แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นภิกษุราชภัฏผู้จะต้องลาสิกขาทั้งหลาย ผมยินดีที่ได้พบท่านทั้งหลายและจะมีโอกาสพูดสิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่จะลาสิกขา ผมประมาณว่าเราพูดกันสัก ๑๐ ชั่วโมงก็ได้ แต่วันนี้พูดในแบบที่เรียกว่าเตรียมทำความเข้าใจในเบื้องต้นที่เรียกว่า ที่เขามักจะเรียกกันว่าปฐมนิเทศ หรืออะไรทำนองนั้นมากกว่า แล้ววันหลังถึงจะพูดด้วยเรื่องตัวธรรมะโดยตรง
วันนี้เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการกระทำที่จะกระทำต่อไปนี้ให้เป็นผลดี ผมเรียกเอาเองว่าเราจะเปิดมหาวิทยาลัย ๑๐ ชั่วโมง แค่ชั่ว ๑๐ ชั่วโมงเท่านั้น แล้วทำไมจึงเรียกว่ามหาวิทยาลัย? เพราะมันเป็นเรื่องไอ้ความรู้ที่สูงของพระพุทธศาสนา สูงกว่าไอ้ความรู้ธรรมดาในโลก ไอ้ความรู้แค่หมาหางด้วนเขาก็ยังเรียกว่าการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เดี๋ยวนี้เรามันมากกว่านั้น อยากจะเรียกว่าบรมมหาวิทยาลัยมากกว่า
ระบบการศึกษาในโลกแม้ระดับที่เรียกว่ามหาวิทยาลัยยังเป็นเหมือนกับหมาหางด้วน คือสอนกันแต่หนังสือกับวิชาชีพ นี่ท่านทั้งหลายก็ได้ผ่านมาแล้วว่ามันมีอะไรบ้างที่สอนความเป็นคน สอนความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ว่ามันยังขาดความรู้เรื่องความเป็นคนหรือเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ นี่แหละมันเหมือนกับหมาหางด้วน นี้เราดูทั่วทั้งโลกสอนกันแต่หนังสือกับวิชาชีพ จะเป็นวิชาเทคโนโลยีแขนงไหนก็ตามเถอะ มันก็เป็นเพียงเพื่ออาชีพ ไม่เป็นไปทางจิต ทางวิญญาณ ความจริงอยากจะพูดว่า ไอ้สิ่งที่มันยังขาดอยู่นั่นแหละ จะต้องช่วยกันทำ
เพราะฉะนั้นการศึกษาของคนที่ยังขาดอยู่อย่างไร เราจะมาช่วยกันทำให้มันสมบูรณ์ จะเรียกมหาวิทยาลัย ๑๐ ชั่วโมงของเรานี้ว่า เป็นการต่อหางหมาจะดีกว่า คือความรู้อะไรที่พวกคุณยังขาดอยู่ ผมช่วยต่อให้ ฉะนั้นเราพูดกัน ๑๐ ชั่วโมงนี่เป็นการต่อหางหมา คือคุณจะต้องเอาไปต่อกับความรู้ที่คุณมีอยู่แล้วในเรื่องหนังสือและอาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบวชเข้ามานี้มันก็เป็นโอกาสที่จะศึกษาไอ้ส่วนที่มันยังขาดอยู่
เรานึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงความรู้คำสอนของพระพุทธเจ้าว่ามีอยู่อย่างไรหรือเท่าไร แล้วเราเอามาเปรียบกันดูกับความรู้ของโลกปัจจุบัน มันก็จะเห็นได้ว่ามันอยู่กันคนละระดับ ความรู้ของพระพุทธเจ้านั่นแหละเป็นความรู้ประเภทที่ยังขาดอยู่จึงเอามาชนกันให้มันเต็ม ฉะนั้นการที่จะมาพูดอะไรกันบ้างที่ผมจะเรียกว่ามหาวิทยาลัย ๑๐ ชั่วโมงของเรานี้ คงจะไม่เหนื่อยเปล่า คงจะมีผลคุ้มค่า และนอกไปจากกว่า นอกไปจากการบรรยายตามธรรมดาเราก็ยังมีไอ้การฝึกฝนอย่างอื่นด้วย ระหว่างนี้เราจะยังมีการบรรยาย คราวละชั่วโมงสัก ๑๐ ชั่วโมง
ทีนี้ระหว่างอยู่ที่นี่มันจะต้องมีอะไรเพิ่ม ให้มันเป็นการศึกษาไปเสียให้หมด เช่นว่าการเป็นอยู่ประจำวัน ถ้าเป็นอยู่อย่างแบบของสวนโมกข์ มันก็จะเป็นบทเรียนเต็มที่อยู่ในตัวมันเอง เราชอบพูดกันว่า อยู่ที่นี่นั้น “กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู นอนในกุฏิเล้าหมู แล้วก็ฟังยุงร้องเพลง”
กินข้าวจานแมวคือฉันในบาตร ในลักษณะอาหารของภิกษุในพระพุทธศาสนา ไม่เรียกว่าเนื้อ ไม่เรียกว่าผัก แต่เรียกว่าอาหารที่บริสุทธิ์ถูกต้องตามแบบฉบับของภิกษุในพระพุทธศาสนา คือกินแต่อาหารที่ถูกต้องตามแบบฉบับของภิกษุในพุทธศาสนา จะไม่เรียกว่ากินเนื้อหรือกินผัก ชิ้นไหนจะเป็นเนื้อหรือจะเป็นผักก็ตาม ที่มันไม่ควรจะกินก็อย่าไปกิน หรือชิ้นที่มันยั่วกิเลสหรือมีผลร้ายแก่ร่างกายนี้ก็ไม่ต้องกิน และยังจะต้องกินชนิดที่เรียกว่าหยอดน้ำมันเหล่าเกวียน หรือกินเนื้อลูกกลางทะเลทรายด้วย มันก็เหมือนกับข้าวใส่จานให้แมวกิน กินด้วยจิตใจของภิกษุนี่เป็นบทที่ต้องฝึก
