แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นราชภัฎ บวชต้องลาสิกขาทั้งหลาย การให้บรรยายของเราเป็นครั้งที่ ๑๐ นี้ ผมจะกล่าวโดยหัวข้อว่าทุกสิ่งอยู่เหนือปัญหา คือมันเป็นตอนสุดท้ายของเรื่องที่ดำเนินมาจนถึงกับว่า พบชีวิตจริงซึ่งเต็มไปด้วยความสะอาด สว่าง สงบ นี่เรียกว่าพบชีวิตจริง และทุกสิ่งก็อยู่เหนือปัญหา ผลสุดท้ายมันอยู่ที่นั่น หรือจะกล่าวว่าขอให้ทุกคนพยายามที่จะให้ทุกสิ่งอยู่เหนือปัญหา
ไอ้เหนือปัญหาในที่นี้ก็คือ มันอยู่เหนือความที่มันจะเป็นปัญหาขึ้นมา มันไม่อาจจะเป็นปัญหาโดยประการทั้งปวง เรามีชีวิตชนิดที่ไม่มีอะไรที่จะเกิดเป็นปัญหาขึ้นมาได้ นั่นแหละลองคิดดูเถิดว่า มันดีหรือไม่ดี มันดีสักกี่มากน้อย จริงๆคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้อยู่ในธรรมะ ในภาษาธรรมะ ในระบบของธรรมะ สิ้นกิเลส สิ้นตัณหา สิ้นทุกข์ สิ้นกรรม กระทั่งว่าสิ้นปัญหา
เมื่อสิ้นปัญหา ไม่มีอะไรที่อาจจะเป็นปัญหาก็คือไม่มีอะไรที่จะเป็นทุกข์ เพราะปัญหาก็คือความหมายเดียวกันกับความทุกข์ เราต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย นี่คือปัญหา นี่คือความทุกข์ เมื่อพบชีวิตจริงอย่างที่พูดกันแล้วในการบรรยายครั้งที่แล้วมานั้น มีจิตสะอาด มีจิตสว่าง มีจิตสงบ ก็พอจะเข้าใจได้กระมัง ไอ้ความสะอาด ความสว่าง ความสงบ เพราะมันไม่มีกิเลสนั่น หมายความว่าจิตไม่ติดข้องอยู่ในสิ่งใดด้วยความยึดมั่น เมื่อยังมีความยึดมั่นอยู่มันก็ไม่สะอาด ไม่สว่าง ไม่สงบ มันก็สกปรกมืดมัวและเร่าร้อน ไม่ติดอยู่ในสิ่งใด ไม่ข้องอยู่ในสิ่งใด เพราะว่ามันไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด นั่นคือเรียกว่าไอ้ความหลุดพ้นของจิต หรือจิตมันหลุดพ้น
ในที่สุดนี้ เราก็ควรจะรู้จักคำว่าวิมุติหรือหลุดพ้นกันเสียที เมื่อหลุดพ้นแล้วมันก็อยู่เหนือปัญหาทั้งปวง โดยประการทั้งปวง คำว่าหลุดหรือติดนี่ก็ยืมคำชาวบ้านเด็กๆมา มาใช้ มันเป็นคำของชาวบ้านใช้ มาเป็นภาษาธรรม ทางจิต ทางวิญญาณ จิตไม่ติดอยู่ในอะไร หลุดออกไปได้เหมือนกับนกหลุดจากบ่วง จากไอ้ที่เครื่องติด เครื่องขัง วิมุติแปลว่าหลุดพ้น หลุดพ้นก็เพราะว่าไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ไอ้ความยึดมั่นถือมั่นด้วยอวิชชา อุปาทานนี่เหมือนกับว่าบ่วงหรือเหมือนกับว่ายางเหนียว หรือทุกๆอย่างที่มันทำให้มันติดกันอยู่ที่นั่น พอสิ่งที่ทำให้ติดไม่มี มันก็หลุด กิเลสนั่นแหละเป็นเครื่องทำให้ติด โดยเฉพาะก็คือสิ่งที่เรียกว่าอุปาทาน
ทบทวนลำดับในปฏิจจสมุปบาทดู ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ตรงนั้นน่ะมีที่ติด มีเครื่องติด แล้วก็มีการติด ตรงนั้นไม่เกิดหรือไม่มี ไม่มีไม่เกิดอุปาทาน หรือไม่มีอุปาทาน มันก็หลุดโดยไม่ต้องติดคือไม่ติด แต่ถ้ามีมันก็ติด ติดก็ต้องแก้ไขให้หลุด อย่างที่พูดกันมาแล้วเรื่องอาศัยปัญญาเป็นเครื่องทำให้หลุด ทีนี้ว่าหลุดน่ะจะพิจารณากันดูว่าหลุด หรือจะไม่ติดก็เพราะจิตมีปัญญา มีความรู้ จิตสัมผัสอารมณ์ทั้งหลายด้วยความรู้สึกแห่งตถาตา ถ้าเป็นคำแปลกสำหรับท่านผู้ใดก็จดไว้ จำไว้ให้แม่นยำ ตถาตา เขียนลงไปตรงๆเลย แปลว่าความเป็นเช่นนั้นเอง ตถาแปลว่าเช่นนั้นเอง ตาแปลว่าความ ตถาตาแปลว่าความเป็นเช่นนั้นเอง แต่บางทีก็เรียกสั้นๆว่า ตถา ก็มี
สัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในสิ่งใดก็ตามด้วยความรู้สึกตถาตา หรือเห็นตถาตาอยู่ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง อารมณ์อะไรน่ารัก น่าเกลียด หรือน่ากลัว (นาทีที่ 7.46)น่าชัง มันเช่นนั้นเอง ก็คือไม่มีความหมายแห่งความน่ารัก น่าโกรธ น่าเกลียด น่ากลัว เช่นนั้นเอง เป็นพระพุทธภาษิตที่ตรัสอยู่ แต่เผอิญจะด้วยเหตุไรก็ไม่ทราบ ไม่ค่อยมีใครเอามาพูดจาสั่งสอนกันในพวกเราเถรวาท แต่ทางฝ่ายมหายานฝ่ายโน้นเขากลับเอาไปพูดกันมาก เอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้มาก มีชื่อในภาษาจีนใหม่ ไปแปลว่า ยู่สี ซึ่งก็แปลว่าเช่นนั้นเองคือตามเดิม เขาสอนเรื่องเช่นนั้นเองให้รู้จักใช้ความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วมันก็ไม่ไปติดในสิ่งใด ไม่ไปรัก ไปโกรธ ไปเกลียด ไปกลัวในสิ่งใด ก็มีชีวิตเป็นสุขแม้ในบ้านเรือน
