แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในการทำบุญล้ออายุทั้งหลาย การล้ออายุปีนี้ดูจะไม่มีรสชาติอะไรเพราะกล่าวถึงแต่เรื่องที่เขาเข้าใจผิดต่ออาตมา ก็กล่าวร้ายกันต่างๆนานาไปตามความคิดเห็นของตน เอามาพิจารณาดู มีลักษณะเหมือนกับแกล้งสาดโคลนก็มี หรือทำกระเด็นมาโดยไม่เจตนาก็มี จนถึงกับว่าเราเหยียบไม่ดีมันกระเด็นขึ้นมาก็มี มันเป็นการล้อสำหรับอาตมามากกว่า แต่อย่างไรก็ดี ถือโอกาส สิ่งที่ยังเข้าใจผิดกันอยู่นั้น มาทำความเข้าใจกันเสียใหม่ เป็นการทบทวนผู้ที่เข้าใจอยู่บ้างแล้ว และเพื่อให้ผู้ที่ยังไม่เข้าใจก็จะได้เข้าใจยิ่งขึ้น แล้วก็จะได้เอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้
เรื่องต่อกันมาจากการบรรยายในสองครั้งที่แล้วมา บัดนี้ก็มาถึงเรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า ภาษาคน ภาษาธรรม เกี่ยวกับภาษาคน ภาษาธรรมนี้ก็มีผู้กล่าวหาว่าเรื่องนอกรีตนอกรอย ไม่ควรจะทำให้ยุ่งยากขึ้นมาเป็นสองภาษาเป็นสามภาษา แล้วเขาหาว่าเป็นเรื่องที่ว่าเอาเอง โดยเนื้อแท้แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนได้ทราบไว้ว่า ข้อความในพระคัมภีร์ ไม่ว่าคัมภีร์แห่งศาสนาใดศาสนาไหน มีการกล่าวไว้โดยสองภาษา ถ้าเราถือเอาผิด คือที่กล่าวไว้โดยภาษาคน ถือเอาเป็นภาษาธรรม หรือที่กล่าวไว้โดยภาษาธรรมมาถือเอาเป็นภาษาคน อย่างนี้มันก็จะจับใจความของพระคัมภีร์แห่งศาสนานั้นๆผิดไปหมด
อย่างในพุทธศาสนาเราก็มีข้อความที่พระองค์ตรัสเองในเรื่องเดียวกัน แต่ตรัสอย่างหนึ่งเป็นภาษาคน ตรัสอย่างหนึ่งเป็นภาษาธรรม ที่ตรัสโดยภาษาคน เช่น ตรัสว่าเรามีความเกิดเป็นธรรมดา ไม่พ้นความเกิดไปได้ มีความแก่เป็นธรรมดา ไม่พ้นความแก่ไปได้ มีความตายเป็นธรรมดา ไม่พ้นความตายไปได้ แล้วเราจะต้องเป็นไปตามกรรม ไม่ฝืนกรรมไปได้ นี่กล่าวไว้ คือตรัสไว้ในภาษาคน ถ้าเราไม่พ้นความเกิด แก่ เจ็บ ตายไปได้ แล้วพุทธศาสนาจะมีประโยชน์อะไร พระพุทธศาสนานี้เป็นที่รู้กันอยู่ว่าจะทำให้เราพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และให้เราพ้นกรรม อยู่เหนือกรรม หรือสิ้นสุดแห่งกรรม ในที่อื่นพระองค์ก็ตรัสข้อ ข้อความในลักษณะที่ให้เราพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ตรัสถึงกรรมไม่ดำไม่ขาว เป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมทั้งปวง มีคำยืนยันว่าบรรลุถึงซึ่งความสิ้นแห่งกรรมได้
