แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ อาตมาจะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาเป็นบุพพาปาละ(นาทีที่ 2:03) ลำดับ สืบต่อจากธรรมเทศนาที่ได้วิสัชนาแล้วในตอนเย็น อาศัยข้อความที่เป็น(นาทีที่2:21)ตั้งต้นว่าพระตถาคตเจ้าจะเกิดขึ้นก็ตาม พระตถาคตจะไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธรรมชาตินั้นได้ตั้งอยู่แล้ว คือตถตาแห่งความเป็นเช่นนั้น อวิตถตาความไม่ผิดไปจากความเป็นเช่นนั้น อนัญญถตาความไม่เป็นโดยประการอื่นจากความเป็นเช่นนั้น ธัมมัฏฐิตตาคือความตั้งอยู่ตามกฎของธรรมดา ธัมมนิยามตาความเป็นกฎตายตัวของธรรมดา อิทัปปัจจยตาคือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะขยายความของคำว่าสัมมาทิฏฐิในพระพุทธศาสนาให้เป็นที่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเพียงพอแก่สัตว์ทั้งหลาย ในพระพุทธศาสนานี้ให้ถือกันเป็นหลักว่า สัมมาทิฏฐิ สมาทานา สัพพัง ทุกขัง อุปัจจคุง บุคคลก้าวล่วงความทุกข์ทั้งปวงได้เพราะสมาทานสัมมาทิฏฐิ ให้กำหนดใจความไว้ให้ดีๆว่า บุคคลก้าวล่วงความทุกข์ทั้งปวงได้เพราะสมาทานสัมมาทิฏฐิ ความทุกข์ทั้งปวงในที่นี้ก็หมายความตามตัว หนังสือตามธรรมดา ว่าทั้งปวงทั้งหมดทั้งสิ้นทุกๆอย่างไม่ว่าความทุกข์ชนิดไหน จะเป็นความทุกข์โดยตรงหรือโดยอ้อม เป็นความทุกข์ตื้นๆหรือความทุกข์ลึกซึ้งชนิดไหนก็ตาม นี่เราจะก้าวล่วงความทุกข์เหล่านี้ได้เพราะสมาทานสัมมาทิฏฐิ สมาทานสัมมาทิฏฐิคืออย่างไร คือถือไว้ด้วยดีเหตุซึ่งสัมมาทิฏฐิ สมาทานแปลว่าถือเอาด้วยดี ถือเอาอย่างทั่วถึงและด้วยดี นี่เรียกว่าสมาทาน เหมือนกับสมาทานศีลถือเอาอย่างทั่วถึงและด้วยดี ก็หมายความว่าเอาไปประพฤติปฏิบัติเป็นอย่างดีไม่เพียงแต่ปากว่า การสมาทานสัมมาทิฏฐินี้ก็เหมือนกัน จะต้องถือเอาไว้ด้วยดี ถือได้เป็นอย่างดี มีอยู่เป็นอย่างดีซึ่งสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิซึ่งเป็นองค์ที่หนึ่งของอริยมรรคมีองค์แปดดังที่ได้กล่าวแล้วตอนกลางวัน ว่าเป็นองค์นำขององค์มรรคอื่น ถ้ามีสัมมาทิฏฐิแล้วองค์อื่นๆก็จะต้องมี เห็นได้ง่ายๆใครๆก็พอจะเห็นได้ ว่าถ้ามีความรู้ ความคิด ความเข้าใจ ความเชื่อที่ถูกต้องแล้ว การประพฤติ การกระทำทั้งหมดย่อมจะถูกต้อง เมื่อมีความรู้ถูกต้องมันก็เลือกทำแต่ที่ถูกต้องเอง มันไม่กล้าทำที่ผิดพลาดที่ไม่ถูกต้อง เราเอาความถูกต้องของความรู้ ของความเชื่อ ของความคิดเห็น ของความเข้าใจอะไรต่างๆมาให้เพียงพอกันเสียก่อน นี่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิที่จะต้องมีให้เพียงพอ ในโอกาสแห่งอาสาฬหบูชานี้ อาตมาอยากจะแสดงเนื้อความของสัมมาทิฏฐิโดยบทพระบาลีดังที่กล่าวแล้วว่า พระตถาคตจะเกิดขึ้นก็ตาม พระตถาคตจะไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธรรมชาตินั้นได้ตั้งอยู่แล้ว คือความเป็นเช่นนั้น ความไม่ผิดไปจากความเป็นเช่นนั้น ความไม่เป็นโดยประการอื่นจากความเป็นเช่นนั้น คือความตั้งอยู่ตามธรรมดาโดยกฎของธรรมดา และความตั้งอยู่อย่างตายตัวโดยกฎของธรรมดาเช่นนั้น นี่มันแทนกันทั้งนั้นถ้อยคำแต่ละคำนี่มันแทนกันได้ มันหมายถึงความเป็นเช่นนั้นอย่างไม่เป็นอย่างอื่น ความเป็นเช่นนั้นนั่นก็คืออิทัปปัจจยตา แปลว่าความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ถ้ากล่าวโดยหลักของปฏิจจสมุปบาทก็คือตัวปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง ถ้าจะกล่าวโดยหลักอริยสัจแต่เนื้อความ ก็คือเมื่อมีเหตุให้เกิดทุกข์ ความทุกข์ก็มี เมื่อมีทางให้ถึงความดับทุกข์ ความดับทุกข์มันก็มี นี่เรียกว่าเพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น หรือจะอาศัยข้อความที่เรียกกันว่าคาถาที่เป็นคำ คำของพระอัสสชิ ว่าธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตจงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น จะแสดงความดับแห่งเหตุของธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะท่านตรัสอย่างนี้ นี่ก็เพราะว่ามันมีเหตุซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสิ่งอื่น จึงพูดว่าเมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้ก็มี นี่เป็นความเป็นอย่างนี้ตามธรรมชาติ ไม่อาจจะเป็นตัวตนหรือเป็นของของตน เรามีความเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฎฐิตั้งต้นมาตั้งแต่แรก แรกเกิดไม่ได้ถึงแรกเกิดทีเดียว คือต้องเป็นทารกที่มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้ รู้สึกอารมณ์ดี อารมณ์ร้าย รู้สึกต่อความเอร็ดอร่อย ความไม่เอร็ดอร่อยรู้จักแยกกัน อย่างนี้แล้วทารกนั้นย่อมจะเกิดความรู้สึกขึ้นได้ในตัวเอง พอใจในสิ่งที่อร่อย ที่เป็นที่สบายแก่จิตใจ ก็เกิดความรู้สึกว่ากูอร่อย ก็มีตัวกู ถือตัวตนเกิดขึ้น และมีสิ่งที่เอร็ดอร่อยนั้นเป็นของกูหรือเป็นของตน นี่แหละความรู้สึกว่าตัวกูของกูนิดๆเล็กๆมันก็เกิดขึ้นมา แล้วมันก็ขยายเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆจนบัดนี้ ลองคิดดูทีเถอะว่ามันใหญ่โตสักเท่าไหร่ ความรู้สึกว่าตัวตนว่าของตนนี่มันขยายเติบโตขึ้นมาตามลำดับสักเท่าไหร่ นี่เป็นมิจฉาทิฏฐิสำคัญเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน ไม่มองเห็นลึกซึ้งลงไปถึงความจริงในชั้นลึกนั้นว่ามันไม่ใช่ตัวตน มันเกิดได้ตามธรรมชาติตามธรรมดา ว่าเมื่อรู้สึกอร่อยแล้ว รู้สึกมีผู้อร่อยแล้วก็เกิดความรู้สึกว่าตัวตนแก่ผู้อร่อยนั่นเอง