิเลสมันเป็นอนุสัย มันเป็นอาสวะฝังอยู่ในภายใน ใครเคยรื้อออกมาดู คนนั้นจะเข้าใจว่ามันมีอะไรที่เป็นกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ คนที่ไม่รู้ก็ไม่เคยรื้อออกมาดู มันก็นั่งทนทุกข์อยู่ตลอดวันตลอดคืนตลอดเดือนตลอดปีหรือตลอดชาติ ฉะนั้นควรจะรื้อออกมาดูข้างในให้มันรู้ว่ามันเป็นอย่างไร มันมี หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจข้างนอก เมื่อมีอะไรมากระทบแล้วมันปรุงแต่งเข้าไปข้างใน ทำให้เกิดกิเลส มีความเคยชินแห่งกิเลสสำหรับจะเป็นทุกข์เมื่อนั้นและสำหรับจะเป็นทุกข์อย่างยืดเยื้อต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด นี่เพราะว่าเก็บความเคยชินแห่งกิเลสหรือเชื้อแห่งกิเลสไว้ในภายในเรียกว่าอนุสัยเรียกว่าอาสวะ แต่ละคนแต่ละคนมีมากน้อยเท่าไหร่ ควรจะสนใจที่จะดู ทำให้เห็นด้วยสิ่งที่เรียกว่าวิปัสสนาคือจิตใจธรรมดามันมองไม่เห็น ต้องอบรมจิตใจให้เป็นจิตใจพิเศษ มีสมาธิมีปัญญามีวิปัสสนา จิตใจที่อารมณ์ดีแล้วอย่างนี้มันมองเห็น ก็จำเป็นอยู่บ้างที่จะต้องฝึกฝนจิตใจให้เป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นวิปัสสนาตามโอกาสและก็มองดูข้างใน แล้วก็จะมองเห็นถึงสิ่งที่เรียกว่ากิเลส อันมีอยู่ในนิสัยสันดาน เป็นความเคยชินรวดเร็วว่องไว สำหรับจะยึดมั่นถือมั่น รวดเร็วว่องไวเหมือนกับสายฟ้าแลบสำหรับจะยึดมั่นถือมั่น แล้วก็เป็นทุกข์ นั่นแหล่ะสังเกตดูเถิดว่าเราจะบังคับไม่ให้รัก ไม่ให้โกธร ไม่ให้เกลียด ไม่ให้กลัว นี่มันทำยาก เพราะมันรวดเร็วว่องไวเหมือนกับสายฟ้าแลบ ฉะนั้นจะต้องเก่งกว่าคือจะต้องอบรมสติปัญญา สัมมาทิฏฐิ อะไรก็ตาม ให้มันรวดเร็วว่องไวทันกันกับความรวดเร็วว่องไวของกิเลส ซึ่งมันเป็นธรรมชาติด้วยกัน มันเป็นปัญญาด้วยกัน ปัญญาฝ่ายกิเลส มันก็เดินไปผิด ปัญญาฝ่ายโพธิมันก็เดินมาถูก แต่มันก็ว่องไวเท่ากัน มันก็ชิงโอกาสที่จะครอบครองชีวิตนี้ ทีนี้มันก็ได้เปรียบข้างฝ่ายกิเลส เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาโน้นไม่เคยศึกษาเล่าเรียน ปล่อยมาตามอำนาจกิเลส ทีนี้อำนาจกิเลสมันก็มีมากกว่ามีความเคยชินมากกว่า พอมาถึงวันนี้กิเลสก็ยังได้เปรียบกว่า เกิดง่ายกว่า เกิดเร็วกว่า เราจึงได้เป็นทุกข์มากกว่าที่จะได้รับความว่างจากความทุกข์ หรือไม่มีทุกข์ ดูให้ดีๆ ให้เห็นความจริงข้อนี้ว่าปัญญาความรู้ฝ่ายผิด คือมิจฉาทิฏฐินั้นมันได้เปรียบกว่า เพราะว่าเราทำกับมันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก กว่าจะได้มาฟังคำสอนของพระพุทธเจ้านี่มันนานเหลือเกิน ก่อนหน้านั้นมันคบหาเสวนากันอยู่แต่กับเรื่องของกิเลส คือ ความรู้ที่เป็นไปผิด เป็นมิจฉาทิฏฐิก็เรียก เป็นมิจฉาญานะก็เรียก เรามีกิเลสชนิดนี้ตลอดเวลาอันยาวนานกว่าจะมาพบสิ่งที่ตรงกันข้ามคือแสงสว่างของพระธรรม มันก็ลำบากบ้างเป็นธรรมดา ถ้าใครเห็นว่าลำบากไม่ยอมแก้ไขก็ตามใจ ก็อยู่กันกับความทุกข์จนตลอดชีวิต และถ้าใครมาเห็นว่ามาแก้ไขกันเสียดีกว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ เวลายังมีที่เหลืออยู่ต่อไปนี้จงมาปรับปรุง ความรู้หรือปัญญาให้เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นยถาภูตญาณทัสสนะ คือการรู้เห็นอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง มันก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมิจฉาทิฏฐิก็ค่อยๆกลายมาเป็นสัมมาทิฏฐิ ความผิดมันก็ออกไป ความถูกต้องหรือความจริงมันก็เข้ามา จงมองเห็นข้อนี้เห็นความจริงข้อนี้ที่มันเป็นอยู่จริงๆ ว่าเราได้มาเกี่ยวข้องกับธรรมะแล้ว มันก็เกิดการเปลี่ยนแปลง มันจะเอาเร็วไม่ได้ เพราะว่ามันสะสมหมักหมมในความผิดมานานหนักหนาแล้ว ก็ต้องค่อยทำค่อยไป แต่ก็มีหวังว่าจะทำได้ ขอให้เป็นคนจริง มีสัจจะคือความจริง มีวิริยะคือความพากเพียร มีศรัทธาคือความเชื่อแน่ว่าเราต้องทำได้ และก็ทำก็จะเกิดสมาธิ เกิดปัญญา ที่สามารถแก้ไขให้ความผิดนั้นให้มันถูกต้องได้ เป็นสัมมาทิฏฐิดังที่กล่าวแล้วว่าสัมมาทิฏฐิ สมาทานา สัพพัง ทุกขัง อุปัจจคุง คนเราล่วงความทุกข์ทั้งปวงได้เพราะสมาทานสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาทิฏฐิที่ได้สร้างขึ้นมาแล้ว ใช้เป็นเครื่องมือสำหรับจะปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติที่เรียกว่าพระธรรมในส่วนที่เป็นกฏของธรรมชาติเป็นของจริงเป็นของเด็ดขาด มีอำนาจเหนืออยู่สิ่งอื่นใด เราจะทำลายกฏอันนี้ไม่ได้ มีแต่จะต้องทำให้ถูกต้องตามกฏอันนี้ ซึ่งมีอยู่ว่าทำอย่างไรจะไม่เป็นทุกข์ ก็ทำไปตามนั้น ส่วนที่ว่าทำอย่างไรมันเป็นทุกข์เราก็หลีกเลี่ยงเสีย มีปัญญาพอแล้วที่จะหลีกเลี่ยงส่วนที่เป็นทุกข์ก็จะดำเนินไปในทางที่ไม่เป็นทุกข์ เรียกว่ามีสัมมาทิฏฐินั่นเอง และสัมมาทิฏฐิสูงสุดก็ขึ้นมาถึงการเห็นตามที่เป็นจริงว่าธรรมะทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ที่มันมีเหตุปัจจัยก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ที่ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยก็ยังไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แปลว่าไม่ยึดมั่นถือมั่นโดยประการทั้งปวง