เมื่อท่านทั้งหลายสวดมาถึงบทว่า เรามีความเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา ไม่พ้นจากความเกิดแก่เจ็บตายไปได้ นี่ไม่รู้สึกสะดุดหรืออย่างไร ไม่รู้สึกสะดุดกันบ้างหรืออย่างไร ครั้นจะเอาประโยชน์อันสูงสุดจากพระพุทธศาสนา ก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่าจะเอาผลคือหลุดพ้น หรือเหนือจากความเกิดแก่เจ็บตาย นี่ก็พอจะมองเห็นได้แล้วว่า ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า (นาทีที่ 06:55-08:00 ท่านพุทธทาสหยุดการเทศนาครู่หนึ่ง เพื่อไปคุยกับเจ้าหน้าที่เป็นภาษาใต้ เสียงค่อนข้างเบา ไม่ชัดเจน) มันเหมือนกับเด็กๆ มองเห็นอยู่ว่าเรากำลังแก่ และเรากำลัง กำลังตาย และทุกคนต้องตาย ก็เลยเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า เราไม่พ้นจากความแก่เจ็บตายไปได้ นี่ก็เรียกว่าภาษาคน ภาษาวัตถุ เอาร่างกายนี้เป็นหลักจึงเห็นว่า ไม่พ้นจากเกิดแก่เจ็บตายไปได้
ครั้นมาถึงภาษาธรรม เราพ้นจากความเกิดแก่เจ็บตายได้ เป็นเรื่องทางจิตใจ เราต้องทำทางใจ ต้องบรรลุธรรมทางจิตใจ คือมองเห็นว่าไม่ได้มีตัวตน สัตว์ บุคคลอะไรที่เป็นเรา ก็ยกให้เป็นของสังขารร่างกายไป ไม่ใช่ของเรา เพราะไม่มีตัวเรา นี่เข้าถึงความจริงอย่างนี้ ไม่เอาร่างกายเป็นหลัก เอาจิตที่หลุดพ้นเป็นหลัก มันก็ไม่มีความเกิดแก่เจ็บตายแก่เรา จิตก็ไม่ ไม่รับเอาไอ้ความเกิดแก่เจ็บตายนั้นมาเป็นของจิต ดังนั้นจิตจึงหลุดพ้นได้ คำกล่าวทีหลังที่ว่าเราพ้นจากความเกิดแก่เจ็บตายได้ หรือว่าเราพ้นจากกรรม อยู่เหนือกรรมได้ นี่แหละเรียกว่าภาษาธรรม ถ้าพูดภาษาคน เราก็ต้องเกิดแก่เจ็บตายไป แม้พระพุทธเจ้าก็ต้องตาย นี่มีคนพูดอย่างนี้ ท่านทั้งหลายระวังให้ดี ระวังให้ดีๆ ว่าแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ต้องตายนั้นน่ะ นั่นมันพูดภาษาคน พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ไม่มีความตายแก่พระพุทธเจ้าอีก นี่เป็นภาษาธรรม ฉะนั้นพูดอะไรก็ต้องระวังกันหน่อย อย่าพูดให้พระอรหันต์ตาย หรือพระพุทธเจ้าที่เป็นจอมพระอรหันต์ก็ตายอย่างนี้ เพราะมันพูดภาษาคน มันถูกสำหรับเด็กๆฟัง ไม่จริงและไม่ถูกสำหรับผู้ที่มีความรู้ฟัง เพราะว่าโดยเนื้อแท้แล้วพระอรหันต์จะตายไม่ได้ พระพุทธเจ้าจะตายไม่ได้ เพราะหมายถึงจิตที่หลุดพ้นแล้วจากความยึดถือในตัวตน ว่าต้องเกิดแก่เจ็บตาย ถ้าว่าเราไม่พ้นจากกรรมได้ ไม่อยู่เหนือกรรม ไม่สิ้นกรรมได้ พุทธศาสนาก็ไม่มีประโยชน์อะไร