นี้ตถาตา(นาทีที่ 08.58) ก็ได้ ตถาตาก็ได้ ตถาเฉยๆก็ได้ แปลว่าเช่นนั้นเอง หรือความเป็นเช่นนั้นเอง จะอธิบายกันในแง่ใหนก็ได้ ในแง่ที่เราพูดกันโดยมากก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจังเปลี่ยนแปลงเรื่อย ไหลเรื่อย นี่เป็นอนิจจัง ทุกขัง ดูแล้วน่าเกลียด เพราะมันขบกัดเอากับบุคคลผู้เข้าไปยึดถือ แม้ไม่เกี่ยวข้องกันมันก็ยังน่าเกลียดเพราะว่ามันเปลี่ยนแปลงเรื่อย มันไม่จริง นี่เรียกว่าทุกข์ ทุกขังแปลว่าทรมาน ทนยาก นี่ล่ะทุกข์เจ็บปวดแก่ชีวิตที่มีความรู้สึก นี้แม้ไม่มีความรู้สึกเช่นก้อนหินอย่างนี้ก็มีความเป็นอนิจจัง คือเปลี่ยนเรื่อย การที่เปลี่ยนเรื่อยนั้น น่าเกลียด และทรมานใจแก่ผู้เห็น ก็เรียกว่าทุกขัง มันเป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง และก็เป็นอนัตตา ไม่ควรจะถือว่าตัวตน นี่คือความเป็นเช่นนั้นเอง เห็นอย่างนี้ชัดก็เรียกว่าเห็นเช่นนั้นเอง
พอเห็นเช่นนั้นเองแล้วจะไป จะไปประหลาดอะไรล่ะ คำว่าเช่นนั้นเองมันมีอานิสงค์รอบด้านน่ะ คือไม่ทำให้ คือในชั้นแรกนี้ ไม่ทำให้ไปยึดเอาเข้าเป็นตัวเราของเรา มันเป็นเช่นนั้นเอง แค่นั้นเอง เท่านั้นเอง ไม่น่ารัก ไม่น่าเกลียด ไม่น่าโกรธ ไม่น่ากลัว ไม่น่าอะไรหมด ทีนี้จิตก็ไม่ติดในสิ่งที่มีความเป็นเช่นนั้นเอง หรือจะใช้คำว่า อริยสัจ ๔ ทุกข์เป็นอย่างนี้ เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างนี้ ความดับสนิทแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้ ทางให้ถึงความดับทุกข์เป็นอย่างนี้ นี่ก็เป็นตถาตาอย่างยิ่ง มันเป็นอย่างนี้ เป็นเช่นนี้เอง ให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้
หรือปฏิจจสมุปบาททั้งสายที่พูดกันไปแล้ว เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เป็นสาย เป็นปฏิจจสมุปบาท นั่นก็คือความเป็นเช่นนั้นเอง ถ้าเห็นชัดความเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเองแล้วก็ ยึดไม่ได้หรอก มันไม่ยึดถือเพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง มันจะไม่มาเป็นอย่างที่เราต้องการเป็นอันขาด นี่ความที่มันต้องเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ดี ความที่ต้องเป็นปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตาก็ดี เรียกว่าเช่นนั้นเอง ตามธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ หรือตามปฏิจจสมุปบาทซึ่งเป็นกฎของธรรมชาติ ฉะนั้น คุณก็ทำความเข้าใจในความหมายของมันให้ดีๆเถิดว่ามันเช่นนั้นเอง
เอ้า... ทีนี้ก็ดู เหลียวไปทางใหน เหลียวไปรอบด้าน เหลียวข้างบน เหลียวข้างล่างให้มันเห็นเช่นนั้นเองของต้นไม้ ของก้อนหิน ของดิน ของทราย ของโลก ของดวงอาทิตย์ ของอะไรก็ทุกอย่างน่ะ เอ้า... มันก็เช่นนั้นเอง เราก็จะไม่เกิดความรู้สึกว่าน่า น่าอัศจรรย์หรือว่าน่าสนใจ น่ารักก็มี น่าโกรธก็มี น่าเกลียดก็มี น่ากลัวก็มี นี่นั่นน่ะมันไม่เห็นเช่นนั้นเอง เห็นเช่นนั้นเองแล้วมันก็คือเช่นนั้นเอง มันหยุดอยู่แค่เช่นนั้นเอง ถ้าเราไม่เช่นนั้นเอง เราก็จะต้องมีความรู้สึกอย่างน้อยที่เขาจัดเป็นประเภทใหญ่ๆ มี ๒ อย่าง ชอบหรือไม่ชอบ ถ้าชอบถ้ารักอันนี้ก็เรียกว่า อภิชฌา อภิชฌา ถ้าว่ามันไม่ชอบ มันไม่รัก มันไม่ ก็เรียกว่าโทมนัส
ไอ้คำนี้ในที่อื่นหมายความอย่างอื่นน่ะ ไอ้โทมนัสกับ (นาทีที่ 13.46)ทุมนัส คือจิตชั่ว จิตไม่ชอบ อภิชฌาหรือเพ่งเล็งคือจะเข้าไปเอา คำนี้ดีมากแต่ว่าเราไม่ค่อยใช้กันล่ะ อภิชฌาและโทมนัส แบ่งเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเราจะไปอภิชฌา ฝ่ายหนึ่งเราจะไปโทมนัส ในพระบาลีมหาสติปัฏฐานท่านใช้คำนี้ว่า วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ปฏิบัติสติปัฏฐานนี้ก็เพื่อที่จะวินัยยะ คือรื้อออกเสียซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลก นำออกเสีย กำจัดเสียซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลก
โลกทั้งหมดนี่มันก็มีให้สองอย่าง ให้เกิดความรู้สึกอภิชฌาอยากจะได้อย่างหนึ่ง ให้เกิดโทมนัสนี่ไม่เอา อยากจะทำลายเสียอย่างหนึ่ง ทีนี้สองคำนี้มันแจกลูกไปได้มาก เมื่ออยากได้ ฝ่ายที่อยากได้มันก็สนใจ อยากจะเอา อยากจะเป็น เกิดความรัก เกิดอะไรไปตามเรื่องตามอะไร อยากที่ไม่เอา ฝ่ายโทมนัสมันก็เกิดความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความอยากจะทำลายเสีย ล้วนแต่ยุ่งทั้งนั้นน่ะ ทำให้จิตมันยุ่ง ให้เหลียวไปทางใหน มันก็เห็นเป็นเช่นนั้นเอง จืดชืดหรือเกลี้ยง ไม่ยั่วให้เกิดรู้สึกอภิชฌาและโทมนัส เราจะเหลียวไปทางใหนก็จะเห็นแต่เช่นนั้นเอง คุณลองทำดูบ้าง