ดีก็ไม่ยึดมั่น ชั่วก็ไม่ยึดมั่น มันจึงจะพ้นขึ้นไปจากชั่วจากดี อยู่เหนือชั่วเหนือดี ไม่มีปัญหาเกิดจากความชั่วความดีนี้เรียกว่าความหลุดพ้น อยู่เหนือโลก ในโลกนี้มีแต่เรื่องชั่วเรื่องดีที่ต้องขึ้นไปอยู่เหนือโลกจึงจะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงเขาเรียกกันว่าโลกอุดร ภาษาบาลีเรียกว่าโลกุตตระ แปลว่าเหนือโลก อย่าไปเรียกว่าโลกอุดร เดี๋ยวมันจะคิดว่าอยู่ทางทิศเหนือ มันก็จะขึ้นรถไฟไปทางทิศเหนือกันป่วยการเปล่าๆ เรียกกันว่าโลกอุดร ก็หมายความว่ามันอยู่เหนือโลก คำว่าอุดรหรือโลกุตตระนี้แปลว่าอยู่เหนือ โลกนี้มันก็เต็มไปแต่ความดีและความชั่ว หรือสิ่งที่พร้อมที่จะเป็นความดีหรือเป็นความชั่วอยู่นั่นเอง จงมีความปล่อยวางสิ่งเหล่านี้หลุดพ้น เพราะความปล่อยวางนั้นว่า อนุปาทา วิมุตจันติ(นาทีที่ 52:21) เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นย่อมหลุดพ้น หลุดพ้นจากโลกก็เป็นโลกอุดร ร่างกายไม่ต้องไปที่ไหน ร่างกายยังคงเป็นอย่างนี้ในสภาพอย่างนี้ แต่จิตใจนั้นเปลี่ยนได้มาก เปลี่ยนจากเดิมจากมิจฉาทิฏฐิไปเที่ยวยึดมั่นถือมั่นอะไร กลายมาเป็นสัมมาทิฏฐิไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรมันก็อยู่เหนือสิ่งทั้งปวงเรียกว่าเหนือโลกรู้จักคำว่าเหนือโลกกันไว้ที่ตรงนี้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ชัดเจนว่าโลกก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี ความดับสนิทแห่งโลกก็ดี ทางให้ถึงความดับสนิทแห่งโลกก็ดี ตถาคตบัญญัติไว้ในกาย ซึ่งยาวประมาณวาหนึ่งนี้มีสัญญาและใจ หมายความว่าในร่างกายที่ยังเป็นๆ นี่มันจึงจะมีสัญญาและใจ ร่างกายตายแล้ว ดับแล้วไม่มีสัญญาและใจ ต้องเป็นร่างกายที่ยังเป็นๆ มีสัญญาและใจ ในกายที่ยังเป็นๆนี้มีโลกมีความดับสนิทแห่งโลก เราก็จะพบความดับสนิทแห่งโลกดับสนิทแห่งทุกข์ในร่างกายนี้ที่ยังเป็นๆ หมายความว่าเราจะพบพระนิพพาน ดับทุกข์ สิ้นเชิงในร่างกายที่ยังเป็นๆ อย่างหวังต่อตายแล้ว ตายแล้วมันจะได้อะไร มันจะรู้สึกอะไรได้ หรือว่าจะหวังไปเกิดใหม่มีร่างกายเป็นๆ และก็มาสร้างกันใหม่นี้มันก็ช้าเกินไป พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัสอย่างนั้น ท่านตรัสว่าในร่างกายที่ยังเป็นๆ มีสัญญาและใจ นี่แหล่ะรีบค้นเถิดรีบขุดเถิด เหมือนกับขุดเพชรขุดพลอยกันในภูเขา พังทลายภูเขาหาเพชรหาพลอยให้ได้ มนุษย์มันก็ยังทำกันได้ ทำไมในร่างกายเล็กๆนี้ มีสัญญาและใจนี้ มันยังจะขุดง่ายกว่าขุดภูเขาหาเพชรไปเสียอีก แต่คนมันโง่ จะทำอย่างไรมันไม่รู้เรื่อง มันก็ขุดไม่ได้ มันไม่ได้ขุดเลยด้วยซ้ำไป มันไม่รู้เรื่องว่าจะต้องขุดด้วยซ้ำไป มันมาหลงแต่ความเอร็ดอร่อยสนุกสนานที่ร่างกายนี้จะอำนวยให้ได้ มันก็กลายเป็นเหยื่อล่อหรือค่าจ้างของกิเลสของพญามารให้มนุษย์สร้างกองทุกข์ด้วยการสืบพันธุ์ เป็นต้น เราจะเอากันอย่างไรดีก็ไปเลือกเอาเองตามพอใจ จะเป็นลูกจ้างของมาร ทนทุกข์ ทรมาน เพื่อกินเหยื่อของมาร ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ บริโภคตามอารมณ์กันไปอย่างนี้ก็ตามใจไม่มีใครว่า เป็นประชาธิปไตยยิ่งกว่าประชาธิปไตย จะเลือกเอาเองว่าจะเป็นอย่างนี้ จะต้องการอย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน แต่ถ้ามันเกิดความรู้สึกไม่พอใจ อยากจะพ้นจากทุกข์ทั้งหลายแล้วมันก็ยังเป็นประชาธิปไตยอยู่นั่นแหล่ะ คือทำได้ตามพอใจ ในทางที่มันตรงกันข้ามแล้วก็จะดับทุกข์ได้ ทุกคนมีสิทธิที่จะปฏิบัติธรรมะ จะรู้ธรรมะ จะปฏิบัติธรรมะ จะหลุดพ้นจากความทุกข์อันมีสิทธิอย่างนี้ เมื่อไม่เอาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ถ้าสนใจก็รีบทำรีบใช้ในร่างกายนี้ให้ทันแก่เวลา อย่าให้มันแตกกายทำลายไปเสีย มันใช้อะไรไม่ได้ มันใช้ทำอะไรไม่ได้ เมื่อมันยังดีๆ มีสมรรถภาพอย่างนี้อยู่รีบใช้มันเสีย เป็นที่ตั้งแห่งการอบรมสติปัญญาให้บรรลุ มรรคผลนิพพาน พระพุทธเจ้าทรงกระทำสำเร็จเป็นคนแรก ตรัสรู้ชอบเองเป็นครูบาอาจารย์อย่างสูงสุดของพวกเรา สิ่งใดที่เป็นความรู้อันนี้ พระองค์ทรงประกาศโดยเปิดเผยว่า ฉันสอนพวกแกหมดแล้ว ไม่ได้มีอะไรขยักไว้ในกำมือ คือไม่สอน นี่เมื่อพระพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพานโดยร่างกายท่านก็ยังตรัสอย่างนี้ ว่าท่านสอนหมดแล้วไม่ได้ขยักอะไรไว้สำหรับไม่สอน ว่าถ้าหมายความว่าความดับทุกข์นี้ทรงสอนหมด ไม่มีอะไรขยักไว้สำหรับจะไม่สอน จะเอาค่าจ้างพิเศษแล้วจึงจะสอน อย่างนี้มันไม่มีแก่พระพุทธเจ้า ไม่เหมือนครูบาอาจารย์สมัยนี้ชอบขยักอะไรไว้ไม่สอน ต่อได้ค่าตอบแทนมากเป็นพิเศษเพียงพอจึงจะสอน ลักษณะอย่างนี้ไม่มีแก่พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระศาสดาของพวกเรา ท่านสอนไว้หมดจดสิ้นเชิง แล้วเราไม่สนใจเอง สนใจแต่เรื่องสนุกสนาน สนใจแต่เรื่องว่าทำอย่างไรจะได้สนุกสนานทางอายตนะ คือ กามารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง ทางจิตใจให้มันเคลิบเคลิ้มไปแต่เรื่องของกามารมณ์ มันก็ต้องการอย่างนี้ แล้วเมื่อไหร่มันจะพบกันกับไอ้คำสอนที่เป็นความดับทุกข์ เพราะว่าเราไม่ชอบ ทีนี้เราจะต้องคิดดูให้ดีว่าไอ้สิ่งที่มันเจ็บปวดรวดร้าวมาแต่หนหลังนั้นมันยังไม่พอจะสอนให้เปลี่ยนแปลงอีกหรืออย่างไร ถ้าเห็นว่ามันเป็นความทุกข์พอแล้ว มันก็คงจะเปลี่ยนไป คงจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่อยากจะดับทุกข์ เดี๋ยวนี้เมื่อมันไม่เห็นความทุกข์มันก็ทนทุกข์ต่อไปจนกว่าจะเห็นความทุกข์ มันก็จึงอยากจะดับทุกข์ ถ้ายังเห็นเป็นกงจักรเป็นดอกบัวอยู่เพียงใดมันก็ไม่อยากจะดับทุกข์ มันก็ไม่มีใครช่วยได้ อย่างดีก็ช่วยกันล้อเสียมากกว่า เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเห็นเพื่อนเป็นทุกข์ มันจะล้อเล่นเสียมากกว่า เพราะมันเองก็ไม่รู้ว่าจะดับทุกข์อย่างไร ก็เลยได้เป็นเพื่อนทุกข์กันโดยไม่รู้สึกตัว ไม่ช่วยกันขวนขวายเพื่อจะดับทุกข์ คนในโลกมันเป็นเสียอย่างนี้ บางทีจะมาหลอกให้ไปเอาความทุกข์ที่มากไปกว่าเดิมเสียอีก เรื่องมันก็ยากลำบากมากขึ้น ฉะนั้นเราก็จะมีกัลยาณมิตร คือ สหายที่ดี ที่จะชักชวนกันออกเสียจากกองทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่ากัลยาณมิตรนั่นน่ะเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ คือ ความดับทุกข์ พระอานนท์ว่าเป็นครึ่งเดียว พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าพูดอย่างนั้น มันไม่ถูก กัลยาณมิตรไม่ใช่ครึ่งเดียวของพรหมจรรย์ กัลยาณมิตรนั้นเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ คือระเบียบของการดับทุกข์ เราจงมีกัลยาณมิตรนับตั้งแต่ว่ามีเพื่อนมนุษย์เป็นกัลยาณมิตรเรื่อยไป เรื่อยไป จนกว่าจะมีธรรมะเป็นกัลยาณมิตร มีธรรมะเป็นกัลยาณมิตรก็คือมีพระพุทธเจ้านั่นเองมาเป็นกัลยาณมิตร เห็นธรรมก็เห็นพระพุทธเจ้า เห็นพระพุทธเจ้าก็เห็นธรรม ก็มีพระธรรมเป็นกัลยาณมิตรก็คือมีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร การพูดว่ากัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์มันก็ถูกแล้ว เราพยายามมีพระธรรมเป็นกัลยาณมิตรกันเถิด ไม่มีอะไรที่จะเป็นเพื่อนที่ดีได้นอกจากพระธรรม ใช้คำว่านอกจากพระธรรมเพราะไม่มีอะไรที่จะเป็นกัลยาณมิตรที่ดีได้ ถ้าจะคบคนเป็นกัลยาณมิตรมันก็ต้องคบคนที่มีธรรม ไอ้ธรรมที่เขามีนั่นแหล่ะมันเป็นกัลยาณมิตรให้แก่เรา ฉะนั้นถือเอาธรรมเป็นกัลยาณมิตร คบใครเป็นเพื่อนก็ให้เป็นคนที่มีธรรม