แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นภิกษุราชภัฏที่จะต้องลาสิกขาทั้งหลาย การบรรยายเช่นชั่วโมงที่สองนี้ผมจะกล่าวโดยหัวข้อว่าทิศทั้ง ๖ บางคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องเด็กๆ อ่า...หรือเป็นเรื่องที่ท่องนวโกวาท อย่างลูกเด็กๆก็พอแล้ว โดยที่จริงนั้นเราก็ต้องพูดกันแม้เรื่องชนิดนี้ ซึ่งเขาไม่ได้พูดกันจนถึงกับว่ามองเห็นความหมายหรือพระพุทธประสงค์ของพระพุทธองค์ ในมหาวิทยาลัยทั้งหลายก็ไม่ได้สอนเรื่องอย่างนี้ ไม่สอนเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องของเด็ก หรือเอ่อ...มันง่ายเกินไปก็ได้ ทั้งที่ด้วยที่แท้แล้วมันเป็นสังคมวิทยาอย่างดีเลิศ เป็นเทคโนโลยีทางวิญญาณด้วยซ้ำไป ก็ยังไม่สอนกันจึงเกิดอาการหางด้วนขึ้นในการศึกษา
สำหรับมนุษย์เด็กๆก็เพียงแต่จดไว้ท่องจำ มหาวิทยาลัยสงฆ์ก็จัดการสอนตามหลังมหาวิทยาลัยชาวบ้านก็เลยไม่ได้สอนเรื่องที่เป็นชั้นหัวใจของธรรมมะอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมเห็นว่ามันต้องเอามาพูดกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่จะลาสิกขา คือเรื่องทิศทั้ง ๖
บางคนอาจจะจำได้แล้วว่าต้องเรียนต้องท่องสำหรับไปสอบราชภัฏ ภิกษุราชภัฏเป็นต้น เราจะพิจารณาเป็นข้อแรกว่าทิศนั้นคืออะไร จะพูดถึงที่มาของคำๆนี้ พูดกันอยู่แล้วมานมนานในประเทศอินเดียซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งวัฒนธรรมและศาสนา คนแต่ก่อนเขาถือว่าแต่ละทิศๆมีเทวดาประจำทิศเป็นอย่างนั้นอย่างนั้นชัดเจนอยู่ในคัมภีร์ของเขา และสอนให้ไหว้ทิศนั้นๆเพื่อเกิดผลตามที่ตนต้องการ แล้วก็กระทำกันอย่างสืบๆต่อๆกันมาแม้ในยุคพุทธกาลก็ยังมีคนไหว้ทิศชนิดนั้น อย่างที่ปรากฏอยู่ในสิงคาโลวาทสูตรเป็นต้น
คือมีคนไหว้ทิศจนพระพุทธเจ้าเสด็จไปพบเข้า แล้วก็สนทนากันจนได้เกิดคำอธิบายเรื่องทิศในพุทธศาสนาขึ้น เขาถือกันมาแต่ก่อนโน้นอย่างไสยศาสตร์ต่ำๆลงไป เป็นเรื่องที่คนสมัยนี้รับไม่ได้ก็มี เช่นทิศนั้นมีเทวดาองค์นั้น ทิศนี้มีเทวดาองค์นี้ ฉะนั้นใครจะนอนหันเท้าไปทางนั้นไม่ได้ต้องหันหัวไป ใครจะนั่งถ่ายอุจจาระหันหน้าไปทางนั้นก็ไม่ได้ แม้แต่จะรับประทานอาหารก็ยังต้องเลือกว่าหันหน้าไปทางทิศไหนถึงจะเป็นผลดี นี่ก็ยังเหลือจนกระทั่งทุกวันนี้
บางทีเราก็เคยได้รับคำสั่งสอนอบรมมาตั้งแต่เด็กๆอย่างนี้บ้างก็ได้ ถ้ามันฝังลงไปในจิตใจตั้งแต่เด็กๆแล้วมันก็ยากที่จะละเหมือนกัน มันก็ทำให้เกิดการหวาดผวาในใจ ว่าเรารู้สึกว่าเราทำผิดในเรื่องนี้ นี่มันเป็นทิศที่สอนกันมาแต่โบราณ โดยทิศทางมีเทวดาประจำอยู่แล้วคนก็กลัวเทวดานับถือเทวดา จึงมีการปฏิบัติแบบนี้ขึ้นมา
ทีนี้เราชาวพุทธก็ได้รับคำสั่งสอนเรื่องทิศจากพระพุทธเจ้าว่ายังมีเทวดาที่จริง เป็นเทวดาจริงๆยิ่งกว่าเทวดาที่เขาถือกันมาแต่ก่อนซะอีก ถ้าเราจะไหว้เทวดาตามที่มีอยู่ในทิศนั้นๆให้ถูกต้องกันจริงๆแล้วย่อมมีผลจริงๆเหลือที่จะนับจะคณนาซึ่งจะได้พิจารณากันต่อไป ขอให้สนใจสังเกตให้เข้าถึงความหมายแห่งเรื่องนี้หรือถ้อยคำแต่ละคำของเรื่องนี้
คำว่าทิศมันคืออะไร ในกรณีนี้หมายถึงทาง เอ่อ...ที่จะเข้ามาหรือเป็นเครื่องออกไปของสิ่งที่มีความสำคัญแก่ตัวเรา สิ่งที่มีความสำคัญแก่ชีวิตจิตใจของเราน่ะมันมีทิศทางที่จะเข้ามาหรือจะออกไป ไม่ใช่เพียงว่าทิศตะวันตกตะวันออก เป็นเครื่องกำหนดหมายเดินเรือ เรือบินอะไรทำนองนี้ นั่นมันยังน้อยเกินไป แต่ถึงอย่างไรไอ้ทิศทางในทางธรรมมะในทางศาสนาก็ยังเป็นเหมือนเครื่องกำหนดทิศทางในการเดินเรือ เป็นต้นอยู่นั่นเอง เราจะหาอะไรได้จากทิศทางไหนที่มีอยู่รอบตัวเรา ทำไมจะไม่สำคัญ
อีกความหมายหนึ่งคำว่าทิศ ทิศนี้มัน มันแปลว่า เอ่อ...แสงสว่างที่แสดงอยู่เหมือนกับจุดดวงไฟแสงสว่างอยู่ในทิศทางต่างกัน ไอ้ทิสะทิสะ(นาทีที่ 09.12)นี้ คำแปลของมันก็แปลว่าแสดงให้เห็นให้ปรากฏ หรือแสงสว่างเป็นจุดๆอยู่แต่ละด้านละข้างละแนวก็ได้ เป็นเสมือนประภาคารที่เขาจุดไว้สำหรับเป็นเครื่องสังเกต เพราะมันมีความสว่างมีแสงสว่าง เราก็อาศัยสังเกตแล้วก็จะได้เดินไปตามทิศทางที่ต้องการ
ลองหลับตาดูว่ามันมีความมืดรอบด้าน ถ้าไม่มีจุดไฟอะไรไว้สักดวงหนึ่งทางทิศไหนก็ไม่มีเครื่องกำหนด ถ้ามันมีไฟที่จุดไว้ตามทิศทางต่างๆเป็นเครื่องสังเกตบอกให้รู้ได้ว่าทิศทางใด มันก็สบาย มันก็จะเดินไปอย่างที่เราปรารถนาโดยอาศัยไอ้จุดแสงสว่างเป็นจุดๆนั่น เป็นเครื่องกำหนดถ้ามันมืดมิดไปหมดมันก็มืดแม้ไม่มีแม้แต่ดาว มันก็จะไม่รู้น่ะจะงงงง จะงงงวยจนไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี (นาทีที่ 10.30)คำว่าทิศจะต้องมีแสงสว่างที่ส่องให้เห็นอยู่เป็นเครื่องกำหนดเสมอ
ทีนี้เราจะดูว่าไอ้ทิศทางนี่ถือว่ามันมารวมอยู่ที่ตัวเราแต่ละคน เมื่อมันเป็นเรื่องของเรามันก็ตั้งต้นออกไปได้จากเรา หรือว่ารวมเข้ามาจากทุกทิศทางมายังเรา ก็คือคำว่าทิศทางนั่นเอง มีบาลีอยู่คำนึงว่า (นาทีที่ 11.08)สัพพัตโต ปัพพัง มีแสงสว่างนำเข้ามาจากทุกทิศทุกทางโดยรอบด้าน จะได้เข้ามาถูกทางไม่ว่าจะเข้ามาจากทางไหน ถ้าเราทำผิดในเรื่องนี้มันก็มีผลร้ายทั้งนั้นแหละ มันแน่นอนน่ะ จึงต้องทำให้ถูก
ทีนี้ทิศนี่เขาทำให้มันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาให้เหมือนกับว่ามีเทวดาประจำทิศ ก็หมายความว่ามันมีความจริง มีความเด็ดขาดแห่งความจริงประจำอยู่ในทิศนั้นๆ เราต้องรู้อย่างทั่วถึงจนถูกต้องจึงจะมีทิศที่สำเร็จประโยชน์ขึ้นมาได้ และทิศก็จะเหมือนกับว่ามีเทวดามาคอยช่วยเหลืออยู่จริงๆ แต่ว่าทิศนี้มันจะต้องได้รับความนับถือที่มีเทวดาชนิดไหนก็ตาม ถ้าไม่ได้รับความนับถือมันก็ไม่เป็นของจริงจังหรือมีผลอะไรเลย มันก็เท่ากับไม่มีทิศ ไม่มีทิศทาง เพราะไม่มีทิศทางที่เชื่อถือได้และได้รับความเชื่อถือมันก็มีผล ไม่ว่าจะถือกันอย่างไรเราก็ควรจะได้ดูกันต่อไป
