แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักเรียน นักศึกษา ครูบาอาจารย์ และท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย
เดี๋ยวนี้เรามาพบปะหรือประชุมกันอยู่ในลักษณะเช่นนี้ ซึ่งมันก็ผิดกันกับที่ประชุมกันในที่อื่นๆ ขอให้มองเห็นประโยชน์ของการที่มาพบปะหรือประชุมกันในลักษณะอย่างนี้ ข้อนี้อาตมา หมายถึง การระลึกได้โดยง่าย ถึงสภาพความเป็นอยู่ของพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งภิกษุสงฆ์ในครั้งพุทธกาล คือ ข้อที่ท่านอยู่กับธรรมชาติถึงที่สุด สำหรับพระพุทธเจ้านั้นควรจะระลึกไว้เสมอว่า ท่านประสูติกลางดินในป่า ท่านตรัสรู้ก็นั่งกลางดินในป่า ท่านสอนส่วนมากก็กลางดิน จะกล่าวว่า ท่านแทบจะทั้งหมดก็ได้ นั่งกลางดินเมื่ออยู่กลางดิน กุฎิของท่านก็พื้นดิน โรงฉันโรงประชุมก็พื้นดิน แล้วในที่สุดท่านก็ปรินิพาน ที่เด็กๆ เรียกกันว่าตาย กลางพื้นดินก็ในป่า ล้วนแต่ในป่า เราควรจะเข้าใจความหมายของพื้นดินหรือธรรมชาติที่เคยเกี่ยวข้องกันมาแล้วกับพระพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลาย คณะสงฆ์ทั้งหลายอย่างไร เป็นการง่ายที่จะทำในใจถึงพระพุทธเจ้า เข้าใจพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะเรื่องร้อน เรื่องหนาว เรื่องหิว เรื่องกระหาย เรื่องอะไรอย่างนี้กลายเป็นของที่ไม่มีความหมายไป พระองค์ทรงพยายามทดลอง หรือเพื่อสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้น ดังมีข้อความกล่าวไว้ด้วยพระองค์เองว่า ในฤดูหนาว ๘ วัน ซึ่งเป็นวันหนาวที่สุดแห่งฤดูหนาว ท่านก็อยู่อย่างกับว่าประชดความหนาว กลางวันมีแดดบ้าง ท่านก็ไปอยู่ในสุมทุมพุ่มไม้ ที่ร่มเย็นเยือก พอถึงกลางคืนแทนที่อยู่ในสุมทุมพุ่มไม้ที่มีความอบอุ่นบ้าง ท่านก็มาอยู่กลางแจ้งกลางหาว นั่นก็คือการศึกษาสิ่งเหล่านี้นั่นเอง เพื่อจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ จะอยู่เหนือปัญหาอันเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ นี่มันเป็นวิธีที่จะเอาชนะความทุกข์ ท่านได้สัมผัสกับความทุกข์ จนรู้ว่าจะต้องจัดการกับมันอย่างไร การตรัสรู้ของพระองค์จึงเป็นไปอย่างถูกต้องตามเรื่องของความจริง และเป็นไปตามธรรมชาติ การเล่าเรียนของท่านเรียนจากธรรมชาติ ค้นคว้าจากธรรมชาติแล้วก็รู้เรื่องของธรรมชาติ เราก็เรียนในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย ในตึกเรียนท่ามกลางอุปกรณ์การเรียนมันต่างกันอยู่มาก แม้ว่าเราจะเอาเรื่องของพระพุทธเจ้ามาเรียน ในตึกเรียนมหาวิทยาลัยมันก็คงไม่ได้ผลเช่นเดียวกับการที่จะเรียนท่ามกลางธรรมชาติ ท่ามกลางธรรมชาติ เช่น อย่างว่า กลางดิน ในอากาศที่รุนแรง ร้อนหรือหนาวหรืออะไรต่างๆ เราจึงอุตส่าห์มากันถึงสวนโมกข์ ทีนี้เพื่อให้ไม่เสียทีที่มาก็ควรที่จะได้รับประโยชน์จากการมา นั่นก็คือการเป็นอยู่ให้มันใกล้ชิดธรรมชาติที่สุด เท่าที่จะใกล้ชิดได้ แล้วก็อย่ามัวไปอึดอัดขัดใจด้วยสิ่งที่เราไม่ค่อยจะชอบเหล่านี้เสีย ควรจะศึกษาถึงระดับสูงสุดคือถึงขนาดที่ว่าเป็นอันเดียวกันกับธรรมชาติไปเสียเลย มันไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติ ไอ้เนื้อตัวของคนนี่ก็คือธรรมชาติ จิตใจของคนก็ธรรมชาติ มีการปรุงแต่งในร่างกายในจิตใจไปตามกฎของธรรมชาติ ตามกระแสของธรรมชาติ ผลออกมาก็เป็นธรรมชาติ นี่ธรรมะมันเป็นธรรมชาติอย่างนี้ นี่เราก็สนใจและต้องการสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ถ้าถามก็ตอบว่ามาศึกษาธรรมะกันทั้งนั้น
เลยถือโอกาสพูดในหัวข้อว่าธรรมะนี่จำเป็นอย่างไร หรือท่านมาศึกษาธรรมะทำไม ก่อนจะตอบปัญหานี้ก็ควรจะเข้าใจไอ้คำที่สำคัญคำนั้นกันเสียก่อน คือ คำว่า ธรรมะนั่นเอง ถ้าเข้าใจไอ้คำๆ นี้ดี เราก็จะมองเห็นด้วยตนเองหรือตอบได้ด้วยตนเองว่า ธรรมะจำเป็นอย่างไร หรือทำไมเราจึงมาสนใจธรรมะ ขอให้ท่านทั้งหลายถือเอาความหมายของคำว่าธรรมะอย่างที่อาตมากำลังจะบอก ถ้ามันไม่ตรงกันกับที่ท่านทั้งหลายเคยได้ยินได้ฟังได้ศึกษามาแล้วก็ไม่เป็นไร ขอให้สนใจไอ้คำจำกัดความของคำว่าธรรมะในที่นี้ไว้ว่า ธรรมะ คือ ระบอบปฏิบัติที่ถูกต้องแต่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอน แห่งวิวัฒนาการของเขา พระพุทธเจ้าท่านก็จะตรัสเป็นทำนองว่าธรรมะเป็นเครื่องดับทุกข์ ไอ้ที่ว่า ดับทุกข์จะดับอย่างไร นี่เราดูตามเรื่องราวทั้งหลายหรือที่พระองค์ได้ตรัสไว้ทั้งหมดทั้งสิ้นมันก็พบว่า มันเป็นการปฏิบัติเป็นระบอบ คือไม่ใช่ข้อเดียวเรื่องเดียว มันเป็นระบอบที่เนื่องกันมากหลายข้อ เป็นระบอบของธรรมะที่จะต้องเรียนรู้จะต้องปฏิบัติ ผลของการปฏิบัติย่อมจะเกิดเอง เพราะฉะนั้นเราจะสนใจอยู่ที่ตัวการปฏิบัติ เพราะเพียงแต่เรียนรู้มันก็ไม่ ไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก รับจ้างเป็นครูสอนธรรมะหากินก็พอจะได้ แต่ว่ามันไม่ใช่จุดประสงค์มุ่งหมายของคำว่าธรรมะ ต้องการจะดับทุกข์ ต้องการให้ระบุไปยังการปฏิบัติไม่ใช่เรื่องเล่าเรียนหรือปริยัติอย่างเดียว ระบุไปที่การปฏิบัติแล้วก็เป็นระบอบ คือหลายๆ ธรรมะรวมกัน ไอ้ธรรมะหลักก็ปฏิบัติอย่างไรนั้นก็มี ทีนี้ธรรมะอุปกรณ์ที่ช่วยให้การปฏิบัตินั้นสำเร็จไปโดยง่ายก็มี มีอยู่มาก มันจึงเป็นกลุ่มกันทีเดียวไอ้ธรรมะนี่ เราจึงเรียกว่าระบอบปฏิบัติ ระบบของการปฏิบัติ ในการปฏิบัติเป็นไปได้เพราะมีความรู้ ถ้าไม่มีความรู้มันก็ไม่ปฏิบัติถูกเพราะฉะนั้นเราจึงหมายความว่ารวมไปถึงความรู้เรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติ ไอ้ตัวจริงมันมาอยู่ที่การปฏิบัติซึ่งต้องปฏิบัติให้ครบทั้งระบบของมัน ธรรมะจึงคือ ระบบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ ขอเน้นความเป็นมนุษย์สักหน่อย ไม่ใช่ว่าเกิดมากจากท้องแม่แล้วจะเป็นมนุษย์ นั่นเป็นคนธรรมดา มันต้องมีอะไรที่ประพฤติปฏิบัติลุล่วงไปพอสมควรแล้วก็จึงจะมีความเป็นมนุษย์ เรามุ่งหมายความเป็นมนุษย์ซึ่งมันดีกว่าคนที่สักว่าเกิดมา มนุษย์มันมีความหมายว่าจิตใจมันสูง อยู่เหนือปัญหาและเหนือความทุกข์ มน + อุษยะ (นาทีที่ 12.47) แปลว่าใจมันสูง หรือเทือกเถาเหล่ากอของคนที่มีใจสูง นี่เรียกว่ามนุษย์ เราต้องมีธรรมะเพื่อความเป็นมนุษย์หรือเป็นมนุษย์ได้ก็เพราะมีธรรมะ จึงใช้คำว่าระบบปฏิบัติที่ถูกต้อง แก่ความเป็นมนุษย์ หรือสำหรับความเป็นมนุษย์ ที่นี้ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา จะหมายถึงตั้งแต่คลอดจากท้องแม่เป็นลำดับไปจนกว่าจะตาย หรือถ้าจะเล็งดูถึงวิวัฒนาการทางจิตทางวิญญาณก็จะพูดได้ว่าทุกชนิดแห่งวิวัฒนาการคนโง่ที่สุดก็ต้องการธรรมะตามแบบของคนโง่ที่สุด คนไม่สู้จะโง่ก็ต้องการแบบหนึ่ง ไม่โง่ ฉลาด ฉลาดมาก ก็ต้องการตามที่มันเหมาะสมแก่ขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ถ้าเราดูอย่างยืดยาวตามวิทยาศาสตร์ชีวิทยา ว่าโลกมีวิวัฒนาการอย่างไร เกิดสิ่งที่มีชีวิตขึ้นมาอย่างไรนับตั้งแต่ว่าเกิดชีวิตชนิดที่เป็นพืชพันธุ์ ศึกษาชาติแล้วเกิดสัตว์เดรัจฉาน แล้วเกิดมนุษย์ แล้วมนุษย์ก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย วิวัฒนาการอันยืดยาวอย่างนี้ มันก็ต้องการสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ คือความเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาตินั่นแหละคือธรรมะ ถูกต้องแก่วิวัฒนาการนั้นๆ วิวัฒนาการสายนั้นจึงยืดยาวไกลออกไปไม่ขาดสูญไปเสีย เหมือนกับวิวัฒนาการบางสาย บางแขนง ที่มันได้ขาดสูญไปแล้วเพราะมันไม่ถูกกับธรรมชาติ มันก็ไม่ถูกกับไอ้หลักที่ว่า สิ่งใดเหมาะสมสิ่งนั้นก็ยังอยู่ สิ่งใดไม่เหมาะสมสิ่งนั้นก็สูญหายไปแล้ว ความเหมาะสมในที่นี่ก็คือความถูกต้องแก่วิวัฒนาการของสิ่งนั้น ๆ นั่นเอง เดี๋ยวนี้เราก็มาเป็นสัตว์อย่างที่เรียกว่าคนหรือมนุษย์ แม้ว่าเป็นมนุษย์ในชั้นเตรียม คือเตรียมเป็นมนุษย์มันก็มีความถูกต้องอยู่ในกระแสแห่งวิวัฒนาการมันจึงเป็นมาได้อย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้มันมีปัญหาเกิดขึ้นคือวิวัฒนาการนี่ต้องการอย่างไรกันแน่ ต้องการเพียงให้มนุษย์มามีความเป็นมนุษย์อยู่ในลักษณะอยู่อย่างในลักษณะที่กำลังเป็นอยู่เดี๋ยวนี้หรืออย่างไรกันแน่ มันควรจะนึกถึงว่าไอ้จุดสูงสุด ดีที่สุด ประเสริฐที่สุดแห่งวิวัฒนาการนั้นมันคืออะไร ทุกคนคงจะตอบตามสามัญสำนึกได้ว่า ความสุขที่แท้จริงหรืออะไร ๆ ที่พูดกันได้ แล้วก็พูดกันแต่ปาก เขาพูดกันว่ามนุษย์ต้องการความดี ความสงบสุขหรือสันติภาพ อาตมาว่ามันพูดโกหก มันพูดหลับตาพูดก็มี คือโกหกโดยไม่เจตนา ถ้ามนุษย์ต้องการความดี ความสุข หรือสันติภาพจริง โลกจะไม่เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มนุษย์มันต้องการแต่ความปลอดภัยแก่ชีวิต และความเอร็ดอร่อย มันจะเกิดมาจากอุปกรณ์แห่งชีวิต พูดตามความจริง ตามความรู้สึกอันแท้จริง ใครต้องการอะไรกันแน่ รวมทั้งพวกเราด้วยนี่แหละมันต้องการอะไรกันแน่ ต้องการความดี ต้องการความสุข ต้องการสันติภาพ แล้วทำไมไม่ขวนขวายเพื่ออย่างนั้น กลับขวนขวายแต่เพียงว่าชีวิตรอดแล้วกินอยู่ เป็นอยู่อย่างเอร็ดอร่อย ที่อุตส่าห์เล่าเรียนนี่เพื่อได้เงินมากๆ ไปซื้อหาความเป็นอยู่อย่างเอร็ดอร่อย ไอ้คำว่าความดี ความจริง ความงาม ความยุติธรรม ความเป็นสุข สันติภาพนั้น มันเป็นคำพูดเสียหมด นี่มันผิดที่ไหนมันผิด ที่มนุษย์ หรือมันผิดที่กระแสแห่งวิวัฒนาการ เรามองดูกระแสแห่งวิวัฒนาการดูมันก็พอจะดูออกว่ามันต้องการให้ดีขึ้นมาเรื่อย ๆ อย่าหยุดเสียเพียงเท่านั้น ให้ไปจนถึงที่สุด แล้วมันก็จริงที่ว่ามันคงจะไปสุดตรงที่มีความดี มีความสงบสุข มีสันติภาพ จะถึงที่สุด แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ได้นี่ มนุษย์ในโลกเดี๋ยวนี้มันไม่ได้ แล้วนึกกลับไปถอยหลังกลับไปหาความไม่มีสันติสุข คือเป็นวิกฤตการณ์มากยิ่งขึ้นทุกที นี่ใครทำ มนุษย์ทำ หรือว่าวิวัฒนาการมันทำ มันบังคับให้เป็นไปอย่างนั้น ถ้าเรามองเห็นและยอมรับว่าวิวัฒนาการที่ถูกต้องต้องดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้น แล้วไปมีสันติสุขถึงที่สุด ทำไมโลกกลับถอยหลังไปหาไอ้วิกฤตการณ์ ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์ควรจะศึกษาไปในทางที่ให้รู้ว่า มนุษย์ในยุคก่อนๆ โน้นเป็นอย่างไร มนุษย์ในยุคพุทธกาลหรือยุคถัดมาเขาอยู่กันอย่างไร เดี๋ยวนี้อยู่กันอย่างไร สรุปความว่าใครมีความสงบสุขมากกว่ากัน ถ้าในยุคโบราณมีความสงบสุขกว่าก็แปลว่าเรามันถอยหลังแล้ว หรือมันทวนกระแสแล้ว นี่ท่านจะต้องนึกถึงข้อนี้ ตามที่เป็นจริงเพื่อจะได้รู้ว่าเราทำผิดหรือทำถูก เรากำลังทำผิดหรือทำถูก มนุษย์กำลังทำผิดหรือทำถูก ถ้าทำถูกมันก็จะมีแต่สันติสุขสันติภาพยิ่งๆ ขึ้นไป ถ้าทำผิดมันก็ถอยกลับไปหาวิกฤตการณ์ คือความไม่สงบสุข ที่เป็นที่น่าพอใจ เราขาดไอ้ธรรมะที่เป็นการก้าวหน้าไปหาสันติสุขหรือสันติภาพ เราไม่มีการประพฤติกระทำที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการเสียแล้วก็ได้ มันจึงเกิดปัญหาขึ้นมาที่ตรงนี้เองว่า เรามีปัญหาที่มันย้อนหลังไปหาความทุกข์ยากลำบากระส่ำระสายไม่สมกับที่ว่าเป็นมนุษย์ที่เจริญอยู่ในยุคนี้ เป็นอันว่าเราต้องหาความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นหรือให้ถูกต้องในเรื่องเกี่ยวกับธรรมะ คือความถูกต้องแห่งความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการนั่นเอง ดังนั้นเราจึงต้องการธรรมะอย่างจำเป็น ท่านพอจะมองเห็นได้เองว่าเราต้องการธรรมะเพราะเหตุนี้ จำเป็นที่จะมีธรรมะก็เพราะเหตุนี้ เพราะเหตุว่าเรายังไม่มีความถูกต้องแห่งความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ เอากันเดี๋ยวนี้ก็นับว่าตั้งแต่คลอดจากท้องแม่โตมาตามลำดับจนมาถึงวันนี้กระทั่งจะถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิต นั่นเป็นกระแสแห่งวิวัฒนาการที่เรียกกันว่า ชาติหนึ่ง แล้วจะมีความถูกต้องทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการนี้ได้อย่างไร
ที่นี้ธรรมะมันกิน มันมีความหมายหรือขอบเขตกว้างกว่านั้นมาก เดี๋ยวนี้เรากำลังมีความทุกข์เพราะเราทำผิดเรามีปัญหาที่ต้องแก้ ธรรมะมันขาดมาตั้งแต่ต้น คือขาดตั้งแต่ที่ว่าให้เรารู้จักเสียตั้งแต่ต้นแล้วอย่าทำให้ผิด เมื่อทำผิดเกิดเป็นปัญหายุ่งยากลำบากขึ้นมาอย่างในบัดนี้ เราก็ต้องมีธรรมะสำหรับแก้ปัญหานั้น ในอนาคตต่อไปเราก็ต้องมีธรรมะสำหรับป้องกันไม่ให้สิ่งเลวร้าย หรือปัญหาอันนี้เกิดขึ้นมาอีกขอให้ทุกคนหลับตามองเห็นอานุภาพหรือคุณอานิสงค์ของธรรมะว่า ธรรมะนั้นมันจะเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้มนุษย์เกิดมีปัญหาของมนุษย์ขึ้นมา คือความทุกข์ ถ้ามนุษย์ได้เดินถูกทางของธรรมะมาแต่ทีแรกก็จะไม่เกิดความทุกข์ หรือปัญหา นี่มนุษย์ไม่มีธรรมะในตอนแรกจนเกิดปัญหานี่เรียกว่ามันพลาดไปตอนหนึ่งแล้ว ที่มนุษย์ในโลกเกิดขึ้นมาไม่เดินถูกต้องตามทางของธรรมะจนเกิดปัญหายุ่งยากตลอด ไปทั่วโลกอย่างที่เราพอสังเกตได้ ทีนี้เดี๋ยวนี้ปัญหาเกิดขึ้นแล้วเรายังต้องใช้ธรรมะจะแก้ปัญหาในปัจจุบันมันก็จำเป็น เป็นอันดับที่สองว่าอดีตก็ต้องการธรรมะปัจจุบันก็ต้องการธรรมะ ทีนี้ในอนาคตปัญหาจะเกิดขึ้นอีก เราก็มีธรรมะเป็นเครื่องป้องกันเอาไว้ล่วงหน้า อย่าให้มันเกิดปัญหาหรือความทุกข์ซ้ำรอย เดี๋ยวนี้เราจึงมาศึกษาธรรมะกัน เพื่อประโยชน์จะแก้ปัญหาปัจจุบันและเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นในอนาคต อาตมาหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจในข้อนี้ และก็พยายามทำให้ได้รับประโยชน์ให้มากที่สุด จากสิ่งที่มนุษย์ควรจะได้รับ คือธรรมะนั้น
เป็นอันว่าเราจะเห็นชัดลงไปว่าธรรมะนี้จำเป็น จำเป็นอย่างไร หรือจะเข้าใจได้แล้วว่าที่เรามากันนี้ก็สนใจศึกษาธรรมะ เพราะเหตุอะไร เพราะเหตุมองชัดเห็นชัดอยู่แล้วว่า มันต้องการธรรมะทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ
ขอเวลาพูดนอกเรื่องสักนิดหนึ่งว่า การศึกษาในโลกเวลานี้อย่างที่ท่านก็สนใจศึกษากันอยู่นั้นมันไม่พอ มันไม่พอที่จะแก้ปัญหาของมนุษย์ เพราะการศึกษาในโลกมันมีแต่การเรียนหนังสือ กับเรียนอาชีพ ๒ อย่างเท่านั้น ไม่ได้เรียนอย่างที่ ๓ ที่ว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร คุณเคยเห็นโรงเรียนไหน มหาวิทยาลัยไหนที่ว่าสอนว่าเป็นมนุษย์กันอย่างไร ยิ่งเดี๋ยวนี้แล้วก็หมุนกันไปแต่เรื่องเทคโนโลยีทุกแขนง หลายๆ แขนง ไม่มีเวลาจะมาสนใจกันว่าเป็นมนุษย์กันอย่างไร โลกนี้จึงจะมีสันติภาพ หรือถ้าพูดอย่างเราจะพูด ก็ว่าจะมีธรรมะกันอย่างไรมนุษย์จึงจะมีความเป็นมนุษย์ที่หมดปัญหา มนุษย์กำลังมีปัญหาและเพิ่มปัญหามากขึ้น คือมีความทุกข์ยากลำบากที่ลึกลับ ซับซ้อน แก้ไขได้ยากยิ่งขึ้นทุกที เดี๋ยวนี้เรามาแสวงหาการศึกษาส่วนที่ ๓ คือว่าเป็นมนุษย์กันอย่างไร รู้หนังสือแล้ว รู้อาชีพแล้ว นี่มันก็เพียงแต่รอดตายอยู่ได้เท่านั้นแหละ ยังไม่ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ อาตมาจึงเรียกการศึกษาในโลกปัจจุบันนี้ว่า การศึกษาด้วน ถ้าเป็นหมาก็หมาหางด้วน ถ้าเป็นพระเจดีย์ก็เป็นพระเจดีย์ยอดด้วน หางมันด้วน ก็มันไม่มีหางเสือที่จะทำให้เดินตรงได้ นี่มันจะขาดความถูกต้องแน่นอนที่จะเดินไปให้ตรงเพราะหางมันด้วน จับสัตว์มาตัดหางให้วิ่ง ปล่อยให้วิ่ง มันก็วิ่งไม่น่าดู มันไม่เรียบเหมือนกับมีหาง มันไม่ตรงทางด้วย อย่างนกไม่มีหางนี่ดูจะบินไม่ได้เลย จะบินเป็นวงกลมหรือว่าบินไม่ไปในทิศทางใดได้ ที่ว่ายอดมันด้วนนั่นมันหมายถึงไม่งาม อย่างพระเจดีย์ยอดด้วนไม่สมบูรณ์มันก็ไม่งาม ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าด้วนแล้วก็คงจะใช้ไม่ได้ทั้งนั้นแหละ หางด้วนก็เดินไม่ตรงทาง ยอดด้วนก็ไม่งดงามอะไร การศึกษาในโลกนี้ยังด้วนอยู่ ท่านต้องช่วยตัวเองทำให้มันหายด้วน เป็นอันว่าไอ้การศึกษาส่วนที่ ๓ นี้เราจะต้องศึกษาเอาเองแล้ว เมื่อโลกเขาไม่จัดหรือกระทรวงเขาไม่จัดหรือผู้มีอำนาจเขาไม่จัด มันก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องแสวงหาหรือจะต้องจัดแล้วมันยังคาบเกี่ยวกันถึงข้อที่ว่าถ้าเรามีธรรมะแล้วจะไม่มีอะไรเป็นทุกข์ การเรียนหนังสือก็ไม่เป็นทุกข์ การเรียนอาชีพก็ไม่เป็นทุกข์ การประกอบอาชีพก็จะไม่เป็นทุกข์ นี่อย่าเพิ่งอวดดี อวดรู้หนังสือแล้ว มีวิชาชีพแล้ว ต่อไปจะไม่เป็นทุกข์ ก็ดู ก็ดูทั่วๆ โลกมันเรียนหนังสือ มันเรียนวิชาชีพมามากจนไม่รู้จะเรียนกันอย่างไรแล้ว ไอ้โลกนี้ก็ยังมีความทุกข์ เพราะมันขาดอะไรอยู่อย่างหนึ่งที่จะทำให้การเรียนหนังสือหรือการประกอบอาชีพนั้นไม่เป็นทุกข์ มันยังเหลืออยู่ตอนนี้แล้ว ท่านระมัดระวังกระทำให้มันดีให้มันแก้ปัญหาอันนี้ให้ได้ เดี๋ยวนี้พอพูดถึงธรรมะคนก็ง่วงนอนซะแล้ว บางคนก็สนทนาแข่งกันอย่างไม่มีมารยาทก็มีนะ พอพูดถึงธรรมะแล้วคนมันก็ง่วงนอนเสียแล้ว บางทีก็จับกลุ่มคุยกันเสียอย่างไม่มีมารยาทก็มีนะ ขอให้สังเกตดูตามข้อเท็จจริงทั่วๆ ไปมนุษย์ที่ไม่รู้จักปัญหาของมนุษย์มันก็ไม่สนใจธรรมะ ขอให้มีหูตาสว่างไสวแจ่มใส ในการที่จะแก้ปัญหาของตน คือมีธรรมะมาสำหรับแก้ปัญหาของตน อาตมาเห็นว่าไอ้เรื่องที่ควรจะพูดเป็นเนื้อหามันจึงอยู่ที่เรื่องปัญหาของมนุษย์ ธรรมะจำเป็นอย่างไรถ้ามองเห็นก็จำเป็นสำหรับจะแก้ปัญหาของมนุษย์ เดี๋ยวนี้เราก็ยังโง่ถึงกับว่าปัญหาของมนุษย์คืออะไร ก็ยังไม่รู้ แล้วธรรมะก็เป็นหมัน การมาสนใจธรรมะก็เสียเวลาเปล่าๆ ที่สวนโมกข์หรือที่ไหนก็ช่วยไม่ได้ ถ้าเรายังไม่รู้ว่าปัญหาของมนุษย์นั้นมันคืออะไร นี่ขอให้สนใจปัญหาที่กำลังท่วมทับมนุษย์อยู่ในโลกปัจจุบันนี้ ให้ถึงที่สุด
อาตมาจึงเห็นว่าควรพูดถึงอันนี้เป็นเรื่องแรก คือเรื่องสำคัญที่สุดเป็นจุดตั้งต้นของการศึกษาธรรมะข้ออื่นๆ คือว่าปัญหาของมนุษย์ ปัญหาคือสิ่งที่ไม่พึงปราถนา ปัญหาคือสิ่งที่ทำให้เกิดอันตราย อย่างน้อยก็นอนไม่หลับ ปัญหาทำให้เกิดความทุกข์มันจึงเป็นอันเดียวกัน ปัญหาคือสิ่งที่มนุษย์ไม่ควรจะต้องการ หรือเขาก็ไม่ต้องการ เอ้า,ที่นี้ปัญหาของมนุษย์นี่เราจะตั้งต้นไปตั้งแต่ว่ามนุษย์มันควรจะต้องการอะไร มันก็ต้องพูดซ้ำอย่างเมื่อตะกี้ว่ามนุษย์เดี๋ยวนี้ต้องการแต่เพียงความปลอดภัยของชีวิตและการเป็นอยู่อย่างเอร็ดอร่อย เขาเคยทำสถิติมนุษย์คือว่า พิสูจน์หาความจริงว่ามนุษย์อยากจะรู้อะไร อยากจะ ต้องการอะไรเป็นส่วนใหญ่ ผลออกมาปรากฏว่ามนุษย์ต้องการความรู้เรื่องอนามัย ความรู้เรื่องไม่เจ็บไข้ปลอดภัยแห่งชีวิต มนุษย์ต้องการอันนี้ก่อนอันอื่น ก่อนศาสนา ก่อนอะไรหมดนี่ความจริงมันเป็นอย่างนี้ ก็แปลว่ามนุษย์ห่วงเรื่องตาย เรื่องรอดชีวิตนี่ มากกว่าเรื่องใดๆ แล้วมันก็โดยสัญชาติญาณอยู่แล้ว มันก็ห่วงมาก ที่นี้เมื่อเขาไม่ห่วงเรื่องตาย คือชีวิตรอดอยู่แล้ว เขาต้องการความเป็นอยู่อย่างเอร็ดอร่อย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง ทางจิตใจ ก็เลยสนใจค้นคว้ากันแต่เรื่องนี้จึงเกิดความก้าวหน้าทางวัตถุ มีผลิตผลทางวัตถุเพื่อให้เกิดความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางร่างกายนี่เต็มไปทั้งโลก นี่มนุษย์ไม่ได้ต้องการความดี ถ้ามนุษย์จะใช้คำว่าความดีก็คือความได้เป็นอยู่อย่างเอร็ดอร่อยนั่นแหล่ะเป็นความดี ไม่ใช่ดีตามหลักแห่งพระศาสนาเลย มนุษย์ไม่ได้ต้องการความสงบสุขอันแท้จริง ต้องการความสงบสุขเพียงให้เขาได้เป็นอยู่อย่างเอร็ดอร่อยนั่นแหล่ะคือความสงบสุข แล้วมันก็ขัดกันกับที่ว่าถ้าหลงในความเอร็ดอร่อยแล้วมนุษย์ต้องเห็นแก่ตัวแล้วก็เบียดเบียนกัน นั้นความสงบสุขผิวเผินของมนุษย์ในยุคปัจจุบันมันจึงใช้ไม่ได้ มนุษย์ไม่ได้ต้องการสันติภาพเพราะไม่รู้จักสันติภาพ ว่าสันติภาพอันแท้จริงนั้นมันอยู่ในใจที่ไม่มีกิเลสรบกวน ถ้ากิเลสครอบงำจิตใจแล้วไม่มีสันติภาพ กิเลสรบกวนแล้วมันก็จะออกมาข้างนอก แล้วทำให้มนุษย์เบียดเบียนผู้อื่นจนโลกนี้เป็นไปด้วยสงครามไม่มีสันติภาพ สงครามนี้มันมาจากความโง่เขลา ความเข้าใจผิด หรืออวิชชาที่อยู่ในใจของมนุษย์มันออกมา มันเห็นแต่จะเป็นอยู่อย่างเอร็ดอร่อยและมันก็อยากจะครองโลกทั้งหมด เพื่อรวบรวมเอาปัจจัยแห่งความเอร็ดอร่อยไว้เป็นของตน แล้วสันติภาพมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไรโดยพฤตินัยแท้ๆ แล้ว มนุษย์ไม่ได้ต้องการสันติภาพมันพูดแต่ปาก หรือมันพูดแต่โดยนิตินัยว่าเราต้องการ หรือเราควรจะต้องการสันติภาพ เขาจึงมีสำนักสันติภาพ พูดถึงสันติภาพก็พูดแต่เพียงสันติภาพน้ำลายสำหรับพูดเท่านั้นแหล่ะ มันไม่มีการกระทำที่แท้จริงเพื่อสันติภาพเลย ที่นี้เราจึงถือว่ามนุษย์มีปัญหาตรงที่ไม่รู้จักต้องการสิ่งที่ควรจะต้องการ มันต้องการคำพูดคำเดียวกันแต่ความหมายมันไปต่างกันเสีย
อ้าว,ที่นี้ก็ดูต่อไปว่าทำไมมนุษย์จึงไม่รู้จักต้องการความดี ความสงบสุข หรือสันติภาพ ไปต้องการแต่ความปลอดภัย แล้วก็ความเป็นอยู่อย่างเอร็ดอร่อยนี่ก็เพราะว่ามนุษย์มีแต่อวิชชามีความรู้ผิด โง่ หลงไปว่ามนุษย์ควรจะต้องการอะไร หรือเขาไม่รู้มากไปกว่านั้นคือ ไม่รู้ว่ามนุษย์นี้คืออะไร ท่านทั้งหลายทุกคนที่นี่ลองตั้งปัญหาถามตัวเองดูว่ามนุษย์นี่มันคืออะไร หรือว่ามนุษย์นี่มันเกิดมาทำไม เป็นมนุษย์กันทำไมก็ได้ ถ้าตอบปัญหานี้ได้ถูกต้องแล้วปัญหาอื่นๆ จะหายไปเกือบหมด เดี๋ยวนี้เราก็มืดหรืองงอยู่ในข้อที่ว่า มนุษย์นี้มันคืออะไร มนุษย์นี่เกิดมาทำไม ไอ้ธรรมะนี่มันตอบปัญหานี้ได้แต่คนก็ไม่ค่อยจะสนใจ มนุษย์คือสัตว์ที่มันสูงสุดด้วยธรรมะ ถ้ามันไม่มีธรรมะมันก็เท่ากับสัตว์เดรัจฉาน เดี๋ยวนี้มีธรรมะทำความเป็นมนุษย์ มนุษย์ก็แปลกกว่าสัตว์เดรัจฉานพอเอาธรรมะออกไปเสีย มนุษย์ก็เท่ากับสัตว์เดรัจฉาน ดังนั้นเมื่อถามว่ามนุษย์คืออะไร มนุษย์ก็คือสัตว์ที่สามารถจะมีธรรมะเป็นสัตว์สูงสุดมีค่าที่สุด มีความดีที่สุด มีประโยชน์แก่กันและกันมากที่สุด และที่สำคัญที่สุด ก็คือมีความสงบสุขอยู่ในภายใน เพราะว่าใจของเขาสูงด้วยธรรมะจนกิเลสท่วมทับไม่ได้ มันก็ไม่มีความทุกข์ ดังนั้นข้อแรกก็คือความสุขที่แท้จริงอยู่ในจิตใจของมนุษย์ และความเป็นมนุษย์นั้นก็เป็นประโยชน์แก่กันและกันรอบด้านไม่มีความเห็นแก่ตัว จำไว้สั้นๆ ว่าความสุขและความเป็นประโยชน์รอบด้าน เราต้องการเพียงเท่านี้พอหรือไม่ ทุกคนลองคิดดูเถอะว่าเรามีความสุขไม่มีความทุกข์ทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณและความเป็นมนุษย์เป็นอยู่ของเรานี้เป็นประโยชน์แก่กันและกันรอบด้านเท่านี้พอไหม พอสำหรับเราไหม ถ้าต้องการมากกว่านี้ไปมันจะเป็นบ้าไหม หรือว่าพอสำหรับโลกทั้งหมดไหม ถ้าทุกคนมีความสุขและเป็นประโยชน์แก่กันและกันโดยรอบด้านตามหลักของธรรมะถือว่ามันพอ เขาจึงวางหลักไว้เพียงเท่านี้ เป็นประโยชน์สุขทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นมันก็พอแล้ว เดี๋ยวนี้มนุษย์ไม่รู้ว่ามนุษย์เองคืออะไร เกิดมาทำไม เราควรจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้นั้นคืออะไร คือเงินทอง ข้าวของ อำนาจ วาสนา ความเป็นอยู่อย่างเอร็ดอร่อยนั้นหรือ คิดดูให้ดีแล้วมันก็สั่นหัว มันยังไม่ใช่ความสงบสุข มันยิ่งเห็นแก่ตัว มันยิ่งเบียดเบียนกัน เพราะนั้นจึงต้องเลยไปถึงว่าเป็นสุข ไม่มีปัญหาในจิตใจที่เกี่ยวกับความทุกข์อันมาจากกิเลสแล้วก็มีการเป็นอยู่ชนิดที่เป็นประโยชน์แก่คนรอบด้าน คนที่แวดล้อมเราอยู่ เพื่อนมนุษย์ที่แวดล้อมเราอยู่ โลกที่แวดล้อมเรา อยู่ก็ได้รับประโยชน์จากเรา ทำไมต้องนึกถึงคนอื่น เพราะไม่มีใครอาจจะเป็นอยู่ได้คนเดียวในโลก ไม่อาจจะเป็นอยู่ได้โดยการไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมีความเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย เราไม่รู้จักความเป็นมนุษย์จึงไม่รู้จักต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ ก็สนใจแต่เรื่องความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง นี่เป็นคำหยาบคายมากในทางศาสนา ถ้าพูดว่ามันเห็นแก่ความสุข สนุกสนานทางเนื้อหนัง นี่ก็เป็นคำด่าที่เจ็บปวดมาก แต่เดี๋ยวนี้ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้สึกเจ็บปวดเมื่อได้ยินคำอย่างนี้ เขาไม่รู้จักอะไรนอกไปจากเป็นอยู่อย่างเอร็ดอร่อยเขาก็มุ่งหมายอยู่ที่นั่น การเรียนก็ดี การงานก็ดี การก้าวหน้าขวนขวายอะไรก็ดี มันมุ่งอยู่แต่ความเอร็ดอร่อย ความเป็นอยู่อย่างเอร็ดอร่อย ที่เราเรียกกันว่าโลกในสมัยวัตถุนิยม อ้าว,ที่นี้เราดูต่อไปเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วผลอะไรมันจะเกิดขึ้น มันก็คือความเห็นแก่ตัว คนเมาความเป็นอยู่อย่างเอร็ดอร่อยนี้ ผลก็คือ ความเห็นแก่ตัว ความเลวร้ายอีกมากมายที่ออกมาจากความเห็นแก่ตัว อาชญากรรมทุกชนิด อาชญากรรมของบุคคลระหว่างบุคคล อาชญากรรมระหว่างสังคม อาชญากรรมระหว่างประเทศ คือสงคราม นี่ นี่ผลเกิดมาจากการที่มนุษย์ไม่รู้จักต้องการสิ่งที่ควรจะต้องการ มนุษย์มองเห็นอาชญากรรมส่วนบุคคล ส่วนสังคม ส่วนสงครามของโลก เห็นแล้วก็กลัวก็เกลียดทั้งนั้นแหละ ที่นี้มันรู้จักเกลียดรู้จักกลัวไอ้สิ่งที่ตนทำขึ้นเอง สร้างขึ้นเอง อยากจะไม่เป็นอย่างนั้น อยากจะไม่มีอาชญากรรม ไม่มีเบียดเบียน แต่เขาก็ไม่ยอมทำลายความเห็นแก่ตัว เขาไม่รู้จักโทษของความเห็นแก่ตัว ไม่ได้พยายามทำลายความเห็นแก่ตัว จึงไม่สามารถจะหยุดไอ้สิ่งเลวร้ายในโลกนี้ได้ เขามองแต่ปลายเหตุ ไม่กำจัดปัญหาต้นเหตุ เพราะว่ามันเมฆหมอกแห่งความเห็นแก่ตัวบังมิดเลย ความเห็นแก่ตัวนี่เหมือนกับควันดำหรือเมฆดำบังมิดเลย ไม่เห็นอะไรตามที่เป็นจริง แม้มนุษย์ต้องการจะพ้นจากสิ่งเลวร้ายมันก็พ้นไม่ได้ เพราะมันมีอวิชชาเมฆหมอกนี้บังเสียไม่ให้รู้ว่าต้นเหตุที่แท้จริงแห่งความเลวร้ายนั้นมันคืออะไร เขาจึงไม่พบและแก้ไขไม่ได้ แต่ก็เห็นได้ว่ามนุษย์กลัวก็พยายามแก้มันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มันไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมันไม่รู้ว่า ไอ้ปัญหาทุกชนิด ไอ้ความเลวร้ายทุกชนิดนั้น มันมีมูลมาจากปัญหาแห่งความขาดศีลธรรม ความขาดธรรมะ ความขาดศีลธรรม ความขาดสัมมาทิฐิ ในศีลธรรม ของศีลธรรม เขาไม่มองสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม ไม่รู้จักศีลธรรม มองแต่ความเป็นอยู่อย่างเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังอย่างเดียว เมื่อมีอะไรมาขัดขวางอันนี้เขาก็กลัวเขาก็เสียใจ เขาก็ต้องการจะแก้ไข แต่แล้วก็แก้ไขไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าจะแก้ไขที่ต้นเหตุที่ตรงไหนมนุษย์พยายามแก้ปัญหาไม่ได้เพราะตามันจ่ออยู่แต่ที่ความเป็นอยู่อย่างเอร็ดอร่อย ทางเนื้อหนัง ไม่มองลึกลงไปว่าอันนั้นแหละเป็นต้นเหตุทำให้เกิดความเห็นแก่ตัวแล้วก็เบียดเบียนกันทั่ว ไปหมดทั้งโลก เดี๋ยวนี้มนุษย์ก็ได้พยามแก้ไขด้วยความโง่เขลา มนุษย์พยายามแก้ไขโลกด้วยความโง่เขลาเราพูดหยาบไปหรือยังไงก็ไปคิดดูเอาเองอาตมาจำเป็นจะต้องพูดตามความรู้สึกเสมอ ว่ามนุษย์กำลังแก้ไขโลกด้วยความโง่เขลา ไม่รู้ต้นเหตุอันแท้จริง ความถูกต้องมันก็ไม่เกิดขึ้น มนุษย์ต้องสูญเสียเงินเป็นอันมาก สูญเสียทรัพยากรเป็นอันมาก สูญเสียชีวิตเป็นอันมากในการสงครามในการอะไรต่างๆ ตลอดเวลามาจนถึงบัดนี้ มนุษย์สูญเสียชีวิต สูญเสียเรี่ยวแรง สูญเสียทรัพยากร สูญเสียทุกอย่างแล้วก็แก้ปัญหาไม่ได้ นี่ผลของความโง่มันกำลังครอบงำโลกอยู่อย่างนี้ ก็ดูสิเดี๋ยวนี้เขากำลังต้องลงทุนอะไรกันละ ลงทุนเพื่อสงครามนั้นมันสักเท่าไหร่ จนน้ำมันมันจะหมดแผ่นดินแล้ว จนโลหะธาตุทั้งหลายก็จะหมดแผ่นดินอยู่แล้ว มนุษย์ก็แก้ปัญหาของโลกไม่ได้ แล้วมันก็จะเป็นโลกที่ว่างเปล่าจากของที่มีค่า มันก็คือความวินาศเท่านั้นเอง นี่คือปัญหาของมนุษย์ที่ใหญ่ท่วมโลก
