แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นภิกษุราชภัฏผู้จะต้องลาสิกขาทั้งหลาย การบรรยายของเราครบชุดไปแล้ว การพูดครั้งนี้เป็นการพูดที่จะขอเรียกว่า ปัจฉิมนิเทศ ในตอนแรกเราได้พูดถึงปฐมนิเทศ เดี๋ยวนี้เราพูดถึงปัจฉิมนิเทศ ปฐมนิเทศคือการชี้แจงในเบื้องต้น ปัจฉิมนิเทศก็คือการชี้แจงตอนสุดท้าย หมายความว่าผมจะกล่าวกับท่านทั้งหลายเป็นการสั่งเสียครั้งสุดท้าย ส่วนใหญ่ก็คือเตือนซ้ำให้ระลึกถึงเรื่องที่เราได้พูดกันมา
ข้อแรกก็อยากจะบอกว่า อย่าลืมว่าเราจะเรียกการพูดกันในครั้งนี้ว่า บรมมหาวิทยาลัย ชื่อนี้มันแปลกจนคนก็ต้องโห่ ทำไมต้องเรียกว่าบรมมหาวิทยาลัย เพราะว่าเราพูดสูงกว่าระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งพูดแต่เพียงเรื่องรู้หนังสือกับอาชีพ นั้นมันก็ยังเหมือนกับหางด้วนหรือยอดด้วน แล้วแต่ว่าจะมองกันในแง่ที่เป็นสุนัขหรือว่าเป็นพระเจดีย์ เดี๋ยวนี้เราพูดต่อขึ้นไปให้สมบูรณ์ คือให้ต่อหางสุนัขหรือว่าต่อยอดพระเจดีย์ แล้วแต่จะชอบเรียก นี่ผมเรียกไอ้การบรรยายชุดนี้ว่า ระบบว่า บรมมหาวิทยาลัยต่อหางสุนัข ๑๐ ชั่วโมง
อย่างหนึ่งขออย่าลืมการนั่งกลางดิน ที่บอกว่าเราทำนี้เพื่อเป็นที่ระลึกแก่พระพุทธเจ้าผู้ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน นิพพานกลางดิน เรามานั่งกลางดินด้วยความพอใจ และเป็นพุทธานุสติระลึกถึงพระพุทธองค์ ผู้ทรงประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน นิพพานกลางดิน ดังที่กล่าวแล้ว
ดังนั้นเมื่อกลับไปถึงกรุงเทพแล้ว สะดุดอะไรขึ้นมาในใจก็ขอให้รีบนึกถึงการนั่งกลางดินอย่างนี้ที่ตรงนี้ เอาจิตใจอย่างนี้กลับไปแก้ปัญหา นึกถึงสวนโมกข์แล้วก็นึกถึงการนั่งกลางดิน แล้วความรู้ทั้งหมดนี้มันก็จะวิ่งเข้าไปช่วยท่านทั้งหลาย ความรู้สึกอย่างนี้มันแก้ปัญหาได้ ขอให้ทำอย่างนี้เถิดจะได้รับประโยชน์แน่นอน
ทีนี้อยากจะพูดเลยไปถึงเรื่องการลาสิกขา ขอให้ถือว่าลาสิกขาออกไปคราวนี้ก็เป็นเรื่องตั้งต้นใหม่ คือจะไม่เอาไปปนกับเรื่องก่อนบวชซึ่งมันยุ่ง มันมีทั้งบวกมันมีทั้งลบมันมีผิดๆถูกๆ ไม่น่า ไม่น่าจะพอใจ ลบทิ้งเหมือนลบกระดานดำ ทีนี้ตั้งต้นกันใหม่ให้มีแต่บวกอย่าให้มีลบเลย คุณอย่าได้ทำผิดในเรื่องของชีวิตต่อไปอีกเลย ขอให้มีแต่การกระทำถูกและก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ เราก็ได้ใส่แต่คะแนนบวกไม่มีคะแนนลบ อย่ามีเรื่องคับอกคับใจ อึดอัดคัดแค้นแน่นหน้าอกอะไรทำนองนั้น