ในหลักแห่ง เอ่อ...สิงคาโลวาทสูตรทรงแสดงทิศไว้ ๖ อย่างที่เชื่อว่าคงเคยผ่านตาหรือพยายามจดจำกันมาบ้างแล้ว เราก็ทำตัวเราให้เป็นจุดศูนย์กลาง ถ้าข้างหน้าเราทิศข้างหน้าคือบิดามารดา เทวดาคือบิดามารดาอยู่ทิศข้างหน้า ทิศข้างหลังก็คือบุตรภรรยา ทีนี้มาทางซ้ายมือคือเพื่อน มีเทวดาคือเพื่อน ทิศขวามือก็คือครูบาอาจารย์ ทิศบนหัวคือสมณพราหมณ์หรือพระเจ้าพระสงฆ์อย่างที่เราจะเรียกเดี๋ยวนี้ ทิศข้างล่างลงไปก็คือบ่าวไพร่ กรรมกร
คุณพยายามที่จะทำความรู้สึกต่อทิศเหล่านี้ อย่าเพียงแต่ว่ามันเป็นตัวหนังสือที่เราจะไว้พูดๆจดๆกัน มันมีความหมายมากน่ะ มันเหมือนกับเป็นเทคนิคอันหนึ่งที่พระพุทธองค์ได้ทรงตั้งขึ้นทีเดียว มันจะต้องมีคำถามว่าทำไมเล่าจึงเอาบิดามารดาไว้ข้างหน้า บุตรภรรยาไว้ข้างหลัง มิตรอยู่ข้างซ้าย ครูอยู่ข้างขวา พระเจ้าพระสงฆ์อยู่ข้างบน บ่าวไพร่อยู่ข้างใต้ ทำไมจึงต้องเป็นอย่างนี้
นี่ล่ะเรื่องที่จะต้องศึกษา เพราะถ้าเราศึกษาจนรู้จนเข้าใจในความหมายอันนี้โดยพุทธประสงค์ล่ะก็ เราจะรู้จักสิ่งเหล่านี้ดีขึ้น เช่นเราจะรู้จักบิดามารดาดีขึ้นว่าคืออะไร เดี๋ยวนี้เพียงแต่ถามว่าแม่คืออะไรอย่างนี้ ผมเชื่อว่านักศึกษาจบมหาวิทยาลัยก็ตอบไม่ถูก คือไม่ถูกหมดไม่เป็นตามความหมายที่ว่าแม่คืออะไร บางทีสู้เด็กๆเล็กๆไม่ได้ก็ได้นะถ้าถามว่าแม่คืออะไร เพราะคนโตๆมันมองเตลิดข้ามไปไม่สนใจความหมายลึก
ทีนี้เมื่อดูถึงความรู้สึกและเกือบจะไม่มีเหลือ เราสลัดความรู้สึกในความหมายของแม่ไปเรื่อยๆตามที่โตขึ้นมา เราไม่ได้รักแม่เหมือนกับลูกเด็กๆเล็กๆ เรายิ่งโตขึ้นมาก็ยิ่งห่างออกไป และยิ่งมีวัฒนธรรมบางอย่างเข้ามาดึงจูงไปด้วยแล้วเราก็ลืมแม่ ลืมพระคุณของแม่มากขึ้นๆ ฉะนั้นจะไปคิดกันใหม่ให้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ลึกซึ้งลงไปถึงความหมายคุณค่าหรืออะไรแท้จริง
เมื่อถามว่าใครล่ะเป็นธนาคารที่เราไปเบิกเงินได้เรื่อยโดยไม่ต้องฝาก ผมว่านักศึกษามหาวิทยาลัย ดอกเตอร์อาจจะตอบไม่ถูกก็ได้ ไอ้เด็กเล็กๆยังจะตอบถูกว่าคือแม่ แม่เราขอเงินได้เรื่อยโดยไม่ต้องฝากเหมือนธนาคารที่เราไปเบิกแต่เงินเรื่อยไม่ต้องฝาก ทำไมไม่รู้พระคุณของแม่กันในลักษณะอย่างนี้บ้าง เพราะว่าเรามองข้ามไป เอาล่ะทีนี้เราจะมาดูกันให้ลึกให้ละเอียดในทิศทั้ง ๖ ซึ่งมีเทวดาประจำอยู่
ทิศเบื้องหน้ามีบิดามารดาเป็นเทวดาประจำอยู่ ทำไมพระพุทธเจ้าจัดให้บิดามารดาเป็นทิศเบื้องหน้า เราลองคิดดูด้วยสติปัญญาเราเองบ้างสิ ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเราหรือควรจะมาอยู่ตรงหน้าเรานั้นคือใคร นั่นก็คือบิดามารดา ถ้าจะดูโดยทางวัตถุก็จะเห็นได้ว่าบิดามารดามาก่อน เกิดก่อนเรา มาก่อนเราเกิด เราทีหลัง ซึ่งท่านมาก่อนเราท่านก็อยู่ข้างหน้าเราก็เหมือนกับว่าเดินนำหน้า เราคิดดูอย่างนี้บ้าง จึงเอาบิดามารดามาเป็นทิศเบื้องหน้า
เมื่อท่านอยู่ข้างหน้าเราท่านก็เป็นตัวอย่างแสดงอะไรให้เราเห็นอยู่เรื่อยไป เพราะฉะนั้นลูกจะเลวจะดีจะอะไรก็ไม่ไม่พ้นไปจากการอบรมของบิดามารดา ด้วยการแสดงตัวอย่างให้เห็นอยู่เสมอ จะเป็นคนสุภาพหรือเป็นคนอ่อนโยนหรือจะเป็นคนชนิดไหน ก็เพราะมีมารดาเป็นตัวอย่างอยู่ตลอดเวลา โตกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ลืมตาก็เห็นพ่อแม่แล้วก็เห็นพ่อแม่อยู่ตลอดเวลากว่าจะเติบโตถึงกับแยกกันไปนี่ มันเป็นทิศเบื้องหน้า มันเฉพาะหน้า มันจ่ออยู่ตรงหน้า และบิดามารดาที่อยู่ตรงหน้านี้ผมเห็นว่าเราควรจะถือว่ามันเป็นมาตรฐานอันหนึ่ง ซึ่งมีระดับอย่างนั้นและเราจะต้องทำให้ดีกว่านั้น มีบิดามารดาเป็นมาตรฐานอันหนึ่งวางอยู่ตรงหน้า แต่ว่าเราจะต้องทำให้ดีกว่านั้น
ดังในพระบาลีที่พูดถึงบุตร บุตรที่เลวกว่าบิดามารดา บุตรที่เสมอกันกับบิดามารดา บุตรที่ดีกว่าบิดามารดา ที่เรียกว่าอวชาตบุตรเลวกว่าบิดามารดา เรียกว่าอนุชาตบุตรเสมอกับบิดามารดา อภิชาตบุตรยิ่งกว่าบิดามารดา ท่านเป็นมาตรฐานให้ดูว่านี่แค่นี้ของฉัน แกต้องทำให้ดีกว่านั้น เพราะว่าคนที่เกิดมาทีหลังนี่มันได้เปรียบนะ ถ้าเขาเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องตามที่ควรจะเป็นน่ะเขาจะต้องดีกว่าบิดามารดา ครูบาอาจารย์เสมอ จึงจะถูกต้องและยุติธรรม เพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่าเราได้รับถ่ายทอดมาหมด แล้วเราจะไม่มีอะไรเพิ่มเติมให้บ้างเสียเลย เสียหรือยังไงกัน
เมื่อเราได้รับถ่ายทอดจากบิดามารดา ครูบาอาจารย์ที่เขาเคยสอนไว้หมดแล้ว เราเพิ่มของเราที่เราหาได้ใหม่เราก็ได้ใหม่เพิ่มเข้าไปอีก เราก็ต้องดีกว่า เหมือนกับว่าลูกได้รับมรดกจากพ่อแม่มาเท่านี้ แล้วถ้ามันเลวจนถึงกับว่ามันไม่มีอะไรเพิ่มให้แก่กองมรดกนั้นให้มันมีมากขึ้น มันก็เลวทั้งนั้นล่ะ ความรู้ความดีความงามอย่างอื่นก็เหมือนกัน เราต้องมีอะไรเพิ่มให้แก่ที่เราได้รับมาจากบิดามารดา ครูบาอาจารย์ เมื่อมันไปอย่างถูก เมื่อมันเป็นไปอย่างถูกต้องตามธรรมชาติแล้วศิษย์จะต้องดีกว่าครู ลูกจะต้องดีกว่าพ่อแม่ ยิ่งขึ้นไปตามลำดับ ไอ้โลกนี้มันจึงจะดีขึ้นๆๆไม่อย่างนั้นแล้วมันก็เป็นโลกที่เลวลงเลวลงมันใช้ไม่ได้
ฉะนั้นขอให้ยอมรับว่าลูกจะต้องเป็นอภิชาตบุตร คือดีกว่าบิดามารดาโดยอะไรก็ตาม โดยทางวัตถุก็ดีกว่า โดยทางจิตก็ดีกว่า โดยทางวิญญาณก็ดีกว่า เพราะว่าเรามันได้เปรียบที่เกิดขึ้นมาทีหลัง รับมรดกแล้วมีอะไรเพิ่มเติมขึ้นอีกในส่วนของตนก็เป็นอภิชาตบุตร