เดี๋ยวนี้ได้สอนให้จนรู้จักเพิกถอนตัวตน จนไม่มีที่ตั้งแห่งกรรม กรรมก็ไม่เกิดได้ เราจึงสิ้นกรรม อยู่เหนือกรรม ได้รับประโยชน์สูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ คือมีจิตใจอยู่เหนือกรรม เมื่อเขาไม่เข้าใจ เขาก็จะเห็นว่ามันทำความยุ่งยากเกี่ยวกับภาษาคนและภาษาธรรมอย่างนี้ การที่จะให้ถือเอาข้างเดียวภาษาใดภาษาหนึ่งนั้นน่ะมันก็เป็นไปไม่ได้ เช่น ถ้า (นาทีที่ 12:10-12:15 ท่านพุทธทาสหยุดการเทศนาครู่หนึ่ง เพื่อไปคุยกับเจ้าหน้าที่เป็นภาษาใต้) เช่น ถ้าให้มีแต่ภาษาธรรม มันก็ไม่มีปัญหา คนธรรมดาทั่วไปก็รู้ไม่ได้ว่าเรานี้ไม่มีตัวเรา เราไม่ได้เกิด ไม่ได้แก่ ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ตาย คนธรรมดารู้ไม่ได้ เพราะคนธรรมดารู้สึกอยู่ มองเห็นอยู่ตามธรรมดาว่า เราเกิดมาแล้ว แก่ เจ็บ ตาย เรื่องที่ต้องเป็นไปตามกรรมก็เหมือนกัน เราเห็นกันอยู่ เรารู้สึกกันอยู่ ไม่ใช่เกิดมาแล้วจะรู้สึก จะรู้จักความไม่มีตัวตน แล้วก็ไม่ต้องเป็นไปตามกรรม อย่างนี้ก็ทำไม่ได้ นี่รู้จักแบ่งแยกให้ดี ว่าภาษาคนพูดว่าอย่างไร มีความหมายอย่างไร ก็เข้าใจกันไปให้ได้ ให้ถูก ให้ตรงตามภาษาคน คือภาษาสมมติ ตามความรู้สึกของคนธรรมดาสามัญ
ทีนี้พอมาถึงผู้ที่รู้ธรรมะ รู้ความหลุดพ้น มันก็พูดไปอีกอย่างหนึ่งว่า อ้าว, ไม่มีคนโว้ย ไม่มีใครเกิดแก่เจ็บตายโว้ย ไม่มีใครที่เป็นไปตามกรรมโว้ย นี่จิตมันหลุดพ้นหมายความว่าอย่างนี้ จะพูดสำหรับลูกเด็กๆ ถ้าพูดภาษาคนก็พูดว่าพระพุทธเจ้าตายแล้ว เหมือนที่เด็กๆเขาพูดกัน คือไม่ได้ใช้คำว่าพระพุทธเจ้านิพพานแล้วมันก็คือตายนั่นเองตามภาษาลูกเด็กๆ แต่ถ้าพูดภาษาผู้รู้หรือภาษาธรรม พระพุทธเจ้าไม่มีวันตาย พระพุทธเจ้าจะอยู่เป็นนิรันดร อยู่คู่กับเราเป็นนิรันดร การใช้คำพูดผิดให้โทษกว้างขวาง เช่นว่าพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว ตายแล้ว หรือนิพพานแล้วไม่ได้อยู่ อยู่ เหลืออยู่นี่ก็เป็นปมด้อยเกิดขึ้นแก่พุทธศาสนา คือพวกศาสนาคริสเตียน เมื่อแรกเข้ามาในประเทศไทยใหม่ๆ เขาก็มาศึกษาสอบสวนเรื่องหลักของพุทธบริษัทว่าถือกันอยู่อย่างไร พุทธบริษัทที่รู้แต่ภาษาธรรม เอ้ย, รู้แต่ภาษาคนก็ตอบไปว่า พระพุทธเจ้านิพพานแล้วคือตายแล้ว ทีนี้พวกมิชชันนารีเขาก็ถามขึ้นว่า คุณนี่จะพึ่งคนที่ตายแล้วไม่ได้มีอยู่ดี