อาบน้ำในคู นั้นหมายความว่าอยู่ตามธรรมชาติ อาบน้ำในลำธารคุณจะมีความรู้สึกจิตใจแตกต่างออกไปจากการอาบน้ำก๊อกหรือห้องน้ำที่สวยงาม นี่เรียกว่าอาบน้ำในคู ความหมายของมันก็คืออยู่ตามธรรมชาติ
นอนในกุฏิเท่าเล้าหมู หมายถึง กุฏิคนเดียวๆที่เรามีอยู่ทั่วๆไป ในป่ามันมียุงก็จะต้องฟังเสียงยุงเหมือนกับฟังเสียงเพลง ถ้าใครไปโกรธยุงก็หมดความเป็นพระ ดังนี้เป็นต้น เรียกว่าความเป็นอยู่ในสวนโมกข์นี่มันเป็นมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้าในทางจิตใจ
วัตรปฏิบัติบางอย่างมันก็มี ซึ่งมันเป็นเครื่องทดสอบจิตใจอยู่มากทีเดียว หรือฝึกฝนให้มันเข้มแข็งขึ้น เช่นว่าเราต้องตื่นกันดึกๆอย่างนี้มันก็ไม่มีใครชอบ ตื่นก่อนตีสี่ต้องมาสวดมนต์ทำวัตรตีสี่ หนาวเยือกไปหมดอย่างนี้ ไอ้วัตรปฏิบัติเหล่านี้มุ่งหมายเพื่อจะฝึกฝนความเข้มแข็งทั้งนั้นเลย
ที่นี้ยังมีอย่างอื่นอีก เช่นมีวันกรรมกร สำหรับจะทำบทเรียนคือการทำอะไรที่ไม่ใช่เพื่อตัวเองเลย ก่อนนี้เราเคยทำอะไรๆมากเหมือนกันแต่เพื่อตัวเองทั้งนั้น เพราะฉะนั้นขอให้มีการกระทำอะไรก็ได้ที่มิใช่เพื่อตัวเองเลย ก็เพื่อผู้อื่นนั่นแหละ เพราะว่าไอ้ประโยชน์นั้นมันก็ได้รับแก่ส่วนรวม แก่ผู้อื่น แก่ศาสนา ถ้าเหงื่อออกมาก็ขอให้ถือว่าเหงื่อนี้มันออกมาล้างความเห็นแก่ตัว ก็จะต้องมีสำหรับภิกษุเรา
ทีนี้ที่ละเอียดประณีตที่สุดของการอยู่ที่นี่ก็คือ สัมผัสธรรมชาติได้ง่าย ลองอยู่ให้ตามแบบฉบับของที่นี่แหละ มันจะเป็นการสัมผัสธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา ในธรรมชาตินี่มันมีอะไรดีนักหนา คุณจะต้องเข้าใจในข้อนี้ เพราะว่าธรรมชาตินั่นแหละคือต้นเหตุ ต้นตอ จุดตั้งต้นแห่งปัญหาหรือการแก้ปัญหา เราจะเรียกสั้นๆว่าธรรมะ ธรรมะนั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติ ช่วยจำคำนี้ไว้ก็แล้วกัน ธรรมะเป็นเรื่องของธรรมชาติ เราแบ่งธรรมะนี้ออกเป็น ๔ ความหมาย จำไว้ได้จะสะดวกในอนาคตที่จะศึกษาเรื่องของธรรมะต่อไป ธรรมะคือตัวธรรมชาติ ธรรมะคือตัวกฏของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ ธรรมะคือผลที่ออกมาจากการปฏิบัติหน้าที่ จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติทั้งนั้น ตัวธรรมชาติก็ดี ตัวกฏของธรรมชาติก็ดี หน้าที่ต่อธรรมชาติก็ดี ผลของมันก็ดี มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ ฉะนั้นถ้าเราอยู่กันอย่างใกล้ชิดธรรมชาติ มันก็มีความง่ายในการที่จะรู้ธรรมะ
ดังนั้นพระศาสดาทั้งหลาย จนกล่าวได้ว่าทุกศาสนา ท่านตรัสรู้ในท่ามกลางธรรมชาติ เช่น ในป่า ในดง ในถ้ำ ในเขา ก็สุดแท้ ท่านไม่เคยตรัสรู้บนตึก มหาวิทยาลัย เป็นต้นเลย ระหว่างที่อยู่ที่นี่ขอให้ใช้ประโยชน์จากการสัมผัสไอ้ธรรมชาตินี่ให้มากที่สุด นี้ก็จะเป็นการเรียน เป็นการศึกษา รวมอยู่ในคำว่า มหาวิทยาลัยชั่ว ๑๐ ชั่วโมง จะพูดกัน ๑๐ ครั้งๆละชั่วโมง วันนี้ครั้งนี้ไม่นับ เป็นการทำความเข้าใจในเบื้องต้น หรือที่เรียกว่าปฐมนิเทศ ซึ่งจะต้องทำความเข้าใจกันตามสมควร
เช่น ผมจะทำความเข้าใจกับท่านทั้งหลายว่า การพูดจา เรื่องที่จะเอามาพูดนี่ ชั่วเวลา ๑๐ ชั่วโมงนี้จะพูดให้ครบหมดในหลักของพระพุทธศาสนา และให้สูงที่สุด ตั้งแต่ต่ำที่สุดจนถึงสูงที่สุดตามหลักของพระพุทธศาสนา จะสรุปให้สั้นที่สุดในเมื่อจะต้องสรุป และมันอาจจะว่า อาจจะเป็นว่าดูต่ำเป็นคำพูดต่ำๆง่ายๆของชาวบ้านธรรมดา ก็ดูธรรมดาไปเสียอีก และก็จะไม่อยากจะฟัง เห็นเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียอีก
ขอให้สนใจฟัง ไอ้ที่เรียกว่ามันเป็นธรรมดานี่ เราต้องการให้มันเป็นสันทิฏฐิโก คือเข้าใจได้ด้วยความรู้สึก ไม่ใช่ว่าไอ้จำ จำไอ้คำพูดเหล่านี้ไว้ได้นี่ไม่พอ ต้องมองเห็นด้วยจิตใจของตนจริงๆในบทว่าสันทิฏฐิโกนั้น มันต้องพูดด้วยคำธรรมดา ให้เป็นเรื่องธรรมดา ให้เข้าไปในจิตใจ จึงจะสำเร็จประโยชน์