อ้าว,ที่นี้อะไรคือบาป ที่ทำให้มนุษย์ต้องเป็นอย่างนี้ ในกรณีนี้อะไรคือบาป อะไรคือบาปของมนุษย์ มนุษย์กำลังมีบาปด้วยไม่รู้สึกตัวอะไรคือบาปนั้น เรามาขอร้องให้ท่านทั้งหลายทุกคนตั้งต้นศึกษาวิวัฒนาการกันใหม่ว่ามนุษย์นี่แยกตัวมาจากสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานแยกตัวมาจากพืช พืชก็แยกตัวมาจากวัตถุธาตุตามธรรมดาที่ยังไม่มีชีวิต ก็แปลว่าชีวิตมันตั้งต้นเป็นพืช เป็นสัตว์ แล้วก็เป็นคน ดูส่วนที่มันแตกต่างกัน ก็คือส่วนที่เรียกว่า มันสมองหรือจิตใจนั่นเอง สัตว์มีมันสมองตามธรรมชาติรู้อะไรเพียงสัญชาติญาณ แต่มนุษย์กระโดดไกลไปกว่านั้นมี ภาวิตญาณ(นาทีที่ 47.32) ถ้าไม่เคยได้ยินก็จำว่ามันเรียกง่ายๆ ว่า ภาวิตญาณ คือญาณที่เรา ความรู้ที่เราสร้างมันขึ้นมา ทำให้มันมีขึ้นมาเรียกว่า ภาวิตญาณ ถ้าเท่าที่สัตว์เขามีอยู่ตามธรรมชาติเรา เรียกว่า สัญชาติญาณ แปลว่า มันเกิดเอง สัญชาติ แปลว่ามันเกิดเอง ไอ้ภาวิตะนี้แปลว่า ทำให้มีขึ้นมา ด้วยฝีไม้ลายมือของเรา มนุษย์มันมีมันสมองที่เป็นภาวิตญาณ คือก้าวหน้าได้ ก้าวหน้าได้ ก้าวหน้าได้ จนไกลจากสัตว์เดรัจฉานอย่างที่จะเปรียบเทียบกันไม่ได้ มนุษย์จะมีภาวิตญาณเท่าไหร่ๆ มันก็ไม่เคยใช้ไปในทางที่ถูกต้อง จนกระทั่งว่ามนุษย์เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ว่ามนุษย์นี่คืออะไร มนุษย์มีภาวิตญาณมากมาย มาหลายพันปีก็ได้ ก็ไม่รู้ว่ามนุษย์นี้คืออะไร มนุษย์นี้เกิดมาทำไม ถ้าเขาไม่ได้ศึกษาธรรมะ และถ้าเขาไปอ่านหรือศึกษาธรรมะว่ามนุษย์คืออะไรเกิดมาทำไมเขาก็ไม่เชื่อ เพราะเขาต้องการแต่ความเป็นอยู่อย่างเอร็ดร่อยทางเนื้อทางหนัง เมื่อธรรมะมันบอกไปในทางอะไรที่มันตรงกันข้าม เป็นความสงบ ดีเกินไปเขาไม่ต้องการ เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ที่นี้เขาก็ใช้ไอ้ ไอ้ความเฉลียวฉลาดของมันสมองแห่งมนุษย์ยุคหลังๆนี่ เพื่อประโยชน์แก่ความเป็นอยู่อย่างเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งขึ้นไปอีก ความยิ่งขึ้นไปอีกนี่มันเหมือนกับชักใยพันตัวเองแล้วก็จุดไฟเผา สมน้ำหน้ามัน เอาเชื้อเพลิงมาสุมๆ เข้ารอบตัวแล้วจุดไฟเผามันจะสักเท่าไร มันจะมีความหมายสักเท่าไร มนุษย์มันก้าวหน้าไปในทางวัตถุเพื่อหล่อเลี้ยงกิเลสของตน ทุกคนจงไปดูให้ดีว่าความก้าวหน้าทางวัตถุนั้นมันหล่อเลี้ยงอะไร มันหล่อเลี้ยงธรรมะ หล่อเลี้ยงความถูกต้องของธรรมะ หรือว่าหล่อเลี้ยงกิเลสของคน ความก้าวหน้าทางวัตถุที่เรามีกันอยู่เดี๋ยวนี้ และยิ่งมีมากขึ้นนี้มันหล่อเลี้ยงอะไร มันก็ส่งเสริมกิเลสของคนให้เอร็ดอร่อยทางวัตถุทางเนื้อหนังมากขึ้น แล้วมนุษย์ก็บูชา บูชา ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังนี่ บูชาแทนธรรมะ แทนที่จะบูชาธรรมะ มาบูชาไอ้ความก้าวหน้าทางวัตถุ แทนที่จะบูชาพระเป็นเจ้า มันก็ไม่บูชาพระเป็นเจ้ามันเอาไอ้ความเอร็ดอร่อยทางวัตถุนี้แหละเป็นพระเจ้าเสีย ถอดพระเจ้าองค์โน้นออกเสีย แล้วเอาพระเจ้าองค์นี้ใส่เข้าไปแทน คือได้เป็นอยู่อย่างเป็นสุข สนุกสนานเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง
ที่นี้มันเป็นอย่างไร มันก็เห็นแก่ตัวจนสุดเหวี่ยงสิคุณคิดดู ก่อนนี้มันไม่เห็นแก่ตัวมากมาย พอไปบูชาความก้าวหน้าเอร็ดอร่อยขนาดสูงสุด มันก็เห็นแก่ตัวสูงสุด จนมนุษย์ไม่มีธรรมะได้ มีธรรมะไม่ได้ ที่เคยมีอยู่บ้างก็หมดไป สมัยก่อนคนถือศาสนากันมากกว่าเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ก็ถือแต่ปากเอาไว้เป็นประกอบพิธี ธรรมะก็หายไป ศีลธรรมก็หายไป เพราะมัวมาบูชาไอ้ความก้าวหน้าทางวัตถุเป็นพระเจ้า นี่ปรากฏการณ์ออกมาอย่างน่าเวทนาที่สุด คือคนที่เป็นมนุษย์เดี๋ยวนี้ ปวดหัวมากขึ้น มนุษย์เดี๋ยวนี้นอนไม่หลับมากขึ้น มนุษย์เดี๋ยวนี้เป็นโรคประสาทมากขึ้น มนุษย์เดี๋ยวนี้เป็นโรคจิตมากขึ้น ใครที่นั่งอยู่ที่นี่รู้สึกตัวว่าเป็นโรคประสาทหรือเปล่า ใครนอนหลับสบายดีทุกคืน ใครไม่เคยปวดหัวเลย คงจะไม่มีใครยกมือก็ได้ ไม่มีใครเคยปวดหัวเลย เดี๋ยวนี้มนุษย์ต้องผลิตไอ้ยาปวดหัวนี่ขึ้นเป็นตันตันเป็นร้อยตัน พันตันแล้วในโลกนี้ ขายก็ยังจะไม่ค่อยพอ ยานอนหลับก็ต้องผลิตกันขึ้นมาเป็นตันตัน สำหรับแจกคนในโลกนี้ หมอเขายืนยันว่าไอ้โรคประสาท โรคจิต กำลังเพิ่มขึ้น ให้รู้ไว้ด้วยว่ามันกำลังเพิ่มขึ้นนี่มันละอายแก่สัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานไม่ปวดหัว ยังนอนหลับ ยังไม่รู้จักโรคประสาท หรือโรคจิต มนุษย์ได้รับผลตอบแทนของการที่ทำทารุณแก่ธรรมะ ถอดธรรมะ ถอดพระเจ้า ออกไปเสียจากความเป็นที่พึ่ง