อย่าให้มีทุกข์ อย่าให้เกิดทุกข์ เพราะมันเป็นความโง่เขลาถ้าเราต้องเป็นทุกข์ เราจะมีแต่จิตใจที่เข้มแข็งไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้าว่ามันเป็นทุกข์ ก็เอาเรื่องเช่นนั้นเองที่พูดกันอย่างละเอียดไปเขี่ยให้ความทุกข์นั่นออกไปทิ้งเสีย ไอ้ทุกข์มันก็เช่นนั้นเอง แล้วก็หาเช่นนั้นเองที่ดีกว่านั้นมาเขี่ยทุกข์นั้นออกไปเสีย บอกตัวเองบ่อยๆว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทุกข์โว้ย เดี๋ยวนี้เราบวชแล้วโว้ย ลาสิกขาออกไปนั้นเป็นบัณฑิต
น่าหัวเราะ น่าสงสารที่เขาไปเรียกกันมันอย่างลวกๆประมาทว่าทิด ไอ้คำว่าทิดนี่ฟังดูมันครึคระ แล้วมันก็ใช้เป็นคำล้อเลียนด้วย ที่จริงมันก็มาจากคำว่าบัณฑิต(บัน-ทิด) ซึ่งมาจากคำว่าบัณฑิต แล้วก็อ่านตามหลักภาษาบาลีก็ต้องอ่านว่า"บัน-ฑิต" แต่เราอ่านกันตามภาษาไทยว่า"บัน-ทิด" แล้วบัณหายไปเหลือแต่ทิด ว่าทำอะไรงุ่มง่ามจนเขาใช้คำนี้ มีความหมายไปในทางพิทิด(นาทีที่ 7.54)พิธี ไอ้นกทึดทือเรียกว่าพิทิด(นาทีที่ 7.59)พิธี อย่างนี้ก็เสียหายหมด
ขอให้เป็นบัณฑิต บัณฑิตแปลว่าผู้มีปัญญาเครื่องรักษาตัว บัณ-ฑิ-ตะ ปัณฑาคือปัญญาเครื่องรักษาตัว อิตะแปลว่ามี บันฑิตะแปลว่าผู้มีปันฑา คือมีปัญญาเครื่องรักษาตัว ตอนนี้ก็ให้มีปัญญาเครื่องรักษาตัว ให้มันดีกว่า อย่าไปซ้ำรอยกับที่แล้วมา เพราะว่าเราได้ศึกษาเรื่องที่เขาเรียกกันว่า ไอ้โลกุตรธรรม คุณดูคำบรรยายทั้ง ๑๐ ครั้งเถิด มันมีลักษณะเป็นโลกุตรธรรม คือช่วยให้อยู่เหนือทุกข์และเหนือโลก แล้วคุณออกไปเป็นฆราวาสคุณต้องมีโลกุตรธรรม เพื่อช่วยให้ชนะโลก ถ้าไม่มีมันก็จมโลก มันก็เต็มไปด้วยความทุกข์ นี่เรามีความรู้ส่วนโลกุตรธรรมดึงไว้ไม่ให้จมลงไปในกองทุกข์