คุณคงจะเคยได้ทราบว่าผมนี่ถูกคนพวกหนึ่งน่ะเขารุมกันด่า ไอ้คำด่านั้นก็ไม่มีอะไรนอกจากหาว่าเอาธรรมะมาพูดให้มันต่ำ หรือทำลายพุทธศาสนาไปเสียเลย นี่เราต้องการจะพูดให้เป็นสันทิฏฐิโก ให้เป็นเอหิปัสสิโกไปซะทุกเรื่อง ก็เลยต้องพูดให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาในใจให้ได้ เช่นเรื่องนรกก็ดี สวรรค์ก็ดี นิพพานก็ดี ต้องพูดกันในลักษณะที่มันรู้สึกได้ในจิตใจที่นี่และเดี๋ยวนี้ ที่เขาทำกันมาจนเป็นประเพณีนั่นมันใช้คำสูงๆคำบาลีสูงๆ ใช้คำธรรมะสูงๆ แล้วก็พูดด้วยโวหารสำนวนไพเราะ ตามแบบเทศนาหรือแบบอะไรก็ตาม ก็ได้ยินกันมาแต่อย่างนั้น พอได้ยินคำธรรมดาๆ พูดอย่างธรรมดา สำนวนโวหารอย่างธรรมดา เขาก็ไม่อยากฟัง ก็เลยไม่สำเร็จประโยชน์ในการพูด
ฉะนั้น ถ้ารู้สึกอย่างนี้ก็อยากจะขอร้องว่าอย่าเพ่ออย่างนั้น อย่าเพ่อเห็นอย่างนั้น อย่าเพ่อท้อใจ อย่าเพ่อขี้เกียจฟัง ขอให้ทนฟังคำธรรมดา เรื่องธรรมดา โวหารพูดธรรมดา ให้สำเร็จประโยชน์ เนี่ยเรียกว่าทำความเข้าใจกันในเบื้องต้นอย่างนี้
ทีนี้ก็จะพูดเรื่องการบวช ๓ เดือน หรือผู้บวช ๓ เดือน และตามประเพณีด้วย นี้มันเป็นที่รู้กันอยู่แล้วนี่ว่าเราไม่ได้บวชเพื่อออกไปดับ หาความดับทุกข์ตลอดชีวิต เสวยสุขในธรรมะตลอดชีวิต เราบวชชั่ว ๓ เดือน และยังบวชตามประเพณีด้วย หมายความว่าไม่ได้เห็นลึกซึ้งไอ้ในเรื่องของโลก ของชีวิต ของการบวช ของอะไร จนถึงกับว่าอยากบวชออกไปเลย ตามที่ในครั้งโบราณพุทธกาลเขาทำกัน แม้ว่าเราจะบวช ๓ เดือนและตามประเพณี ถ้าว่าเราทำให้ดีให้ครบดีให้ถึงที่สุดแม้เพียง ๓ เดือน ก็จะได้ประโยชน์อย่างมหาศาล
คนยังเข้าใจผิดกันอยู่มากว่าไอ้ฆราวาสกับบรรพชิตนี่มันคนละเรื่องกัน เขามักจะเข้าใจอย่างนั้นและก็จัดสิ่งต่างๆให้เป็นอย่างนั้น นั้นขอให้ดูกันเสียใหม่ว่ามันไม่ใช่คนละเรื่องนะ บรรพชิตกับฆราวาสนี่มันยังเรื่องเดียวกันคือเรื่องดับทุกข์ด้วยวิธีเดียวกัน ไอ้ความทุกข์ของมนุษย์จะต้องดับอย่างไร ก็เป็นวิธีเดียวกันทั้งบรรพชิตและฆราวาส เพียงแต่ว่าถ้าเป็นบรรพชิตนี่มันสะดวกที่จะดับทุกข์ มันง่ายในการที่จะดับทุกข์ เพราะการเป็นอยู่อย่างบรรพชิตน่ะมันสะดวก มันง่ายในการจะศึกษาในการจะปฏิบัติ
ถ้าเป็นฆราวาสครองเรือน มันอึดอัดขัดข้องไปหมด มันหนักอึ้งไปหมด ต้องการจะดับทุกข์น่ะมันก็ยากลำบาก ฉะนั้นจึงมาบวชเพื่อศึกษา เพื่อปฏิบัติ ถ้าบวชเลยไปมันก็ได้ผลถึงที่สุด นี้เราเชื่อว่า ๓ เดือนนี้ เราทำให้ดีที่สุด ได้ผลเพียงพอที่จะไปเป็นฆราวาสที่พิเศษ คือมีจุดตั้งต้นของการดับทุกข์ที่ถูกต้อง แล้วก็พยายามดับไปเรื่อยๆ แต่นั่นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่าในระหว่างนั้นน่ะจะเป็นคนที่มีชีวิตที่เย็น เป็นความหมายของนิพพาน
ชีวิตนี้มันเป็นได้ ๒ อย่าง คือชีวิตร้อนหรือชีวิตเย็น พูดเพียงเท่านี้คุณก็คงนึกออก เพราะเคยร้อนกันมาแล้วเป็นส่วนมาก มันก็เรียกว่ามันชีวิตร้อนเพราะทำผิด พูดผิด คิดผิด อะไรก็ตาม ถ้าทำถูกพูดถูกคิดถูก มันก็เป็นชีวิตที่เย็น นี่เราต้องการเพียงชีวิตเย็นจนตลอดชีวิตด้วยการลงทุนศึกษาดูเพียง ๓ เดือน ก็เรียกว่าได้ประโยชน์ คุ้มค่า หรือมหาศาล ฉะนั้นจึงต้องทดสอบดูว่าที่บวชมาแล้วและกำลังจะสึกอยู่หยกๆนี่เราได้ความรู้เหล่านั้นแล้วหรือยัง ได้ความรู้เหล่านั้นเพียงพอแล้วหรือยัง ถ้าเพียงพอแล้วก็ดีไป
ผมจะสันนิษฐานว่ามันยังมีอะไรบางอย่างที่ยังไม่ได้ ไม่รู้ ไม่เพียงพอ ก็จะเอามาพูดในส่วนนั้นแหละ แต่เนื่องจากว่ามันมากคนด้วยกันฉะนั้นมันคงไม่เหมือนกัน ปัญหาไม่เหมือนกัน ไอ้สิ่งที่ยังขาดยัง หรือเกินมันไม่เท่ากัน ผมก็ช่วยไม่ได้ ผมจะต้องพูดไปตามไอ้แนวตามหลักที่มันมีอยู่ มันจะขาดสำหรับใคร จะเกินสำหรับใครก็ไปนั่นเอาเอง ไปปรับปรุงเอาเอง ขอแต่ว่าต่อไปนี้ให้ได้ประโยชน์คุ้มค่าหรือว่าเกินค่า ถ้าทำให้ดีจริงๆถูกจริงๆมันจะมีประโยชน์เกินค่า จะลาสิกขาออกไปนี้ควรจะได้อะไรออกไป ได้อะไรออกไป