ถ้าในป่าอย่างนี้อาจจะง่ายหน่อย แต่ถ้าในเมืองที่เต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรงทางเพศนั่น เช่นนั้นเองอยู่ไม่ได้ มันก็ไปหลงรักเข้า หรือเมื่อมันไม่ได้ มันก็หลงโกรธ หลงเกลียดเข้า เพราะฉะนั้นมันจึงเกิดอาชญากรรมเต็มไปทั้งเมืองหลวง เพราะเขาไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นเองน่ะ เขามีความรู้สึกของกิเลสที่จะเอาให้ได้ ที่จะเอาให้ได้ หรือว่าอะไรถ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง มีเรื่องอะไรที่เข้ามาเกี่ยวข้องที่จะมาเป็นบ่วงคล้องเราไป ถ้าเห็นเช่นนั้นเองมันก็คล้องไม่ติด ถ้าเราไม่เห็นว่าเช่นนั้นเองก็ไปกินเหยื่อเข้า มันก็คล้องไปติด ก็เป็นบุคคลที่เขาสามารถจะดึงหัวไปได้ เพราะเราไม่เห็นเช่นนั้นเอง
นี่คุณเข้าใจคำนี้ให้ดีๆ บางคนเขาสั่นหัว เขาเห็นเป็นเรื่องพูดเล่น เช่นนั้นเอง เท่านั้นเอง แค่นั้นเอง เรื่องพูดเล่น ที่จริงน่ะมันเป็นคำที่สรุปความหมายในพระพุทธศาสนาทั้งหมดไว้ ความรู้หรือการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาทั้งหมดมันไปรวมอยู่ที่ให้เห็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง หัวใจพระพุทธศาสนาคือเห็นเช่นนั้นเอง แล้วก็จบ เรื่องมันไม่เกิดกิเลส มันจบ แต่บางคนเห็น โอ้... คำพูดเล่นๆเด็กๆ ก็ตามใจ
ทีนี้อยากจะให้มองให้เห็นให้ชัดถึงกับว่า ถ้าเราเห็นเช่นนั้นเองแล้วน่ะ เราจะไม่เกิดความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว นั่นน่ะในเมื่อไม่เกิดความรัก ความเกลียด ความโกรธ ความกลัวในสิ่งใด มันก็ไม่มีปัญหา พอเกิดรัก โกรธ เกลียด กลัว ขึ้นมามันมีปัญหา หรือมันยั่ว เพียงแต่ยั่วให้รัก ให้โกรธ ให้เกลียด ให้กลัว มันก็คือปัญหา เดี๋ยวนี้เราอดทุกสิ่งอยู่เหนือปัญหา หรือทุกสิ่งไม่ทำให้เรารัก โกรธ เกลียด กลัวได้ อยู่เหนือปัญหา
ปัญหามันเกิดเพราะว่ามันไปอยากอะไรเข้าด้วยตัณหาหรืออุปาทาน เรามีปัญหาต่อเมื่อเราอยากได้อะไรเป็นจุดแรก เพราะว่าความทุกข์หรืออุปสรรค หรือปัญหาหรืออะไรก็ตาม มันตั้งต้นที่เราไปอยากอะไรเข้าด้วยความโง่ เพราะว่าถ้าด้วยฉลาดด้วยปัญญาแล้วมันเห็นเช่นนั้นเองแล้ว มันไม่อยากอะไรหรอก ฉะนั้นถ้าอยากอะไรก็แล้วมันต้องอยากด้วยความโง่ ไม่เห็นเช่นนั้นเอง
ทีนี้มันอาจจะมีปัญหาซ้อนมาว่า เห็นเช่นนั้นเองแล้วก็ไม่ทำอะไรอย่างนั้นน่ะ เห็นเช่นนั้นเองแล้วทำไปได้ตามที่มันเข้ารูปกันได้กับเช่นนั้นเอง ฉะนั้นอย่าเข้าใจว่าเห็นเช่นนั้นเองแล้วก็จะไม่ทำอะไร อย่าทำด้วยความอยากคือตัณหา หรือด้วยความยึดมั่นคืออุปาทานนี่มันก็เท่ากับว่า ไม่ได้ ไม่ได้มีการกระทำจะทำให้จิตใจที่เครียด เอ่อ.. หรือว่า เอ่อ... เต็มอัดอยู่ด้วยความอยากหรืออุปาทานแล้ว มันก็เป็นการกระทำที่มีความหมายขึ้นมาล่ะ คือเป็นปัญหาขึ้นมา
ฉะนั้นเราหาทรัพย์สมบัติก็ได้ หาอะไรก็ได้ เราได้อะไรมาก็ได้ เรามีอะไรไว้ก็ได้ เรากินอะไรก็ได้ เราเก็บสะสมอะไรก็ได้ แต่อย่าทำด้วยความโง่คือตัณหาอุปาทาน ให้ทำไปด้วยความรู้สึกว่า ทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง ไอ้เราผู้มี ผู้หา ผู้กิน ผู้ใช้ ก็เช่นนั้นเอง ไอ้ของที่ได้มาเพื่อมี เพื่อกิน เพื่อใช้ เพื่อเก็บไว้ ก็เช่นนั้นเอง นี่มีความรู้สึกแห่งเช่นนั้นเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าให้ท่องนะ ไม่ใช่เพียงแต่ว่าท่อง ท่องไว้ว่าจะเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ไม่ได้ มันต้องเป็นความรู้ เป็นความรู้แจ้ง เป็นความรู้แห่งใจ รู้สึกแห่งใจ เพราะเราฝึกฝนมาเพียงพอแล้ว คือในขณะแห่งวิปัสสนานั้น เราฝึกฝนการเห็นเช่นนั้นเองมาพอแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตามาพอแล้ว มันสรุปรวมความหมายเป็นเช่นนั้นเอง
นี่ก็เผชิญกับอะไรเข้าก็ โอ้... ก็เช่นนั้นเองมา มาก่อนเลย สติพามาก่อนเลย สติพาปัญญาว่าเช่นนั้นเองมาทันควัน จึงไม่มีปัญหา นี้เราไม่อยากจะรู้ด้วยกิเลสตัณหา เราอยากรู้ด้วยสติปัญญา ไอ้ความอยากรู้หรือความสงสัยนั้นก็ไม่เป็นปัญหาที่เสียบแทงจิตใจเรา ที่เราหวังด้วยกิเลสตัณหาจะเอาให้อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วมันไม่รู้ มันรู้ไม่ทันใจ มันเล่าเรียนไม่ทันใจ อย่างนี้มันก็เสียบแทงจิตใจเป็นปัญหา เรายังไม่รู้อะไรในสิ่งที่ต้องรู้ เราก็ไม่มีกิเลสตัณหาที่จะเข้าไปผูกพัน นั้นก็ทำไปได้ ทำไปได้โดยที่ไอ้สิ่งนั้นมันไม่แผดเผาหัวใจเรา อย่างนี้เรียกว่าทำไปด้วยเช่นนั้นเอง ด้วยความรู้ ตถาตา เช่นนั้นเอง