ยิ่งสมัยนี้นะการศึกษามันเต็มไปหมด โอกาสที่จะทำอะไรให้มาก ได้มากกว่าคนแต่ก่อนก็มีมาก คือผมรู้สึกด้วยตนเองไอ้เด็กตัวเล็กๆ ๓ ขวบ ๔ ขวบ มันมาพูดด้วยมันมาคุยด้วยมันมาเล่นด้วยนี้ เอ๊ะ...รู้สึกว่านี่มันฉลาดกว่าเรามากเมื่อเราอายุเท่านี้ ๓-๔ ขวบนี้เราไม่ได้พูดอะไรเป็นอย่างนี้ ไม่ได้เฉียบแหลมอย่างนี้ คุณสังเกตดูบ้างเถิด เด็กตัวเล็กๆเดี๋ยวนี้มันพูดเป็น มันรู้จักอะไรเร็วมาก ไอ้คำพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันอยากเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันทำได้มากกว่า เพราะว่าสมัยนี้มันมีอะไรแวดล้อมมาก เด็กๆก็เลยควรจะเป็นอภิชาตบุตรมีอะไรมากกว่าที่บิดามารดาเคยมีเสมอ เมื่อถือหลักอย่างนี้ก็จะต้องพูดว่า บิดามารดาคือมาตรฐานที่วางไว้สำหรับให้เราทำได้ให้ดีกว่าให้มากกว่า นี่เราต้องรู้จักบิดามารดาในลักษณะอย่างนี้กันบ้าง
ถ้าพูดกันตามแบบฉบับนะในพระบาลี ในพุทธภาษิตก็มีว่า เป็นครูคนแรก เป็นพระพรหมในบ้าน เป็นพระอรหันต์ในเรือน นี่คำที่เป็นหลักในหลักธรรมมะในพระพุทธศาสนาเป็นครูคนแรกเรียกว่าปุพพาจริยา เป็นคนแรกที่จะสอนให้เรารู้อะไรคือมารดา สอนให้ดูดนม หรือสอนให้ทำอะไรก่อนๆนั้นนิดหน่อยก็คือบิดา เอ่อ...คือมารดานะก่อน บิดายังห่างออกมา จึงจัดเป็นครูคนแรก สอนให้ดูดนมก็ต้องสอน และต่อมาสอนให้กินข้าว และสอนให้ยืนสอนให้เดิน เป็นครูคนแรก ฉะนั้นควรจะขอบพระคุณอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นครูคนแรก
นี่คำถัดมาว่าเป็นพระพรหมในบ้าน พรหมน่ะคือผู้สูงสุดในแง่ของการสร้าง สร้างให้เกิดขึ้นก็บิดามารดานั่นแหละสร้างเราให้เกิดขึ้น พระพรหมที่ไหนจะมาสร้างเราล่ะ จึงเป็นพระพรหมในแง่ที่ว่าสร้างเรามา ทีนี้พระพรหมในแง่ที่ว่าเมตตากรุณาสูงสุด คุณไปค้นหาใครมันรักเรามากกว่าบิดามารดา ใครมันเมตตากรุณาเรามากกว่าบิดามารดา มันก็ไม่มีน่ะ นี่ท่านเป็นพระพรหมอย่างนี้เรียกว่าเป็นพระพรหมในบ้าน ถ้ามองดูในแง่ความรักสูงสุด กระทั่งว่าเป็นผู้สร้างขึ้น แล้วก็ได้สร้างขึ้นจริงๆ สร้างร่างกายแล้วยังสร้างจิตสร้างวิญญาณของลูกอีก
คำถัดมาเรียกว่าพระอรหันต์ในเรือน อาหุเนยโย (นาทีที่ 26.03)จัตปุทานัง นี่เป็นพระ เป็นอาหุเนยบุคคลของลูก คำนี้โดยทั่วไปพูดตามธรรมดาแล้วก็หมายถึงพระอรหันต์ ในความหมายเป็นพระอรหันต์ เป็นคำทั่วไปในประเทศอินเดียสมัยนั้น บิดามารดาเป็นพระอรหันต์ในความหมายของคำๆนี้ก็คือว่าให้เกิดบุญเกิดกุศล พระอรหันต์นี้คือผู้ที่ทำให้คนอื่นได้บุญ เพียงแต่เข้าไปเกี่ยวข้องก็ได้บุญ เพียงแต่ได้เห็นเท่านั้นก็เป็นบุญเป็นกุศลเสียแล้ว กระทั่งได้นั่งใกล้ได้รับคำสั่งสอนได้รับการปฏิบัติตามก็เป็นพระอรหันต์ ก็ได้รับประโยชน์จากพระอรหันต์ เพราะอะไรอะไรมันก็ถ่ายทอดออกมาจากพระอรหันต์
และอีกทางหนึ่งก็เป็นที่เคารพสูงสุดโน่น เราจงทำให้บิดามารดาเป็นพระอรหันต์ต่อเราคือเคารพสูงสุด แล้วก็ทำให้เกิดบุญทุกอย่างทุกประการ ฉะนั้นลองไปปฏิบัติต่อบิดามารดาตามที่ได้กล่าวไว้ในบาลีสิงคาโลวาทสูตร ในนวโกวาทก็มี คงจะไม่เอามาพูดให้รำคาญน่ะคุณไปเปิดดูก็ได้นี่ ลองตอบแทนบิดามารดาตามนั้นเลย จะได้บุญ ได้บุญเหลือประมาณ จะตรงตามหลักที่ว่าปฏิบัติต่อพระอรหันต์แล้วก็ได้บุญ อย่าไปหวังพระอรหันต์ที่อื่นเลย ต้องพระอรหันต์ในเรือนก่อนคือบิดามารดา
ยืมความหมายคำว่าพระอรหันต์คือบุคคลสูงสุดนี่มาใช้แม้แก่บิดามารดา เพื่อจะได้เคารพยำเกรงเหมือนกับปฏิบัติหน้าที่อย่างยิ่งสมกัน ในฐานะที่ท่านเป็นผู้มีพระคุณสร้างเรามา รักเราที่สุดไม่มีใครจะเปรียบได้ เอาชีวิตแบ่งมาให้ เนื้อหนังร่างกายนี้มันแบ่งมาจากเลือดเนื้อของบิดามารดา และก็ยอมยากลำบากเพื่อลูก พ่อแม่ลำบากเหลือประมาณในการเลี้ยงดูให้มันรอดมาได้ ให้มันเจริญ ยอมให้รบกวนตลอดเวลา แต่งงานไปแล้วเป็นครอบครัวไปแล้วก็ยังยอมให้รบกวน เพราะว่าความรักของบิดามารดา
เราจะสนองคุณท่านอย่างไรจึงจะคุ้มกัน ก็ไปคิดเอาเองว่าความรักของคุณมีเท่าไหร่คุณก็ทำให้มันสมกับความรัก แต่ตามประเพณีที่กล่าวกันมานี้ก็พูดอย่างภายนอกที่สุดก็คือบวชให้ ถ้าคุณเคยสนใจฟังไอ้เขาพูดง่ายๆบวชให้พ่อแม่ เพื่อสนองคุณพ่อแม่ นี้มันเป็นเรื่องตามธรรมเนียมแสดงออกทางวัตถุตามธรรมเนียม แต่คุณก็ได้บวชแล้วนะ ผมคิดว่าทั้งหมดนี้คงจะมีความหมายอย่างนี้เหมือนกัน บวชให้พ่อแม่
ความหมายที่ดีกว่านั้นน่ะ มันก็คือว่าทำให้ท่านได้รับประโยชน์ที่สุดที่ควรจะได้รับ ฉะนั้นเขาจึงมีคำอีกคำหนึ่งใช้ว่าทำให้บิดามารดาเป็นญาติในพระศาสนายิ่งขึ้น นั่นแหละคือการตอบแทนที่สูงสุดหรือว่าสมกับพระคุณของท่าน เขาใช้คำอุปมาให้เห็นได้ง่ายๆเป็นญาติในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น ก่อนนี้บิดามารดาของเราก็ไม่ค่อยสนใจกับพระศาสนานัก พอเราบวชเข้ามันก็มีเรื่องจำเป็นที่ต้องทำให้ท่านสนใจ และเมื่อได้รับประโยชน์มันก็เลยสนใจมากขึ้น ท่านก็ได้กลายกลับกลายเป็นคนที่ดีกว่าเก่าน่ะ ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ก็จะละมิจฉาทิฏฐิได้ มาเป็นสัมมาทิฏฐิ อันนี้ก็ถือว่าเป็นการตอบแทนสูงสุดไม่มีอะไรยิ่งไปกว่า จะตอบแทนค่าน้ำนมเลือดเนื้ออะไรก็ไม่มีอะไรสูงไปกว่าทำให้ท่านได้เป็นญาติในพระพุทธศาสนา แล้วก็คือเป็นสัมมาทิฏฐิ
ถ้าไม่เป็นสัมมาทิฏฐินี้เขาไม่เรียกว่าเป็นญาติในพระศาสนาน่ะ แล้วก็ไม่ได้อยู่ในศาสนานี้ด้วยซ้ำไป ฉะนั้นคุณได้บวชแล้วนี่ก็เพื่อได้บวชตนสนองพระคุณ แต่คุณอาจจะยังไม่ได้ทำหน้าที่ก็ได้ คือต้องทำให้ท่านเป็นญาติในพระศาสนายิ่งขึ้น ฉะนั้นต้องไปขวนขวายให้บิดามารดาได้เข้าถึงธรรมะยิ่งขึ้น ให้จิตใจของท่านสว่างไสวเป็นสัมมาทิฏฐิยิ่งขึ้น นั่นตรงนั้นแหละสำคัญคือเป็นญาติในพระศาสนา
ฉะนั้นถือว่าตอบแทนพระคุณอย่างอื่นไม่พอไม่คุ้มจนถึงกับว่ามีคำพูดสอนไว้เสร็จในเรื่องของการบวช เลี้ยงดูบิดามารดาเหมือนกับว่าแบกไว้บนบ่า ทำให้ทุกอย่างไม่ต้องทำอะไร อย่างนี้ก็ไม่มีความหมาย มีความหมายตรงที่ว่าทำให้เป็นญาติในพระศาสนา คือตอบแทนพระคุณในด้านจิตใจไม่ใช่ตอบแทนพระคุณในด้านวัตถุ ฉะนั้นเราไปคิดเรื่องนี้กันบ้าง อย่าคิดแต่เพียงว่าทำงานได้เงินมากๆแล้วก็แบ่งให้พ่อแม่บ้างแค่นี้ยังไม่พอ ตามหลักของธรรมะก็ไม่ต้องการเพียงเท่านั้น เพราะต้องการให้ช่วยยกจิตยกวิญญาณให้บิดามารดาสูงขึ้นในทางศาสนาเพราะการบวชของเรา เรียกว่าตอบแทนพระคุณที่สาสมกัน นี้ก็ถือว่านี่คือมาตฐานของการเป็นบิดามารดาที่เราจะต้องตอบแทนในลักษณะอย่างนี้จึงจะสมกัน
ทีนี้ผมชอบพูดเรื่องทางจิตทางวิญญาณจนเขาด่างอมแงม ถ้าเราจะพูดในภาษาจิตภาษาวิญญาณนะ เราพูดได้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นพ่อของเรา พระธรรมเป็นแม่ของเรา พระสงฆ์เป็นพี่ของเรา พระพุทธเจ้าเป็นพ่อของเราคือเป็นผู้บันดาลให้พระธรรมเกิดเรามา พระธรรมจึงเป็นเหมือนแม่ พระพุทธเจ้าจึงเป็นเหมือนพ่อ ก็หมายถึงเกิดทางวิญญาณนั่นแหละ การเกิดที่แท้จริงคือการเกิดทางวิญญาณ การเกิดทางเนื้อหนังมีค่าน้อยกว่า
ถ้าถามขึ้นว่าใครสร้างเรามาให้ชีวิตเรามา คนโบราณเขาว่าผี เขาใช้คำว่าผีปั้นขึ้นมา นี่เราเอาพระธรรมเกิดโดยพระธรรม เกิดจากพระธรรม โดยบันดาลของพระพุทธเจ้า โดยการจัดการหรือบันดาลของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงเป็นพ่อ พระธรรมจึงเป็นแม่ พระสงฆ์นั้นเกิดก่อนเราเกิดโดยวิธีนั้นแหละจึงเป็นพี่ เราถือว่าเป็นพี่ นี้เราจะสนองพระคุณของพ่อแม่พี่ในทางวิญญาณนี้อย่างไร เรื่องมันก็มากไปกว่านั้น มากไปกว่าทำให้เป็นสัมมาทิฏฐิ มากไปกว่าที่จะบวชให้
เราต้องสนองพระคุณให้ท่านถึงขนาดที่ว่า ท่านประสงค์ให้เราทำอะไรเราต้องทำอย่างนั้นแหละ ฉะนั้นไปศึกษาให้รู้จักพระพุทธเจ้าดีๆว่าท่านประสงค์ให้เราทำอะไร เราจงทำอย่างนั้นเถิด ก็จะเป็นการสนองพระคุณ เพราะพระพุทธเจ้าก็ประเสริฐวิเศษเหลือประมาณ ท่านไม่ต้องการอะไรเพื่อตัวท่าน กลับต้องการให้ทุกคนช่วยกันสืบอายุพระศาสนาหรือธรรมะวินัยนี้ไว้ เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ พูดอย่างภาษาหยาบๆต่ำๆอย่างชาวบ้านก็พูดว่า พระพุทธเจ้านั้นท่านหายใจเป็นประโยชน์ของเทวดาและมนุษย์ หลักอันนี้ลึกซึ้งมาก มันเกินกว่าที่จะเป็นสังคมนิยมหรือยิ่งกว่าคอมมิวนิสต์เสียอีก คือเพื่อผู้อื่นทั้งนั้น ท่านหายใจเป็นผู้อื่น ถ้าเรามีหลักพระพุทธศาสนามาอยู่ในระบบการเมืองการปกครองแล้วมันต้องหายใจเป็นผู้อื่น เดี๋ยวนี้มันหายใจเป็นตัวเองทั้งนั้นแหละไอ้ประชาธิปไตย แต่ละคนมันก็หายใจเป็นตัวเอง พรรคการเมืองก็หายใจเป็นประโยชน์ของพรรคทั้งนั้นแหละ ยิ่งไม่เป็นประชาธิปไตย ผมเห็นว่าไอ้ระบบพรรคนี้ยิ่งไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะมันจะเห็นประโยชน์ของพรรคมากกว่าเห็นประโยชน์ของทุกคน
แต่ถ้าเราถือหลักพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าแล้วมันเพื่อประโยชน์แก่ทุกคน ทั้งคนมากมีและคนยากจนคือทั้งเทวดาและมนุษย์ มันก็แก้ปัญหาในโลกนี้ได้หมดสิ้น ไม่มีชนชั้น ไม่มีช่องว่าง ไม่มีนายทุน ไม่มีกรรมกร มีแต่ผู้ได้รับประโยชน์เต็มที่ มีพระพุทธประสงค์ให้เราช่วยกันทำประโยชน์ของสัตว์ทั้งปวงทั้งเทวดาและมนุษย์ ถ้าคุณยังบวชอยู่ก็ทำได้ง่ายแต่ถึงคุณจะสึกไปก็ยังทำได้ คุณทำประโยชน์อะไรให้มันเป็นประโยชน์ทั้งแก่คนมั่งมีและคนยากจนน่ะ
เดี๋ยวนี้คนเขายังโง่ เขาทะเลาะกันระหว่างคนมั่งมีกับคนยากจนเพราะไม่มีสัมมาทิฏฐิ ถ้ามีสัมมาทิฏฐิมันจะไม่ทะเลาะกัน แล้วถ้าไม่มีคนยากจนแล้วคนมั่งมีจะเอาแรงงานมาจากไหนเล่า ถ้าไม่มีนายทุนมั่งมีแล้วกรรมกรจะเอางานมาจากไหนทำเล่า ฉะนั้นมันก็ควรจะสนอง ตอบสนองต่อกันและกัน ได้ประโยชน์อะไรมาก็แบ่งปันกันอย่างกับว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน นี่คืออุดมคติของพระพุทธเจ้า ท่านประสงค์อย่างนี้นะ ถ้าเราเป็นลูกของพระองค์เราต้องทำตามประสงค์อันนี้ คืออย่าให้มนุษย์กับเทวดามันทะเลาะกัน ให้ได้รับประโยชน์เป็นสุขด้วยกัน
ฉะนั้นฝากไว้ให้ไปคิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่ อยู่ในทิศเบื้องหน้าเหมือนกัน ก่อนอื่นน่ะทิศเบื้องหน้าคือก่อนอื่น ขอให้นึกถึงข้อนี้ก่อนอื่นเรียกว่าทิศเบื้องหน้า จงดูสิ่งที่มันอยู่ตรงหน้าเราซึ่งเราจะต้องพบก่อนสิ่งอื่นและเราจะต้องสนใจก่อนสิ่งอื่นนั้น
นี่พอเราทอดตาไปตรงข้างหน้าถ้าว่าเป็นคนที่มีสติปัญญาเที่ยงธรรมมันต้องพบพ่อแม่ก่อนน่ะจึงจะเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง จะเห็นพ่อแม่ก่อน พ่อแม่ในความหมายธรรมดาภาษาคนก็พ่อแม่ที่คลอดเรามา พ่อแม่ในภาษาธรรมอันลึกซึ้งก็คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นผู้คลอดเรามาในทางจิตทางวิญญาณ อย่างเดียวกับพ่อแม่ธรรมดาที่คลอดเรามาในทางร่างกาย นี่จึงเรียกว่าบิดามารดาเป็นทิศเบื้องหน้า
ขอให้ปฏิบัติต่อทิศเบื้องหน้าให้ถูกต้อง ประโยชน์จะเกิดขึ้นแก่เราอย่างมหาศาลและแก่ทุกคนในโลก อย่างที่กล่าวมาแล้วว่าพระพุทธเจ้าท่านหายใจเป็นโลก เป็นสัตว์โลกทั้งหมด ไม่มีพระองค์ นี้คือทิศเบื้องหน้า แล้วก็จำไว้ก่อนนะเดี๋ยวค่อยตอบปัญหาทีหลังว่าทำไมท่านจึงจัดมันอย่างนี้ เทคนิคนี้อย่างนี้ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องหลัง ทิศข้างซ้าย ทิศข้างขวา