ในการลาสิกขาจากเพศบรรพชิตไปสู่เพศฆราวาส มันก็ต้องได้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ความเป็นฆราวาส ซึ่งจะสรุปเรียกอย่างที่เรียกมาแล้วว่าคือชีวิตที่เย็น ชีวิตที่ร้อนนั้นน่ะไม่ต้องพูด ไม่มีใครต้องการ และคงจะเอือมระอากันมาแล้วด้วย ทีนี้ต่อไปมันควรจะได้ชีวิตที่เย็น คือเป็นชีวิตที่ว่ามันเป็นสุข เป็นเดิมพัน เย็นเป็นเดิมพัน แล้วเราจะทำอะไรต่อไปกี่อย่างมันก็ทำได้ดี เพราะว่ามันอยู่ด้วยความสุข ความเย็น จะทำอะไรให้สูงให้ยิ่งขึ้นไปและเย็นยิ่งขึ้นไปอีกก็ได้ มันก็ต้องทำได้ ฉะนั้นเราจะต้องได้สิ่งที่จะทำให้เราเป็นฆราวาสที่ดี หรือสมบูรณ์แบบตามแบบของชาวพุทธ
พุทธบริษัทที่ดีในฐานะที่เป็นฆราวาส จะต้องมีอะไรบ้าง หรือว่าจะต้องทำอะไรๆบ้างนี้ เราจะมีและเราจะทำได้ ตามหลักของพุทธศาสนาที่รู้กันอยู่เป็นที่แน่นอนว่าเพศของฆราวาสนั้นอาจจะเป็นพระอริยเจ้าได้จนถึงขั้นที่เรียกว่าพระอนาคามี น้องๆพระอรหันต์เลยทีเดียว และมันยังมากกว่านั้นอีก คือว่าถ้ามันทำถูกต้องถึงที่สุด มันก็เป็นพระอรหันต์ได้ แต่ถ้าชีวิตมันต้องเปลี่ยนหรือมันเปลี่ยนโดยอัตโนมัติจากความเป็นฆราวาส อย่างที่เมื่อกี้เขาพูดกันอย่างน่าหัวว่าเป็นพระอรหันต์แล้วไม่ไปบวชเสียมันจะตายใน ๗ วัน อย่างนี้มันเป็นการพูดที่มีความหมายซ่อนเร้น เข้าใจไม่ได้ มันก็คือเข้าใจผิด มันจะพูดอย่างโง่ก็ได้ไม่รู้ใครพูด แต่ผมก็ไม่อยากจะด่าใคร แต่มันมองเห็นว่ามันอาจจะเป็นการพูดอย่างโง่เขลาก็ได้
เพราะว่าพอเป็นพระอรหันต์มันหมดความเป็นฆราวาสทันที อะไรๆมันจะหมดจากความเป็นฆราวาสทันที แล้วมันจะหมดความเป็นมนุษย์ เหนือความเป็นมนุษย์ ยิ่งขึ้นไปกว่าความเป็นมนุษย์ด้วย แล้วมันจะตายในเจ็ดวันได้ยังไง ที่เขาพูดไว้เป็นอุปมาว่าฆราวาสได้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา มันก็มีจีวรบ้าง บาตรบ้างลอยมาในทิศทางต่างๆมาสวมให้เอง นี่เขาพูดเป็นอุปมาอย่างนี้ แต่ความจริงก็คือว่าจิตใจมันเปลี่ยน มันไม่อาจจะเป็นฆราวาสได้ พระอรหันต์ไม่อาจจะอยู่ในเพศฆราวาสได้ แล้วมันก็จะยิ่งกว่าเพศบรรพชิตเสียด้วย เรามันโง่เอง มันเอาแต่ที่เห็นด้วยตาเป็นหลัก ดูด้วยตาเป็นหลักว่าพระอรหันต์ก็เป็นบรรพชิต ถ้าคุณศึกษารู้ถึงที่สุดแล้วคุณจะรู้ความเป็นพระอรหันต์มันยิ่งกว่าความเป็นบรรพชิตเสียอีก มันพ้นมันเหนือนั่นไปเสียอีก
มันก็เป็นได้เพียงแต่ว่ามีการก้าวหน้าทางจิตใจ อย่างเป็นพระอรหันต์เกิดขึ้นในบ้านเรือน มันก็เลิกความเป็นฆราวาส เลิกความเป็นบ้านเรือน เป็นไปตามยถากรรมของความเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่ต้องเสียใจ หรือไม่ต้องน้อยใจว่าที่เราจะต้องไปเป็นฆราวาสอีกต่อไป อย่าเสียใจว่าไปลด ลดต่ำลง ถ้ายังมีการปฏิบัติถูกต้องตามหลักธรรมอยู่มันยังมีความก้าวหน้าทางจิตใจ แม้จะมีศีลอย่างฆราวาสมันก็มีความหมายเดียวกับศีลของบรรพชิตนั่นน่ะ ฉะนั้นเป็นฆราวาสที่ดี จะมีศีลอย่างฆราวาสที่ดี มันก็ยังคงมีศีลชนิดที่จะเป็นเหตุให้บรรลุมรรคผลได้อยู่นั่นเอง
ฉะนั้น จึงเตรียมตัวสำหรับจะไปเป็นฆราวาสที่ถูกต้องสมบูรณ์แบบ มีความก้าวหน้าทางจิตใจอยู่เรื่อย ๆไป ก็อย่างที่ว่ามาแล้วมันลำบากสักหน่อยการเป็นฆราวาสที่จะก้าวหน้าในทางธรรม ถ้าเปรียบอุปมาเหมือนการเดินทาง บรรพชิตก็เหมือนกับตัวเปล่าเดินเร็ววิ่งไปก็ได้ ส่วนฆราวาสนี้มันเหมือนกับหาบของหนักอยู่ หาบบ้านหาบเรือนหาบอะไรเป็นของหนักอยู่แล้วมันจะเดินเร็วได้อย่างไร แต่เดี๋ยวนี้มันยังมีข้อยกเว้นที่ว่าแม้แต่ว่าจะมีการปฏิบัติลำบาก แต่ถ้ามันถูกจุด ถูกที่หมาย ถูกเรื่องของมัน มันก็เปลี่ยนปุบปับเป็นผู้ถึงได้เหมือนกัน นี้มันเปรียบเป็นการเดินทางนี่มันก็ไม่ค่อยถูกนัก ถ้าเปรียบก็เปรียบเหมือนการสลายตัวมากกว่า