หรือว่าพึ่งคนที่ไม่รู้จักตายและมีอยู่ตลอดเวลาดี คือพระเจ้านี่ไม่รู้จักตาย มีอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าตายแล้วนิพพานแล้ว คุณจะเลือกพึ่งใคร พึ่งคนที่ตายแล้วดีหรือว่าพึ่งคนที่ยังอยู่ตลอดไปดี นี่พุทธบริษัทมันเคยทำปมด้อยอย่างนี้ นี่เป็นเรื่องจริงที่เขาบันทึกอยู่ในเรื่องราวที่เป็นเรื่องจริง ขอให้คิดดูเถอะว่า การพูดไปโดยภาษาคน งมงาย พระเจ้าตายแล้ว ไม่ได้เหลืออยู่ แล้วเราก็ร้องตะโกนว่าพึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ พึ่งพระเจ้า พุทธเจ้าที่ตายแล้ว จะพึ่งได้อย่างไร พระพุทธเจ้าที่เป็นที่พึ่งได้ต้องยังอยู่ ต้องไม่ตาย นี่ รู้จักพูดภาษาคนก็ให้ดีๆ รู้จักพูดภาษาธรรมให้ดีๆ ต้องไม่ปนกันด้วย
ทีนี้ภาษาคน ภาษาธรรมนี้ มันยังมีประโยชน์ที่จะใช้แปลถ้อยคำที่มีกันอยู่ทุกๆศาสนา ภาษาคนที่เขาพูดไว้สำหรับประโยชน์ทางศีลธรรม ให้พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลพิเศษอย่างในพระคัมภีร์ พระพุทธเจ้าประสูติออกมาก็เดินได้ ก็เดินได้เจ็ดก้าว อย่างนี้เป็นต้น หรือว่าเทวดามารับ รับพระกุมารนี่ก่อนมนุษย์ ก็ เทวดารับแล้วจึงส่งให้มนุษย์ นี้มันก็เกิดความยุ่งยากลำบากให้แก่เด็กๆหรือนักศึกษา เด็กๆมันไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง ก็เพราะว่าเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้านี้มัน มันพ้นวิสัยที่จะเชื่อว่ามีจริง เช่นว่าเกิดมาก็เดินได้อย่างนี้ นั้นเป็นการกล่าวอย่างภาษาคนเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ในความหมายของภาษาคน ถ้าคนเชื่อก็ดีไป ในที่บางแห่ง บางยุค บางสมัย คนก็เชื่อมันก็ดีไป แต่พอมาถึงยุคถึงสมัยที่คนไม่เชื่อ มันก็เกิดเป็นปัญหาขึ้น เพราะฉะนั้นเราจึงต้องอธิบายโดยภาษาธรรม ว่าพระพุทธเจ้าเกิดนี่ไม่ใช่ประสูติ ไม่ๆใช่หมายถึงการประสูติจากท้องพระมารดา คือหมายความว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาในโลก เหมือนวันวิสาขบูชานั่น ถ้าผู้รู้ถึงที่สุดก็ว่าพระพุทธเจ้าเกิดนั่นคือการสิ้นไปแห่งกิเลส หรือการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั่นเอง นี่เรียกว่าพระพุทธเจ้าเกิด เกิดขึ้นในโลก หรือว่าความเป็นพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นในบุคคลคนหนึ่งซึ่งเกิดหรือคลอดมาจากท้องมารดาตั้ง ๓๕ ปีแล้ว อายุ ๓๕ ปีแล้วจึงเกิดเป็นพระพุทธเจ้า เกิดอย่างนี้มันก็เดินได้สิ เกิดเป็นพระพุทธเจ้าก็เดินได้ คือว่ากล่าวกันโดยภาษาธรรม เกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าหมายถึงพระศาสนาเกิดขึ้นแล้วก็แผ่ไปได้ใน ๗ แคว้น ๗ ประเทศ ในประเทศอินเดียสมัยนั้น หมายความว่าพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ติด ไม่ตัน ไม่ตายด้าน เผยแผ่ไปได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับไฟลามป่า ด้วยการตรัสรู้ของพระองค์ทำลายทิฐิของคนที่เป็นมิจฉาทิฐิ ถือลัทธิต่างๆที่ตรงกันข้าม ที่ต่อต้าน อันนี้มันต่อต้านไม่ได้ ลัทธิของพระองค์แผ่ไปได้โดยเร็ว นี่เรียกว่าใน ๗ ประเทศนี่ก็แผ่ไปได้ในเวลาอันสั้น เหมือนกับว่าพอเกิดขึ้นมาเป็นพุทธศาสนาก็แผ่ไปได้ มันก็ไม่ขัดกัน ไอ้เด็กๆเขาก็จะรับพระพุทธเจ้าได้ เพราะว่าท่านเกิดมานี่ไม่มีใครต่อต้านได้ คำสอนของท่านแผ่ไปโดยเร็ว
ที่ว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าประสูติน่ะ พระพุทธเจ้าประสูติน่ะ เทวดารับก่อนมนุษย์ มนุษย์นี่มันหมายถึงคนธรรมดา เทวดาหมายถึงคนฉลาดหรือคนชั้นสูง การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้านี้มันเป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งแก่คนชั้นสูงที่มีการศึกษา เขาก็รับได้และรับก่อน ไอ้คนธรรมดาที่ไม่มีการศึกษา คนโง่เง่าธรรมดานี่ก็รับทีหลัง รับได้ทีหลัง คนชั้นพระราชามหากษัตริย์ หรือคนชั้นเจ้าลัทธิที่เฉลียวฉลาดเช่น ชฎิลเป็นต้น นี่เขารับก่อน เขาเข้าใจก่อน เข้าใจได้ทันที แพร่หลายเป็นปึกแผ่นในคนชั้นเทวดาเหล่านี้ แล้วจึงค่อยๆลงไปถึงคนชาวบ้านธรรมดา ชาวไร่ ชาวนา ไปรู้กันในทีหลังหรือยุคหลัง ข้อความที่เป็นตำนานทางนิยาย ก็ภายในปีสองปีนี้ พระพุทธเจ้าก็ขึ้นไปโปรดพระมารดาบนเทวะ ในเทวโลก ถ้าเราอธิบายอย่างภาษาธรรมก็เข้าใจได้ว่าเทวดาเขาได้ก่อน เขาฉลาด เขารับเอาก่อน แล้วคนชาวบ้านก็เอาทีหลัง นี่ประโยชน์ของภาษาคน ภาษาธรรมมันมีอยู่อย่างนี้
ถ้าว่าไม่แปลความภาษาคนให้เป็นภาษาธรรมแล้วมันจะขัดกันไปหมด และโดยเฉพาะในระหว่างศาสนา ศาสนาแต่ละศาสนามีคำกล่าวในภาษาคนบ้าง ภาษาธรรมบ้างตามแบบของตน ถ้าไม่แปลความข้อนี้ให้เป็นภาษาธรรมแล้วมันก็จะเข้ากันไม่ได้ เดี๋ยวนี้เราจะต้องการทำความเข้าใจระหว่างศาสนา จึงต้องรู้จักอธิบายธรรมะในภาษาธรรม ถ้าไม่อธิบายในภาษาธรรม เรื่องเกี่ยวกับพระศาสดาก็จะเป็นนิยายไปหมดสิ้น เป็นนิยายอย่างที่เขาเรียกว่าว่า Myth หรือ Mythology คือมันเป็นนิยายไปหมดสิ้น ว่าพระพุทธเจ้าเกิดมาก็เดินได้อย่างนี้ มันเป็นเรื่องนิยายไปที่ต้องบังคับให้เชื่อ แต่ถ้าแปลความเป็นภาษาธรรมแล้วไม่ต้องบังคับให้เชื่อ มันก็เข้าใจได้