เอ้า...ดูต่อไปมันก็ทิศเบื้องหลัง จัดเอาบุตรภรรยาไว้ข้างหลัง ความหมายก็ชัดอยู่แล้วก็มาทีหลังเพราะมาทีหลังจึงจัดเป็นทิศเบื้องหลัง มันลากหางออกมาหรือว่ามันเป็นเรือพ่วงซึ่งจะพ่วงหลังเรามา ต้องเหลียวดูจึงจะเห็นเพราะมันอยู่ข้างหลัง จงดูบุตรภรรยามาทีหลังเหมือนกับลากหางมาเรือพ่วงมา ความหมายอันนี้ก็เพื่อว่าจะไม่ขาดพันธุ์จะไม่สูญพันธุ์ ธรรมชาตินี้เก่งเหลือประมาณน่ะ ธรรมชาติแห่งการสืบพันธุ์นี้คุณไปศึกษาดูเถิด ในทางจิตวิทยาก็ให้ความหมายมาก
ทีนี้เราดูว่าในธรรมชาติลึกไปกว่านั้นมันต้องการให้มีการสืบพันธุ์ไม่งั้นมันสูญพันธุ์ ไอ้ความมุ่งหมายหรือพฤติกรรมเพื่อความมุ่งหมายจะสืบพันธุ์นี้มีสูงสุด มีอย่างร้ายแรง ดูต้นไม้เถิดที่มันจะสืบพันธุ์เป็นลูกนี้มันต่อสู้อย่างยิ่ง แต่เราไม่ค่อยสนใจแล้วก็มองไม่ค่อยเห็น ไปศึกษาในทางนี้แล้วจะพบอย่างน่าตกใจน่ะมันจะสืบพันธุ์ให้จนได้ ในดอกเดียวกันมีทั้งผัวทั้งเมียมันก็เลยผสมกันได้ ต่างดอกมันก็จะผสมกันได้ หรืออยู่คนละแห่งต้องให้ลมพัดไปลอยน้ำไปไปพบกันเป็นระหว่างตัวผู้กับตัวเมียออกลูกได้เป็นลูกได้
ธรรมชาติเก่งมาก แล้วก็วางแผนไว้ลึกซึ้งมากจึงมีการสืบพันธุ์ แม้ของพฤกษาชาติทั้งหลายและของมนุษย์มันก็อย่างยิ่งล่ะที่ทำให้มนุษย์ยอมเป็นทาสในการสืบพันธุ์ คืออวัยวะเพื่อการสืบพันธุ์นั้นน่ะมันเป็นอวัยวะเป็นที่ตั้งแห่งกามอารมณ์ด้วย การสืบพันธุ์กับกามารมณ์ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน อย่าไปโง่เอามาปนเป็นเรื่องเดียวกัน กามารมณ์มันเป็นเรื่องค่าจ้างให้คนโง่มันสืบพันธุ์ เพราะว่าไอ้เรื่องสืบพันธุ์นั้นไม่ใช่ว่ามันสนุกนี่ มันทั้งสกปรกมันทั้งเหน็ดเหนื่อยทั้งน่าเกลียด ถ้าไม่มีอะไรมาล่อมาจ้างให้ทำมันก็ไม่ทำหรอก ฉะนั้นธรรมชาติมันจึงเอาไอ้รสสูงสุดของกามารมณ์ทางเพศน่ะใส่เข้าไว้ที่การสืบพันธุ์ ฉะนั้นสัตว์จะต้องดิ้นรนเพื่อการสืบพันธุ์โดยกินค่าจ้างคือกามารมณ์
แต่มนุษย์นี้มันจะทำเกินไปเสียแล้ว มันจะบริโภคกามารมณ์โดยไม่ต้องสืบพันธุ์กันทั้งนั้นเดี๋ยวนี้ มันขี้โกงธรรมชาติ แต่โดยเนื้อแท้แล้วมันต้องนึกถึงว่านี่เขาให้มาเป็นค่าจ้างสำหรับการสืบพันธุ์ เดี๋ยวนี้เราก็ควบคุมการสืบพันธุ์ตัดทางที่จะให้มีการสืบพันธุ์ มันก็กินแต่เหยื่อด้วยกามารมณ์ โลกกำลังเป็นอย่างนี้ ไม่ซื่อตรงต่อกฎของธรรมชาติ เพราะถือว่าดื้อดึงพระเจ้ากบฏพระเจ้าพระเป็นเจ้า ต้องการให้มีการสืบพันธุ์
บุตรภรรยานี้มันเป็นผลของการสืบพันธุ์ซึ่งธรรมชาติต้องการอย่างยิ่ง เราจะมามองกันเพียงแค่สืบสกุลนี้แคบนัก สั้นเกินไปน้อยเกินไป เพื่อจะสืบสกุลของสกุลของเรานี่มันน้อย มันต้องสืบพันธุ์ของมนุษย์ของสัตว์ทั้งหมดจึงจะตรงตามเรื่องราว ฉะนั้นการมีภรรยาและก็มีบุตรนี่มันก็เพื่อการสืบพันธุ์ของมนุษย์ไว้ อย่าให้มนุษย์สูญพันธุ์ไป นี่ในความหมายทั่วไปบุตรภรรยาอย่างนี้มันเป็นอย่างนี้
แยกกันดูก็ได้นะภรรยาคืออะไร เป็นคู่สืบพันธุ์ อย่างต่ำอย่างเลวเป็นคู่สืบพันธุ์ แม้พันธุ์มันสืบไม่ได้เพราะมันต้องมีสองฝ่ายคือผู้เมียนี้ นี่เราดูดีๆว่าถ้าภรรยาในอุดมคตินั้นน่ะภรรยาก็คือผู้ช่วยรับภาระครึ่งหนึ่ง ไอ้ภาระหน่วยหนึ่งน่ะมันหนักมันมากมันยาก ที่นี้พอแบ่งสองครึ่งสองซีก ภรรยาเอาไปซีกหนึ่ง สามีเอาไปซีกหนึ่งมันง่ายเข้า ฉะนั้นขอให้มีคู่มีภรรยาในฐานะแบ่งภาระตามหน้าที่ของมนุษย์ให้มันง่ายลงครึ่งหนึ่ง อย่ามีภรรยาในความมัวเมาในกามารมณ์เลย
ผู้ที่มีความรู้ถูกต้องมีอุดมคติสูง เขาไม่ได้แต่งงานกันเพียงเพื่อนอนกันเท่านั้น เขาจะต้องทำให้มันสำเร็จประโยชน์ในการที่ว่า แบ่งภาระที่มันยากให้มันเหลือครึ่งหนึ่ง ฉะนั้นสามีก็ทำหน้าที่สามี ภรรยาทำหน้าที่ภรรยา รวมกันคนละครึ่งก็เป็นหน่วยหนึ่งพอดี นี่ภรรยาในอุดมคตินั้นก็คือผู้ที่ทำหน้าที่ลดความยาก ความลำบากลงครึ่งหนึ่งของสามี หรือของสามีก็ครึ่งหนึ่งของภรรยา ฉะนั้นเราควรจะเข้าให้ถึงอุดมคติ อย่าอยู่นอกๆเพียงเพื่อกามารมณ์
เอ้า...ทีนี้ดูบุตร ภรรยาแล้วก็มีบุตร บุตรก็คือผู้สืบต่อไม่ให้มนุษย์สูญพันธุ์ ไม่งั้นไม่มีบุตรมนุษย์ก็สูญพันธุ์ ไม่กี่ปีก็สูญพันธุ์หมด มันต้องมีสิ่งที่เรียกว่าบุตรเกิดมาจากการสืบพันธุ์ อย่าให้มนุษย์สูญพันธุ์ และมนุษย์จะได้ไปจนถึงที่สุดของวิวัฒนาการ พูดอย่างพุทธบริษัทก็คือนิพพานแหละ นิพพานเป็นจุดปลายทางสูงสุดของวิวัฒนาการ พ่อแม่ไปไม่ถึงก็ทิ้งลูกไว้ให้ไปต่อ ฉะนั้นขอให้ลูกนี้เป็นผู้จะเดินทางต่อที่พ่อแม่ได้เดินทางไว้เท่าไรแล้ว
ขอให้คิดดูอย่างนี้ว่าไอ้มนุษยชาติทั้งหลายวิวัฒนาการมานี้เพื่อจะไปจุดหมายปลายทางอันหนึ่ง และมันถึงไม่ได้ในทันที ฉะนั้นมันถึงมีการสืบพันธุ์ให้มีคนรับเดิน รับช่วงเดินต่อ เดินต่อ เดินต่อ ไม่รู้กี่ชั่วกี่ช่วง เดี๋ยวนี้มนุษย์มันหลงใหลในของเอร็ดอร่อยต่างๆจนไม่ได้เดินไปตามทางที่ถูกที่ควร จิตของมนุษย์มันก็วกไปวกมา วกมาหาที่ต่ำๆเสีย แล้วก็ก้าวหน้าแต่ทางวัตถุที่จะดึงจิตใจมาติดอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้มนุษย์เร่งมือเร่งกำลังเร่งอะไรเร็วมาก ผลิตสิ่งต่างๆชั่วระยะที่มนุษย์เจริญก้าวหน้าทางสติปัญญา
ไอ้การผลิตหรือเครื่องจักรนี้คุณก็มองเห็นอยู่แล้วว่ามัน มันมาก มันเร็ว มันอะไรกันหลายร้อยหลายเท่าพันเท่าหลายหมื่นเท่า และถามว่าทำไมทำไปทำไมกัน ทำไปทำไมกัน ถ้าตอบตามความจริงก็เพื่อเอร็ดอร่อยของกูน่ะ ที่มันก้าวหน้าไปจนไปโลกพระจันทร์ ไปเอ่อ...มันบอกไม่รู้โว้ย ใครอยากรู้ไปคอมพิวเตอร์ดูว่าเราไปโลกพระจันทร์ทำไมกัน หรือว่าจะทำอะไรให้มากกว่านั้นอีกมันก็ไม่รู้ว่าทำไปทำไม แต่มันก็พอจะมองออกว่าเป็นการหาช่องทางที่จะเอาเปรียบผู้อื่น การไปโลกพระจันทร์โลกพระอังคารผู้คิดผู้ค้นนี่มันทำไปเพื่อหาช่องทางเอาเปรียบผู้อื่นทั้งนั้น และในที่สุดก็มาเป็นทาสของอารมณ์ของกามอารมณ์ของวัตถุอีก ไม่ใช่การก้าวหน้าเลย
