แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มาร่วมกันบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ในวันนี้ ในสถานที่นี้ทั้งหลาย อาตมาก็ขอแสดงความยินดีในเบื้องต้นในการมาของท่านทั้งหลาย มีความรู้สึกว่าทุกคนควรจะได้ปรับปรุงทุกสิ่งทุกอย่างให้เหมาะสมกับที่ว่าจะขึ้นปีใหม่ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงวันที่เราสมมติกันว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ ควรจะเตรียมตัวกันอย่างไรให้การขึ้นปีใหม่นั้นมีความหมาย ขอได้ทำในใจแยบคายเพื่อสำเร็จประโยชน์ตามนั้นเถิด การขึ้นปีใหม่ก็บอกอยู่แล้วว่าไม่ใช่ปีเก่า เพราะฉะนั้นมันไม่ต้องเป็นการซ้ำรอยหรือย่ำเท้าอยู่ในที่เดียว ขอให้มันก้าวหน้าไป ก้าวหน้าไปอย่าให้เป็นอันว่ามันเป็นวงๆ วงๆซ้ำรอยอยู่ที่นี่ เหมือนกับเคยเปรียบว่าไอ้เชือกล่ามควายที่เขาขดเป็นวงๆ แล้วก็เป็นขดอยู่นั่นเอง โยนทิ้งอยู่ที่นั่นเอง มันไม่ยืดยาวออกไปในที่ไหนได้ เดี๋ยวนี้เราต้องการจะให้มันยืดยาวออกไป เหมือนกับว่าหลักปักข้างหนทาง บอกความยาวของถนนเป็นกิโลเมตรๆติดต่อกันไป มันก็ไปได้เรื่อยๆจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง ขอให้การขึ้นปีใหม่ของเราอย่าได้เป็นเหมือนกับเชือกล่ามควาย เราจะกลายเป็นควายกันเสียหมด ค่อยเป็นเหมือนกับว่าหลักกิโลเมตรที่มันไกลออกไป ไกลออกไปเพิ่มมากขึ้น เราก็จะเป็นผู้เดินทาง ซึ่งเป็นความหมายในพระพุทธศาสนาคือเดินไปตามมรรคาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ กว่าจะถึงจุดหมายคือพระนิพพาน สำหรับปีนี้อาตมาคิดว่าจะบอกความก้าวหน้าที่มากไปกว่าปีก่อน แล้วก็รวบรัดตัดสั้นยิ่งขึ้นทุกที ให้เป็นของง่ายสำหรับท่านทั้งหลาย ไอ้ความง่ายนี้อยากจะให้ง่ายมากขึ้นทุกอย่างทุกทาง คือว่าจะเป็นการศึกษาก็ให้มันง่าย จะเป็นการปฏิบัติก็ให้มันง่าย การได้รับผลของการปฏิบัติมันก็จะง่ายไปด้วยกัน ข้อนี้ก็คืออยากจะให้ท่านทั้งหลายมีสิ่งที่เรียกว่าหัวใจของพระพุทธศาสนาอยู่กับเนื้อกับตัว เหมือนกับคนที่เขาชอบแขวนพระเครื่องรางทุกคน หลายๆคนเขาชอบเอามาแขวนไว้ที่คอ มาขอกับอาตมาอยู่บ่อยๆ แต่ว่าพระเครื่องรางชนิดนั้นไม่มีให้ จะให้พระเครื่องรางอย่างที่เรามีเขาก็ไม่เอา เราจึงให้กันได้เฉพาะผู้ที่รู้จัก สิ่งที่จะเป็นเครื่องรางที่จะแขวนไว้ที่คอได้ก็ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าหัวใจของพระพุทธศาสนา แต่สิ่งที่เรียกว่าหัวใจของพุทธศาสนานี้ก็ยังไม่เป็นที่ตกลงกัน บางคนชอบอย่างนั้นบางคนชอบอย่างนี้ แต่อาตมาคิดว่ามันควรจะเป็นสิ่งที่กะทัดรัด เหมือนกับว่าพระองค์เล็กๆแขวนไว้ได้ที่คอ สะดวกสบายในที่ทั่วไป อะไรเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา โดยทั่วไปตามที่ได้ศึกษากันมาก็จะระบุไปยังอริยสัจ ๔ ก็มี ๔ ข้อ หรือบางคนก็จะย่นลงมาที่คาถาของพระอัสสชิ เย ธัมมา เหตุ ปัปภวา เตสัง เหตุ ตถาคโต อย่างนี้เป็นต้น มันก็ยังยืดยาว บางคนก็ย่นลงมาเหลือเพียงโอวาทปาติโมกข์ว่า สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง กุสะลัสสูปะสัมปะทา เป็นอาทิ นี้มันก็ยังยาวตั้ง ๔ บรรทัด อาตมาเคยบอกว่าเราเอากันแต่ประโยคสั้นๆประโยคเดียวว่า สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ นี่เป็นประโยคสั้นๆประโยคเดียวว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวงอันใครๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของตน นี่เดี๋ยวนี้ก็รู้สึกว่ามันยาว คงไม่มีใครจะอยากเอาไปแขวนไว้ที่คอเพราะมันยาวรุงรัง ในวันนี้เฉพาะสิ้นปีนี้เพื่อปีหน้า ก็จะบอกหัวใจพระพุทธศาสนาไว้ด้วยคำที่สั้นที่สุด เหมือนกับพระองค์เล็กๆแขวนไว้ได้ที่คอ คำนั้นคือ ก็คือคำว่า ตถาตา ถ้าไม่ชอบเป็นบาลีก็เอาเป็นไทยคือคำว่าเช่นนั้นเอง ถ้าทุกคนแขวนเช่นนั้นเองไว้ที่คอก็เหมือนกับว่าได้แขวนพระเครื่องอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าชนิดไหนหมด คุ้มครองป้องกันได้หมด และทำให้ก้าวหน้าสูงยิ่งๆขึ้นไป สมกับที่ว่ามันเป็นปีใหม่มันควรจะยิ่งขึ้นไป
จะได้พิจารณากันดูต่อไปว่าไอ้คำว่าเช่นนั้นเองนี้มันจะเป็นหัวใจของพุทธศาสนาได้อย่างไร คนที่รู้ว่าคำว่าเช่นนั้นเองนั้นมาจากคำบาลีว่า ตถาตา ตถาตา ก็แปลว่าเช่นนั้นเองหรือความเป็นเช่นนั้น นี้จะเป็นหัวใจของพุทธศาสนาอย่างไร ถ้าเคยได้ยินได้ฟังมาก็จะรู้ว่าเป็นคำที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่าตถาคตจะเกิดหรือจะไม่เกิดขึ้น ธรรมธาตุนั้นก็มีอยู่แล้วว่าธรรมทั้งปวง สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์และธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา อย่างนี้ก็มี บางทีพระองค์ก็ตรัสว่าธรรมธาตุนั้นคือความที่มีสิ่งนี้ๆเป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆจึงเกิดขึ้น แล้วก็ตรัสปฏิจจสมุปบาทตั้งแต่ อวิชชาปัจจยา สังขารา เป็นต้นไปจนจบ แล้วก็ทรงสรุปความว่านี้คือความเป็นอย่างนี้คือเป็น ตถตา นี้คือความ นี้เป็น อวิตถตา นี้คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนี้ หรือว่า อนัญญถตา นี้ไม่เป็นอย่างอื่นไปจากความเป็นอย่างนี้ ธัมมัฏฐิตตา นี้เป็นความตั้งอยู่โดยธรรมดา ธัมมนิยามตา นี้เป็นกฎตายตัวของธรรมดา หรือว่า อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปปาโท เพราะมีสิ่งนี้ๆเป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆจึงเกิดขึ้นเป็นการอาศัยซึ่งกันเกิดขึ้นดังนี้ คำพูดมันหลายคำแต่สรุปให้เหลือสั้นเข้ามาคำเดียวก็คือคำว่า ตถตา แปลว่าความเป็นเช่นนั้น หรือจะเรียกว่าเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเองนี้ทรงแสดงไว้ด้วยพระไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็มี ทรงแสดงไว้ด้วยปฏิจจสมุปบาทตลอดสายก็มี ทรงแสดงไว้ด้วยอริยสัจ ๔ ก็มี ที่ทรงแสดงไว้ด้วยอริยสัจ ๔ นั้นท่านกลับจะเรียกสั้นเข้ามาอีกเพียงว่า ตถา ก็แปลว่าเช่นนั้น แสดงด้วยปฏิจจสมุปบาทท่านใช้คำว่า ตถาตา หรือ ตถตา แปลว่าความเป็นเช่นนั้น ขาดไปพยางค์หนึ่งก็ไม่เป็นไร เนื้อความยังเท่าเดิมว่ามันเป็นเช่นนั้น ทีนี้ก็มาพิจารณาดูกันถึงความหมายของคำว่าเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่ามันไม่เป็นผิดไปจากนั้น มันไม่เป็นอย่างอื่นจากนั้นเพราะว่ามันเป็นกฎตายตัวของธรรมดา มันเป็นการตั้งอยู่โดยธรรมดา คือความที่มันอาศัยสิ่งนี้ๆแล้วจึงเกิดขึ้น ดูที่พระไตรลักษณ์ก่อนว่าสังขารไม่เที่ยง สังขารเป็นทุกข์ ธรรมะทั้งปวงเป็นอนัตตา นี่ความที่มันไม่เที่ยงแหละคือมันเป็นเช่นนั้น ความที่มันเป็นทุกข์นั่นแหละมันเป็นเช่นนั้น ความที่มันเป็นอนัตตาคือความเป็นเช่นนั้น ฉะนั้นความเป็นเช่นนั้นก็คือความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา ถ้าผู้ใดเข้าใจผู้นั้นก็จะเห็นว่าความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตานั่นแหละคือความเป็นเช่นนั้น นี่จำไว้ทีหนึ่งก่อนว่าไอ้ที่ว่าเป็นเช่นนั้นก็คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ทีนี้ถ้าว่าจะพูดถึงเรื่องของปฏิจจสมุปบาท ไอ้ความเป็นเช่นนั้นมันอยู่ตรงที่ว่าอวิชชาให้เกิดสังขาร สังขารให้เกิดวิญญาณ วิญญาณให้เกิดนามรูป นามรูปให้เกิดผัสสะ อายตนะ อายตนะให้เกิดผัสสะ ผัสสะให้เกิดเวทนา เวทนาให้เกิดตัณหา ตัณหาให้เกิดอุปาทาน อุปาทานให้เกิดภพ ภพให้เกิดชาติ ชาติให้เกิดทุกข์ทั้งปวง นี่ความเป็นเช่นนั้นเองมันยาวหน่อย มันไล่ติดกันไปยาวหน่อยแต่สรุปความแล้วมันต้องเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ดังนั้นปฏิจจสมุปบาททั้งพวงนั้นก็สรุปเหลือได้เป็นเพียงคำๆเดียวว่าเป็นเช่นนั้น คือ ตถตา อีกเหมือนกัน ถ้าไปดูที่อริยสัจ ๔ ความทุกข์เป็นอย่างนี้ เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างนี้ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้ หนทางให้ถึงความดับไม่เหลือเป็นอย่างนี้ ก็ชี้ชัดลงไปอย่างนี้ๆก็หมายว่ามันเป็นเช่นนั้น มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ความทุกข์จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เหตุให้เกิดทุกข์จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ความดับทุกข์ก็เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ทางให้ถึงความดับทุกข์ก็เป็นอย่างอื่นไม่ได้ มันจะเป็นแต่เช่นนี้ๆ อย่างที่พระองค์ได้ตรัสไว้ ฉะนั้นจึงเรียกอริยสัจทั้ง ๔ นี้ว่า ตถา หรือ ตถตา ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นคำว่า ตถตา จึงได้แก่ไตร พระไตรลักษณ์ ได้แก่ปฏิจจสมุปบาท ได้แก่อริยสัจ ๔ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วทำไมจะไม่เรียกว่านี่คือหัวใจของพระพุทธศาสนา ซึ่งสรุปเข้ามาเหลือเพียงคำๆเดียวว่า ตถาตา คือความเป็นเช่นนั้น จงจำคำว่า ตถาตา หรือความเป็นเช่นนั้นไว้ให้แม่นยำ อยู่กับเนื้อกับตัว เหมือนกับเอามาแขวนไว้ที่คออย่างพระเครื่อง ให้มันคล่องปากคล่องใจว่า ตถตา เป็นเช่นนั้น จะพูดเป็นภาษาชาวบ้านสักหน่อยก็ได้ว่ามันเช่นนั้นเอง เพื่อเป็นภาษาคนธรรมดามากขึ้นก็ว่าเช่นนั้นเอง เอาเช่นนั้นเองมาแขวนไว้ที่คอเป็นพระเครื่องแล้วจะคุ้มครองทุกอย่าง แล้วก็จะส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้าเป็นลำดับไปจนถึงการบรรลุมรรคผลนิพพาน
จะขอบรรยายลักษณะของคำว่าเช่นนั้นเองต่อไปอีกหน่อย คนโง่จะไม่ ไม่รู้จักไอ้ความเป็นเช่นนั้นเอง ผู้มีปัญญาตามหลักของพระพุทธศาสนาเท่านั้นจึงจะรู้จักความเป็นเช่นนั้นเอง ความเป็นเช่นนั้นเอง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตานี้สำคัญอย่างยิ่ง กระทั่งเป็นสุญญตา ก็รวมกันเป็น ตถตา แปลว่าเช่นนั้นเอง อนัตตาแปลว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่ตนนั่นก็คือเช่นนั้นเอง มันจะเอาเป็นตนไม่ได้เพราะมันเป็นเช่นนั้นเองตามธรรมชาติของมันเอง และสุญญตามันก็ว่างจากความเป็นตัวตนที่จะยึดถือได้ เพราะว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง เพราะว่าธรรมทั้งปวงนั่นมันเป็นว่างจากตัวตนเช่นนั้นเอง ความที่มันไม่ใช่ตัวตนแล้วมันว่างจากตัวตนนี้เรียกว่ามันเป็นเช่นนั้นเองคือ ตถตา ตถาตา ถ้าชอบคำบาลีก็ใช้คำว่า ตถาตา มาแขวนไว้ที่คอ ถ้าชอบคำไทยก็ว่าเช่นนั้นเอง แล้วก็มาแขวนไว้ที่คอ ภาษาจีนเขาแปลคำนี้ไปเป็นคำว่า ยู่สี ถ้าใครชอบใช้ภาษาจีนก็เอาคำว่า ยู่สี มาแขวนไว้ที่คอ ได้ผลเท่ากันแหละ จะว่าเช่นนั้นเองก็ได้ จะว่า ตถตา ก็ได้ จะว่า ยู่สี ก็ได้มันแปลว่าเช่นนั้นเอง ทีนี้ถ้าแขวนไว้ที่คอมันก็มีความหมายที่จะต้องคิดนึกกันสักหน่อยว่าไอ้พวกที่เอาพระแขวนคอ แขวนเฉยๆมันก็ไม่ ไม่ได้อะไร แต่ถ้ามันแขวนไว้กันลืม แขวนไว้ให้เป็นเครื่องช่วยให้ระลึกนึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรืออะไรก็ตามมันก็ได้ประโยชน์ เราก็เหมือนกัน จะเอาไอ้เช่นนั้นเองมาแขวนไว้ที่คอเฉยๆโดยไม่รู้ความหมายมันก็ไม่มีประโยชน์ เราต้องเอามาแขวนไว้ในลักษณะที่รู้ความหมายหรือใช้ให้เป็นประโยชน์ให้ได้นั่นเอง เมื่ออะไรเกิดขึ้นก็เช่นนั้นเองให้มันทันท่วงที ของที่สวยงามทางตาผ่านมามันก็เช่นนั้นเอง ของที่น่าเกลียดน่าชัง ดูแล้วน่าเกลียดน่าชังทางตาผ่านมามันก็เช่นนั้นเอง แล้วมันจะเป็นอย่างไรลองคิดดู ไอ้สวยมันก็เช่นนั้นเองมันก็ไม่รัก ไอ้ไม่สวยมันก็เช่นนั้นเองมันก็ไม่เกลียด แล้วมันก็ไม่ยินดีไม่ยินร้าย มันเฉยได้ มันจึงไม่เกิดตัณหาอุปาทาน มันจึงไม่มีความทุกข์ นี่เช่นนั้นเองมันคุ้มครอง ไม่ยินดีในส่วนที่ชวนให้ยินดี ไม่ยินร้ายในส่วนที่ชวนให้ยินร้าย จะ จะยกตัวอย่างทางหูไอ้ไพเราะ อย่างที่คนเขาสมมติกันว่าไพเราะ ไอ้คนโง่ๆมันก็พลอยยึดถือตามไปว่าไพเราะ มันก็มีสิ่งที่ไพเราะเกิดขึ้น แต่ผู้รู้เขาก็เห็นว่ามันเช่นนั้นเอง เครื่องดนตรี เพลงอะไรต่างๆที่มันประสานเสียงกัน แล้วสมมติกันว่าไพเราะ ถูกชวนให้โง่ให้หลงว่าไพเราะ แต่ผู้รู้มันก็เห็นว่าเช่นนั้นเองแหละมันเช่นนั้นเอง ทีนี้ไอ้ที่มันไม่ไพเราะ ที่มันฟังแล้วมันรำคาญหู มันก็เช่นนั้นเองอีกเหมือนกันเพราะมันประกอบขึ้นด้วยลักษณะอย่างนั้นจึงรำคาญหู ถ้าว่ามันเห็นเช่นนั้นเองมันก็ไม่รู้สึกหลงใหลในไอ้เสียงที่ไพเราะ มันก็ไม่รำคาญในเสียงที่ไม่ไพเราะ มันก็อยู่ได้โดยไม่ต้องเป็นโรคประสาท ถ้ามันคอยพอใจในส่วนที่มันสวยหรือไพเราะ แล้วไม่พอใจในส่วนที่ไม่สวยไม่ไพเราะมันก็ขึ้นๆลงๆ ฟูๆแฟบๆ ในที่สุดมันก็ต้องวิปริตในทางจิตใจ นี่เอาๆ เอาไอ้เช่นนั้นเองมาคุ้มครองไว้ อย่าให้มัน อย่าให้มันขึ้นๆลงๆ ทางจมูก หอม มันก็เช่นนั้นเอง เหม็น มันก็เช่นนั้นเอง ถ้าศึกษาวิทยาศาสตร์ก็รู้ว่ามันเป็นแต่ไอ้ความต่างกันของไอ้ปริมาตรของแก๊สที่มากระทบกันเข้ากับประสาทในจมูก ในลักษณะที่หนาหรือบางกว่ากันเท่านั้น ถ้าหนาหรือบางพอดีมันก็หอม ถ้ามันหนามากเกินไปมันก็เหม็น ถ้ามันบางเกินไปมันก็ไม่มีกลิ่น ดังนั้นหอมหรือเหม็นมันก็เช่นนั้นเอง มีอะไรมาหลอกให้รักที่ว่ามันหอม หรือมาเกลียดที่ว่ามันเหม็นมันก็ปกติอยู่ได้ ทีนี้ลิ้น เอาอะไรใส่ปากเคี้ยวอร่อยมันก็ยินดี ไม่อร่อยมันก็ขัดใจ มันก็เหมือนกับคนบ้า เดี๋ยวมันอร่อยเดี๋ยวมันไม่อร่อย เดี๋ยวมันก็ยินดีเดี๋ยวก็ยินร้าย เดี๋ยวก็ขัดใจ เสร็จแล้วมันรู้ว่าอร่อยก็เช่นนั้นเอง คือมันพอดีกันเข้ากับไอ้จำนวนของประสาทที่ลิ้นที่มันรับรสนั่นมันก็อร่อย ถ้ามันมากไปหรือน้อยไปมันก็ไม่อร่อย ฉะนั้นที่ไม่อร่อยมันก็คือเช่นนั้นเอง ที่อร่อยมันก็คือเช่นนั้นเอง มีปัญญากันสักหน่อยก็จะมองเห็นว่าเอ้อ, มันเช่นนั้นเอง นี่ทางลิ้นมันก็หมดปัญหาไป ไม่มีอะไรมากหลอกทางลิ้นให้โง่ให้หลงในความอร่อยหรือความไม่อร่อย ทีนี้มาถึงทางผิวหนัง ความนิ่มนวลมันก็ชวนให้รักให้พอใจ ความหยาบกระด้างมันก็ไม่รักไม่พอใจ มันก็ยินดียินร้าย นี่ถ้ามารู้สึกว่าไอ้ความนิ่มนวลมันก็เช่นนั้นเอง คือมันทำให้ไอ้สัมผัสที่ผิวหนังรับความรู้สึกในปริมาณที่มากมันก็รู้สึกนิ่มนวล ของอ่อนของเปียกมันก็ทำให้เกิดความรู้สึกได้มาก มันก็รู้สึกนิ่มนวล ของแข็งของกระด้างมันรู้สึกได้น้อยมันก็ว่าหยาบ ไม่ก็ไม่สบาย แล้วก็มองเห็นว่ามันเช่นนั้นเอง ไอ้ที่นิ่มนวลชวนสบายก็เช่นนั้นเอง ที่มันกระด้าง รำคาญระคายมันก็เช่นนั้นเอง มันหายโง่อย่างนี้ ทีนี้แม้แต่ความรู้สึกที่มันจะเกิดขึ้นทางใจ เสียงอะไรก็ตามที่ได้มากระทบใจ แล้วทำให้ใจหมุนไปตามสิ่งที่มากระทบนั้น ยินดีบ้างยินร้ายบ้าง ไอ้ยินดีมันก็เช่นนั้นเอง มันต้องเกิดความยินดีขึ้นเช่นนั้นเอง ตามธรรมดาของคนที่มีอวิชชามันก็ต้องยินดีแหละ หรือมันก็ยินร้ายในส่วนที่ทำให้ยินร้าย ฉะนั้นยินดีก็คือเช่นนั้นเอง ไอ้ยินร้ายก็คือเช่นนั้นเอง
สรุปความแล้วก็ให้รู้ว่ามันเป็นความรู้สึกเท่านั้น เช่นรู้สึกทางตาว่าสวย แม่คนนี้สวยพ่อคนนี้สวย มันก็ความรู้สึกเท่านั้น ไม่สวยมันก็คือความรู้สึกเท่านั้น ทีนี้มองดูลงไปที่ว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น ที่เรารู้สึกทางตา ทางลูกตานี่เห็นเป็นสวยแล้วก็รัก เห็นไม่สวยก็เกลียดนี่ มันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น ถ้าเห็นว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้นมันก็ไม่มีอะไร มันก็เช่นนั้นเอง เรื่องทางหู ไพเราะหรือไม่ไพเราะ เรื่องทางจมูก หอมหรือเหม็น ไอ้ทางลิ้น อร่อยหรือไม่อร่อย ทางผิวหนัง นิ่มนวลหรือกระด้าง ถ้ารู้ถึงความเป็นเช่นนี้ความจริงของมันแล้วมันก็รู้สึกว่ามันเป็นเพียงความรู้สึก เป็นเพียงความรู้สึกที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจว่ามันเป็นเพียงความรู้สึก ช่วยจำไว้ชั้นหนึ่งว่าที่ว่าเช่นนั้นเองนั้น ก็เพราะว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น เพราะฉะนั้นก็ต้องเอาไอ้เช่นนั้นเองมาช่วยในทุกกรณี ขจัดปัดเป่า ไอ้ความรู้สึกที่จะทำให้รักหรือให้เกลียด ให้ยินดีหรือให้ยินร้ายนั้นออกไปเสียให้หมด นี่เป็นเรื่องทั่วไปในประจำวัน เรายังมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอยู่ แล้ววันหนึ่งๆก็ต้องเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส สัมพัด สัมผัสทางกาย คิดนึกทางใจอยู่มากมายหลายสิบ หลายร้อยเรื่องนะ ให้มันรู้สึกทันท่วงทีด้วยสติว่ามันเช่นนั้นเอง มันเช่นนั้นเอง ไม่มีอะไรมาหลอกให้หลงยินดีหรือหลงยินร้าย ให้หลงรักหรือหลงชังได้ นี่โดยทั่วไปในชีวิตของคนเราเป็นประจำวันนั้นมันมีเรื่องทำให้รักและให้ชัง ถ้าพอเช่นนั้นเองได้มันก็ไม่ต้องมีเรื่องรักเรื่องชัง มันจึงเฉยได้ มันจึงปกติได้ มันจึงไม่มีความทุกข์ ฉะนั้นถ้าเฉยไม่ได้ก็ไปหลงรักไอ้ที่มันชวนให้รัก เมื่อไม่ได้ของรักมันก็พยายามแม้ว่าด้วยการกระทำความชั่วทุจริตเป็นอันธพาลเพื่อจะให้ได้ของรัก ดังนั้นอาชญากรรมที่เลวร้ายมันก็เกิดขึ้นในหมู่หรือ คนเหล่านี้ คือในหมู่คนอันธพาล เพราะมันหลงรักมันก็จะเอาให้ได้ หลงเกลียดมันก็จะฆ่าให้ตาย มันจึงมีอาชญากรรมเลวร้ายทั่วไปทุกหัวระแหง โดยบุคคลที่ไม่มีความรู้อันถูกต้องว่านี้มันเช่นนี้เอง ที่น่ารักก็เช่นนี้เอง ที่น่าเกลียดก็เช่นนี้เอง ทั้งทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส ทางโผฏฐัพพะ ทั้งทางธรรมารมณ์ นี้ นี้เป็นเรื่องคุ้มครองไม่ให้มีกิเลส ไม่ให้มีกิเลส ไม่ให้เกิดเวทนา ตัณหาอุปาทาน ภพชาติ ที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทแล้วเป็นทุกข์ มันมีใจความสำคัญอยู่ตรงที่ว่าให้มองเห็นชัดลงไปว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น ทีนี้คนธรรมดาสามัญเป็นปุถุชนมันก็บูชาความรู้สึกทางเพศ เพศตรงกันข้าม บริโภครสของเพศตรงกัน ตรงกันข้ามด้วยความหลงใหลบูชา ความหลงใหลในรสของเพศตรงกันข้ามนั่นแหละทำให้เกิดเรื่องแทบจะทุกเรื่องในโลกนี้เนื่องกันไปจากสิ่งนี้ หรือเฉพาะเรื่องก็ได้ เฉพาะคู่เฉพาะคนก็ได้ ความไม่รู้จักสิ่งนี้ตามที่เป็นจริงว่า มันเช่นนั้นเองมันก็หลงใหล ความรู้สึกในรสทางเพศมีความกระสันรุนแรง ผูกมัดจิตใจรุนแรง เห็นเป็นสิ่งประเสริฐเลิศเหนือสิ่งใด จนกระทั่งว่าทำอะไรไปทุกอย่างนี้ก็เพื่อความรู้สึกทางเพศ เพื่อจะได้รับรสความสุขที่เกิดมาจากเพศตรงกันข้าม นี่เข้าใจว่าทุกคนคงจะรู้จักได้ดี ไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากนัก มันก็เลยได้เป็นทาสเป็นบ่าว เป็นขี้ข้า เป็นขี้ ข้าทาสนั่นของสิ่งที่ตัวรัก เพราะไม่ได้มองเห็นว่าไอ้ความรักนั้นมันเป็นเช่นนั้นเอง แล้วเช่นเดียวกับความเกลียดมันก็เป็นเช่นนั้นเอง ถ้าเห็นเช่นนั้นเองแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่จะต้องไปรัก ไปหลง ไม่มีอะไรที่ต้องไปเกลียดไปจนฆ่าเขาตาย ไม่หึงไม่หวงไม่อะไรทุกอย่างทุกประการ เพราะว่ามันเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ที่เป็นรสสูงสุดในทางเพศมันก็ว่าเช่นนั้นเอง มันมองเห็นว่าเช่นนั้นเอง ไอ้เช่นนั้นเองนี่มันก็กลายเป็นว่าเท่านั้นเอง มันแค่นั้นเองในที่สุด มันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น คือมันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้นเอง ความรู้สึกสูงสุดในทางเพศไม่มีใครเก่งพอที่จะมองเห็นว่ามันเช่นนั้นเอง ฉะนั้นคนปุถุชนธรรมดาจึงหลงใหลในความรู้สึกทางเพศ แล้วก็มีเรื่องตามมาอีกมากมาย มีปัญหาตามมาอีกมากมาย เพราะมันไม่รู้ว่ามันเช่นนั้นเอง ทีนี้เรื่องที่มันใหญ่ๆหยาบๆมันก็อย่างนั้นแหละ เช่นว่ามันได้อย่างใจ มันได้กำไร มันก็หลงใหลเหมือนกับเป็นบ้า มันไม่มองเห็นว่าเช่นนั้นเอง เมื่อขาดทุนมันก็เสียใจเหมือนกับจะเป็นบ้า มันก็ไม่รู้สึกว่ามันเช่นนั้นเอง ไอ้คนที่มีปัญญาเพียงพอมันจะเห็นว่าไอ้ขาดทุนมันก็เช่นนั้นเอง ไอ้กำไรมันก็เช่นนั้นเอง เขาจึงไม่มีจิตใจที่ขึ้นลงฟูแฟบไปตามนั้น มันก็ปกติ มันก็สบาย ทีนี้คำ คำว่าเช่นนั้นเองนั่นมันมีได้ทั้ง ๒ ฝ่ายคือฝ่ายผิดและฝ่ายถูก เราก็รู้เช่นนั้นเองฝ่ายผิดเสียแล้ว ก็ทำเช่นนั้นเองฝ่ายถูกให้มันเกิดขึ้น มันมีกฎของความเป็นเช่นนั้นเองทั้งฝ่ายที่พึงปรารถนาและไม่พึงปรารถนา เราก็รู้จักใช้ไอ้ความเป็นเช่นนั้นเองให้มันถูกต้องไปในทางที่ควรปรารถนา เช่นจะทำไร่ทำนา หาเงินหาทรัพย์สมบัติ มันมีความเป็นเช่นนั้นเองสำหรับการกระทำก็กระทำให้ถูกมันก็ได้มา ถ้าไม่ถูกเรื่องของเช่นนั้นเองในเรื่องส่วนนั้นมันก็ไม่ได้มา ทีนี้มันถึงคราวที่มันจะต้องเสียไป เพราะความผิดพลาดอย่างไร มันก็ไม่ต้องเสียใจเพราะมันเป็นเช่นนั้นเองด้วยเหมือนกัน ดังนั้นจะได้กำไรหรือจะขาดทุนมันก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้จิตใจเป็นทุกข์หรือ หรือว่าผิดปกติ ถ้ามันขาดทุนมันก็ทำใหม่ได้โดยกฎของความเป็นเช่นนั้นเอง ในทางที่จะให้ได้กำไรนี่ รู้จักใช้ความเป็นเช่นนั้นเองให้ถูกต้องแก่ฝ่ายที่ควรกระทำ แม้ฝ่ายที่ไม่ควรกระทำอยากจะละเสียก็ต้อง ต้องทำให้ถูกต้องต่อความเป็นเช่นนั้นเองของฝ่ายนั้น เรียกว่าความเป็นเช่นนั้นเองมันเป็นกฎที่ ที่สูงสุดเหมือนกับว่าเป็นพระเจ้า ไอ้ความเป็นเช่นนั้นเองเป็นไปตามกฎของธรรมชาติเหมือนกับพระเจ้า เราฝืน เราแก้ไขไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็แก้ไขกฎเหล่านี้ไม่ได้ มันเป็นเช่นนั้นเอง เรารู้จักความเป็นเช่นนั้นเองแล้วเอามาใช้ให้ถูกต้อง มันก็ ก็จะได้รับสิ่งที่ควรจะได้รับ และอยู่กันเป็นผาสุก ความเป็นเช่นนั้นเองนั่นมันเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งโดยความหมาย ขอให้พยายามศึกษาเรื่อยๆไปต่อๆไปจนกว่าจะเข้าใจ เดี๋ยวนี้เพียงแต่เอามาแขวนคอไว้ก่อน แล้วก็ศึกษาต่อไปๆจนเห็นความเป็นเช่นนั้นเองเต็มที่ ของพระไตรลักษณ์ก็ดี ของอริยสัจ ๔ ก็ดี ของอิทัปปัจจยตาก็ดี
ทีนี้ที่จะชี้ให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องตั้งแต่เบื้องต้น ต่ำๆนี่จนถึงเบื้องปลายคือสูงสุด เราจะต้องมีอะไรที่จะต้องเป็นไปตามธรรมดาที่ผู้ ของผู้ที่อยู่ในโลกนี้ที่เราจะต้อง จะหลีกไม่พ้น จะยกตัวอย่างเช่นว่าความเจ็บปวดในทางกาย ถูกของมีคมบาดหรือว่าถูกอะไรเป็นแผลแล้วก็เจ็บปวด ถูกหนามเกี่ยวเลือดไหลก็เจ็บปวด แต่ไม่มีใครนึกว่ามันเช่นนั้นเอง มันนึกว่ากูเจ็บ กูเจ็บกูจะตาย พอรู้สึกไปในทางว่ากูเจ็บกูจะตาย ไอ้ความปวดมันก็มากขึ้นด้วยอำนาจของอุปาทานที่ยึดถือในตัวกูที่เจ็บหรือจะตาย แต่ถ้าใครได้รับการศึกษา หัวใจของพุทธศาสนามาก็รู้สึกว่าอ้าว, ไอ้ที่หนามมันเกี่ยวนี่มันเป็นธรรมดามันเช่นนั้นเอง แล้วพอมาเกี่ยวเลือดไหลมันก็ต้องรู้สึกเจ็บ ไอ้เจ็บมันก็เช่นนั้นเอง มันต้องเจ็บเช่นนั้นเอง ที่ว่าเจ็บๆนี่มันเป็นแต่เพียงความรู้สึกเท่านั้นแหละ นี่เจ็บๆ เจ็บๆ เจ็บนี่เป็นเพียงความรู้สึกตามกฎของธรรมดาเท่านั้นแหละ นี่ควบคุมความรู้สึกของใจไว้ให้มันหยุดอยู่ที่นี่ว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้นแหละ ไม่ใช่เรื่องที่ว่ากูจะตาย ความคิดว่ากูเจ็บกูจะตายนั้นอย่าให้โผล่ขึ้นมา มันจะเป็นเพียงเจ็บที่ร่างกายเพราะว่าถูกหนามเกี่ยว แต่ถ้ามันโง่มันก็จะปล่อยให้ความคิดความรู้สึกเลยไปถึงว่ากูเจ็บแล้วก็กูจะตาย นี่คือเกิดอุปาทาน ยึดตัวกูยึดของกูมันก็เจ็บมาก เกี่ยวกับข้อนี้พระพุทธ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเป็นอุปมาสำหรับศึก ศึกษาหรือจดจำง่ายว่าเหมือนกับคน ทีแรกมันถูกลูกศรลูกเล็กๆแทง มันก็เจ็บนิดเดียว เดี๋ยวก็มีลูกศรดอกใหญ่อาบยาพิษด้วย ทีนี้ดอกศรก็ใหญ่แล้วก็อาบยาพิษด้วย มา ก็แทง มันก็เจ็บมาก ดอกศรเล็กๆเหมือนกับเข็มแทงมันก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้าดอกศรใหญ่อาบยาพิษด้วยมันก็เจ็บมาก มากกว่ากันมากหลายเท่า ก็คือว่าถ้าเรารู้สึกความเจ็บเพราะหนามเกี่ยว หนามแทงก็รู้สึกว่าเจ็บเท่านั้นแหละ ไอ้ความคิดอย่าเลยไปถึงว่ากูจะตาย ถ้าไปคิดถึงว่ากูจะต้องตายเพราะมันเป็นพิษ เพราะมันเป็นอะไรต่อไปจะตายนี้มันก็เจ็บมาก เพราะอุปาทานว่ากู เพราะว่าความตายของกูมันก็เจ็บมาก นี่คือคนที่ไม่มองเห็นว่ามันเช่นนั้นเอง มันก็เลยเห็นไปในทางว่ากูเจ็บกูจะตาย มันก็มีความทุกข์มาก ทีนี้ถ้าว่าเจ็บ แล้วก็เพ่งลงไปที่ความเจ็บ ทำในใจว่าอ้าว, นี่มันเจ็บ นี่มันความเจ็บ อย่า อย่าให้เลยไปถึงกู ตัวกู กูเจ็บ ให้หยุดอยู่ว่านี่มันเจ็บๆ เจ็บๆ เจ็บหนอๆอะไรก็ได้ ใช้หนอช่วยก็ได้ มันก็จะเจ็บน้อย และมันก็ค่อยจางออกๆ ความเจ็บนั้นจะจางออก ถ้าเราไปพิจารณาเห็นว่ารู้สึกเจ็บเท่านั้นเอง