แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้ประชุมกันอยู่ในที่นี้ทั้งหลาย ก่อนแต่ที่อาตมาจะแสดงธรรมเทศนา จะขอแจ้งข่าวดีแก่ท่านทั้งหลายทุกคนเป็นพิเศษวันนี้ว่า เราได้มีอาคันตุกะพิเศษมาร่วมในพิธีมาฆบูชาในวันนี้ คือบุคคลที่เรียกกันทั่วไปว่าคุณพ่อยอน กุลลิอานา (นาทีที่ 07:49) แห่งสังฆมณฑลราชบุรี อยู่ในฟอร์มขาว ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เยื้องขวามือแห่งอาตมา ขอให้ท่านทุกคนแสดงความยินดีแก่ท่าน ในการที่มาพบปะกับพวกเราในวันนี้ ความดีของท่านเป็นผู้ขวนขวายไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อยในการบำเพ็ญประชาสงเคราะห์ ร่วมมือกับรัฐบาล ร่วมมือกับทุกคน ที่จะทำประชาสงเคราะห์ ซึ่งก็เป็นกิจกรรมที่เป็นหัวใจของพระศาสนาด้วยเหมือนกัน ยิ่งกว่านั้นที่พิเศษออกไปอีก ก็คือท่านพยายามจะกระทำกิจกรรมที่เรียกว่าศาสนสัมพันธ์ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กันในระหว่างศาสนา ไม่มีความเป็นศัตรูกัน ข้อนี้ไม่ต้องอธิบาย ถ้าว่าผู้ถือศาสนาทุกศาสนาเป็นมิตรกัน ก็จะเป็นผลดีแก่โลกคือ เป็นผลดีแก่สันติภาพของโลก คุณพ่อยอน กุลลิอานา ท่านขวนขวายสุดเหวี่ยงในหน้าที่อันนี้ แม้ที่ท่านมาที่นี้ในวันนี้ก็เพื่อประโยชน์อันนี้ ก็เพื่อจะดำเนินกิจกรรมในค่ำวันนี้ ถ้าท่านยังอยู่ร่วมได้ก็เป็นการดี ทีนี้ก็ยังมีข้อที่เราจะต้องขอบคุณท่าน ท่านมา จะว่าเป็นเกียรติก็ขอบคุณท่าน เพื่อประโยชน์แก่คนทุกคนก็ต้องขอบคุณท่าน ฉะนั้นขอให้พุทธบริษัททั้งหลายทุกคนจงอ้างเอาคุณของพระรัตนตรัย แล้วก็อำนวยพรแก่คุณพ่อยอน กุลลิอานา ให้เป็นผู้มีความสุข ให้เป็นผู้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานตามที่ท่านมุ่งหมายจะกระทำทุกประการ อาตมาขอเชิญชวนท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงทำในใจ ดังนี้ ในบัดนี้ด้วยกันทุกคนเทอญ
ต่อไปนี้ ก็จะแสดงธรรมเทศนาตามปกติ (เสียงสวดมนต์ นาทีที่ 10:46 – 11:24)
ณ บัดนี้ อาตมาจะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธา ความเชื่อ วิริยะ ความพากเพียร ของท่านทั้งหลายให้เจริญงอกงามในพระพุทธศาสนา กว่าจะยุติลงด้วยเวลา การแสดงธรรมเทศนาในครั้งนี้ ดังที่ทราบกันอยู่เป็นอย่างดีแล้วว่าเป็นการแสดงเพื่อเป็นการเตรียมจิตใจของท่านทั้งหลายให้เหมาะสม ในการที่จะประกอบพิธีมาฆบูชาให้มีผลเต็มที่ตามที่เราจะทำได้ ฉะนั้นจึงมีการเตรียมจิตใจให้เหมาะสมเพื่อผลอันนั้น อาตมาจึงขอร้องให้ท่านทั้งหลายตั้งใจที่จะฟังแล้วก็ส่งใจไปตามเนื้อความที่อาตมาจะได้กล่าวไปตามลำดับ
วันนี้เราประกอบพิธีมาฆบูชา เป็นการบูชาเนื่องในวันพิเศษวันหนึ่งซึ่งพระพุทธองค์ทรงประกอบการประชุมสงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์ในลักษณะที่ประหลาด เช่นมิได้นัดหมาย เป็นต้น พระองค์ทรงประกาศใจความของพระพุทธศาสนา ท่านจงจำคำนี้ไว้ว่า ใจความของพระพุทธศาสนาซึ่งมีเพียง ๓ - ๔บรรทัด เรียกเป็นพระบาลีว่าโอวาทปาติโมกข์ หัวใจของพระพุทธศาสนา ซึ่งมีลักษณะเป็นสากล แม้จะใช้แก่ศาสนาทุกศาสนาในโลกก็ยังได้ ก็ขอให้ฟังกันต่อไปในเรื่องนั้น แต่ข้อสำคัญให้เรามาเตรียมจิตใจให้เหมาะสมที่จะประกอบพิธีอันนี้ เดี๋ยวนี้เราก็มาประชุมกันอยู่แล้วในสถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ ก็เพื่อผลที่พิเศษกว่าที่จะทำกันในวัดในวา ในบ้านในเมือง เราอาจจะกระทำในอาคารที่เรียกกันว่าโบสถ์วิหารก็ได้ แต่อาตมารู้สึกว่ามันน้อยไป มันไม่ถึงจิตถึงใจ จึงชวนกันมาทำ ในสภาพป่าอย่างนี้ คนบางคน โผล่มาถึงที่นี้ เขาก็เรียกว่าโบสถ์เหมือนกัน แต่โบสถ์ของเรามีต้นไม้เป็นผนังโบสถ์ แล้วก็มีใบไม้กิ่งไม้เป็นหลังคาโบสถ์ มันเป็นโบสถ์ในลักษณะอย่างนี้ ขอให้ท่านลองคิดดู ว่ามันแปลกกันอย่างไร ถ้าคิดได้คงจะมีจิตใจอย่างเดียวกันกับที่เขาเคยรู้สึกกันมาแล้วในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้ากระทำสังฆกรรม ในที่โล่ง ในที่แจ้ง กลางพื้นดินตามธรรมชาติ เดี๋ยวนี้เราก็นิยมว่าจะทำตามธรรมชาติ เพราะว่าพระพุทธเจ้านี้เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ต้องขอเตือนท่านทั้งหลายอย่างซ้ำๆซากๆ ไม่กลัวว่าจะเบื่อหน่าย พระพุทธเจ้าเป็นลูกพระยามหากษัตริย์ แต่ทำไมมาประสูติกลางพื้นดิน โคนต้นไม้สาละ พระพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้ ก็ตรัสรู้กลางพื้นดินที่ริมตลิ่งแห่งหนึ่งใต้ต้นไม้ที่เรียกว่าต้นอัสสัตถะ ซึ่งต่อมาเรียกว่าต้นโพธิ์ ท่านนั่งตรัสรู้กลางพื้นดิน แต่ที่นี้ดูเหมือนจะเหมือนๆกันทั้งหมด ว่าพระศาสดาแห่งศาสนาใดๆก็ดูเหมือนจะตรัสรู้ตามธรรมชาติ ในถ้ำ ในป่า ในภูเขา กลางพื้นดิน ทีนี้เมื่อพระพุทธเจ้าท่านจะทรงสั่งสอนสาวกทั้งหลาย ตามปกติก็สั่งสอนด้วยการนั่งกลางดิน เดินทางอยู่ก็สั่งสอน หยุดพักนั่งที่ตรงไหนก็สั่งสอน จะเรียกได้ว่าพระไตรปิฎกของเรานั้นมีกำเนิดกลางพื้นดิน เพราะว่าแม้แต่วิหารที่จะมีบ้างก็เป็นพื้นดิน กุฏิของพระพุทธเจ้าก็พื้นดิน ในที่สุดเมื่อพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ท่านก็ปรินิพพานกลางดิน ประทับบรรทมปรินิพพานกลางดิน ใต้ต้นไม้ชื่อว่าต้นสาละ พูดภาษาชาวบ้าน เขาว่าเกิดกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน ตายกลางดิน นี่ขอให้ทุกคนเอามือคลำแผ่นดินดูเดี๋ยวนี้ก็ได้ ว่าแผ่นดินนี้เป็นที่ประสูติ เป็นที่ตรัสรู้ เป็นที่สั่งสอน เป็นที่ประทับนั่ง นอน และนิพพานคือตายในที่สุดของพระพุทธเจ้า แล้วก็เนื่องด้วยป่า ประสูติโคนต้นไม้ ตรัสรู้โคนต้นไม้ สอนตามโคนต้นไม้ นิพพานที่โคนต้นไม้ พระพุทธเจ้าได้อาศัยต้นไม้ ทรงโปรดปรานต้นไม้ แต่พุทธบริษัทที่เลว มันก็ทำลายป่าไม้เสียหมด มันทำลายของโปรดของพระพุทธเจ้า ช่วยบอกต่อๆกันไปด้วยว่าไอ้คนทำลายป่าไม้นั้นคือทำลายของโปรดปรานของพระพุทธเจ้า ชวนกันหยุดเสียบ้าง