รู้สึกว่าของตนแก่สิ่งที่ทำให้เกิดความอร่อยนั่นเอง ไม่ต้องมีใครสอน ธรรมชาติสอน ธรรมชาติสอนมาตั้งแต่เล็กๆ ให้รู้จักแยกว่าอร่อยหรือไม่อร่อย ซึ่งต่อมาก็รู้จักแยกว่าดีหรือชั่ว แล้วก็เกิดความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่อร่อยหรือไม่อร่อย ในสิ่งที่ดีหรือชั่วเรื่อยๆขึ้นมาจนบัดนี้ เราก็ลองทดสอบดูตัวเองว่ามันรู้สึกอย่างนี้ เป็นมาอย่างนี้ มากมูนอยู่ด้วยมิจฉาทิฏฐิอย่างนี้ หรือว่ามีสัมมาทิฏฐิกันต่อเมื่อไหร่ ดูเถิด พิจารณาดูเถิดจะเห็นว่าเราเพิ่งจะมีสัมมาทิฏฐิกันบ้างก็ต่อเมื่อได้ยินได้ฟังคำของพระพุทธเจ้าที่มีผู้เอามากล่าวเอามาแสดง เราเพิ่งได้ยินคำว่าไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่ของตนนี้ต่อเมื่อมีผู้เอาคำของพระพุทธเจ้ามากล่าวมาแสดง ผู้ใดจะเคยได้ฟังคำอย่างนี้มาแต่เมื่อไหร่ เมื่อมีอายุเท่าไหร่ เมื่อเข้าวัดไหนหรืออ่านหนังสืออะไรก็ตามใจ ไปลองทบทวนดูว่าเราเริ่มรู้ความจริงที่เป็นสัมมาทิฏฐินี้กันเมื่อไหร่ เราเคยยึดถือแต่ตัวตนของตนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ บางคนจะยังยึดถือมิจฉาทิฏฐิว่าตัวตนว่าของตนอยู่จนกระทั่งบัดนี้ จนกระทั่งมานั่งอยู่ที่นี่ อาตมาจะคิดว่าอย่างนี้ แต่บางคนนั้นได้ยินได้ฟังคำว่าไม่ใช่ตัวตนเป็นแต่ว่ามันเป็นไปตามธรรมชาติ รู้สึกตามธรรมชาติไปว่าของตน ตั้งแต่ได้ยินได้ฟังได้เข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ตามที่ผู้เอามากล่าวมาแสดงให้ฟังมาหลายเวลาแล้วก็ได้ คือหลายปีมาแล้วก็ได้ เริ่มมีความเข้าใจเรื่องที่ไม่ใช่ตัวตน คือเป็นของที่เป็นไปตามธรรมชาติตามกฎของอิทัปปัจจยตาซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาว่าเมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้ก็มี นี่แหละคือข้อเท็จจริงที่คนทุกคนจะต้องสอบสวนตนเองดูว่าเรามีมิจฉาทิฏฐิมาเท่าไหร่ เพิ่งถูกถอนไถ่ถอนเปลี่ยนให้เป็นสัมมาทิฏฐิตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วมันไถ่ถอนได้กี่มากน้อยลองคิดดู ความยึดถือว่าตัวว่าตนนั้นน่ะ เมื่อได้ยินได้ฟังว่ามันไม่ใช่ตัวใช่ตนแล้วมันไถ่ถอนได้หรือไม่ได้หรือมันถอนได้สักกี่มากน้อย เรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำคัญ เพราะความยึดมั่นถือมั่นนั้นมันเหนียวแน่น แม้จะได้ยินได้ฟังว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนมันก็ถอนไม่ได้ เพราะความยึดมั่นถือมั่นนั้นมันเหนียวแน่นเหลือเกิน เหมือนว่าบุคคลเป็นสามีภรรยากัน มีความรักความผูกพันอย่างเหนียวแน่น แม้จะรู้ว่าเขาคบชู้สู่สาวอะไรมันก็ยังเกลียดเขาไม่ได้ บางทีจะหย่ากันมันก็หย่าไม่ได้ แม้ว่าเห็นอยู่ว่าเป็นความไม่ซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อกันแล้วมันก็ยังหย่ากันไม่ได้ เพราะความรักความผูกพันมันเหนียวแน่น เดี๋ยวนี้ไอ้เรื่องความยึดถือว่าตัวว่าตนนี้มันเหนียวแน่นไปกว่านั้นอีก เคยยึดถืออะไรว่าเป็นตัวตนเป็นของตน แม้จะมีผู้มาบอกให้ฟังคือพระพุทธเจ้านั่นแหละ สอนต่อๆกันมาบอกต่อๆกันมาว่าไม่ใช่ตน ถ้าความเข้าใจนั้นมันไม่เพียงพอมันก็ไม่หวั่นไหวเลย ถ้าความเข้าใจเพียงพอมันอาจจะลังเลบ้างแต่มันก็ยังละไม่ได้ มันยังจะต้องมาประพฤติปฏิบัติที่เรียกกันว่า กระทำในทางจิตทางใจให้เกิดความคิดเห็นแจ่มแจ้งยิ่งๆขึ้นไปมันจึงจะค่อยละได้ แล้วก็คอยระมัดระวังให้เป็นอย่างดี ให้มันมีแต่เห็นตามที่เป็นจริงอยู่อย่างนี้ นานเข้ามันจึงจะละหมด ละหมดเมื่อใดมันก็ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นก็เรียกว่าหลุดพ้นจากกองทุกข์ ถ้ายังยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดโดยความเป็นตัวตนหรือของตนอยู่แล้วมันก็ยังทนทุกข์ ยังจะต้องทนทุกข์ เพราะนั่นมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันต้องให้เกิดทุกข์ ต่อเมื่อเห็นตรงกันข้ามมันเป็นสัมมาทิฏฐิ มันจึงจะไม่เกิดทุกข์ ขอให้พอกพูนสัมมาทิฏฐิ ให้ปลูกฝังสัมมาทิฏฐิ เหมือนเราปลูกต้นไม้อย่างดี บำรุงรักษาอย่างดี ให้เป็นต้นไม้ที่เจริญงอกงามฉันใดข้อนี้ก็ฉันนั้น จงพยายามปลูกฝังสัมมาทิฏฐิ เหมือนกับเอาเมล็ดพืชลงฝังในดินงอกหน่อออกมาแล้วก็เลี้ยงดูให้ดี ให้งอกให้งามเจริญเติบโตจนออกดอกออกผล นี่แหละเมื่อได้ฟังพระธรรมคำสอนในพระศาสนาแล้ว ต้องเอาไปกระทำให้มาก กระทำให้ชำนาญและกระทำให้ยิ่งๆขึ้นไปจนมันมีความแจ่มแจ้ง ชัดเจน ลึกซึ้งเพียงพอ สำหรับจะทำให้มิจฉาทิฏฐิหมดไป เหลืออยู่แต่สัมมาทิฏฐิ จะต้องมีเวลาที่เพียงพอที่จะศึกษาและปฏิบัติ ยังจะต้องมีสติที่จะเพียงพอที่จะควบคุม ในเมื่อกระทบกันเข้ากับอารมณ์ในโลกนี้ อารมณ์ในโลกนี้เมื่อปล่อยไปตามเรื่องของโลกนี้มันก็มีแต่ทำให้ยึดมั่นถือมั่นหรือเข้ารูปเดิม เมื่อเผลอสติแล้วมันก็เข้ารูปเดิมคือมันจะยึดมั่นถือมั่น เดี๋ยวนี้มันมาสนใจอยู่ที่เรื่องดีเรื่องชั่ว ยึดมั่นเรื่องดี ยึดมั่นเรื่องชั่ว ยึดมั่นเรื่องดีก็เป็นทุกข์ ยึดมั่นเรื่องชั่วก็เป็นทุกข์ไปตามแบบของมันของมัน ต่อเมื่อไม่ยึดมั่นเท่านั้นมันจึงจะไม่เป็นทุกข์ ไม่ยึดมั่นก็คือเห็นตามเป็นจริงให้ทันแก่เวลา มีอะไรมากระทบก็รู้ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นตามธรรมชาติเช่นนั้นเอง ถึงดีมันก็เป็นตามธรรมชาติเช่นนั้นเอง ชั่วมันก็เป็นตามธรรมชาติเช่นนั้นเอง จิตหยาบผิดปกติ ควรจะทำอะไรกับเรื่องที่เห็นกันว่าดีก็ทำไปตามที่ควรทำ ควรจะทำอะไรกับเรื่องที่ถือกันว่าชั่วก็ทำไปตามที่มันควรจะทำ เสร็จแล้วมันก็สรุปได้ว่า