แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านนักศึกษาและครูบาอาจารย์ ผู้ที่สนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ เพื่อแสวงหาประโยชน์เกี่ยวกับการศึกษาธรรมะหรือปฏิบัติธรรมะ ในข้อแรกที่สุดก็ขอให้ใช้ประโยชน์หรือได้รับประโยชน์จากสถานที่ ที่นี่เราพยายามปรับปรุงสถานที่ให้เหมาะแก่การศึกษาธรรมะ ก็คือให้ใกล้ชิดธรรมชาติได้โดยสะดวกนั่นเอง เพราะว่าธรรมะนั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องอื่นเลยขอให้จำไว้ด้วยว่าธรรมะคือเรื่องของธรรมชาติ ธรรมะคือเรื่องกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือเรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลที่เกิดมาจากการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ มันไม่มีอะไรที่นอกไปจากธรรมชาติ จึงรวมเรียกว่าธรรมะคือเรื่องของธรรมชาติ จะเป็นเรื่องทางกาย ทางวัตถุหรือว่าเป็นเรื่องทางจิตใจ จะเป็นเรื่องในตัวเรา เรื่องนอกตัวเราเป็นเรื่องทั่วไปทั้งจักรวาลอะไรก็ตามเป็นเรื่องของธรรมชาติ การที่จะเข้า ใจเรื่องของธรรมชาติมันก็ควรจะใกล้ชิดธรรมชาติถึงขนาดที่เรียกว่าเป็นเกลอกับธรรมชาติ เพราะฉะนั้นพระศาสดาทั้งหลาย จึงได้ตรัสรู้ในป่าตามธรรมชาติในลักษณะที่เป็นเกลอของธรรมชาติ ไม่มีศาสดาองค์ไหนตรัสรู้ในมหาวิทยาลัยอย่างที่พวกคุณก็เรียนๆกันอยู่ เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องกันคนละเรื่อง ไอ้เรื่องที่เราจะรู้กันจากตึกเรียนในมหาวิทยาลัยกับเรื่องที่เราจะรู้เมื่อไปอยู่กับธรรมชาติเป็นเกลอกันกับธรรมชาติ ฉะนั้นขอให้พยายามสังเกตดูให้ดีๆว่ามันเป็นความรู้ที่คนละเรื่องกัน ความรู้ทางธรรมะก็เป็นเรื่องธรรมชาติโดยสมบูรณ์ มีความรู้สามัญทั่วไปไม่ค่อยยึดถือธรรมชาติเป็นหลักไปเสียก็มี ก็เป็นคนละเรื่อง มีความรู้โดยทั่วไปที่เรียกว่าความรู้สามัญเป็นเรื่องทำมาหากินทั้งนั้น คุณจะเรียนกันในสายไหนของมหาวิทยาลัย ในที่สุดก็เป็นเรื่องทำมาหากินทั้งนั้น และในการทำมาหากินนั้นเองจะต้องมีปัญหาคือความทุกข์เกิดขึ้น นี่พูดได้เลยว่า เมื่อเราทำอะไรเพื่อประโยชน์แก่การดำรงชีวิต มันก็จะเกิดปัญหาคืออุปสรรคหรือความทุกข์ ถ้าไม่รู้จักกำจัดความทุกข์นี้มันก็จะเลยไปถึงกับว่าเป็นอันตราย เป็นโรคภัยไข้เจ็บหรือถ้ามากนักก็ถึงตาย หรือว่าถ้าไม่มีธรรมะแล้วมันก็ต้องเป็นโรคประสาท เป็นโรคจิต เป็นโรคอะไรก็ตามอย่างที่เป็นกันอยู่ทั่วโลก ในทางสังคมก็จะเบียดเบียนกัน ทุกคนเห็นแก่ตัวและก็เบียดเบียนประโยชน์ของผู้อื่นอย่างแบบอันธพาล ซึ่งเราเห็นได้ว่าอันธพาลกำลังหนาแน่นขึ้นมาในโลก เพราะไม่มีธรรมะที่จะมาช่วยให้รัก ให้รักผู้อื่นเขาก็เห็นแก่ตัว ลองเอาหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับมา แล้วก็ดูแผ่น แผ่นแรก แผ่นปกทุกหน้าจะเต็มไปด้วยภาพและข่าวอันธพาลทั้งนั้น นี่ประเทศไทยเรา ที่เป็นข่าวอื่นนับว่ามีน้อย ดูจะพวกคุณจะไม่สนใจกันหรืออย่างไร ไอ้เรื่องภาพที่ทำร้ายกันเบียดเบียนกันจากอันธพาลนั้นเต็มไปหมด โดยเฉพาะหน้าปกหลังปกซึ่งเมื่อก่อนไม่มีอย่างนี้ อาตมายังเคยจำได้ติดตาว่าหนังสือพิมพ์รายวันสมัยก่อนโน้นไม่เห็นภาพอย่างนี้เลยแม้ที่หน้าปก นี่หมายถึงว่า ๕๐ – ๖๐ ปีมาแล้ว หนังสือพิมพ์รายวันแต่ละฉบับไม่มีภาพลามก อนาจาร อันธพาล เหมือนกับหนังสือพิมพ์สมัยนี้ นี่คือความที่มันขาดธรรมะ มันรู้กันแต่วิชาสามัญเพื่อประกอบอาชีพ ไม่มีธรรมะควบคุมก็เห็นแก่ตัวจึงรุกล้ำประโยชน์ของผู้อื่น ไปเรียนมามากจากเมืองนอกปริญญายาวเป็นหางก็ไม่พ้นจากการทำคอรัปชั่น นี่เพราะว่าการศึกษามันไม่มีธรรมะ เรามามองดูกันถึงข้อนี้ว่ามันจะต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ เข้ามาช่วยโลกมนุษย์แทนยุคปัจจุบันซึ่งเจริญก้าวหน้าด้วยวิชาทางวัตถุ วิชาเทคโนโลยีที่รู้จักใช้เทคนิคในทุกแขนงงาน มันไม่ได้ช่วยให้คนมีธรรมะได้ ยิ่งเรียนยิ่งเห็นแก่ตัว เพราะยิ่งเรียนยิ่งมีโอกาสยิ่งเห็นโอกาสที่จะเอาเปรียบผู้อื่น วิชาประเภทนี้มันจึงสำหรับสร้างความร่ำรวย สร้างความเอาเปรียบผู้อื่นได้เปรียบผู้อื่น จึงหวังความสงบสุขไม่ได้จากไอ้วิชาชนิดนี้ มันก้าวหน้าอย่างยิ่งในทางที่จะให้วัตถุเป็นปัจจัยแก่ความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางวัตถุ ยิ่งมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งมีกิเลสยิ่งเห็นแก่ตัวมากเท่านั้น โลกจึงเป็นอย่างนี้ นักเรียนนักศึกษาทำไมเรียนแล้วจึงไปเป็นทาสของยาเสพติดเล่า มันโง่กี่มากน้อย อุตสาห์เล่าเรียนในที่สุดก็เป็นทาสของยาเสพติด มันต้องเรียกว่ามัน มันเหลือเกินน่ะ ซึ่งเมื่อก่อนเขาไม่มีปัญหาอย่างนี้ ไม่มีใครเรียนแล้วไปเป็นทาสของยาเสพติดเหมือนกับสมัยนี้ แต่ปัญหายาเสพติดอย่างปัจจุบันนี้มันก็ไม่มีอย่างในสมัยโน้น ซึ่งเรียกว่าการศึกษายังไม่เจริญก็ได้ คำว่าเจริญมันมีความหมายกันคนละอย่าง เจริญทางวัตถุเพื่อความสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางวัตถุ นี่มันก็ไปอย่างหนึ่ง เจริญทางจิตใจคือมีจิตใจสงบเย็นเป็นผาสุกแม้ว่าจะขาดแคลนทางวัตถุบ้างก็ยังสงบเย็น นี่เราเรียกว่าความเจริญทางจิตใจ เรากำลังศึกษาเล่าเรียนเพื่อความเจริญทางไหน ก็รู้เอาเองเถิด ถ้าเรียนกันแต่เรื่องทำมาหากินเรื่องดำรงชีวิตไม่มีเรื่องของธรรมะ มันก็เป็นการศึกษาที่ด้วน ยอดด้วนหรือหางด้วนแล้วแต่จะเรียก มีแต่การศึกษาศิลปะวิทยาอาชีพเทคโนโลยีทุกแขนง แต่ถ้าไม่มีธรรมะแล้วมันก็เป็นการศึกษาหางด้วน ฉะนั้นสัตว์หางด้วนมันไม่น่าดู เดินก็ไม่ค่อยตรง อย่างนกนี่ถ้าเอาหางออกเสีย ถอนหางออกเสียหมดแล้วมันก็บินไม่ได้มันบินหมุน นี่เรียกว่าหางด้วนมันก็ไม่สำเร็จประโยชน์และไม่น่าดูด้วย ถ้ายอดด้วนเหมือนกับเจดีย์ ถ้ายอดมันด้วนมันก็ไม่สวย ที่นี้มนุษย์ก็มีการศึกษาที่ด้วนที่ไม่สวย คือจะเกิดปัญหาในอนาคต ศีลธรรมเสื่อมในโรงเรียน ในวิทยาลัยในมหาวิทยาลัยนั่นเอง ศีลธรรมเสื่อม เดี๋ยวนี้มีเครื่องมือป้องกันประจักษ์พยานในทางเสื่อมศีลธรรมมากขึ้น ก็ช่วยให้มีการเสื่อมศีลธรรมมากขึ้น เราก็ไม่หวังไอ้ความสุขที่ถูกต้องอย่างมนุษย์ได้ ยินดีที่ว่าเรามีชมรมพุทธศาสน์ กลุ่มพุทธศาสน์ อะไร ๆ พุทธศาสน์นั่นแหละขึ้นตามมหาวิทยาลัย แต่ก็ยังสงสัยอยู่ว่ามันสำเร็จประโยชน์เท่าไหร่ สำเร็จประโยชน์จริงหรือหาไม่ หรือว่าทำพอ พอเป็นพิธี คือว่าถ้าไม่ทำมันก็น้อยหน้าเขา เมื่อโรงเรียนอื่นวิทยาลัยอื่นเขาทำเราไม่ได้ทำมันก็น้อยหน้าเขา แล้วก็ทำพอเป็นพิธีอย่างนี้ไม่สำเร็จประโยชน์แน่ จะต้องรู้คุณค่าอันแท้จริงของสิ่งที่เรียกว่าธรรมหรือพระธรรมนั่นแหละ และก็อยากจะได้เหลือประมาณ อยากจะมีเหลือประมาณ นั่นแหละจึงจะเป็นการกระทำที่แท้จริง เรียนก็เรียนจริงปฏิบัติก็ถูกต้องและผลที่ได้รับก็ถูกต้อง ธรรมะก็ยังอยู่ในหมู่มนุษย์ ช่วยคุ้มครองมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ ฉะนั้นช่วงเวลาน้อยและมีการพูดครั้งเดียวนี้ อาตมาคิดว่าพูดเรื่องธรรมะกันดีกว่า พูดเรื่องสิ่งที่เรียกว่าธรรมะให้มันพอให้เป็นที่เข้าใจเพียงพอ เราจะรู้จักปรารถนาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ ได้รับผลจากการเป็นผู้มีธรรมะ จะต้องมองให้ลึกลงไปถึงที่ว่าถ้าไม่มีธรรมะมันจะไม่เป็นคนด้วยซ้ำไปอย่าว่าแต่จะเป็นมนุษย์ ไม่มีธรรมะไม่เป็นมนุษย์นะ อยากให้มนุษย์เป็นคนก็ไม่ได้นะ และก็เป็นอะไรที่ต่ำไปกว่าคนนะถ้าไม่มีธรรมะ คนน่ะมันไม่ ไม่ใช่คำเดียวกับมนุษย์ เป็นเพียงคนยังไม่ใช่เป็นมนุษย์ แต่ว่าไอ้คำพูด ๒ คำนี้มันสับสนเพราะมันมายุติในวิชาความรู้ที่สอนกันในโรงเรียนนั่นเอง ในโรงเรียนสอนว่ามนุษย์แปลว่าคน ก็เลยคนกับมนุษย์นี่มันกลายเป็นอันเดียวกันเสีย ไอ้ลูกเด็กๆเขาก็เข้าใจอย่างนั้น ที่จริงคำว่ามนุษย์ไม่ใช่คำเดียวกับคน คำว่าคนนี่มันแปล เป็นคำแปลของคำว่า นอ รอ นะ ระ (นาทีที่ 14:41ไม่แน่ใจว่าเขียนถูกหรือไม่)น่ะแปลว่าคน ชะ นะ ก็แปลว่า ชนนั่นก็คือคน บุคโลก็ว่าบุคคล แต่มนุษ มนุษยนี่มันเป็นมนุษย์ ฉะนั้นเป็นเพียงคนยังไม่ใช่มนุษย์เพราะไม่มีธรรมะสำหรับจะเป็นมนุษย์ ผู้ที่มีความรู้เรื่องนี้ เรื่องคำว่าคน เรื่องคำว่ามนุษย์นี่ เขาก็ได้ใช้คำนี้อย่างถูกต้อง อย่างพวกคุณนักเรียนนักศึกษาก็ต้องร้องเพลงกราวกีฬาได้ว่า กีฬาเป็นยาวิเศษแก้กรองกิเลสทำคนให้เป็นคน ก็หมายความว่าคนที่ยังไม่เล่นกีฬาก็ยังไม่เป็นคน หรือเมื่อยังไม่เป็นนักกีฬาก็ยังไม่เป็นคนอยู่นั่นแหละต่อเมื่อเป็นนักกีฬาจึงจะเป็นคน นี่เป็นแต่เพียงคนไม่ได้มากไปกว่าคนสักที ฉะนั้นคำว่าคนก็มีหลายความหมาย คนจริง คนไม่จริง คนถึงระดับ คนไม่ถึงระดับ คนโดยสมบูรณ์ คนไม่สมบูรณ์ ฉะนั้นกีฬาแก้กิเลสสำหรับทำคนให้เป็นคน มีน้ำใจนักกีฬาคือมันสูงไม่อันธพาล ถ้าจิตอันธพาลมันเป็นคนไม่ได้มันต้องเหนือกว่าความเป็นอันธพาลแล้วก็เป็นคน ถ้าคนเต็มคนนั่นแหละจึงจะเรียกว่ามนุษย์ได้มันมีคุณธรรมสูง เราเคยอ่านเรื่องโสเครติส ปรัชญาเมธีกรีซ สมัยร่วมๆ พุทธกาลโน่น โสเครติสจุดคบเพลิงเที่ยวส่องหาตามถนนกลางถนนกลางวัน มีคนแถวนั้นเที่ยวหาอะไร โสเครติสก็ตอบว่าเที่ยวหาคนส่องไฟหาคน ก็ลองคิดดูสิว่าไอ้ที่มันเดินอยู่เต็มถนนนั่นมัน มันไม่ใช่คนตามความหมายของโสเครติส ก็ยังจุดคบเพลิงเที่ยวส่องหาคน ฉะนั้นคำว่าคนตามความหมายของโสเครติสมันก็ต้องเป็นคนที่สมบูรณ์ เหมือนกับอย่างเราเรียกว่ามนุษย์นั่นแหละ มันรู้เรื่องความเป็นคน ซึ่งดูให้ดี เป็นคนที่เป็นมนุษย์กันหรือยัง เป็นแต่เพียงคนยังไม่ใช่มนุษย์ ก็เพราะคำว่าคนนี้พอเกิดมาก็เป็นคน เกิดมาจากสัตว์ที่เป็นคนมันก็เป็นคนแต่ว่าถ้าใจยังไม่สูงพอก็ยังไม่เรียกว่ามนุษย์ ถึงภาษาอังกฤษก็เหมือนกันว่า คำว่า Human นั่นน่ะ มันมีความหมายสูงกว่าคำว่า Man Man เฉย ๆ ไอ้ Man นี่มันจะเป็นคน แต่ Human เป็นคนชั้นที่สมบูรณ์ ฉะนั้นเรารู้เรื่องคนซึ่งมันเป็นเรื่องของเราเองกันไว้ให้พอ เดี๋ยวนี้เราเป็นคนหรือยัง ถ้ายังไม่เป็นคนก็เพราะเหตุอะไร เพราะเหตุไม่มีธรรมะสำหรับทำให้เป็นคนคือจิตใจไม่สูง มนุษก็ดี มนุษยก็ดี เป็นภาษาบาลี เป็นภาษาสันสกฤตบ้างตัวหนังสือมันก็แปลว่ามีใจสูง หรือว่าเป็นเหล่ากอของมนูซึ่งมีใจสูง ที่เขาเรียกกันว่าพระมนูนักปราชญ์คนแรกของโลก มนูนี่เขามีใจสูง ผู้ที่เป็นเหล่ากอของมนูก็เรียกว่ามนุษย์ ฉะนั้นคำว่ามนุษย์ก็ต้องมีใจสูงแหละ หมายความว่ามีใจสูงก็แล้วกัน นี่คุณไปดูที่ว่าสูงมันสูงตรงไหนสูงอย่างไร ก็ต้องหมายความว่ารู้จักสูงรู้จักต่ำ สูงจนที่ว่าไม่ต้องเป็นทุกข์แหละ ตัวเองก็ไม่เป็นทุกข์และก็ไม่ทำใครให้เป็นทุกข์ด้วยนี่จึงจะเรียกว่าใจสูง เดี๋ยวนี้เราเห็นแต่ประโยชน์ตัว รุกล้ำประโยชน์ของผู้อื่นนี่ก็คือใจต่ำ ถ้าใจสูงมันทำอย่างนั้นไม่ได้ หรือว่าถ้าใจต่ำมันก็เห็นแต่เรื่องวัตถุทางเนื้อทางหนังทางเอร็ดอร่อย ก็ไม่เห็นแก่ความถูกต้อง ไม่เห็นแก่ระเบียบวินัยก็เลยทำอะไรเลวๆ มีจิตใจต่ำทรามที่เรียกว่าพวกบ้ากามเป็นทาสของกามารมณ์ใจมันจะสูงอย่างไรได้ การศึกษาอย่างที่มีอยู่ในโลกเวลานี้ช่วยไม่ได้ ช่วยให้ใจสูงไม่ได้ เพราะมันมุ่งแต่จะหาเงินมาซื้อกามารมณ์ทั้งนั้น การศึกษาทั้งหลายทำให้เราได้งานดีได้เงินมาก และเงินมากเอาไปซื้อหาวัตถุปัจจัยแห่งกามารมณ์ ใจจึงสูงไม่ได้ การศึกษายุคปัจจุบันมันสูงไม่ได้ในทางจิตใจ หรือทำให้ใจสูงไม่ได้ ก่อนนี้การศึกษาเขาไม่ได้หวังวิชาชีพซึ่งมีเทคโนโลยีเป็นหลัก เขาหวังในความมีจิตใจสูง เมื่อ ๕๐ หรือ ๖๐ ปีมานี้ มหาวิทยาลัยชั้นเอกของโลก คือพวกมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ อ๊อกซฟอร์ด แคมบริดจ์ พวกนี้เขามีจุดปลายทางของการศึกษาคือความเป็นสุภาพบุรุษ ปรัชญานั่น ปรัชญานี่ นั่นเขาไม่สนใจล่ะ ไม่ยกให้เป็นเกียรติว่ามันจบปริญญาสาขานั้นสาขานี้ เขามุ่งความเป็นสุภาพบุรุษ จึงถือเสียว่าไอ้เรื่องกีฬานี้ทำให้คนเป็นสุภาพบุรุษมากกว่า ฉะนั้นมหาวิทยาลัยประเทศอังกฤษสมัย ๕๐-๖๐ ปีโน้นก็นิยมกีฬาอย่างยิ่ง เพราะถือว่าคนมีน้ำใจนักกีฬาจิตใจมันสูงเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ นี่เขาเคยพบเรื่องอย่างนี้มาแล้ว ต้องการคนมีจิตใจสูงเป็นสุภาพบุรุษ คำเดียวกับสัตตบุรุษในพระพุทธศาสนา ที่จิตใจสูงที่จิตใจสงบ คนพวกนี้ไว้ใจได้ไม่มีอันตราย ไม่เหมือนกับพวกได้รับปริญญาสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้ มีอันตรายพร้อมที่จะโกงเสมอ ไอ้เรื่องการศึกษาที่ถูกต้องนี้ มันต้องการจะให้เป็นมนุษย์ที่แท้จริง มีจิตใจสูงเรียกว่าสุภาพบุรุษนี่ดีที่สุด แต่เดี๋ยวนี้มันก็เปลี่ยนหมดแล้ว อาตมาสังเกตดูสอบถามดูมันก็เปลี่ยนหมดแล้ว ก็ไม่ได้นิยมอย่างนั้นแล้ว เปลี่ยนเป็นนิยมเทคโนโลยีตามสายตามแขนง สำหรับที่จะเป็นเรื่องกอบโกยมีอำนาจมีกำลังสำหรับจะกอบโกย แต่ละอย่างละอย่างกันทั้งนั้น จึงหวังยากที่ว่าโลกนี้จะมีสันติสุขหรือมีสันติภาพ เพราะว่าการศึกษามันเป็นไปในทางเพื่อประโยชน์แก่การแสวงหาสิ่งที่สนองความอยากความต้องการของมนุษย์ธรรมดาๆไปหมดแล้ว พอลงได้เป็นอะไรดีล่ะ เป็นทาสของวัตถุ ของเงิน ของเนื้อหนังแล้วก็เอาธรรมะไว้ไม่ได้ คือไม่มีธรรมะนั่นเอง ทีนี้ก็มาถึงข้อที่ว่าเราจะมีธรรมะกันหรือไม่นี่ การที่มีชุมนุมพุทธศาสน์มีอะไรขึ้นมาในมหาวิทยาลัยนั้นนะโดยที่แท้มันเพื่อธรรมะ ที่นี้เราต้องการจริงหรือไม่ หรือว่าเราทำพอให้มันไม่น้อยหน้าเขาอย่างที่พูดมาแล้ว ถ้ามันจริงมันก็ต้องเพื่อธรรมะจริงๆ ในวิชาสามัญ ศิลปะวิทยาอะไรที่เรียนกัน ก็เรียน เรียนให้จริงให้พอให้ได้ความรู้เพียงพอที่จะได้รับประโยชน์จากวิชานั้นๆ แต่แล้วก็ต้องมีวิชาธรรมะนี่สำหรับไปควบคุมจิตใจของผู้ที่มีวิชาความรู้ชนิดนั้น ถ้าไม่มีธรรมะควบคุมแล้วเขาก็ต้องใช้วิชาความรู้อย่างยิ่งของเขานั้นเพื่อเห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ แล้วมันก็ได้กระทบกระทั่งทะเลาะวิวาทแย่งชิงแข่งขันกันจนเห็นการแย่งชิงนี้เป็นสิ่งสูงสุด การเอาเปรียบ การหาหนทางเอาเปรียบ การบุกเบิกอำนาจอิทธิพลอะไรของตน เหมือนอย่างที่มันกำลังเป็นอยู่ในโลกเวลานี้ ลองศึกษาดูให้ดี เขากำลังรบราฆ่าฟันกันที่ไหนบ้าง มันไม่มีเหตุผลเลยที่จะต้องรบราฆ่าฟันกัน ก็หาเหตุผลตลบตะแลงมาเป็นข้อแก้ตัวสำหรับจะรบราฆ่าฟันกันจนได้ แล้วก็ลามไปเดือดร้อนกันไปทั่วโลกแม้จะไม่ได้เข้าสนามรบกับเขาก็พลอยเดือดร้อน เมื่อมันมีสงครามในโลก สงครามที่ใช้อาวุธเข่นฆ่ากันก็เพราะบังคับความรู้สึกให้ตั้งอยู่ในธรรมะไม่ได้ ตลอดเวลาเราก็มีสงครามเย็น ซึ่งไม่ได้รบกันด้วยอาวุธ ไม่ได้ฆ่ากันให้นองเลือด แต่ว่าคิดประทุษร้ายใต้ดินลึกซึ้งที่สุด จะโค่นล้มพวกนั้นจะยกตัวเองขึ้นเหนือกว่าที่จะมีอำนาจยึดครองอะไรต่างๆนานา นี่เรียกว่าสงครามเย็น ทั้งสงครามร้อนทั้งสงครามเย็นนี่มันขาดธรรมะ และโลกก็ไม่มีสันติสุข พวกคุณที่ไม่มีไม่รู้เรื่องอะไรก็ต้องพลอยเดือดร้อนด้วย เพราะของแพงเพราะไม่มีอะไรจะใช้ เพราะไอ้ มันขาดแคลนอย่างนี้ก็จะต้องถูกแย่งชิง ถูกขโมย ถูกอะไรมากขึ้นน่ะ นี่มันเดือนร้อนโดยอ้อมเป็นชั้น ชั้น ชั้นกันทั้งนั้น ไม่มีใครจะอยู่เป็นสุขได้เมื่อไอ้โลกนี้ไม่มีธรรมะ ธรรมะนี้เป็นเครื่องคุ้มครองโลกให้อยู่เป็นสุข เป็นเครื่องกำกับบุคคลแต่ละคนให้เดินไปถูกทางของความเป็นมนุษย์ มิฉะนั้นก็จะเป็นแต่เพียงคน เป็นแต่เพียงคนก็ไม่ดีกว่าสัตว์นักน่ะ ก็เพราะคนก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ถ้าเป็นคนแล้วมันเลื่อนให้คนที่สมบูรณ์เป็นมนุษย์มันจึงจะดีกว่า ถ้าเป็นคนก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง แต่แล้วมันมันจะเป็นเรื่องดี เรื่องบุญหรือเป็นเรื่องบาปเรื่องชั่วก็ไม่รู้นะ การที่มันเป็นคนขึ้นมาเพราะว่ามันสมองมันสูงกว่าดีกว่า สัตว์เดรัจฉานมันสมองมันต่ำมันคิดไม่ได้มันไม่มีการศึกษาได้ เพราะมันสมองมันไม่อำนวยให้เกิดการศึกษา ฉะนั้นความเจริญทางสมองก็ไม่มีความคิดนึกก็ไม่มีมันก็คิดไม่ได้ ไอ้คนนี่มัน มันบังเอิญก้าวหน้าทางร่างกายมีมันสมองมีเนื้อเยื่อของสมองมากคิดทำให้คิดได้ เพราะคนคนมันพูดกันได้ คนมันจึงมีการศึกษาถ่ายทอดวิชากันได้ สัตว์เดรัจฉานพูดไม่ได้ ฉะนั้นจึงไม่มีโอกาสที่จะถ่ายทอดวิชาความรู้กันให้ยิ่งๆขึ้นไป มันจึงไม่มีความรู้อะไรยิ่งไปกว่าพ่อแม่หรือบรรพบุรุษของมัน ในส่วนคนนี้มันจะมีความรู้มากกว่าพ่อแม่ของมัน เพิ่มยิ่งขึ้นน่ะ เพราะมันถ่ายทอดกันได้ อะไรที่คนก่อนๆ เขาทำไว้อย่างไรเราก็เรียนรู้หมด แล้วเราก็มาเรียนรู้ส่วนของเราเพิ่มอีกส่วนหนึ่ง ฉะนั้นคนจึงดีกว่าบรรพบุรุษในทางมันสมองยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น แต่แล้วมาดูให้ดีว่าไอ้ความก้าวหน้าอย่างนี้มันปลอดภัยหรือยัง มันเป็นที่พอใจหรือยัง เพราะว่ามันคิดเก่งกว่าสัตว์เดรัจฉานหลายร้อยหลายพันเท่า แล้วมันคิดไปในทางไหนนี่ มันก็คิดไปในทางของกิเลสทั้งนั้น ฉะนั้นคนจึงมีกิเลสมากกว่าสัตว์เดรัจฉานเพราะมันคิดได้ มันคิดเก่ง มันคิดลึกซึ้งไปกว่าสัตว์เดรัจฉาน และมันจะต้องมีปัญหามากกว่าสัตว์เดรัจฉาน ก็ดูสุนัข แมว ไก่ นี่ก็มันคิดอะไรไม่ได้ หิวก็ไปหากิน อิ่มแล้วก็นอน หิวก็ไปหากิน อิ่มแล้วก็นอน มันคิดไม่ได้ว่าพรุ่งนี้เราจะกินอะไร หรือว่าจะสะสมอะไรไว้ปีหน้าเดือนหน้า มันก็ไม่ต้องคิดและมันก็คิดไม่ได้ ที่จะคิดว่ามีลูกมีหลานจะต้องทำอย่างไรมันก็คิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นสัตว์เดรัจฉานจึงไม่มีปัญหาสำหรับทรมานจิตใจให้เป็นทุกข์ แต่คนนี่มันก็ต้องคิดล่ะ อย่างน้อยมันต้องคิดว่าพรุ่งนี้จะกินอะไร จะหาเงินอย่างไรจะให้มันพอใช้อย่างไร มีลูกมีเต้ามีหลานมีเหลนมีทรัพย์สมบัติพัศสถานมีไร่มีนาก็คิดที่จะให้มันเจริญงอกงามก้าวหน้าไป มันจึงคิดได้มากกว่าสัตว์เดรัจฉานหลายหมื่นหลายพันเท่า แต่เพราะคิดได้ดูให้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้นมา คนปวดหัวได้เพราะคิดมาก แต่แมวนี่ปวดหัวไม่ได้ หมาก็ปวดหัวไม่ได้ ไก่ก็ปวดหัวไม่ได้ เพราะไม่อาจจะคิดอะไรมากจนถึงกับจะปวดหัว ทีนี้คนมันนอนไม่หลับต้องกินยานอนหลับ แต่สัตว์เดรัจฉานเหล่านี้ไม่ต้องกินยานอนหลับ เพราะไม่มีเรื่องคิดหรือไม่อาจจะคิดสำหรับให้นอนไม่หลับ ทีนี้คนมันก็เป็นโรคประสาท เมื่อ ๒ ๓ ปีนี้ว่าจำนวนแสน แต่เดี๋ยวนี้ว่าจำนวนแสน ๆ เสียแล้ว มีเป็นจำนวนเกือบแสนกลายเป็นจำนวนแสนๆเสียแล้ว คนเป็นโรคประสาทซึ่งสัตว์เดรัจฉานมันเป็นไม่เป็นมันเป็นไม่ได้ เพราะมันไม่มีมันสมองพอที่จะคิดจนเป็นโรคประสาท แล้วคนในที่สุดก็เป็นโรคจิต ที่ว่าเคยมีเป็นเพียง ๒ ถึง ๓ หมื่น เดี๋ยวนี้มันเป็นหลายหมื่นจะขึ้นแสนอยู่แล้วไอ้โรคจิตในประเทศไทยเท่านั้นน่ะประเทศเดียว นี่สัตว์เดรัจฉานมันเป็นไม่ได้ เป็นโรคจิตไม่ได้เพราะมันไม่มีมันสมองชนิดที่จะคิดให้มันยุ่งยากจนถึงกับเป็นโรคจิต สุนัขเป็นโรคกลัวน้ำนั้นไม่ใช่โรคจิต เป็นโรคเชื้อทางเนื้อหนังทางกายชนิดหนึ่งไม่ใช่โรคจิต โรคจิตเมื่อคนเป็นโรคจิตแล้วไปอยู่โรงพยาบาลนั้นแหละคือโรคจิต ซึ่งสัตว์มันเป็นไม่ได้ มันเป็นไม่เป็นมันสมองของมันเป็นไม่ได้ นี่ดูเถอะว่าในการที่มนุษย์มีมันสมองละเอียดปราณีตสูงสุดเจริญก้าวหน้าใหญ่ยิ่งนี่ มันเป็นโชคดีหรือโชคร้ายเป็นบุญหรือเป็นบาป มันก็เป็นก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นโรคปวดหัวนอนไม่หลับให้อายแมวอายหมา เป็นโรคประสาทโรคจิตให้อายแมวอายหมา บุญหรือบาปลองคิดดู นี่มันขาดอะไรมันจึงเป็นอย่างนั้น มันขาดธรรมะ ถ้ามีธรรมะแล้วคนเราไม่ต้องปวดหัวไม่ต้องนอนไม่หลับ ไม่ต้องเป็นโรคประสาท ไม่ต้องเป็นโรคจิต ถ้าเอาธรรมะมาให้กับคน คนก็ไม่ต้องเป็นปวดหัว โรคประสาทหรือโรคจิต ก็ดีกว่าหมากว่าแมวเพราะว่าคนมันทำประโยชน์ได้มาก ทำประโยชน์ตนเองก็ได้ ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ส่วนรวม ประโยชน์มนุษย์ทั้งหลายก็ได้น่ะ คนมันทำได้สัตว์เดรัจฉานทำไม่ได้ เดี๋ยวนี้เมื่อคนไม่มีธรรมะแล้วมันไม่ทำหรอกประโยชน์อย่างนั้นมันไม่ทำหรอก แล้วก็มาทำประโยชน์แก่ตัวจนเป็นโรคปวดหัวนอนไม่หลับเป็นโรคประสาทเป็นโรคจิตจนได้เลวกว่าหมากว่าแมวน่ะ ถ้าไม่มีธรรมะแล้วมันจะเลวต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉาน ธรรมะเท่านั้นจะช่วยให้คนไม่ต้องละอายสัตว์เดรัจฉานเป็นข้อแรก และธรรมะจะช่วยให้คนนี้ทำประโยชน์ได้สูงสุดเหลือประมาณ ได้รับประโยชน์สูงสุดชนิดที่สัตว์เดรัจฉานไม่มีทางจะตามทัน ขอให้มีธรรมะ เราสรุปความว่าธรรมะนี้เพื่อทำคนให้เป็นคน ทำคนให้เป็นมนุษย์ ทำคนให้ไกลไปจากระดับสัตว์เดรัจฉานหรือระดับคนธรรมดาจนถึงระดับสูงสุดที่ว่าไอ้มนุษย์จะเป็นไปได้ จะไปถึงกันได้ คุณคงจะนึกถึงคำว่านิพพาน ก็ถูกแล้วแหละ ระดับนิพพาน สภาพนิพพานมันไปถึงได้แต่มนุษย์ที่ถูกต้องและสมบูรณ์เท่านั้นล่ะ คนธรรมดาไปไม่ได้ สัตว์เดรัจฉานไม่ต้องพูดถึง นี่พูดถึงนิพพานที่แท้จริงในหลักธรรมะ ไม่ใช่นิพพานโดยตัวหนังสือ ถ้านิพพานโดยตัวหนังสือมันแปลว่าเย็น เย็น