คนพวกหนึ่งเขาคัดค้าน คัดค้านผมโดยตรงว่าเอาเรื่องโลกุตรธรรมไปสอนชาวบ้าน มันคนละเรื่อง มันผิดฝาผิดตัว มันทำอย่างไม่ดูไม่แล เรื่องโลกุตรธรรมก็จะให้มี เรื่องโลกียธรรมก็จะให้มี เขาว่ามันมีพร้อมกันไม่ได้ ถ้ามีพร้อมกันทั้งโลกียธรรมและโลกุตรธรรม มันเหมือนกับว่ามันขนมปังแผ่นหนึ่งทาเนยทั้ง ๒ หน้า มันเลอะเทอะ ผมว่าไม่ใช่อย่างนั้น ขอให้ถือว่ามันเหมือนกับแซนด์วิชมากกว่า มันมีไส้อยู่ตรงกลางและด้านหนึ่งมันมีขนมปังชนิดหนึ่ง อีกด้านมันมีขนมปังอีกชนิดหนึ่งมาประกบกันเข้ามันคงอร่อยกว่ากระมัง เพราะมันมี ๒ ชนิด ครบทั้ง ๒ ชนิดแล้วมันจะปลอดภัยด้วย
นี่คุณทำให้ชีวิตของคุณมีธรรมะที่จะช่วยคุ้มครองป้องกันประคบประหงมอะไรทั้ง 2 ด้าน ด้านโลกียะก็มีธรรมะพอ ด้านโลกุตระก็มีธรรมะพอ นั่นละคุณจึงจะเป็นบัณฑิต คือผู้มีปัณฑาคือปัญญาเครื่องรักษาตัวรอด และต่อไปนี้เราก็จะมีแต่คะแนนบวก ไม่มีคะแนนลบ มิฉะนั้นแล้วมันก็จะต้องมีความทุกข์ เพราะอยู่ในโลกมันเต็มไปด้วยเรื่องที่จะทำให้เป็นทุกข์มันปัญหาอย่างโลกๆ ถ้าเราไม่มีความรู้ทางโลกุตรธรรมมันแก้ปัญหาไม่ได้ ผมก็พูดถึงไอ้เรื่องที่จะแก้ปัญหา ที่ให้ชีวิตนี้มันหมดปํญหา ก็คือไอ้ความรู้เรื่องตถตา เช่นนั้นเอง
ถ้ามันมีแล้วมันก็หมดปัญหาแก้ปัญหาทุกอย่างได้ เราก็ไม่ต้องมีความทุกข์ อย่าเป็นคนให้ละอายแมว ให้น่าละอายแมว อย่าเป็นคนให้ผีมันหัวเราะ เพราะถ้าคนทำอะไรผิด ผีมันก็หัวเราะ เป็นคนทั้งทียังโง่เหลือประมาณ ผีมันก็หัวเราะ นี่เราถือเหมือนกับคนต่างๆไอ้คนทั่วไปเขาถือ ผีมันมีอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่งต่างๆ คอยดูว่าคนทำอะไร ทำเคอะๆบ้าๆบอๆพวกผีก็ชวนกันหัวเราะ นึกไว้อย่างนี้สิแล้วจะไม่ทำอะไรให้ผิดให้ผีหัวเราะ ที่ว่าอย่าให้ละอายแมวนั้นก็ดูเหมือนจะพูดแล้ว หรือไม่ได้พูดก็ลืมไปแล้ว
ถ้าที่บ้านมีแมว ถ้าสึกออกไปอยู่บ้านที่มีแมว เอาแมวมาดูเถิดว่าแมวนี่ไม่เคยปวดหัว ไม่ต้องกินยาปวดหัวว่าแมวนี้ไม่เคยต้องกินยานอนหลับ แมวนี้ไม่ได้เป็นโรคประสาทเลย แมวนี้ไม่ได้เป็นโรคจิตเลย แมวนี้ไม่รู้จักการฆ่าตัวตายเลย ไม่เป็นอันธพาลให้ใครเดือดร้อนเหมือนคนเลย อย่างนี้ก็เรียกว่าคนมันอาย มันน่าละอายต่อแมว มันน่าละอายแมว น่าอายแมว อย่าเป็นคนให้อายแมวแล้วผีก็ไม่มีโอกาสจะหัวเราะเรา ไม่ต้องอายแมวไม่ต้องให้ผีหัวเราะเพราะมีธรรมะพอ ผมจะขอยืนยันไม่ใช่อวดดี ไอ้ธรรมะที่บรรยายไปแล้วนั่นมันพอที่จะป้องกันไม่ให้ต้องอายแมว และไม่ให้ผีหัวเราะได้ ถ้าหากว่าคุณจะได้ไปทบทวนดูทั้ง ๑๐ ครั้ง แล้วเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้จริงๆ
เป็นทุกข์เมื่อมันไม่ต้องเป็นทุกข์ก็ได้ ฟังดูให้ดี เมื่อเรื่องเหล่านี้โดยแท้จริงมันไม่ต้องเป็นทุกข์ก็ได้ เพราะมันมีทางที่จะทำให้ไม่เป็นทุกข์ หรือมีธรรมะสำหรับจะป้องกันไม่ให้เป็นทุกข์ ถ้าเราไปเป็นทุกข์เข้านี่มันโง่สักเท่าไรเล่า มันไม่ต้องเป็นทุกข์ก็ได้ ผมอยากจะพูดว่าชีวิตนี้ไม่ต้องเป็นทุกข์ก็ได้ จัดให้ดี แล้วไปปล่อยให้มันเป็นทุกข์ขึ้นมานี่มันโง่สักเท่าไร แล้วทำไมจะไม่น่าละอายแมวทำไมจะไม่ให้ผีหัวเราะเล่า
ขอให้ทบทวนหัวข้อธรรมะที่ได้บรรยายมาแล้วให้ดีๆ และเสมอๆ อยู่เสมอๆ ว่าคู่ชีวิตของคนนั้นคือธรรมะไม่ใช่เพศตรงกันข้าม นั้นมันเรื่องของชาวบ้าน คู่ชีวิตในภาษาคนเรื่องของชาวบ้านก็คือเพศตรงกันข้าม มันเป็นคู่สืบพันธุ์ มันเป็นคู่ทำมาหากิน มันเป็นคู่ปรับทุกข์ปรับสุข แล้วมันก็ไม่พ้นไปจากทุกข์ ชีวิตยังต้องเป็นทุกข์ แต่ถ้าเราเอาธรรมะอันถูกต้องแท้จริงเข้ามา มันก็ป้องกันได้ไม่ให้ชีวิตนี้เป็นทุกข์ นี่คู่ชีวิตนี้จริงกว่า มันเป็นคู่ชีวิตในทางธรรมในภาษาธรรม
ฉะนั้น อย่ามีคู่ชีวิตแต่ในเรื่องโลกเรื่องคนเรื่องภาษาคน มันจะต้องเป็นทุกข์ บางทีมันจะเพิ่มความทุกข์เข้าอีกเป็นสองเท่า แต่ถ้าเอาธรรมะเข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ เราบอกแฟนบอกคู่ของเราว่า ทั้งสองคนนี่ แต่ละคนนี่ต้องมีธรรมะเป็นคู่ชีวิตด้วยกัน แกก็มีธรรมะเป็นคู่ชีวิต ฉันก็มีธรรมะเป็นคู่ชีวิต แล้วก็อยู่ด้วยกันได้โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้าไม่มีธรรมะมาเป็นคู่ชีวิตแล้ว มันต้องกัดกันแหล่ะ คู่ชีวิตนั้นมันจะกัดกัน มันช่วยไม่ได้ ไอ้ที่ว่าคู่ชีวิตๆน่ะมันจะกลายเป็นคู่กัดกัน เอาธรรมะเข้ามาเป็นคู่ชีวิตทั้งสองฝ่าย ก็เลยอยู่กันเป็นสุขสวัสดี เพราะมีคู่ชีวิต
ทีนี้เรื่องทิศทั้ง ๖ ข้างหน้า ข้างหลัง ข้างซ้าย ข้างขวา ข้างบน ข้างล่าง เราประพฤติให้ถูกต้องต่อทิศเหล่านั้น ท่านใช้คำว่า ปิดกั้นเสียซึ่งทิศทั้งหลาย ไม่ให้เป็นทางมาแห่งความทุกข์ นี่ไปดูว่าไอ้ธรรมดาคนเราตามธรรมดานี่มันต้องมีทิศทั้ง ๖ มันเกี่ยวข้องกับทิศทั้ง ๖ หลีกไม่ได้ ถ้าเราทำกับทิศทั้ง ๖ ไม่ดี มันก็เป็นรูรั่ว ให้ปัญหาให้ความทุกข์ความยุ่งยากอะไรเข้ามา ท่านใช้คำว่าปิดเสียให้ดีทั้ง ๖ ทิศ ด้วยการปฏิบัติถูกต้องต่อทิศนั้นๆ นี่เรียกว่าทิศทั้ง ๖