เดี๋ยวนี้เราก็มานั่งในสภาพอย่างนี้แล้ว นอนกลางดินแล้ว โคนต้นไม้แล้ว เราก็ควรจะมีจิตใจที่เหมาะสมที่จะทำพิธีมาฆบูชายิ่งกว่าที่จะทำกันในบ้านในเมือง หรือในสถานที่ที่มนุษย์ได้ทำขึ้น เดี๋ยวนี้มันเป็นธรรมชาติถึงที่สุดแล้ว แม้แต่ว่านกมันก็ร้องแสดงความยินดีกับเราที่จะมาทำพิธีมาฆบูชากันในลักษณะอย่างนี้ นี่อาตมาต้องการจิตใจที่เป็นธรรมชาติ ต้องการจิตใจที่ให้เข้าถึงธรรมชาติได้โดยง่าย เพราะว่าพระธรรมทั้งหลายก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ ธรรมทั้งหลายคือเรื่องของตัวธรรมชาติ ธรรมทั้งหลายคือเรื่องกฎของธรรมชาติ ธรรมทั้งหลายคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมทั้งหลายคือผลที่ได้รับมาจากการทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เราเคยพูดกันว่าธรรมชาติทั้งหลายทุกชนิดที่เป็นรูปและหารูปไม่ได้นี่ เป็นเหมือนกับประกายของพระเป็นเจ้า ไอ้กฎของธรรมชาตินั้นเป็นเหมือนจิตของพระเจ้า หน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั้น คือพระประสงค์หรือข้อเรียกร้องของพระเจ้า และผลที่ได้รับจากการทำหน้าที่นั้น คือของประทานจากพระเจ้า นี่คือสิ่งที่เรียกว่าธรรม หนุนเนื่องกันอยู่กับธรรมชาติในทุกๆความหมาย ฉะนั้นการจะเข้าถึงธรรมชาติ มันก็ต้องมาเป็นเกลอกับธรรมชาติกันในลักษณะอย่างนี้ก่อน มานั่งลงกลางดิน มาทำอะไรกลางดินเหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทำ และก็มีธรรมชาติ คือต้นไม้ อากาศตามธรรมชาติ นี่เป็นสิ่งแวดล้อม มันก็จะช่วยจิตใจของเราว่างไปจากกิเลส ว่างไปจากตัวกู ของกู ซึ่งเป็นเหมือนกับมารร้าย มีจิตใจว่างจากมารร้าย จิตใจชนิดนี้มันเหมาะสมที่จะกล่าวคำบูชาพระพุทธเจ้า และก็มีร่างกายเหมาะสมที่จะทำการบูชาพระพุทธเจ้า จึงขอร้องให้ท่านทั้งหลายเตรียม เพื่อทำการบูชาให้ได้ผลมากที่สุด ถ้าว่าท่านจะต้องเดินประทักษิณเท้าเปล่า มันจะปวดเท้าบ้าง ก็ขอให้ความปวดเจ็บนั้นบูชาแก่พระพุทธเจ้า อะไรๆที่มันจะเกิดขึ้น ถ้ามันเป็นการเสียสละแก่พระพุทธเจ้ามาไกลเหนื่อยเปลืองอะไรนี่ก็บูชาแก่พระพุทธเจ้า ถ้าจะมาเดินเท้าเปล่า ปวดเท้า ก็ขอให้เป็นการอุทิศเพื่อบูชาแก่พระพุทธเจ้า อะไรๆก็จะทำกันให้ถึงที่สุด เพื่อการบูชาแก่พระพุทธเจ้า ให้เหมาะสมกับการที่เราได้เลือกเอาสถานที่อย่างนี้เป็นที่ที่ทำการบูชาแล้ว จึงขอแจ้งให้ทราบว่าสถานที่ตรงนี้เป็นองค์พระเจดีย์ สถานที่ตรงที่พระสงฆ์นั่งอยู่นี่เป็นองค์พระเจดีย์ที่สร้างไว้ตั้งแต่สมัยศรีวิชัยและก้อนอิฐทุกก้อนที่กระจัดกระจายอยู่นี้แสดงว่าเป็นก้อนอิฐสมัยศรีวิชัย ประมาณ ๑,๒๓๐ ปีมาแล้ว เราก็ได้ถือเอาพระเจดีย์นี้แหละ เป็นอนุสรณ์ เป็นอนุสาวรีย์ เป็นวัตถุที่ระลึกแทนองค์พระพุทธรูป เพราะว่าการทำบูชา มาฆบูชาก็ดี วิสาขบูชาก็ดี อาสาฬหบูชาก็ดี ก็มีการเวียนประทักษิณต่อของ ๒ อย่าง คือ ต่อพระสถูปเจดีย์ก็ได้ ต่อองค์พระพุทธรูปก็ได้ เดี๋ยวนี้เราถือเอาพระเจดีย์ที่สลายลงนี้แสดงความเป็นอนิจจังอย่างยิ่ง พระเจดีย์องค์นี้ เมื่ออาตมามาถึงที่นี้นั้น ถูกขโมยขุดเป็นหลุม เป็นหลุมลึกท่วมศีรษะ ตรงกลางนี้เป็นหลุมลึกท่วมศีรษะ ขโมยก็ขุดเอาอะไรก็ไม่ทราบ เมื่อเรามาเห็นอยู่ในสภาพอย่างนี้ ก็ได้กลบถมกันใหม่พอให้นั่งได้ ยังถือว่านี่เป็นองค์พระเจดีย์ เป็นวัตถุสำหรับบูชา เพราะว่าเป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระเจดีย์ทั้งหลายเขาสร้างอุทิศพระพุทธเจ้า บรรจุพระบรมธาตุเป็นส่วนใหญ่
ทีนี้ถ้าจะพูดถึงพระพุทธรูป เราก็มีแผ่นรูป ฉลากภาพการประสูติ การตรัสรู้ การแสดงธรรมจักร และการปรินิพพาน ที่พิงอยู่ตามต้นไม้นี่แหละ เป็นภาพแทนองค์พระพุทธรูป เพราะว่าแสดงการประสูติ ตรัสรู้ ธรรมจักร และปรินิพพาน ขอให้ท่านอย่ามีความข้องใจว่าเรากระทำความเคารพต่อปูชนียวัตถุอะไรในการเวียนประทักษิณ เราเวียนประทักษิณต่อปูชนียวัตถุคือองค์พระเจดีย์ที่เขาได้สร้างอุทิศพระพุทธเจ้า และรูปปฏิมาซึ่งเป็นสัญลักษณ์เรื่องราวของพระพุทธเจ้า ก็เป็นการสมควรแล้วที่จะใช้เป็นเครื่องบูชาด้วยการเวียนประทักษิณ สำหรับการเวียนประทักษิณ คือเดินเวียนไปข้างขวา เอามือขวาให้แก่วัตถุที่เราบูชา นี่เรียกว่าเวียนประทักษิณ ความหมายก็คือว่าเราจะทำตามด้วยความเคารพ การเวียนประทักษิณนั้นมีความหมายว่าเราจะทำตามด้วยความเคารพ จึงถือว่าเป็นกิริยาบูชาอย่างสูงสุด จะปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ก็มี ในภาพเขียนหินสลัก ๒,๐๐๐ กว่าปีก็มี แสดงความเคารพด้วยการเวียนประทักษิณทั้งนั้น เมื่อเข้ามาก็ประทักษิณ เมื่อออกไปก็ประทักษิณ แสดงว่ามีความเคารพ เคารพก็คือจะทำตาม ฉะนั้นการที่ว่าเวียนประทักษิณก็มีความหมายว่าเคารพด้วยการหวังว่าจะทำตาม เราจึงใช้เป็นลักษณะแสดงออกของการบูชาอันสูงสุด เราก็ไม่เพียงแต่เวียนประทักษิณให้มันครบๆรอบ แต่ว่าจะปฏิบัติตามหลักพระธรรมนั้นๆ จึงจะเป็นการบูชาที่แท้จริง เพราะฉะนั้นเราก็ควรจะทราบถึงหลักที่เราจะต้องปฏิบัติตาม ไอ้หลักที่เราจะต้องปฏิบัติตามก็คือหลักที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาที่พระองค์ทรงแสดงในวันที่เรียกกันว่าวันแสดงโอวาทปาติโมกข์ คือวันเพ็ญ เมื่อพระจันทร์ผ่าเข้าไปในหมู่แห่งดาวฤกษ์ เรียกว่าหมู่ดาวมาฆะนั่นเอง วันเพ็ญนี้ พระจันทร์ผ่าเข้าไปในหมู่ดาวฤกษ์ที่เรียกว่าดาวฤกษ์หมู่มาฆะ ก็เรียกว่ามาฆปุณมี (นาทีที่ 27:04) เรามาทำพิธีบูชาในวันนี้ จึงเรียกว่ามาฆปุณมีบูชา เพื่อตรงตามเรื่องราว ตรงตามเวลา ตรงตามเหตุการณ์ แล้วก็ถือเอาคำสอนที่พระองค์ได้ตรัสไว้เป็นหัวข้อในวันนั้นมาเป็นหลักสำหรับปฏิบัติ ในวันนั้นเมื่อพระองค์ทรงประชุมพระสงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์พร้อมกันแล้ว ได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์จึงเรียกว่า หัวข้อ ใจความและสาระแก่นสารสั้นๆของพระพุทธศาสนาด้วยบทบาลีว่า สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง (นาทีที่ 27:56) การไม่กระทำซึ่งบาปทั้งปวง กุสะลัสสูปะสัมปะทา การทำกุศลให้บริบูรณ์ถึงพร้อม สะจิตตะปะริโยปะนัง เอ้อ, สะจิตตะปะริโยทะปะนัง การชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ขาวรอบ เอตัง พุทธานะสาสะนัง ๓ อย่างนี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ขอให้ทำในใจถึงข้อที่ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายกันก่อน เอตัง พุทธานะสาสะนัง นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือถ้าจะไม่แปลก็ว่า นี้เป็นศาสนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ใช้คำว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ย่อมแสดงว่าพระพุทธเจ้ามีมาก คำว่าพุทธะนั้น แปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้รู้ ก็คือรู้สิ่งที่ควรจะรู้จริงๆ รู้ถึงที่สุด ผู้ตื่น ก็คือตื่นจากนอน ตื่นจากหลับ ไม่มีความหลับอีกต่อไป จึงเป็นผู้เบิกบานคือเป็นสุขเกษมสำราญอย่างยิ่ง ฉะนั้นผู้ใดเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานโดยแท้จริงถึงที่สุดแล้วก็เรียกว่าพุทธะ พุทธะทั้งหลายทุกองค์จะสอนโดยหลักคำสอน ๓ ข้อนี้ทั้งนั้น ว่าไม่กระทำบาป ว่ากระทำกุศล แล้วก็ทำจิตให้ผ่องแผ้ว มาลองคิดดูเถอะว่า มันจะขัดกับคำสอนของใครที่ไหน จะขัดกับคำสอนในศาสนาไหน ทุกๆศาสนาในโลกนี้มันก็ไม่มี ไม่มีศาสนาไหนในโลกนี้ที่จะมีคำสั่งสอนที่ขัดกันกับหลัก ๓ ประการนี้ว่า จงเว้นการทำบาป จงกระทำความดี จงทำจิตให้บริสุทธิ์ ที่จะทำการเว้นจากความบาปชั่วทั้งปวง มันก็ต้องมีความรู้ว่าอะไรเป็นบาป แล้วก็รู้ว่าบาป แล้วก็ไม่ทำ จะทำความดี ก็ต้องรู้ว่าอะไรเป็นความดี รู้ว่าเป็นความดีแล้วก็ทำ จะทำจิตให้บริสุทธิ์ขาวรอบ มันก็รู้ว่าทำอย่างไร แล้วก็ทำให้จิตบริสุทธิ์ขาวรอบ รู้อย่างไรจึงจะรู้ให้ครบถ้วนทั้ง ๓ ประการนี้ ก็คือรู้ถึงที่สุด สรุปได้ในคำพูด ๓ พยางค์ว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ๓ พยางค์ว่าเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ให้รู้ถึงเช่นนั้นเองถึงที่สุดแล้ว เรียกว่าเขารู้จริง เขารู้ว่าบาปมันเป็นเช่นไร เขารู้ว่าบาปมันเป็นเช่นนั้นเอง มันจะเผา เผาลนไอ้คนที่ทำ มันจะให้มีความทุกข์แก่คนนั้นและแก่คนข้างเคียง บาปมันเป็นเช่นนั้นเอง รู้ความเป็นเช่นนั้นเองของบาป แล้วก็ไม่ทำ นี่ก็รู้ความดีหรือกุศลว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง คือทำ ทำเข้าแล้วก็มีความสุข คนนั้นก็มีความสุข คนข้างเคียงก็มีความสุข ความดีมันเป็นเช่นนั้นเอง รู้ความเป็นเช่นนั้นเองแล้วก็ทำความดี ทำจิตให้บริสุทธิ์หมดจดขาวผ่อง นี้ก็รู้ความเป็นเช่นนั้นเองที่เกี่ยวกับจิต เมื่อจิตมันไม่บริสุทธิ์เพราะเหตุอะไร จิตบริสุทธิ์เพราะเหตุอะไร จิตเมื่อหมดไปจากกิเลส ว่างไปจากกิเลสก็เรียกว่าขาวผ่อง พอกิเลสเข้ามา จิตมันก็ดำมืด เพราะฉะนั้นเรากระทำชนิดที่มันไม่ดำมืดให้มันขาวผ่อง ก็รู้ความเป็นเช่นนั้นเองของความขาวผ่องแล้วก็ทำ ความขาวผ่องของจิตนั้นคือไม่ไปจับยึดอะไรว่าเป็นตัวเรา ว่าเป็นของเรา ไม่ไปจับยึดเอาอะไรว่าเป็นตัวกูเป็นของกู ถ้าพูดอย่างธรรมดาสามัญก็เรียกว่ามันเป็นของธรรมชาติ เป็นของธรรมดา ไปเอามาเป็นตัวกูของกู มันก็เป็นคนบ้า เพราะฉะนั้นมันจึงมีจิตที่มืดมน มันไปปล้น มันไปโกงเอาของธรรมชาติมาเป็นของตน ถ้าเราถือว่ามีพระเจ้า ก็ไปปล้น ไปโกงเอาสมบัติของพระเจ้ามาเป็นของตน มันเป็นคนมืด เป็นคนบาป ก็จะถูกลงโทษด้วยความทุกข์ นี่การที่ไปจับเอาสิ่งที่มิใช่ของตนมาเป็นของตน หรือมาเป็นตัวตน นี้เรียกว่ามันมืด คือมันไม่รู้อะไร มันเหมือนกับความมืดของคนตาบอด มืดยิ่งกว่าอะไรหมดถ้ามันมืดด้วยตาบอด มืดกลางคืนมันยังพอดูอะไรเห็นบ้าง แต่ถ้ามืดของคนตาบอดแล้วก็ไม่เห็นอะไร เพราะฉะนั้นจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจในการที่จะไม่ทำให้ผิดในเรื่องอันเกี่ยวกับธรรมชาติ การที่จิตไปเอาอะไรมาเป็นตัวกูของกู นี้เรียกว่ามันผิดธรรมชาติ จิตตามปกติที่แท้จริง จะไม่หมายมั่นเอาอะไรเป็นตัวกูเป็นของกู เพราะว่าตัวเราของเรานี่ก็เป็นของธรรมชาติ หรือเป็นของพระเจ้าไปแล้ว จะเอาอะไรมาเป็นของกูอีกเล่า มันเป็นไปไม่ได้ นี้จะเรียกว่ามันรู้จริง มันก็ไม่คิดไม่โง่ที่จะไปเอาอะไรมาเป็นของตน