ไอ้ธรรมของเขานั่นแหล่ะจะเป็นประโยชน์ ช่วยเพื่อนช่วยมิตร จูงพากันไปในหนทางแห่งความทุกข์ เรียกว่าหนทางแห่งพระนิพพาน การมีมิตรสายในหนทางแห่งพระนิพพานนี้ก็จำเป็นอยู่เพราะว่าเรื่องมันเร้นลับ มันต้องมีเพื่อนช่วยชี้ทางหรือว่าเมื่อไม่รู้จักหนทางด้วยกัน ก็ยังจะได้ปรึกษาหารือกันเป็นกัลยาณมิตรต่อกันแล้วก็จะช่วยทุกอย่างทุกประการให้การเดินทางนั้นเป็นไปได้ จงทำธรรมะที่มีอยู่ในมนุษย์ให้เป็นกัลยาณมิตร นี่แหล่ะพอจะมีหวัง ถ้าไม่มีธรรมะแล้วก็ไม่มีกัลยาณมิตร จงสอดส่ายหาธรรมะที่มีอยู่ในบุคคลที่เรียกว่าเป็นมิตร เป็นสหาย บิดามารดาก็ได้ ครูบาอาจารย์ก็ได้ เพื่อนบ้านก็ยังได้ ถ้าเขามีธรรมะก็เป็นกัลยาณมิตรได้ด้วยกันทั้งนั้น กัลยาณมิตรก็จะจูงให้เดินกันไปแต่ในหนทางที่ถูกต้อง ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง ทางกาย ทางวาจา ทางจิตใจ ทางความคิดนึกรู้สึกคิดเห็น มีศรัทธา มีปัญญา มีสติ มีสัมปชัญญะ มีทุกอย่างที่จำเป็น ที่จะต้องใช้ในการเดินทาง เขาจะเรียกว่าอริยมรรคมีองค์แปดประการ ก็คือความถูกต้องแปดอย่างดังที่กล่าวมาแล้วในการบรรยายครั้งก่อน มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง สัมมาสังกัปโป ความปรารถนาถูกต้อง สัมมาวาจา พูดจาถูกต้อง สัมมากัมมันโต การงานถูกต้อง สัมมาอาชีโว อาชีพถูกต้อง สัมมาวายาโม ความพากเพียรถูกต้อง สัมมาสติ ความรำลึกถูกต้อง สัมมาสมาธิ ตั้งใจมั่นถูกต้อง เรียกว่าหนทางมีองค์แปดประการนี้เป็นกัลยาณมิตร ผู้ใดมีความถูกต้องแปดประการนี้ ผู้นั้นสมควรที่จะเป็นกัลยาณมิตร ในที่บางแห่งพระพุทธเจ้าตรัสว่าหนทางมีองค์แปดนี้เป็นกัลยาณมิตร หนทางมีองค์แปดนี้จะไปหาที่ไหนจะไปหากลางดินนั้นมันไม่มี มันมีอยู่ในบุคคล ต้องดูในที่เรียกกันว่าบุคคลนี่คนใดมันมีการปฏิบัติถูกต้องในองค์แปดประการนี้ ความเป็นกัลยาณมิตรมันมีอยู่ในบุคคลนั้น เราจงคบหาสมาคมกับเขา แล้วเราจงพยายามทำให้มีเต็มที่ขึ้นมาในสิ่งที่เรียกว่าตัวเรา แล้วมันก็จะเดินไปโดยถูกทาง มันจะเลิกล้างเสียซึ่งตัวเราซึ่งของเรา จะเลิกล้างเสียซึ่งตัวตนของตน จะเลิกล้างเสียซึ่งตัวกูของกู มันก็เหลืออยู่แต่ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ มันมีความทุกข์ไม่ได้ ร่างกายจิตใจก็ยังคงมีอยู่ในลักษณะที่เป็นทุกข์ไม่ได้ ไม่มีความทุกข์อีกต่อไปเรียกว่าหลุดพ้นแล้ว อยู่เหนือโลกโดยประการทั้งปวงแล้ว ไม่มีความทุกข์เหลืออยู่ ไม่มีปัญหาใดๆเหลืออยู่สำหรับจะเป็นความทุกข์ นี่คือธรรมะสูงสุดในพระพุทธศาสนา