ทีนี้นรกกับสวรรค์ นรกที่แท้จริงน่ะไม่ได้อยู่ใต้ดิน อยู่ในอกในใจของคนที่ทำผิด สวรรค์ก็ไม่ได้อยู่ข้างบนฟ้า มันอยู่ได้ในอกในใจของผู้ที่ทำถูก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า นรกสวรรค์ที่อายตนะน่ะฉันเห็นแล้ว คือมันอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ทำผิดหรือทำถูก ถ้าทำถูกก็เป็นสวรรค์ ทำผิดก็เป็นนรก ขอให้รู้จักนรกสวรรค์ให้ถูกต้อง หรือเพียงพอที่จะแก้ปัญหาต่างๆได้ รู้จักแต่นรกใต้ดินสวรรค์บนฟ้านั้นน่ะมันว่าตามๆเขา มันไม่ได้รู้จริง ไม่ได้เห็นจริง ไม่อาจจะเห็นจริงรู้จริง ไม่อาจจะสัมผัสจริง ว่ากันตามๆไปอย่างหลับหูหลับตา
แต่ถ้านรกที่เป็นไปทางอายตนะนี่มันรู้สึกจริง เป็นสันทิฏฐิโก รู้สึกได้ด้วยจิตใจของเราจริงว่ามันเป็นนรกจริง ร้อนเหลือประมาณ เมื่อทำผิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อทำถูกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็เป็นสวรรค์คือพอใจ เป็นสุขถึงขนาดยกมือไหว้ตัวเองได้ นั่นน่ะคือสวรรค์ที่แท้จริงควรจะรู้จักไว้ และก็ทำให้ได้
แต่ว่าวัตถุประสงค์ของความเป็นพุทธบริษัทนั้นไม่ได้อยู่ที่สวรรค์นะ เข้าใจให้ถูกต้องนะไม่ได้สูงสุดอยู่ที่สวรรค์นะ ต้องการไปเลยนั่นไปคือดับทุกข์สิ้นเชิง ไม่กลับเป็นทุกข์อีก ก็มุ่งหมายไปนิพพาน สวรรค์ที่คู่กับนรกน่ะมันจะสับเปลี่ยนกันอยู่เรื่อยๆ มันจะสลับกันอยู่เรื่อย สุขเกิดในลำดับแห่งทุกข์ ทุกข์เกิดในลำดับแห่งสุข นี่ท่านตรัสไว้อย่างนี้ มันจะสลับกันอยู่อย่างนี้ และสวรรค์เพียงเท่านี้คือสวรรค์ที่มันเปลี่ยนเป็นนรกได้นี่ไม่พอ ต้องขึ้นไปให้พ้นเหนือนั้น
ฉะนั้น เราจึงเพ่งเล็งถึงนิพพาน เย็นชนิดร้อนอีกไม่ได้ ให้มันเหนือสวรรค์ขึ้นไป เพราะถ้าสวรรค์อย่างที่เขาพูดกันว่าอยู่บนฟ้าแล้วก็มันคงจะร้อนยิ่งกว่าร้อน แต่มันเป็นไฟที่เปียกแฉะ ผู้ชายคนหนึ่งมีผู้หญิงบำเรอตั้งห้าร้อยหกร้อยตั้งพันตั้งหมื่นอย่างนี้ มันจะเย็นอย่างไรได้เล่า มันก็ต้องเป็นนิพพานที่ไม่ถูกรบกวนด้วยสิ่งเหล่านั้น ฉะนั้นเราก็นิพพานเย็น เย็นอกเย็นใจ ไม่มีอะไรทำให้ร้อน