นี่เขาเห็นว่ามันเป็นเช่นนี้ มันเป็นเช่นนี้ มันเป็นเช่นนี้ มันไม่เป็นอย่างอื่นเลย อย่าทำให้ผิดเลยเมื่อเห็นความเป็นเช่นนี้เองดังนี้แล้ว ก็ไม่มีความคิดที่จะให้มันเป็นผิดหรือที่เรียกว่ามืด หรือเรียกว่ากิเลส ให้มันเป็นจิตที่สว่างไสว รุ่งเรือง ขาวผ่อง อยู่เป็นปกติ แล้วมานั่งกับธรรมชาตินี้ได้เปรียบ เรามานั่งกลางธรรมชาติอย่างนี้ ธรรมชาติช่วยให้จิตของเราหยุดหรือเย็น หรือหยุดจากการที่จะไปเที่ยวคว้าเอาอะไรมาเป็นตัวกู เป็นของกู ถ้าเราเดินอยู่ในตลาด ในบ้านในเมือง ในย่านที่มีคนพลุกพล่านนั้นน่ะ สิ่งเหล่านั้นมันแวดล้อมให้จิตของเราคิดไปในทำนองที่จะเอาอะไรมาเป็นตัวกูของกู มันผิดกันมาก ฉะนั้นมาทำพิธีมาฆะบูชากันที่นี่ มันได้เปรียบกว่า จะเหลียวไปทางไหน ล้วนแต่มันบอกว่า หยุด หยุด หยุด หยุดบ้ากันเสียที หยุดมีตัวกูของกูกันเสียที นี่อาตมาพูดอย่างนี้ จะฟังถูกหรือไม่ฟังถูก เพราะเรานั่งอยู่ตรงนี้เหลียวไปทางไหน ก็คล้ายกับว่าต้นไม้ทุกต้นนี่ มันบอกว่า หยุด หยุด หยุด หยุดบ้ากันเสียที หยุดร้อนกันเสียที หยุดโง่กันเสียที อย่ามีอะไรเป็นของกู หรือเป็นตัวกู เพราะว่าสิ่งทั้งหลายมันเป็นเช่นนั้นเอง อาตมาอยากจะขอร้องให้ท่านทั้งหลายจำไอ้คำ ๓ พยางค์นี้ไว้เป็นอนุสรณ์พิเศษสำหรับการทำมาฆบูชาในวันนี้คือปีนี้ ทุกๆปีอาตมาก็ได้ฝากคำที่จะเป็นอนุสรณ์ ๒ - ๓ พยางค์สำหรับเป็นเครื่องยึดถือประจำใจไปทุกปี สำหรับปีนี้ก็จะขอฝากคำว่าเช่นนั้นเอง ให้ติดไป เหมือนกับแขวนคอเอาไป คำว่า เช่นนั้นเอง เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา อย่างที่ว่าเมื่อตะกี้นี้ก็พูดว่าไม่ทำบาปเพราะเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของบาป ทำบุญหรือความดีเพราะเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของความดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้วก็เพราะเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของความผ่องแผ้วของจิต
สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทั้งหมดทั้งสิ้น มันรวมอยู่ที่คำๆเดียวว่าเช่นนั้นเอง พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ก็คือได้รู้ความเป็นเช่นนั้นเองของทุกสิ่งไม่ว่าอะไร แล้วพอมันเป็นเช่นนั้นเอง อันเดียวกัน คือมันเป็นเช่นนั้น เราได้เคยสวดบทอิทัปปัจจยตากันมาหลายสิบครั้งแล้ว ก็เคยสวดแล้ว ก็ขอให้ระลึกนึกถึงบทเหล่านั้น คือบทที่ว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้ธรรมธาตุ (นาทีที่ 38:11) อันนั้น ซึ่งมีลักษณะเป็นตถาตา ความเป็นอย่างนั้น อวิตถตา ไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น อนัญญถตา ไม่เป็นอื่นไปจากความเป็นอย่างนั้น ธัมมัฏฐิตตา คือ ความตั้งอยู่เป็นธรรมดา ธัมมนิยามตา ความเป็นกฎตายตัวของธรรมดา อิทัปปัจจยตาคือความที่เมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัยแล้ว สิ่งนี้ย่อมเกิดขึ้น มันยืดยาว มันหลายคำ แต่มันทั้งหมดนั้นมันสรุปลงในคำเพียงคำเดียวว่า ตถาตา คือเช่นนั้นเอง ทุกสิ่งจะต้องเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือมันเปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนแปลงไป มันดูแล้วมันน่าเกลียด เพราะมันเปลี่ยนแปลงไป มันจะถือมาเป็นตัวเรา เป็นของเราไม่ได้ ก็เรียกว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง หรือว่าความทุกข์มันต้องเป็นอย่างนี้ๆ มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้ หรือว่าเหตุให้เกิดความทุกข์ มันต้องเป็นอย่างนี้ๆ มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ฉะนั้นความดับไม่เหลือแห่งความทุกข์ มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ๆ ที่มันเป็นนั่นแหละ มันไม่เป็นอย่างอื่นไม่ได้ และหนทางจะให้ถึงความดับทุกข์ มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ๆ เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ฉะนั้นไม่ว่าอะไรที่มันเป็นอยู่เกี่ยวข้องอยู่กับสัตว์ในสากลจักรวาลนี่ มันเกี่ยวข้องกันอยู่กับธรรมธาตุ คือความจริงของธรรมชาติที่ว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง ไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น ไม่อื่นไปจากความเป็นอย่างนั้น มันเป็นความตั้งอยู่ของธรรมดา มันเป็นกฎตายตัวของธรรมชาติ เพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
นี่ความหมายนี้เป็นไปทั้งในภาษาคน และเป็นไปทั้งในภาษาธรรม นี้คนธรรมดาเขาพูดเป็นภาษาคนมันก็ง่ายๆตื้นๆ เห็นความเป็นเช่นนั้นเองได้โดยไม่ยาก แต่ทว่าเป็นภาษาธรรม มันมีอรรถที่ลึกลงไปซับซ้อนลงไป มันก็เห็นยากสักหน่อย แต่มันก็ไม่เกินวิสัย สิ่งใดที่พระผู้มีพระภาคได้ตรัสรู้แล้ว ย่อมทรงแสดงซึ่งสิ่งนั้น ย่อมทรงจำแนกซึ่งสิ่งนั้น ย่อมทรงเปิดเผยซึ่งสิ่งนั้น ย่อมกระทำให้ง่ายซึ่งสิ่งนั้นให้เราเข้าใจได้ เราจงดูคำว่า ตถตา (นาทีที่ 41:24) แปลว่ามันเช่นนั้นเอง ความเป็นเช่นนั้นเอง ถ้าเห็นความเป็นเช่นนั้นเองแล้ว มันจะไม่รัก มันจะไม่โกรธ มันจะไม่เกลียด มันจะไม่กลัว มันจะไม่สงสัย มันจะไม่อะไรหมด ที่ดีที่สุด ก็คือมันจะไม่เป็นทุกข์ มันจะไม่ไปหลงรัก หรือหลงเกลียดอะไร มันปกติอยู่ได้ เพราะเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง พวกฝรั่งเขาเอาไปแปลว่า Suchness