ฉะนั้นการก้าวหน้าทางวัตถุนั้นไม่ใช่การก้าวหน้าทางวิญญาณ ยิ่งก้าวหน้าทางวัตถุเท่าไรวิญญาณก็ถูกจองจำอยู่ในวัตถุเท่านั้นแหละ คุณรู้จักความเป็นมนุษย์ไอ้ความก้าวหน้าของมนุษย์กันให้มันถูกต้องนะ ไปลุ่มหลงทางวัตถุเท่าไร มันก็จะชะงักการก้าวหน้าทางวิญญาณ เพราะว่าวัตถุนั้นมันผลิตขึ้นมาเพื่อจองจำไอ้มนุษย์ที่มันหลงความก้าวหน้าความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ ไอ้ของใหม่ๆที่เขาผลิตขึ้นมาใหม่ๆนี้ให้คุณมีเงินเดือนเพิ่มจากนี้อีก ๑๐ เท่า มันก็ไม่พอซื้อ สิ่งที่มันมีขายอยู่ในตลาดน่ะ ที่มันเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น ยั่วให้ซื้อมากขึ้น แล้วก็ไม่มีเงินเดือนพอที่จะไปซื้อมัน ไปซื้อมาก็เอามากักกักตัวเองให้หยุดอยู่ที่นี่ ไม่ดีไม่เด่นไม่สูงในทางจิตทางวิญญาณ
แต่การศึกษามันไม่ได้สอนอย่างนี้ ในระบบมหาวิทยาลัยก็ไม่เคยเปิดเผยอย่างนี้ ไอ้ผู้ผลิตขึ้นมาขายมันจะเอากำไรมันจะบอกหรือ มันมีแต่จะหลอกให้ซื้อให้ลงทุนหาเงินมาซื้อหากันอย่างไม่เห็นแก่อะไรหมดน่ะ เงินเดือนก็ไม่พอใช้อะไรก็ไม่พอใช้ ยุ่งกันไปหมด นี่เรียกว่ามนุษย์ไม่ก้าวหน้าทางวิญญาณเพราะความก้าวหน้าทางวัตถุมันบีบเอาไว้ มันกดเอาไว้ มันฝัง มันขุดหลุมฝังมนุษย์ มนุษย์เป็นผู้ทำเหมือนกับว่าฝังตัวเอง มนุษย์มันขุดหลุมฝังตัวเอง มันไม่ก้าวหน้าไป
ฉะนั้นการมีธรรมชาติสร้างมนุษย์ให้สืบพันธุ์ จะมีผู้สืบพันธุ์ และก็มีพันธุ์เพื่อเดินไปหาจุดสูงสุดของมนุษย์มันจึงเป็นหมัน หรือมันยังเป็นหมันอยู่จนกว่าเมื่อไรมันจะเข้าใจมันจึงจะไม่มาลุ่มหลงทางวัตถุ และก้าวหน้าทางวิญญาณต่อไป สักยุคหนึ่งมนุษย์ก็จะไปสู่จุดหมายปลายทาง พูดตามปรัมปราท่านก็ต้องว่ารอกว่าสมัยพระศรีอาริยเมตไตรยจะมา จะเกิดขึ้น มนุษย์ทั้งหลายก็จะไปถึงปลายทางของมนุษย์ เดี๋ยวนี้ถ้าเราทำให้มันถูกต้องในเรื่องของธรรมะของศีลธรรม มันก็จะถึงจุดหมายปลายทางกันในระยะไม่ไกลนัก ไม่ต้องรอศาสนาพระศรีอาริย์ก็ได้ หรือจะพูดเสียใหม่ว่าถ้าอันนั้นมาถึงนั่นก็คือศาสนาพระศรีอาริย์ พระศรีอาริยเมตไตรยเรียก...(นาทีที่ 53.43) นี่ปลายทางของมนุษย์
ธรรมชาติให้มีบุตรเพื่อสืบต่อการเดินทาง ให้มนุษย์ช่วงหลังสุดน่ะเดินไปถึงปลายทางที่มนุษย์จะดีได้ สูงสุดอย่างไรก็ให้ถึงนั่น ทุกศาสนาเขามีจุดปลายทางอย่างนี้กันอยู่ทั้งนั้น จุดปลายทางที่เรามีอย่างว่าเป็น พระศรีอาริยเมตไตรย คริสเตียนก็มี อิสลามก็มี เขามีปลายทางสูงสุดกันไว้ทั้งนั้น ฮินดูก็มี
เอาละเป็นอันว่าให้ถือว่าบุตรคือเรานี้ก็ได้เพราะเรากำลังเป็นบุตร หรือบุตรที่เราจะสร้างขึ้นมาใหม่ในอนาคตนั้นน่ะคือผู้สืบต่อการเดินทางก็แล้วกัน มันจะเป็นความหมายที่สูงมีจิตใจที่สูง ไม่ตกต่ำลงไปเป็นเรื่องน่าเกลียด ฉะนั้นการเดินทางให้ถึงจุดหมายปลายทางของมนุษย์นี้ธรรมชาติต้องการ ฉะนั้นการมีบุตรมีภรรยา มีภรรยามีบุตรก็เพื่อวัตถุประสงค์อันสูงนี้เอง พระเจ้าต้องการอย่างยิ่ง ที่เขามีบทบัญญัติเกี่ยวกับพระเจ้าเขาเป็นความต้องการของพระเจ้าอย่างยิ่ง อย่างศาสนาคริสเตียนเนี่ยส่งเสริมการแต่งงาน สาปการอย่าร้าง แล้วก็สาปการที่ไม่มีบุตรภรรยาสามีตามที่ควรจะมี ...(นาทีที่ 55.26)ว่าพระเจ้าต้องการอะไร
ทีนี้เราเป็นชาวพุทธไม่มีพระเจ้าแบบนั้น เราก็มีกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติต้องการให้มีการสืบต่ออย่างนี้ นี่บุตรหรือภรรยา ภรรยาหรือบุตร นี้เป็นทิศเบื้องหลัง ถ้าดูแล้วมันคล้ายตามเรามาว่าอยู่ข้างหลัง แต่ที่จริงมันจะเลื้อยอยู่เพื่อเดินไปข้างหน้าเราให้ถึงที่สุด พระพุทธเจ้าเอาบิดามารดาไว้เป็นทิศข้างหน้า และข้างหลังนี้คือบุตรภรรยา คือการสืบว่ายังไม่หมดลงได้
ทีนี้ทิศต่อไปข้างซ้าย ข้างซ้ายมือของเราน่ะมีมิตรสหาย ทางขวามือของเรามีครูบาอาจารย์ คุณดูให้ดี ข้างซ้ายมีกำลังงาน ข้างขวามีกำลังสติปัญญา มิตรสหายคือกำลังงาน ทาง ทาง ทาง ทางพลังงานทาง ทางกายทางวัตถุนี่ ครูบาอาจารย์อยู่ข้างขวาคือพลังงานทางสติปัญญา ท่านตรัสไว้ให้อย่างสมบูรณ์ที่สุด เขาต้องมีพลังงานขนาบสองข้าง ฝ่ายโน้นพลังงานฝั่งวัตถุ ฝ่ายนี้พลังงานจิตใจนี่ ถ้ามันยังไม่ไปอีกไอ้มนุษย์คนนี้มันเหลวไหลเต็มที มันโง่เต็มที
เรามีมิตรสหายเมื่อความต้องการที่เหลือบ่ากว่าแรงในทางใดก็ดีเกิดขึ้น แล้วเราก็มีมิตรสหายช่วย มิตรแปลว่าผู้มีความรัก สหายแปลว่าผู้ไปด้วยกัน สัมมะก็แปลว่าผู้เสมอกัน สาขาแปลว่าผู้เกี่ยวข้องกัน คำว่ามิตรมีหลายคำนะถ้าคุณเรียนบาลี คุณอย่าลืมคำว่ามิตร มิตรนี้มีหลายคำ เขาใช้คำเดียวกับคำว่ามิตร มิตรนี้คือผู้ที่มีความรักมีเมตตา ทีนี้สหายะ สหายน่ะ ที่เราหมายถึงมิตรแปลว่าไปด้วยกันพร้อมกันคือไป
สัมมะดูก่อนสหายนี่ สัมมะนี่แปลว่ามันเสมอกันมันจึงรักกันได้ สาขาก็แปลว่าเพื่อนหรือมิตรเหมือนกัน นี่มันเกี่ยวกันเหมือนกับกิ่งไม้นี่มันเกี่ยวกัน เราต้องมีมิตรเป็นกำลังงาน เมื่อความต้องการเกิดขึ้นเหลือบ่ากว่าแรง มันก็มีแน่แหละเพราะฉะนั้นนเราต้องมีมิตรแน่ คำว่ามิตรมันมีความหมายซ่อนเร้น แต่มีผู้มองงเห็นดึงออกมาให้เป็นความหมายที่สูงสุด
มันมีชาดกเรื่องนึง เรื่องเศรษฐี...(นาทีที่ 59.06) ลูกเศรษฐีสี่คนขอเนื้อจากนายพราน ไอ้บุตรคนหนึ่งมันขอ “ไอ้พราน ให้เนื้อกูบ้าง” นายพรานก็ให้ชิ้นพังผืดไป ไอ้ลูกเศรษฐีคนที่สองบอกว่า “พี่พราน ขอเนื้อฉันบ้าง” ไอ้นายพรานมันตัดเนื้อดุ้นๆลิ่มๆให้ไป ทีนี้ไอ้ลูกคนที่สามมันขอ “พ่อพราน ให้เนื้อฉันบ้าง” ไอ้นายพรานมันตัดก้อนหัวใจของเนื้อให้ไป เหมือนกับว่านายพรานมันไปได้เนื้อมาบรรทุกเกวียนมากลับบ้านมาเจอะกับพวกเหล่านี้
