แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ในระดับคนทั่วไปเขาไม่ถืออย่างนั้น สูงสุดระดับพระอรหันต์ เขาถือว่ามัน มันพ่ายแพ้แก่แก่กิเลส แก่ความรู้สึกทางเพศเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาเห็นว่ามันยังพ่ายแพ้ คือตามความรู้สึก มันก็ขยะแขยง ถ้ามีความรู้สึกก็ต้องไปสนองตามความรู้สึก เรียกว่ามันมันน่าขยะแขยง นี่ยกตัวอย่างให้ฟังว่า ธรรมะที่จะมีสำหรับแก้ปัญหานั่นมันก็เป็นชั้น ๆ อย่างนี้ เราจะพูดกันในชั้นไหน มันก็มีทางที่จะพูดได้
ที่จะพูดถึงเรื่องชั้นเป็นพระอรหันต์กันเสียเลย มันก็ได้ มันพูดก็ได้ หรือมันเรียนก็ศึกษาอาจจะเข้าใจ แต่มันอาจจะไม่ได้ใช้เลย ไม่ ไม่ ไม่เป็น ไม่ได้เอาไปปฏิบัติ หรือให้เป็นประโยชน์ได้เลย คือมันสูงเกินไปสำหรับคนที่จะไปเป็นชาวบ้านตามธรรมดา ถ้าผู้ที่ต้องการจะไปใช้เรื่อย ๆ จนถึงที่สุดของธรรมะมันก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่ต้องศึกษากันจนถึงอย่างงั้น คือจิตจะไม่ถูกกิเลสชนิดนี้บีบคั้นได้อีกต่อไป จิตจะไม่บังคับให้ไป กิเลสนั้นจะบังคับให้ไปแสวงหากามารมณ์ บริโภคกามารมณ์นี้มัน มัน มันไม่มีอีกต่อไป แต่ถ้าว่าเรายังเป็นคนธรรมดาอยู่ ก็ศึกษาไปในทางที่ว่าไปหามันอย่างไร จึงจะไม่เป็นทุกข์ หรือจะเอามาบริโภค กามารมณ์นั้นน่ะจะบริโภคอย่างอยู่อย่างไร จึงจะไม่ถึงกับที่เรียกว่าเป็นทุกข์ ทุกอย่างธรรมดา ๆ นี่ ทุกอย่างละเอียด อย่างประณีต อย่างสูงสุดน่ะมัน มันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะเขามีมาตรฐานว่า ถ้ามันพ่ายแพ้แก่ความรู้สึกทางอายตนะนี้แล้ว ก็เรียกว่า แย่ ถูกบีบคั้น หรือทนทุกข์ เราควรจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้กันบ้าง คือว่าจะศึกษาธรรมะกัน กันเพียงระดับไหน
แต่ผมก็อยากจะพูดในขั้นต้นที่สุด หรือว่าเป็นเรื่องแรกที่สุด ก็คือว่า ขอให้ทุกคนรู้ว่าทำไมเราจะต้องมายุ่งกับธรรมะ คือว่ามันเป็นสองขยักอยู่ก็ได้ ต้อง นี่คือต้องมีธรรมะ ไม่มีไม่ได้ นี่มันเป็นธรรมะชนิดไหน พวกไหน ระดับไหน เห็นอีกทีว่า ควร ไอ้ควรมีธรรมะ นี่มันคือชนิดไหน ระดับไหนที่เรียกว่าควร ระดับไหนที่เรียกว่าต้อง ไอ้ระดับที่เรียกว่าต้องหมายความว่าถ้า ถ้าเกิดไม่มีก็แล้วมัน มันเป็นทุกข์อย่างน่าเกลียดน่าชัง หรือว่าอย่างเสีย เสียชาติเกิดไปเลย ถ้าอย่างนี้ก็ต้องใช้คำว่าต้องน่ะ ต้องมีธรรมะชนิดนั้น ทีนี้เมื่อมีแล้ว พอสมควรแล้ว อยู่สุขสบายแล้ว มันยังจะมีเลื่อนขึ้นไปว่า จะควรจะมีธรรมะระดับไหนอีก นั่นน่ะมันก็จะเลื่อนขึ้นไปถึงหลุดพ้นเป็นโลกุตระ หลุดพ้นบรรลุมรรคผลนิพพานไปเลย
ให้เรามองดูให้ดีว่า มนุษย์นี่มันมีอยู่สองขยัก คือไม่ต้องทนทุกข์อย่างเจ็บปวด อยู่สบาย นี่ชั้นหนึ่ง ต้องทำให้ได้ ถ้าได้อย่างนั้นแล้วมันก็ยังไม่ดับทุกข์สิ้นเชิง นั้นก็ทำอีกขั้นหนึ่งสูงขึ้นไปจนหมดปัญหาของมนุษย์ บางทีเราก็ใช้คำว่า “รอด” ในรอดนี้ก็มีสองขยัก รอดชีวิต มนุษย์จะต้องรู้จักทำให้รอดชีวิตอยู่ได้ เป็นธรรมะเหมือนกัน ธรรมะพื้นฐาน ธรรมะตามธรรมชาติ ธรรมะทั่วไปที่ต้องประพฤติเพื่อให้รอดชีวิตอยู่ได้ ไม่ถูกฆ่าตาย ไม่เป็นอะไรตาย กระทั่งว่า มีธรรมะในการกินการอยู่ การบริหารกาย นี่ก็เรียกว่าธรรมะเหมือนกันนะ นี่ธรรมะขั้นที่ให้รอดชีวิตอยู่ได้ ไปศึกษาดูให้ดี มีธรรมะขั้นที่ให้รอดชีวิตอยู่ได้ ทีนี้เมื่อรอดชีวิตอยู่ได้แล้ว ยังจะต้องรอดจากอะไรอีก นี่คือธรรมะแท้ ตัวธรรมะแท้ เพียงแค่รอดชีวิตอยู่ได้นี่มัน มันไม่ต้องของพุทธศาสนาก็ได้ ของวิชาความรู้ทั่วไปก็ได้ หรือว่าลัทธิอื่นมันก็มี เพียงรอดชีวิตอยู่ได้ แต่เมื่อมีชีวิตรอดอยู่ได้แล้วจะต้องรอดจากอะไรอีก เรียกว่า รอดจากการบีบคั้นของกิเลส รอดจากการบีบคั้นของอารมณ์ผูกมัด ทิ่มแทง หุ้มห่อของกิเลส นี่คือรอดที่เราเรียกกันว่า วิมุตติ วิโมกข์ หลุดพ้น ไป ไปนิพพาน คือรอดชั้นนี้ มันเป็นสองรอดอยู่อย่างงี้ ไปศึกษาให้ชัดเจน อย่าให้มันปนกันยุ่งจน จนไม่รู้อะไรเป็นอะไรมันปนกันยุ่ง
คำว่าธรรมะในลักษณะอย่างนี้มันหมายถึงธรรมะตามธรรมชาติ ของธรรมชาติ ไม่ต้องติดป้ายว่า พุทธศาสนา คริสตศาสนา หรืออะไร คือปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติก็รอดชีวิตอยู่ได้ในตอนนี้ ทีนี้กิเลสบีบคั้น ข่มขี่ กักขัง ผูกมัด ก็ต้องต่อสู้ให้ถูกต้องตามธรรมชาติอีกเหมือนกัน ที่แท้มันตามธรรมชาติตามกฎของธรรมชาติ คือหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลสไปได้ นี่มันเป็นชั้นที่ยากชั้นที่ลึก แล้วที่เรามาติดฉลากว่าพุทธศาสนาที่สูงสุดหรือไม่มีใครเท่า ไม่มีใครเหมือน ที่จริงมันก็เป็นความจริงของธรรมชาติ