ไม่ใช่ว่าจะไม่ต้องทำอะไร ไม่ใช่ว่าไม่ต้องศึกษาเล่าเรียน หรือว่าไม่ใช่ว่าไม่ต้องทำให้รู้อะไรยิ่งๆขึ้นไป สิ่งที่มันไม่รู้ก็ทำให้รู้ แต่อย่าทำให้มันเป็นปัญหาที่แผดเผาหัวใจ ไม่เป็นอุปสรรค ถ้ามีความหมายแห่งปัญหามันจะแผดเผาหัวใจ ถ้ามีความหมายแห่งอุปสรรคมันก็จะแผดเผาหัวใจ ขึ้นชื่อว่าปัญหาที่เรายังไม่รู้มันก็คืออุปสรรคชนิดหนึ่งน่ะ แล้วมันก็เสียบแทงจิตใจให้เป็นทุกข์ เราจะไม่ยอมให้สิ่งใดเกิดเป็นปัญหาหรือเกิดเป็นอุปสรรคแก่เราได้ เมื่อเราไม่ต้องการมัน มันก็ไม่ ไม่ ไม่มีทางที่จะขัดขวางอะไรเรา เราไม่ต้อง ไม่ต้องหมายมั่นที่จะเอา ที่จะได้ ที่จะไป ที่จะกิน ที่จะใช้ ที่จะอยู่ ไม่หมายมั่นด้วยกิเลสตัณหา
ทีนี้ถ้ามีอะไรมาขัดขวางมัน ก็ไม่ ไม่เป็นปัญหาที่เสียบแทงจิตใจเรา เราก็แก้ไขมัน แก้ไขมัน แก้ไขมันด้วยปัญญาว่าเช่นนั้นเองอย่างนี้ เช่นนั้นเองอย่างนี้ นี้เช่นนั้นเองอย่างนี้ นี้เช่นนั้นเองอย่างนี้ มันมีความเป็นเช่นนั้นเองของอะไรเป็นอะไรเราก็รอบรู้ และเราก็ทำให้มันลุล่วงไปได้ผลตามที่เราต้องการ โดยที่สิ่งนั้นๆมันไม่ออกมาต่อต้านเราในฐานะที่เป็นอุปสรรคหรือเป็นปัญหา แม้ที่สุดแต่ว่าเรามีศัตรูคู่อาฆาตอันร้ายกาจ เรามองดูมัน มันเช่นนั้นเองน่ะ มันเช่นนั้นเอง คือเราไม่ต้อนรับเขาอย่างศัตรู เราต้อนรับเขาอย่างที่สิ่งที่เป็นเช่นนั้นเองอยู่ตามธรรมชาติ ในโลกนี้ แล้วมีเช่นนั้นเองไหนที่จะแก้ไขไอ้ความเป็นศัตรูนี้ได้ เราก็ใช้ความเป็นเช่นนั้นเองข้อนั้นแหละทำลายความเป็นศัตรูเสีย อย่างนี้เราเหนือกว่าเรื่อยไป ทำให้เราเป็นทุกข์ไม่ได้ แล้วเราก็ทำลายมันได้ ชนะมันได้ ทำให้หมดไอ้ภาวะที่ไม่พึงปรารถนานั้นได้
เช่นนั้นเองมันเป็นกฎของธรรมะ เป็นกฎของธรรมชาติ ใช้ให้ถูกต้องในทุกกรณี เราก็เลยไม่มีอุปสรรค ไม่มีศัตรู เราไม่มีอุปาทานว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็ไม่ผิดหวัง เพราะเรามันไปหวังให้มันโง่ มันก็มีการผิดหวัง อย่าทำอะไรด้วยความหวัง อย่าใช้ความหวังเป็นสรณะ เหมือนที่เขาสอนกันโดยมาก สมัยนี้อะไรก็ให้หวัง พอหวังมันก็กัดเอาน่ะ พอลงมือหวังมันก็แผดเผาหัวใจเรื่อยไปตลอดที่มันยังมีความหวัง ฉะนั้นอย่าไปหวังกับมันสิ มีปัญญารู้ว่าทำอย่างไรก็ทำไปโดยไม่ต้องหวัง ฉะนั้นจึงไม่ ไม่มีผิดหวัง
ผมก็คิดว่ามันเข้าใจยากสักหน่อย คุณคงจะเข้าใจไม่ค่อยจะได้ บางทีมันอาจจะเป็นไอ้ ไอ้การฟังครั้งแรกก็ได้ มีเช่นนั้นเองใช้แก้ปัญหาทุกอย่าง เมื่อเห็นเช่นนั้นเองแล้วจะไม่เกิดอุปสรรค จะไม่เกิดปัญหา จะไม่เกิดศัตรู และก็จะไม่มีการผิดหวังชนิดที่ผู้หญิงก็ไปโดดน้ำตาย ไปฆ่าตัวตาย หรือชนิดที่ผู้ชายก็เอาปืนมาแล้วก็ยิงหมดทุกคน แล้วก็ยิงตัวเอง ไอ้ความผิดหวังมันเกิดมาจากไอ้ความที่มันไม่เห็นว่ามันเป็นเช่นนี้เอง คนแต่ก่อนสมัยโบราณปู่ย่าตายายเขาเห็นมากกว่าคนสมัยนี้นะ ทั้งเขาอยู่ในสมัยโน้นที่ว่าไม่ค่อยรู้หนังสือ เราหาว่าโง่เง่าน่ะ เขารู้เรื่องนี้มากกว่าเรานะ รู้โดยวัฒนธรรม โดยการอบรมกันมา โดยวัฒนธรรมด้วย มันมีอยู่จริง คือว่า ยายแก่ตาแก่ก็ได้ ก็บอกไอ้เด็กๆว่า เอ้ย... อย่าไปร้องไห้เลยหลานเอ๋ย มันเป็นอย่างนี้เอง
เดี๋ยวนี้คุณพูดเป็นไหม พวกคุณสมัยนี้กำลังจะพูดไม่เป็น ไอ้ตาแก่ยายแก่สมัยโน้นเขาพูดเป็น อย่ามานั่งร้องไห้ลูกเอ๋ย มันเป็นอย่างนี้เอง ถ้าผัวเขาทิ้งหรือเมียมันมีชู้ ก็บอกว่ามันอย่างนี้เองล่ะ ไม่ต้องมีปัญหา ที่จะไปฆ่าเขาตาย หรือจะฆ่าตัวเองตายเหมือนคนสมัยนี้ อ่านหนังสือพิมพ์แล้วใจหาย เอ๊ะ... ทำไมเรื่องอย่างนี้มันต้องฆ่าตัวเองตาย มันโง่ร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า ซึ่งคนแก่สมัยโบราณเขาบอกได้ ว่ามันอย่างนั้นเอง แล้วก็เลิกกัน เมียมันมีชู้ก็ไปหาใหม่ได้ ผัวมันทิ้งไปมันก็หาใหม่ได้ มันไม่ต้องมาร้องไห้ ไม่ต้องฆ่าตัวเอง ไม่ต้องฆ่ากันหมดบ้านเหมือนสมัยนี้
สมัยนี้มันเลวลงเห็นไหมในความรู้เรื่องเช่นนั้นเอง เราไม่ ไม่ไปหวังมัน ไม่ไปหวังให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มองดูแต่ว่ามันต้องเป็นเช่นนั้นเอง มันต้องเป็นไปเช่นนั้นเอง พอเราไปหวังแล้วมันก็ไม่ได้อย่างหวัง ไม่ได้อย่างหวังนั่นแหละคืออุปสรรค คือปัญหา คือไอ้ความทุกข์