ลูกเศรษฐีคนที่สี่บอกว่า “เพื่อน ขอเนื้อบ้าง” นายพรานมันเลยให้หมดทั้งเกวียนเลย แล้วก็ให้ยอมตัวเป็นคนของไอ้ลูกเศรษฐีคนนั้นด้วยรับใช้ นี้แสดงว่าครั้งนั้นนะเขานิยมความหมายคำว่าเพื่อนยิ่งกว่าความหมายของคำว่าพ่อ ว่าพี่ หรือว่าไอ้อี เราลองคิดดูว่าไอ้คำว่าเพื่อนนี่มันกินความกว้างเหลือเกิน ในโลกนี้คำว่าเพื่อนมีความหมายมาก เพราะพ่อแม่นี่มันไม่กี่คนนี่ แต่ถ้าเพื่อนแล้วมันเป็นกันได้ทีเดียวทั้งโลก นี่เราพยายามอย่าอยู่โดดเดี่ยวมีเพื่อนแล้วก็จะมีกำลังงาน ฝ่ายวัตถุช่วยเหลือ
ทีนี้คำว่าเพื่อนมันก็มีความหมายกว้างนะ แม้พ่อแม่ก็ทำให้เป็นเพื่อนได้ บุตรภรรยาก็ทำให้เป็นเพื่อนได้ ครูบาอาจารย์ก็ทำให้เป็นเพื่อนได้ บ่าวไพร่กรรมกรก็ทำให้เป็นเพื่อนได้ คำว่าเพื่อนมันมีความหมายได้เปรียบอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้เราเอาความหมายคำว่าเพื่อนล้วนๆเพราะเราได้แยกบิดามารดา บุตรภรรยา ครูบาอาจารย์ออกไปเป็นพวกๆกันแล้ว ฉะนั้นเราไม่อยู่โดดเดี่ยว เรามีเพื่อนพร้อมที่จะช่วย เป็นองค์ประกอบอันหนึ่งที่มันขาดเสียไม่ได้ ไอ้เพื่อนนี่ก็หมายถึงเพื่อนที่ดีที่จริงที่แท้นะ มันมีเพื่อนกินเพื่อนตายอะไร มันตลบตะแลงหลายชั้น เพื่อนไม่จริงเพื่อนปลอมไม่ต้องพูดถึง
ทีนี้มันมีเพื่อนจริงก็เรียกได้ว่าเรามีทิศทาง ทางทิศเหนือทางซ้ายนี่ที่เราปฏิบัติถูกต้อง ไม่เกิดอันตรายมาจากทิศทางนั้น มีแต่มีผลดีมาจากทิศทางนั้น เดี๋ยวจะบอกให้เห็นว่ามันสัมพันธ์กันอย่างไร พระเจ้าพระสงฆ์ครูบาอาจารย์มันอยู่ข้างบน มันดึงหัวเราขึ้นมา ทีนี้บ่าวไพร่กรรมกรมันอยู่ข้างล่างมันช่วยดันเรา ดันตีนเราขึ้นมา เพื่อนนี่มันแวดล้อมเราอยู่โดยรอบหมดเราปลอดภัยกี่มากน้อย ก็ครูบาอาจารย์ที่อยู่ข้างบนเราก็ดึงหัวเราขึ้นมา บ่าวไพร่กรรมกรทิศเบื้องต่ำก็ดันเราขึ้นมามาจากข้างล่าง เพื่อนของเราทุกคนก็แวดล้อมเราอยู่โดยรอบให้เราปลอดภัย นี่มันทำงานสัมพันธ์กันอย่างนี้แหละ เดี๋ยวนี้เรากำลังพูดถึงเพื่อน
เราต้องมีเพื่อนสำหรับที่จะแวดล้อมเราไว้ให้ปลอดภัยโดยรอบ แล้วร่วมมือกันกับครูบาอาจารย์พระเจ้าพระสงฆ์ที่จะดึงเราขึ้นไปข้างบน และร่วมมือกับบ่าวไพร่กรรมกรที่ดันเราขึ้นมาจากข้างล่าง นี่งานการชีวิตที่สมบูรณ์มันเป็นแบบนี้ ฉะนั้นเราต้องมีเพื่อน เพื่อนที่สำเร็จประโยชน์เขาเรียกว่ากัลยาณมิตร และมักจะเล็งถึงครูบาอาจารย์คำนี้ นอกนั้นก็เป็นมิตร พาลมิตร ปาปมิตร ไม่ใช่อย่าไปพูดถึงดีกว่า
เอ้า...เราก็เห็นว่าไอ้ข้างซ้ายนี่ก็สำคัญนะมือซ้ายเรานี้ แล้วถ้ามือขวาก็ครูบาอาจารย์ ก็บอกแล้วว่าครูบาอาจารย์ให้กำลังปัญญาในเมื่อมิตรสหายให้กำลังงานทางธรรมดา เมื่อความต้องการจะใช้แรงงานเกิดขึ้น มิตรก็เป็นประโยชน์ เมื่อต้องการจะแก้ปัญหาทางจิตใจ ครูบาอาจารย์ก็เป็นประโยชน์ เพราะว่าปัญหาของเรามีทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ เราต้องใช้ให้ถูกเพราะเราก็จะต้องมีครบ เมื่อเรามีมิตรสหายแก้ปัญหาทางกาย มีครูบาอาจารย์แก้ปัญหาด้วยทางจิต ทำไมนาฬิกามันเร็วนักล่ะ เอ้า...จะรีบพูดให้มันจบ
ครูบาอาจารย์อยู่ข้างขวา ตามตัวหนังสือแปลว่าผู้เปิดประตูทางวิญญาณ เราเรียกว่าผู้นำทางวิญญาณ ก่อนนี้เขาแปลว่าครุนี่แปลว่าผู้หนัก เราต้องหนัก เราต้องเคารพ แต่ตัวหนังสือภาษาโบราณนี้ก็แปลว่าผู้เปิดประตูทางวิญญาณ สัตว์มันอยู่ในคอกเล้ามืดเหม็นเป็นทุกข์ ครูบาอาจารย์เปิดประตูให้มันออกมาจากคอกอันมืดอันเหม็นอันร้อน ไม่รู้หนังสือก็ทำให้รู้หนังสือ ไม่รู้อาชีพก็ทำให้รู้อาชีพ ไม่รู้เรื่องทางวิญญาณก็ทำให้รู้เรื่องทางวิญญาณ โดยความหมายนั่นแล้วมันก็ให้รู้เรื่องทางวิญญาณเปิดประตูทางวิญญาณ
นี่ผมยังมองว่าครูบาอาจารย์เนี่ยเป็นผู้สร้างโลก คุณก็คงจะมองเห็นนะว่าไอ้โลกนี้มันประกอบมนุษย์นี่ ถ้ามนุษย์ดีทุกคนมนุษย์ทุกคนดีโลกนี้ก็ดี ถ้ามนุษย์ทุกคนมันเลวโลกนี้มันก็เลว มนุษย์ทุกคนจะดีหรือเลวมันก็แล้วแต่การศึกษาที่ครูบาอาจารย์ให้ ถ้าครูบาอาจารย์เขาให้การศึกษาดีเป็นมนุษย์ดีโลกทั้งโลกมันก็ดี ถือว่าครูบาอาจารย์สร้างโลกให้ดีก็ได้สร้างโลกให้เลวก็ได้ ช่วยร่วมมือกับครูบาอาจารย์ให้สร้างโลกดีๆ นี่ครูบาอาจารย์เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ผู้นำในทางวิญญาณ แล้วก็เป็นผู้สร้างโลกอยู่ข้างขวาคอยช่วยประคับประคอง
ทีนี้ก็เหลือทิศข้างบนกับทิศข้างล่าง ข้างบนคือสมณพราหมณ์ พระเจ้า พระสงฆ์ อย่างเดี๋ยวนี้เราก็ต้องเรียกกันว่าพระเจ้าพระสงฆ์ คือเป็นเรื่องทางศาสนา สมณพราหมณ์ ผู้มีปัญญาในด้านศาสนานะ ออกไปจากบ้านเรือนก็เป็นสมณะ ถ้าอยู่บ้านเรือนน่ะเขาเรียกว่าพราหมณ์ หน้าที่เหมือนกันทำให้หมดบาป ทำคนให้หมดบาปหมดทุกข์ ออกไปอยู่ ออกไปจากบ้านเรือนไปอยู่ป่าเรียกว่าสมณะ ยังอยู่บ้านอยู่เรือนเรียกว่าพราหมณ์ ธรรมเนียมนี้มีมาแต่ก่อนโน้น ก่อนพุทธกาลนั้น คำว่าสมณพราหมณ์เป็นคำพูดที่มีมาก่อนพุทธกาล
นั้นเขารู้เรื่องทางวิญญาณ รู้เรื่องของความรอดของวิญญาณ ฉะนั้นเราก็มีที่การติดต่อด้วย จะใช้คำว่าสมณพราหมณ์ไปตามเดิมก็ได้ ในเมืองไทยเราก็ใช้คำว่าพระเจ้าพระสงฆ์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของศาสนานี่ เราจัดไว้ข้างบนที่ทิศเบื้องบน มีหน้าที่ที่จะดึงเราขึ้นไปข้างบน แล้วก็เป็นที่ที่ให้เกิดบุญเกิดกุศล บำเพ็ญบุญกุศลก็บำเพ็ญในสมณพราหมณ์ พระเจ้า พระสงฆ์
อีกอย่างหนึ่ง สมณพราหมณ์ พระเจ้า พระสงฆ์นี้ท่านเป็นตัวอย่างให้เดินให้ดูปฏิบัติให้ดู นี้ก็เป็นตัวอย่างทางวิญญาณ ท่านสืบธรรมะสืบศาสนาไว้ให้คนชั้นหลัง ถ้าไม่มีพระเจ้าพระสงฆ์มันก็ไม่มีใครสืบ ศาสนามันก็สูญไปเสียแล้ว เพราะฉะนั้นควรจะมองเห็นว่าพระเจ้าพระสงฆ์เขาสืบศาสนาไว้ให้คนชั้นหลัง แล้วก็เขามีอยู่ในลักษณะที่เหมือนกับว่าถ่วงโลกไว้ไม่ให้ล่มจม ถ้าพระเจ้าพระสงฆ์สมณพราหมณ์มีมากพอก็จะถ่วงโลกไว้ไม่ให้คว่ำ ไม่ให้พลิกคว่ำ เพราะเขารู้ดี