ถ้าเราพยายามศึกษากันไปในแง่ว่ามันเป็นความจริงของธรรมชาติ จะรู้จริงยิ่งกว่าที่จะให้มันเป็นพุทธศาสนาหรือศาสนานั้นศาสนานี้ ผมยังคิด คิดอย่างอิสระตามความคิดของตัวว่าในอนาคตนี่คงจะไม่มีคำว่าพุทธศาสนา หรือคริสตศาสนา หรือศาสนาอะไรก็ตาม มันอาจจะไม่มีใครสนใจ จะเหลืออยู่เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตใจ เรียกว่า ความจริงของธรรมชาติ มนุษย์จะสนใจในฐานะเป็นของความจริงของธรรมชาติ แม้เป็นเรื่องทำให้กิเลสหมดไปก็ยังเรียกเป็นเรื่องความจริงของธรรมชาติ ที่มันจะรับได้ทั้งโลก ผู้มีปัญญา ปัญญาชนทั้งหลาย ทุกพวกทุกหมู่เหล่า ไม่ว่าจะเป็นเกิดที่ไหน ไม่ว่าเขาจะถือศาสนาอะไรอยู่โดยกำเนิด ในที่สุดก็จะมาหาไอ้อันนี้ ตรงกัน ร่วมกันได้ทั้งโลก ความจริงของธรรมชาติว่าทำอย่างไร กิเลสบีบคั้นไม่ได้ เดี๋ยวนี้เราศึกษากันในฐานะเป็นของบัญญัติ แต่งตั้ง มีขอบเขต และก็จำเพาะ จำกัด หรือขึ้นอยู่กับ ยังขึ้นอยู่กับพุทธศาสนา พูดอย่างนี้เป็นพุทธศาสนา ขอสงวนลิขสิทธิ์ว่าอย่างนี้ต้องเป็นพุทธศาสนานะ ต่อไปจะไม่มีใครเอาด้วยนะ ต้องพูดออกไปในฐานะว่ามันเป็นความจริงของธรรมชาติสำหรับมนุษย์ทุกคนนะ นี่หมายความว่าในอนาคตการศึกษามันเป็นอิสระ มันก้าวหน้า มันเข้าถึงความจริง มันมีวิธีเข้าถึงความจริงอะไรอย่างอิสระ มันจะไปรูปนี้ และที่จริงพระพุทธเจ้าท่านก็ประสงค์อย่างนั้นนะ ท่านไม่ประสงค์จะสงวนสิทธิคำสอนนี้เรียกว่าของฉัน เป็นระบบนี้ของพุทธศาสนา อย่างที่เรียกกันว่ามี authority ที่จะผูกขาดว่าอย่างนี้เป็นพุทธ อย่างนี้เป็นคริสต์ อย่างนี้เป็นอิสลาม ต่อไปมันจะมีไม่ได้ ต้องต้องปรับตัวเข้าเป็นความจริงของธรรมชาติสำหรับมนุษย์กันไปหมด เพราะถ้าทำอย่างนี้แล้วบุคคลจะไม่มีความทุกข์แน่นอน เห็นได้อยู่และไม่ต้องเชื่อใครนี่เลื่อนขึ้นไป ถ้าทำอย่างนี้แล้วสังคมจะอยู่เป็นผาสุกแน่นอน หรือว่าเลื่อนขึ้นไปอีก ทั้งโลกมันจะอยู่กันเป็นผาสุกแน่นอน และมันยังเลื่อนขึ้นไปเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่ระดับโลก อย่างนี้เป็นเรื่องส่วนตัวทางจิตทางวิญญาณว่า ถ้ามนุษย์ขึ้นมาถึงนี่แล้วไอ้กิเลสอันละเอียดของมนุษย์จะบีบคั้นไม่ได้ เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่ที่มันบีบคั้น บีบคั้นไม่ได้ คือหมดเลย เดี๋ยวนี้เรียกว่าเราอยู่กันอย่างผาสุก แต่อย่างธรรมดาน่ะ กิเลสยังบีบคั้นได้ เวลาเจ็บไข้ขึ้นมาก็เป็นทุกข์ เวลาจะตายก็เป็นทุกข์ อันนี้เขาก็เรียกว่าดีแล้วถูกแล้วสำหรับระดับทั่วไป แต่ถ้าระดับแท้จริงเขาไปไกลเรียกว่าไม่รู้จักทุกข์ จะมีความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็ไม่รู้จักทุกข์ จะมีความวิบัติเปลี่ยนแปลง อะไรเลวร้ายที่สุดในโลก ก็ไม่มีความทุกข์
คนสมัยนี้อาจจะเห็นว่าเกินไปแล้ว เกินไปแล้ว ตั้งใจแต่จะเห็นว่าเกินไปเสียแล้วก็อย่าเอามันสิ แต่เดี๋ยวนี้มนุษย์ที่เขาค้นคว้าในระดับพระศาสดาเขาเห็นว่านี่คือจุด จุดที่ต้องการ คือเราจะอยู่ในโลกนี้ชนิดที่ไม่มีปัญหา ในชีวิตนี้มันจะเกิด จะแก่ จะเจ็บ จะตาย จะเผชิญนั่นเผชิญนี่ พลัดพรากจากนั่นจากนี่ ซึ่งเขาเป็นทุกข์กันนี่เราไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่มีกิเลสอันไหนไสหัวให้ไปเสพกามารมณ์ ไม่มีกิเลสอันไหนทำให้โกรธชัง ไม่มีกิเลสอันไหนทำให้มันค้นคว้าในความสงสัยไม่มีที่สิ้นสุด นี่เรียกว่าหมดโลภะ โทสะ โมหะ หมดราคะ โทสะ โมหะ ถ้าในอนาคตมนุษย์ไม่ต้องการมันก็จะไปโทษธรรมะไม่ได้ ธรรมะต้องมีอยู่อย่างนั้น เมื่อมนุษย์ยังต้องการจะไปเสพกามารมณ์ก็ไปสิ ก็ไม่มีใครว่า แต่รู้จักทำอย่าให้มันเกิดความทุกข์ขึ้นมาเพราะกามารมณ์ก็ได้เหมือนกัน แต่พระอริยเจ้าชั้นสูงสุดท่านไม่ประสงค์อย่างนั้น เพราะไม่ประสงค์จะมีกิเลสไหนไสหัวไปหากามารมณ์ เรียกว่านี่เขาเรียกความหลุดพ้น วิมุตติหลุดพ้นมันคืออย่างนี้ ดังนั้นคุณไปใคร่ครวญดู จะเอาหรือไม่เอาไอ้ธรรมะระดับนี้ หรือว่าจะเอาแต่เพียงรู้ไว้ก็ได้ ไม่ต้องปฏิบัติ ไม่ต้องประพฤติ เอาแต่เพียงว่าไม่ทุกข์เมื่ออยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยปัญหา เต็มไปด้วยความเลวร้ายอย่างในโลกนี้ ก็อยู่ได้อย่างไม่เป็นทุกข์ ก็พอ ก็ได้เหมือนกัน คือไม่ต้องหมดกิเลสนะ เพราะว่าไอ้หมดกิเลสน่ะมันดีเกินไป สูงเกินไปสำหรับเรา นี่คุณจะต้องแน่ใจกันเสียก่อนว่าจะเอากันระดับไหน ที่จริงมันมันก็เรื่องเดียวกันนั่นถ้ามันยังต้องมีความทุกข์เพราะความเปลี่ยนแปลงในโลก มันก็อย่างนั้นเพราะมันยังมีกิเลส เอาแต่เพียงว่าพอทนได้ พอใจแล้ว อย่างนี้ก็ตามใจ
เราพูดกัน เราพูดกันหมดเลย พูดกันว่าในพุทธศาสนามีอยู่เท่าไร พ้นทุกข์กันถึงขนาดไหน เรามาศึกษาเอามาพูดกันหมดเลย ดังนั้นมันจะมีส่วนหนึ่งหรือบางส่วนที่มันไม่มีใครต้องการ ไม่เข้าใจ แล้วก็หัวเราะเยาะ นั้นคุณพยายามศึกษา จับให้มันได้ว่ามันมี มันมีปัญหาอย่างไรสำหรับเรา หรือสำหรับมนุษย์ทั้งหมด หรือสำหรับเราด้วย มันมีปัญหาอย่างไร ถ้าไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาเป็นที่พอใจแล้วก็ ก็ไม่ต้องน่ะ ไม่ต้องมาศึกษาธรรมะให้มันเสียเวลา ป่วยการเปล่า ๆ ถ้าไม่มีปัญหา ถ้ามีปัญหามันก็ต้องมีปัญหาจริง ๆ อย่าให้เป็นปัญหาสมมติ เช่นว่า บวชตามธรรมเนียมประเพณีเผื่อเข้ามาศึกษาดูว่ามันจะเป็นประโยชน์มั้ย นี่สมมติปัญหาสมมติ ก็ได้เหมือนกันแต่ประโยชน์มันน้อย และมันยากที่จะพบตัวของศาสนา นั้นถ้าจะให้มันจริงก็มีปัญหา ปัญหานั้นเป็นที่ชัดเจนแจ่มแจ้งแก่เราแล้วตั้งแต่ก่อนบวชจึงเข้ามาบวช มันมีปัญหาที่เราไม่ชอบ เกลียดชัง อยากจะทำลาย บวชเข้ามาเพื่อศึกษาเพื่อทำลายปัญหาเหล่านั้นเสีย ตรงนี้ก็อยากจะบอกแทรกออกไปหน่อยว่า ไอ้ที่มีตัวจริงในความรู้สึกต้องมองเห็นและทำลายเสีย อย่างนี้เขาไม่ใช่เรียกว่าปรัชญา ต้องเรียกมันว่าวิทยาศาสตร์