ความเป็นคฤหัสถ์มันสลายตัวยาก ความเป็นบรรพชิตนี่มันสลายตัวได้ง่าย สลายตัวนี้ก็พ้นจากตัวตนไม่มีกิเลส ไม่มีตัวตนก็ไม่มีที่ตั้งแห่งกิเลส ไม่มีตัวตนก็ไม่มีที่ตั้งแห่งกรรม มันพ้นกิเลสมันพ้นกรรมเพราะความสลายแห่งตัวตน ถึงฆราวาสก็มีทางที่ทำได้ เดี๋ยวนี้มีฆราวาสเยอะแยะไปที่มีคุณธรรมสูงกว่าพระกว่าเณรที่ยังอยู่ในวัด มีคุณธรรมในทางจิตใจทางธรรมทางศาสนาสูงกว่าพระเณรที่อยู่ในวัด แต่นี่ก็หมายความว่าบางคน ไม่ได้พูดเป็นหลักเกณฑ์ว่าอย่างนั้นได้เสมอไป มันบางคน เป็นฆราวาสมีภูมิมีธรรมทางจิตใจสูงกว่าพระเณรที่อยู่ในวัด
ผมจึงหวังว่าพวกคุณจะต้องถึงความเป็นอย่างนั้น คือไม่มีปัญหาเรื่องฆราวาสเรื่องพระกันแล้ว มันมีแต่การกระทำเท่านั้นล่ะ จะสมมติว่าเดินทางกันก็ได้หรือสมมติว่าสลายตัวกันก็ได้ สลายตัวไม่ให้เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์อีกต่อไปนี่ก็ทำได้ ว่าแต่เรียนกันให้ถูกๆคือว่าสลายตัวตนตัวกูของกูเสียให้หมด ความทุกข์ไม่มีที่ตั้งไม่มีที่อาศัย ชีวิตนั้นก็เย็น ก็มีว่าอย่างนี้ ชีวิตร้อนก็ไม่เกิด ไม่มี นี่จะเห็นว่ามันคุ้มค่าหรือมันเกินค่าแล้ว ถ้าพยายามยึดเอาความรู้อันนี้ให้ได้ออกไป สึกออกไป
นี่เรียกว่าซึ่งควรจะได้สิ่งที่ดีที่สุด สำหรับไปเป็นฆราวาสที่ดีสมบูรณ์แบบตามแบบของชาวพุทธ ลองแยกดูหน่อยก็ได้ คือว่าไอ้ประโยชน์อันนั้นน่ะมันถ้าเป็นทางส่วนบุคคลจะเป็นอย่างไร ถ้าเป็นประโยชน์ที่ได้แก่สังคมนี่มันจะเป็นอย่างไร ไอ้ความดีที่เราได้ไป เอาไปทำให้มันเป็นประโยชน์ ถ้าพูดโดยส่วนตัวก็คือทำผู้นั้นมีชีวิตเย็นอย่างที่ว่า แต่ผมใช้คำที่ให้ลืมยากอีกสักคำหนึ่ง ซึ่งกำลังพูดอยู่เดี๋ยวนี้ คือว่าไม่ต้องละอายสัตว์เดรัจฉาน เรียกว่าละอายแมว
ยกตัวอย่างแมวก็ได้ เราดูเพราะเราก็เคยอยู่ในครอบครัวมาจากครอบครัว ในครอบครัวทั้งหลายเป็นอย่างไร คนอย่างปวดหัวต้องกินยาปวดหัวบ่อยๆ แมวตัวไหนก็ไม่มี ปวดหัวไม่มีกินยาปวดหัว ผมคอยดูอยู่เสมอว่าแมวตัวไหนปวดหัวที่กินยาปวดหัวมันไม่มี ไม่มีทางไม่มีโอกาส ไอ้คนนี่มันนอนไม่หลับด้วยความคิดฟุ้งซ่านหลายๆอย่าง เชื่อว่าคงจะเคยกันมาแล้วทั้งนั้น
ทีนี้มันก็ไม่มีแมวตัวไหนที่มันนอนไม่หลับ มันหลับง่ายเสียยิ่งกว่าอะไร แมวจับมาอุ้มนิดเดียวมันก็หลับแล้ว ไอ้คนนี่มันกินยานอนหลับกันมาก อันตราย รวมทั้งโลกวันหนึ่งๆไอ้ยาปวดหัวยานอนหลับนี่คงกินกันเป็นตันๆเลย เป็นภูเขาเลากา ปีหนึ่งๆกินยา ไอ้ยาปวดหัว ไอ้ยาแก้ปวดหัวแก้นอนไม่หลับ แล้วคนยังเป็นโรคประสาท
ผมเคยอ่านมาเมื่อไม่นานมานี้ว่า ทั้งประเทศไทยเป็นโรคประสาทโดยสมบูรณ์ ๗ แสนคน แล้วดึกเมื่อไม่ ไม่ ไม่ เมื่อสองสามวันมานี้พบไอ้สถิติอันใหม่ออกมาว่า ๑๐ ล้านคน แล้วทำไมมันเร็วขนาดนั้นน่ะ ผมเคยอ่านว่า ๗ แสนคนกลายเป็น ๑๐ ล้านคนของคน ๔๘ ล้านคนนี่ จะไม่จริงก็ได้นะ ๑๐ ล้านคนดูจะมากนัก แต่นั่นเขายืนยันว่าอย่างนั้น
แมวไม่เป็นโรคประสาทแม้แต่สักตัวเดียว นี่ล่ะอายแมว ไอ้คนนี่มันน่าละอายแมว รวมถึงหมูหมากาไก่อะไรทั้งหมดทั้งสิ้นด้วย ทีนี้มันเป็นโรคจิตผมเคยพบก็จำไว้ว่ามัน ๒ หมื่นคนเป็นจิต เป็นโรคจิตโดยสมบูรณ์ สถิติสองสามวันที่อ่านพบนี่ว่ามันเป็นโรคจิตตั้ง ๕ แสนคน จากหมื่นเป็นแสน ไอ้โรคประสาทจากแสนเป็นล้าน นี่มันน่าละอายแมวอย่างนี้ มันไม่มีแมวตัวไหนที่เป็นโรคประสาทหรือเป็นโรคจิต ไม่มีแมวตัวไหนเป็นอันธพาลที่กำลังชุกชุมเต็มไปทั้งกรุงเทพฯ อันธพาลจะชุมเท่ากับยุงแล้วก็ได้ นี้เรียกว่าไอ้การฆ่าฟันกันอย่างเลวร้ายมัน มันจะ มันจะมีแต่อยู่ในหมู่มนุษย์ ก็ไม่มีสัตว์เดรัจฉานที่มันเบียดเบียนฆ่าฟันกันอย่างนั้น เพราะมันไม่มีกิเลสที่เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว
มันจะฆ่าฟันกันบ้างมันไม่มีน่ะ นอกจากมันกินเป็นอาหาร ไอ้สัตว์ที่จะต้องกินสัตว์อื่นเป็นอาหารมันก็มีเท่านั้น ที่จะมีแผนการฆ่าฟันกันเหมือนมนุษย์นี่มันไม่มี และที่มันน่าหัวที่สุดก็คือว่า ไอ้มนุษย์นี่ที่มันรู้จักฆ่าตัวตาย สัตว์เดรัจฉานทำไม่เป็น ไม่ว่าสัตว์เดรัจฉานตัวไหนที่จะแกล้งให้ตัวเองตายมันไม่มี นี่เราน่าละอายสัตว์เดรัจฉานอย่างนี้
คุณก็รู้จักดีเรื่องนี้ไม่ต้องพูดก็ได้ว่านอนไม่หลับอย่างไร ปวดหัวอย่างไร เป็นโรคประสาทอย่างไร เป็นโรคจิตอย่างไร ฆ่าตัวเองตายอย่างไร และฆ่าผู้อื่นอย่างไร นี่คือความที่มนุษย์ยังจะต้องละอายแก่สัตว์เดรัจฉาน นั้นขอให้ความรู้หรือประโยชน์ที่ได้รับจากการบวชนี้ออกไปเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้ในข้อที่ว่าอย่าต้องละอายแมว อย่าให้มีอะไรที่ต้องให้น่าละอายแมว ถ้าเรามีธรรมเพียงพอเราจะไม่ปวดหัว พูดแล้วก็จะไม่มีใครเชื่อก็ได้ แต่ผมรู้สึกรู้โดยประจักษ์ นายแพทย์หมอที่เขามีความรู้ดีๆเขาก็เห็นด้วยแล้วก็รับรองว่า ไอ้ปวดหัวนั้นมาจากการทำผิดทางจิตใจชนิดที่ว่าตั้งไว้ไม่ถูกต้อง เพราะว่ามันมุ่งหมายโดยกิเลสที่จะทำนั่นทำนี่ด้วยกิเลส เมื่อไม่ได้อย่างที่กิเลสต้องการเดี๋ยวอีก เดี๋ยวมันก็ปวดหัว
ทีนี้เราไม่ทำอะไรด้วยกิเลส ไม่ต้องการอะไรด้วยกิเลส มันก็ไม่รู้จักปวดหัว ไอ้เรื่องนอนไม่หลับก็เหมือนกัน มันไม่ได้อย่างที่มันต้องการ ซึ่งต้องการด้วยกิเลสนี้มันไม่มีทางจะได้เต็มตามความต้องการของกิเลส ถ้ามันปวดหัวหรือนอนไม่หลับมากขึ้น มันก็เขยิบขึ้นไปถึงโรคประสาท โรคประสาทนี้มันควรจะถือว่าเป็นที่น่าละอายของพุทธบริษัท สาวกของพระพุทธเจ้าไม่ควรจะเป็นโรคประสาท ถ้าเป็นโรคประสาทมันก็เป็นที่น่าละอายในการเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ไอ้ธรรมะที่แท้จริงน่ะมันจะป้องกันได้ ไม่ต้องเป็น ถ้าเป็นคนนั้นมันก็ไม่มีธรรมของพระพุทธเจ้า ดังนั้นเขาจึงไม่มีความเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าที่เพียงพอ เขาจึงเป็นโรคประสาท
พูดอย่างนี้น่ากลัวไหม คุณลองไปคิดดู แล้วคุณเลยจะต้องรับผิดชอบในความเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าหรือไม่ แมวไม่เป็นโรคประสาท สัตว์เดรัจฉานไม่รู้จักเป็นโรคประสาท เพราะไม่มีการทรมานจิตใจด้วยกิเลส วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ นี้คุณก็เรียนวิทยาศาสตร์เรียนจิตวิทยามาบ้างแล้ว คุณพอจะคำนวณได้ไหมว่าไอ้มนุษย์เมื่อแรกมีน่ะ ที่เกือบยังไม่เป็นมนุษย์ยังเป็นครึ่งมนุษย์หรือว่าไอ้ครึ่งต่ำกว่ามนุษย์ เขาถือกันว่าสัก ๒ แสนปีมานี้มั้ง ไอ้มนุษย์มันมันจะมีวิวัฒนาการขึ้นมาพอขนาดที่จะเรียกว่ามนุษย์ มนุษย์เริ่มแรกนั้น เข้าใจว่ามนุษย์เหล่านั้นก็ไม่รู้จักเป็นโรคเส้นประสาท ไม่รู้จักโรคประสาท เพราะมันอยู่อย่างธรรมชาติมากเกินไป ไม่คิดไม่วิตกกังวล ไอ้แมวไม่เป็นโรคประสาทอย่างไร ไอ้มนุษย์ยุคแรกนั้นก็ไม่เป็นโรคประสาทอย่างนั้น
ต่อเมื่อมนุษย์วิวัฒนาการทางมันสมอง มีความคิดความนึกรู้สึกสูงขึ้นมา อย่างที่คัมภีร์คริสเตียนเขาว่าเริ่มรู้จักแบ่งแยก ดี-ชั่ว บุญ-บาป แพ้-ชนะ ได้-เสีย กำไร-ขาดทุน กระทั่งหญิง-ชาย ผัว-เมีย นี้ตอนนี้รู้จักแบ่งแยกเป็นสองฝ่าย แล้วมันก็เกลียดฝ่ายหนึ่ง มันก็รักฝ่ายหนึ่ง เมื่อมันไม่ไม่ได้ตามที่มันรักมันก็ทรมานใจเมื่อมันต้องเผชิญกับสิ่งที่มันเกียจมันก็ทรมานใจ การทรมานใจพอมากพอแล้ว มันก็ต้องเป็นโรคประสาท
ฉะนั้นโรคประสาทนี้ไม่มีแก่มนุษย์ยุค ยุคที่ยังเป็นคน คนป่า ยังเป็น Ape หรือ Ape Man เขาเรียกว่า ครึ่งลิงครึ่งคน มันไม่ ไม่มี มีก็เรียกว่าไม่เห็น มันน้อยเกินจนไม่เห็น ทีนี้ก็มีมากขึ้นเมื่อมันเป็นคนมากขึ้น เป็นคนมากขึ้น แล้วมันก็เป็นมากขึ้นยุคยุคนี้ ยุควัตถุก้าวหน้าเรียกว่าเจริญทางวัตถุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคจักรกลเครื่องจักรเครื่องกลที่ทำความร่ำรวยรวดเร็วนี้ มันสามสี่ร้อยปีมานี้เอง ไอ้เครื่องจักรกลมันเพิ่งมีขึ้นมาสักสามสี่ร้อยปีมานี่เอง แรกๆก็มีอย่างต่ำๆ เรื่องไอ้เครื่องกลไฟกลไกหม้อน้ำ ก็จะรู้จักเรื่องไฟฟ้าเรื่องอิเล็กทรอนิกส์อะไรจนบัดนี้ ยิ่งก้าวหน้าเท่าไรมันก็ยิ่งต้องการยึดถือหลงใหลพัวพันมากขึ้นเท่านั้น