ความเป็นเช่นนั้นเอง พวกจีนเขาเอาไปแปลว่า ยู่สี แปลว่าความเป็นเช่นนั้นเอง พวกจีนเขาสนใจมากกว่าพวกไทย พวกไทยยังงมงายอยู่ในเรื่องความเป็นเช่นนั้นเอง ไม่ค่อยจะพูดถึง แต่พวกจีนเขาพูดถึงมากกว่า เขาได้ประโยชน์กว่าเรา เราล้าหลังเขา ที่จะพูดถึงคำว่ายู่สี ยู่สี แปลว่าความเป็นเช่นนั้นเอง ถ้าใครเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ก็เป็นรับประกันได้ว่าผู้นั้นจะไม่มีความทุกข์อีกต่อไป ถ้าจะเทียบกันได้ ก็จะเทียบกันได้กับคำว่าเห็นพระเจ้า เพื่อนฝูงก็บอกอาตมา จะถูกหรือผิด จะจริงไม่จริงก็ไม่ทราบว่า คำว่ายะฮาเว หรือยะโฮวา (นาทีที่ 42:54) นั้นแปลว่า เป็นอย่างที่ท่านเป็น ก็คือเป็นเช่นนั้นเอง พระเจ้าที่มีนามว่า ยะโฮวา ยะฮาเว ของศาสนาเซมิติกทั้งหลายนี่ เพื่อนเขาบอกว่าคำนี้ภาษาฮีบรูแปลว่า เป็นเช่นนั้น ไม่เป็นอย่างอื่นจากความเป็นอย่างนั้น ไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น คือท่านเป็นอย่างอื่นไม่ได้ หรือจะมีอะไรมาเป็นเหมือนท่านไม่ได้ เพราะฉะนั้นคำว่าพระเจ้าในความหมายนี้ ก็คือความเป็นเช่นนั้นเอง ความไม่เป็นอย่างอื่นจากความเป็นเช่นนั้น ความไม่ผิดไปจากความเป็นเช่นนั้น ความตั้งอยู่โดยธรรมดา ความเป็นกฎตายตัวของธรรมดา ความที่เพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ระบุชัดได้เลยว่า เพราะมีพระเจ้าเป็นปัจจัยสิ่งต่างๆจึงเกิดขึ้น ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาได้ ความเป็นเช่นนั้นเอง มันมีอยู่ตรงที่ว่าเพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ฉะนั้นปัจจัยสูงสุดก็คือสิ่งที่ทำให้สิ่งทั้งปวงเกิดขึ้น แล้วก็ไม่พ้นไปจากความเป็นเช่นนั้นเอง เพราะฉะนั้นถ้าเราเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ก็คือเราเห็นพระเจ้า ถ้าเราเห็นพระเจ้าก็คือเราเห็นสิ่งซึ่งเป็นเช่นนั้นเอง เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เราอย่าไปอวดดีว่าเราจะไปพรรณนาลักษณะของพระเจ้าได้ ที่เรายังจะพูดได้ก็พูดได้แต่เพียงว่าท่านเป็นเช่นนั้นเอง ท่านเป็นตามแบบของท่านเอง แต่สิ่งนี้เรียกกันในภาษาชาวพุทธว่า ธรรมธาตุ ธรรมะ ธาตุ ธาตุแห่งธรรมะ คำว่าธรรมะก็เหลือที่จะกล่าวได้ว่าแปลว่าอย่างไร ถ้าเกณฑ์ให้แปล ก็แปลว่า เช่นนั้นเอง คำว่าธรรมะในความหมายสูงสุดคือธรรมดา หรือธรรมชาติ หรือธรรมะอะไรก็ตามแปลว่ามันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นที่การรู้หรือการตรัสรู้ มันก็รู้ความเป็นอย่างนั้น ซึ่งมันเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ก็เป็นอันว่ารู้หมด เพราะฉะนั้นเราจึงพยายามที่จะรู้สิ่งนี้ เข้าถึงสิ่งนี้ ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของสิ่งนี้เอามาใส่ไว้ในใจให้เป็นความแจ่มแจ้ง เห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริงว่า มันเป็นเช่นนี้เอง เพราะฉะนั้นถ้าจะพูดกันในภาษาธรรมะ ภาษาธรรมแล้ว พระพุทธเจ้าคือความเป็นเช่นนั้นเอง พระธรรมคือความเป็นเช่นนั้นเอง พระสงฆ์คือความเป็นเช่นนั้นเอง พระเป็นเจ้าก็ความเป็นเช่นนั้นเอง พระอะไรๆสูงสุดเท่าไรก็มันเป็นความเป็นเช่นนั้นเอง คือเป็นอิสระสูงสุดของท่านที่จะเป็นได้อย่างนั้น ถ้ายังเป็นชาวบ้าน มันก็เป็นไม่ได้ เพราะมันมีสิ่งอื่นครอบงำ มันเป็น มันอยู่ใต้อำนาจของสิ่งอื่น ถ้าเป็นได้เองตามที่จะเป็น เป็นเช่นนั้นเอง แล้วก็กลายเป็นสิ่งสูงสุด เพราะฉะนั้นเราทำในใจถึงสิ่งนี้กันให้ทุกๆคน ความเป็นเช่นนั้นเองคือสิ่งสูงสุด ธรรมะสูงสุด ที่เราเกิดมาเป็นคน เป็นมนุษย์ นี่ก็คือความเป็นไปตามกฎนั้น คือความเป็นเช่นนั้นเอง มานั่งร้องไห้อยู่ก็เพราะความเป็นเช่นนั้นเอง มาหัวเราะร่าอยู่ก็ความเป็น เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง ทุกอย่างล่ะ จะมา สบายอยู่ เป็นทุกข์อยู่ จะเกิด จะตาย จะแพ้ จะชนะ จะอะไรทุกอย่าง มันเป็นไปตามเช่นนั้นเอง ตามกฎเช่นนั้นเอง ซึ่งเป็นสิ่งสูงสุด ธรรมะเป็นสิ่งสูงสุด เพราะมีอำนาจแห่งความเป็นเช่นนั้นเอง ในตัวมันเอง และก็แบ่งแผ่อำนาจความเป็นเช่นนั้นเองครอบงำทุกสิ่ง ฉะนั้นเราต้องกลัว เราต้องกลัว ยิ่งกว่ากลัวสิ่งใด อย่ากล้าฝืนทำให้ผิดไปจากกฎอันนี้ ต้องรับเอามาสำหรับประพฤติปฏิบัติด้วยชีวิตจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้น ให้มันตรงต่อกฎที่ว่าเช่นนั้นเอง เป็นบาลีว่าตถตา (นาทีที่ 47:47) เราชอบคำบาลี ก็ใช้คำว่าตถตา ถ้าเราไม่ชอบคำบาลี เราชอบคำไทยก็ว่าเช่นนั้นเอง ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาในชีวิตนี้ประจำวันละก็ ให้เช่นนั้นเองมาช่วยให้ทันท่วงที อย่ามานั่งหัวเราะอยู่เพราะว่าชอบใจ อย่ามานั่งร้องไห้อยู่เพราะว่าไม่ถูกใจหรือเสียใจ ให้เช่นนั้นเองมาช่วยทันท่วงที แล้วก็จะปกติอยู่ ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องหัวเราะ นี่เรียกว่าเป็นอิสระเหมือนสิ่งสูงสุด ที่เป็นอิสระที่ไม่มีอะไรไปทำให้เปลี่ยนแปลงได้ เราจงเข้าถึงความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วก็จะไม่เปลี่ยนแปลง อะไรๆเปลี่ยนแปลงก็เปลี่ยนไปสิ มันไม่มีเรา มันไม่ใช่เราเปลี่ยนแปลง ร่างกายนี้จะเปลี่ยนแปลง จิตนี้จะเปลี่ยนแปลง แต่ไอ้สิ่งที่เรียกว่าตัวเรานั้น มันไม่ต้องเปลี่ยนแปลง เพราะเราหมายถึงธรรมะที่มันเป็นความไม่เปลี่ยนแปลง อย่าไปมีเรา โง่เขลาว่ามีเราน่ะ ชื่อนั้นชื่อนี้ เป็นหญิงเป็นชายเป็นอะไรต่างๆนี้ไม่ใช่เราแท้ ไอ้เราแท้ถ้าเราอยากจะมีเราก็คือธรรมะที่เป็นความเป็นเช่นนั้นเอง ที่มันครอบงำเราอยู่ ที่มันควบคุมเราอยู่ อยู่ในทุกๆอนู ทุกๆปรมาณู มันควบคุมอยู่ด้วยความเป็นเช่นนั้นเอง ในธาตุดินน้ำลมไฟทุกปรมาณูที่ประกอบเป็นเราอยู่นี้ มันมีความเป็นเช่นนั้นเองควบคุมอยู่ ฉะนั้นจิตใจก็มีความเป็นเช่นนั้นเองควบคุมอยู่ มันจึงคิดจึงนึกรู้สึกไปตามกฎของความเป็นเช่นนั้นเอง ที่เอาไอ้ตัวความเป็นเช่นนั้นเองน่ะมาเป็นตัวเรากันดีกว่า เรามีทางจะเป็นตัวเรา ตัวเดียวกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ หรือพระเป็นเจ้าทุกๆแบบ ทุกๆรูป นี่มันดีอย่างนี้ เราจะเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือพระเจ้า หรือพระอะไรก็แล้วแต่เราจะเรียก เพราะเราเข้าถึงความเป็นเช่นนั้นเอง ซึ่งเป็นลักษณะสูงสุดของธรรมธาตุที่มีความหมายอย่างเดียวกันกับคำว่าพระเป็นเจ้า คือความเป็นเช่นนั้นเอง เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ไม่มีความเป็นอย่างอื่น นี่เราก็มีสิ่งสูงสุดมาคุ้มครองอยู่ตลอดเวลาไม่ต้องเป็นทุกข์
ฉะนั้นกลับไปบ้านนี่ ขอให้แขวนคอเอาไปด้วยทุกคนว่า เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ตามกฎของธรรมชาติ เป็นกฎตายตัวของธรรมชาติ เป็นธรรมธาตุอันมีอยู่ตลอดนิรันดร พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่าตถาคตทั้งหลายจะเกิดขึ้นก็ดี ตถาคตทั้งหลายจะไม่เกิดขึ้นก็ดี แต่ธรรมธาตุอันนั้นมันมีอยู่แล้ว มันมีแล้ว มันมีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นตถตาเช่นนั้นเอง เป็นอวิตถตาไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น อนัญญถตาไม่เป็นอย่างอื่นจากความเป็นอย่างนั้น ธัมมัฏฐิตตา เป็นความตั้งอยู่แห่งธรรมดา ธัมมนิยามตา เป็นกฎตายตัวของธรรมดา อิทัปปัจจยตา เป็นความที่เมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัยแล้ว สิ่งนี้จะต้องเกิดขึ้น ธรรมธาตุอันนี้จะเรียกอะไรก็สุดแท้ มีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด หรือพระพุทธเจ้าจะเกิด หรือพระพุทธเจ้าจะไม่เกิด พระพุทธเจ้าท่านยืนยันว่าสิ่งนี้มันมีอยู่แล้ว ไอ้สิ่งที่มันเป็นเช่นนั้นเอง มันมีอยู่แล้ว ไอ้สิ่งๆหนึ่งที่เราใช้ชื่อว่าเช่นนั้นเองน่ะ สิ่งนั้นมันมีอยู่แล้วก่อนพระพุทธเจ้าเกิด พระพุทธเจ้าจะเกิดหรือจะไม่เกิด สิ่งนั้นมันก็มีอยู่แล้ว และพระพุทธเจ้าท่านก็เคารพธรรมคือเคารพสิ่งนี้ ซึ่งเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา เราก็มีธรรมะสูงสุดอันนี้อยู่กับเนื้อกับตัว ฉะนั้นจงรีบทำในใจให้ละเอียดปราณีตเพียงพอ ให้สมกับที่ว่าวันนี้เป็นวันที่พระองค์ทรงแสดงใจความสำคัญแห่งพระศาสนาทั้งหมดทั้งสิ้น คือความเป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเองอย่างบาปก็เป็นบาป เช่นนั้นเองอย่างบุญก็เป็นบุญ เช่นนั้นเองอย่างเหนือบาปเหนือบุญ เหนือทุกสิ่งก็เป็นเช่นนั้น เหนือ เหนือทุกสิ่ง
เพราะฉะนั้นเรามามองดูด้วยสติปัญญาให้เห็นความที่ต้องเป็นเช่นนั้นเอง นับตั้งแต่ว่าเนื้อหนังร่างกายมันก็เป็นเช่นนั้นเอง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็เป็นเช่นนั้นเอง เลือดโลหิต กระดูกต่างๆก็เป็นเช่นนั้นเอง จิตใจก็เป็นเช่นนั้นเอง เมื่อสิ่งอะไรมาทำให้รักก็รัก มาทำให้โกรธก็โกรธ นี่เช่นนั้นเอง ฝ่ายที่จะต้องเป็นทุกข์ เป็นปฏิจสมุปบาทฝ่ายที่จะต้องเป็นทุกข์ ที่นี้พอมารู้ความจริงว่ามันจะเป็นเช่นนั้นเอง แม้มันจะเกิดขึ้นอย่างไรจะเปลี่ยนเป็นอย่างไร ก็ไม่ให้ความหมายที่จะเป็นความพอใจหรือไม่พอใจ เฉยปกติอยู่ได้เหมือนกับความเป็นเช่นนั้นเอง ท่านรู้ความหมายแห่งความเป็นเช่นนั้นเองให้ดีๆ แล้วมันจะเป็นเช่นนั้นเอง คือเปลี่ยนอีกไม่ได้ เปลี่ยนอีกไม่ได้ ถ้าพูดว่าเช่นนั้นเองแล้วมันเปลี่ยนอีกไม่ได้ มันก็ต้องเข้าถึงสภาพที่เปลี่ยนอีกไม่ได้ ต้องเป็นเช่นนั้นเอง ทีนี้เรามันโง่เอง เราไปชอบที่สวย ที่งาม ที่หอม ที่อร่อย แล้วมันก็หลงเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้น ก็ต้องเกลียด ต้องกลัวสิ่งที่ไม่สวยไม่อร่อย ไม่อะไรต่างๆ มันก็เลยเดี๋ยวรัก เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวเกลียด เดี๋ยวกลัว เดี๋ยวรัก เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวเกลียด เดี๋ยวกลัว มันเข้าไม่ถึงความเป็นเช่นนั้นเอง ก็เข้าให้ถึงความเป็นเช่นนั้นเองก็หมดปัญหา เหมือนกับว่าไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป เรียกว่าเข้าสู่พระนิพพานเป็นนิรันดรไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไปเป็นทุกข์ไม่ได้ ถ้าจะพูดอย่างมีพระเจ้า ก็ไปอยู่กับพระเจ้าเสียเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป มันก็ไม่มีความทุกข์อีกต่อไปเลย