ไอ้ที่ชั่วก็ไม่ทำ ไม่ไปยุ่งเกี่ยว ไม่เอาเข้ามา ไอ้ที่เรื่องดีถ้าจะไปยุ่งเกี่ยวก็ต้องมีสติเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่เช่นนั้นเรื่องดีนั่นแหละจะทำให้เป็นทุกข์เหมือนกับเรื่องชั่ว คนเราเป็นทุกข์ก็เพราะอยากดี ไม่ได้อย่างดี ไม่ได้ตามที่มันอยากมันก็ต้องเป็นทุกข์ แม้เรื่องดีมันก็เป็นมูลเหตุให้เกิดความทุกข์ได้ เราจะไปเกี่ยวข้องกับความดีก็อย่าให้ต้องเป็นทุกข์เพราะความดี มันจะกลายเป็นคนทุกข์หรือคนบาปหรือคนโง่หรือคนชั่วมากไปเสียอีก เพราะว่าไปยึดมั่นไปหลงใหลในสิ่งที่สมมติกันว่าดี ข้อนี้มันคงจะยากเพราะว่าคนทั่วไปเขาก็สอนกันแต่ให้ยึดมั่นเรื่องดี ไอ้เด็กๆมันก็เคยรับการสั่งสอนให้ยึดมั่นแต่เรื่องดี มันก็ชินเป็นนิสัยที่จะยึดมั่นในเรื่องดี มันก็ทำไม่ถูกในที่จะ จะให้ไม่ยึดมั่น เมื่อยังยึดมั่นมันก็ต้องเป็นทุกข์ไม่มีใครช่วยได้ พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ที่จะช่วยให้คนไม่ ที่คน ที่จะช่วยให้คนที่ยึดมั่นถือมั่นไม่ต้องเป็นทุกข์นั้นมันช่วยไม่ได้ ท่านจึงสอนอยู่เสมอว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ธรรมทั้งหลายทั้งปวงอันใครๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเราหรือว่าของเรา โลกก็สมมติกันว่าอันนี้ดีก็ดีอย่างที่โลกเขาสมมติกัน อย่ามาเบียดเบียนจิตใจของเราให้เป็นทุกข์ เขาสมมติกันว่าชั่ว เขาก็ไม่ไปแก่เกี่ยวข้องแตะต้อง เขาสมมติกันว่าดี ถ้ามันมีความจำเป็นที่จะต้องไปเกี่ยวข้องแตะต้องก็ระวังให้ดี อย่าให้มันกัดเอา อย่าให้มันทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาเพราะความยึดมั่นถือมั่น เราอยากจะสวยเกิน อยากจะรวยเกิน อยากจะกินเกิน ใช้เกินอะไรเกิน นี่ก็เพราะอยากดีทั้งนั้นแหละ มันไม่มีอะไรนอกไปจากกว่าที่มันอยากจะดี เพราะมันอยากจะดีกว่าคนอื่น มันเลยกลายเป็นไอ้คนบ้าไปเลย เพราะมันอยากจะดีกว่าคนอื่น มันก็พยายามที่จะแสดงออกมาให้เห็นว่าตัวดีกว่าคนอื่น นั่นมันคือคนบ้า อะไรอะไรมันก็ถูกไอ้ความอยากดีด้วยความโง่เขลาให้ชักนำไป ถ้าเราไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่สมมติกันว่าดี เราต้องฉลาด เราไปเกี่ยวข้องกับมันอย่างฉลาด อย่างรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่สมมติกันว่าดี และทำไปแต่ในทางที่จะไม่เกิดความทุกข์ก็คือความไม่ยึดมั่นถือมั่น เราอาจจะเอาสิ่งที่ดีมาใช้ให้เป็นประโยชน์ให้มีความสุขให้สนับสนุนแก่ความสุขนี้ก็ได้ แต่อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมันจะกัดเอา นี่มันแปลกอยู่อย่างนี้ คงจะฟังยาก คงจะเข้าใจยากสำหรับคนทั่วๆไปที่เคยชินในการยึดมั่นถือมั่น แล้วก็ฝังใจอยู่แต่ในเรื่องที่เขาเรียกกันว่าดี หลงใหลในเรื่องที่สมมติกันว่าดีจนเป็นทุกข์ เพราะสิ่งที่เรียกกันว่าดีก็ยังไม่รู้สึก มันก็ต้องเป็นทุกข์ เดี๋ยวนี้เราจะอาศัยการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้สิ่งที่ประเสริฐสูงสุดอะไร เราจะมีส่วนได้รับประโยชน์จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เราจึงเอาหลักพระธรรมคำสอนของพระองค์มาศึกษาและปฏิบัติ ก็เพื่อจะไม่ให้จิตมันยึดมั่นถือมั่น จะเกี่ยวข้องกับอะไรก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น จะมีสิ่งใดก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น จะกินอะไรเข้าไปก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น แม้มันจะอร่อยอยู่ในปากอยู่ที่เนื้อที่หนังที่ไหนก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น นี่มันจะยากหรือจะง่ายสักกี่มากน้อยก็ลองคำนวณเอาเอง นี่เรามันยึดมั่นถือมั่นตลอดเวลาตั้งแต่จะหามาก็ยึดมั่นถือมั่น ได้มาแล้วก็ยึดมั่นถือมั่น ไปเก็บอยู่ในธนาคารมันก็ยึดมั่นถือมั่น ไว้ที่บ้านมันก็ยึดมั่นถือมั่น เอามากินมาใช้ก็ยึดมั่นถือมั่น กินอยู่ในปากก็ยึดมั่นถือมั่น มันยึดมั่นถือมั่นตลอดเวลาอย่างนี้จริงหรือไม่จริง อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้รู้จักความยึดมั่นถือมั่นว่าความยึดมั่นถือมั่นนั้นเป็นอย่างไร พร้อมกันนั้นก็จะรู้ว่าไอ้ความยึดมั่นถือมั่นนั้นน่ะมันทรมานจิตใจอย่างไร ใจความสำคัญก็คือว่า ถ้าเอามายึดถือไว้มันก็หนัก ถ้าเอามายึดถือไว้โดยจิตใจมันก็หนักแก่จิตใจ ถ้าเอามายึดถือไว้ด้วยมือมันก็เมื่อยมือมันก็หนักแก่มือ จะยึดมั่นถือมั่นด้วยอะไรมันก็หนักที่นั่น หรือหนักแก่สิ่งนั้น ยึดมั่นด้วยทิฏฐิ ความคิด ความเห็น มันก็หนักด้วยทิฏฐิ เป็นอันว่ายึดมั่นถือมั่นแล้วก็ต้องเป็นทุกข์ทั้งนั้นจึงเกิดคำสอนขึ้นมาว่า จงมี จงเกี่ยวข้องโดยไม่ต้องยึดมั่นถือมั่น จะทำการงาน จะหามา ก็อย่ายึดมั่นถือมั่นให้มันเป็นทุกข์ ได้ผลงานมาแล้วก็อย่ายึดมั่นถือมั่นให้เป็นทุกข์ เอาผลงานมาบริโภคให้อยู่ก็อย่ายึดมั่นถือมั่นให้เป็นทุกข์ เกิดความเอร็ดอร่อยอยู่ก็อย่ายึดมั่นถือมั่นให้เป็นทุกข์ ไม่เอร็ดอร่อยก็อย่ายึดมั่นถือมั่นให้เป็นทุกข์ เหมือนว่าสิ่ง เมื่อสิ่งเหล่านั้นจะต้องสูญเสียไปตามธรรมดาของธรรมชาติมันก็อย่าเป็นทุกข์ ได้มาก็อย่าเป็นทุกข์ หายไปก็อย่าเป็นทุกข์ ขาดทุนก็อย่าเป็นทุกข์ กำไรก็อย่าเป็นทุกข์ให้หนักใจ คนเขาไม่รู้สึกว่าเมื่อได้มาหรือว่าได้ตามที่ต้องการนี้เป็นทุกข์ เขาไม่ ไม่มองเห็นเพราะมันละเอียดเกินไป ถ้าว่าอะไรมาทำให้จิตใจผิดปกติแล้วเป็นทุกข์ทั้งนั้น เมื่อดีใจมันกินข้าวได้เมื่อไหร่ เมื่อดีใจจนเกินไปมันก็เหมือนกับคนบ้า ฉะนั้นเมื่อมีความสุข เมื่อมีกำไร เมื่อได้รับสรรเสริญ ได้อะไรต่างๆเหล่านี้ มันก็มีความทุกข์ซ่อนอยู่ในนั้น แล้วมันจะมีความทุกข์จริงๆขึ้นมา ก็เมื่อมันจะหายไปเสียอีก มีมาแล้วมันจะหายไปเสียอีก เมื่อมีดีก็กลัวว่าจะหมดดีก็เป็นทุกข์เป็นร้อนนอนไม่หลับ เพราะว่ามันจะหมดดี นี่จะได้เป็นโรคประสาทเพราะยึดมั่นถือมั่นในความดี พระพุทธเจ้าท่านสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น ก็เพราะเหตุนี้เอง อย่าไปยึดมั่นเมื่อได้ อย่าไปยึดมั่นเมื่อเสีย อย่าไปยึดมั่นเมื่อกำไร อย่าไปยึดมั่นเมื่อขาดทุน ไม่ยึดมั่นทั้งเรื่องดีเรื่องชั่ว เดี๋ยวนี้คนมันยึดมั่นในเรื่องดี มันอยากดีกว่าผู้อื่น มันยกหูชูหางเป็นพระ เป็นเณรเป็นแม่ชีก็ยกหูชูหาง อาตมาเห็นๆอยู่ นี่ไม่ใช่เอามาพูดโดยไม่เห็น เห็นๆอยู่พูดไปตามที่เห็นๆอยู่ ยืนยันว่าเป็นของจริง มีคนยึดมั่นในความดีแล้วก็ยกหูชูหางที่จะข่มขู่ผู้อื่น จะดีกว่าคนอื่น นี่มันไปเล่นกันเข้ากับอสรพิษ สิ่งที่จะทำลายให้ตายให้วินาศไปจากพระศาสนาทีเดียว ท่านทั้งหลายจงฟังคำว่าความยึดมั่นถือมั่นนี้ให้เข้าใจว่ามันคืออะไร แล้วคนมันยึดมั่นถือมั่นกันอยู่เป็นปรกตินิสัยรวมทั้งตัวเราเองด้วย แล้วทำไมไม่รู้จักสาแก่ใจ ไม่รู้จักสะใจในการที่ต้องเป็นทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่นตั้งแต่เกิดมา เมื่อแรกเกิดมาคงคิดนึกไม่ได้ คงรู้สึกไม่ได้ว่าเป็นทุกข์ แต่เดี๋ยวนี้ลองคิดย้อนหลังสิว่าตั้งแต่เรารู้ความมา รู้จักดี รู้จักชั่ว รู้จักยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้นอย่างนี้ รู้จักยึดถือความเอร็ดอร่อยความไม่เอร็ดอร่อยอย่างนี้ มันมีอะไรเกิดขึ้นในจิตในใจตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีจนกระทั่งบัดนี้ นี่เรียกว่าศึกษาด้วยความยึดมั่นถือมั่น และสังเกตดูให้ดีว่าเมื่อไหร่ไม่ยึดมั่นถือมั่นเมื่อนั้นมันสบายสักเท่าไหร่ เมื่อไหร่ยึดมั่นถือมั่นเมื่อนั้นมันเป็นทุกข์หนักสักเท่าไหร่ สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งคือศึกษาจากจิตใจ เราไม่สนใจที่จะศึกษาจากจิตใจ อะไรอะไรก็อยากจะอ่าน อยากจะฟัง อยากจะให้คนอื่นบอก อันนี้มัน มันก็เป็นไอ้ความไม่รู้ชนิดหนึ่งเหมือนกัน อยากแต่จะให้คนอื่นบอก อยากแต่จะอ่าน อยากแต่จะฟัง ไม่ศึกษาจากของจริง ถ้าเราอยากจะรู้เรื่องความทุกข์ก็ศึกษาจากความทุกข์ที่มันมีอยู่ในใจจริงๆ มัวแต่อ่านหนังสือเรื่องความทุกข์มันก็ยังไม่รู้จักความทุกข์ได้ถึงที่สุด ถ้าเราอยากจะรู้จักกิเลสก็ศึกษาลงไปที่กิเลสเมื่อมันมีกิเลส ที่นี้คนมันโง่ มีกิเลสเกิดมันก็ไม่รู้ว่ากิเลสเกิดมันก็ไม่ได้ศึกษา แล้วมันก็ใช้กิเลสนั่นแหละเล่นละครให้ ให้เป็นตัวละคร ให้เป็นผู้ใช้กิเลส เป็นผู้มีกิเลส มีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่โดยไม่รู้ตัวว่ามีความโลภ ความโกรธ ความหลง อย่างนี้แล้วจะไปรู้จักกิเลสได้อย่างไร มันจึงมีกิเลสกันอยู่อย่างที่ไม่รู้ว่ามันเป็นกิเลส ทุกคนก็เคยเป็นอย่างนี้ อาตมาก็เคยเป็นอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้มันชักจะรู้ แล้วมันก็ขลาด มันก็กลัวต่อกิเลส กลัวต่อความมีกิเลส เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้น คือระวังการเกิดแห่งกิเลส ก็เพราะว่ากลัวความทุกข์ เพราะกิเลสนำความทุกข์มาให้ กิเลสทั้งหลายก็มาจากอวิชชาหรือมิจฉาทิฏฐิ เราต้องกำจัดมันด้วยสิ่งที่ตรงกันข้ามคือสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ยินคำว่าสัมมาทิฏฐิก็รู้ว่ามันตรงกันข้ามกับมิจฉาทิฏฐิ โดยมากเรามีอะไรอยู่เป็นประจำหรือว่าเมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เราวินิฉัยสิ่งนั้นด้วยสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ เรามีเงินมีทอง มีข้าวมีของ มีอะไรต่างๆด้วยมิจฉาทิฏฐิหรือว่าด้วยสัมมาทิฏฐิ ถ้าเรามีด้วยมิจฉาทิฏฐิเราก็จะต้องยึดมั่นเงินทอง ข้าวของ ทรัพย์สมบัติ บุตร ภรรยา สามี ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็ต้องเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น มีเงินก็เป็นทุกข์เพราะเงิน มีนาก็เป็นทุกข์เพราะนา มีสวนก็เป็นทุกข์เพราะสวน มีบุตรก็เป็นทุกข์เพราะบุตร มีภรรยาก็เป็นทุกข์เพราะภรรยาเหล่านี้เป็นต้น มีอะไรก็เป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น เพราะว่าเรามีมันด้วยมิจฉาทิฏฐิ แม้ว่าเรามีมันด้วยสัมมาทิฏฐิ มันเป็นแสงสว่าง มันรู้ตามที่เป็นจริง มันไม่ยึดมั่นถือมั่น จะใช้จะกิน จะทำ จะเกี่ยวข้องอย่างไรก็ทำไปด้วยสัมมาทิฏฐิไม่ยึดมั่นถือมั่น มันก็ไม่เป็นทุกข์ หามาก็ไม่เป็นทุกข์ มีไว้ก็ไม่เป็นทุกข์ บริโภคใช้สอยก็ไม่เป็นทุกข์ มันจะสูญหายไปก็ไม่เป็นทุกข์ ก็แปลว่าไม่เป็นทุกข์โดยประการทั้งปวงเพราะอำนาจของสัมมาทิฏฐิ เมื่อท่านทั้งหลายเห็นประโยชน์ของสัมมาทิฏฐิเพียง พอแล้ว เราก็จะได้พูดกันถึงเรื่องสัมมาทิฏฐิคือเอามาใช้ให้ได้ เอามาให้เป็นประโยชน์ให้ได้ สัมมาทิฏฐิแปลว่าความเห็นอย่างถูกต้อง ก็หมายถึงความเข้าใจอย่างถูกต้อง ความเชื่ออย่างถูกต้อง ความรู้อย่างถูกต้อง ความมีหลักมีอุดมคติอะไรก็ถูกต้องนี่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ เราจะคอยระมัดระวังให้มีสัมมาทิฏฐิอยู่ตลอดเวลาอยู่ตามปรกติธรรมดาก็อยู่โดยสัมมาทิฏฐิ เพราะอะไรจะเกิดขึ้นมาจะจูงไปหามิจฉาทิฎฐิก็มีสติควบคุมไว้ได้ ไม่ให้อารมณ์หรือเหตุการณ์นั้นๆจูงไปหามิจฉาทิฏฐิได้ ตัวอย่างเช่น เราไปคบหาสนทนากับคนมิจฉาทิฏฐิ ถ้าเราระวังไม่ดีมันก็จะจูงเราไปเป็นมิจฉาทิฏฐิไปประพฤติชั่วไปทำชั่ว อย่างที่เป็นมากแก่ลูกเด็กๆ ที่ไปประพฤติชั่วไปทำชั่วจนเกิดเป็นปัญหาเรื่องยาเสพติด เรื่องอันธพาล เรื่องอะไรต่างๆนานา เพราะว่าเขาไม่สามารถจะควบคุมจิตใจของเขาให้มีสัมมาทิฏฐิอยู่ได้ ในเมื่อเขาไปสมาคมกับพวกที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะฉะนั้นเพื่อช่วยรักษาสัมมาทิฏฐิไว้ ท่านจึงสอนให้หลีกเลี่ยงก่อน ข้อแรกให้หลีกเลี่ยงเสียก่อนอย่าเข้าไปใกล้พวกมิจฉาทิฏฐิ ทีนี้ถ้ามันจำเป็น จำเป็นจะต้องเข้าไปใกล้ มันมีเหตุการณ์บังคับให้เราต้องเกี่ยวข้อง ทำการงานเกี่ยวกับพวกนี้เราก็ระวังให้ดี อย่าให้เขาจูงจมูกเราไปได้ ที่นี้ที่มันลำบากมากก็คือว่ามันเกิดขึ้นภายในใจ เมื่อสิ่งนี้มันเกิดขึ้นในความรู้สึก เช่นความเอร็ดอร่อยเกิดขึ้นที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อะไรก็ตาม ถ้าเราปล่อยไปตามธรรมดาไม่มีความรู้เพียงพอ มันก็หลงใหลในความอร่อยยึดถือในความอร่อยไปในรูปแบบหนึ่ง ถ้ามันไม่อร่อย เราก็ยึดถือไปในอีกรูปแบบหนึ่ง แล้วมันก็เป็นทุกข์เท่ากัน ยินดี พอใจมันก็เป็นทุกข์ไปแบบหนึ่ง ไม่ยินดี ไม่พอใจ ยินร้าย มันก็เป็นทุกข์ไปอีกแบบหนึ่ง จะไม่เป็นทุกข์ได้ก็เมื่อ ก็ต่อเมื่อทำใจปรกติ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย คือรักษาสัมมาทิฎฐิเอาไว้ได้ ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอันบุคคลไม่ควรยึดมั่นถือมั่นเท่านั้นเอง ฉะนั้นจงหัดฝึกฝน ฝึกหัดในการที่จะกระทบกับอารมณ์ คนเรามีการกระทบกับอารมณ์ทางตาเห็นบ้าง ทางหูได้ยินบ้าง ทางจมูกได้กลิ่นบ้าง ทางลิ้นได้สัมผัสรับรสบ้าง ทางผิวหนังที่เบียดถูกันบ้าง ทางจิตที่คิดนึกขึ้นมาเองบ้าง มันมีตั้งหกทางที่จะกระทบกันกับอารมณ์ ถ้าอารมณ์มันรุนแรงก็เป็นการยากลำบากที่จะไม่ให้ครอบงำจิตใจเป็นไปในทางโง่ ทางหลง เช่นความอร่อย มันก็ดึงไปในทางที่ให้หลงใหลในความอร่อย ความไม่อร่อยมันก็ดึงไปในทางที่ให้หลงเป็นเรื่องโกรธ เรื่องโกรธเคือง เรื่องขัดใจ เรื่องเกลียดชัง นี่เราจึงมีเรื่องพอใจ เรื่องไม่พอใจ เรื่องรัก เรื่องเกลียด เรื่องโกรธ เรื่องกลัว เรื่องอะไรต่างๆ เพราะที่ เพราะความที่ยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง นี่มันอาศัยความรู้ที่เพียงพอ ได้ฟังได้ยินธรรมของพระพุทธเจ้าเพียงพอ แล้วก็มีสติเพียงพอ มีสัมปชัญญะเพียงพอ เราจะต้องฝึกฝนปัญญา ความรู้ให้ถูกต้องไว้นี้เรียกว่ามีปัญญาเพียงพอว่ามันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้อย่างนี้เป็นต้นเรียกว่ามีปัญญาเพียงพอ และต้องฝึกฝนให้มีสติเพียงพอ คือระลึกได้เร็วทันทีให้ปัญญาวิ่งมาทันที ถ้าปัญญาอยู่เฉยๆหรือไม่มาทันที เราก็หลงรักหลงโกรธหลงเกลียดเสียแล้วทั้งที่เรามีปัญญาอยู่ว่าไม่ จะไม่หลงรักหลงเกลียดสิ่งใดๆ แต่ปัญญามันไม่มาช่วย เพราะว่าสติมันไม่พอ ดังนั้นเราจึงต้องฝึกสติให้เร็วและให้พอด้วย เขาเรียกว่ามีทั้งสติทั้งปัญญา สติเอาความรู้หรือปัญญามา แล้วก็รักษาความรู้หรือปัญญานี้ให้มีอยู่ตลอดเวลาเรียกว่าสัมปชัญญะ เราต้องมีสติสัมปชัญญะมันเป็นของที่คู่กัน ถ้ามันมีสติอยู่ก็เรียกว่ามันมีสัมปชัญญะแหละแน่นอน สตินี่คือเอามาทันเวลา สัมปชัญญะนี่รักษาให้คงอยู่ ความ ความจริงอย่างไร ความผิดความถูกอย่างไรสติระลึกได้เรียกว่าสติ รักษาไอ้ความระลึกนี้ไว้ได้ก็เรียกว่าสัมปชัญญะก็คือมีปัญญาอยู่ตลอดเวลานั่นเอง ปัญญามาทันแก่เวลาด้วยและรักษาไว้ได้ด้วย ฉะนั้นปัญญาก็คุ้มครองไม่ให้เราโง่ไปยึดมั่นถือมั่น เมื่อรู้สึกต่อสิ่งที่อร่อย พอใจ ก็ไม่โง่ไปยึดมั่นถือมั่นในฐานะเป็นสิ่งเอร็ดอร่อยและพอใจ เมื่อได้รับสิ่งที่ไม่เอร็ดอร่อย ไม่พอใจ ก็ไม่โง่ไปหลงยึดมั่นถือมั่น ว่าไม่อร่อยไม่พอใจจนเกิดความขัดใจ เกิดความโกรธ ความเกลียดเป็นต้น นี่เรียกว่าไม่หวั่นไหว ไม่ขึ้นไม่ลง ไม่ฟูไม่แฟบ ไอ้เรื่องขึ้นเรื่องฟูนั้นมันก็เป็นความพอใจเพราะหลงรัก ไอ้เรื่องลงเรื่องแฟบนั้นน่ะเป็นเรื่องไม่พอใจ หรือว่าเกลียด นั่นน่ะคือเรื่องที่จะทำให้มนุษย์เลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน อาตมาสังเกตเห็นว่าสัตว์เดรัจฉานกินอะไรอร่อยมันก็เท่านั้นเอง ไม่อร่อยมันก็เท่านั้นเอง หิวมันก็กิน ไม่หิวมันก็ไม่กิน จะให้ดีให้อร่อยอย่างไร ไม่หิวมันก็ไม่กิน อิ่มแล้วมันก็ไม่กิน ไม่เหมือนกับคนที่อิ่มแล้วมันก็ยังอยากจะกินที่เอร็ดอร่อยอยู่นั่นแหละ มันจึงลงทุนทำให้กินได้อีกจนมันเกินแหละ นี่คนมันแพ้แก่สัตว์เดรัจฉานเพราะมีสติปัญญาช่วยให้กิเลส สติปัญญาชนิดนี้มันช่วยกิเลส ฟังดูแล้วก็น่าหัวว่ามนุษย์นี่มีสติปัญญาสำหรับช่วยกิเลส แต่สัตว์เดรัจฉานมันไม่มี สัตว์เดรัจฉานไม่มีปัญญาชนิดที่ช่วยกิเลสให้งอกงาม ให้เบิกบาน หรือให้ทำหน้าที่ใหญ่หลวงในขณะนั้น จะเรียกว่าสัตว์เดรัจฉานมีสัมมาทิฎฐิก็ไม่ถูก มันไม่ได้ ไม่ได้มีสัมมาทิฎฐิอะไร มันเป็นไปตามธรรมชาติธรรมดา ไอ้เรานี่มันดีเกินธรรมชาติธรรมดา มีสติปัญญาแล้วคุมไว้ไม่ได้มันกลายเป็นมิจฉาทิฎฐิ สัตว์เดรัจฉานไม่ต้องมีมิจฉาทิฎฐิ ไม่ต้องมีสัมมาทิฎฐิอะไร มันไปตามธรรมชาติ หิวมันก็หากิน อิ่มแล้วมันก็นอน ไอ้คนเรามันไม่อย่างนั้น มันคิดไปมากมันจึงเกิดการสะสมขึ้นมาในหมู่มนุษย์ซึ่งไม่มีอยู่ในหมู่สัตว์เดรัจฉาน นี่ปัญหามันต่างกันอย่างนี้ มนุษย์รู้จักสะสมด้วยความยึดมั่นถือมั่น สัตว์เดรัจฉานมันทำไม่เป็น นี่ขอให้สนใจเรื่องนี้กันบ้างว่ามนุษย์นี่มีสติปัญญา และก็อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นบุญเป็นกุศล