คือมันสร้างความเอร็ดอร่อยสนุกสนานมากขึ้น คนก็หลงไอ้ความก้าวหน้าเหล่านี้มากขึ้น เมื่อมันไม่ได้ตามที่ต้องการมันก็ก่อโรคปวดหัวนอนไม่หลับ เป็นโรคประสาท เป็นโรคจิต กล้าพูดเลยว่ามันมันเพิ่งเป็นมากรวดเร็วขึ้นในยุคที่วัตถุนิยมเกิดขึ้นก้าวหน้าทางเนื้อหนัง วัตถุนิยมก้าวหน้ามาสัก ๔๐๐ ปีมานี้ ๓๐๐-๔๐๐ ปีมานี้ และเดี๋ยวนี้จนยุ่งจนเวียนหัวไปหมดแล้ว ไอ้ความก้าวหน้าไอ้ทางไอ้เครื่องส่งเสริมไอ้กิเลสนั้น ลึกลับซับซ้อนจนเราจะเข้าใจไม่ค่อยได้ แล้วก็ชอบกันมากยิ่งขึ้น ต่อไปมันจะเพิ่มเปอร์เซ็นต์เร็วมากกว่าที่ทีแรกมา เมื่อเรายังหลงอ้ายความเอร็ดอร่อยสนุกสนานไอ้ทางวัตถุที่กำลังก้าวหน้า
ของอร่อยมีมากเท่าไรคนก็ยิ่งเห็นแก่ตัวจัด มันก็ต้องเผชิญกับไอ้โรคกิเลสนี้มากขึ้น ส่วนตัวมันจะน่าละอายแมวมากขึ้น แล้วส่วนสังคมมันก็จะฆ่าแกงกันมากขึ้น แล้วชีวิตนี้จะเป็นชีวิตเย็นได้อย่างไร คุณศึกษาธรรมะให้พอ สำหรับจะไปต่อสู้กับไอ้ความยั่วยวนของวัตถุนิยม ก็จะได้ชีวิตเย็นไม่ละอายแมว ไอ้คำพูดอย่างนี้ฟังดูมันคล้ายๆหยาบคาย แต่มันเข้าใจง่าย จำง่าย (นาทีที่ 48.01)น่ากลัว เป็นคนทั้งทีต่อไปนี้อย่าให้ละอายแมวโดยส่วนตัว
ให้อยู่กับนิพพานตลอดเวลา “นิพพาน” แปลว่า “เย็น” คำว่า “นิพพาน” คำนี้ตัวหนังสือแปลว่า “เย็น” ให้อยู่กับความเย็น เย็นอกเย็นใจ แม้จะไม่ใช่นิพพานสมบูรณ์เต็มขนาดมันก็ยังนิพพานอยู่นั่นแหละ ฉะนั้นควรสนใจนิพพานน้อยๆ นิพพานในระยะสั้นดูบ้าง คือมันเย็นได้เท่าไรมันก็นิพพานเท่านั้น มันเป็นความหมายของนิพพาน เย็นอกเย็นใจชีวิตที่เย็นอกเย็นใจอยู่กับนิพพาน ก็ป้องกันโรคประสาท ไม่เป็นบ้า ไม่ตายเพราะเป็นโรคประสาทหรือเป็นบ้า เพราะนิพพานคุ้มครองเราอยู่ทุกคนในโลก ที่มันยังไม่เป็นโรคประสาทไม่เป็นบ้านั่นเป็นพระนิพพานมันคุ้มครองอยู่ คือความเย็นอกเย็นใจที่มันคุ้มครองอยู่ ไม่ให้เป็นโรคประสาทหรือเป็นบ้า
ถ้าไม่มีพระนิพพานในความหมายนี้คุ้มครองมันเป็นโรคประสาทกันมากกว่านี้ เป็นบ้ากันมากกว่านี้ จะตายกันมากกว่านี้ เราขอบคุณนิพพานกันบ้างสิว่ามันคุ้มครองให้รอดชีวิตอยู่ ก็ยังไม่ต้องบ้าไม่ต้องเป็นโรคจิต ไม่ต้องเป็นโรคประสาท ขอให้ธรรมะที่เราได้รับไปจากการบวชนี่ ออกไปแล้วให้มันมีเป็นความเย็นเป็นนิพพาน เป็นชีวิตเย็นคุ้มครองไม่ให้ต้องเป็นบ้า เป็นต้น นี่ผมใช้คำว่า อยู่กับนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ ชาตินี้ ชาตินี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ คนบางคนมันไม่เข้าใจ มันหาว่าพูดลด ลดค่าของนิพพาน นั้นมันโง่ ระวังคนนั้นแหละมันจะบ้าก่อน จะตายก่อน จะเป็นโรคประสาท
นิพพาน แปลว่า เย็น ทางกายก็เย็นกาย ทางจิตก็เย็นจิต รู้จักทำชีวิตให้เย็นกว่าก่อนที่มาบวช เมื่อเข้ามาบวชก่อนโน้นชีวิตไม่ค่อยเย็น มันร้อนมาก ก็ต่อไปนี้ออกไปนี้ต้องทำให้มันเย็น ก็ไม่เสียทีที่ได้บวช นี่ประโยชน์ส่วนตัวมีเท่านี้พอ การเข้ามาบวชนี้กลับออกไป มีชีวิตเย็น มันก็ไม่ต้องละอายแมวแน่
ทีนี้ก็ทางสังคม โดยทางสังคมคุณจะออกไปนี้ต้องมีความถูกต้องทางสังคมมากกว่าที่ก่อนหน้านี้ สังคมต้องการอะไรบ้างล่ะ สังคมก็ต้องการความสงบสุข สันติภาพ ถ้าแต่ละคนมีธรรมะ สังคมมันก็เยือกเย็น มันเป็นนิพพานของสังคมไปเลย เราก็มีครอบครัว บางทีมีอยู่แล้วก่อนบวช หรือว่ายังไม่มีออกไปนี้ก็จะต้องมีครอบครัว จะต้องสร้างให้เป็นครอบครัวที่เย็น ที่จะเป็นองค์ประกอบที่ดีของประเทศชาติ ประเทศชาติบ้านเมืองมันประกอบขึ้นมาด้วยครอบครัว ถ้าครอบครัวมันถูกต้องมันเย็น ไอ้บ้านเมืองประเทศชาติก็ถูกต้องก็เยือกเย็น