ธรรมะที่ดับทุกข์ได้จริงต้องเป็นวิทยาศาสตร์ ถ้าเป็นปรัชญามันจะได้แต่ ประมาณ คะเน คำนวณ ไม่ไม่มีของจริงมีแต่สมมติฐาน สมมติฐานว่าเราเป็นทุกข์ ว่าเราคงจะเป็นทุกข์ หรือว่าอย่างนี้ต้องเรียกว่าเราเป็นทุกข์ มันมีสมมติฐานอย่างนี้ ถ้าตั้งต้นอย่างนี้แล้วหาทางคำนวณต่อไปว่าคงจะดับมันได้อย่างไร อย่างนั้นเป็นปรัชญาหมดแหละไม่เป็นพุทธศาสนา และจะไม่มีประโยชน์อะไรด้วย เอาไปทำเป็นปรัชญาเสีย ดังนั้นความทุกข์ของเราต้องไม่ใช่สมมติฐานนะ ไม่ใช่ที่เรียกว่า Hypothesis น่ะ ไม่ใช่ไอ้อันนั้น มันต้องมีความทุกข์ที่ปรากฏอยู่กับเรา แผดเผาเราอยู่จริง ๆ ตั้งแต่เราเล็ก ๆ มา เราไม่ค่อยรู้จักมัน แต่เรารู้สึกได้ว่ามันมี มันเคยมี และมันได้มีเรื่อย ๆ มาจนกระทั่งวันนี้ มันมีความทุกข์อยู่จริง ไอ้ความรู้สึกที่เป็นทุกข์อยู่จริงนี่ไม่ใช่สมมติ มันไม่ต้องสมมติ มันสมมติไม่ได้เพราะมันเป็นทุกข์อยู่จริง นี่เอาตัวจริง เอาเข้ามาวางลงแล้วก็ดู ดู ดู ไม่ต้องคำนวณ ไม่ต้องคำนวณน่ะ ดู ดูด้วยปัญญา ดูด้วยตาสำหรับดู เห็นเหตุมันอย่างนั้น เห็นทางดับมันอย่างนั้น แล้วก็ปฏิบัติดับได้จริง นี่เลยเป็นวิทยาศาสตร์ นั้นถ้าจะช่วยกันเผยแผ่ธรรมะต่อไปแก่ชาวต่างประเทศละก็ พยายามบอกเขาให้ อธิบายให้เขาเห็นชัดว่าพุทธศาสนา หรือธรรมะในพุทธศาสนาที่แท้จริงแล้วมันเป็นลักษณะวิทยาศาสตร์ มีวิธีการอย่างวิทยาศาสตร์ จะต้องกระทำกับมันอย่างวิทยาศาสตร์ อย่าเอาไปทำให้เป็นปรัชญาอย่างที่เขาชอบกันนัก แล้วทำเป็นปรัชญา เพ้อเจ้อไปเลย เพราะฉะนั้นหนังสือที่ชื่อว่าพุทธปรัชญามันจึงมีมาก ฝรั่งก็เขียนมาก ชาวอินเดียก็เขียนมาก แล้วไม่สำเร็จประโยชน์ ดูเหอะมันจะไม่สำเร็จประโยชน์ถ้าเอาไปทำในรูปของปรัชญา มันดับทุกข์ไม่ได้ ถ้ามันให้ทำไปอย่างสมมติฐาน แล้วก็คำนึงคำนวณ อนุมานกันเรื่อยไป แล้วยุติลงว่าอย่างนั้นด้วยความพอใจ มันก็ดับทุกข์ไม่ได้
เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้เห็นว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ ถ้าเรามีโอกาสจะพูดกับชาวต่างประเทศหรือเพื่อนร่วมโลกที่มันจะอยากจะรู้พุทธศาสนาก็บอกเขาไปเลยได้ เพราะเดี๋ยวนี้เขาชอบปรัชญากันนัก และถ้าคุณเรียนมาแบบนั้น คุณก็จะต้องรู้จักพุทธศาสนาแต่ในแง่ปรัชญาเหมือนกัน พูดได้ ไอ้ธรรมะทั้งหมดเอาไปพูดให้เป็นปรัชญาได้สำหรับคนที่ยังไม่ ไม่เห็นธรรมะยังไม่รู้จักธรรมะ มันก็ต้องพูดอย่างปรัชญากันไปก่อนนะ เช่นเราเรียนธรรมะนี่เราเรียนในรูปปรัชญากันไปก่อนเพราะเราไม่รู้จะเรียนอย่างไร ต่อเมื่อเราไปถึงตัวจริงมันเข้า จับตัวความทุกข์ได้จริง เอามาชำแหละ ทำลายไปได้นี่มันจะเป็นวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เพราะฉะนั้นถ้าจะเอาประโยชน์กันเดี๋ยวนี้ละก็รีบจับตัวความทุกข์นั้นให้ได้ มันปรากฏตั้งแต่เราเกิดมา ตั้งแต่เด็กจำความได้มา แต่เราก็ไม่สนใจที่จะรู้มัน ก็ปล่อยมาตามธรรมดาธรรมชาติไม่ได้สนใจที่จะรู้ทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ มันไม่มีความรู้นะ แต่เดี๋ยวนี้เมื่อเราอยากจะรู้ขึ้นมาเราก็ไปกวาดมาดูได้ จนกระทั่งวันนี้น่ะมันมีความทุกข์อย่างไร
จะเห็นได้ว่ามัน มันควรจะศึกษาจนปฏิบัติได้ จนทำลายมันหมดได้ แล้วมันจะมีประโยชน์อย่างยิ่งแล้วก็เอาสิ ถ้าต้องการจะดับทุกข์ให้ได้ต้องทำกับมันอย่างนี้ ไม่ใช่เรียนท่องจำอย่างท่องจำ แล้วก็ไม่ใช่เรียนอย่างคำนวณ อย่างเรียนปรัชญาก็ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องเรียนเหมือนกับว่ามนุษย์รู้จักทำอะไรในทางวัตถุ ในทางวัตถุเรารู้จักทำอะไรบ้างจนเกิดมีอะไรขึ้นมาเยอะแยะ ซึ่งในทางจิตใจในทางนามธรรมก็เหมือนกันแหละ เราจะต้องรู้จักทำอะไรให้มันปรากฏออกมา ให้มีค่ามาก เป็นวิธีจะมีชีวิตอยู่อย่างดีที่สุด อย่างที่ไม่มีความทุกข์หรือเป็นทุกข์ได้ยาก คือมีชีวิตอยู่ในจิตใจที่เกลี้ยงจากกิเลส เกลี้ยงจากความทุกข์อยู่ตลอดเวลา จะเรียกว่าปกติก็ถูกเหมือนกัน เราจะมีชีวิตอยู่ด้วยจิตที่ปกติ จะวิปริตเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ไม่ได้ คือมันไม่เป็นทุกข์ก็เท่านั่นเอง