นี้คงจะเข้าใจยากนะ คืออยากจะพูดถึงพระอรหันต์บ้าง พระอรหันต์นั่นคือผู้ที่ถึงถึงความเป็นเช่นนั้นเอง เป็นตถาคต ปฏิบัติถึงที่สุดแล้วเขาเรียกว่าตถาคตสมัยโน้น ที่เรียกว่าพระอรหันต์นั้นก็มี แต่คำที่เป็นกลางกว่า เรียกว่าตถาคต ถึงตถา ผู้ถึงตถา แม้ในลัทธิอื่นนอกจากพุทธศาสนาเขาก็ใช้คำนี้ ในฝ่ายมิจฉาทิฐิ (นาทีที่ 30.13)อันตกายกทิฏฐิ เขาก็ใช้คำว่าตถาคต เช่นว่า ตถาคตตายแล้วเกิดอีกหรือไม่ ตถาคตตายแล้วมีอีก ไม่มีอีกหรือไม่ นี่ใช้คำว่าตถาคตน่ะ คือว่าผู้ที่ถึงที่สุดแห่งการปฏิบัติธรรม เห็นตถา เห็นสิ่งที่คงตัวไม่เปลี่ยนแปลงนั้นแล้วเรียกว่าตถา ในฝ่ายพุทธศาสนาเราเรียกว่าพระอรหันต์
เมื่อถูกต้องตามที่เป็นจริง เป็นพระอรหันต์ถูกต้องตามที่เป็นจริง ก็เห็นตถา ถึงตถา ถึงความเห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง พระอรหันต์ก็เลยลอยตัว เรียกว่าลอยตัวดีกว่า ลอยขึ้นอยู่เหนือปัญหาทั้งหลาย มันจึงไม่มีความหมายอะไรที่จะใช้แก่พระอรหันต์ ประมาณเครื่องบัญญัติ คำพูด อันนี้จะไม่มีแก่พระอรหันต์ ว่าได้ ว่าเสีย ว่ามี ว่าไม่มี ว่าแพ้ ว่าชนะ ว่าทุกอย่าง (นาทีที่ 31.22)อัตถังคตานัง นัปปะมานัตถิ ประมาณไม่มีแก่พระอรหันต์
ไอ้เรามันมีประมาณที่พูดกันอยู่นี่ เราได้ เราเสีย เราแพ้ เราชนะ เราขาดทุน เรากำไร เราอยู่ เราตาย เราอะไรก็ตาม นี้คือ ประมาณ บัญญัติ พูด ก็เพราะเรามันมีจิตยึดมั่นถือมั่น มีตัวเรา และตัวเรามันก็ต้องได้ ต้องเสีย ต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เพราะมันโง่เห็นเป็นตัวเรา มันก็ไม่เห็นเช่นนั้นเองของทุกสิ่งทุกอย่าง ภายนอกสังขารร่างกายจิตใจ ก็เช่นนั้นเอง ภายใน ความรู้สึก เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เช่นนั้นเอง นี่พระอรหันต์ถึงเช่นนั้นเอง ฉะนั้นปัญหาจึงไม่มี เช่นนั้นเอง มันเลิกความหมายเสียหมดน่ะ
นี้ที่นี่เราเห็นก้อนหินนะ เรามีประมาณว่าก้อนหินนะ และเรามีคุณ เรารู้สึกต่อคุณค่า คุณค่าน่ะ คุณสมบัติน่ะ ของก้อนหินนะ มันก็มีก้อนหิน แต่ถ้าเราไม่คำนึงถึงคุณค่า คุณสมบัติ บัญญัติ ประมาณอันนี้ มันก็ไม่มีก้อนหิน นี่แม้แต่ของอย่างนี้มันก็เสมือนว่าไม่มี มันนอนขวางเกะกะอยู่อย่างนี้ ถ้าว่าก้อนหินนี่ขายได้แพงด้วยก็ยิ่งดีใหญ่เลย ยิ่งมีค่าใหญ่ มันไม่เห็นเช่นนั้นเอง
นี่เราไม่เห็นเช่นนั้นเอง ในเงิน ในทอง ในของรัก ของพอใจ ในเรื่องเพศ เรื่องวัตถุแห่งเพศ เราไม่เห็นว่า เช่นนั้นเอง ไปเอาที่คุณค่าของมัน ที่เราเคยรู้ว่าให้ความเอร็ดอร่อยอย่างไร มันก็ปิดเช่นนั้นเองหมด เห็นแต่น่ารัก น่าพอใจ พอมันไม่ ไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ มันก็เกิดความหมายตรงกันข้าม คือความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา นี้เพราะไม่เห็นเช่นนั้นเองเสียแต่ทีแรก ไปรักมันเข้า พอไม่ได้อย่างรักหรือพลัดพรากจากของรักมันก็กลับมาในอีกรูปหนึ่ง เป็นความโกรธ ความเกลียดอะไรขึ้นมา มันก็เผาอีกทีหนึ่ง
ฉะนั้นได้มันก็เผาอย่างของได้มา หายไปก็แผดเผาอย่างของที่หายไป ไอ้คนโง่นี่มันไม่เห็นเช่นนั้นเอง มันก็เป็นทุกข์ เหมือนกับเอาน้ำร้อนมาลวกหัวใจของมัน คงจะเคยเป็นกันมาแล้วกระมัง ไม่อาจจะพูดอะไรได้ เหมือนกับว่าหยิบขึ้นมาดูได้ แต่พูดสำหรับที่จะไปคิดนึก ศึกษา เปรียบเทียบให้มันเข้าใจยิ่งๆ ขึ้นไป ฉะนั้น พระอรหันต์จึงมี อะไรของท่านล่ะ มี มี ภาวะของท่าน ไม่มีอะไร โลกนี้ว่าง ว่าง โลกนี้ว่าง ไม่มีอะไรที่น่ายึดถือ โดยความเป็นตัวตนของตน โลกนี้มันว่าง
นี่เราปุถุชนไม่ว่าง เต็มไปด้วยของที่ยึดถือ ยึดถือทางรัก ยึดถือทางไม่รัก พอตื่นนอนขึ้นมามันก็เต็มไปด้วยของที่มีความหมาย สำหรับไปยึดถือ บนเรือน ข้างล่าง นอกบ้าน นอกเรือน ถนนหนทาง ที่ใหนก็เต็มไปด้วยของที่มีความหมายสำหรับจะน่ารัก น่ายึดถือ มันไม่เห็นเช่นนั้นเอง พอเห็นเช่นนั้นเอง โอ้... มันเป็นเช่นนั้นเอง ตามกฎของธรรมชาติ แม้แต่ร่างกายภายในของเรา จิตใจของเรา มันก็ไม่ยึดถือ มันก็ว่าง จิตอยู่ด้วยความว่างตลอดเวลา ตื่นนอนขึ้นมา ไม่มีอะไรเกะกะ ไม่มีอะไรกระทบจิต ไม่มีอะไรกระทบ หู ตา มันก็ว่าง มันก็สบาย