รู้สึกเจ็บ เจ็บเท่านั้นเอง เจ็บเท่านั้นหนอ เจ็บเท่านั้นเองหนอ มันก็เจ็บน้อย ถ้ามองเห็นให้ลึกไปกว่านั้นว่าโอ้ย, นี่มันเพียงความรู้สึกเท่านั้นโว้ย, ไอ้ที่เรียกว่าเจ็บๆ เจ็บนี่มันคือความรู้สึกเท่านั้น ความรู้สึกตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติธรรมดา ไอ้ความเจ็บนี่เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น เพราะมันรู้สึกมันจึงเจ็บ ก็เห็นความเจ็บนั้นไม่มี ไม่มีความเจ็บ เป็นแต่เพียงความรู้สึกเท่านั้น นี่คือสติปัญญามันไปได้ถึงอย่างนี้ มองเห็นเป็นเพียงความรู้สึกของประสาทเท่านั้นแหละมันก็จะหายเจ็บ มันจะเจ็บน้อยจนไม่เจ็บ ฉะนั้นเมื่ออะไรมากระทบรู้สึกก็ขอให้มีปัญญาในชั้นนี้ว่า มันสักว่าความรู้สึก สมมติว่าปวดหัวกันดีกว่า ซึ่งมักจะเป็นกันง่ายๆบ่อยๆทุกคน พอปวดหัว ความคิดมันแล่นไปกูจะตายแล้ว ได้ยินได้ฟังมาอย่างนั้นอย่างนี้ จะเป็นโรคนั้นโรคนี้จะต้องตาย อย่างนี้ก็ยิ่งเจ็บหนักเข้า แล้วมีทุกข์ทรมานมาก นี่ถ้าปวดหัว ก็รู้สึกว่ามันปวดหัวเท่านั้น มันปวดหัวเท่านั้นหนอ อย่าให้เลยไปถึงกูจะตาย มันปวดเท่านั้นหนอ นี่มันจะลดลง ไอ้ความเจ็บมันจะลดลง ไอ้ที่ว่าปวดๆ ปวดนี่มันความรู้สึกเท่านั้นหนอ เพราะมันมีความรู้สึกเท่านั้นหนอ จึงเห็นแต่อ้าว, มันนี่มันเพียงความรู้สึกเท่านั้นหนอ เห็นเป็นความรู้สึกเท่านั้นหนอแล้วมันก็เจ็บน้อยลงไปอีก กระทั่งมันไม่เจ็บ นี่สติฝึกไว้ดี ปัญญาก็มีมากพอ สติก็เอาปัญญามาใช้พิจารณาทันท่วงทีว่าไอ้นี่มันเพียงความเจ็บเท่านั้นหนอ แล้วความเจ็บนี้มันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้นหนอ แล้วก็จะเห็นว่าอ้าว, มันเช่นนั้นเอง ถ้าพอเช่นนั้นเองเข้ามาแล้วไอ้ความเจ็บความอะไรจะหายไปหมด เพราะจิตมันเปลี่ยนไปหมด นี่การที่ การที่จะข่มขี่เวทนา ข่มขี่ความเจ็บนี่มันได้ด้วยใส่ยาขนานที่เรียกว่ามันเช่นนั้นเอง ถ้าเช่นนั้นเองมาแล้วก็จะไม่มี ไม่มีปัญหา จะไม่มีความเจ็บปวด จะไม่มีเรื่องทรมานใจ จะไม่ต้องเป็นโรคประสาท จะไม่ต้องเป็นโรคนานาชนิดที่เขาเป็นกันอยู่เพราะว่ามันทรมานใจ แล้วมันก็ต้องเป็นหลายโรคแหละ เมื่อจิตใจมันทรมานอยู่ด้วยความกลัว ความวิตกกังวลแล้ว มันก็ต้องเป็นโรคกระเพาะเสียเรื้อรัง มันจะต้องเป็นไอ้โรคประสาทนอนไม่หลับ ไอ้โลหิตก็ถอยกำลัง ไม่สามารถจะควบคุมความปกติของร่างกายมันก็จะเป็นมะเร็งเป็นอะไรก็ได้ อย่างน้อยมันใช้น้ำตาลไม่หมดมันก็เป็นโรคเบาหวาน นานาโรคมันก็เกิดขึ้นเพราะว่าจิตมันได้เสียไปด้วยความโง่ มันไม่รู้จักความเป็นเช่นนั้นเอง นิดเดียวเท่านั้นแหละถ้ารู้จักมันเป็นอย่างนี้เองนี่ มันเป็นอย่างนี้เองนี่ อย่างนี้เองให้หนักๆเข้าไป จิตใจมันก็จะคงที่ มันก็จะปกติ ก็ไม่เปิดโอกาสให้เกิดโรคทางจิตใจ โรคทางจิตใจไม่เกิดมันก็ไม่เกิดโรคทางกาย เราแยกโรคกระเพาะเสียเรื้อรังหรือว่าโรคไอ้เบาหวาน โรคความดันสูงอะไรไว้เป็นเรื่องทางกาย แล้วก็มองเห็นว่ามันมาจากเรื่องทางใจที่มาทำให้ไอ้ปกติภาวะของโลหิต หน้าที่การงานของโลหิต หรือของส่วนต่างๆที่มันเกี่ยวกันกับโลหิต มันเสียไปหมด ระบบประสาทก็เสียไปตาม อะไรก็เสียไปหมด นี่ไอ้เช่นนั้นเองมันจะแก้ได้ มันจะไม่ทำให้เกิดความวิปริตในทางจิตอย่างที่ว่ามา แล้วไอ้ความวิปริตทางกายมันก็ไม่เกิดขึ้น มันจึงมีความสุขสบายดีทั้งทางกายและทั้งทางจิต เพราะว่าได้เอาหัวใจของพระพุทธศาสนามาใช้เป็นยาแก้โรค หรือมาใช้เป็นเครื่องรางแขวนไว้ป้องกันตัว หัวใจของพระพุทธศาสนาคือคำว่า ตถตา หรือเช่นนั้นเอง เอามาใช้ในทุกกรณี
อาตมาจะยืนยันเดี๋ยวนี้ว่าไอ้เช่นนั้นเองนี่แก้ปัญหาได้ทุกกรณี เรื่องโรคภัยไข้เจ็บก็ได้ เรื่องปัญหาทางปากทางท้องทางอะไรก็ได้ ทางการเมืองก็ได้ กระทั่งว่าในภายในจะเป็นเรื่องบรรลุมรรคผลนิพพานก็ยังได้ ได้ด้วยไอ้คำๆเดียวว่าเช่นนั้นเอง กลัวแต่ว่าเขาไม่รู้จักเขาไม่เข้าถึง มันไม่อาจจะใช้ไอ้เช่นนั้นเองให้เป็นประโยชน์ได้ จึงขอให้ทุกคนสนใจในสิ่งที่เรียกว่าเช่นนั้นเองซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา อะไรเกิดขึ้นก็ต้องมีความ รู้สึกทันควันว่ามันเช่นนั้นเอง แม้ที่สุดแต่ว่าคนที่มีปัญหาเรื่องผีหลอก เพราะมันไม่รู้จักความเป็นเช่นนั้นเองของความรู้สึก ถ้ามันรู้ทันมันก็รู้ว่ามันเป็นเพียงเช่นนั้นเองของความรู้สึก ความโง่ทำให้เห็นเป็นผีหลอก หรือแม้ที่สุดแต่ว่าผีมันหลอกจริง นี่ถ้ามันมีจริงแล้วมันหลอกจริงนะมันก็ยังแก้ได้ด้วยเช่นนั้นเอง แต่อาตมาไม่เชื่อว่าผีมีจริงหรือหลอกจริง ไม่เคยเห็นและไม่เชื่อ แต่ถ้ามันเกิดการกลัวผีขึ้นมามันก็รู้ทันทีว่านี่มันเช่นนั้นเอง ความโง่มันแสดงบทบาทออกมาแล้วทำให้รู้สึกว่ามันเป็นผีและมันหลอก แต่ถ้ามันรู้จักไอ้ความเป็นเช่นนั้นเองว่ามันจะต้องเกิดอย่างนี้ ต้องเกิดรู้สึกอย่างนี้แล้วมันก็ไม่กลัว มันก็เป็นเพียงความรู้สึก มองเห็นว่าเป็นความรู้สึกบ้าๆบอๆอะไรชนิดหนึ่ง แม้ว่ามันจะมีขนลุกซ่าไปด้วยความกลัว มันก็ยังรู้สึกว่านี่มันเช่นนี้เอง มันเช่นนี้เอง มันเท่านี้เอง เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ฉะนั้นเรื่องจะเป็นจะตายจะอะไรก็ตามมันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น ดังนั้นจงดูให้เห็นว่ามันเป็นเพียงความ รู้สึก รู้สึกทางเวทนาก็ได้ รู้สึกทางสัญญาก็ได้ แต่ที่มันเป็นกันมากนั้นมันเป็นรู้สึกทางเวทนา ถ้าเห็นเวทนาว่ามันเป็นอย่างนี้เองตามกฎของปฏิจจสมุปบาท แล้วมันก็ไม่มี ไม่มีกำลังอะไร ไม่มีความหมายอะไร ไม่มีฤทธิ์เดชอะไรที่จะทำให้เราเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ถ้าเป็นเรื่องของสัญญาก็เหมือนกัน เกิดขึ้นทางจิตเป็นธรรมารมณ์ จำได้แล้วก็นึกขึ้นมา แล้วก็เสียใจ แล้วก็ร้องไห้หรือว่ากลัวขึ้นมา ไอ้คนโง่ๆพอ พอนึกถึงผีมันก็ขนลุกเท่านั้นแหละมันไม่ต้องมีอะไร นี่ความที่มันโง่เกินไป มันไม่รู้เรื่องความเป็นเช่นนั้นเอง ที่ว่าสัญญาทำให้เกิดความกลัวขึ้นมา แต่ถ้าเขามันรู้ถึงหัวใจของธรรมะมันจะรู้ว่าอ้าว, มันเช่นนั้น เช่นนี้เอง ไอ้กลัวจนขนลุกซ่ามันก็อ้าว, มันก็เช่นนี้เอง มันเป็นความรู้สึกที่มากเกินไป แล้วมันก็เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น ดังนั้นขอให้เอาไปจับกับเรื่องทุกเรื่องที่มันเป็นความทุกข์ ไม่ว่าความทุกข์ชนิดไหนที่บ้านที่เรือน ที่วัด เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เรื่องทุกเรื่องที่มัน มัน ที่มันเกี่ยวกับมนุษย์ เพราะว่าไอ้ความทุกข์หรือความสุขมันเป็นเพียงความ รู้สึกเท่านั้นเอง ถ้าเราเห็นว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกเราก็ไม่ยินดีในความสุข และไม่เกลียดกลัวในเรื่องของความทุกข์ คือไม่ยินดียินร้ายในเรื่องของความทุกข์หรือความสุข เดี๋ยวนี้มันโง่เกินไปมันไม่เห็นว่าเช่นนั้นเอง จนเกิดปัญหาเกี่ยวกับโลกธรรม โลกธรรมน่ะได้ลาภเสื่อมลาภ ได้ยศเสื่อมยศ ได้นินทาได้สรรเสริญ ได้ทุกข์ ได้สุข กลายเป็นของต่างกันไป ได้ลาภก็ยินดีเสื่อมลาภก็ยินร้ายนี่มันบ้า เพราะมันไม่เห็นว่ามันเช่นนั้นเอง มันต้องเป็นเช่นนั้นเองด้วย แล้วไอ้ที่ได้มามันก็คือเช่นนั้นเอง ลาภก็คือเช่นนั้นเอง ไม่ เสื่อมลาภก็คือเช่นนั้นเอง ตามกฎของอิทัปปัจจยตามันเป็นเช่นนั้นเอง แล้วมันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้นแหละที่เรารู้สึกขึ้นมาว่าเราได้ลาภแล้วก็บ้าไปตามแบบได้ลาภ แล้วเรารู้สึกว่าเราเสียลาภสูญลาภเราก็บ้าไปตามความรู้สึกว่าเราสูญเสียลาภ ไม่มองดูที่มันเป็นเพียงสักว่าความรู้สึกเท่านั้นเองเช่นนั้นเอง แล้วมันต้องเป็นอย่างนี้เองในโลกนี้ นี่พอเห็นอย่างนั้นเองเช่นนั้นเองมันก็ไม่มีปัญหาเรื่องได้ลาภหรือเสื่อมลาภ เรื่องได้ยศหรือเสื่อมยศก็เหมือนกันอีก ถ้าเช่นนั้นเองเข้ามาแล้วมันไม่มีเรื่องได้ยศหรือเสื่อมยศ มันเป็นเรื่องหลอกๆเหมือนกันแหละ เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น นี่ไปถือเอาความหมายของความรู้สึกมากเกินไปมันก็ต้องได้มีเรื่องยินดียินร้าย นินทาหรือสรรเสริญ ก็ลองไปคิดดูเถอะ ซึ่งมันมีมาก ยากที่จะหลบหลีก ถูกนินทาหรือถูกสรรเสริญเสียจนเลิศลอย