ศาสนาอื่นๆก็เหมือนกัน อย่างข้อความในคัมภีร์คริสเตียนใบแรก หน้าแรก เกิดแสงสว่าง พระเจ้าสร้างแสงสว่างก่อนสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ อย่างนี้ เด็กๆมันก็เข้าใจไม่ได้ เพราะมันเห็นอยู่ทุกวัน แล้วมันเรียนมาแล้วว่าแสงสว่างนี้มาจากดวงอาทิตย์ คำว่าแสงสว่างในวันแรกที่สร้างนั้น มันมีความหมายในภาษาธรรม ไม่ใช่ในภาษาคน คือมันเป็นอำนาจอะไรอันหนึ่งที่จะสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ขึ้นมาอีกทีหนึ่ง พระเจ้าสร้างแสงสว่างในวันที่หนึ่ง แล้วต่อวันที่สี่นั้นจึงจะได้สร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ในระยะ ๗ วันนั้น มันเข้าใจไม่ได้ ไอ้คำว่าแสงสว่างที่สร้างในวันที่หนึ่งนั้นมันคืออะไรนี่ ต้องถอดความหมายโดยภาษาธรรม คืออำนาจที่จะทำให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้นและวิวัฒนาการเป็นไป นั่นน่ะคือกฎของธรรมชาติ เดี๋ยวนี้เอามาเรียกว่าแสงสว่าง สิ่งแรกที่มีอยู่ก่อนสิ่งอื่นมันก็คือกฎของธรรมชาติ หรืออำนาจที่จะให้เกิดวิวัฒนาการเป็นไปนี่ มันมีอยู่แล้วตั้งแต่วันที่หนึ่ง ต่อถึงวันที่สี่ ถึงยุคที่สี่ อะไรที่สี่ จึงจะเกิดดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ขึ้นมา มันก็ไม่ผิด ก็เป็นไอ้ เป็นข้อความที่รับได้ เด็กๆก็ยังรับได้ นักศึกษาสมัยนี้ก็รับได้ ทางฝ่ายพุทธก็รับได้ ทางฝ่ายคริสต์ก็รับได้ ว่ามีอำนาจอะไรอันหนึ่งซึ่งสามารถบันดาลให้สิ่งทั้งหลายเป็นไป มีอยู่ก่อนสิ่งใด และสิ่งต่างๆก็เกิดขึ้นตามลำดับ สิ่งนี้ก็ได้แก่คำว่า ธรรม ในความหมายที่สองคือกฎของธรรมชาติ
ถ้าเราใช้ภาษาธรรมในกรณีที่ต้องใช้ภาษาธรรม มันจะไม่มีอะไรขัดขวางกันเลย สำหรับข้อความในพระศาสนา ในคัมภีร์ของแต่ละศาสนา อาตมาจึงรู้สึกว่ามันมีความจำเป็นอย่างยิ่ง หรือมันมีประโยชน์อย่างยิ่งที่เราจะต้องใช้ภาษาธรรมให้ถูกเรื่อง ใช้ภาษาคนให้ถูกเรื่อง แล้วเราก็จะเข้าใจศาสนาของเราเองดีขึ้นถึงที่สุด แล้วเราก็จะเข้าใจซึ่งกันและกันในระหว่างศาสนา จึงได้ผลอันกว้างขวาง ทำความร่วมมือกันได้ในการที่จะสร้างสันติภาพให้แก่โลกนี้ นี่คือภาษาคน ภาษาธรรม ที่ได้มองเห็นแล้วก็บอกขึ้นและกล่าวขึ้น