เราจะต้อง ทำไมจะต้องถูฟัน จะต้องอาบน้ำ จะต้องกินข้าว จะต้องแต่งตัว ก็ไม่มีอะไรให้เกิดรู้สึกหงุดหงิด ผิดหวัง กระทบกระทั่ง เพราะมันเข้าไปอยู่กับเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ทำไปด้วยต้องแก้ปัญหาไปด้วยไอ้แก้ แก้สิ่งที่เราไม่ต้องการเพราะความเป็นเช่นนั้นเอง สมมุติว่าเสื้อขาดนี้ก็ไม่ต้องหวั่นไหวในจิตใจ ก็เย็บมันเสียสิ มันขาดก็คือเช่นนั้นเอง เย็บเสียใหม่ก็คือเช่นนั้นเอง ไม่ต้องมีจิตที่หวั่นไหว อะไรที่มาทำให้หวั่นไหว เพราะเรามีความโง่รับเอามันจึงเกิดความหวั่นไหว ถ้าเราเห็นเช่นนั้นเองแล้วไม่มีอะไรมาทำจิตของเราให้หวั่นไหวได้ เราไม่ ไม่เห็นเรื่องเช่นนั้นเอง เราก็พร้อมที่จะมีตัณหา อยากเอา มีอุปาทาน ยึดมั่น ถือมั่นเอาในทุกสิ่ง ถ้าเรามีความรู้ข้อนี้ ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนา มันก็ไม่มีที่จะเกิดตัณหา เกิดอุปาทาน
นี้คำสำคัญว่า ตถา หรือ ตถตา ถ้าแปลกก็ ก็ถือเป็นคำแปลกแต่อย่าให้แปลกเฉยๆ ให้แปลกเอาไปทำความเข้าใจจนได้ตลอดชีวิตข้างหน้านี่ ให้รู้เรื่องตถตา ตถาตา เช่นนั้นเอง มันอาจจะโชคดีถึงกับว่าเข้าถึงความหมายของคำนี้ สูงสุดเป็นพระอรหันต์สักทีก็ได้ เห็นเช่นนั้นเองของทุกสิ่ง ทั้งภายนอก ภายใน ทั้งรูป ทั้งนาม ทั้งทุกอย่างน่ะ จนจิตไม่ยึดมั่นอะไร เมื่อเห็นตถาตาเช่นนั้นเองแล้วนะ เราจะไม่มีอะไรที่ว่าแปลก ไอ้พวกบ้าต้องเสียค่ารถมาเที่ยวทัศนาจรน่ะเพราะมันหวังจะเห็นอะไรแปลก มันมีความแปลกบังคับจิตให้มันมาเสียค่ารถค่ารา เสียเหน็ดเหนื่อยอะไรก็ตาม เพราะมันมีของแปลกใช่ไหม
คุณก็เคยแล้ว พูดกันตรงๆก็ได้ คุณก็เคยไปดูของแปลก ลงทุนไปหาของแปลก ได้ยินอะไรแปลกที่ใหนก็แห่กันไปดู ถ้าคนที่มันถึงตถาตาแล้วไม่มีอะไรแปลก ไม่มีอะไรแปลก มัน มันเป็นอย่างนั้น แล้วมันไม่มีอะไรที่น่าทึ่ง เราถ้าเราไม่รู้อะไร ไม่รู้จักอะไร มันก็ทึ่ง ทึ่ง ทึ่ง ทึ่งกันอยู่นั่น อยู่ในความทึ่ง ถ้ามันมากเกินไปเราก็ฉงน อยู่ในความฉงน ถ้ายังมีความฉงนอยู่ก็คือไม่ ไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ไอ้ตถาตานี้จะทำให้ไม่มีอะไรแปลก ไม่มีอะไรน่าทึ่ง ไม่มีอะไรน่าฉงน ก็คิดดูสิมันฟรีเท่าไหร่ มันอิสระเท่าไหร่ แล้วมันก็ไม่มีอะไรเห็นน่าอัศจรรย์ ถ้าคุณยังมีอะไรน่าอัศจรรย์อยู่ล่ะก็คือไม่เห็นเช่นนั้นเอง แม้จะเห็นปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าน่าอัศจรรย์ คุณก็ยังไม่เห็นเช่นนั้นเอง ถ้าคุณเห็นเช่นนั้นเองคุณจะไม่เห็นว่า ไม่รู้สึกว่ามีอะไรน่าอัศจรรย์
เดี๋ยวนี้น่าอัศจรรย์เพราะมันแปลกสำหรับเรานี่ เราไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น ไม่เคยนึก ไม่เคยฝัน ก็น่าอัศจรรย์น่ะ อย่างที่พวกอุบาสิกาเขาพูดว่า อะโห พุทโธ พระพุทธเจ้าน่าอัศจรรย์จริง พระธรรมน่าอัศจรรย์จริง พระสงฆ์น่าอัศจรรย์จริง นั่นคือเขาไม่เห็นตถาตา ไม่เห็นเช่นนั้นเองเขาก็ต้องพูดอย่างนั้น เราก็ไม่ตำหนิติเตียนเขาเพราะมัน มันมีประโยชน์แก่เขา เพราะเขารู้สึกอย่างงั้น แต่ถ้าเมื่อใดเขาเข้าถึงธรรมะสูงสุด เขาจะไม่รู้สึกอย่างนั้น เขาจะเห็นเช่นนั้นเองเสมอกันไปหมด นี่แม้แต่ว่าน่าอัศจรรย์ ความน่าอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้า มันก็มีได้เฉพาะแก่ผู้ที่ไม่เห็นตถตา นี่เห็นตถตาแล้วจะไม่มีอะไรน่าอัศจรรย์ น่าอัศจรรย์ อะไรๆที่เราน่าอัศจรรย์กันอยู่มันก็เรื่องไม่เห็นตถตา
เมื่อเขาไปโลกพระจันทร์กันวันก่อนคุณรู้สึกอัศจรรย์มั้ย การไปโลกพระจันทร์น่ะเป็นของน่าอัศจรรย์ไหม น่าอัศจรรย์พูดกันตรงๆ ต่อมาคุณก็ไม่ค่อยเห็นว่าน่าอัศจรรย์ เดี๋ยวนี้จะไม่มีใครรู้สึกว่าไปโลกพระจันทร์นั่นน่าอัศจรรย์แล้ว เพราะมองเห็นความเป็นเช่นนั้นเองมากเข้าๆๆ อะไรอื่นที่น่าอัศจรรย์เหมือนกันนะ ปาฏิหาริย์ เอาว่าปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์ของพระธาตุของอะไรก็ตามถ้ามันมีจริง ก็น่าอัศจรรย์ในเมื่อเรายังไม่เห็นเช่นนั้นเอง พอเราเห็นเช่นนั้นเองจะไม่มีอะไรน่าอัศจรรย์หรือเป็นปาฏิหาริย์ได้ แล้วก็ไม่ตื่นเต้นในอะไร เราก็ไม่ติดตามอะไร
ถ้าเราเห็นว่ามนุษย์นี่น่าอัศจรรย์ เราก็ตามหลังเป็นหางเพื่อจะไปเฝ้าไปเป็นสาวกของเขา เพราะมันน่าอัศจรรย์เท่านั้นแหละ ถ้าเห็นว่าเช่นนั้นเองแล้วก็หมด หมดเรื่องที่น่าอัศจรรย์ เดี๋ยวนี้เรายังหัวเราะ เมื่ออะไรมันมาสะดุดความรู้สึกในทางให้หัวเราะ มันก็หัวเราะ มันทนอยู่ไม่ได้ มันหัวเราะ คือความโง่ที่ไม่เห็นตถตา บางคราวก็ร้องไห้อยู่ น้ำตาซึมอยู่นี่ก็เพราะมันไม่เห็นตถตา นี่เราเอาผู้ร้องไห้อยู่กับผู้หัวเราะอยู่มาเปรียบเทียบกัน มันเท่ากัน มันไม่เห็นตถตา พอเห็นแล้วมันจะไม่ต้องหัวเราะ มันจะไม่ต้องร้องไห้ ไม่มีอะไรให้ร้องไห้ให้หัวเราะ นี่เราจะเรียกว่าอะไรดี ไม่รู้จักโกรธ ไม่รู้จักรัก ไม่รู้จักโกรธ ไม่รู้จักเกลียด ไม่รู้จักกลัว ไอ้สี่คำนี้ก็กว้างมากพอแล้ว