ถูกเขาสรรเสริญก็ตัวลอยฟุ้งเฟ้อไป ถูกเขานินทาด่าว่าก็มาขัดใจโกรธแค้นอยู่เหมือนกับคนบ้า ได้รับสรรเสริญก็บ้าไปอย่าง ได้รับนินทาก็บ้าไปอย่าง นี่เพราะมันไม่รู้ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง ตัวในโลกต้องเป็นเช่นนี้เอง แล้วนินทาก็เป็นสักว่าความรู้สึก สรรเสริญก็สักว่าความรู้สึก ก็เลยเป็นเช่นนั้นเองด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย มันเหมือนกันที่ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง แล้วเราทำไมไปแยกมันให้แตกต่างกันอย่างตรงกันข้าม ให้รู้สึกว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น นี่ช่วยจำไว้ให้ดีว่าอะไรๆเกิดขึ้นก็ให้มันรู้สึกได้ว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้นหนอ มันเป็นเพียงความรู้สึกแห่งจิตเท่านั้นหนอ เรื่องดีเรื่องบ้า เรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องสุขเรื่องทุกข์ เรื่องรวยเรื่องจนเรื่องอะไรก็ทุกเรื่องแหละมันเป็นเพียงความรู้สึกของจิตเท่านั้นหนอ พอเห็นเป็นความรู้สึกเท่านั้นหนอมันก็หยุด หยุดเป็นทุกข์ทันที นี่ธรรมะที่เป็นสุญญตา เป็นอนัตตา เป็นตถาตามันดับทุกข์ได้อย่างนี้ทุกระดับ ทุกข์เลวๆโง่ๆมันก็ดับได้ ทุกข์ที่สูงขึ้นไปก็ดับได้ ทุกข์สูงสุด ละเอียดประณีตที่สุดมันก็ดับได้ จนกระทั่งบรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะฉะนั้นอยู่ที่ในโลกนี้เป็นคนธรรมดาสามัญทำไร่ทำนา หาปูหาปลากินไปวันหนึ่งก็เถอะขอให้รู้จักคำว่าเช่นนั้นเอง แล้วมันจะไม่มีความทุกข์ ถ้าเป็นปัญญาชนก็ยิ่งจะต้องรู้ให้มันมากขึ้นไปอีกว่ามันเป็นเช่นนั้นเองทั้งนั้นแหละ ไม่ว่า ไม่มีอะไรที่จะไม่ใช่เช่นนั้นเอง ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว พระพุทธเจ้าต้องตรัสไว้ผิดแน่ แต่นี่เมื่อพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ถูกต้องแล้วมันก็เป็นตามนั้นว่าทุกอย่างมันเป็นเช่นนั้นเองไปตามที่เรื่องมันจะเป็น โดยเฉพาะก็เพ่งเล็งไปยังเรื่องอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท มันจะต้องเป็นอย่างนั้นเอง ฝนตกมาก็ไม่แปลก ฝนไม่ตกก็ไม่แปลก แดดออกมาก็ไม่แปลก แดดไม่ออกก็ไม่แปลก นี่เป็นอิทัปปัจจยตาง่ายๆฝ่ายวัตถุต่ำๆ แต่คนโง่มันก็ยังมีจิตใจหวั่นไหวไปตามที่ฝนตก ฝนไม่ตก แดดออก แดดไม่ออกอะไรต่างๆนานา เป็นธรรมชาติธรรมดาตื้นๆง่ายๆนี่มันมีจิตใจเปลี่ยนไป ขึ้นลงมากจนได้ยินดียินร้ายทั้งนั้นแหละ ยินดีก็บ้าชนิดหนึ่ง ยินร้ายก็บ้าชนิดหนึ่ง ดีใจก็บ้าชนิดหนึ่ง เสียใจมันก็บ้าชนิดหนึ่ง ล้วนแต่ทำให้มันเกิดวิปริตแก่จิตแก่ระบบประสาทด้วยกันทั้งนั้นแหละ เรามารู้เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้หวั่นไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่มันมีอยู่ประจำวัน เช่นวันนี้กินข้าวไม่อร่อยมันก็หวั่นไหวเสียแล้ว หวั่นไหวไปทางที่ไม่อร่อย ชักจะเศร้าไปเสียแล้ว แต่วันนี้กินข้าว ของมันอร่อยก็ชักจะยินดีแล้ว ชักจะเหลิงไปแล้ว นี่มัน มันโง่เพราะมันไม่รู้จักว่ามันเช่นนั้นเอง มันต้องเป็นเช่นนั้นเอง อร่อยหรือไม่อร่อยก็เช่นนั้นเอง คือเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น แล้วมันต้องเป็นเช่นนั้นเองตรงที่ว่ามันจะต้องมีอร่อยบ้าง ไม่มีอร่อยบ้าง ต้องมีทั้งอร่อยและทั้งไม่อร่อย ดังนั้นในโลกนี้มันต้องมีไอ้สิ่งที่มันเป็นคู่ๆ คู่ๆกันอย่างนี้แหละ ได้ลาภเสื่อมลาภ ได้ยศเสื่อมยศ ได้นินทาได้สรรเสริญ ได้สุขได้ทุกข์ มันมีคู่ตรงกันข้ามให้มากระทบเราอยู่ในโลกนี้เป็นของเช่นนั้นเอง ทีนี้เข้ามากระทบกันแล้วมันก็เห็นเช่นนั้นเองว่าเป็นเพียงความรู้สึก
นี่ขอให้ช่วยกันเอาไปคิดนึกให้เข้าใจแจ่มแจ้งอยู่ในใจราวกับว่าแขวนไว้ที่คอ แขวนไว้ที่คอมันคือมันอยู่กับเนื้อกับตัวตลอดเวลานี่ให้เรารู้สึกนึกคิดได้ตลอดเวลาเหมือนกับแขวนไว้ที่คอ อาตมาให้พระเครื่องไปแขวนไว้ที่คอทุกคนคือคำว่าเช่นนั้นเอง เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เอาหัวใจของพระพุทธศาสนามาแจกกันเป็นพระเครื่องสำหรับแขวนคอ ดังนั้นถ้าใครเช่นนั้นเองไม่ได้ก็มันก็คือคนโง่ อะไรเกิดขึ้นมันเช่นนั้นเองไม่ได้มันก็คือคนโง่ มันจะต้องยินดียินร้ายตลอดเวลา นี่เอาไปคอยกำหนดดูตัวเองว่ามันเป็นอย่างไร แล้วก็แจกไปตามเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สบายแก่ตาไม่สบายแก่ตา สบายแก่หูไม่สบายแก่หู สบายแก่จมูกไม่สบายแก่จมูก สบายแก่ลิ้นไม่สบายแก่ลิ้น สบายแก่ผิวหนังไม่สบายแก่ผิวหนัง สบายแก่จิตใจไม่สบายแก่จิตใจ นี่ทั้ง ๖ คู่นี้มันเช่นนั้นเองเหมือนกันหมดเลย ทั้ง ๖ อย่างและทุกๆคู่ ที่มันสบายก็อย่างเช่นนั้นเอง ไม่สบายก็เช่นนั้นเอง มันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น มันเอาคำว่าสุขว่าทุกข์ออกไปทิ้งหมด มันเหลือแต่ความรู้สึกเท่านั้นที่มันเกิดขึ้นตามกฎเหตุปัจจัย คือกฎแห่งความเป็นเช่นนั้นเองคืออิทัปปัจจยตา อาตมาพูดหลายครั้งหลายหนแล้ว แต่ก็ยังไม่ ไม่แน่ใจว่าท่านทั้งหลายจะฟังออกหรือจำได้หรือเข้าใจ จึงบอกแล้วบอกอีกอย่างน่ารำคาญว่าเรื่องอิทัปปัจจยตานั้นมันก็คือเรื่อง ตถตา แปลว่าเช่นนั้นเอง อวิตถตา ไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น อนัญญถตา ไม่เป็นอย่างอื่นไปจากความเป็นอย่างนั้น ธัมมัฏฐิตตา มันเป็นการตั้งอยู่แห่งธรรมดาอย่างนั้น ธัมมนิยามตา มันเป็นกฎตายตัวของธรรมดา อิทัปปัจจยตาคือความที่เมื่อสิ่งนี้ๆเป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆก็เกิดขึ้น แล้วอะไรเกิดขึ้น สวยไม่สวย น่ารักไม่น่ารัก น่า น่ายินดีไม่น่ายินดีมันก็เป็นสิ่งที่มีเหตุปัจจัยอย่างนั้นแล้วจึงเกิดขึ้น แล้วก็เห็นเช่นนั้นเอง อย่าไปเที่ยวโง่หลงรักที่มันหลอกให้รัก ไปโกรธไปเกลียดที่มันหลอกให้โกรธให้เกลียดอย่างที่เป็นอยู่ประจำวัน มันไม่ปกติ มันเหมือนกับถูกตบแก้มซ้ายทีแก้มขวาที ตบ ถูกตบแก้มซ้ายทีถูกตบแก้มขวาทีอย่างนี้อยู่ตลอดวัน เพราะความที่มันไม่ ไม่มีหัวใจของพระพุทธศาสนามาคุ้มครอง ถ้ามีเช่นนั้นเองคุ้มครองก็มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น จะไม่ถูกตบแก้มซ้ายทีแก้มขวาทีตลอดวันเหมือนที่เขาเป็นๆกันอยู่ นี่คือหัวใจของพระพุทธศาสนา สรุปรวมลงในคำว่า ตถตา แปลว่าเป็นเช่นนั้น ไอ้คำนี้จะแปลว่าเช่นนี้ก็ได้ มันเช่นนี้เอง เช่นนั้นเองก็เหมือนกันแหละ ความเหมือนกันแหละคือมันเท่านี้เอง มันแค่นี้เอง มันเช่นนี้เอง นี่ความหมายมันอยู่ตรงที่ว่ามันไม่แปลกนี่มันเป็นอย่างนี้เอง เจ็บไข้มันก็เช่นนี้เอง หายก็เช่นนี้เอง ตายก็เช่นนี้เอง ฉะนั้นไม่มีความแปลกอะไรสำหรับเจ็บไข้และสบายดี และก็ไม่แปลกอะไรถ้าว่ามันจะหายหรือมันจะตายเพราะมันเป็นเช่นนี้เอง แต่ละอย่างๆเป็นเพียงความรู้สึก จงมองให้เห็นว่าทุกอย่างมันเป็นเพียงความรู้สึกที่รู้สึกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนังและทางใจ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าความรู้สึก มองให้เห็นมันเป็นเพียงความรู้สึก ก็จะเห็นว่ามันแค่นั้นเอง มันเท่านั้นเอง มันเช่นนั้นเอง อย่าไปโง่หลงยินดียินร้าย พอใจเสียใจอะไรกับมัน ทีนี้จะเอาไปประ จะเอาไปประพฤติกันอย่างไรในเมื่อต้องทำไร่ ทำนา ค้าขาย ทำกิจกรรมต่างๆนานา ก็ให้รู้ว่ามันต้องเป็นเช่นนั้นเอง ขาดทุนก็เช่นนั้นเอง กำไรก็เช่นนั้นเอง รู้จักเช่นนั้นเองพอขาดทุนแล้วมันก็ไม่ทำให้ขาดทุนอีกต่อไป รู้จักเช่นนั้นเองของกำไรแล้วมันก็ทำให้มีกำไรได้ แต่เมื่อได้กำไรมาแล้วอย่าไปบ้า อย่าไปบ้ากับกำไรที่ได้มา ให้มองเห็นว่ามันยังคงเป็นเช่นนั้นเองอยู่ตามเดิม นี่หัวใจของพระพุทธศาสนามันทำให้ไม่ยึดมั่นในอะไรโดยความเป็นตัวตนหรือความเป็นของตน ถ้ามันมีความรู้เช่นนั้นเองอยู่แล้วจิตมันจะว่าง คือจิตมันจะไม่ไปจับฉวยเอาอะไรเป็นตัวตนเป็นของตน จิตว่างที่แท้จริงในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้ นอกนั้นเป็นจิตว่างอันธพาล คนอันธพาลมันเอาไปใช้เพื่อหาประโยชน์อย่างอันธพาล จิตว่างในพระพุทธศาสนาก็คือว่ามันเห็นว่าทุกอย่างมันไม่มีตัวตน