พระองค์ทรงค้นพบสำหรับสัตว์ที่เป็นมนุษย์ที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมกว่าสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็มาเป็นทุกข์มากกว่าสัตว์เดรัจฉานอย่างนี้มันน่าเศร้า มันน่าเวทนา มนุษย์ทั้งหลายที่รับเอาคำสั่งสอนของพระศาสดามาอบรมปัญญาของตนให้สามารถขจัดปัญหาทุกอย่างทุกประการได้ก็จะประเสริฐเลิศกว่าสัตว์เดรัจฉานอย่างที่จะเทียบกันไม่ได้ เรียกว่าเป็นการได้สิ่งสูงสุดคือความเป็นมนุษย์ มีธรรมะมีพระศาสนา หาความทุกข์ไม่ได้ มีแต่ความเยือกเย็นเป็นนิพพาน ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว เพราะเขาเห็นอนัตตา ความจริงที่ว่าไม่ใช่ตน เห็นสุญญตา คือความว่างจากตัวตนเห็นตถตาว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง อาตมาอยากให้ยุติลงที่คำว่ามันเช่นนั้นเอง มันเช่นนั้นเอง ตามเรื่องของมันเช่นนั้นเอง จะไปดึงเอามาเป็นตัวกูของกู อะไรเข้ามาเกี่ยวข้องก็ให้มองเห็นความเป็นเช่นนั้นเองก่อนจะยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตนของตน แล้วก็ดูว่าจำเป็นที่จะต้องเกี่ยวข้องกับมันอย่างไร ก็เกี่ยวข้องกับมันอย่างนั้น เช่นว่าเงินทองทรัพย์สมบัติข้าวของ มันจะเป็นตัวตนของตนไม่ได้ มันเป็นเช่นนั้นเอง เราจะต้องเกี่ยวข้องกับมันอย่างไร จะต้องมีมาจะต้องใช้สอนก็ทำไปก็แล้วกัน โดยที่ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นให้มันโง่ อย่าไปยึดมั่นถือมั่นให้มันโง่ว่าเป็นตัวกูของกู ธรรมชาติมันจะกัดเอามันจะตบหน้าเอา คือมันจะให้ความทุกข์นั่นแหล่ะ ถ้าเราไปเกี่ยวข้องอย่างถูกต้องแล้วมันไม่มีความทุกข์เลย จะถือว่าเสมือนของยืมมาใช้ชั่วคราวก็ได้ ชีวิตนี้ก็เป็นของยืมได้ ร่างกายนี้ก็ของยืมได้ อะไรก็ยืมได้ ยืมจากธรรมชาติที่มันเต็มใจให้ยืม เอามาใช้มากินมาทำให้ได้รับประโยชน์ในทางที่ถูกต้อง เพราะเราก็ต้องอยู่โดย โดยลักษณะอย่างนี้คือมีชีวิตประกอบขึ้นด้วยสิ่งที่จะทำให้มีชีวิตทางร่างกายทางจิตใจ แล้วว่ามันยังมีปัญหาลึกลับว่าแม้เราไม่ต้องการจะเกิดมาด้วยเจตนาของเรามันก็ได้เกิดมาแล้ว เกิดมาแล้วมันเอาไปทิ้งไว้ที่ไหนไม่ได้ มันก็ต้องต่อสู้แก้ไขกันต่อไป จนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย คือดับไปโดยไม่ต้องมีความทุกข์ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อย่าให้มันมีความทุกข์ ให้มันว่างจากความทุกข์อยู่เรื่อยๆ ไปจนกว่ามันจะแตกดับ กว่าจะสังขารนี้จะแตกดับตามธรรมชาติของมัน