เมื่อ เมื่อไม่เกิดกิเลสมันก็เย็นสบาย อย่างนี้คนธรรมดาๆก็มีได้น้อยๆและชั่วคราว เมื่อสัตว์เดรัจฉานมันนอนสบายอย่างนี้เดี๋ยวนี้มันนอนสบาย มันไม่มีกิเลสไม่มีความทุกข์ก็เรียกว่ามันเป็นนิพพานชนิดธรรมชาติ ชนิดน้อยๆ ชนิดชั่วคราว จำไว้เถอะว่าเมื่อไหร่ไม่มีกิเลสเมื่อนั้นก็อยู่กับนิพพานจิตจะอยู่กับนิพพาน พอมีกิเลสเกิดขึ้นในจิต จิตก็อยู่กับกิเลสก็ไม่มีนิพพาน มนุษย์สามารถจะอยู่กับนิพพานคือว่างจากกิเลสได้โดยเด็ดขาด ที่เรียกว่าพระอรหันต์ไปอยู่กับนิพพานได้เพราะธรรมะนั่นเอง ฉะนั้นเราสนใจสิ่งที่เรียกว่าธรรมะกันให้เพียงพอ ท่านทั้งหลายก็ได้ยินว่าเป็นชุมนุมพุทธศาสน์ มาที่นี่ไกลคงจะต้องการความรู้เรื่องธรรมะ อาตมาจึงเห็นว่าชั่วเวลาเล็กน้อยที่เราจะพูดกันได้ เพียงครั้งเดียวและชั่วเวลาเล็กน้อยนี้ พูดถึงเรื่องธรรมะคำเดียวก็พอว่าธรรมะนั้นคืออะไร ฉะนั้นต่อไปนี้เราก็จะพูดถึงคำว่าธรรมะคืออะไร ธรรมะคืออะไรก็แล้วกัน ให้มันเป็นเค้าเงื่อนเบื้องต้นสำหรับจะไปศึกษาต่อไปให้รู้โดยละเอียดลออและครบถ้วนได้ด้วยตนเองในภายหลัง อยากจะพูด จะอยากจะพูดถึงไอ้คำ คำพูดคำนี้ก่อน ว่าที่เขาใช้กันอยู่ในประเทศที่เป็นต้นตอของคำๆ นี้คือประเทศอินเดียซึ่งเป็นเจ้าของคำว่าธรรมะ คำว่าธรรมะเป็นภาษาอินเดีย เขาถามกัน ถามเพื่อนของเขาว่าคุณชอบธรรมะของใคร ตามถนนหนทางหรือที่ไหนเมื่อเขามีโอกาสถามเขาจะถามว่าคุณชอบธรรมะของใคร ในประเทศอินเดียมีครูบาอาจารย์มากรวมทั้งพระพุทธเจ้าด้วย ครูบาอาจารย์เจ้าลัทธิเหล่านั้นล้วนแต่มีธรรมะสอนทั้งนั้นน่ะ ฉะนั้นประชาชนจึงมีโอกาสที่จะเลือก เลือกธรรมะของใครเป็นที่ชอบใจแก่เรา บางคนก็ว่าชอบธรรมะของมิพันธนาตบุตร(นาทีที่ 37:13) บางคนก็ชอบธรรมะของสัญชัญเวรทบุตร(นาทีที่37:17) บางคนก็ว่าชอบธรรมะของพระสมณโคดม มีอิสรภาพอย่างยิ่งที่จะเลือกชอบใจธรรมะของใคร นี่ธรรม หมายความว่าคำอธิบายว่าเราจะปฏิบัติอย่างไรแล้วจะไม่มีความทุกข์ รวมเรียกว่าไอ้ ไอ้ระบอบปฏิบัติซึ่งบรรยายไว้ด้วยคำพูด ว่าปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ แล้วก็จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ คือความหลุดรอด รอดพ้น ก็มีธรรมะกันหลายระบบ ตามจำนวนของไอ้เจ้าลัทธิครูบาอาจารย์ เดรัจถีย์แปลว่าเจ้าลัทธิ เดรัจถีย์นี้คือพุทธศาสนา เดรัจถีย์อื่นคือ เดรัจถีย์อื่นที่นอกไปจากพุทธศาสนาซึ่งมีมาก ประมาณดูไม่น้อยกว่า ๓๐ ๔๐ เดรัจถีย์ ที่นี้เราเกิดมาในบรรพบุรุษที่เป็นพุทธบริษัท มันก็ได้รับมอบธรรมะในพุทธศาสนาโดยตรง จึงมีการศึกษาและปฏิบัติธรรมะตามระบบของพุทธศาสนา อย่างที่เราก็ได้เล่าได้เรียนกันอยู่นี้ แต่ทำไมเราเข้าถึงเนื้อแท้ไม่ได้ เข้าถึงจุดสูงสุดไม่ได้ เพราะว่ายังศึกษาไม่พอ และบางทีก็ศึกษาเขวๆออกไปนอกลู่นอกทางเสียก็มี จึงอยากจะให้รู้ว่าธรรมนั่นน่ะคืออะไร ให้มันรัดกุมเข้ามาจนมันผิดไม่ได้คือมันออกไปนอกลู่นอกทางไม่ได้ นี่ขอซ้อมความเข้าใจอีกทีหนึ่งนะว่า ถ้าเอาตัวหนังสือเป็นหลัก คำว่าธรรมหรือธรรมะนี่ตามตัวหนังสือแปลว่าธรรมชาติก็ได้ ธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวงเรียกว่าธรรมะได้ และกฎหรือสัจจะของธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวงก็เรียกว่าธรรมะได้เหมือนกัน ฉะนั้นหน้าที่คือการกระทำไปตามกฎของธรรมชาตินั่นแหละก็เรียกว่าธรรมะได้เหมือนกัน แล้วผลที่ได้รับมาจากการปฏิบัติหน้าที่นั้นก็เรียกว่าธรรมะได้เหมือนกัน นี่คุณอุตสาห์ทำความเข้าใจและจำไว้ให้ดีเถอะไม่เสียหลาย ไอ้ความหมาย ๔ คำนี้จะช่วยให้ศึกษาธรรมะในอนาคตข้างหน้าได้ง่ายที่สุดได้เร็วที่สุดได้ลึกซึ้งที่สุดหรือว่าสมบูรณ์ที่สุด ธรรมะคือตัวธรรมชาติ มันก็คือสิ่งที่เราสัมผัสเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา ที่นี้คุณควรนั่งกลางดิน ดินนี้ก็เป็นธรรมชาติ ไอ้ธรรมชาติทั้งหลายภายนอกมันก็เกี่ยวข้องอยู่กับเราตลอดเวลา และธรรมชาติภายในคือเนื้อหนัง ร่างกาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อะไรก็ตามของเรานี้มันก็เป็นธรรมชาติภายใน ซึ่งมันก็เกี่ยวข้องหรือสัมผัสกันกับเราอยู่ตลอดเวลาเรียกว่าธรรมชาติ คือสิ่งที่มันเกี่ยวข้องกันกับเราอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าข้างนอกหรือไม่ว่าข้างใน ทีนี้ธรรมะความหมายที่ ๒ กฎของธรรมชาติ กฎความจริงของธรรมชาติ อย่างที่เป็นกฎวิทยาศาสตร์กระทั่งกฎทางธรรมะล้วนแต่เป็นกฎของธรรมชาติ นี่เป็นสิ่งที่เราต้องรู้นะ ถ้าไม่รู้คือโง่นะ ไม่รู้ความจริงของธรรมชาติว่ามีอยู่อย่างไรมันก็คือโง่คือหลับตายิ่งกว่าคนตาบอดเสียอีก ต้องรู้ความจริงของธรรมชาติมันมีอยู่อย่างไร เพื่อว่าเราจะได้ทำให้มันถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เราสู้ไม่ไหว เราฝืนไม่ไหวหรอกกฎของธรรมชาตินี่ ผู้อื่นเขาเรียกว่าพระเป็นเจ้า เราไม่เรียกว่าพระเป็นเจ้าก็ได้เราเรียกว่ากฎของธรรมชาติ เราไม่มีทางที่จะต่อต้านกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นเราจึงต้องรู้กฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติคือสิ่งที่เราต้องรู้นะ และบางทีก็รู้กันจนไม่ต้องเรียน เช่นว่าคุณจะต้องหากินอย่าไรมันก็รู้กันตามกฎของธรรมชาติ แม้ว่าตื่นนอนขึ้นมาจะต้องกินอาหาร จะต้องอาบน้ำ จะต้องบริหารร่างกายอย่างไร จะต้องถ่ายอุจาระปัสสาวะอย่างไร นี่มันรู้จนไม่ต้องเรียน รู้มาตั้งแต่แรกคลอด แต่นั่นมันคือการกระทำเพราะรู้ตามกฎของธรรมชาติ เราต้องรู้ให้ครบแหละเราจะต้องจัดบ้านเรือนของเราอย่างไร เราจะต้องจัดทรัพย์สมบัติของเราอย่างไรชีวิตร่างกายอย่างไร กระทั่งว่าปรับปรุงโลกพื้นแผ่นดินโลกนี้อย่างไร เดี๋ยวนี้เรากำลังทำผิด ๆ เพราะเราไม่รู้เรื่องนี้ มันก็เกิดผลขึ้นมาเป็นความยากลำบาก เช่นป่าไม้หมดไป น้ำไม่มีใช้ ทุก ๆ อย่างที่มันทำผิดกฎของธรรมชาติ เพราะไม่รู้กฎของธรรมชาติอันแท้จริง นี่ก็ฝ่ายที่มันจะต้องมีเพื่อรอดอยู่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ไม่เช่นนั้นเราจะต้องตาย ที่นี้ฝ่ายที่มันจะให้เจริญก้าวหน้ารุ่งรืองยิ่งๆขึ้นไป กฎวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะที่เขาค้นคว้าที่เดี๋ยวนี้เรียกกันว่าไอ้เทคโนโลยีนี้ ทุกอย่างมันมีเทคนิคไม่ว่าอะไร ไม่เฉพาะทางวัตถุแม้แต่ทางจิตใจมันก็มีเทคนิค เขาสามารถที่จะใช้เทคนิคเหล่านั้นมัน มันเรียกว่าเทคโนโลยี ถ้าเราสามารถใช้เทคนิคทุกอย่างทุกประการในโลกนี้ได้ เราก็สมบูรณ์ในทางวัตถุ ถ้าว่าเรารู้ในทางจิตใจด้วยเราก็ยิ่งสมบูรณ์คือเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทีนี้เราไม่ได้เรียนเทคโนโลยีทางจิตทางวิญญาณเราไม่ได้เรียน เพราะยังไม่มีตำราเรียนยังไม่มีใครค้นคว้าทำตำหรับตำรามีแต่เทคโนโลยีทางวัตถุทั้งนั้น และก็ก้าวหน้ากันจนไม่รู้จะไปไหนจนจะเชือดคอตัวเองกันอยู่ทั้งนั้น ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางวัตถุจนโลกนี้ร้อนเป็นไฟ ทำลายของที่มีค่าในโลกเสียมากมายก่ายกอง ทรัพยากรธรรมชาตินี่เอามาทำลายเสียมากมายด้วยวิชาเทคโนโลยี จน จนเดือดร้อนเอง เช่นเหล็กนี้ในแผ่นดินนี้ขุดขึ้นมาทำเรือรบสำหรับฆ่าฟันกัน ทำอาวุธสำหรับฆ่าฟันกัน ทุกอย่างน่ะเทคโนโลยีชั่วแล่นชั่วเด็กๆ รู้นี่มัน มันเป็นเสียอย่างนี้ จะมีการทำลาย ขุดขึ้นมาทำลายชนิดที่ไม่จำเป็นมากขึ้น เอาทรัพยากรสงคราม เอาทรัพยากรธรรมชาติขึ้นมาเป็นปัจจัยสงครามอย่างไม่มีสิ้นสุด นี่เรียกว่ามันมันเดินไปผิดทาง ถ้าเราจะมาใช้แต่เพื่อความอยู่เป็นสุขของมนุษย์มันจะเหลือเฟือ เหลือเฟือจนแจกกันก็ได้ เอามาทำรถยนต์แจกกันคนละคันก็ยังเหลืออีก เดี๋ยวนี้มันไม่พอเพราะมันเอาไปเป็นปัจจัยของสงครามเพื่อทำลายล้าง ก็เลยทำลายล้างไปเรื่อย ไอ้รถ ไอ้เรือ ไอ้เรือบินอะไรก็ตามที่มันเสียไปแล้วใช้ไม่ได้แล้วมากมายกายกอง เพราะเราทำลายมัน ทรัพยากรของธรรมชาติเพราะเราไม่มีธรรมะ เมื่อเรารู้ รู้ รู้กฎของธรรมชาติ รู้ความจริงของธรรมชาติว่าเราจะต้องทำอย่างไรโลกนี้จึงจะอยู่เป็นสุข ในด้านจิตใจเราไม่รู้ เรามารู้กันเสียบ้างว่ามันมีความจริงของมันอย่างไร สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานี่เป็นกฎของธรรมชาติ ถ้าเราไม่รู้เราก็จะคิดไปในทางที่เป็นทุกข์ ถ้าเรารู้เราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เราก็ทำไปในทางที่ให้ได้รับประโยชน์ ไม่ต้องเป็นทุกข์ด้วยได้รับประโยชน์ด้วย เราจะไม่มานั่งร้องไห้เมื่อผิดหวัง เราจะไม่มานั่งหัวเราะร่าเมื่อสมหวังและอยู่ปกติได้ นี่เรียกว่ารู้กฎของธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ รู้แล้วก็ทำให้มันถูกกับกฎของธรรมชาติซึ่งเป็นของจริงเปลี่ยนไม่ได้เป็นสัจจะที่เปลี่ยนไม่ได้ และก็มีอำนาจเหมือนกับพระเจ้าไม่มีใครต่อต้านได้กฎของธรรมชาติ มีแต่จะทำให้สมคล้อยและก็ได้รับประโยชน์ตามสมควรเท่านั้นน่ะ ที่ฝรั่งมันเก่งไปโลกพระจันทร์ได้ไปอะไรได้นั้นมันไม่ใช่ฝืนกฎธรรมชาติ มันต้องคล้อยไปตามกฎของธรรมชาติจึงจะเกิดเครื่องมือที่จะไปโลกพระจันทร์ได้ ก็ต้องเรียนรู้ธรรมชาติมากออกไปอีกจึงจะสามารถทำอะไรชนิดนั้นได้ แต่แล้วก็ป่วยการมันไม่มีสันติภาพเกิดขึ้นเพราะเหตุนั้น ความก้าวหน้าทางนั้นไม่ทำให้โลกมีสันติภาพได้ ให้สามารถไปดวงดาวทั้งหมดทั้งสิ้นในจักรวาลนี้ มันก็ไม่สร้างสันติภาพในโลกได้ ฉะนั้นเราก็ไม่นับถือเพราะมันไม่เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ เราจะสนใจธรรมะที่จะทำให้มนุษย์มีสันติภาพกันในโลกนี้ได้คือธรรมะที่เราจะต้องพูดถึง ที่นี้ในความหมายที่ ๓ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติเรียกว่าธรรมะ ถ้าเราทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติเรียกว่าเราปฏิบัติธรรมะ แม้แต่ว่า ที่สุดแต่ว่าเรากินอาหารให้ดี อาบน้ำให้ดี ถ่ายอุจาระให้ดี ถ่ายปัสสาวะให้ดี บริหารทุกอย่างให้ดีนี่ก็เป็นการปฏิบัติธรรมะเหมือนกัน เพราะปฏิบัติหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ นี่อย่างต่ำที่สุดนะและมันก็มีสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป สูงขึ้นไปจนว่าทำให้ถูกต้องในทางจิตใจในภายใน อย่าให้เกิดโลภะ โทสะ โมหะขึ้นมา และเราก็สบายไม่ต้องเป็นทุกข์ ฉะนั้นหน้าที่มันจึงมีตั้งแต่ต่ำที่สุดเช่นว่าหาใส่ปากใส่ท้อง และก็บริหารร่างกายดีจนอยู่กันเป็นผาสุกและก็มีจิตใจดี ตั้งจิตใจไว้ถูกต้องและก็ไม่มีความทุกข์เลย หน้าที่มันมีถึงขนาดนั้น ธรรมะในความหมายที่ ๓ แปลว่าหน้าที่ หน้าที่ ภาษาธรรมดา ๆ เห็นเขาใช้ว่า Duty คำว่า Duty น่ะคือธรรมะ ถ้าเราดูปทานุกรม Dictionary ภาษาอินเดียธรรมดา คำว่าธรรมะเขาจะแปลว่าหน้าที่ เขาไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรืออะไรเหมือนกับปทานุกรมของเรา ธรรมะที่เป็นคำธรรมชาติโดยส่วน รวมทั้งหมดก็แปลว่าหน้าที่ ช่วยจำไว้เถอะถ้ามีถ้าทำหน้าที่แล้วก็มีธรรมะ ถ้าปฏิบัติหน้าที่คือปฏิบัติธรรมะ หมายถึงหน้าที่ที่ถูกต้อง ที่นี้เราก็จะ จะนึกกันต่อไปว่าทำไมมันจึงเอาคำว่าหน้าที่มาเป็นความหมายของคำว่าธรรม ธรรมหรือธรรมะ เพราะมันเป็นมาแต่โบราณน่ะ คุณลองคิดดู คำนวณดูนะว่า เมื่อก่อนนี้นะในโลกนี้ในอินเดียนั่นแหละ ในโลกนี้คือในอินเดียที่เป็นเจ้าของคำๆ นี้ มันยังไม่มีคำๆ นี้พูด เป็นที่เชื่อได้แหละว่ามนุษย์ยังป่าเถื่อนยังเป็นคนป่าเป็นอะไรอยู่ มันยังไม่มีคำๆ นี้พูด คือคำว่าธรรมะนี่ยังไม่มีใช้พูด แล้วเมื่อไหร่มันมีใช้พูดขึ้นมา แล้วมันใช้พูดขึ้นมาในความหมายอะไร อาตมาเชื่อว่าเมื่อมนุษย์รู้ความหมายของคำว่าหน้าที่ ไอ้ปากมันก็พูดออกมาว่าหน้าที่ นั่นแหละคือคำว่าธรรมะ ธรรม ธรรมะ แม้ว่าหน้าที่จะต้องปลูกอาหาร จะต้องปลูกพืชผัก จะต้องเลี้ยงสัตว์ จะต้องทำหน้าที่ทุกอย่างมันก็เกิดมาเป็นคำว่าหน้าที่ หน้าที่ คือธรรม ธรรมะ ธรรมะนั่นเอง ได้เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์เป็นครั้งแรกเป็นคำแรก แต่ว่าคำว่าหน้าที่ หน้าที่นี้มันสูงขึ้นมา สูงขึ้นมา สูงขึ้นมา ไม่ใช่หน้าที่หากินแล้วเดี๋ยวนี้ มันเป็นหน้าที่ทำอะไรให้ดีกว่านั้นหน้าที่จะประพฤติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน หน้าที่ที่จะต้องทำลายกิเลสในภายในจนกว่ามนุษย์จะได้ถึงจุดสูงสุดของมนุษย์ นี่คำว่าหน้าที่คือคำแรกที่มันได้พูดขึ้นจนมากลายเป็นคำว่าหน้าที่สูงสุดของมนุษย์คือธรรมะ ฉะนั้นที่เขาพูดกันอยู่ว่าชอบใจธรรมะของใคร ก็หมายความว่าท่านชอบใจระบบการปฏิบัติหน้าที่อย่างที่ใครสอน อย่างที่พระสมณโคดมสอนหรือนิคันธนาบุตรสอน(นาทีที่52.38) หรืออาจารย์คนไหนสอนคือหน้าที่นั่นเอง ฉะนั้นช่วยจำให้ดีๆ ว่าเมื่อไหร่ทำหน้าที่เมื่อนั้นคือปฏิบัติธรรมะ ควรจะพอใจ ควรจะยินดีมีปีติปราโมชว่าเรามีธรรมะ เราล้างจาน เรากวาดเรือน เราถูบ้าน เราล้างส้วมนั่นก็คือปฏิบัติธรรมะ แต่พวกคุณจะไม่ยอมรับก็ได้ เพราะฉะนั้นส้วมที่มหาวิทยาลัยจึงสกปรกกว่าส้วมที่วัด ถ้าไม่ยอมรับว่าไอ้หน้าที่คือธรรมะ ถ้าว่าเมื่อใดยอมรับว่าไอ้หน้าที่คือธรรมะ เมื่อปฏิบัติหน้าที่ปฏิบัติธรรมะก็มีปีติปราโมชเป็นสุขที่ตรงนั้นแหละไม่ต้องไปเที่ยวอาบอบนวดที่ไหน มันเป็นสุขเมื่อทำหน้าที่ เพราะมันเป็นหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ นั่นผู้ที่มีธรรมะจึงมีความสุขได้เมื่อทำหน้าที่นั่นเอง เมื่อล้างจานก็ได้ เมื่อถูบ้านก็ได้ เดี๋ยวนี้กำลังเตรียมเงินไว้มากๆ ไปเที่ยวสถานเริงรมย์ไปหาความสุกกันที่โน่น นั่นสุก กอสะกดนะระวังให้ดี ไม่ใช่สุข ขอสะกด สุก กอสะกดมันจะกัดกับคนนั้นแหละ ไอ้ความสุกชนิดนั้นจะกัดเจ้าของเงินที่หาเงินไปซื้อนักหนา ถ้าสุข ขอสะกดมันเย็นมันถูกต้อง มันต่อเมื่อมันมีปีติปราโมชเพราะได้ทำหน้าที่เท่านั้นเอง เมื่อใดเราได้ทำหน้าที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติเรามีปีติคือยินดี ปีติชนิดนี้เขาเรียกว่าธรรมปีติ ปีติที่เกิดมาจากธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมปีติ สุขัง เสติ นี่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็นหลักศาสนา ผู้ที่มีธรรมปีติย่อมนอนเป็นสุข เมื่อใดเราประพฤติหน้าที่ก็คือมีการประพฤติธรรม และก็มีปีติในธรรมพอยกมือไหว้ตัวเองได้ว่ามันมีอะไรดีจึงเป็นสุข จึงไม่ต้องไปออกไปที่ตลาด อยู่ในห้องเรียนก็ได้ อยู่ในออฟฟิตทำงานก็ได้ อยู่ในครัวก็ได้ที่ไหนก็ได้ ทำหน้าที่อยู่อย่างถูกต้องและก็มีธรรมปีติและก็เป็นสุข ไม่ต้องเสียสตางค์ นิพพานให้เปล่าไม่ต้องเสียสตางค์นี่เป็นหลัก คุณอาจจะไม่ได้ยินไม่เคยได้ยินก็ได้ คือความสุขที่แท้จริงของธรรมะให้เปล่าไม่ต้องเสียสตางค์กลับจะได้สตางค์เสียด้วย เมื่อทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างถูกต้องและมันก็ต้องมีผลเกิดขึ้นเป็นวัตถุก็ได้ กลับจะได้สตางค์เสียด้วยเมื่อปฏิบัติธรรมะอย่างถูกต้อง ได้ผลได้ความสุขทางธรรมะไม่ต้องเสียสตางค์อย่างนี้ ไปคิดดูใหม่เถิดไอ้หน้าที่อะไรของมนุษย์แล้วก็ทำเถอะ อย่าถือว่าต่ำเลยมันเหมือนกันทั้งนั้นแหละ การงานนี้ถ้าถือตามหลักธรรมะแล้วไม่มีสูงไม่มีต่ำ เพราะว่าต้องทำด้วยธรรมะเท่ากันเสมอกัน อย่างจะล้างส้วมนี่ก็ต้องทำด้วยวิริยะ สติ สมาธิ สัมปชัญญะ ปัญญา ขันติเหมือนกันเลย จะไปทำนาก็ต้องทำด้วย สติสัมปชัญญะ วิริยะ ขันติ สติปัญญา จะเป็นครูก็ต้องทำด้วย สติสัมปชัญญะ ขันติ ปัญญา สมาธิ จะเป็นอะไรก็เหมือนกัน ชื่อว่าการงานแล้วอย่าไปจัดมันว่านี่งานต่ำ มันต้องทำด้วยอุปกรณ์การงานเหมือนกัน จะกวาดถนน จะล้างท่อถนน จะแจวเรือจ้าง จะถีบสามล้อ เขาก็ต้องทำ ถ้าเขาจะทำให้ดีที่สุดเขาก็ต้องทำด้วยอะไร ความรู้ ความเพียร ความอดทน ปัญญา สติสัมปชัญญะ สมาธิเหมือนกันเลย คนโง่ ๆ เท่านั้นที่ว่านี่งานต่ำกูไม่ทำ คนโง่ๆ อย่างนี้มีมากว่านี่งานต่ำกูไม่ทำยัดเยียดให้คนอื่นทำ พอเราขอร้องให้เขาทำอย่างนั้นเขากลับตวาดเอานั่น อาตมาก็เคยถูกตวาด ขอร้องให้ทำงานอย่างนั้นเขาว่างานนี้มันต่ำเกินไปกูไม่ทำ ไปใช้คนอื่นเถิด เพราะคนนี้มันโง่มันไม่รู่ว่าขึ้นชื่อว่าการงานหรือหน้าที่แล้วมันก็เสมอกัน เราจงพอใจยินดีในการที่จะทำหน้าที่ ก็ยกมือไหว้ตัวเองได้เพราะได้ประพฤติธรรม เงินเดือนจะเกินพอใช้เสียอีก เพราะว่ามันมีความสุขได้โดยไม่ต้องใช้เงิน ทีนี้ถ้าเราเป็นทาสของความโง่ เอาเงินไปซื้อกามารมณ์ที่สถานกามารมณ์ เงินเดือนก็ไม่พอใช้ ให้เดือนละกี่หมื่นก็ไม่พอใช้ มันก็ทรมานตัวเองตกนรกอยู่ทั้งเป็นที่นี่แหละแม้ว่าจะมีเงินเดือนเป็นหมื่นๆ ฉะนั้นเราจะมองเห็นว่าเมื่อใดทำหน้าที่ เมื่อนั้นยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อนั้นมีปีติปราโมชเป็นสุขอยู่ที่ตรงนี้ ได้กำไรมากไม่ต้องลงทุนเป็นเงินเป็นทองกลับได้ความสุขที่แท้จริง แล้วมันจะกลายเป็นเงินเป็นทองไปได้ เมื่อชาวนาก็ทำหน้าที่ก็เป็นสุขมากโดยไม่ต้องไปหาเหยื่อกิเลสที่ไหน เขาก็ได้ข้าวได้เงินได้มาเพราะการทำหน้าที่ เขามีความสุขเมื่อทำหน้าที่นั้นคือความสุขที่บริสุทธิ์ นักเรียนเมื่อเรียนจริง เป็นสุขพอใจไหว้ตัวเองได้มันก็เป็นสุขเท่านั้นแหละ ทีนี้มันไม่มีนี่มันไม่อยากเรียน มันอยากจะถึงเวลาปิดก็จะไปเที่ยวไปเล่น มันไม่มีที่ว่าจะบูชาการเรียนกันจริงพอได้ทำจริงแล้วก็พอใจตัวเองเป็นสุขอยู่ในการเรียนไม่อยากจะลุกจากโต๊ะเรียน ไม่อยากจะให้โรงเรียนถึงเวลาหยุดเพราะมันสบายใจอยู่ด้วยการทำหน้าที่ ทีนี้ความหมายที่ ๓ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติคือธรรมะ ทีนี้ที่ ๔ ก็คือผลที่เกิดมาจากทำหน้าที่ เพราะว่าหน้าที่อะไรเมื่อทำแล้วย่อมเกิดผลทั้งนั้น ทางวัตถุก็เกิดผลเป็นวัตถุเป็นเงินเป็นทองเป็นอะไรก็ตาม สูงขึ้นไปก็เป็นเกียรติยศชื่อเสียง เป็นไปในความเป็นอยู่ที่ว่าได้รับความสุขนี้แปลว่าทางวัตถุ ที่นี้ถ้าเป็นทางธรรมะปฏิบัติหน้าที่มีศีล สมาธิ ปัญญา ก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ทีนี้ผลทางวัตถุก็ดี ผลทางจิตใจก็ดี อย่างนี้ก็เรียกว่าผลที่เกิดมาจากการปฏิบัติหน้าที่เรียกว่าธรรมะ เรียกว่าบรรลุธรรม ได้รับผลของธรรม ถ้าทำผิดก็ได้รับผลร้ายทำถูกก็ได้รับผลดี ที่เขาเรียกว่ากฎของกรรม ถ้าทำถูกก็ได้รับผลดีทำผิดก็ได้รับผลร้าย ที่บัญญัติว่าดีก็เพราะว่าเราบัญญัติอย่างนี้ๆ ว่าดี พอทำอย่างนี้ก็เรียกว่าทำดี คนดี อีกส่วนหนึ่งเราตรงกันข้ามเราบัญญัติว่าชั่ว พอไปทำเข้าก็เป็นคนชั่ว ก็เรียกว่าชั่ว พอทำก็ชั่ว พอทำดีก็ดี พอทำก็ชั่วก็ชั่ว อย่าใช้คำว่าได้ดีอยู่มันช้านัก ที่พูดว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วแล้วก็คนนั้นมันยังไม่เห็นของจริง ไม่เห็นความจริงต้องรอกว่าจะได้ โดยที่แท้จริงพอทำดีมันก็ได้ดีทั้งนั้นแหละ พอทำชั่วมันก็ชั่วทั้งนั้นไม่ต้องรอก็ได้ ลองไปทำสิ พอทำชั่วมันก็ชั่ว มันชั่วอยู่ที่การกระทำเมื่อทำ ส่วนผลที่จะตามมาที่หลังนั้นอีกมากมายหลายอย่าง อันนี้ไม่ค่อยแน่ มันแล้วแต่สมมติแล้วแต่หลอกลวงก็มี ทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดีเป็นเรื่องหลอกลวง ทำชั่วแล้วก็กลับรวยก็เป็นเรื่องหลอกลวง ทำดีกลับจนนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันอยู่ไขว้เขวกันอยู่ โดยแท้จริงแล้วทำดีก็ดี ทำชั่วก็ชั่ว นี่ก็ผลของการทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ขอทบทวนอีกทีหนึ่ง ขอร้องให้ช่วยจำอย่าพึ่งง่วงนอน ว่าธรรมะ ๔ ความหมายคือ ๑.ตัวธรรมชาติทั้งหลายทั้งหมดทั้งสิ้น ธรรมชาติตามธรรมชาติเป็นธรรมะ เรียกว่าธรรมะ ธรรมะแปลว่าธรรมชาติ ทีนี้กฎขอธรรมชาติก็เรียกว่าธรรมะ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็เรียกว่าธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ อันนี้สูงสุดเหมือนกับพระเจ้า ต้องทำ ผลที่เกิดจากการทำหน้าที่ก็เรียกว่า ๔ ความหมาย ถ้าเข้าใจความหมายทั้ง ๔ นี้แล้วก็เรียกว่าผู้นั้นรู้ธรรมะหมดเลย รู้ธรรมะหมดเลยไม่มีอะไรเหลือแล้ว ถ้าคุณรู้ธรรมะใน ๔ ความหมายนี้จะเป็นการรู้ธรรมะหมดไม่มีเหลือ รู้ตัวธรรมชาติ รู้ตัวกฎของธรรมชาติ รู้ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ รู้ผลที่เกิดมาจากการทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ๔ คำนี้คลุมทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่เป็นตัววัตถุเป็นนามธรรมจิตใจก็คลุมหมดและคลุมศาสนาทุกศาสนาเลย คลุมระบบศีลธรรมทุกๆระบบเลยไม่มีเหลือ ธรรมะ ๔ ความหมายนี่มันจะคลุมอะไรทั้งหมด บรรดาที่มีที่มนุษย์รู้จักในสากลจักรวาล นั่นมันคือธรรมะ ทีนี้จะมาดูกันอีกนิดหนึ่งถ้าคุณยังไม่ง่วงนอนเกินไปก็จะให้น้อมเข้ามาในตัว ธรรมะที่มันมันมาเกี่ยวกับเราน่ะ มาเกี่ยวกับตัวเราเนื่องอยู่ในตัวเราเกี่ยวข้องกับตัวเรานี้ เราจะแบ่งเป็น ๓ ระดับ ธรรมะดี เรียกว่าธรรมะชั่วดีกว่า คือธรรมะอธรรมเรียกว่าไม่ดีหรือชั่ว คือทำแล้วชั่วคือกิเลส นี่ก็ธรรมะชั่ว และก็ธรรมะดีไม่มีกิเลสแต่ยังมีตัวตน ทีนี้ธรรมะเหนือดีเหนือชั่วนั้นไม่มีตัวตน เรื่องนี้คือเรื่องสำคัญที่สุดและเข้าใจยากที่สุดของพุทธศาสนา คือเขาจะแบ่งเป็นความรู้สึกว่ามีตัวตน ตัวกู Egoism Egoistic Conception นี้มันมันมีตัวตน มีความรู้สึกว่ามีตัวตน ที่มีความรู้สึกเป็นตัวตนนี้แบ่งได้เป็น 2 พวกคือเลวและดี ชั่วหรือดี บุญหรือบาป กุศลหรืออกุศล ถ้าเรามีความรู้สึกตัวตน ตัวกูของกู ตัวตนชนิดชั่วมันก็เป็นคนชั่ว ทีนี้เรามีตนดีประพฤติดี ทำถูกต้องดีแล้วก็มีตัวตนดี นี่ชั่วที่ ๑ ที่ ๒ ดี ที่ ๓ ไม่มีตัวตน เลิกกัน เลิก เลิกความรู้สึกว่าตัวตน จิตมันสูงจนไม่โง่ว่ามีตัวกูของกู มีตัวตนของตน ความคิดประเภทตัวตน ประเภท Egoism ไม่มีเหลืออีกต่อไป นี่จิตนี้มันสูงก็เรียกว่าอยู่เหนือดีเหนือชั่ว เหนือโลกไปเลย ถ้าเป็นโลกมีชั่วและก็มีดี พอเหนือโลกเป็นโลกุตระก็เหนือดีเหนือชั่ว จิตของเราเป็นอย่างนั้น จิตของคนทั่วไปก็มันก็ต้องมักจะอยู่กับชั่วกับดี ถ้าจิตของพระอริยเจ้าที่จะพ้นดีพ้นชั่ว คือกำจัดไอ้ความรู้สึกว่าตัวกูตัวกูนี้เสียได้ ไม่มีตัวกูของกูแล้วมันก็ไม่มีที่ตั้งของความดีความชั่ว อย่างนี้เขาเรียกว่าจิตหลุดพ้น จิตสูงสุดจิตเป็นพระอรหันต์ ไม่มีความหมายแห่งตัวกูของกู เพราะฉะนั้นแกจึงไม่ดีแกจึงไม่ชั่วไม่ต้องการชั่วไม่ต้องการดีไม่ต้องการอะไรหมด เราเองนี่บางทีก็อาจจะเป็นได้แต่มันชั่วขณะนะ บางทีเรามีจิตชั่วกลุ้มอยู่ในตัวกูของกูตัวกูของกูอย่างชั่วอย่างเลวอย่างเห็นแก่ตัวบางเวลา ทีนี้บางเวลาตรงกันข้ามเรานึกถึงความดี ยึดถือความดี ปฏิบัติความดีประพฤติความดีมีตัวตนอย่างดี ทีนี้มันก็มีตัวตนอย่างดี ทีนี้บางเวลาเราเฉยได้ไม่ให้มันเกิดความรู้สึกเป็นตัวตนขึ้นมาเสียมันเฉย มันว่างอยู่บางเวลาไม่ปรารภตัวตนไม่ปรารภดีไม่ปรารภชั่ว เวลานั้นแหละสบายที่สุด ขอบอกอย่างนี้ ขอท้าทายอย่างนี้ ไป ไปสังเกตดูให้ดีบางเวลามันอาจจะมีได้แม้คนธรรมดา คือจิตมันไม่อยากจะดีมันไม่อยากจะชั่ว มันไม่อยากจะผูกพันกับชั่วไม่อยากจะผูกพันกับดี มันเป็นจิตที่เหนือขึ้น เหนือขึ้น เหนือดี เหนือชั่ว ว่างไปเลยนี่เรียกว่าจิตว่างจากตัวตน ว่างจากดี ว่างจากชั่ว จิตชนิดนี้เป็นสุขที่สุดเฉลียวฉลาดที่สุด ทำอะไรก็ทำได้ดีที่สุด เพราะมันไม่เป็นไร ไม่เป็นทาส ใช้คำหยาบคายสักหน่อย ไม่เป็นทาส ไม่เป็นขี้ข้าของความดีความชั่ว มันละชั่วมาดีแล้วมันก็เลยดีออกไปเป็นสูงสุดเหนือโลก นี่พุทธศาสนามีหลักอย่างนี้ มีประเภทตัวตนกับไม่มีตัวตน ตันตนก็มีชั่วก่อนแล้วก็มีดี ถ้าเลื่อนไปอีกก็เป็นไม่มีตัวตน ก็อยู่เหนือดีเหนือชั่ว เขาเรียกว่าโลก โลกอุดรคือโลกุตรแปลว่าเหนือโลก ที่ตรงนี้เขาเรียกว่าโลกียะ แปลว่าเนื่องอยู่กับโลก มีชั่วแล้วก็มีดี มีชั่วมีดี อยู่กับโลกที่ตรงนี้ ถ้ามันไปต่อไปอีกมันก็จะเหนือโลกเป็นโลกุตระ เราจึงมีธรรมะระดับชั่ว ธรรมะระดับดี ธรรมะระดับเหนือชั่วเหนือดี ทีนี้คนปุถุชนธรรมดาสามัญที่ยังเป็นคนยังไม่เป็นมนุษย์น่ะ มันจะอยู่แต่กับชั่วโดยมากดีมันน้อย พอเป็นมนุษย์สูง สูงขนาดใจเป็นมนุษย์มันจะดีมากขึ้น ดีมากขึ้น ไอ้ชั่วมันจะหาไม่พบ ทีนี้ถ้ามันเกินนั้นไปอีกมัน มันก็ไม่หลงเรื่องดีเรื่องชั่ว เพราะว่าจะดีจะชั่วมันก็ยังเป็นของหนักต้องต่อสู้ ต้องยึด ต้องถือมันหนัก ก็ไม่อยากจะยึดถือมัน วางเสีย ปล่อยเสีย คำนี้แปลว่าวิมุติหรือวิโมก ปล่อยเสียวางเสียจิตนี้ก็สูงระดับที่ไม่ได้เป็นทาสของอะไรไม่ได้ยึดถืออะไร เป็นอิสระหลุดพ้นไปเป็นนิพพาน ไปรวมอยู่กับสภาพที่เรียกว่านิพพาน ไม่มีกิเลสไม่มีความทุกข์เป็นเรื่องเยือกเย็นตลอดกาล ธรรมะมี ๓ ระดับ ระดับที่สมมติเรียกกันว่าชั่ว ระดับที่สมมติเรียกกันว่าดี ระดับที่สมมติเรียกกันว่าเหนือหมดเลย เหนือดีเหนือชั่วเหนือโลกเหนือบุญเหนือบาป นั่นน่ะคืออิสรภาพเสรีภาพหลุดพ้นตามแบบของพระพุทธศาสนานะ ถ้าจะไปวัดกับศาสนาอื่นบางทีมันจะ จะไม่ลงกันก็ได้ ถ้าหลุดพ้นก็หลุดพ้นโดยประการทั้งปวง ไม่ไปติดอยู่กับพระพรหม ไม่ไปติดอยู่กับพระเจ้าเหมือนบางศาสนา ถ้าหลุดพ้นก็เหนือโลกเลย เหนือโดยประการทั้งปวงเลย จิตนั้นว่างไปเลย ไม่ไปผูกพันอยู่กับสิ่งใด ธรรมะหลุดพ้น เมื่อไม่หลุดพ้นมันก็ติดอยู่กับดีกับชั่ว เมื่อหลุดพ้นก็ไม่ติดกับสิ่งใด ธรรมะมี ๓ ระดับอย่างนี้ เราก็ไปตรวจดูจิตใจของเราเองว่ามันอยู่กับธรรมะชนิดไหนมาก รู้จักตัวเองให้ดีและก็จะรู้จักว่าเป็นคนกันหรือยัง และก็รู้จักว่าเป็นคนที่สมบูรณ์หรือยัง เป็นคนที่เป็นมนุษย์แล้วหรือยังอย่างนี้เป็นต้น อย่างน้อยอย่างน้อยที่สุดขอให้เป็นมนุษย์ จะเป็นรากฐานที่ดีสำหรับที่จะหลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน อาตมาเห็นว่ามันมันพอสมควรแก่เวลาแล้วล่ะ มันจะเกือบ ๒ ชั่วโมง เพื่อไม่ให้เฝือก็จะสรุปสั้น ๆ ว่าไอ้เป็นคนกับเป็นมนุษย์นั้นไม่ใช่อย่างเดียวกัน อาทิตย์ที่จะถึงข้างหน้าอาตมาจะบรรยายทางวิทยุกระจาย เสียงโดยหัวข้อว่า “ เป็นเพียงคนยังไม่ใช่มนุษย์ ” เป็นเพียงคนยังไม่ใช่มนุษย์ ใจมันยังไม่สูง จะคอยฟังก็ได้ อาทิตย์ที่ ๓ สัปดาห์ที่ ๓ ของเดือนนี้ จะพูดหัวข้อว่า “เป็นเพียงคนยังไม่ใช่มนุษย์” ทีนี้จะเป็นมนุษย์ จะเป็นคนที่เป็นคนสมบูรณ์ขึ้นมาไม่ใช่เพราะเพียงเล่นกีฬานะ แก้กรองกิเลสทำคนให้เป็นคน มันก็หมายถึงระดับที่ยังต่ำกว่า ถ้ามันสูงจริง ๆ แล้วมันก็ต้องมีธรรมะล่ะ ถ้าว่าไอ้กีฬาเป็นธรรมะก็ได้เหมือนกัน กีฬาจะช่วยให้เป็นมนุษย์ได้ แต่ต้องเป็นกีฬาชนิดที่เล่นเพื่อธรรมะอย่าเอาแพ้เอาชนะกัน เอาแพ้เอาชนะมันจะเป็นธรรมะไม่ได้ เพราะมันเห็นแก่ตัว ตัวกูจะชนะแล้วมันเห็นแก่ตัวกู ไอ้กีฬาที่เอาแพ้ชนะเอาเป็นธรรมะไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าเล่นกีฬาเพื่อแสดงว่าใครมีน้ำใจนักกีฬามากกว่ากัน แพ้ชนะไม่เอา กรรมการจะให้คะแนนว่าไอ้คนนี้มันแสดงความเป็นนักกีฬามากก็ให้คะแนนไว้ ให้คะแนนไว้ แล้วมารวมดูว่าไอ้พวกไหนมันมีน้ำใจนักกีฬามากกว่าก็ให้ทีมนั้นชนะไป ไอ้เรื่องเข้าบอลเข้าประตูอันนี้ไม่ต้องสนใจ แพ้ชนะไม่ต้องสนใจเพราะฝีมือที่กระทำ แต่เอาน้ำใจนักกีฬาที่แสดงออกมา ถ้าเล่นกีฬาอย่างนี้เป็นธรรมะทำคนให้เป็นคนแน่ แต่เดี๋ยวนี้ในโลกนี้เขาเล่นกีฬาเพื่อแพ้เพื่อชนะกันทั้งนั้น ไม่ได้เล่นกีฬาเพื่อวัดว่าใครมีน้ำใจนักกีฬามากกว่ากัน เล่นกีฬาแก้กรองกิเลสทำคนให้เป็นคนก็ต่อเมื่อเล่นอย่างมีธรรมะ ที่นี้เรามีธรรมะเสียเลยจะได้เป็นคน จะได้ไม่ละอายสัตว์เดรัจฉานซึ่งมันไม่ค่อยมีธรรมะอะไร แต่มันก็ไม่ต้องกินยานอนหลับ ไม่ต้องเป็นโรคประสาท ไม่ต้องเป็นโรคจิต เราเอาธรรมะมาเถิด เราจะนอนหลับ จะไม่เป็นประสาท ไม่เป็นโรคจิต จะไม่เป็นอันธพาล และทำประโยชน์ได้มากกว่าเหลือประมาณ ก็ ก็ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานเพราะมีธรรมะ ไอ้หลักคำพูดมันก็มีอยู่อย่างนี้แหละว่า มนุษย์ต่างจากสัตว์เพราะธรรมะ ถ้าเอาธรรมะออกแล้วมนุษย์กับสัตว์จะเท่ากัน