ไม่เป็นตัวตน ไม่ใช่ของตน เขาใช้คำว่าโลก โลกทั้งหมดทุกโลกด้วย และทั้งๆโลก ทุกๆโลกเป็นอนัตตาคือไม่เป็นตนหรือไม่เป็นของตน นี่จิตมันก็เห็นความไม่ ไม่เป็นตนไม่เป็นของตนนั้นมันคือมันเห็นเช่นนั้นเอง แล้วมันก็เลยไม่ๆ ไม่ยึดถือ มันยึดถือไม่ไหว มันยึดถือไม่ได้ มันไม่ยึดถือ มันยึดถือไม่ลงเพราะว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง จะไปยึดถืออะไรกัน นี่จิตเมื่อไม่ยึดถืออะไรมันก็เป็นจิตที่ว่างเพราะมันไม่ได้ยึดถืออะไร จิตที่ว่างมันก็สบายแหละ ส่วนบุคคลนั้นมันก็สบาย แล้วมันก็ไม่ไปทำอันตรายใครที่ไหนได้ ไม่เอาเปรียบใครได้ แล้วมันก็สบายด้วย แล้วมันก็สามารถทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้ดี เพราะมันเป็นจิตที่ลืมตา จิตที่รู้ จิตที่ตรัสรู้ จิตที่รู้อะไรอย่างแจ่มแจ้งถูกต้อง มันก็ทำอะไรถูกต้อง มันก็ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้ มันได้ผลก็คือว่ามันเป็นสุข นี่เป็นข้อแรก คนนั้นไม่มีความทุกข์ แล้วข้อที่ ๒ ไอ้ความมีอยู่แห่งบุคคลนั้นมันเป็นประโยชน์แก่คนอื่นด้วย เท่านี้ก็พอกระมัง ก็ควรจะพอแล้วกระมัง จะ จะบ้าเอาไปถึงไหนกันนักเล่า เมื่อตัวเองก็เป็นผู้มีความสุขด้วย แล้วความมีอยู่แห่งตัวเองก็เป็นประโยชน์แก่คนอื่นด้วย เท่านี้มันก็ควรจะพอแล้ว ขอให้มันได้เพียงเท่านี้เถอะ ทุกคนเอากันเพียงเท่านี้เถอะ ให้ตัวเองมันมีความสุขไม่มีความทุกข์ พอใจตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้อยู่นี่ แล้วความมีอยู่แห่งบุคคลนั้นทำให้บุคคลอื่นรอบๆตัวนั้นพลอยได้รับประโยชน์ยิ่งๆ ตามๆกันไปด้วย มันก็ควรจะพอแล้ว ประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นมันก็ถึงพร้อมแล้ว เพราะมันมีคนที่ไม่เห็นแก่ตัว มันไม่ยึดถืออะไรโดยความเป็นตัวตนของตนที่ทำให้เห็นแก่ตนแล้วเอาเปรียบผู้อื่น เหมือนที่เขากำลังรบราฆ่าฟันกันในโลก ในโลกปัจจุบันนี้เวลานี้แหละมันเต็มไปด้วยพิษสงแห่งความโง่ ไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง มันยึดมั่นถือมั่นส่วนใดส่วนหนึ่ง มันยึดถือตัวกูของกูเป็นใหญ่ มันต้องการแต่จะเอาประโยชน์เพื่อตัวกูของกู มันเอาเปรียบผู้อื่น เมื่อทุกคนเป็นอย่างนี้มันก็ได้ปะทะกัน ได้รบราฆ่าฟันกัน ได้แย่งชิงกัน ได้แข่งขันกัน ไอ้โลกนี้มันก็ไม่มีสันติภาพ เพราะมันเต็มไปด้วยคนโง่ ไม่มองเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ชนะมันก็เช่นนั้นเอง แพ้มันก็เช่นนั้นเอง เพราะมันเป็นแต่เพียงความรู้สึกเท่านั้น มันจะมองเห็นไปถึงว่าได้ลาภไปแย่งชิงเขามา มันก็อย่างนั้นแหละ สูญเสียลาภเพราะถูกแย่งชิง มันก็อย่างนั้นแหละ มันเป็นเพียงความรู้สึกว่าอย่างนั้น มันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น
ทีนี้ก็มาเลือกดูสิว่าไอ้ความรู้สึกชนิดไหนมันเป็นความทนทุกข์หรือเป็นเหตุให้กระทำสิ่งที่เป็นโทษ ไม่เป็นประโยชน์ ก็ไม่เอาความรู้สึกชนิดนั้น ปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้นเองไปตามความรู้สึกชนิดนั้นไปตามแบบของมัน คือพวกบาปพวกอกุศลทั้งหลายมันมีความเป็นเช่นนั้นเองของมัน ก็ปล่อยมันไป นี่ที่เป็นบุญเป็นกุศลมันมีความเป็นเช่นนั้นเองของมันก็เอามาถ้ายังต้องการ แต่ถ้าพอเห็นว่าโอ้ย, มันไม่ไหวโว้ย, ทั้งบาป ทั้งบุญ ทั้งกุศลทั้งอกุศลมันเช่นนั้นเองแล้วเราก็ไม่เอาอะไรดีกว่า เลื่อนมาหาพระนิพพานคือไม่เอาอะไร ไม่ติดพันในอะไร ปล่อยวางอิสระทั้งปวง ก็มาหาความเป็นเช่นนั้นเองสุดยอดคือพระนิพพาน นี่เป็นความเป็นเช่นนั้นเองชนิดที่เป็นโลกุตระเป็นอสังขตะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป ในโลกนู้นมันมีคู่ๆ คู่ๆนั้นเป็นความเป็นเช่นนั้นเองที่หลอกลวง ที่เปลี่ยนแปลง ที่มายา แต่ถึงอย่างไรก็ดีมันยังคงความเป็นเช่นนั้นเองไว้นั่นแหละ นี่เรารู้เช่นนั้นเองของไอ้เรื่องโลกๆ เรื่องสังขตะ เรื่องโลกียะสำหรับจะไม่เกิดความทุกข์ในโลก หรือว่าเห็นไอ้โลกนี้โดยความเป็นเช่นนั้นเอง ไม่หลงรักหลงยึดถือแล้วก็มาก็ ก็เป็นโลกุตระขึ้นมาทันที คือเราไม่จมอยู่ในโลก เมื่อเห็นว่าโลกนี้มันเต็มไปด้วยสิ่งหลอกลวงคือมันเป็นเช่นนั้นเอง แต่มันหลอกลวงให้ ให้เราเห็นว่าดีว่าชั่ว ว่าบุญว่าบาป ว่าสุขว่าทุกข์ เดี๋ยวนี้ฉันเห็นแล้ว แล้วฉันก็ไม่รู้สึกอย่างนั้นกับแกอีกต่อไป มันก็เลยๆ เลยถอยขึ้นมา เลยๆ เลยกระโดดขึ้นมาอยู่ฝ่ายที่เหนือโลก นี่เช่นนั้นเองอีกระดับหนึ่งเป็นโลกุตระ ดังนั้นคำว่าอนัตตา สุญญตา ตถาตานี่ใช้ได้ทั้งแก่โลกียะและแก่โลกุตระ ก็หมดปัญหา เห็นอนัตตา สุญญตา ตถาตาของโลกียะมันก็ไม่ติดอยู่ในไอ้โลกหรือในโลกียะ มันก็พ้น เมื่อพ้นมันก็เป็นเรื่องของโลกุตระ นี่คือว่าเช่นนั้นเองที่สูงสุด ถึงระดับสูงสุด เรารู้จักใช้ประโยชน์ของเช่นนั้นเองถึงที่สุด มันก็อยู่เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง แต่เดี๋ยวนี้ยังเป็นอย่างนั้นไม่ได้นี่ยังต้องอยู่กับโลกนี่ เอ้า, จะเอาอะไรมาคุ้มครองป้องกัน ก็เอาความรู้เรื่องนี้ อะไรมาก็เช่นนั้นเองใส่เข้าไป อะไรมันยื่นหน้าเข้ามาก็เช่นนั้นเองใส่เข้าไป ไม่ยินดียินร้าย ดังนั้นจึงหวังว่าจะรู้จักใช้ไอ้เช่นนั้นเองนี่แหละต่อสู้กับสิ่งทั้งหลายในโลก ให้เราชนะมันมากขึ้นกว่าปีที่แล้วมา อย่าต้องไปนั่งร้องไห้อยู่เลย อย่าต้องไปหัวเราะเหมือนกับคนบ้าเลย เมื่อมันยินดีพอใจ อย่าต้องไปนั่งร้องไห้เมื่อมันไม่ได้อย่างใจ ซึ่งชายหนุ่มหญิงสาวก็เป็นกันมากที่สุด ทั้งยินดี หัวเราะเมื่อได้อย่างใจ มานั่งร้องไห้กระโดดน้ำตายเมื่อไม่ได้อย่างใจ นี่คนโง่ เรื่องไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งที่เข้ามากระทบตนทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในปีที่แล้วๆมาแต่หนหลังมันเป็นอย่างไร ปีต่อไปนี้ต้องดีกว่านั้น ฉะนั้นรู้จักใช้ไอ้เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเองนี่ให้มากกว่าปีที่แล้วมา แล้วให้รู้ว่าคำว่าเช่นนั้นเองนี่มันเป็นหัวใจสรุปยอดของพระพุทธศาสนา เขาเรียกว่า ตถา หรือ ตถตา บ้าง ตถาตา บ้าง นี่รวมทุกคำของพระพุทธศาสนาที่เป็นไอ้ความจริงแล้วมันมาอยู่ที่คำนี้คำเดียว เรียกว่า ตถา คือเช่นนั้น ตถตา ความเป็นเช่นนั้น ผู้ใดถึง ตถา ผู้นั้นเป็นตถาคต คือเป็นพระอรหันต์ คือผู้ถึงตถา รู้จักตถา รู้จักเช่นนั้นเองถึงที่สุดจนไม่ต้อง จนไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร จนไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะอะไร นี่เรียกว่าเรามี ตถาตา หรือมี ตถา มันก็จะเป็นตถาคตองค์หนึ่งได้เหมือนกันเพราะว่าถึงซึ่ง ตถา ถึงซึ่งความจริงแห่งความเป็นเช่นนั้นเอง ดังนั้นคำว่าความจริงนั้นสรุปเหลืออยู่เพียงคำเดียวว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง จะแยกออกเป็น ๔ อย่าง ๑๐ อย่าง อะไรกี่อย่างๆก็ได้ แต่ถ้ามันจะง่ายสำหรับทุกคนแล้วก็มองดูเถอะจะเห็นว่ามันมาจริงอยู่ที่เรียกว่ามันเป็นอย่างนี้เอง อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส มันเป็นอย่างนี้เองที่ท่านได้ตรัสไว้ว่าเป็นไตรลักษณ์ก็ดี เป็นอริยสัจ ๔ ก็ดี เป็นปฏิจจสมุปบาทก็ดี มันเป็นอย่างนี้เอง ไม่เป็นไปอย่างอื่นได้ นี่หัวใจของพระพุทธศาสนา เอามาแขวนไว้ที่คอ เดี๋ยวนี้อาตมาก็จะแจกพระเครื่องให้เขาบ้างแล้ว คือว่าแจกพระเครื่องเช่นนั้นเองให้ทุกคนเอาไปแขวนไว้ที่คอ ถ้ามันแก้ปัญหาหรือดับทุกข์ไม่ได้แล้วค่อยมาด่าอาตมา ทุกคนมาด่าอาตมา แต่ขอให้มันมีเช่นนั้นเองจริงๆเถอะ แล้วใช้ให้ทันท่วงทีเถอะมันจะคุ้มครองได้ ถึงกับไม่เจ็บไม่ไข้ ไม่เป็นไม่ตายไม่อะไรทุกอย่าง มันเห็นเช่นนั้นเองเสียแล้วมันก็ไม่มีเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีอะไรที่ไหน จึงหวังว่าทุกคนที่อุตสาห์มาลำบากมาทำบุญขึ้นปีใหม่กันที่นี่คงจะได้รับพระเครื่องแขวนคอกลับไปทุกคนว่าเช่นนั้นเอง นี่คำพูดสำหรับจะขึ้นปีใหม่กันหยกๆอยู่นี่ พูดอย่างนี้ ให้ขึ้นปีใหม่ด้วยมีความรู้เรื่องเช่นนั้นเองมากกว่าปีเก่า ปีเก่ามันรู้อย่างคลับคล้ายคลับคลา มันไม่ค่อยได้เน้น ไม่ค่อยได้แยกแยะอะไรกันให้มันเห็นชัด เราควรจะแยกแยะให้เห็นชัดถึงหัวใจพระพุทธศาสนากันให้ได้มากขึ้น หัวใจพุทธศาสนามันยาว ถ้าทำให้มันยาวมันก็ยาว พูดตั้งชั่วโมงก็ไม่จบ หรือว่าจะพูดให้มันสั้นเข้ามาๆ สั้นเข้ามาจนสั้นนิดเดียวเหลือว่า ตถตา คือเช่นนั้นเอง หัวใจพุทธศาสนา ในบางเรื่องใส่โว้ย, เข้าไปด้วยก็ได้ มันเช่นนั้นเองโว้ย, นี่แล้วก็หมดความทุกข์หมดความร้อน หรือมันเช่นนี้เองโว้ย, กูไม่ร้องไห้อีกแล้ว มันจะช่วยได้อย่างนี้ ถ้าบางเรื่องใส่โว้ย, เข้าไปด้วย บางเรื่องไม่ต้องใส่ ก็จะเช่นนั้นเอง เท่านี้เอง เช่นนี้เองก็พอ