กระทั่งว่าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นี้ก็จะมั่นคง ถ้าประชาชนแต่ละคนมันเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ ชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ก็จะมั่นคง ทีนี้มันก็มีความสุขกันทั้งบ้านทั้งเมืองอย่างนี้ นี่เรียกเพื่อประโยชน์โดยทางสังคม แต่ละคนมันเป็นองค์ประกอบที่ดีของชาติหรือของโลก เพราะโลกนี้มันประกอบอยู่ด้วยคน ถ้าคนมันดีไอ้โลกนี้ก็เป็นโลกที่ดี มีสันติสุข สันติภาพ ถ้าคนมันไม่ดีเป็นคนร้อนไปทั้งหมดไอ้โลกนี้มันก็เลวและร้อนไปทั้งหมด นั้นเรามีธรรมะ เย็น เป็นคนเย็น รวมกันเป็นบ้านเมือง บ้านเมืองมันก็เย็น รวมกันเป็นประเทศ ประเทศมันก็เย็น รวมกันเป็นโลกมันก็เป็นโลกที่เย็น นี้เป็นความประสงค์ของพระพุทธเจ้า
ท่านเกิดเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาด้วยความประสงค์อย่างนี้ว่า จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่มนุษย์ แก่มหาชน ทั้งเทวดาและมนุษย์ คือทั้งโลกนี้ เราก็กำลัง กำลังดำเนินไปตามพระพุทธประสงค์ ให้มันเป็นโลกที่มีความสงบสุข มีสันติภาพ มีสันติสุข เป็นโลกที่เยือกเย็น ธรรมะจะแก้ปัญหาทางสังคมด้วย เราจะถือว่าบุคคลที่สองนี่มาแล้วมันก็เป็นสังคมแล้ว นั้นจะมีภรรยาเข้ามาสักคนก็เป็นเรื่องเป็นเรื่องสังคมแล้ว ถ้ามันเป็นบุคคลที่สองขึ้นไปจากตัวเรา เราเรียกว่าสังคม ฉะนั้นเราต้องมีธรรมที่จะแก้ปัญหาสังคมได้
นี่ถ้าเรามีครอบ...มีภรรยา แล้วก็มันต้องแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับภรรยาได้ พอมีบุตรธิดา มันก็ต้องแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับบุตรธิดาได้ พอมันเป็นครอบครัวมากขึ้นก็ต้องแก้ปัญหาได้หมด ในเมื่ออยากเป็นฆราวาสมันก็มีปัญ...มีหน้าที่อย่างนี้แหละ นั้นมันจึงศึกษาไว้ให้พอ แต่ว่าไอ้เรื่องสังคมนี้แม้อยู่เป็นพระเป็นบรรพชิตมันก็มี เพราะอยู่กันในวัดก็อยู่กันหลายคน ยังมีลูกศิษย์ลูกหาที่ต้องรับผิดชอบต้องดูต้องแล นี้มันก็เป็นเรื่องของสังคม ถึงอยู่ที่วัดก็มีสังคม ไปออกไปบ้านก็มีสังคม แต่สังคมที่บ้านมันยุ่งยากลำบากกว่าสักหน่อย
ฉะนั้นเราเตรียมพร้อมเพื่อจะแก้ปัญหาได้หมด ไม่ต้องไปเป็นคนนอนไม่หลับหรือปวดหัวอยู่อีก นั้นสรุปรวมว่าโดยส่วนตนด้วยโดยสังคมด้วย เราก็ได้สิ่งที่ควรจะได้ที่มนุษย์ควรจะได้ ที่มนุษย์ทั้งโลกมันควรจะได้ ไอ้โลกมนุษย์ทั้งโลกมันควรจะได้สิ่งเหล่านี้แหละ คืออยู่กันเป็นสันติสุข สันติภาพ เพราะเราปฏิบัติถูกต้องต่อสิ่งทั้งปวงซึ่งลึกลับซับซ้อนที่สุด ถ้าไม่ศึกษาให้เพียงพอก็รู้ไม่ได้ ก็แก้ไขมันไม่ได้ แต่นี้เราอุตส่าห์ลงทุนบวช ๓ เดือน ซึ่งที่จริงมันก็ไม่ใช่สั้นนักหรอก ถ้าเราใช้ให้ถูกวิธี ๓ เดือนนี้ไม่สั้นนัก พอที่จะทำความรู้ความเข้าใจที่เพียงพอได้ แต่ถ้าเราใช้มันไม่ถูกต้อง ๓ ปีก็ไม่พอ ถ้าใช้มันดีใช้มันถูกต้อง ๓ เดือนก็พอ หรือว่า ๓ อาทิตย์ก็ยังอาจจะพอ
ผมกล้าพูดว่าเราพูดกันสัก ๑๐ ชั่วโมงนี่ ถ้าคุณเข้าใจทั้งหมดผมว่าพอ ไม่เสียที่ที่เราจะเปิดมหาวิทยาลัย ๑๐ ชั่วโมง โดยการพูด ๑๐ ครั้งๆละ ๑ ชั่วโมง ผมจะสรรหามาอย่างดีที่สุดตามสติปัญญาที่ได้สะสมมาเป็นเวลาตั้ง ๕๐ กว่าปีแล้วนะ ว่าจะพูดอะไรอย่างไรในเวลาอันสั้น และเพียงพอแก่ความต้องการของบุคคลที่จะมีชีวิตที่เย็นอย่างสงบสุขอยู่ในโลกนี้กับเขาสักคนหนึ่ง อันนี้ผมเรียกว่าทำความเข้าใจในเบื้องต้น ปฐมนิเทศนี้ยังไม่ได้พูด
วันหลังๆก็จะพูดตามที่สัญญานี่ จะพูด ๑๐ ครั้งๆละ ๑ ชั่วโมง ตอนเช้าครั้งหนึ่ง ตอนบ่ายครั้งหนึ่ง ตอนค่ำครั้งหนึ่ง วันละ ๓ ครั้ง ถ้าจะมีอะไรมาแทรกแซงเสียบ้าง ฝนตกบ้างอะไรบ้างเราก็ยังมีเวลาพอ ต้องการเวลา ๓ วันกับ ๑ ครั้งรวมเป็น ๑๐ ครั้ง
วันนี้ก็ยุติการพูดจาปฐมนิเทศ หรือการปรับปรุงความเข้าใจกันในเบื้องต้น เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับที่จะพูดจาให้มีประโยชน์ในวันต่อไป วันนี้พอ ปิดประชุม