ฉะนั้น นิพพานก็เหมือนกันอย่าไปถืออย่างที่เขาพูดว่า อีกแสนชาติหมื่นชาติ หมื่นชาติแสนชาติ ตายแล้วเกิดอีกหมื่นชาติแสนชาติจึงจะถึง นั้นนิพพานอย่างนั้นเขาก็พูดกันไปเถิด เราจะเอานิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ และเราก็มีชาติอีกชนิดหนึ่งตามแบบของเรา คือเกิดตัวกูครั้งหนึ่งเรียกว่าชาติหนึ่ง เกิดความรู้สึกเป็นตัวกูครั้งหนึ่งเรียกว่าชาติหนึ่ง เราก็มีชาติได้ตั้งหมื่นตั้งแสนได้เหมือนกันก่อนแต่ที่จะตายเข้าโลง นั้นเมื่อมันเกิดชาติทีหนึ่งเป็นทุกข์ทีหนึ่งก็รู้จักเข็ดหลาบ มันก็จะเข็ดหลาบเรื่อยไป ไม่กี่ชาติหรอกไม่ต้องรอถึงแสนชาติ มันก็เข็ดหลาบมันก็ไม่ปล่อยให้เกิดเป็นทุกข์เป็นร้อนอะไรขึ้นมา
เรียกว่าเย็น เป็นนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ หมายความว่าในชาตินี้ก่อนแต่เข้าโลง นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ ปู่ย่าตายายของเราเคยฉลาดว่า สวรรค์ในอกนรกในใจ นิพพานนั้นอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย คืออย่าให้เกิดเป็นตัวกูของกู อุปาทาน อันนี้ให้มันตายเสียก่อนแต่ร่างกายตาย กิเลสอุปาทานที่เรียกว่าตัวกูให้มันตายหมดก่อนแต่ร่างกายตาย เพราะฉะนั้นเราจึงมีความสุขอย่างนิพพาน เรื่อยไปอีกๆจนกว่าร่างกายนี้มันจะแตกดับ สมมติว่าไอ้ตัวกูของกูมันตายเสียได้เดี๋ยวนี้นะ แล้วทีนี้เราก็มีนิพพานตายเสียก่อนตาย ให้ไอ้ตัวกูตายก่อนร่างกายตาย แล้วก็อยู่ในนิพพานไปจนกว่าไอ้ร่างกายนี้จะตาย ก็ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา
ทีนี้ก็ดูให้ดีว่า ไอ้โพธิหรือกิเลสมันเป็นความรู้ด้วยกัน ถ้ามันเดินถูกทางก็เป็นโพธิ ถ้ามันเดินผิดทางก็เป็นกิเลส ฉะนั้นกิเลสมันก็ร้อนน่ะ และก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าเป็นโพธิมันก็ไม่ร้อนแล้วมันก็นำไปสู่ความเย็นจนเป็นนิพพานในที่สุด นี่เราจะต้องมีความรู้เพียงพอจะป้องกันหรือว่าจะตัดต้นเหตุของความทุกข์เสียให้ทันแก่เวลา ทันในชาตินี้ก็ได้ หรือทันในเวลาทันควันที่มันจะเกิดเป็นทุกข์ก็ได้ เราหัดสติสมบูรณ์ก็ควบคุมกระแสจิตที่เร็วเหมือนฟ้าแลบได้ทันแก่เวลา