เอาละเป็นอันว่าการแสดงธรรมหรือเทศน์หรือพูดเพื่อวันขึ้นปีใหม่นี้มันก็พอสมควรแล้ว แล้วก็ดีที่สุดแล้วถ้าเอาไปได้ ถ้ารับเอาไปได้ก็ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้วเพราะมันเป็นยอดหัวใจของพระพุทธศาสนาแล้ว ดังนั้นขอให้ทุกคนจงสำเร็จประโยชน์ในการทำบุญขึ้นปีใหม่จะได้ดีกว่าปีเก่าโดยแท้จริง อาตมาขอยุติการบรรยายครั้งนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้
ตั้งแต่นาทีที่ 01:20:29 – 01:25:24 ไม่ได้ถอดเสียงเป็นบทสวดมนต์ ต่อจากนี้เป็นการสนทนาธรรม
ท่านพุทธทาส : ไปไหนกันหมดแล้วอนุศาสนาจารย์ คุณประยูรไปไหนแล้ว
หมอประยูร : ผมประกาศนะ ท่านที่เคารพครับ ยังมีเวลาอีกกว่าชั่วโมงนะครับจะสิ้นปีเก่า เราก็จะขอใช้เวลาอันนี้ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตของเรา ท่านนายกสมาคมพุทธสมาคมจังหวัดสุราษฎร์ธานี คุณซ้อน ศิวายพราหมณ์ คุณหมอประยูร นะครับ จะเป็นพิธีกรที่จะจัดพิธีการเพื่อความสมบูรณ์ในธรรมะในคืนนี้ ขอเรียนเชิญครับท่านประธานมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐก็มา ได้อยู่ในที่นี้แล้ว เรียนเชิญคุณหมอ
ท่านพุทธทาส : เปิดวิทยุดูสิว่ามันไปถึงไหนกันแล้ว นี่เขาจะให้ทำอะไรกันต่อ ยัง เอ้า, จะทำอะไร เขายังไม่สวด ถ้าเมื่อไรเขาสวดก็จะบอก
อ.โพธิ์ : พระภิกษุสามเณรทุกรูปนะครับ คืนนี้เวลาตีฆ้องตีกลองระหว่างตอนที่จะขึ้นปีใหม่นะ นิมนต์พระภิกษุสามเณรทุกรูปมาสวดชะยันโตเป็นการให้พร ต่อจากนั้นญาติโยมทั้งหลายก็อย่าเพิ่งไปนอนกันถึง ๒ ปีนะ มารับพรปีใหม่กันเสียก่อน ต่อไปนี้เราก็จะมีรายการอื่น
ท่านพุทธทาส : พ่อเลี้ยงสุธรรมมาไกลบ้าน มาไกลมาก ให้มาแถลงความรู้สึกต้อนรับปีใหม่
หมอประยูร : เพื่อนสายธรรมทุกๆท่านนะครับ อาจารย์โพธิ์ได้กล่าวแล้วนะครับว่าเราอย่าได้มีการนอนกันถึง ๒ ปีเลยนะครับ อย่างไรเสียก็เก็บปีเก่านี้ไว้เสียก่อนให้มันผ่านไป แล้วเราเริ่มนอนกันปีใหม่นะครับ เพราะรายการนี้ผมรับรองว่าจะไม่ล่วงล้ำเข้าไปในปีใหม่มากหรอกครับ เพราะว่าเราพรุ่งนี้ก็จะได้ทำบุญตักบาตรกันอีก แต่ว่าในระยะที่เราจะส่งปีเก่านี้แหละครับ เราจะต้องมีอะไร ใช้เวลาชั่วโมงกว่านี้ให้เป็นประโยชน์ ให้คุ้มค่ากันจริงๆ พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ก็ได้มอบพระให้แก่เราทุกคนแล้วสำหรับแขวนคอ แต่พระที่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์มอบไว้นั้น แต่ละคนก็คงจะไปจับฉวยลูบคลำ แขวนไว้ในท่าทางกิริยาอาจจะต่างๆกันทุกคนก็ได้ และโดยเฉพาะพระที่พระ พระเดชพระคุณท่านได้มอบไว้นั่นเราไม่มาเอามาปลุกมาเสกกันบ้างเหรอครับ ก็พระเครื่องธรรมดาเขาก็ยังปลุกยังเสกกัน แล้วพระนี่ถ้าไม่ปลุกไม่เสกก็ไม่ขลังนะครับ มันต้องปลุกต้องเสกอีกเหมือนกัน ไม่ใช่ว่ารับจากอาจารย์ไปแล้วก็แขวนไว้เฉยๆ ถ้ารับไว้เฉยๆมันก็เป็นเช่นนั้นเองแบบเฉยๆนั่นแหละครับ นะครับ มันก็เป็นแค่นั้นเองก็คงจะไม่ช่วยเราได้ อะไรเราได้มากมายนัก เราน่าจะได้มีการปลุกเสกพระเป็นเช่นนั้นเองบ้างเหมือนกัน แต่ว่าในโอกาสคืนนี้ ความรอดความหลุดพ้นเฉพาะบุคคลก็ได้รับพระไปแล้วคือความเป็นเช่นนั้นเองนะครับ ได้รับพระไปแต่ละคนแล้ว แต่เราในฐานะที่เป็นมนุษย์สังคม อยู่รวมกันในสังคมเป็นประเทศชาติ เป็นครอบครัวเป็นบ้านเรือน แล้วก็เป็นประเทศชาติ แล้วปัญหาที่เราเป็นอยู่ในสังคมเดี๋ยวนี้ หรือประเทศชาติของเราเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ หรือว่าทั่วทั้งโลกก็ตามมันเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็รู้กันอยู่แล้ว หาความร่มเย็นเป็นสุขได้ยาก มีการรบราฆ่าฟันกันทั้งส่วนกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่แล้วก็กลุ่มประเทศก็เต็มไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นในโอกาสนี้เราน่าจะได้หยิบยกเอาทางเรื่องของสังคมนี้นะครับ รวมกลุ่มชนต่างๆหรือประเทศชาติขึ้นมาพูดกันบ้าง เป็นเรื่องใหญ่ เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ เพื่อจะได้หาทางแก้ไข แล้วเพื่อจะได้ช่วยกันแก้ไขกันต่อไป ส่วนรายบุคคลนั้นเราก็ได้รับแล้ว รับพระจากพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ไปแล้วว่าถ้าเราได้เข้าใจพระอันนี้ มีสติปัญญาตามให้ทันเรื่องความเป็นเช่นนั้นเองแล้ว แต่ละคนก็จะพอหาทางรอดได้ ทีนี้ทางรอดของสังคมสิครับที่เราน่าจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาบ้างในค่ำคืนนี้ เพราะว่าเราจะอยู่ตัวคนเดียวกันนั้นไม่ได้ ก็บอกแล้วว่ามนุษย์เรานี้เป็นสัตว์สังคม เราต้องอยู่รวมกัน ทีนี้เราไม่คิดถึงส่วนรวมบ้างหรือว่าเราจะช่วยกันอย่างไร ฉะนั้นโอกาสนี้นะครับผมก็พูดนำมาเพื่อผมจะได้เชิญหลายๆท่านที่มานั่งอยู่ ณ ที่นี้ จะได้ขึ้นมาทำความเข้าใจกัน คุยกันเพื่อให้เวลาอันนี้มันมีค่าและมันมีประโยชน์ขึ้นมา เหมือนกับเราจัดงานปีใหม่ของเราเหมือนกันนะครับ ที่ข้างนอกเขาก็จัดกัน มันก็เป็นอย่างนั้นเองแหละครับเรื่องของข้างนอกมันก็เป็นอย่างนั้น ทีนี้เรื่องข้างในของเราก็ต้องเป็นเช่นนั้นแบบข้างในของเราอีกเหมือนกันว่าเราจะช่วยเหลือสังคมกันอย่างไร แล้วเรามาพิจารณาว่ามันปัญหาที่มันเป็นๆอยู่เดี๋ยวนี้นี่นะครับ ซึ่งพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ก็ได้พยายามที่จะเสนอแนะอยู่เสมอให้เรามองเห็น แต่ถ้าพวกเราได้ขึ้นมาคุยกันเองให้มันมองเห็นชัดขึ้นมาอีกว่าปัญหาที่มันเกิดความขัดแย้งต่างๆ ที่มันเป็นอยู่เดี๋ยวนี้นั่นมัน ในสังคมนั้นมันอะไรกันแน่นะครับ เหตุที่ลึกซึ้งที่แท้จริงมันจากอะไรกันแน่ แล้วพวกเราทั้งหลายนี่จะช่วยเหลือกันได้อย่างไรบ้าง มีทางจะทำได้อย่างไร หรือจะว่าจะซัดโยนปัญหานี้ไปให้ใคร หรือว่าจะซัดกันไปซัดกันมาก็ไม่ต้องแก้กัน ฉะนั้นทุกท่านก็คงจะมองเห็นเองแล้วนะครับว่าทั้งหมดนี้มันมาจากอะไร พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ก็พูดอยู่เสมอว่าเพราะศีลธรรมมันเสื่อม ศีลธรรมมันไม่มา เราไล่ต่อไปว่าศีลธรรมจะมานั้นได้อย่างไร แล้วก็มองไปเรื่อยว่าเดี๋ยวนี้มันขาดอะไร เพราะฉะนั้นโอกาสนี้ ที่ผมใคร่มองเห็นแล้วว่าสิ่งที่ศีลธรรมมันยังมาไม่ได้ก็เพราะโลกนี้ขาดแม่ โลกนี้ขาดแม่ ประเทศชาติขาดแม่ ครอบครัวขาดแม่ ลงสุดท้ายก็ขาดแม่ แม่ตัวเดียวเท่านั้นแหละครับตัวสำคัญที่จะนำศีลธรรมให้กลับมาได้ สันติก็จะกลับมาได้ เพราะฉะนั้นโอกาสแรกคนแรกกระผมใคร่กราบเรียนเชิญก็คืออาจารย์สมทรงครับ จะได้ขึ้นมาลองพรรณนาสิครับว่าไอ้ที่ผมพูดนำมานี้นั้นมีส่วนเท็จจริงแค่ไหน ว่ามันมีการขาดแม่จริงหรือไม่ มีแม่ในโลกนี้หรือไม่ แล้วแม่ควรจะเป็นอย่างไร แล้วคนจากแม่นั้นจะนำศีลธรรมกลับมาได้อย่างไร เพราะฉะนั้นผมขอกราบเรียนเชิญอาจารย์สมทรงแหละครับขึ้นมาเป็นคนแรกครับ นะครับ ขอเชิญครับ ขอเรียนเชิญครับอาจารย์สมทรงอยู่แน่ ผมไม่ได้ทาบทามไว้แต่เข้าใจว่าอยู่แน่ ขอเรียน เหรอครับ อดใจสักนิดเถอะครับ เอาแหละครับอาจารย์สมทรงมาแล้วครับ แล้วก็คนอื่นๆวันนี้หลายท่านนะครับ มากันเยอะแยะ เพราะฉะนั้นก็ช่วยๆมากระซิบผมไว้บ้างก็ได้นะครับ แล้วให้ผมเชิญเองบางทีจะไม่ค่อยทั่วถึงนะครับ มากระซิบผมไว้เลยครับ คนอื่นๆที่อันดับต่อไปนะครับขึ้นมาพูดคุยกัน เวลาพอสมควรแต่ละท่านนะครับ ไม่ใช่นักเรียนผมไม่วางเวลาไว้หรอกครับ