มันเป็นบาปก็ได้ สติปัญญาชนิดนี้มันสร้างบาป คือมันทำให้เกิน มันทำให้อยากได้เกิน แสวงหาเกิน กินเกิน เพราะมันมีสติปัญญาชนิดนี้ สติปัญญาชนิดนี้มันเป็นฝ่ายมิจฉาทิฎฐิ ไม่ควรจะเรียกว่าสติปัญญา ควรจะเรียกว่ามิจฉาทิฎฐิ มิจฉาปัญญา มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ รวมความว่าเราจะต้องรู้จักป้องกันมิจฉาทิฎฐิโดยศึกษาให้เข้าใจว่าอย่างไรผิดอย่างไรถูกและต่อมาเราต้องมีสติให้รวดเร็ว ให้เอาสัมมาทิฎฐิหรือปัญญานั้นมาใช้ให้ทันท่วงที เมื่อกระทบกับอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจให้มันคุ้มครองอยู่ได้ แล้วก็ให้ทำจนคล่องแคล่ว เคยชินเป็นนิสัยเป็นเรื่องของสัมมาทิฎฐิเสมอไป เดี๋ยวนี้เราลองสังเกตดูเถิดว่าเรารู้อยู่แท้ๆแต่ก็ทำไม่ได้ ทำไม่ทัน ทำไม่ทันแก่เวลากลายเป็นผิดเป็นพลาด เป็นความทุกข์มานั่งร้องไห้น้ำตาเช็ดหัวเข่าอยู่แล้ว จึงจะระลึกได้ หรือระลึกไม่ได้ก็ ก็ยังมี มีความทุกข์มานั่งร้องไห้อยู่แล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าเพราะเหตุอะไร ไม่รู้ว่าเพราะเผลออะไร เพราะขาดสติในส่วนไหน ถ้าว่ามีความตั้งใจที่จะฝึกสติกันบ้างก็จะเป็นการดี อาตมายังอยากจะพูดหรือยืนยันว่ามีเวลาเมื่อไหร่ก็ฝึกสติกันบ้างเถิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เรียกว่าอานาปานสตินั่นแหละ พยายามฝึกกันบ้างเถิด มันก็จะมีทั้งปัญญา มีทั้งสติ เพราะว่าในระบบอานาปานสตินั้นพระพุทธเจ้าท่านได้จัดไว้ดีที่สุด คือเป็นไปทั้งเพื่อสติ เป็นไปเพื่อสมาธิ เป็นไปเพื่อปัญญา เป็นไปเพื่อสัมมาทิฎฐิ เป็นไปเพื่อรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งปวงที่เป็นภายใน คือเรื่องจิต เรื่องกิเลส เรื่องความทุกข์ เรื่องความสุขที่เป็นภายใน ฉะนั้นควรจะสนใจศึกษาและก็ปฏิบัติตามที่จะปฏิบัติได้ตามโอกาสตามเวลา อย่าไปกลัวว่ามันจะเป็นบ้าเพราะฝึกสติหรือฝึกสมาธิ ที่มันเป็นบ้านั้นเพราะคนมันจะบ้าอยู่แล้ว มันอยากดีอยากเด่น อยากเอาเปรียบคนอื่น อยากมีฤทธิ์มีเดชแล้วจึงไปฝึกจิต อย่างนี้คนมันจะบ้าอยู่แล้ว พอไปฝึกเข้ามันก็บ้าจริงๆ ทีนี้เรามันยังซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อธรรมะ ไม่ต้องการฤทธิ์เดชชนิดนั้น ไม่ต้องการจะมีประโยชน์ชนิดนั้น ต้องการแต่ความสงบ ต้องการแต่ความรู้แจ้งเห็นจริงก็ทำไปเถอะ มันมันยังไม่สำเร็จก็ไม่สำเร็จ มันยังไม่เห็นจริงก็ยังไม่เห็นจริง มันยังไม่สงบก็มันยังไม่สงบ ไม่เป็นบ้า ไม่ต้องเป็นบ้า ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นบ้า แล้วก็พยายามต่อไป พยายามเรื่อยไปมันก็จะดีขึ้น ดีขึ้น อยากจะบอกว่ามันเหมือนกับฝึกขี่รถจักรยาน ต้องให้มันล้ม ล้มแล้วมันสอนให้ แล้วมันก็ไม่ล้ม คนที่ขี่รถจักรยานเป็นก็จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ ว่าเห็นอยู่แท้ๆว่าจับอย่างนั้นถีบอย่างนี้ แล้วพอพอทำเข้ามันก็ล้ม แล้วก็ไอ้ความล้มนี่มันจะสอนให้ ไอ้รถจักรยานนั่นแหละจะเป็นครูสอนให้เอง ไอ้ความล้มหัวเข่าถลอกปอกเปิดเจ็บปวดนั่นน่ะมันจะสอนให้เอง พยายามสิบครั้ง ยี่สิบครั้ง สามสิบครั้งมันก็ค่อยๆขี่ได้ และขี่ได้ดีที่สุดไม่มีอันตราย แล้วมันสำเร็จอยู่ที่สอนให้เอง มันสอนให้เอง อย่าไปหวังให้คนอื่นสอนนัก มันไม่ ไม่ ไม่เป็นไปได้ แล้วถ้าอาจารย์เกิดทุจริตขึ้นมา มันก็ทำนาบนหลังลูกศิษย์อย่างนี้ก็ยิ่งเสียหายใหญ่ อย่าว่าแต่เฉพาะเรื่องขี่รถจักรยานเลย อาตมารู้สึกว่าแม้แต่จะพายเรือซึ่งมันง่ายกว่ารถจักรยาน หัดพายเรือทีแรกมันก็หันไปหันมาอย่างน่าโมโห แล้วทำไมเราจึงพายเรือได้ แจวเรือได้ ใครมันสอนได้ มันไม่มีใครสอนได้ ไอ้เรือน่ะมันสอนให้แจวพายมันสอนให้เอง ฉะนั้นเรื่องจะทำสมาธิ ทำสตินี้ธรรมชาติมันจะสอนให้เอง ฉะนั้นพอมีเวลาเมื่อไหร่ก็ลองทำสติดู กำหนดลมหายใจดู เมื่อมันไม่ได้ก็อย่าเพิ่งยอมแพ้ก็ทำมันอีก ไม่ได้อีกก็ไม่ยอมแพ้ก็ทำมันอีกมันก็จะค่อยๆได้ เหมือนกับหัดขี่รถจักรยานหรือหัดพายเรือแจวเรือ มันก็ค่อยๆได้ค่อยๆได้โดยที่มันสอนให้เองในตัว ฉะนั้นเมื่อไหร่เป็นวันพระ เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันที่มีโอกาสว่างๆ ก็ลองพยายามฝึกอานาปานสติ ฝึกทั้งสติ ฝึกทั้งสมาธิ ฝึกทั้งปัญญา ฝึกทั้งสัมมาทิฏฐิอยู่ในระบบของอานาปานสตินั่นเอง เป็นหนังสือไม่มากมายอะไรเอามาศึกษาดูเข้าใจได้แล้วก็ฝึก แล้วมันก็จะสำเร็จเมื่อฝึกอยู่เสมอจนได้สักวันหนึ่ง มันก็ไม่ยากลำบากอะไรหรอกเห็นคนเขาขี่รถจักรยาน ก็เห็นเขาจับอย่างนั้น เห็นเขาถีบอย่างนั้น เราก็เข้าใจได้แล้วว่าจับอย่างนั้นถีบอย่างนั้น มันเหลืออยู่แต่ว่าไปทำเข้าแล้วมันล้ม ที่นี้เราก็ฝึกไปจนมันไม่ล้ม เพราะมันสอนให้เอง นี่อาตมากล้าท้าทายว่าจงฝึกจิตเถิดแล้วจิตมันจะสอนให้เอง ฝึกสมาธิเถิดสมาธิมันจะสอนให้เอง พอกำหนดลมหายใจมันทำไม่ได้ มัน มันล้มละลายไปเสีย เอ้า,ก็ทำมันอีก ก็ทำมันอีก ก็ทำมันอีก เหลือแต่ว่าทำมันอีก ทำมันอีก ไม่ยอมแพ้สักยี่สิบครั้งสามสิบครั้งห้าสิบครั้งก็ไม่ยอมแพ้มันก็ได้ แต่คนมันไม่จริงแล้วมันโง่ด้วย มันว่าไม่ได้เสียแล้ว พอทำเข้าครั้งแรกมันก็ไม่ได้เสียแล้วเหมือนกับคนโง่ พอเอารถจักรยานมาหัดขี่ครั้งแรกล้ม มันก็บอกยอมแพ้แล้ว มันไม่หัดอีกต่อไป มันก็ขี่รถจักรยานไม่ได้ มันยอมแพ้ตั้งแต่การล้มครั้งแรก คนฝึกสมาธิก็เหมือนกันถ้ายอมแพ้ตั้งแต่มัน จิตมันบังคับไม่ได้ครั้งแรกแล้วก็เลิกกัน มันก็ไม่ได้ แต่ถ้าไม่ยอม ไม่ยอมแพ้ทำเรื่อยๆไป มันก็ค่อยๆค่อยๆได้ แล้วมันก็สอนให้เองอย่างที่ว่า