ไม่รู้จักรัก ไม่รู้จักโกรธ ไม่รู้จักเกลียด ไม่รู้จักกลัว ไม่รู้จักตื่นเต้น ไม่รู้จักทึ่ง ไม่รู้จักสงสัย ไม่รู้จักสนใจ ไอ้ความสนใจนั้นก็เหมือนกันแหละ มันก็เป็นเรื่อง เรื่องที่ว่าปลุกให้ไม่สงบเหมือนกันน่ะ เมื่อมีความสนใจในอะไรอยู่จะสงบไม่ได้ ไอ้ความสนใจนั้นนั่นก็ ก็รบกวนอยู่ ถ้าเห็นเช่นนั้นเองแล้วก็ไม่มีอะไรที่น่าสนใจ ถ้าว่าเป็นทุกข์ก็มันเช่นนั้นเอง แต่เนื่องจากทนไม่ไหวมันก็ต้องแก้ไขโดยหาเช่นนั้นเองที่มันแก้ไขได้ มาแก้ไขไอ้ความทุกข์ที่เราทนไม่ได้
ฉะนั้นเมื่อเป็นทุกข์เราอย่าเพ่อร้องไห้ เราอย่าเพ่อเดือดร้อน ไอ้สิ่งที่จะเป็นทุกข์เกิดขึ้นมา อย่าเพ่อกลัว อย่าเพ่อเดือดร้อน อย่าเพ่อร้องไห้ หันไปหาเช่นนั้นเองที่มันดับทุกข์ได้ ทุกข์ก็เป็นตถาเช่นนั้นเอง เหตุให้เกิดทุกข์ก็เป็น ตถาคือเช่นนั้นเอง ดับทุกข์ก็เป็นตถาคือเช่นนั้นเอง ทางให้ถึงดับทุกข์ก็เป็นตถาคือเช่นนั้นเอง นี้เป็นพระพุทธภาษิต ที่ตรัสว่ามีตถาอยู่สี่อย่าง ไอ้ความทุกข์ก็เป็นตถาอย่างหนึ่ง ไอ้ความดับทุกข์ก็เป็นตถาอย่างหนึ่ง เมื่อทุกข์เป็นเช่นนั้นเองก็เอาไอ้ดับทุกข์ที่เป็นเช่นนั้นเองมาดับ มาใส่เข้าไป ไอ้ทุกข์มันก็หายไป เราก็ไม่ต้องเดือดร้อน เราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ เราก็ไม่ต้องเกือบตายเพราะเป็นทุกข์ ถ้าเราโง่กว่านั้นเราก็ฆ่าตัวตายเพราะทนทุกข์ไม่ได้ แล้วเราจะพาลฆ่าผู้อื่นที่มาทำให้เราเป็นทุกข์อีก นี่โทษที่ไม่เห็นไอ้ความเป็นเช่นนั้นเอง
ขอย้ำอีกทีนะ ซึ่งคุณฟังให้ดีๆและสรุปเอาใจความให้ได้ เราแสวงหาก็ได้ เราได้มันมาก็ได้ เรามีมันไว้ก็ได้ เรากินมันก็ได้ เราใช้มันก็ได้ แต่ต้องโดยที่เห็นความเป็นเช่นนั้นเองอยู่เสมอ มิฉะนั้นจะเกิดตัณหาอุปาทานในสิ่งที่หา ที่ได้ ที่กิน ที่ใช้ จะทำงานหาเงินหาอะไรก็ทำสิ ได้เงินมาก็ได้ เก็บเงินไว้ก็ได้ ใช้เงินก็ได้ กินอะไรก็ได้ แต่อย่าลืมความเป็นเช่นนั้นเอง คนลืมความเป็นเช่นนั้นเองเห็นเป็นอย่างน่ายึดถืออย่างใดอย่างหนึ่ง เกิดตัณหาอุปาทานแล้ว อันนั้นนะมันจะกัด กัดเราให้เจ็บปวด
ฉะนั้นเราก็เข้าไปเกี่ยวข้องให้ถูกวิธี เราจับงูได้ถ้าเราทำถูกวิธี จับงูพิษได้ ถ้าเราจับไม่ถูกวิธีมันก็กัดเราล่ะ มันจะมีอะไร มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ กามารมณ์อะไรก็ตามล่ะ ถ้าเรามีวิธีที่เข้าไปกิน ไปใช้กับมัน อย่าให้มันกัดเราได้นี่ วิธีนั้นก็คือเช่นนั้นเอง คือการเห็นเช่นนั้นเอง เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งทั้งปวง มีมาแล้วมันจะสูญไป วินาศไป เน่าไป ทรยศต่อเรา ก็เช่น ก็เช่นนั้นเองน่ะ อย่าต้องเป็นทุกข์นะ ไอ้สิ่งที่มันมีมาไว้แล้วมันจะเน่าไป มันจะตายไป มันจะสูญหายไป มันจะวิบัติไป มันจะทรยศต่อเรา ขบถต่อเรา ก็ไม่เป็นไร มึงเช่นนั้นเอง มันเช่นนั้นเอง กูก็ไม่เป็นทุกข์อะไร ถ้าควรจะทำอย่างไรก็ทำทำไป ทำได้โดยเช่นนั้นเอง ไม่เป็นทุกข์ ฉะนั้นมันจะต้องใช้เช่นนั้นเองให้เป็น ทุกคนในทุกกรณี ในทุกสถานที่ ในทุกเวลา เพราะว่าเราจะต้องเจ็บไข้ เราจะต้องแก่ เราจะต้องตาย ก็ดู ก็เห็นๆกันอยู่แต่ละคนมันก็ต้องแก่ลง มันจะต้องเจ็บไข้แล้วมันก็จะต้องตาย จะไปเป็นทุกข์ให้มันโง่ทำไม มันเช่นนั้นเอง ศึกษาวิชาเช่นนั้นเอง ถ้าไม่ได้ก็เช่นนั้นเอง ได้ก็เช่นนั้นเอง
ทีนี้มันยังมีไอ้เรื่องอย่างนี้ เช่นนั้นเองนี่มันเป็นเรื่องลึก เข้าใจยาก เพราะถ้าเข้าใจถึงแล้วมันเป็นพระอรหันต์ ทีนี้คนมันก็ว่ากันแต่ปาก อย่างนี้เราต้องเรียกว่าเช่นนั้นเองอันธพาลนะ เหมือนกับจิตว่างอันธพาลน่ะ มันต้องหยอดท้ายว่าอันธพาล เช่นนั้นเองอันธพาลนี้มันจะไปทำให้คุณทำอะไรที่ไม่ควรจะทำ ไม่รู้ไม่ชี้เช่นนั้นเองนี่ก็ไปทำไปตามกิเลสของเรา ถ้าอย่างนี่เรียกว่า อย่างนี้เราต้องเรียกว่าเช่นนั้นเองอันธพาล เหมือนกับจิตว่างอันธพาล มันต้องหยอดท้ายว่าอันธพาล เช่นนั้นเองอันธพาลนี่มันจะไปทำให้คุณทำอะไรที่ไม่ควรจะทำ ไม่รู้ไม่ชี้เช่นนั้นเองนี้ก็ไปทำเอาตามกิเลสของเรา ถ้าอย่างนี้เรียกว่าเช่นนั้นเองของกิเลส กิเลสมันมาฉวยเช่นนั้นไปใช้แล้วนะ แล้วมันก็ออกทางเรานี่ เช่นนั้นเองอันธพาล เช่นนั้นเองโว้ยแล้วเที่ยวอันธพาลเที่ยวทำบาปหยาบช้า ทำไอ้เหมือนกับอันธพาลทั้งหลาย ถ้าเห็นเช่นนั้นเองอย่างถูกต้องจะรักษาศีลธรรมไว้ได้ จะรักษาจริยธรรมและศีลธรรมไว้ได้