อ.สมทรง : นมัสการพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ใหญ่ พระคุณเจ้า กราบเพื่อนร่วมทุกข์ทุกท่านที่นั่งในที่นี้ ที่คุณหมอประยูรพูดถึงแม่ว่าโลกขาดแม่นั้น ดิฉันเห็นด้วย แล้วยังเห็นไกลไปกว่านั้นว่าคำว่าแม่นั้นนอกจากจะหมายถึงแม่ผู้ให้กำเนิดบุตรธิดาแล้ว ยังหมายถึงแม้คนที่ไม่ ไม่ได้เคยเป็นแม่ แต่ทุกคนจะต้องมีความเป็นแม่อยู่ในใจอีกด้วย เพราะคำว่าแม่ในที่นี้ถ้าจะดูให้ลึกแล้วเป็นผู้อภิบาลรักษา เป็นผู้อภิบาลรักษา ผู้ชายก็ต้องมีความเป็นแม่ได้ มิใช่จะหมายถึงเฉพาะเพศหญิงเท่านั้น เราทุกคนที่อยู่ในที่นี้ช่วยกันคนละไม้คนละมือ มีความเป็นแม่ที่จะให้ความอบอุ่นแก่ลูกหลานไทยโดยวงกว้าง มิใช่เพียงลูกในอกของเราเท่านั้น ถ้าคิดเสมอลูกเขาเหมือนลูกเรา แม้เราจะไม่มีลูกเลยก็ตาม ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วสังคมใดที่มีความเป็นแม่อยู่ในน้ำใจของทั้งชายหญิงในชาตินั้นๆ ความอบอุ่นจะเกิดมีเพราะคนเหล่านั้นจะยื่นมืออันอบอุ่นอภิบาลรักษาผู้ที่อ่อนกว่า เยาว์กว่า ด้อยกว่าในทุกวิถีทางเพื่อให้ก้าวไปสู่ความดีงามด้วยกัน และถ้าเป็นเช่นนั้นได้ไม่ต้องห่วงว่าศีลธรรมจะไม่กลับคืนมา เพราะฉะนั้นฝากนิดนะคะขอให้สำรวจตัวเราเองในที่นี้ว่าไม่ว่าหญิงหรือชายในที่นี้จะเคยเป็นคุณแม่หรือไม่เคยเป็น จะเป็นคุณพ่อหรือไม่เคยเป็น ว่ามีความเป็นแม่ในหัวใจของเราทุกคนหรือเปล่า ถ้าไม่มีสร้างมันขึ้นมา ทั้งนี้เพื่อตัวเราเองและเพื่อสังคม ขอบคุณค่ะ
หมอประยูร : อาจารย์สมทรงคงจะเกรงใจ ผมบอกว่าวันนี้มากันเยอะแยะเลย อาจารย์สมทรงก็รีบๆลงเสีย ความจริงอาจารย์สมทรงนี้เป็นแม่ แม่พิมพ์ของชาติจริงๆครับเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ผมแกล้งชมเชยนะครับ คือกำลังทำหน้าที่ความเป็นแม่อย่างยิ่ง คือแม่แห่งชาติเลยครับ คุณแม่ระดับชาติ ไม่ได้อบรมแต่เฉพาะลูกของอาจารย์เอง คือกำลังทำหน้าที่เพื่อจะอบรมเด็กทั่วประเทศชาติโดยถ่ายทอดต่อไปจากครู นี่แหละครับคือความเป็นแม่ ให้กำเนิดแล้วยังต้องอภิบาลรักษาให้เด็กนั้นรอดตลอดไป เพราะฉะนั้นเรื่องนี้น่าคิดนะครับว่าเราเป็นแม่กันจริงแล้วยัง ทุกท่านนี่แหละครับเป็นแม่และเป็นพ่อกันจริงแล้วยัง นี่แหละครับเป็นสิ่งที่จะช่วยสังคมกันอย่างยิ่งแหละครับ เราอย่าไปโทษว่าเด็กไม่ได้เรื่อง อย่าไปโทษว่าเด็กวัยรุ่นเกอย่างนั้นอย่างนี้ เรามีความเป็นแม่และความเป็นพ่อกันถูกต้องแล้วยัง เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ฝากไว้ แล้วก็น่าคิดนะครับ เป็นสิ่งที่เราพอจะช่วยเหลือแก้ไขสังคมกันได้นะครับ สาเหตุอันลึกซึ้งเพราะมันขาดศีลธรรม ดึงศีลธรรมกลับมาก็ต้องมีความเป็นพ่อและความเป็นแม่ขึ้นมาให้ถูกต้อง ส่วนที่ว่าจะอภิบาลรักษาอบรมลูกอย่างไร ไอ้นี่อีกประเด็นหนึ่งน่าจะหยิบยกมาพูดเหมือนกันนะครับ เมื่อสักครู่อาจารย์สมทรงได้เน้นหนักไปที่ความเป็นแม่ ทีนี้เราจะอบรมเด็กๆ อบรมลูกอย่างไร รายการนี้ผมก็ ความจริงนะคุณเปงฮั้วนี่อยู่ในหัวผมตั้งนานแล้วนะครับ แต่ว่าผมขอผลัดคุณเปงฮั้วไว้หน่อยอย่าเพิ่งง่วงครับ ไอ้รายการอบรมเด็กนี่ผมอยากจะให้คนอื่นพูดมากกว่านะครับ เพราะฉะนั้นคุณเปงฮั้วผมขอจองไว้ก่อนนะครับ อย่าเพิ่งง่วงอย่าเพิ่งหลับ ถึงคุณไสวไม่มาก็มีคนแหย่ คุณเปงฮั้วไม่ต้องตกใจหรอกครับนะครับ อย่าเพิ่งรีบกลับอย่าเพิ่งหลับเสีย ฉะนั้นในแง่ที่ว่าเราจะอบรมเด็กกันอย่างไร แนวทางนะครับ แนวทางหรือว่าสิ่งสำคัญหรือว่าหัวใจที่เราจะอบรมเด็กนั้น เนื้อหาของมันนั่นควรจะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะฉะนั้นโอกาสนี้ผมขอเชิญครับคุณซ้อน ศิวายพราหมณ์ นายกพุทธสมาคมสุราษฎร์ธานี วันนี้ก็มาร่วมด้วย ผมขอเชิญครับ ผู้ที่มีลูก ต้องขอเชิญคนที่มีลูก แล้วก็เคยอบรมลูกมาแล้ว แล้วก็ลูกก็ได้มีฝั่งมีฝามีครอบครัวเรียบร้อยกันไปหมดแล้ว คือไม่มีลูกเกก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นก็คงจะได้ฟังกันบ้างล่ะว่าการดูแลอภิบาลรักษาลูกนั้นมีแนวมีหลักเกณฑ์อะไรบ้างพอสมควร นี่แหละครับเราจะพูดกันในแง่ประยุกต์เพื่อจะนำไปใช้กันได้ทั้งนั้นแหละครับ นำไปใช้กันจริงๆเลยนะครับ ขอกราบเรียนเชิญครับ
คุณซ้อน : ท่านอาจารย์ที่เคารพยิ่ง พระคุณเจ้า ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพทุกๆท่าน ผมมีความยินดีที่ได้มาร่วมในงานที่เรามาประชุมกันเพื่อเตรียมส่งปีเก่าแล้วต้อนรับปีใหม่ในวันนี้ คุณหมอประยูรได้ให้ผมมากล่าวในเรื่องที่เกี่ยวกับการอบรมเด็ก ผมก็คิดได้ในขณะนี้จากประสบการณ์ที่มีลูกหญิงชายหลายคน ก็อยากจะ จะเป็นการ คือว่าไม่ ไม่ได้ทำหน้าที่โดยตรงนะครับ แต่ว่าเป็นเรื่องของแม่เขาทำหน้าที่มากกว่าผม แต่นี้ผมก็จะดูจะเอาประสบการณ์ที่พบมานี่มา มาเล่านิดหน่อย สำหรับเรื่องวิธีการอบรมเด็กนี้ผมคิดว่าเราเอาอย่างที่ทางธรรมะที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้มาเป็นแบบฉบับในการอบรมก็ได้ ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าไปดำเนินการครองชีพให้ดู ปฏิบัติให้ดู ทำตัวให้เป็นตัวอย่างในทางปฏิบัติ คือการพร่ำสอนแนะนำนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งแหละ แต่ว่าการที่พ่อแม่ปฏิบัติตัวให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมของความถูกต้องอยู่เป็นประจำนั่นแหละจะเป็นตัวอย่างโดยไม่ต้องสอน คือเด็กจะเห็นเองว่าพ่อแม่ปฏิบัติอย่างไร ความดีนั้นทำอย่างไร แล้วก็เด็กนั้นก็จะจำเป็นตัวอย่างได้เลยโดยไม่ต้องสอนด้วยวาจาก็ได้ แต่ถ้าหากเราจะทำการสอนด้วยวาจาด้วย แล้วทำตัวอย่างให้ดูด้วยก็จะเป็นการดียิ่งขึ้น คือจะเป็นการเน้นในเรื่องหลักศีลธรรมหลักความประพฤตินี่ให้เด็กได้ปฏิบัติ แล้วเราก็คอยติดตามดูผลว่าแกได้ปฏิบัติตามแนวทางที่เราได้ทำให้ดูนั้นหรือไม่ด้วย แล้วคอยแก้ไข คือหมายความว่าทั้งชี้แนะทั้งควบคุมให้ปฏิบัติ ติดตามดูผลด้วย กระผมคิดว่าแนวทางอันนี้ก็น่าจะใช้ได้ไม่เฉพาะแต่ในครอบครัวของเรา แม้แต่ในทางการศึกษาในโรงเรียนก็คงดำเนินการตามแบบวิธีนี้ เพราะไอ้การติดตามผลนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ การที่เราสอนเราอบรมแต่ไม่ติดตามดูผลนั้นมันก็เหมือนกับเราทิ้งหอก ขว้างหอกเข้ารก แล้วไม่ ไม่ดูว่ามันจะไปปักอยู่อย่างไร ไปอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้อย่างนี้ กระผมคิดว่าการติดตามผลนี่ก็เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง กระผมก็คิดว่าตอนนี้ก็ขอฝากเพียงเท่านี้ ขอให้ท่านผู้อื่นได้มาว่าต่อไปนะครับ สวัสดีครับ
หมอประยูร : เราได้กันมาคนละเล็กคนละน้อย แต่ละคนก็ได้มาเรื่อยแหละครับ อย่างคุณซ้อนก็พยายามที่จะเป็นพ่อที่แบบปฏิบัติเป็นตัวอย่างให้ลูกดูนะครับ อาจจะเป็นพ่อที่สอนน้อยแต่ว่าต่อยมากก็ได้คือทำมาก ทำให้ดูมากๆ แต่นี้มันมีปัญหาอยู่ที่เป็นๆอยู่เดี๋ยวนี้นะครับ ที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้เรามักจะพูดอยู่เสมอ แล้วก็อ้างตำราฝรั่งเสียก็แยะเรื่องเด็กขาดความอบอุ่นบ้าง ไปบังคับเด็กนักก็ไม่ได้นะครับ ไปคับ บังคับเด็กนักก็ไม่ได้ เด็กจะไม่มีความกล้าหาญเสีย เด็กจะไม่อิสระบ้าง แล้วโดยเฉพาะคำว่าต้องให้ความอบอุ่นเด็กนี่แหละครับ มันเป็นความหมายที่จนเพ้อเจ้อเสียจนไม่รู้ให้ความอบอุ่นขนาดไหนจึงจะเรียกว่าอุ่นหรือไม่อุ่นกันเสียแล้วนะครับ จนกระทั่งเด็กเรียกร้องสิทธิจิปาถะไปก็ได้ ถ้าเราตีความหมายของคำว่าอบ ให้ความอบอุ่นแก่เด็กกันนี่มันไม่ค่อยถูกต้องกันนะครับ คงจะมีอะไรที่จะต้องพูดคุยกันเรื่องมากเลยนะครับ เรื่องการอบรมเด็ก เรื่องการที่จะนำศีลธรรมปลูกฝังศีลธรรมให้มาแก่เด็กนี้ ฉะนั้นโอกาสนี้เราก็มีพ่อเลี้ยงนะครับจากลำปางที่ว่าเมื่อสักครู่นะครับ ท่านเป็นอาวุ ท่านอาวุโสมากแล้วก็ผ่านโลกมามาก มีชีวิตมาก เพราะฉะนั้นคงจะมีอะไรที่จะมาให้คำแนะนำ หรือคุยกันถึงเรื่องการที่จะนำศีลธรรมให้กลับมาในวงลูกหลาน หรือในวงพี่น้องชาวไทยกันได้อย่างแน่แท้ เพราะฉะนั้นโอกาสนี้ผมขอเชิญพ่อเลี้ยงสุคำ ชุ่มอินทรจักร นะครับได้ขึ้นมาพูดคุยกันถึงเรื่องการนำศีลธรรมกลับมาแหละครับ นะครับกลับมาในวงเด็กๆลูกหลาน หรือในวงพวกเราที่นั่งๆอยู่ที่นี้ก็ได้ คือจะนำแบบไหนดี จะใช้บังคับเฆี่ยนตี หรือว่าจะคุยกันแล้วคุยกันอีกนะครับ จะโน้นน้าวจิตใจวิธีไหนก็ขอกราบเรียนเชิญครับ