นี่ไอ้ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ มันคงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว อาตมาขอท้าทายให้ท่านทั้งหลายไปค้นดู ว่าสำหรับมนุษย์เรามันมีอะไรดีไปกว่านี้ มันไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว คือความเป็นเช่นนั้นเอง เปลี่ยนอีกไม่ได้ เข้าถึงความเป็นเช่นนั้นเองอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านเข้าถึง หรือเป็นตัวพระธรรม หรือเป็นสิ่งที่พระสงฆ์เข้าถึงและพยายามที่จะเข้าถึงกันอยู่ เพื่อเข้าถึงความเป็นเช่นนั้นเอง จิตที่เข้าถึงความเป็นเช่นนั้นเองนี้เรียกว่าจิตที่เป็นปริโยทปน (นาทีที่ 55:18) คือมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องขาวรอบ หมายความว่ามันขาวชนิดที่ไม่ใช่เป็นคู่กับดำนะ ไอ้ขาวที่เป็นคู่กับดำนั้นใช้ไม่ได้ ในที่นี้เขามีคำพิเศษว่า ไอ้ขาวรอบ ขาวสุด ขาวชนิดที่ไม่ ไม่มีสีอีกต่อไป นี่คือสิ่งที่จะเป็นเช่นนั้นเอง ตายตัว เป็นนิรันดร พระพุทธเจ้าท่านทรงขอร้องให้คนปฏิบัติตามหลักอันนี้ เป็นใจความของพระศาสนาว่าเว้นจากบาป และก็ทำความดี และก็ทำจิตให้บริสุทธิ์ขาวผ่องขาวรอบ มันตรงกับวันนี้ วันที่เพ็ญมาฆปุณมี (นาทีที่ 56:09) แล้วก็เลือกเอาวันนี้เป็นวันธรรมเป็นที่ระลึกแก่เหตุการณ์อันนั้น ซึ่งถ้านับมาโดยปีมันก็ตั้ง ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว ถือกันว่าในปีที่พระองค์ตรัสรู้ก็ถึงที่สุดแล้วก็ได้ประชุมสงฆ์ มันก็จะต้องลดออกเสียแต่ ๓๕ ปีจาก ๒๕๒๓ แล้วมันก็๒,๔๐๐ กว่าปีมาแล้วที่ได้มีพิธีจาตุรงคสันนิบาต ประชุมพระอรหันต์ ประกาศหลักธรรมะของพระพุทธศาสนา
ขอเพิ่มเติมนิดหนึ่งว่าวันวิสาขบูชานั้นเป็นวันที่ระลึกแก่พระพุทธเจ้า แล้ววันอาสาฬหบูชานั้นเป็นวันที่ระลึกแก่พระธรรม คือทรงแสดงธรรมจักร ส่วนวันมาฆบูชาคือวันนี้ที่ตรงกับวันนี้นั้นเป็นวันพระสงฆ์เพราะว่าพระสงฆ์ปึกแผ่น ตั้งเป็นปึกแผ่นเป็นคณะสงฆ์เป็นปึกแผ่น ๑,๒๕๐ รูปมาประชุมกันเฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้าซึ่งมีแต่เพียงครั้งเดียวในประวัติแห่งพระพุทธศาสนา เป็นวันที่คณะสงฆ์เป็นปึกแผ่นถึงที่สุด พระองค์ทรงมอบหมายหัวใจของพระพุทธศาสนาให้แก่คณะสงฆ์ ให้คณะสงฆ์ตั้งอยู่เป็นปึกแผ่นโดยอาศัยหลักเกณฑ์อันนี้ เพราะฉะนั้นวันนี้เราควรจะถือว่าเป็นวันพระสงฆ์ วิสาขบูชาเป็นวันพระพุทธเจ้าเพราะประสูติ ตรัสรู้ และนิพพาน วันอาฬหบูชาถัดมาอีก ๒ เดือนจากวันวิสาขบูชาก็เป็นวันพระธรรม เพราะทรงประกาศธรรมจักรออกไป ต่อมาอีก ๕ เดือน ๖ เดือนก็มาถึงวันมาฆะบูชาคือเป็นวันพระสงฆ์ ตั้งขึ้นเป็นคณะสงฆ์ สมบูรณ์เป็นปึกแผ่นในพระพุทธศาสนา วันนี้จึงเป็นวันที่ระลึกแก่พระอรหันต์ เพราะว่า ๑,๒๕๐ รูปนั้นเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น และก็ยังแปลกตรงที่ว่าพระอรหันต์เหล่านั้นบวชจากพระพุทธเจ้าโดยตรงทั้งนั้น ไม่ได้บวชจากคนอื่น เพราะมันเป็นสมัยแรกๆ มีแต่พระสงฆ์ที่บวชโดยตรงจากพระพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ องค์ประชุมกันในวันเช่นวันนี้ ก็เลยเรียกว่าเป็นวันพระสงฆ์ ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ มีหัวใจที่ มีหัวใจของเรื่องนะที่ทำให้รู้ว่าทำจิตให้บริสุทธิ์ขาวรอบ เพราะเข้าถึงความเป็นเช่นนั้นเอง เราพูดได้ว่าพระอรหันต์ทุกองค์ๆ ล้วนแต่เข้าถึงความเป็นเช่นนั้นเอง ถ้าไม่เข้าถึงความเป็นเช่นนั้นเองยังไม่เป็นพระอรหันต์ เข้าถึงสิ่งสูงสุด คือความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วก็คือความเป็นพระอรหันต์ ฉะนั้นผู้เข้าถึงความเป็นเช่นนั้นเองตั้ง ๑,๒๕๐ องค์ประชุมกัน รับรองหัวใจของพระพุทธศาสนา หรือประกาศความเป็นปึกแผ่นสมบูรณ์แห่งความมีศาสนา คือความมีพระพุทธ ความมีพระธรรม ความมีพระสงฆ์ กันในวันนี้ มันเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ขอให้ท่านทั้งหลายลองคิดดู พระธรรมในใจถูกต้อง เห็นเงื่อนงำของความเป็นเช่นนั้นเองแล้ว ก็จะได้รับประโยชน์มากที่สุด ไม่เสียทีที่เหน็ดเหนื่อยมาจากกรุงเทพฯบ้าง ที่อื่นบ้าง เปลืองก็เปลือง เหนื่อยก็เหนื่อย เสียเวลาก็เสีย แล้วยังมานั่งทนลำบากกันอยู่ที่นี่อีก มันจะได้อะไรคุ้มกัน อาตมาขอบอกว่าได้ความเป็นเช่นนั้นเองแหละกลับไปทุกๆคนเถอะ ก็จะคุ้มเกินคาด ต่อไปอย่าร้องไห้อีก อย่าหัวเราะอีก มันจะได้ความเป็นเช่นนั้นเอง อย่ามีความทุกข์อีกต่อไป ถึงแม้จะมีความสุข ก็สุขอย่างสะอาดบริสุทธิ์ปกติ ไม่ใช่ความสุขอย่างโง่ๆ บ้าๆ เขลาๆที่มีอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์ ความสุขที่โฆษณาพูดจากันอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์นั้น ไม่ใช่ความสุข เป็นความหลง ความโง่อะไรชนิดหนึ่ง ความสุขที่แท้จริงใจคอปกติ เพราะเข้าถึงความเป็นเช่นนั้นเอง ขอให้เอานี้ สิ่งนี้เป็นเครื่องรางอันศักดิ์สิทธิ์แขวนเข้าไว้ที่คอ เช่นนั้นเอง มีอะไรเกิดขึ้นก็เช่นนั้นเองก่อนทุกทีไป ปีต่อไปก็คงจะดีกว่าปีที่แล้วมา เพราะมีพระเจ้าคุ้มครองมากขึ้น คือความเป็นเช่นนั้นเองคุ้มครองได้มากขึ้น
เอาล่ะเป็นอันว่าอาตมาก็ได้แสดงธรรมกถาที่เป็นเรื่องเตรียมจิตใจของท่านทั้งหลายให้เหมาะสมแก่การที่จะกระทำพิธีมาฆบูชาพอสมควรแล้ว ก็จะได้ยุติการแสดงธรรมเทศนาเพื่อจะได้ประกอบพิธีมาฆบูชาสืบต่อไป ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลาเอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
เอ้า, ต่อนี้ไปเตรียมประกอบพิธีมาฆบูชาอย่างที่เราเคยกระทำมาคือให้พระสงฆ์สวดภาษาบาลี ฆราวาสสวดภาษาไทยแล้วก็เวียนประทักษิณ คุณพ่อยอน กุลลิอานา (นาทีที่ 01:03:16) จะดูหรือจะศึกษา ร่วมพิธีหรือจะทำอะไรก็จะสุดแท้แต่คุณพ่อจะชอบ แต่เราก็จะทำไปตามแบบฉบับ เอาจุดธูปเทียน ยืนขึ้นมา
ฆราวาสยังก่อน ฆราวาสยังก่อน เดี๋ยวเทียนของคุณจะหมด