ทีนี้มัชฌิมานั่นแหล่ะคือหนทางสมดุลและก็มีจุดศูนย์กลาง ตรงนั้นเรียกว่ามัชฌิมา มัชฌิมาแปลว่ากลาง ทำทุกอย่างให้มีความสมดุลเหมือนกับว่าไอ้ธรรมชาติทั้งหลายมันอยู่ได้ด้วยความสมดุล วัตถุธรรม นามธรรม อะไรที่มันมีอยู่ได้นี่เพราะมีความสมดุลเกิดขึ้น เจริญงอกงามด้วยมีความสมดุล พอสมดุลแล้วมันก็ต้องมีตรงกลางเสมอ จุดกลางนั้นเรียกว่ามัชฌิมา ถ้ามาเป็นข้อปฏิบัติเรียก มัชฌิมาปฏิปทา ปฏิบัติแล้วดับทุกข์ได้ ทีนี้ก็ได้ผลมาเป็น สะอาด สว่าง สงบ แห่งจิตใจ พอจิตมีภาวะสะอาด สว่าง สงบ นี่คือชีวิตจริง เราได้พบชีวิตจริงเข้าแล้ว ไม่หลอกลวงเลย พบชีวิตจริงทุกสิ่งหมดปัญหา อยู่เหนือจากความที่เป็นปัญหาไปทุกๆสิ่ง
เข้าใจว่าคงจะทำกันได้ ให้หัวข้อคล้องจองกันดีเพื่อจำง่าย ไปนึกถึงอยู่บ่อยๆเพราะมันคล้องจองกันดี คู่ชีวิต ทิศทั้ง ๖ นรกสวรรค์ นิพพานกันที่นี่ โพธิหรือกิเลส ตัดต้นเหตุทันเวลา มัชฌิมาคือหนทาง สะอาด สว่าง สงบ พบชีวิตจริง ทุกสิ่งอยู่นอกเหนือปัญหา นี่บรรยายของเราชุดนี้มีหัวข้ออย่างนี้ มีรายละเอียดอย่างที่พูดไปแล้ว เป็นความรู้ในส่วนธรรมะ นั่นล่ะไปถึงชั้นโลกุตระ เรียนหนังสือเรียนอาชีพนั้นมันเป็นโลกียะซึ่งก็ต้องทำเพื่อร่างกาย ส่วนจิตใจนั้นยัง ยังไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงให้เยือกเย็นได้ เผลอนิดเดียวมันก็ร้อนน่ะเพราะอาชีพนั้นเอง อาชีพยิ่งดี ยิ่งรวย ยิ่งรวย ยิ่งเห็นแก่ตน มันก็ร้อน
ฉะนั้น เอาโลกุตระเข้าไปใช้ดับความร้อน เป็นความรู้ ธรรมะนี้มีไว้ดับทุกข์ ที่ไหนมีทุกข์ต้องเอาเข้าไปที่นั้น ที่ไหนมีร้อนต้องเอาเข้าไปที่นั่น เมื่อชีวิตฆราวาสมันเป็นของร้อนแล้วทำไมจะไม่ต้องเอาธรรมะเล่า ที่ไหนร้อนต้องเอาเย็นเข้าไปดับ ที่ไหนทุกข์ต้องเอาธรรมะเข้าไปดับ ฉะนั้นความเป็นฆราวาสมันเป็นโอกาสเป็นช่องทางให้เกิดความทุกข์มาก ก็เตรียมตัวไว้ให้พอสำหรับจะดับทุกข์ให้ได้ นี่ก็เป็นชีวิตที่พอดูได้ เป็นชีวิตที่พอดูได้ เป็นชีวิตที่พอดูได้ ไม่อย่างนั้นจะเป็นชีวิตที่น่าเกลียดดูไม่ได้ดูไม่ไหว ขอให้พยายามให้มันมีชีวิตชนิดที่พอดูได้ก็แล้วกัน
นี่ผมขอแสดงความหวังแทนการให้พร เขาชอบให้พรกัน ผมเห็นเป็นเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ไอ้พรนี่มันแปลว่าดีนะ ไอ้ดีนี่มันให้กันได้เมื่อไร มันต้องไปทำเอาเอง ฉะนั้นก็เอาความรู้เรื่องทำดีนี่ไปทำให้มันเกิดดีขึ้นมา นั่นล่ะคือพร ถ้าให้พรให้ดีให้ความดีกันได้เหมือนกับให้สิ่งของจะเป็นอย่างไร คุณก็ไปลองคิดดู ผมว่าทำไม่ได้หรอก ได้แต่บอกวิธีให้ไปทำให้ดี แล้วมันก็ดีขึ้นมา นี่เขาให้พรกันเหมือนกับให้สิ่งของ ตามใจเขา นี่บอกแต่วิธีที่จะให้ไปทำให้มันดี แล้วดีในที่นี้ก็ไม่ใช่ดีสำหรับติดอยู่ในความดี ดีที่นี้หมายถึงจะอยู่เหนือทุกข์
ขอแสดงความหวังแทนการให้พร ว่าคงจะเอาไอ้คำสอนเหล่านี้ไปปฏิบัติให้เกิดความเป็นมนุษย์ที่พอดูได้ด้วยกันทุกคน แล้วก็ไม่ต้องอายแมว แล้วก็ไม่ต้องให้ผีหัวเราะ ไม่ทำอะไรให้เป็นที่ละอายแก่แมว และเป็นที่ผีหัวเราะอีกต่อไป เราไม่ต้องละอายแมว เพราะเราไม่ทำอะไรให้แมวมันหัวเราะให้ผีมันหัวเราะ คืออย่าต้องปวดหัวสิ อย่าต้องนอนไม่หลับสิ อย่าต้องเป็นโรคประสาทสิ อย่าต้องเป็นโรคจิตสิ อย่าต้องฆ่าตัวตายสิ นี่แมวมันก็ไม่อาจจะหัวเราะ ผีก็ไม่อาจจะหัวเราะ เราก็ไม่ต้องละอายแก่แมว แล้วเรากลับทำประโยชน์อย่างยิ่ง ประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ได้มากกว่าแมวหลายร้อยหลายพันเท่า เราก็จะเป็นฝ่ายหัวเราะแมวหรือหัวเราะผีซึ่งไม่ได้ทำประโยชน์อะไรแก่ใคร เราจะเป็นมนุษย์ที่ทำประโยชน์ตนกับประโยชน์ผู้อื่นให้มากที่สุด
นี้คือปัจฉิมนิเทศ การชี้แจงกันเป็นครั้งสุดท้ายคือครั้งหลัง ชี้แจงครั้งแรกก็แล้ว ชี้แจงครั้งหลังก็แล้วก็ควรจะพอกันที ผมรบกวนเวลานิดหนึ่งเพียงเท่านี้ที่เรียกว่าปัจฉิมนิเทศ แล้วก็ได้แต่ฝากความหวังไว้ว่าจะไม่ลืมเสีย แล้วก็จะไม่เอาไปทิ้งเสียให้เป็นหมัน แต่จะเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง
ถ้าตัวเองไม่มีปัญหามันก็สามารถที่จะช่วยคนอื่นได้ให้หมดปัญหา ถ้าเราช่วยตัวเองก็ไม่ได้จะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร จึงขอให้ทุกคนยกตัวเองขึ้นพ้นจากปัญหาจากความทุกข์ แล้วสามารถช่วยคนอื่นให้เป็นอย่างนั้นด้วย
ขออ้างคุณพระรัตนตรัย ดลบันดาลให้ทุกท่านสามารถทำอย่างนี้ สามารถทำอย่างนี้คือเชื่อด้วยเหตุผล กล้าหาญที่จะทำ แล้วก็ทำๆ แล้วก็เป็นชีวิตที่มีความสุขเป็นที่น่าพอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