เรามีพระเจ้าพระสงฆ์อยู่คล้ายๆว่าไปในเรือกลางทะเลมีแต่คนบ้าๆบอๆมันจะทำให้เรือเอียงคว่ำ และก็มีคนกลุ่มหนึ่งรู้จักถ่วงไว้ไม่ให้มันคว่ำ เขาต่อต้านต่อสู้ในโลกนี้ไว้ไม่ให้เรือโลกนี้มันคว่ำ นี้ก็เป็นหน้าที่ของพระเจ้าพระสงฆ์ ไม่ใช่เพียงแต่ผู้ประกอบพิธี ฝรั่งมักจะเขียนว่าไอ้นักบวชน่ะเป็นเพียงผู้ประกอบพิธี เขาเห็นเท่านั้นเขาก็มองเห็นเท่านั้นก็เขียนไปอย่างนั้น จริงๆนักบวชน่ะไม่ใช่เพียงแต่ผู้ประกอบพิธี แม้ว่าในตอนหลังๆมันจะเป็นแต่เพียงผู้ประกอบพิธีก็ตามใจเถิด
แต่ความมุ่งหมายแท้จริงนี่เขาเพื่อจะสืบไอ้ของดีๆทางจิตทางวิญญาณให้มีไว้ในโลก เป็นที่ทำบุญเป็นที่ให้เกิดบุญ ก็เท่ากับเขาควบคุมโลกไว้ไม่ให้มันคว่ำลงกลางทะเลแห่งความทุกข์ จงเงยขึ้นไปข้างบนบ้างแล้วเราจะพบไอ้คนชนิดนี้
เดี๋ยวนี้จะมีปัญหาว่าไอ้พระเจ้าพระสงฆ์นี้ทำอะไรนอกรีตนอกรอย ไม่มีพระเจ้าพระสงฆ์ที่จะถือเป็นหลักได้ ก็ไม่ควรจะคิดอย่างนั้น มันมีเป็นส่วนน้อย นักบวชในทุกๆศาสนาไม่ใช่เฉพาะพระพุทธศาสนาก็มีที่เหลวไหลที่นอกรีตก็มีบ้าง พระพุทธกาลก็มี
ในวัดพระพุทธเจ้าก็ยังมี ไปอ่านดูวินัยปิฎกที่กล่าวถึงต้นเหตุของการบัญญัติสิกขาบท มีพระเลวๆเกเรในวัดพระพุทธเจ้านั่นเองจึงต้องออกสิกขาบทนั่นมา สิกขาบทนี่มา สิกขาบทนั่นมามากเต็มไปหมด แล้วมันก็เพื่อให้มันดี เพื่อให้มันถูก ให้มีพระเจ้าพระสงฆ์ที่ถูกต้องในโลกนี้มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ แหงนไปข้างบนก็พบสมณพราหมณ์ที่พร้อมที่จะปล่อยที่พร้อมที่จะดึงเราขึ้นไปข้างบน
ทีนี้มองดูข้างล่างทิศสุดท้ายเบื้องต่ำนี่ บ่าวไพร่กรรมกร การตรัสของพระพุทธเจ้าอย่างนี้พวกซ้ายมันก็จะหาว่าพระพุทธเจ้าแบ่งชนชั้น ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก คือหมายถึงเป็นไปตามกรรม คนมันเป็นไปตามกรรมก็ต้องมีคนรวยคนจน มีบ่าวไพร่มีกรรมกรตามแบบของธรรมชาติ ไม่ใช่พระเจ้าจะบัญญัติให้เกิดชนชั้น นี่ก็คือว่าคนที่มันมีบุญน้อยตามกรรมของเขา เขาก็อยู่ในสภาพที่เรียกว่าบ่าวหรือไพร่หรือกรรมกร แต่ไม่ใช่ความหมายอย่างเดียวกับที่ลัทธิมาร์กซ์ลัทธิคอมมิวนิสต์จำกัดความ เพราะนั่นเขาไม่ยอมรับเรื่องกรรม เขาจัดให้เป็นการบีบคั้นของคนนายทุนหรือศักดินา แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้ประสงค์อย่างนั้น
ไอ้คนที่มันมีบุญน้อยมีกรรมบาปมากมันก็ต้องเป็นบ่าวไพร่ กรรมกร และต้องมีในโลก แม้เดี๋ยวนี้มันก็มีคุณเห็นไหม ใครทำให้มันหมดไปได้คนยากจนก็รับไว้ในฐานะเป็นผู้ร่วมแรง คนรวยมันได้ประโยชน์จากคนจนเหลือหลาย และไม่ค่อยเห็นคุณค่าของเขา และมันทำผิดนะ ถ้าว่าพวกนายทุนศักดินาทั้งหลายเขาถือหลักข้อนี้ของพระพุทธเจ้า ปัญหาในโลกนี้ไม่มีน่ะที่จะรบราฆ่าฟันกันระหว่างชนชั้น ให้ถือเสียว่าเขาอยู่ข้างล่างเขาเป็นฐานรองรับอยู่ข้างล่าง รับใช้อยู่ข้างล่าง แล้วเขาก็ทำหน้าที่ของเขาที่จะดันขึ้นมา จะดันขึ้นมาจากข้างล่างหนุนขึ้นมา
ฉะนั้นเรามองเห็นภาพพจน์สักภาพหนึ่งว่า พระเจ้าพระสงฆ์อยู่ข้างบน คนมีปัญญาครูบาอาจารย์อยู่ข้างบนน่ะเขาดึงหัวเราขึ้นมา พวกบ่าวไพร่กรรมกรคนใช้อะไรก็ตามมันอยู่ข้างล่างมันดันช่วยดันขึ้นมา มิตรสหายทั้งหลายอยู่รอบๆก็ช่วยแวดล้อมส่งรอบขึ้นไปโดยรอบ มันก็ดีทั้งนั้นและมันก็เป็นการง่าย
ฉะนั้นขอให้มีการยึดถือหลักของทิศทั้งหกให้ถูกต้องด้วย มนุษย์ก็จะเป็นมนุษย์ที่ก้าวหน้าไปยังจุดสูงสุดของมนุษย์คือนิพพาน หมายความว่าเยือกเย็น เย็นกาย เย็นใจ เย็นอกเย็นใจพร้อมกันไปหมดทั้งโลก นั่นล่ะคือนิพพาน จากทิศทั้งหกนี้อย่าให้มีไอ้ความเลว ความผิด ความร้ายเกิดขึ้น ให้เกิดขึ้นให้เข้ามาแต่ความถูกต้องจากทิศทั้งหกนี้ มนุษย์ก็รอดตัว มนุษยชาติทั้งหมดก็รอดตัว ไม่ต้องพูดถึงคนแต่ละคนหรอก เกินจะรอดตัวเสียอีก มันง่ายกว่า นี่เขาวางไว้สำหรับมนุษยชาติทั้งหมดเลย มันจะรอดตัวเพราะมีความถูกต้องเข้ามาทุกทิศทุกทาง
เรามีปัญหาอยู่ในโลก การต่อสู้ระหว่างชนชั้นปั่นป่วนกันไปหมดทั้งโลก เพราะเขาไม่รู้จักทิศทั้งหลายที่ถูกต้อง เป็นเรื่องเขย่าโลกให้เดือดร้อนกันไปทั้งโลกเพราะปฏิบัติผิดต่อทิศทางเหล่านี้ คุณก็ดูเป็นครั้งสุดท้ายว่าทำไมพระพุทธเจ้าท่านจึงจัดระบบนี้อย่างนี้ เทคนิคของท่านมีอย่างไร บิดามารดาบุตรภรรยาขนาบหน้าขนาบหลัง มิตรสหายครูบาอาจารย์ขนาบซ้ายขนาบขวา สมณพราหมณ์ดึงอยู่ข้างบน บ่าวไพร่กรรมกรดันอยู่ข้างล่างดันขึ้นมา
ผมมองเป็นเทคนิคทางวิญญาณเพื่อความรอดของสัตว์มนุษย์ เราก็ปฏิบัติหน้าที่อันนี้ให้ถูกต้องถือเป็นเทคโนโลยีทางวิญญาณก็ยังได้ เรามีแต่เทคโนโลยีทางวัตถุเสียอย่างเดียว ทางจิตทางวิญญาณมันจึงล้มเหลว
ขอให้ศึกษาในเรื่องทิศทั้งหกในลักษณะอย่างนี้ อย่าเห็นเป็นเรื่องเด็กๆเลย เป็นเรื่องสูงสุดสำหรับมนุษย์ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง ในมหาวิทยาลัยเขาไม่สอนมันก็เป็นการศึกษาหมาหางด้วน เราเปิดมหาวิทยาลัยเถื่อนสอนต่อหางหมา ผมก็ยังยืนยันว่าเราก็มีมหาวิทยาลัยต่อหางหมากันบ้างที่นี่ ถ้าหากว่ามหาวิทยาลัยสงฆ์เขารับภาระต่อหางหมา สอนความรู้วิชาที่ในมหาวิทยาลัยธรรมดาไม่สอนนั้นจะเป็นความหวังมากทีเดียว
ไอ้หางหมาที่มันด้วนอยู่น่ะ ขอให้วิทยาลัยสงฆ์ช่วยต่อให้มันหายด้วน กลัวแต่ว่ามหาวิทยาลัยสงฆ์จะไปเดินตามหลังตามก้นมหาวิทยาลัยชาวบ้านเสียอีก อย่างนี้ไม่มีทางหางหมาก็ยังคงขาดต่อไปตามเดิม นี่เราก็มาเปิดมหาวิทยาลัยเถื่อนนี่ เราทำมันไม่ได้ในกลางเมืองหลวงหรือที่ไหน ช่วยกันทำต่อหางหมาหรือเสริมยอดพระเจดีย์ให้มนุษย์มีความสมบูรณ์ในทางการศึกษา
สำหรับผมมุ่งหมายอย่างนี้ทุกตอน ทุกชั่วโมงที่จะบรรยาย เลยเวลา เลยไปแยะแล้วที่กำหนดไว้ชั่วโมงเดียว ฉะนั้นขอปิดหยุดการบรรยายตอนที่สองไว้ที่นี่