เอ้า, จุดเสียสิ จุดเสีย อย่าเสียเวลา ขอนิดเดียว
จุดเถอะแล้วจะได้เสร็จๆ จุดเถอะ
ไมโครโฟนตัวนี้ไม่ใช้แล้ว ไม่ดัง
ชาวบ้านยังไม่จุด เดี๋ยวเทียนของคุณหมด อย่าเพิ่งจุด เอ้า, ใครไม่มีก็แบ่งให้เพื่อน ใครมีมากก็แบ่งให้เพื่อน
เอ้า, ขอให้ทุกคนหลับตา ไม่มีทิศเหนือ ไม่มีทิศใต้ ไม่มีทิศตะวันออก ไม่มีทิศตะวันตก ไม่มีทิศข้างบน ไม่มีทิศข้างล่าง มีแต่ความเป็นเช่นนั้นเอง มีจิตใจที่ว่างจะลืมตามันเห็นอะไร มันก็ไม่เป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีทิศตะวันออก ไม่มีทิศตะวันตก ไม่มีทิศเหนือ ไม่มีทิศใต้ ไม่มีทิศข้างบน ไม่มีทิศข้างล่าง มีจิตเข้าถึงความว่างคือความเป็นเช่นนั้นเอง ออกไปจากโลกนี้สักชั่วคราว มีจิตใจสัมผัสกับพระธรรมอันสูงสุดคือความว่างหรือความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วก็ทำในใจถึงพระพุทธเจ้า
(เสียงสวดมนต์ นาทีที่ 01:06:18 – 01:15:21)
เอ้า, ชาวบ้านจุดเทียนจุดธูป ยืนประนมมือ ชาวบ้านจุดเทียนจุดธูป ยืนประนมมือ
เอ้า, ชาวบ้านจุดธูปจุดเทียน ถือยืนประนมมือ เอาไมโครโฟนให้พี่พิศ (นาทีที่ 01:16:28) แกจะหันทะ มะยัง ไม่ต้อง ได้ ได้
เอ้า, กรุณาจุดธูปจุดเทียน ถือไว้ในมือยืนขึ้น
เอ้า, พี่พิศหันทะ มะยัง
(เสียงสวดมนต์ นาทีที่ 01:16:55 – 01:17:32)
เอา เอาไมโครโฟนทางโน้นสวดด้วยนะ จะได้ดังดีนะ ทำให้ดังได้
หลับตา ไม่มีทิศเหนือ ไม่มีทิศใต้ ไม่มีทิศตะวันออก ไม่มีทิศตะวันตก ไม่มีทิศข้างบน ไม่มีทิศข้างล่าง ไม่มีประเทศไทย ไม่มีประเทศอินเดีย ไม่มีประเทศไหนหมด มีแต่ความว่างที่เป็นเช่นนั้นเอง แล้วจิตใจนี้มันทำในใจถึงข้อความต่อไปนี้
(เสียงท่านพุทธทาสพูดแล้วประชาชนกล่าวตาม) เราทั้งหลาย นับถือ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด ว่าเป็นที่พึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ใดเป็นศาสดาของเราทั้งหลาย อนึ่งเราทั้งหลาย ชอบใจพระธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์ใด พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเกิดแล้ว ในมัจฉิมประเทศ ในหมู่ชนอริยกะ เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ เป็นโคตมะโดยพระโคตร เป็นศากยบุตร ออกจากศากยตระกูล ตรัสรู้แล้ว ซึ่งอภิสัมโพธิญาณ ไม่มีความรู้อื่นยิ่งกว่า ไม่ต้องสงสัยเลย พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบเองแล้ว ถึงพร้อมด้วยวิชาและจารณะ ทรงดำเนินดีแล้ว รู้แจ้งซึ่งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษ ไม่มีสารถีอื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งของเทวดาทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม อนึ่งพระธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นธรรมที่เห็นได้ด้วยตนเอง ไม่จำกัดกาลเวลา เป็นของจริงที่เรียกกันมาดูได้ ควรน้อมเข้ามาสู่ตน ผู้รู้ทั้งหลาย รู้แจ้งได้เฉพาะตน อนึ่งสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติตรงแล้ว ปฏิบัติเป็นธรรมแล้ว ปฏิบัติสมควรแล้ว คือคู่แห่งอริยบุคคล ๔ คู่ นับเรียงองค์เป็น ๘ เป็นสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ควรแก่ของคำนับ เป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ เป็นผู้ควรทำบุญ เป็นผู้ควรกราบไหว้ เป็นนาบุญยอดเยี่ยมของโลก ครอบพระสถูปนี้เขาสร้างแล้ว อุทิศผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เพื่อได้เห็นแล้วระลึกถึงพระองค์ เพื่อให้ได้ความเลื่อมใสสังเวช บัดนี้เรามาถึงแล้วซึ่งกาลมาฆปุรณมี คล้ายกับวันที่พระองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในที่ประชุมสงฆ์อันประกอบด้วยองค์ ๔ เราจึงมาพร้อมกัน ณ สถานที่นี้ มีเครื่องสักการะบูชา ถือไว้ในมือ กระทำร่างกายของตน ให้เหมือนภาชนะรองรับ ซึ่งเครื่องสักการะนั้น ในใจระลึกถึงอยู่ ซึ่งพระคุณอันแท้จริง ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นอารมณ์ จะกระทำประทักษิณ สิ้นวาระ ๓ รอบต่อพระสถูปนี้ บูชาด้วยเครื่องสักการะที่ถืออยู่นี้ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก แม้เสด็จไปนิพพานไปนานแล้ว แต่ยังคงดำรงอยู่บัดนี้ โดยพระคุณทั้งหลาย จงทรงรับเครื่องสักการะที่ข้าพเจ้าทั้งหลายถืออยู่นี้ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายตลอดกาลนานเทอญ
ต่อไปนี้ก็เตรียมตัวสำหรับจะทำประทักษิณ คือเดินเวียนข้างขวา
เอา, พี่พิศจัดแถว
พระสงฆ์ทั้งหลายจะได้สวดบทพระบาลี ขอมีส่วนแก่ท่านทั้งหลาย โดยที่ไม่ ไม่อาจจะไปเดินได้ด้วย แต่ว่าจะสวดพระบาลีให้ท่านทั้งหลายกระทำในใจ ท่านทั้งหลายก็ไม่ต้องสวด ขอให้ฟังและทำในใจตามบทที่สวดนั้น
เอา, นิมนต์ (เสียงสวดมนต์ นาทีที่ 01:24:44 – 01:33:20)
พิธีมาฆบูชาเสร็จแล้ว เราได้กระทำเสร็จแล้ว ทีนี้ก็ยังมีกลางคืน มีกิจกรรมทำการอภิปราย ทำความเข้าใจ ที่เรียกว่าศาสนสัมพันธ์ ขอให้พยายามฟัง ขอให้พยายามไปร่วมชุมนุมฟังเวลา ๑ ทุ่มตรง เวลา ๑ ทุ่มตรงมีประชุมกิจกรรมศาสนสัมพันธ์ ฉะนั้นแต่ถ้าว่าอุบาสก อุบาสิกาท่านใดจะทำวัตรเย็น ขอให้รีบไปทำให้เสร็จก่อน ๑ ทุ่ม จะทำวัตรเย็นก็ขอให้ไปทำให้เสร็จก่อน ๑ ทุ่ม แล้วพอ ๑ ทุ่มก็จะได้ประชุมศาสนสัมพันธ์ พิธีมาฆบูชาเสร็จแล้ว กลับได้ เชิญลงได้ เชิญกลับได้ ปิดพิธี ปิดพิธีแล้ว ทำวัตรเย็นกับหินโค้ง ชวนกันไปทำวัตรเย็นกับหินโค้ง