บางทีก็ใช้คำว่าอิสระ (free) ที่สุด จะมีชีวิตอยู่ด้วยจิตที่อิสระที่สุด มันก็ได้เหมือนกัน ความหมายมันเดียวกันแม้แต่คำพูดจะคนละอย่าง จิตที่ปกติที่สุดก็คือจิตที่อิสระที่สุดถ้าไม่อิสระมันปกติไม่ได้ ถูกกระทบกระทั่งด้วยโลภะ โทสะ โมหะเรื่อยไป นั้นเราก็ไม่มีจิตที่ปกติและเราก็ไม่มีจิตที่อิสระ และเราก็ต้องเป็นทุกข์แหละ หรือแม้ว่าเราจะทำการทำงานถ้าจิตของเราไม่เป็นอิสระ ไม่ปกติ ไอ้การงานนั้นไม่มีทางที่จะดีได้ คุณทำงานเป็นอะไรกัน ไอ้อาชีพน่ะมีอาชีพอะไรทำการงานอะไร ถ้าคุณได้ทำมันด้วยจิตที่ปกติหรือจิตที่อิสระจะทำได้ดีมาก งานนั้นจะมีผลดีมาก แล้วสนุกและเป็นสุขด้วยในการงานนั้นเอง นึกถึงเรื่องนี้ ถ้ามองเห็นเรื่องนี้และพยายามจะได้เรื่องนี้ จะถูกตัวพุทธศาสนา เป็นในลักษณะธรรมะที่ดับทุกข์ได้จริง และถ้าเราบวชเข้ามาเพื่อที่จะแสวงหาอันนี้ พบอันนี้ เอาไปใช้เป็นประโยชน์ให้ได้มันก็จะคุ้มค่า คุ้มค่าที่มาบวชไม่ได้เสี่ยงว่าเพื่อลองดูหรืออะไร
จงตั้งต้นรู้จักไอ้ตัวปัญหาเสียก่อน ให้มีปัญหาเสียก่อนว่าเรามีความทุกข์อยู่อย่างไร ไม่ใช่ทุกข์เจ็บปวดนะ เหมือนกับถูกแทงถูกขบกัด ไม่ใช่ว่ามีความทุกข์ที่ทรมานใจ รบกวนใจ เรียกว่าเป็นปัญหาในชีวิตนะ อย่าง อย่าง สนใจให้มาก เก็บมาดูให้หมด ถ้าถ้าไม่ชอบต้องการจะแก้จะทำลายมันนี่จึงจะศึกษาธรรมะ ถ้าชอบอยู่อย่างนั้นก็ไม่ต้องแล้ว ไปอยู่ด้วยกับปัญหา อยู่ด้วยชีวิตชนิดนั้นก็ได้ไม่มีใครว่า แต่น่ากลัวว่าจะเป็นโรคประสาทโรคจิตเข้าวันหนึ่งแน่ถ้าอยู่ด้วยความทรมาน ถ้าเราทำอะไรให้มันลงรูปไม่ได้มันก็อยู่ในลักษณะที่ต่อสู้ เครียด กดดัน ทรมาน ไม่เท่าไรก็ต้องเป็นโรคประสาทหรือยิ่งกว่าโรคประสาท ให้มองเห็นให้ชัดไปก่อนนะว่าเราจะต้องการอะไร เราทำมันทำไม เราจะได้อะไร ไอ้ศึกษาธรรมะนี่ไม่บวชก็ศึกษาได้แต่ว่าบวชน่ะมันสะดวกกว่า คุณอย่าพูดให้ผิด ๆ เหมือนกับที่เขาพูดกันผิด ๆ ว่าต้องบวช ต้องบวช มันพูดตามความคาดคะเนความเดาอะไรของมัน บวชน่ะมันสะดวกนะนั่น มันสะดวกกว่า ง่ายกว่า เร็วกว่า แต่ไม่บวชก็ทำได้และต้องทำเหมือนกัน ถึงคนที่ไม่บวชมันก็ต้องทำการศึกษา รู้จากธรรมะนี่เหมือนกัน มันก็ทำได้ด้วยความยากลำบาก ก็อยู่ที่บ้านที่เรือนมันมีอะไรรบกวนมาก ดังนั้นถ้าออกบวชแม้ แม้ แม้สักระยะหนึ่งมันก็ทำได้ง่ายกว่าศึกษาหรือปฏิบัติ
ไปอ่านเรื่องในพระบาลีที่ว่าคนรู้สึกอย่างไรจึงจะออก จึงได้ออกบวช พระพุทธเจ้าเองก็ดี คนบางคนที่เป็นสาวกก็ดี มันก็จะมองเห็นอย่างนี้ทั้งนั้น มองเห็นว่าไอ้หลักการอันนี้ที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องนั้นให้สมบูรณ์ก็ใช้อุปมาเหมือนสังข์ที่ขัดดีแล้ว หอยสังข์ที่ขัดสวยแล้ว แล้วทำกันเต็มที่ ทำที่บ้านเรือนไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องบวช เราต้องบวช แล้วมันจึงออกบวชเพื่อจะปฏิบัติตามหลักการนี้ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เขาจึงบวช ที่เรามันไม่ถึงขนาดนั้นนี่เพราะว่าเรายังมีแผนการที่จะสึก เราก็ถือเอาว่าเข้ามาหาโอกาสศึกษาให้ดีที่สุด ให้ได้มากที่สุด ได้เร็วที่สุด บางอย่างมันก็จะยังคงอยู่ ยังคงอยู่เต็ม แต่บางอย่างเมื่อสึกกลับออกไปเป็นฆราวาสมันจะต้องลดลงบ้าง คือเหมือนกับมันจะถอยหลังลงบ้าง แต่ก็ยังดีมีประโยชน์ ได้ค้ำประกันในฆราวาสคนนั้นให้มีความทุกข์น้อย ให้มีความทุกข์น้อย นี่มันจะหวังได้ก็อย่างนี้แหละสำหรับผู้ที่บวชชั่วคราว
ถ้าต้องการจะศึกษาและปฏิบัติธรรมะให้ดีให้จริงให้เร็วให้เต็มที่สักระยะหนึ่งก็คือบวช ถ้าไม่สึกก็ไม่มีปัญหาก็ไปต่อไป ถ้าสึกมันก็จะต้องมีอะไรเหลืออยู่มากน่ะถ้าเรารู้จักเข้าใจเต็มที่ รู้จักเต็มที่ ควบคุมมันได้เต็มที่ ก็สามารถจะเอาธรรมะนี่ไปใช้เป็นประโยชน์เมื่อสึกแล้วได้ ได้ ได้มากทีเดียว นี่ผมพูดเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องนำ เป็นคำนำ เป็นเรื่องนำว่ามันจะเกี่ยวข้องกับธรรมะกันในลักษณะอย่างไร เป็นเรื่องทั่ว ๆ ไปทีก่อน แล้วต่อไปใครคนไหนมีปัญหาเฉพาะอย่างไรก็ค่อยว่ากันไปให้มันตรงเรื่อง ตัวโดยทั่วไปมันเป็นอย่างนี้แหละคุณไปมองให้เห็นเสียก่อน เพราะมันต้องดับทุกข์ที่มีอยู่จริง ของมีอยู่จริง จัดการลงไปจริง ๆ อย่างนี้มันเป็นระบบวิทยาศาสตร์ ของไม่มีอยู่จริงสมมติขึ้นมาสำหรับคิดนึกคำนวณอย่างนี้เป็นปรัชญา ดังนั้นใครจะดับทุกข์จริงหรือจะศึกษาเพียงปรัชญาก็ได้ไม่มีใครว่า
แต่ฝรั่งหรือนักศึกษาสมัยปัจจุบันนี่เขาศึกษามันอย่างปรัชญา แล้วก็เอาไปเปรียบเทียบกันยุ่งไปหมด ปรัชญาเก่า ปรัชญาใหม่ ปรัชญากรีก ปรัชญาสายนั้นสายนี้ เพื่อจะเทียบกันให้มันยุ่งไปหมดให้มันเสียเวลา แล้วก็ดับทุกข์ไม่ได้ เพียงแต่พูดได้มากสอนอย่างมีเกียรติได้ โลกสมัยปัจจุบันนี้มันไปเมาปรัชญา มันก็รู้อะไรสำหรับพูด ก็ดับทุกข์ไม่ได้ ดังนั้นโลกสมัยปัจจุบันนี้จึงมีความทุกข์มากขึ้น มนุษย์แต่ละคนควบคุมตัวเองก็ไม่ได้ ดังนั้นความทุกข์ก็ต้องมากขึ้น ถ้ามันยังมีปัญหาอย่างอื่นอีกที่ทำให้มันมันยากลำบากขึ้น นั่นคือความก้าวหน้าทางวัตถุ มันแรงเหลือเกิน ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุยั่วให้ไปเอากะมันน่ะ เรื่องสวย เรื่องสะดวก เรื่องอร่อย เรื่องอะไรกำหนดไปมากมายหลายอย่าง ความก้าวหน้าทางวัตถุ อันนี้ก็เป็นปัญหาอันหนึ่งเพิ่มในมนุษย์ มีปัญหามากขึ้นและก็แก้ไขมันได้ยากขึ้น