ตลอดเวลาทั้งหมดนี้ไม่มีความทุกข์ก็ควรจะพอใจแล้ว ไม่มีอะไรที่จะให้ได้มากไปกว่านี้แล้ว อย่ามีความทุกข์จนตลอดชีวิตนี้มันพอแล้ว แล้วไม่ใช่ว่าไม่มีความทุกข์เฉยๆ มันยังทำประโยชน์คนอื่นได้ด้วย ฉะนั้นเพื่อนมนุษย์ของเรา รอบตัวเราเข้ามาเกี่ยวข้อง เราจงเป็นกัลยาณมิตรที่ดีแก่เขาด้วย นี่ประโยชน์ของชีวิตมันก็จะมากขึ้นไป มันไม่มีทางอื่นเลือก มันมีทางเดียวคือทำให้มันมีประโยชน์ แก่ตัวเองก็ให้มีประโยชน์ แก่ทุกคนก็ให้มีประโยชน์ ประโยชน์ในที่นี้ไม่ใช่เรื่องยึดมั่นถือมั่น ไม่ใช่เงินไม่ใช่ของ แต่เป็นธรรมะสูงสุด คือดับทุกข์ได้โดยประการทั้งปวง เรียกว่าปรมัตถประโยชน์ ไม่ใช่โลกียะประโยชน์ ซึ่งทำให้มันยุ่ง ไอ้โลกียะประโยชน์นี่ยุ่ง ถ้าเป็นเรื่องโลกุตตระประโยชน์แล้วมันไม่ยุ่ง มันหยุดมันเย็นมันดับสนิทไปในที่สุด เรื่องก็จบ กิเลสคือยักษ์มารตายหมดแล้ว เรื่องมันก็จบก็เหลืออยู่แต่พระนิพพาน เป็นนิรันดรของพระนิพพาน อย่ากล้าเอามาเป็นตัวเราหรือของเรา มันจะเกิดความทุกข์อันใหม่ขึ้นมาอีก เพราะความยึดมั่นถือมั่น เมื่อจิตมันหลุดแล้ว หลุดพ้นแล้วก็ขอให้มันหลุดพ้นไป อย่าได้ไปจับฉวยอะไรเอามายึดมั่นถือมั่นให้มันเป็นบ่วงให้มันเป็นห่วงแห่งความทุกข์อันใหม่เข้ามาครอบงำอีก ให้หลุดพ้นไปจริงๆโดยประการทั้งปวงจริงๆ เรื่องก็จบ พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เรื่องนี้ และก็สอนมนุษย์เป็นครั้งแรกในวันนี้ที่เราเรียกกันว่าวันอาสาฬหบูชา เรามาฉลองวันนี้กันด้วยการทำความเข้าใจในเรื่องนี้ แล้วก็แสดงความยินดีเคารพบูชาพระพุทธเจ้าอย่างสูงสุดด้วยเรื่องนี้ แล้วก็รับเอาเรื่องนี้มาจัดการกับความทุกข์ของเราจนกว่าจะหมดตัวเรา ไม่มีความทุกข์ ไม่มีที่ตั้งแห่งความทุกข์อีกต่อไป ธรรมเทศนาแสดงให้เห็นใจความซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา คือความไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะมันยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ เพราะมันเป็นอนัตตา เพราะมันเป็นสุญญตา เพราะมันเป็นตถตา คือความเป็นเช่นนั้นเอง ก็พอสมควรแก่เวลาแล้ว หวังว่าท่านทั้งหลายทุกคนคงจะได้เขยิบฐานะของตนในทางจิตทางวิญญาณให้สูงขึ้นไปกว่าที่แล้วมา ให้ปีนี้ดีกว่าปีกลาย ให้ดีสูงยิ่งขึ้นไปตามลำดับ คงจะทันแก่เวลาไม่ตายเสียก่อนจะได้ถึงที่สุดของพระพุทธศาสนา คือความดับทุกข์โดยประการทั้งปวง ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลาเอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้