มาเอาวิชาความรู้เพื่อเอร็ดอร่อยทางวัตถุนี่มาแทน มันก็ได้ผลอย่างนี้ เห็นแก่ตัวมากขึ้น ความเป็นอันธพาลก็มากขึ้น ความเบียดเบียนมันก็มากขึ้น จนกลายเป็นโรคแห่งความหวาดระแวง หรือความกลัว เดี๋ยวนี้เราอยู่ด้วยความหวาดระแวงและความกลัวไม่ปลอดภัยแก่ชีวิต ร่างกาย อย่างน้อยก็หวาดระแวงว่าจะไม่มีอะไรสนุกสนานเอร็ดอร่อย หรือจะกลัวกันอย่างนี้เสียหมดแล้วว่าจะไม่มีอะไรสำหรับสนุกสนานเอร็ดอร่อย นี่ก็เป็นความทรมานอย่างยิ่ง ทรมานแก่ดวงจิต ดวงวิญญาณอย่างยิ่ง สัตว์เดรัจฉานมันไม่เป็น ไก่มันขันเอ้ก เอ้ก หัวเราะพวกเราอยู่นั่น ไก่มันไม่เคยปวดหัว ไม่เคยนอนไม่หลับ ไม่เคยเป็นโรคประสาท ไม่เคยเป็นโรคจิต แต่เรากำลังเป็นมากขึ้นทุกที นี่ดูวิวัฒนาการทางสติปัญญาทางมันสมองของมนุษย์ มันแยกไกลจากสัตว์อย่างไล่กันไม่ทัน แต่แล้วเราเอามาใช้อย่างไร สติปัญญามันสมองนี่มาใช้อย่างไร เอามาใช้อย่างที่ทำให้เราปวดหัว นอนไม่หลับ เป็นโรคประสาท เป็นโรคจิต มากขึ้น นี่ดูวัฒนาการของมนุษย์ที่เป็นมาตามอวิชชา ปราศจากธรรมะแล้ววิวัฒนาการมันเป็นอย่างนี้ มันต้องประสบปัญหาที่ไม่เคยมีมาแต่ก่อน มันเกิดปัญหาใหม่ แล้วก็แก้ไม่ได้เพราะไม่มีธรรมะสำหรับจะแก้ ปัญหาได้เกิดขึ้นเพราะไม่มีธรรมะ เกิดขึ้นแล้วแก้ไม่ได้ เพราะไม่มีธรรมะที่จะแก้ ไอ้สัตว์เดรัจฉานไม่มีปัญหาเหล่านี้เลย ปัญหาท่วมฟ้า ท่วมจักรวาลของมนุษย์นี้ มันมีแต่มนุษย์เท่านั้น สัตว์มันยังไม่มี ต้นไม้มันยิ่งไม่มี ต้นไม้ยังสงบดีกว่าสัตว์ สัตว์ยังสงบดีกว่าคน คนในที่นี้หมายถึงมนุษย์ที่ไม่มีธรรมะเรียกว่าคน ไม่รู้เรื่องของธรรมะ เราจะเป็นมนุษย์หรือเป็นคน นี่ขอให้คิดดูมากๆ ว่าอาตมาพูดถึงเรื่องว่าเป็นคนนั้นอย่างหนึ่งนะ เป็นมนุษย์นั้นอย่างหนึ่งนะ พวกฝ่ายซ้ายเขาด่าเอา ว่าแยก แยกคน แยกสัตว์ แยกชนชั้น แยกชั้น มันจริงอย่างยิ่ง คนมันยังไม่ถึงมนุษย์ มนุษย์มันสูงกว่าคน มันดีกว่าคน อย่าเห็นเป็นการแยกชั้นวรรณะอะไร แล้ววางตัวให้เป็นมนุษย์ให้ได้ในที่สุด มนุษย์ต้องมีบาปเพราะว่าใช้ภาวิตญาณผิด มีญาณดีกว่าสัญชาตญาณแล้วเอามันมาใช้ผิด ใช้ชนิดที่ชักใยพันตัวเองแล้วจุดไฟเผา คือความหลงบูชาวัตถุ ความสุขทางวัตถุ ความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ จนหายใจเป็นเรื่องนี้ ไม่ได้หายใจเป็นความดี ความงาม ความยุติธรรม ความสงบสุข สันติภาพอะไรเลย นี่ดูปัญหาของมนุษย์ซิมันก้าวมาอย่างนี้
ที่นี้ไอ้สิ่งที่มันจะแก้ปัญหาได้ก็คือตรงกันข้ามแหละ ความมีธรรมะ คือมีสัมมาทิฐิ ความรู้ ความเห็น ความเชื่อ ความเข้าใจถูกต้องในเรื่องเกี่ยวกับธรรมะ อันนี้กลับมามนุษย์ก็เปลี่ยนกระแสไม่เดินไปในทางที่จะสุมเผาตัวเองให้เป็นทุกข์ มันปลดปล่อย ใช้คำไอ้ฝ่ายซ้ายว่าปลดปล่อย มนุษย์ก็ปลดปล่อยตัวเองออกมาซะได้จากความเป็นทุกข์ ไม่ผูกพันอยู่กับความทุกข์ เพราะมีสัมมาทิฐิในธรรมะนั่นเองสัมมาทิฐิ ความรู้ความเห็น ความคิดนึก ความเชื่อ ความเข้าใจอะไรมันถูกต้องไปหมดนี่เรียกว่าสัมมาทิฐิ เราจะต้องมีสัมมาทิฐิในข้อนี้ คือเห็นว่าวิวัฒนาการทางมันสมองของเราถูกใช้ไปผิดๆ ด้วยความโง่ของเรา เดือดร้อนกันทั้งโลก เราใช้มันผิด เราพัฒนาเหยื่อให้แก่กิเลสอย่างเดียว สติปัญญาความรู้ความสามารถของเราใช้ไปในการพัฒนาเหยื่อให้แก่กิเลสอย่างเดียว ความโลภก็มากขึ้น ความโกรธก็มากขึ้น ความโง่ก็มากขึ้น เพราะขาดสัมมาทิฐิในทางของธรรมะ เราก็ไม่เห็นสำนึกว่าเราทำผิดแล้วเรากลับเห็นว่านี่ถูก นี่ถูก ต้องการให้มันมีมากขึ้นแล้วก็แข่งขันกันทำ เดี๋ยวนี้เรากำลังแข่งขันกันผลิตวัตถุให้เป็นเหยื่อแก่กิเลสของเรามากขึ้น จนเขาตั้งบริษัทใหญ่ๆ ผลิตออกขายแทบไม่ทัน ในเรื่องอะไรสวยๆ งามๆ เอร็ดอร่อยนี่ กระทั่งอาหาร การกิน การแต่งตัว การเป็นอยู่นี่ เดี๋ยวนี้เรากำลังมุ่งที่จะให้สวยให้งามให้เอร็ดอร่อยให้มากให้อะไรไม่มีขีดจำกัด เราใช้เครื่องแต่งกายชนิดที่นิยมกันว่าสวย อาหารที่อร่อยที่แพงอย่างไม่น่าเชื่อ อยากมีบ้านหลายบ้าน มีรถยนต์หลายคัน มีอะไรอีกมากมาย ซึ่งอีกหลายๆ ชาติก็ดูจะทำให้เต็มตามนั้นยังไม่ได้ แต่เราก็ยังต้องการอยู่ นี่เป็นมิจฉาทิฐิอย่างนี้ ไอ้พวกที่ผลิตของมายั่วยวนมาหลอกให้คนหลง มันก็ผลิต ผลิตด้วยเครื่องจักรมหาศาลที่เรียกว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในโลกเดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรนอกจากผลิตของหลอกลวงมนุษย์ให้จมอยู่ในกองทุกข์ทั้งนั้น อย่าไปบูชาเทคโนโลยีที่ใช้ไปในทางอย่างนี้กันนัก หันไอ้เข็มของเทคโนโลยีไปในทางของสันติภาพกันเสียใหม่ เรากำลังตกเป็นเหยื่อของความหลอกลวงของอวิชชาของเราเอง เรามีกิเลสหลอกลวงเราเอง เราก็มีตกเป็นเหยื่อของกิเลสมาก แล้วเราก็เข้าใจผิดว่าไอ้ความเจริญทางผลิตวัตถุขึ้นสุมเผามนุษย์นี้เป็นอารยธรรม เป็น civilization ไอ้ civilization ฟังดูก็เพราะดีนะ ทุกคนก็อยากหวัง ถ้าใครด่าว่ามึงไม่ civilize หละก็โกรธมาก จะไปดูกันที่ความ civilize มันโง่ชนิดที่เรียกว่าขุดหลุมฝังตัวเองทีเดียว เขาเจริญในทางผลิตวัตถุเพื่อจะกักเราไว้ในกองทุกข์นี่คืออารยธรรม นี่เราก็เป็นทาสอารยธรรมเนื้อหนังนี่หมด อารยธรรมนี้ก็ทำลายศีลธรรมหมด ทำลายภูมิธรรมแห่งความเป็นมนุษย์หมด เราจึงไม่เป็นมนุษย์เหลือแต่คน พูดทางภาษาธรรมก็ว่าไม่นุ่งผ้ากันแล้ว จิตใจของมนุษย์เหมือนกับไม่นุ่งผ้ากันอยู่แล้ว เพราะมันเต็มไปด้วยอารยธรรมแห่งวัตถุ ไม่มีอารยธรรมวิญญาณ ไม่มีภูมิธรรมหรือมนุษยธรรมนั่นเอง แต่พวกนั้นเขาก็อวดนักนะว่าเขากำลังช่วยโลกให้มันดีขึ้น มีอารยธรรม มีอะไร เป็นอารยธรรมทำลายภูมิธรรมของมนุษย์ มันมีแต่อารยธรรมที่ทำลายภูมิธรรมของมนุษย์ มนุษย์ก็หมดความเป็นมนุษย์ด้วยความมีอารยธรรมสมัยใหม่ มนุษย์บูชาเนื้อหนังยิ่งขึ้นเท่าไรตามความหมายของอารยธรรมสมัยใหม่ มนุษย์ก็หมดความเป็นมนุษย์ ไม่มีความหมายแห่งคำว่ามนุษย์ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความเป็นมนุษย์ เขาไม่มีมนุษยธรรม เอาข้าวไปให้พวกกัมพูชาชายแดนกินนั้นเรียกว่ามนุษยธรรมนั้นมันขี้ผง มนุษยธรรมมันมากกว่านั้นมาก มันต้องมีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง จนมนุษย์ไม่มีความทุกข์จึงจะเรียกว่ามนุษยธรรม ไม่บูชาอารยธรรมที่ทำให้เกิดเหตุเลวร้าย เช่น สงคราม แล้วมาช่วยกันนิดหน่อยเรียกว่ามีมนุษยธรรมนี่ไม่เป็นธรรมแก่พระธรรม ไม่เป็นธรรมแก่พระเจ้า ไม่เป็นธรรมแก่พระศาสนา เราต้องมีมนุษยธรรมที่จริงเต็มตามความหมายของคำว่ามนุษย์ คือมีจิตใจสูงอยู่เหนือปัญหาและเหนือความทุกข์ทั้งมวล เดี๋ยวนี้มนุษย์มาบูชาอารยธรรมเนื้อหนัง เห็นแก่ตัวจัด หรือว่าพออร่อยในวัฒนธรรมเนื้อหนังก็หิวทางจิตจัด นี่เป็นมนุษย์เปรต เขาเรียกว่ามนุสสเปโต มีคำใช้ในภาษาบาลีมนุสสเปโต นั่นมันก็โง่เห็นแก่ตัวมากมันก็เป็น มนุสสติรัจฉาโน คำนี้ไม่ใช่อาตมาว่าเอาเอง มันมีอยู่ในบาลี มนุสสเปโต มันหิวเหลือประมาณ มนุสสติรัจฉาโน มันก็โง่เหลือประมาณ มันชักใยพันตัวเองแล้วเอาไฟสุม นี่มนุสสติรัจฉาโน มันได้เกิดขึ้นแล้วจริง ตามคำที่เขาได้ว่าไว้ นี่ไอ้ความเลวร้ายนี้ก็มาครอบงำมนุษย์เอง เป็นอัตโนมัติเลยไม่ต้องมีใครมาช่วยทำให้ มนุษย์ทำเอาเอง แล้วมันก็เป็นไปมาก เป็นไปสุดเหวี่ยง เราก็เลยหมดหวังในสันติภาพอันถาวร เรามีแต่วิกฤตการณ์อันถาวร อาตมาอยากจะอ้างลิขสิทธิ์หน่อยนะว่าคำนี้อาตมาพูดเป็นคำแรกก่อนใครๆ นะว่าวิกฤตการณ์อันถาวรนี่ พอพูดออกมาครั้งแรกอาจารย์สัญญาเขาชอบมากเขาไปพูดต่อ ว่าเพิ่งได้ยินคำว่าวิกฤตการณ์อันถาวร เมื่อก่อนนี้เราได้ยินแต่คำว่าสันติภาพอันถาวร แล้วมาพูดคำขึ้นมาใหม่เป็นตรงกันข้ามกับเขาว่า วิกฤตการณ์อันถาวร ที่กำลังมีอยู่แก่พวกท่านทั้งหลายทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ และที่ไม่ได้มาที่นี่ ท่านมีวิกฤตการณ์อันถาวรไม่รู้สิ้นสุดในเรื่องของบ้านเรือนของชีวิตจิตใจ ในเรื่องทุกเรื่องมันมีวิกฤตการณ์อันถาวร ขอฝากไว้ด้วยว่าช่วยเกลียดมันให้มากๆ ช่วยกลัวมันให้มากๆ ช่วยขับไล่ไสส่งออกไปให้หมดจากความเป็นมนุษย์ของเรา นี่เรากำลังมีบาปกำลังเป็นคนบาป กำลังรับบาป แห่งวิวัฒนาการที่มันเดินไปผิดทาง ความได้เป็นมนุษย์นี่เลวเสียแล้ว ความได้เป็นมนุษย์นี่เป็นบาปเสียแล้วเห็นไหม มันไม่น่าเป็นบุญไม่เป็นที่น่าชื่นใจ ความได้เป็นมนุษย์นี่มันกลายเป็นของเลว กลายเป็นของบาปโดยที่มันมีวิกฤตการณ์อันถาวร ทุกคนละเมอๆ ว่าได้เป็นมนุษย์นี่ดี ได้เป็นมนุษย์นี่เป็นของประเสริฐที่สุด แต่ไม่ดูว่าไอ้ที่เท็จจริง ข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างไร โดยพฤตินัยเขาพูดว่าเป็นมนุษย์นี่ได้บุญ ได้กุศลได้โชคดีได้อะไรที่สุด แต่โดยพฤตินัยแล้วมันตรงกันข้าม มนุษย์เต็มไปด้วยวิกฤตการณ์อันถาวร แล้วอะไรจะมาชำระชะล้างอันนี้ออกไปได้มีอย่างเดียวคือ ธรรมะ
เพราะฉะนั้นการที่ท่านทั้งหลายมาสนใจธรรมะนี่นับว่ามันถูกเรื่องถูกราวไปหมดแล้ว ถูกเรื่องของความเป็นมนุษย์ ถูกเรื่องของเหตุการณ์ในอดีต อนาคต ปัจจุบันและอนาคต เราจะแก้ปัญหาที่อดีตได้สร้างขึ้นมาให้ได้ในปัจจุบัน แล้วจะป้องกันปัญหาอันจะเกิดในอนาคตได้ นี่ธรรมะจะป้องกันความเลวร้าย ทั้งอดีต ทั้งอนาคต และทั้งปัจจุบัน ขอให้เราสนใจในสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ เอาธรรมะมาควบคุมวิวัฒนาการ อย่างที่พูดว่าไอ้ธรรมะคือระบบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ท่านมีธรรมะ มุ่งหมายธรรมะในลักษณะอย่างนี้ แล้วก็ทำให้มันมีขึ้นมา การที่อุตส่าห์มาทำความเข้าใจ มาศึกษาด้วยความยากลำบากอย่างนี้อย่างเดี๋ยวนี้ ก็ขอให้มันมีผลคุ้มค่า หรือขอให้มันมีผลเกินค่า คือท่านทั้งหลายสามารถมีธรรมะที่จะขจัดปัญหาได้จริง แล้วเราก็จะไม่ถูกตำหนิติเตียนว่าเป็นคนโง่ เราก็ทำอย่างฉลาดที่สุดแล้วสำหรับมนุษย์ที่ว่าควรจะทำอย่างไร คือการเอาธรรมะมาเป็นที่พึ่งให้ได้
นี่เป็นอันว่าอาตมาก็ได้กล่าวมาพอสมควรแล้ว สำหรับหัวข้อการบรรยายที่ว่า ธรรมะจำเป็นอย่างไร หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นพอสมควรแล้วว่า ธรรมะจำเป็นอย่างไร ทำไมเราจึงมาสนใจศึกษาธรรมะแล้วจะเอาไปปฏิบัติให้ธรรมะทำความเป็นมนุษย์ของเราให้เป็นมนุษย์ที่ถูกต้องคือความสุขสงบเย็นเป็นมนุษย์ แล้ววิวัฒนาการก็จะเป็นไปในทางดี ทางถูก ทางจริง ทางสูง มนุษย์ก็จะอยู่เหนือปัญหาทั้งหมด ปัญหาของมนุษย์จะสิ้นสุดลงเพราะเหตุนี้
การบรรยายนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว อาตมาขอยุติการบรรยายด้วยความหวังหรือฝากความหวังไว้แก่ท่านทั้งหลายว่า คงจะสามารถแก้ปัญหาแห่งความเป็นมนุษย์ของตนได้ จงทุกๆ คน และมีความสุขอยู่ในหน้าที่การงาน ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น เป็นสุขกันอยู่ทุกๆ ฝ่าย ทุกทิพาราตรีกาล เทอญ