ที่อยู่อย่างอะไรอย่างอยู่อย่างมาตรฐานปัจจุบันนี้มันก็มาก เรื่องมันก็มาก มันก็ต้องใช้เงินมาก ต้องมีบ้านอย่างนั้นอย่างนี้ มีรถยนต์อย่างนั้นอย่างนี้ มีเครื่องใช้ไม้สอยอย่างนั้นอย่างนี้ มีอะไรอีกมากมายหลายอย่าง มันก็ต้องมีปัญหามากขึ้นต้องลำบากมากขึ้น ไม่เหมือนกับสมัยก่อนที่เขามีสิ่งจำเป็นนะ ถ้าจำกัดจำเป็น เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมะในยุคปัจจุบันนี้ มันก็ต้องศึกษามากกว่ายุคโน้น เป็นเพราะมันมีปัญหามาก ไอ้ยุคเรามันมีปัญหามาก มีของมายั่ว มาดึงให้พลัดตกลงไปในความทุกข์น่ะมันมาก นั่นก็เพราะว่ามันมีไม่พอ เพราะมันมีธรรมะไม่พอกับความก้าวหน้าทางวัตถุในโลกปัจจุบันธรรมะมีไม่พอ คือมนุษย์ไม่สนใจมีไม่พอ โลกปัจจุบันนี้จึงเต็มไปด้วยปัญหายุ่งยากลำบาก
ไอ้ที่พวกที่ก้าวหน้าโดยเฉพาะพวกฝรั่งมันก้าวหน้าจนไม่รู้ว่าจะก้าวหน้าไปไหน ไอ้ทางวัตถุนี่มันยังทำให้ก้าวหน้าได้อีกมาก แต่แล้วมันก็ไม่รู้ว่าจะก้าวหน้าไปที่ไหนเพื่อประโยชน์อะไร จะประดิษฐ์นั่นประดิษฐ์นี่ประดิษฐ์โน่นขึ้นมาเรื่อย แล้วมันก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนจะเพื่ออะไร ในที่สุดมันก็เพื่อไอ้ของปัจจุบันเพื่อเอร็ดอร่อย สนุกสนาน เท่านี้เอง ที่มันให้มันแปลกออกไปก็มันมีเท่านั้น ถามว่าจะทำไปทำไม มันก็ตอบไม่ถูกต้องใช้ให้ไปถามคอมพิวเตอร์ ให้คอมพิวเตอร์ช่วยคิดแล้วก็ว่าบ้ากันเท่าไรแล้ว จะทำไปทำไมไอ้เหล่านี้น่ะที่ยุ่งยากลำบากหมดเปลืองทำลายโลกทำลายทรัพยากรในโลก ที่ว่าน้ำมันในโลกนี้จะหมดไปอย่าง จะมีปัญหาล่วงหน้าจะใช้อะไรแทนน้ำมัน น้ำมันมันถูกขุดขึ้นมาใช้เพื่อความคิดของมนุษย์ที่ก้าวหน้าทางวัตถุมากเกินจำเป็น ถ้ามันหมดต้องคิดอื่นอีก หมดคิดอื่นอีก ก็แปลว่ายุ่งไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อไปทำให้มันเกินกว่าที่มันควรจะทำ ดังนั้นคำว่าพอดี คำว่าพอดีน่ะ คือธรรมะ คือพระธรรม
อย่างในพุทธศาสนาก็เห็นได้ชัดว่า มัชฌิมาปฏิปทา คือตัวพุทธศาสนา ถ้าเกินไปเป็นกามสุขัลลิกานุโยค ถ้าขาดไปเป็นอัตตกิลมถานุโยค ไม่พอดี ดังนั้นเราอย่าไปเข้ามาตรฐานหรือแฟชั่น ไอ้พวกเกินจะลำบากนะระวังให้อยู่พอดี มีครอบครัวที่มีการเป็นอยู่ที่พอดีและถูกต้องตามกฎของธรรมชาติน่ะ มันก็จะไม่มีปัญหา นี่ก็ปัญหาที่มนุษย์สร้างขึ้นมาก็ต้องแก้ได้ แก้ให้ได้ ส่วนปัญหาธรรมชาติเช่น เกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือความวิบัติตามธรรมชาติอะไรนั้นก็เป็นเรื่องธรรมชาติสร้างขึ้นมา เราก็ต้องแก้ได้นี่ คุณอาจจะฟังไม่ถูกก็ได้ เราจะอยู่เหนือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้อย่างไร คุณอาจจะฟังไม่ถูกก็ได้และนั่นน่ะจะไม่เข้าใจพุทธศาสนา คือว่าเราอยู่เหนือปัญหาของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันจะเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เกิด แก่ เจ็บ ตายไปสิแต่มันไม่ทำอะไรให้เป็นทุกข์ได้ เราอยู่เหนือปัญหาของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างนี้เขาเรียกว่าอยู่เหนือความตาย เหนือความเจ็บ ธรรมะทำให้อยู่เหนือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย คำพูดมันพูดอย่างนั้น
คนอาจจะฟังผิดว่าไปอยู่ที่ไหนอย่างมีชีวิตแล้วไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างนั้นน่ะมันลิบ ไปไกลลิบแล้ว เป็นความเข้าใจผิดกันลิบแล้ว อยู่ที่นี่ทั้งที่ร่างกายมันเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ว่าจิตใจมันไม่มีปัญหา มันอยู่เหนือปัญหา ความตายไม่ทำอะไรให้เราเป็นทุกข์ ความเจ็บไม่ทำอะไรให้เราเป็นทุกข์ ความแก่ไม่ทำให้เราเป็นทุกข์ ก็อยู่เหนือ เหนือเกิด เหนือแก่ เหนือเจ็บ เหนือตาย ถ้าอะไรยังทำให้เราเป็นทุกข์ได้อยู่ ก็แปลว่าเราไม่ได้อยู่เหนือนั่นนะ ฉะนั้นไปดูให้ดี ๆ อะไรมันทำให้เป็นทุกข์ ต้องอยู่เหนือนั้นให้ได้ ไอ้ธรรมะน่ะมีครบสำหรับอยู่เหนือปัญหาทุกอย่าง มันอยู่แต่ว่าเรานี่จะพบธรรมะนั้นหรือไม่ จะศึกษาพบธรรมะนั้นหรือไม่ เข้าถึงธรรมะนั้นได้หรือไม่ สำหรับจิตใจที่อยู่เหนือปัญหาทั้งหมด เรียกว่าจิตใจปกติก็ได้ จิตใจอิสระก็ได้ แล้วก็เป็นสุข นอกจากจะเป็นสุขแล้วมันจะทำอะไรได้ดีด้วย มันจะทำการทำงานอะไรได้ดีด้วย เตรียมมีจิตใจชนิดนี้กันน่ะจะถูกเรื่อง จิตใจที่ไม่เป็นทุกข์ จิตใจที่ทำอะไรก็ทำได้ดี ที่เราเคยเป็นทุกข์ อย่ามีอีกเลย