ที่นี้ธรรมะคือเรื่องระบบทั้งหมดของสากลจักรวาลคือตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ตัวผลตามหน้าที่นั้นๆ ที่นี้มนุษย์มีอยู่เป็นระดับๆ ที่เราจะต้องใช้ธรรมะช่วยพยุงขึ้นไป จากชั่วมาสู่ดี จากดีไปสู่ที่ว่าเหนือชั่วเหนือดี เป็นฟรีเป็นอิสระเป็นวิมุติ ศาสนาทุกศาสนาเขาจะใช้คำว่าหลุดพ้นทั้งนั้นแหละ Emancipation พวกนี้ เขาใช้คำเดียวรวมกันเลยว่าหลุดพ้น แต่ว่าความหมายของคำว่าหลุดพ้นมันมันต่างกัน เรามาจากชั่วมาสู่ดีและก็จากดีไปสู่เหนือสิ่งทั้งปวง นี่เรียกว่าหลุดพ้น ไม่เป็นทาสของไอ้สิ่งต่างๆในโลกนี้ ธรรมะมันมีอย่างนี้ จากชั่วมาสู่ดี จากดีก็ขึ้นเหนือทั้งหมด ฉะนั้นดูที่จิตใจไม่ใช่ดูด้วยหนังสือ ดูจิตใจกำลังชั่วหรือกำลังดี หรือกำลังอยู่เหนือชั่วเหนือดีแม้บางขณะ ถ้าอยู่เหนือชั่วเหนือดีโดยเด็ดขาดและเป็นพระอรหันต์ จะมากเกินไปสำหรับเรา เราเอาแต่บางขณะ เราไม่ไม่ใยดีสนใจใยดีกับเรื่องชั่วเรื่องดีจิตใจว่างเป็นอิสระโปร่งไปเลย นั่นก็พอจะมีได้บางเหมือนกัน มันสูงสุดตรงนั้นลองชิมลองดูก่อน พอชอบแล้วมันจะทำมากขึ้นๆ ก็คงจะอยู่เหนือดีเหนือชั่วโดยแท้จริงได้ ได้สักวันหนึ่ง คือเป็นพระอรหันต์กันได้สักวันหนึ่ง เรื่องธรรมะที่เห็นว่าพูดกันครั้งเดียวในเวลาอันสั้นก็จะมีอย่างนี้ ธรรมะคำเดียวพูดได้อย่างนี้ คุณก็เอาไปขยายความให้มันพอ ไปประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องกับเรื่องราวของตนของตน ไม่ใช่แต่เพียงอยู่ในโรงเรียนในวิทยาลัย มันจะต้องตลอดชีวิตน่ะ ธรรมะนี้เรามีไว้สำหรับเป็นคู่ชีวิต จะช่วยชีวิตนี้ไม่มีความทุกข์ ไอ้คู่ชีวิตหญิงชายนั้นไม่เท่าไหร่มันก็กัดกันถ้าไม่มีธรรมะ มันไม่ใช่คู่ชีวิตที่แท้จริง ธรรมะที่แท้จริงมันคู่ชีวิต ฉะนั้นมีธรรมะกันไว้เถอะผัวเมียจะไม่กัดกัน ที่จะเป็นคู่ชีวิตเพราะมีธรรมะ ถ้าไม่มีธรรมะแล้วแม้เป็นผัวเป็นเมียมันก็ต้องกัดกันล่ะคือทะเลาะกันเพราะมันไม่มีธรรมะ ฉะนั้นเตรียมธรรมะไว้สำหรับแก้ปัญหาทุกอย่างทุกประการในอนาคต มันต้องเตรียมไว้จึงจะมีใช้ทันแก่เวลา ถ้าเกิดปัญหาเกิดทุกข์แล้วจะมานึกถึงธรรมะนี้ไม่ไม่ทันแล้ว บางทีเป็นโรคประสาทเสียแล้วจะมาขอให้ช่วยที ช่วยไม่ได้แล้ว เป็นโรคประสาทพูดกันไม่รู้เรื่อง ฟังกันไม่รู้เรื่องจะมาเรียนธรรมะอะไร เราช่วยไม่ได้ ก่อนที่จะมีโรคประสาทหรือมีอะไร ศึกษาธรรมะไว้ให้มากพอ มันก็จะป้องกันโรคประสาท ถ้าจะเปรียบอีกอย่างก็เหมือนกับอาวุธน่ะ ต้องไปเอามาเดี๋ยวนี้ ต้องมาฝึกให้ชำนาญเดี๋ยวนี้ ข้าศึกศัตรูโจรขโมยมาก็จะได้ใช้ฆ่ามันเสีย ทีนี้เมื่อข้าศึกมาจึงไปซื้ออาวุธมา ยิงก็ไม่เป็นใช้ก็ไม่เป็นจะมีประโยชน์อะไร ฉะนั้นเดี๋ยวนี้ไปเอาอาวุธมาฝึกคล่องแคล่วพร้อมอยู่เสมอที่จะต่อสู้กับข้าศึกโจรขโมย เราก็ทำได้ ทีนี้ความทุกข์ที่มาจากกิเลสรวมทั้งกิเลสด้วยนั่นแหละคือข้าศึก มีธรรมะเดี๋ยวนี้ฝึกไว้ให้คล่องแคล่วเพียงพอเดี๋ยวนี้ เพราะข้าศึกเกิดขึ้นในอนาคตปัญหาในชีวิตของเราที่จะไปประกอบการงานในอนาคตเกิดขึ้น เราจะได้ใช้ธรรมะนี้ฆ่ามันเสีย ล้างมันเสีย เป็นชีวิตที่ไม่มีอุปสรรคไม่มีความทุกข์ ขอให้มองธรรมะในลักษณะอย่างนี้ ก็จะเรียกว่าถูกต้องและสมบูรณ์ เวลามันมีจำกัดเท่านี้ ฉะนั้นขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้ด้วยความหวังว่าท่านทั้งหลายจะมีศรัทธาความเชื่อ มีความกล้าหาญพอที่จะเข้ามาลูบคลำธรรมะ ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ เจริญงอกงามก้าวหน้าไปตามทางของธรรมะ มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ.
คำถาม : สมมติประเทศไทยเราเป็นประเทศที่มีธรรมะมากที่สุด แล้วเวียดนามเป็นประเทศที่รุกรานเรา แล้วมารุกรานเรา เราเป็นประเทศธรรมะเราจะทำอย่างไร
ท่านพุทธทาสฯ : นั่นหมายความว่าคนพาลมารุกรานคนดีอย่างนั้นหรือ มัน มันเป็นคำพูดที่อธิบายยาก เดี๋ยวนี้เขา เขากลัวกันอย่างนั้นแหละ เขาจึงไม่ยึดถือความดี เขากลัวว่าถ้าเรามัวยึดถือความดีอยู่เราเสียเปรียบ แต่ละประเทศๆก็ไม่กล้ายึดถือศาสนาไม่กล้ายึดถือความดีกลัวจะเสียเปรียบ แต่ความหมายมันลึกมากกว่านั้น ถ้าเรามันดีจริงมันก็รุกรานกันไม่ได้ เดี๋ยวนี้เราจะสู้เขาไม่ได้เพราะว่าเราไม่มีธรรมะ แม้แต่สามัคคีกันก็ยังไม่มี แม้แต่สามัคคีกันก็จะยังไม่มี จะไปสู้อะไรได้ ถ้ามีธรรมะก็สามัคคีก็จัดก็ทำสิ่ง ๆ ต่าง ๆอย่างพร้อมเพรียงน่าเกรงขามไม่มีใครคิดที่จะมารุกรานเรา ประเทศเล็กๆที่มันอยู่ท่ามกลางประเทศใหญ่ ๆ ได้ ก็อาศัยความถูกต้องในลักษณะนี้ทั้งนั้น ประเทศไทยรอดตัวจากปากเหยี่ยวปากกามาตั้งแต่ต้นก็เพราะธรรมะทั้งนั้น ไม่ตกไปเป็นเมืองขึ้นของประเทศอื่น เช่น ประเทศพม่า เขมร ญวน ลาว มาลายู ตกเป็นประเทศเมืองขึ้น เพราะมันไม่มี ไม่มีอะไรอย่างที่เรามี เรามีความรู้ธรรมะที่จะป้องกันผ่อนสั้นผ่อนยาวทำตัวให้อิสระอยู่ได้
คำถาม(นาทีที่ 1:21:39 – 1:21:44ไม่ได้ยินคำถามค่ะ)
ท่านพุทธทาส : ถ้ามันเป็นหน้าที่แล้วก็เป็นธรรมะ ไปพิจารณาดูความบริสุทธิ์ของหน้าที่ อย่ามีเจตนาฆ่าคน มีเจตนาเพียงทำหน้าที่ที่ควรจะทำ เหมือนกินยาถ่ายตัวพยาธิน่ะไม่ใช่ฆ่าสัตว์เป็นหน้าที่ที่จะต้องทำ ไม่ต้องบาปเพราะเหตุนี้ พอได้นั่งกลางดินนึกถึงพระพุทธเจ้านะ อย่าลืมนะ ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน นิพพานกลางดิน พระพุทธเจ้า โปรแกรมของคุณต่อไปนี้มีอะไร นอนใช่ไหม ปิดประชุม ไอ้ธรรมะมีปัญหาตรงที่ว่าไม่มีคนกล้าไว้ใจหรือฝากไว้กับธรรมะ ที่เขา เขากลัวว่าคอมมิวนิสต์จะเล่นงานเราถ้าเราจะมีธรรมะ นี่กลัวกันมาตั้งนาน เพราะไม่มีธรรมะจึงต้องกลัว คำว่าธรรมะแปลเป็นภาษาอะไรไม่ได้ นี่มันก็น่าอัศจรรย์มากอยู่เหมือนกัน เพราะเคยพยายามแปลเป็นภาษาอังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส ไม่สำเร็จแปลคำว่าธรรมะไปเป็นภาษาอื่น ต้องใช้ภาษาอินเดียไปตามเดิมว่าธรรมะ เพราะความหมายมันประหลาดที่สุดใน ๔ความหมาย ไม่มีคำใดในภาษาอื่นจะใช้ครอบคลุม ๔ ความหมายนี้ได้ คำว่าธรรมะเป็นนาม คำว่าธรรมิต(นาทีที่ 1:24:00) เป็นคุณนาม จะเข้าไปอยู่ในปทานุกรมของทุกชาติทุกภาษาในที่สุด เพราะมันแปลไม่ได้ ปทานุกรมของชาติไหนภาษาไหนก็ตาม มันแปลเป็นธรรมะไปเป็นภาษานั้นไม่ได้ ถ้าได้มันไม่หมดก็เลยไม่แปลกัน ก็เลยเอาคำนี้ไปใช้ ไปบรรจุอยู่ในปทานุกรมของทุกชาติทุกภาษา
บันทึกได้ เสียง ดี เอาไปซ้อม เอาไปฟังซ้อมความจำ ต้นไม้เป็นที่ระลึกกับพระพุทธเจ้า ที่ประสูติและนิพพานคือต้นสาระต้นนั้น ไปถ่ายรูปด้วยกลางวัน เก็บใบไปดูสักใบหนึ่งก็ได้ แล้วรูปภาพที่หัวตึก ที่เขาแจกรูปตา แล้วไม่มีใครรับกี่คน วิ่งกลับไปโดยไม่มีรูปตา คนมาสวนโมกข์ส่วนมากเป็นอย่างนี้ ไม่ยอมรับในสิ่งที่เรามีให้ แล้วกลับไปเหมือนเดิม พรุ่งนี้ช่วยดูภาพที่ว่าให้ดี ๆ หน่อยนะ ภาพแจกรูปตาแล้วไม่มีใครรับกลับไปเหมือนเดิม เป็นฝูง ๆ ๒-๓ คนได้ เอาสิปิดประชุมแล้วก็กลับ ปิดประชุมแล้วไปนอน ถ้าเป็นวันมาฆะ วิสาขะ อาสฬหะ เราไม่นอนนั่งพูดกันตรงนี้จนสว่าง