ในอินเดียเต็มไปด้วยคนขอทานที่ถือคติว่าขอทานดีกว่าขโมย เป็นขอทานดีกว่าเป็นขโมย ก็เนื่องจากเขาเห็นเช่นนั้นเองของความเป็นขอทานดีกว่าเป็นขโมย ในกรุงเทพฯจะไม่ค่อยเห็นอย่างนั้นน่ะเพราะมันเต็มไปด้วยอันธพาล อันธพาลน่ะ มันไม่ยอมเป็นขอทานมันเป็นอันธพาลดีกว่า ฉะนั้นการฉกชิงวิ่งราว การฆ่า การแกงอะไร มันก็เป็นของธรรมดา นี่เช่นนั้นเองช่างหัวมันทนไหวไหมที่มันเต็มไปด้วยอันธพาลอย่างนั้น ก็เช่นนั้นเองช่างหัวมันจะทนไม่ไหว หรือว่ารัฐบาลเขาถืออย่างนั้นเขาจึงไม่ค่อยจัดการกับอันธพาล อันธพาลชุม ชุมเท่ากับยุงก็เลยปล่อยให้มันเป็นยุงไปกระมัง อันธพาลมันเป็นยุงมาก ไม่ต้องจัดการกับมัน
เช่นนั้นเองอย่างนี้ก็เรียกว่ามันผิดหลักของเช่นนั้นเอง เพราะไม่ได้เอาเช่นนั้นเองอีกอย่างมาแก้ไขเช่นนั้นเองชนิดที่เป็นอันตราย ความเป็นอย่างไรทำให้เกิดอันธพาล เราก็เอาไอ้ความเป็นเช่นนั้นเองอย่างที่จะป้องกันไม่ให้เกิดอันธพาล แต่ถ้าแม้ว่ามันจะเกิดอันธพาลก็อย่าแปลกเลย เพราะมันเป็นเช่นนั้นเองของมันอย่างนั้น แม้ว่าอันธพาลมันจะมาทำอันตรายเราบ้าง เราก็เช่นนั้นเอง อย่า อย่าต้องเป็นทุกข์ร้อนอะไรให้มากมาย แต่ว่าเราก็มีเช่นนั้นเองที่ถูกต้อง เราก็ไม่ไปตี ไปฆ่า ไปรบ ไปรากับอันธพาล เว้นแต่ต่อเมื่อมันเหตุผล มันมีเหตุผลของความเป็นเช่นนั้นเองอย่างอื่น อย่างใดอย่างหนึ่ง เจ้าของบ้านจะยิงขโมยจะตีขโมยด้วยความรู้สึกเช่นนั้นเองที่บริสุทธิ์ใจ มันก็ได้ แต่เจ้าของบ้านที่เป็นฆราวาสนะ ไม่ได้หมายถึงพระนะ พระมีความเป็นเช่นนั้นเองในระดับหนึ่งเสียแล้ว ทีนี้ก็หมดปัญหา อยู่เหนือปัญหา ทุกสิ่งอยู่เหนือปัญหา ด้วยเห็นเช่นนั้นเอง
คุณจำเช่นนั้นเองไปเพื่อจะไม่ให้มีปัญหา เพื่อจะอยู่เหนือปัญหา มันไม่มีปัญหาหรอกถ้าเช่นนั้นเอง มันไม่ไปรัก มันไม่ไปโกรธ มันไม่ไปเกลียด มันไม่ไปกลัว มันไม่มีปัญหา เพราะเช่นนั้นเองน่ะมันส่งขึ้นมาอยู่เหนือ เหนือ เหนือสภาพที่จะเป็นปัญหา เหนือภาวะที่จะเป็นปัญหา เพราะว่าไม่ได้ยึดสิ่งใดไว้ด้วยอุปาทานอย่างคนที่ไม่เห็นเช่นนั้นเอง ทุกสิ่งไม่อาจจะสร้างปัญหาแก่คนที่เห็นเช่นนั้นเอง คนนั้นมีตนเป็นธรรม มีธรรมเป็นตน มีตนเป็นธรรม มีความเห็นเช่นนั้นเองเป็นตน ก็เลยไม่มีปัญหา เป็นตนที่ถึงความสะอาด ความสว่าง ความสงบ เพราะว่าเห็นเช่นนั้นเอง
ที่เราพูดวันก่อนเรื่องความสะอาด ความสว่าง ความสงบ มันเป็นผลของจิตที่เห็นเช่นนั้นเองแล้วไม่ยึดมั่นถือมั่น แล้วมันก็สะอาด แล้วมันก็สว่าง แล้วมันก็สงบ พบชีวิตจริงที่สะอาด สว่าง สงบ แล้วชีวิตจริงนี้ก็หมดปัญหา อยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง พบชีวิตจริงอยู่เหนือโลก มันก็เหนือปัญหาทั้งปวงในโลก อย่างนี้เขาเรียกด้วยคำคำหนึ่งว่า โลกุตระ โลกุตระ บางทีใช้พูดอย่างไม่เคารพต่อภาษาของคนที่ไม่เคารพภาษาพูด เพี้ยนเป็นโลกอุดร นี่คนที่ไม่ระมัดระวังภาษา รักษาไม่ถูกต้องมันก็ไปเรียกโลกอุดรเข้า เด็กๆก็เข้าใจผิดหมด เรียกโลกุตตระไว้ตามเดิมดีกว่าแปลว่าอยู่เหนือโลก โลกอุดรเดี๋ยวมันเป็นโลกทางทิศเหนือ ทางอะไรในภาษาไทย มันทำยุ่ง คนที่ไม่เคารพภาษาไม่ใช้ภาษาให้ดีนั้นคือคนทำลายภาษาแล้วยังจะทำลายธรรมะด้วย ช่วยกันระมัดระวังข้อนี้ในการใช้ภาษให้ถูกต้อง อย่าทำลายภาษาแล้วมันจะไปทำลายเรื่องของธรรมะด้วย
เอาละเป็นอันว่าเราถึงบทสุดท้าย คู่ชีวิตคือธรรมะ ทิศทั้งหกต้องรู้จนป้องกันไม่ให้เกิดโทษขึ้นมา คู่ชีวิต ทิศทั้งหก นรกกับสวรรค์ นิพพานกันที่นี่ (นาทีที่ 55.19)โกธิหรือกิเลส ตัดต้นเหตุทันเวลา มัชฌิมาคือหนทาง สะอาด สว่าง สงบ พบชีวิตจริง ทุกสิ่งอยู่เหนือปัญหา ตอนจบเรื่องจบเพราะทุกสิ่งหมดปัญหา
นี่ผมเห็นว่านี่อย่างน้อยนะ พอที่จะ นี่เพียงเท่านี้พอที่จะเอาไปเป็นหลักปฏิบัติสำหรับมีชีวิตอยู่อย่างที่เรียกว่าไม่เสียที ไม่เสียทีที่เป็นมนุษย์ นี่วันนี้ก็พูดเรื่องสุดท้าย ตอนค่ำนี้ยังพูดอีกทีเรียกว่าปัจฉิมนิเทศ คู่กับ คู่กับปฐมนิเทศ เขาชอบเรียกกันอย่างนั้นนี่ ปฐมนิเทศทำความเข้าใจกันในเบื้องต้น ในเมื่อพูดเรื่องที่จะต้องพูดเสร็จแล้ว ก็ทำปัจฉิมนิเทศปิดท้ายว่าจะทำกันอย่างไรกับเรื่องทั้งหมดนี้ ก็สมบูรณ์ล่ะ เอาล่ะหัวค่ำนี้ถ้าฝนไม่ตก สามทุ่มมาพบกันอีกที เดี๋ยวนี้ก็ปิดประชุม