เราทำงานที่ออฟฟิศ ราชการก็ดี บริษัทก็ดี อะไรก็ดี ที่มันเคยเกิดเป็นความทุกข์ร้อนขึ้นมาอย่างไรนั้นอย่าให้มันเกิดได้ ถ้ามันเกิดขึ้นมาก็อย่าเป็นทุกข์ แล้วแก้ไขมันให้ลุล่วงไปด้วยดี ด้วยจิตที่ปกติและอิสระนี้ นี่เรียกว่าไม่เป็นทุกข์ พอละ ทีนี้จะคิดจะนึกจะตัดสินใจอะไรจะทำอะไรต่อไปก็ทำได้ดีที่สุดด้วยจิตชนิดนี้ เป็นสุขเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวน่ะ เมื่อมีจิตใจเป็นสุข นี่ก็เป็นสุขนะ ที่ไปทำงานอะไรก็ดีเป็นที่พอใจ มันเป็นสุขในส่วนนั้นเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง แล้วก็เลยเป็นสุขได้โดยไม่ต้องไปอาศัยกามารมณ์หรือไปอาศัยเครื่องกระตุ้น เครื่องประเล้าประโลมอย่างโลก ๆ มันก็จะไม่ต้องใช้เงินเป็นค่าประเล้าประโลมทางโลก ๆ เดี๋ยวนี้คนส่วนมากเงินเดือนไม่พอใช้ เพราะต้องไปใช้จ่ายในเรื่องประเล้าประโลมจิตใจของตัวของครอบครัวมากจนเงินเดือนไม่พอใช้ นี่พวกกรรมกรมันก็อยากจะทำเหมือนพวกร่ำรวยมันก็ดิ้นรนกันใหญ่ พวกอันธพาลที่ยากจนมันก็จะทำเหมือนคนร่ำรวยมันก็เลยต้องทำอาชญากรรม ข่มขืน ข่มขืนแล้วฆ่าหรืออะไรก็ไปตามเรื่องของมันเพื่อจะได้มาซึ่งไอ้สิ่งเหล่านั้นซึ่งไม่อยู่ในฐานะที่ควรได้ เพราะมันไม่รู้จักธรรมะ อันธพาลทั้งหลายไม่รู้จักธรรมะเลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นเมื่ออยากเมื่อต้องการแล้วก็เอามันด้วยกำลังด้วยกิเลส ด้วยกำลังของตัว ถ้าคนชนิดนี้มีมากขึ้นในบ้านในเมืองแล้วจะทำอย่างไร คุณลองคิดดูละกัน ถ้าอันธพาลมันชุมเหมือนกับยุงในกรุงเทพฯ แล้วมันจะอยู่กันได้อย่างไร
นี่ธรรมะมันจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ แต่มนุษย์ก็ไม่รู้จัก และก็ไม่ให้โอกาสแก่ธรรมะที่จะมาคุ้มครอง เมื่อมนุษย์ไม่มีธรรมะธรรมะก็ไม่มีมาคุ้มครองเหมือนกัน ให้ธรรมะคุ้มครองเฉย ๆ มันจะมาได้อย่างไร จะมานั่งอ้อนวอนกันอยู่ก็ไม่ได้มันต้องทำ เรา อย่างน้อยก็ต้องทำเพื่อเราคนหนึ่งแหละ ถ้าทำเพื่อผู้อื่นได้ด้วยก็ยิ่งดียิ่งวิเศษนะ เพราะเราอยู่คนเดียวไม่ได้แน่ เราจะดีไปคนเดียวไม่ได้เราจะสุขอยู่คนเดียวคงไม่ได้ มันต้องมีคนรบกวน ก็แก้ปัญหามันเสียให้มันได้รับประโยชน์ทั่ว ๆ ไปหมด ก็ไม่มีใครที่จะต้องจำเป็นที่จะไปรบกวนใคร มีธรรมะแล้วจะมีความสุขในการมีชีวิตในการงานนั้นเอง ไม่ต้องหาเหยื่อของกิเลสมาประเล้าประโลมใจ เดี๋ยวนี้มันมุ่งแต่จะหาเหยื่อของกิเลสมาประเล้าประโลมใจ จึงเกิดความก้าวหน้าทางวัตถุ เหมือนกับวิ่งไม่ทันกัน มนุษย์ไปหลงสิ่งประเล้าประโลมใจมากเกินที่ถูกที่ควรมันก็สร้างปัญหาขึ้นมาสำหรับเป็นทุกข์ ที่คิดจะเป็นเจ้าโลกกันก็เพื่อจะได้โอกาสกอบโกยสิ่งประเล้าประโลมใจทั้งโลก
สรุปความว่ามนุษย์ต้อง ๆ ๆ ทำตัวให้เป็นมนุษย์นะ ไม่อย่างนั้นจะเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานไม่เป็นทุกข์ไม่มีความทุกข์ แล้วมนุษย์มามีความทุกข์อยู่นี่มันจะเป็นอย่างไรคุณลองคิดดู นี่เรียกว่าธรรมะพื้นฐานธรรมะเบื้องต้นมันก็ไม่มี สัตว์เดรัจฉานมันหยุดการคิดสติปัญญา วิวัฒนาการอะไรมันหยุดอยู่แค่นั้น มันก็ไม่มีปัญหามันก็นอนหลับสบาย หิวก็กิน หากิน หากิน แล้วก็พักผ่อน มีก็ปัญหาสืบพันธุ์เดี๋ยวเดียวปัญหากามารมณ์ไม่มีน่ะ คุณมองให้เห็นด้วยว่าไอ้ปัญหาทางกามารมณ์ไม่มีแก่สัตว์เดรัจฉาน มีแต่ทางสืบพันธุ์ชั่วขณะ ไม่กี่วันน่ะ ปีนึงไม่กี่วัน ปัญหาทางสืบพันธุ์ เป็นบ้า คล้าย ๆ กับเป็นบ้าไปพัก มันก็เรื่องธรรมชาติ เรื่องอวัยวะภายใน เรื่องต่อมเรื่องอะไร ปัญหาทางกามารมณ์ที่มานอนกกกอดกันตลอดคืนทั้งเดือนทั้งปีนี่มันไม่มีแก่สัตว์เดรัจฉาน มันมีแต่มนุษย์นะ นี่บาปของมนุษย์ นี่มนุษย์มันก็ต้องมีปัญหาที่ทำให้นอนไม่หลับ ที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนจนเป็นปวดหัว จนเป็นโรคประสาท จนเป็นโรคจิต สัตว์เดรัจฉานไม่มี เราต้องไม่เป็นอย่างนั้นสิมันถึงจะเรียกว่าดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน เราต้องรู้จักทำอย่าให้นอนไม่หลับ หรือเป็นโรคประสาท หรือเป็นโรคจิต หรือเป็นโรคอะไรที่มันเนื่องมาจากไอ้สิ่งเดียวกันนี้น่ะ ก็คือความไม่มีธรรมะ ข้อนี้เอาให้ได้เสียก่อนอย่าให้แพ้แก่สัตว์เดรัจฉาน
ที่เมื่อได้แล้วเราก็ทำประโยชน์ต่อไป ประโยชน์ตนเองก็สูงขึ้นไป ประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ก็สูงขึ้นไป ตอนนี้เราชนะสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งสัตว์เดรัจฉานจะตามมาไม่ทันตามมาไม่ถึง มนุษย์ก็ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานมากมาย แต่ถ้าไอ้มนุษย์มันไม่มีธรรมะไปนอนปวดหัวเป็นโรคประสาท เป็นโรคจิตอยู่มันก็เลวกว่าสัตว์เดรัจฉานซึ่งมันไม่เป็น มันไม่เป็น ปัญหาเรื่องความก้าวหน้าทางวัตถุมันไม่มีแก่สัตว์เดรัจฉาน มันยังเหมือนเดิม ไอ้เราต้องมีเสื้ออย่างนั้น มีผ้าอย่างนี้ มีกินอย่างนั้น มีรถอย่างนี้ มีบ้านอย่างนี้ อย่างนี้มันเพิ่มขึ้นแต่คน ทีนี้มันก็มีปัญหาที่สองที่สามงอกงามออกไป คือว่าต้องโกงกันบ้าง คดโกงกันบ้าง ต้องเอาเปรียบกันบ้าง ต้องทำสงครามกันบ้าง ซึ่งสัตว์เดรัจฉานมันไม่ต้องทำ ทีนี้เรามันอยากได้ สัตว์เดรัจฉานมันไม่ต้องการขนาดนั้นมันไม่ทำอะไรได้ ไม่มีโอกาสที่จะคดโกงหรือคอรัปชั่นหรืออะไรได้ มนุษย์จะเต็มไปด้วยคอรัปชั่น จนเขาพูดกันเดี๋ยวนี้น่า น่าเศร้ามากนะ ไอ้คอรัปชั่นนี่เต็มไปในวงการตำรวจ เดี๋ยวนี้คอรัปชั่นนี้เขยิบขึ้นไปถึงวงการผู้พิพากษาตุลาการ คิดดูในที่สุดมันจะไม่มีที่พึ่งนะ มันขาดธรรมะ