เมื่อฝึกได้มันก็จะมีมากทั้งสติ มีมากทั้งสัมปชัญญะ มีปัญญา มีสัมมาทิฏฐิ และก็มีอะไรอะไรอีกมากมายนั่นน่ะในการฝึกจิตถ้าสำเร็จแล้ว มันจะมีอื่นๆอีกมากมาย แต่ว่ามันอยู่นอกวงที่เราต้องการ เดี๋ยวนี้เราต้องการแต่ปัญญา สัมมาทิฏฐิ สติ และสัมปชัญญะเท่านั้น เพราะว่าถ้ามันมีเหล่านี้แล้ว ไอ้มีสองสามอย่างนี้แล้ว เราก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์แต่ละวันละวันได้ ในการที่จะสัมผัสกับอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ จะควบคุมได้ พูดนี้ก็เพื่อว่า ถ้าต้องการจะมีสัมมาทิฏฐิและใช้มันให้ได้ทันเวลาทันท่วงทีในวันหนึ่งวันหนึ่งที่เรามีอารมณ์มากระทบ แล้วก็จงฝึกเถิดให้มีสติมากพอ ให้มีสัมปชัญญะมากพอ ให้มีปัญญามากพอ ให้มีสัมมาทิฏฐิมากพอ ส่วนอื่นๆนั้นมันก็มีศรัทธาเพิ่มขึ้น มีวิริยะเพิ่มขึ้น มีธรรมะอย่างอื่นเพิ่มขึ้นในการฝึกนั้น แต่เดี๋ยวนี้จะระบุเอาสัมมาทิฏฐิ พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พิจารณาเห็นความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ทุกเรื่องมันเกี่ยวอยู่กับลมหายใจ เกี่ยวกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น เมื่อมีการฝึกลมหายใจมันเป็นเรื่องให้เห็นชัดในภายใน สอนอยู่ด้วยของจริงในภายใน ไม่สำเร็จเพียงแต่ว่าอ่านหนังสือ อ่านหนังสือนั้นเพียงแต่รู้วิธีที่จะไปทำ เหมือนเห็นเขาขี่รถจักรยาน ก็เข้าใจว่าจับตรงนั้นถีบตรงนั้นมัน มันเพียงเท่านั้น พอไปทำเข้าจริงมันล้ม ก็ต้องฝึกต่อไปจนจะขี่มันได้ ขี่รถจักรยานจิตมันต้องยากกว่ารถจักรยานสองล้อธรรมดา ไอ้รถจักรยานจิตนี่มันล้มง่ายกว่านั้น มันรวดเร็ว มันว่องไว มันบังคับยาก ฉะนั้นเราก็ต้องเพิ่มความพยายาม ความเอาจริงให้มันมากขึ้นกว่าที่จะหัดแจวเรือ พายเรือหรือขี่รถจักรยานตามธรรมดา ไม่เหลือวิสัย พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัสสิ่งที่เหลือวิสัย ท่านตรัสสิ่งที่อยู่ในวิสัยที่คนธรรมดาสามัญพึงจะทำได้ แต่ขอแต่อย่าให้มันโง่เกินไป มันมีบาปหนาเกินไปจนทำอะไรไม่ได้ นั่นมันไม่ดีแก่เรา เราไม่ได้อยู่ในจำพวกนั้น เราเป็นคนธรรมดาที่จะฝึกฝนอบรมได้ ฉะนั้นเราควรจะฝึกฝนอบรมสัมมาทิฏฐิได้ เราอาจจะมีสติคอยเฝ้าสังเกตดูความเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเป็นสัมมาทิฏฐิ ความผิดอย่างไร ความถูกอย่างไร ดีชั่วอย่างไรบุญบาปอย่างไร กิเลสอย่างไร คอยดูอยู่เสมอให้เข้าใจและเป็นสัมมาทิฏฐิขึ้นมา ในที่สุดก็จะสูงขึ้นจนเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนเห็นตถตา อวิตถตา เป็นต้น นี่แสดงผลสุดท้ายว่าเราเห็นถึงที่สุดเราก็จะเห็นว่า อ้าว,มันเช่นนั้นเอง ถ้าใครเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงถูกต้องตามที่เป็นจริงแล้ว จะเห็นในทางที่เห็นว่า อ้าว,มันเช่นนั้นเอง มันเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยเช่นนี้เอง แล้วมันจะมีตัวมีตนได้อย่างไร มันไม่มีตัวไม่มีตนแล้วเราจะไปยึดถือมันได้อย่างไร จะไปยึดถือให้สำหรับให้ดีให้ชั่วได้อย่างไร มันก็เรามันโง่เอง จะยึดถือให้ได้ตามใจเราอย่างไร เราก็มันก็โง่เอง มันยึดถือไม่ได้ เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง เราหากต้องจัดการกับเช่นนั้นเองให้ถูกต้อง เราต้องการผลอย่างไรเราต้องจัดการกับเช่นนั้นเองให้ถูกต้อง ถ้าทำอย่างนี้มันได้เงิน ก็ทำจนได้เงินแต่ไม่ต้องยึดถือให้เป็นทุกข์ ทำอย่างนี้จะมีบ้านมีเรือนก็ทำให้มีบ้านมีเรือน ถูกทำเรื่องเช่นนั้นเองแล้วก็ไม่ต้องยึดถือให้เป็นทุกข์ ต้องมี ต้องการจะมีบุตรภรรยาสามีก็ทำให้มันถูกเรื่องก็เช่นนั้นเอง แล้วก็มีแล้วก็อย่ายึดถือให้มันเป็นทุกข์ นี่เรียกว่าเห็นตถตา แปลว่าความเป็นเช่นนั้นเอง ทุกอย่างมีความเป็นเช่นนั้นเอง ที่เป็นทุกข์มันก็มีความเป็นเช่นนั้นเองของความทุกข์ ถ้าเป็นเรื่องของความทุกข์มันก็ต้องมีเช่นนั้นเองของความทุกข์ ไปทำเข้ามันก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่ใช่ความทุกข์ มันดับทุกข์ไปทำเข้ามันก็ดับทุกข์ เสร็จแล้วอย่าลืมว่ามันเช่นนั้นเอง อย่าไปยึดถือว่ามันได้อย่างใจ อย่าไปยึดถือความเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีอะไรที่จะยึดถือ ไม่ควรจะยึดถือ แม้แต่พระนิพพาน พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดว่า ไม่ควรยึดถือว่านิพพานโดยความเป็นนิพพาน ไม่ยึดถือว่านิพพานเป็นของเรา ไม่ยึดถือแม้ที่สุดแต่สิ่งสูงสุดคือพระนิพพาน พระนิพพานก็เป็นเช่นนั้นเองของพระนิพพาน อะไรอะไรมันก็เป็นเช่นนั้นเองของสิ่งนั้นๆ สิ่งทั้งปวงเป็นสังขารมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ก็เช่นนั้นเองไปตามอำนาจของปัจจัยปรุงแต่ง พระนิพพานเป็นวิสังขารไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง มันก็เป็นเช่นนั้นเองไปตามแบบของพระนิพพาน แต่แล้วมันก็ยึดถือเป็นตัวเราเป็นของเราไม่ได้ เพราะมันมีความเป็นเช่นนั้นเอง นี่สัมมาทิฏฐิสูงสุดมันอยู่ที่เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วมันไม่ยึดถืออะไร ที่นี้เราไปสอบสวนตัวเราเองดูว่าเรากำลังหลงอะไร ยึดถืออะไร เป็นทุกข์เพราะเหตุใด เราก็จะพบว่าเราไม่เห็นเช่นนั้นเองของสิ่งนั้นๆ คือของสิ่งที่เราเข้าไปยึดถือนั่นแหละ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม เราไปยึดถือมันเข้าแล้วมันก็ได้เป็นทุกข์ ไม่ปล่อยมันเป็นเช่นนั้นเองแล้วเราก็เฉยๆอยู่ แล้วเราต้องการให้มันเป็นอย่างไร