ทำไมจึงคอรัปชั่นเพราะมันต้องการเกินกว่าที่จำเป็นหรือว่าควบคุมจิตไม่ได้ ในเรื่องมันมีอย่างนี้คุณเอาไม่เอาก็สุดแท้ผมก็พูดไม่ถูกน่ะ ไอ้ธรรมะมันมีอย่างนี้ ไอ้เรื่องมันก็มีอย่างนี้ จะเอาหรือไม่เอากันก็สุดแท้ แต่อย่างอื่นมันไม่มีนี่มันก็พูดไปไม่ได้ด้วยพูดไม่เป็นด้วย มีธรรมะรู้ธรรมะปฏิบัติธรรมะ ก็แก้ปัญหาของธรรมชาติที่มันเกิดอยู่กับมนุษย์ผู้ไม่มีธรรมะ คนที่ไม่มีธรรมะมีปัญหาตลอดเวลาเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น ถ้ามีธรรมะมันก็ยกขึ้นมาจากนรกได้ เป็นมนุษย์ที่อยู่เหนือปัญหา มันมีเท่านี้มันไม่มีอะไรง่ายมากกว่านี้ ลองคิดดูเองคำนวณดูเอง ไหน ๆ ก็บวชเข้ามาแล้ว ใครใช้ให้คุณบวชหรือว่าคุณสมัครใจบวชเอง จะมาเอาอะไรต้องการอะไรนี่ไปคิดดูให้มันตรงกับเรื่อง ให้มันได้พอสมควรกันน่ะก็จะไม่เสีย เสียเที่ยวที่ว่าได้บวชเข้ามา ต้องได้อะไรกลับออกไปคุ้มค่า จะเป็นมนุษย์ที่ดีกว่าที่มีความทุกข์น้อยกว่า หรือไม่รู้จักความทุกข์ได้ก็ยิ่งดี แต่ว่าไม่ใช่สิ้นกิเลสนะ เป็นคนมีกิเลสนะแต่ว่ามีความทุกข์น้อยกว่า เพราะ เพราะเรามันควบคุมกิเลสได้มากกว่า รู้จักป้องกันไม่ให้เกิดกิเลสได้มากกว่า แต่ว่าไม่ใช่ว่าจะสิ้นกิเลส
ดังนั้นไปศึกษาเรื่องป้องกันไม่ให้เกิดกิเลสนั่นแหละให้มากมากเข้าไว้ ระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างไร ป้องกันไม่ให้เกิดกิเลสได้อย่างไร อันนี้น่ะศึกษาให้มาก ๆ เข้าไว้ มันจะมีประโยชน์นะเมื่อสึกออกไปหรือว่าในอนาคตต่อไปจนกระทั่งแก่เฒ่าเข้าโลงทีเดียวเหมือนกับควบคุมกิเลส เมื่อคนอื่นเป็นทุกข์เราไม่เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านแนะหรือท่านสอนให้มีมาตรฐานกันอย่างนี้ ให้วางมาตรฐานอย่างนี้ เมื่อคนอื่นเป็นทุกข์เราไม่เป็นทุกข์ เราไม่รู้จักความทุกข์แหละดี เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทุกข์ ดังนั้นทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์ ก็ศึกษาให้พอ มิฉะนั้นเราจะเป็นทุกข์มากกว่าสัตว์เดรัจฉานมันน่าอาย
ทั้งหมดนี้เป็นความจริงของธรรมชาติ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปตามที่ท่านบัญญัติมันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นตามธรรมชาติเป็นกฎของธรรมชาติ ท่านตรัสรู้ รู้ก็คือรู้เรื่องนี้ เรียกว่าตรัสรู้ แล้วเอามาบอกมาสอน เกิดทุกข์อย่างนั้นไม่เกิดทุกข์อย่างนั้น เป็นตามกฎของธรรมชาติอย่างนั้น ท่านค้นพบและสำเร็จปฏิบัติได้สำเร็จแล้วเอามาสอน เราก็เป็นสาวกของท่านก็ทำไป อย่าให้ต้องเป็นทุกข์เหมือนที่ท่านเคยทำมาแล้ว ถ้ายังมีชีวิตอยู่แล้วก็ไม่ ไม่ ไม่ให้มันเป็นทุกข์สิก็พอแล้ว ไม่ต้องรับผิดชอบไปถึงตอนตายแล้ว เพราะมันแน่นอนเหลือเกิน ถ้าว่าที่นี่ทำให้ไม่เป็นทุกข์ได้เลย ตายแล้วมันก็ไม่เป็นทุกข์ได้ จะมีชาติหน้า ชาติใหม่ ชาติหลัง มันก็ไม่เป็นทุกข์ ทำถูกต้องที่ชาตินี้โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ มันก็ไม่มีชาติไหนที่เป็นทุกข์
เรียนเรื่องชีวิตตามธรรมชาติ ของธรรมชาติ โดยธรรมชาติ เพื่อธรรมชาติ กิเลสก็เกิดขึ้นในชีวิตตามวิธีทางธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ ก็มันก็เป็นธรรมชาติ ทีนี้คนจิตของคนนี่ก็สัมผัสไอ้ความทุกข์จนเกลียด จนเบื่อ ก็ไปหาวิธีดำรงจิตกันเสียใหม่ ทำกันเสียใหม่ ปรับปรุงกันเสียใหม่ อย่าให้ต้องเป็นทุกข์ นี่เรื่องของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ก็มีอย่างนี้ เป็นมนุษย์ที่พบความลับของธรรมชาติตั้งไว้อย่างนี้ ดำรงไว้อย่างนี้ ทำอยู่อย่างนี้ ไม่เป็นทุกข์ ต่อไปมนุษย์อาจจะยอมรับเพียงว่าเป็นความจริงของธรรมชาติ เป็นสัจจะของธรรมชาติ จะไม่เรียกว่าศาสนานั้นศาสนานี้ตามชื่อคนพบ ตามชื่อคนค้นพบอีกต่อไป มันเอาไว้ไม่อยู่น่ะ จะสงวนลิขสิทธิ์ไว้ไม่ได้ ต้องไปเป็นของมนุษย์ผู้รู้จักธรรมชาติ เพ่งเล็งไปยังธรรมชาติ ถือศาสนาความจริงของธรรมชาติตรงกันหมดทั้งโลก พร้อมกันหมดทั้งโลกสักวันหนึ่ง
ผมพูดนี่เป็นเพียงคำแนะนำ คำนำ ให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ และต่อไปคุณจะมีปัญหาอย่างไรก็ว่าไปเฉพาะตน เตรียมปัญหามาดี ๆ อย่าให้มันเยิ่นเย้ออย่าให้มันเสียเวลามากในการถาม ในการตอบ ในการศึกษา
พระนวกะ: คือว่าผมอยากจะถามว่า ทำอย่างไรให้สังคมนี้มีธรรมะมากขึ้น อยากจะให้คนเรามามีธรรม ฟังไม่ชัด (นาทีที่ 01:02:23 – 01:02:25)
ท่านพุทธทาส: นั่นมันเป็นปัญหาของสังคม ปัญหาเรื่องของสังคม เกี่ยวกับสังคม ไอ้เราพูดกันนี้เป็นปัญหาของตัวเราปัญหาที่เกี่ยวกับเรา คุณจะมองปัญหาสังคม มันก็มองสภาพของสังคมว่าเป็นอยู่อย่างทุเรศ แล้วจะแก้ไขกันอย่างไรยากมากน่ะ เพราะมันเป็นเรื่องของสังคมที่เราบังคับมันไม่ได้ เรื่องจิตใจของเราเราพอจะบังคับได้ก็ยังทำกับมันไม่ได้ เรื่องสังคมนอกตัวเรามันก็ยากเกินไปอีก แต่ผมเชื่ออยู่เชื่อแน่คือทำให้สังคมมีธรรมะนะ ทำให้ธรรมะมีสังไอ้สังคมมีธรรมะ โดยพูดให้เขาเห็นความจำเป็นที่ต้องมีธรรมะ เห็นประโยชน์ของธรรมะ เห็นทางรอดของสังคมว่ามีทางเดียวเท่านั้นคือความมีธรรมะ ให้ประชาชนชอบธรรมะมากขึ้น เรียกร้องให้รัฐบาลจัดให้ประชาชนมีธรรมะ ถ้าจะให้กลับมาเร็ว ๆ ต้องระบอบเผด็จการเท่านั้น ซึ่งก็สั่นหัวเขาไม่เอาไม่มีใครชอบระบบเผด็จการ แต่จะให้ธรรมะมาช่วยมนุษย์ทันเวลา ผมเชื่อว่าต้องใช้ระบบเผด็จการนะ ก็เหมือนกับกฎหมายน่ะมันก็เป็นลักษณะเผด็จการ เพื่อจะปราบอันธพาลเป็นเผด็จการชนิดที่ไม่ ไม่ใช่ทุกอย่าง และก็ไม่ใช่รุนแรงเกินไป เท่าที่จำเป็น คือไม่ยอมให้ใครเป็นอยู่อย่างไม่มีธรรมะ