เราก็ทำให้มันถูกกับเรื่องเช่นนั้นเองของความเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงทำอะไรได้ตามที่ควรจะทำแล้วไม่ต้องเป็นทุกข์ เราจะมีอะไรได้ตามที่เราควรจะมีแล้วก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ จะกินจะใช้จะสอยจะอะไรต่างๆได้ตามที่ควรจะทำควรจะมีแล้วก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้าทำอยู่อย่างนี้จิตใจมันก็ก้าวหน้าในทางของธรรมะ เป็นไปเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะว่ามองเห็นความเป็นเช่นนั้นเองแล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยมิจฉาทิฏฐิ เรียกว่ามันมีแต่ความถูกต้องไปตามทำนองของอริยมรรคมีองค์แปดซึ่งมีสัมมาทิฏฐิเป็นตัวนำ มีสัมมาทิฏฐิแล้วมันก็นำทุกๆองค์เข้ามา มีสัมมาทิฏฐิแล้วก็มีสัมมาสังกัปโป สัมมาวาจากัมมันโตครบถ้วนในที่สุด เพราะฉะนั้นจงปลูกฝังสัมมาทิฎฐิให้สัมมาทิฎฐิเจริญงอกงาม แล้วมันก็จะดึงเอาความถูกต้องทุกอย่างมาครบถ้วนแล้วก็งอกงามไปด้วยกัน ให้ธรรมะทุกข้อมันงอกงามไปด้วยกันด้วยอำนาจของสัมมาทิฎฐิ เรื่องก็มีเท่านี้ที่ต้องการจะพูดว่าสัมมาทิฏฐินั่นมัน มัน มันสูงสุดไปตามลำดับ แล้วก็ไปสูงสุดอยู่ที่เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งทั้งปวง เดี๋ยวนี้ก็มีอายุมากแล้ว หลายสิบปีแล้ว ผ่านโลกมาหลายสิบปีแล้ว ควรจะเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของบ้านเรือน ของบุตรภรรยาสามี ของลูกของหลาน ของชีวิต ของความสุข ของความทุกข์ ที่มันเกิดแล้วเกิดอีก เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที มองดูย้อนหลังให้เห็นความเป็นเช่นนั้นเองที่เราเคยโง่เคยหลงว่าเป็นตัวเป็นตนของเรา ตามใจเรา เราจะเอาให้ได้ตามที่เราต้องการนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ เดี๋ยวนี้ไปดูเสียใหม่ให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ในสิ่งที่เราเคยหลงเป็นมิจฉาทิฏฐิ ว่ามันไม่มีอะไรที่มันจะไม่เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน ให้เห็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเองกันเสียใหม่ เห็นย้อนหลังด้วย เห็นเช่นนั้นเองย้อนหลังด้วย เห็นเดี๋ยวนี้ด้วย แล้วก็เห็นต่อไปในอนาคตด้วย เห็นความเป็นเช่นนั้นเองให้ทันแก่เวลาไว้เสมอ แล้วก็จะไม่ต้องเป็นทุกข์ คือไม่ต้องดีใจหัวเราะอยู่ ไม่ต้องเสียใจร้องไห้อยู่ แต่มันอยู่ตรงกลางๆ เป็นปรกติอยู่ เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนาที่พระองค์ได้ทรงเปิดเผยแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ในวันเช่นวันนี้ ที่เราสมมติเรียกกันว่าวันอาสาฬหปุรณมี วันพระจันทร์เต็มดวงในเดือนอาสาฬหะ แล้วเราก็พากันมาประกอบพิธีอาสาฬหบูชาที่นี่ อย่างที่ได้กระทำไปแล้ว นี่ก็เพื่อมีสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นองค์แห่งมัชฌิมาปฏิปทาและดับทุกข์ได้โดยประการทั้งปวง เรามามองเห็นชัดว่าวันนี้เป็นวันที่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านเปิดพระธรรม เปิดโลกของพระธรรมให้เราเห็นว่ามัชฌิมาปฏิปทาเป็นการเป็นอยู่ ดำรงชีวิตอยู่โดยไม่มีความทุกข์ มัชฌิมาปฏิปทานั้นต้องเอาสัมมาทิฏฐิเป็นตัวนำ เป็นตัวหัวหน้า เราก็ศึกษาอบรมสัมมาทิฏฐิจนถึงที่สุดมองเห็นว่าสิ่งทั้งปวงเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เป็นเช่นนั้นเองอย่าไปยึดถือให้เกิดความทุกข์เลย ทำให้สำเร็จประโยชน์ตามที่เราต้องการได้โดยไม่ต้องมีความทุกข์เลย มองให้เห็นชัดลงไปอย่างนี้ว่าเราทำให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้ในทางที่ถูกที่ควร แล้วก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เลย เราอยากจะมีชีวิตอยู่ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องเป็นทุกข์เลย เราก็ทำได้ เพราะมีหนทางมีวิธีอย่างนี้ดังที่พระพุทธเจ้าท่านได้โปรดประทานไว้ให้แล้วในวันเช่นวันนี้ เรา เราอุตส่าห์มาฉลองวันวันเช่นวันนี้กันทั้งปี แล้วทำไมจึงไม่รู้ว่ามันมีหรือมันควรจะทำได้ มันมันก็เป็นคนละเมอเพ้อฝันไปเท่านั้นเอง เรามาทำพิธีอาสาฬหบูชาก็ควรจะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านได้ประทานไว้ให้ในวันอาสาฬหบูชา คือข้อปฏิบัติอันเป็นมัชฌิมาปฏิปทา มีสิ่งที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิเป็นตัวหัวหน้า เป็นตัวนำทำให้มันเจริญถึงที่สุดจนมองเห็นว่าเช่นนั้นเอง ทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมันเช่นนั้นเอง เราต้องควบคุมไอ้เช่นนั้นเองนี้ไว้ให้ได้ อย่าให้ต้องเป็นทุกข์ขึ้นมา และให้อยู่ได้เป็นสุขอยู่ได้ เราควบคุมความลับของธรรมชาติไว้ได้ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง จบ เข้าใจไม่เข้าใจอาตมาก็ไม่อาจจะรับรอง รับรองแต่เพียงว่าพยายามพูดให้ฟังอย่างดีที่สุดเท่าที่จะพูดได้แล้ว ถ้าท่านทั้งหลายฟังไม่ถูก อาตมาก็เป่าปี่ให้ตัวเองฟัง ไม่ได้เป่าปี่ให้แรดที่ไหนมันฟัง มันไม่ ไม่ มันไม่มีประโยชน์อะไร เป่าปี่ให้ตัวเองฟังมันมีประโยชน์บ้าง ฉะนั้นถ้าใครไม่ได้รับประโยชน์จากการบรรยายนี้ อาตมาเองเป็นผู้ได้รับประโยชน์ เรื่องมันก็ไม่ขาดทุนแล้วก็ควรจะพอใจกันที คำอธิบายในเรื่องสัมมาทิฏฐิเกี่ยวกับมัชฌิมาปฏิปทามาจบอยู่ที่ตถตา คือความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งทั้งหลาย การบรรยายก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้