ผมเคยเอาเรื่องของพระเจ้าอโศกไปพูดทางวิทยุวันอาทิตย์ พระเจ้าอโศกใช้ระบอบวิธีเผด็จการให้ประชาชนมีธรรมะ เหมือนกับพ่อกับลูก ประชาชนเป็นลูกของข้า เขาอยู่ที่นี่ต้องมีความสุข ตายแล้วทุกคนต้องไปสวรรค์ นั้นต้องเผด็จการเหมือนกับพ่อเผด็จการกับลูกนะ มีรัฐบาลไหนกล้าทำโดยเฉพาะในสมัยที่หลงประชาธิปไตย ถ้าทุกคนมองเห็นว่าไม่มีทางอื่นแล้ว มีธรรมะทางเดียว ก็อาจจะพร้อมใจกันทำให้ธรรมะกลับมาได้ ช่วยกันกำจัดไอ้คนไม่มีธรรมะ ไม่ต้องฆ่าให้ตาย แต่เปลี่ยนไปให้มันมีธรรมะเสีย เกิดใหม่เสียให้หมด กลัวว่าเราจะหาตำรวจศีลธรรมไม่ได้ จะหาคนมาเป็นตำรวจศีลธรรมเหมือนอย่างสมัยอโศกไม่ได้ ตำรวจธรรมดาก็ยังหาไม่ค่อยได้นะ เป็นโจรเป็นขโมยเสียเองนะ แล้วจะหาคนมาเป็นตำรวจศีลธรรมได้ที่ไหน พระเจ้าอโศกมีตำรวจศีลธรรมมากมาย ส่งไปทั่วทุกหัวระแหง ไปตรวจในบ้านก็ได้ ในครัวก็ได้ ในห้องนอนก็ได้ ในส้วมก็ยังได้ มันต้องมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยถูกต้องไปหมด คุณช่วยหาแนวร่วมให้บ้างสิ ให้ชอบธรรมะ หาแนวร่วมอย่างคอมมิวนิสต์น่ะ แต่เรามาหาช่วยกันหาธรรมะ ถ้าทุกคนมันจริงนะ แล้วมอบชีวิตจิตใจกับธรรมะจริง ๆ ก็ต้องทำได้แน่ ทุกคนจะยึดถือแต่ในทางของธรรมะ แล้วต่อสู้ ช่วยกันต่อสู้เพื่อธรรมะ เหมือนกับพวกคริสเตียนน่ะเขาต่อสู้เพื่อพระเจ้า เราน่ะต่อสู้เพื่อธรรมะ ทุกคนนี่ที่นั่งอยู่ที่นี่ อุทิศชีวิตต่อสู้เพื่อธรรมะกลับมา แล้วมันขยายตัวออกไปเอง ขยายออกไปเอง มันก็จะดีขึ้นน่ะ ความนิยมในธรรมะก็จะมากขึ้น ถ้าไปชี้แจงเห็นว่าไม่มีทางอื่นละ ที่มนุษย์เราจะเป็นสุขอยู่ได้นอกจากธรรมะ ไอ้ที่มันอันธพาลเกินไปมันก็ไม่ฟังก็ตามเรื่องมันน่ะไว้ทีหลัง ที่มันพอจะพูดกันรู้เรื่องนี่พูดให้รู้เรื่องเสียให้หมด ให้เหลือแต่อันธพาลไม่กี่คน ป้องกันอย่าให้เกิดอันธพาลใหม่เพิ่มขึ้น ไอ้เรานี่ต้องมีธรรมะก่อนถึงจะทำให้ผู้อื่นมีธรรมะได้ ช่วยกันปลุกระดมโดยผู้ที่มีธรรมะแล้ว อุทิศชีวิตเพื่อความถูกต้อง เพื่อความบริสุทธิ์ เพื่อความเหมาะสมที่จะมีจะเป็น ถ้ามันไม่เป็นอย่างนี้ล่ะสมัครตาย ตายดีกว่า ดีกว่าอยู่อย่างไม่มีธรรมะ จึงจะศึกษากันไหวน่ะ ศึกษาให้รู้ธรรมะถึงขนาดมอบชีวิตจิตใจอย่างนี้ พอไหวไหม ชั่วเวลาเล็กน้อยนี้ ทุกคนที่จะศึกษาให้เห็นธรรมะถึงจนกับว่ามอบชีวิตจิตใจให้แก่ธรรมะได้นี่ จะได้หรือไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น ผมยืนยันเอาคนนึงล่ะ ผมเองเอาคนนึงล่ะเอาด้วย แล้วก็พยายามอยู่เต็มที่ ทำอย่างไรสังคมจะมีธรรมะก็คืออย่างนี้ เราศึกษาธรรมะให้รู้ปฏิบัติได้ จบเรื่องส่วนเราแล้วก็ชักชวนผู้อื่นให้เห็นธรรมะ ให้รักธรรมะ ให้เสียสละเพื่อธรรมะ แบบเดียวกับพระพุทธเจ้าท่านทำน่ะ พอได้ ๖๐ รูปก็ส่งไปโฆษณาธรรมะให้คนในโลกพอใจธรรมะ เป็นอยู่กันด้วยธรรมะ มันจะมีปัญหาอยู่ก็ตรงที่ว่า พอไปพบอะไรสวย ๆ งาม ๆ เข้ามันลืม มันลืมเรื่องธรรมะหมด ระวังให้ดี ๆ เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เราเข้าใจพอใจธรรมะนะ พอออกไปพบ อะไรสวย ๆ งาม ๆ เอร็ดอร่อยลืมลืมธรรมะหมด ความล้มละลาย
ก็มีพุทธสมาคม มียุวพุทธิกสมาคม มีอะไรกันเยอะแยะก็ยังไม่เห็นมันดีขึ้น เพราะมันทำแต่พอเป็นพิธี อาศัยธรรมะสร้างชื่อเสียงให้แก่ตัว นี่อันนี้ไม่จริงนะ มันจะเป็นธรรมะจริงไม่ได้ ใช้ธรรมะเพื่อเพื่อธรรมะเพื่อเพื่อนมนุษย์ เพื่อประโยชน์ของมนุษย์จริง ๆ อย่างนี้มันเพียงแต่ว่าอาศัยธรรมะเป็นเครื่องมือหาประโยชน์ของตัว ไปไม่รอด ที่ว่าธรรมะกลับมามันก็เพื่อประโยชน์สังคมมากกว่า แต่ว่ามันก็มันก็เพื่อประโยชน์บุคคลนั้นด้วย ถ้าสังคมมันดีมีความสงบสุขไอ้คนนั้นก็พลอยมีความสงบสุขด้วย ธรรมะกลับมามันดีกันทุกฝ่ายน่ะ เป็นผลดีแก่ทุกฝ่าย ให้ทุกคนรักกัน ให้ทุกคนรักผู้อื่น ทุกคนบังคับตัวเองได้ ไม่เป็นทาสของกิเลส เป็นอยู่พอดีถูกต้อง มันก็มีเท่านั้นนะ เป็นอยู่กันให้ถูกต้อง โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนั้น ถ้าภิกษุเหล่านี้จะเป็นอยู่โดยชอบไซร้ คือเป็นอยู่กันอย่างถูกต้อง โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ ดังนั้นศึกษาความถูกต้องน่ะให้มันพอ ให้มันเพียงพอ ถูกต้องอย่างไร เรียนก็ถูกต้อง ปฏิบัติก็ถูกต้อง มันก็ได้ผลอย่างถูกต้อง คงคิดว่าวันนี้ไม่ตอบปัญหาแล้ว คุณไปเตรียมปัญหาที่กะทัดรัดที่เหมาะเจาะเอาไว้พรุ่งนี้ พรุ่งนี้มาเริ่มด้วยการอภิปรายถามตอบปัญหา วันนี้มันเป็นคำนำ เป็นการนำ เป็นความนำเกี่ยวกับธรรมะ เกี่ยวกับปริทรรศน์ของธรรมะ เอาล่ะ พอกันทีสำหรับวันนี้ นิมนต์กลับ ดังนั้นปิดประชุม