ที่จริงเขาก็มีพูดกันอยู่ก่อนบ้างเหมือนกัน แต่เขาเรียกอีกอย่างหนึ่ง คือเขาใช้คำว่า บุคลาธิษฐาน หรือ ธรรมาธิษฐาน บุคลาธิษฐานแปลว่าตั้งทับบุคคล ธรรมาธิษฐานแปลว่าตั้งทับธรรม เพราะฉะนั้นคำกล่าวที่เป็นบุคลาธิษฐานมันยัง มันระบุไปยังบุคคลหรือวัตถุ ที่เป็นธรรมาธิษฐานก็ระบุไปยังธรรมหรือนามธรรมซึ่งไม่ใช่วัตถุ ถ้าเอาไปปนกันแล้วจะไม่รู้เรื่อง หรือถ้าแสดงโดยบุคลาธิษฐานมันไม่ลึกซึ้งเพราะมันติดวัตถุ ถ้าแสดงโดยธรรมาธิษฐานจะลึกซึ้งถึงที่สุดเพราะมันไม่ติดอยู่ที่วัตถุ
ทีนี้มามองเห็นว่า คนธรรมดาสามัญนี้พูดกันแต่บุคลาธิษฐาน ภาษาพูดของเขาจึงเป็นภาษาคน คนธรรมดา ภาษากลางถนน ภาษากลางตลาด ต่อเมื่อเป็นนักปราชญ์ เป็นฤษีมุนี มีสติปัญญาในทางธรรมนั้นจึงจะมองเห็นลึกกว่า แล้วก็พูดในภาษาธรรม ฉะนั้นเราได้รับประโยชน์จากภาษาธรรม ก็ยังมีคนคัดค้าน เยาะเย้ยว่าทำให้มันยุ่ง ก็ตามใจ เดี๋ยวนี้เรื่องภาษาคน ภาษาธรรม เป็นที่สนใจของชาวต่างประเทศมาก หลังจากที่แปลเป็นภาษาอังกฤษแล้ว ก็มีบุคคลติดต่อขออนุญาตแปลเป็นภาษาอื่นๆต่อไปอีก เช่นกำลังแปลเป็นภาษาเยอรมันอยู่ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าการใช้ภาษาคน ภาษาธรรม แพร่หลายกว้างขวางออกไป ความสัมพันธ์ในทางศาสนา ระหว่างศาสนาก็จะดีขึ้นเป็นแน่นอน ไม่มีเรื่องเหลืออยู่สำหรับเด็กๆจะสงสัย ว่ามันเป็นเรื่องนิยายไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นอะไรต่างๆ ถ้าจะล้อ มันก็ล้อคนที่ไม่รู้จักภาษาคน ภาษาธรรมนั้นต่างหาก ทำไมจะต้องมาล้อเราที่รู้จักและต้องการจะใช้ไอ้ภาษาคน ภาษาธรรม เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่น่าหัวขึ้นมาชั้นหนึ่ง น่าล้อขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง คือตั้งใจจะทำให้ดีให้มีประโยชน์ ให้สำเร็จประโยชน์โดยกว้างขวาง ก็ยังมาถูกล้อ นี่เรื่องหนึ่ง
แล้วเรื่องต่อไปอีก ก็จะพูดถึงเรื่องที่เราเรียกกันว่า นิกายเซน นิกายเซน อยากจะคุยโตสักหน่อย ว่าไอ้เรื่องนิกายเซนนี่ รู้จักกันขึ้นมาในภาษาไทยนี่ ก็เพราะอาตมานะ นี่ นี่เรียกว่าคุยโตนี่ ก่อนนี้ในภาษาไทยไม่ได้สนใจเรื่องคำว่าเซน ไม่รู้จัก ไม่รู้เรื่อง จนถึงวันหนึ่งจึงได้แปลหนังสือเวลา พิมพ์ออกมาเป็นภาษาไทย จึงเอะอะๆกันขึ้น เรื่องเซน เรื่องเซนอย่างนั้น เรื่องเซนอย่างนี้ แล้วเราก็ต้องรับบาป โดยเขาหาว่าเป็นเซน นิยมเซน สอนเซนก็ได้ เขาว่าอาตมานี่นิยมเซน สอนเซน นับถือเซน แล้วต่อมาหนังสือฮวงโปก็แปลออกมาอีก เรื่องเซน มันก็เป็นที่สนใจกันมาก จึงมีการนิยมสั่งซื้อหนังสือเซนที่เป็นภาษาอังกฤษนี่เข้ามาขายกันในเมืองไทยยกใหญ่ หรือเป็นที่รู้จักกันกว้างขวาง ก่อนนี้ไม่มีใครได้ยิน หรือรู้จักคำว่าเซน ก็จะบอกให้ว่าไอ้คนพูดนั้นมันไม่รู้ข้อเท็จจริงอันนี้ อาตมาไม่ได้นิยมเซน หรือว่าถือเซน หรือสอนเซนอะไร มันไม่ดีอะไรไปกว่าพุทธศาสนาชนิดที่เรามีๆกันอยู่แล้ว แต่พุทธศาสนาอย่างเซนก็เป็นที่น่าสนใจ ใครไปเรียนไปรู้เข้าก็ต้องฉลาดยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
พุทธศาสนาอย่างแบบเซนนี่มันเกิดขึ้นในประเทศจีน เขาเรียกว่า เสี่ยง เขาไม่ได้เรียกว่าเซน ต่อไป ต่อเมื่อไปถึงประเทศญี่ปุ่นจึงเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า เซน พุทธศาสนาอย่างเซนนี่มันเกิดขึ้นเพราะความจำเป็น คือเมื่อพุทธศาสนาไปถึงประเทศจีนในสมัยนั้นคนเขาฉลาดอยู่แล้วด้วย ด้วยลัทธิขงจื้อ ลัทธิเล่าจื้อ มันฉลาดอย่างยิ่งอยู่แล้ว ถ้าพุทธศาสนาเข้าไปทึ่มๆอย่างธรรมดาสามัญอย่างนี้ ไม่ปรับปรุงแก้ไขเสียใหม่ ไม่เข้ารูปกันได้กับหัวของคนที่มันฉลาดอยู่ด้วยลัทธิขงจื้อ เล่าจื้อ มันไปไม่รอด ไม่มีใครเอาหรอก พุทธศาสนาจึงต้องปรับปรุงเสียใหม่ ปรับตัวเสียใหม่ ให้เป็นที่สบใจของคนฉลาดอยู่ด้วยลัทธิขงจื้อ หรือเล่าจื้อ นี่มันจึงต้องเกิดพุทธศาสนาอย่างเซนขึ้นมาในประเทศจีน นี่ค่าของมันเป็นอย่างนี้มันจึงน่าสนใจ แต่บาง บางคนเข้าใจผิดคิดว่าเซนนี่เป็นมหายาน เป็นพุทธศาสนาอย่างมหายาน มันเป็นไปไม่ได้ มหายานนั่นเขาไปตามเนื้อผ้าสำหรับคนทั่วๆไป พุทธศาสนาอย่างเซนนี่มันเกิดขึ้นเพื่อจะล้อ ล้อ ล้อพวกมหายานมากกว่า คือมันทำเป็นเรื่องของสติปัญญา เรื่องของมหายานนั้นอยู่กับความเชื่อ นิกายสุขาวดี อมิตาภะ จึงจะเชื่อเรื่องพระพุทธเจ้าอมิตาภะก็รอดตัวได้ พวกเซนเขาล้อ มีคำล้อที่คมคายต่างๆนานา ฉะนั้นก็เซนนั้นก็ไม่ใช่มหายาน มันเกิดขึ้นเพื่อจะล้อมหายาน
ทีนี้เมื่อมาเทียบกับเถรวาทเรา ไอ้เซนมันก็ไม่ใช่เถรวาทอีก หรือมันจะมีส่วนคล้ายเถรวาท แต่ว่ามันไปทำให้เข้มข้น เหมือนกับเอาไปงวดเข้าให้มันข้น แล้วก็ใส่วิธีการให้เฉียบแหลม รวดเร็ว คมคายนี่ จึงเกิดเป็นเซนขึ้นมาอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่มหายานและไม่ใช่เถรวาท นี้พวกเราในเมืองไทยนี่เป็นพวกเถรวาท ออกจะยึดหลักตามตัวหนังสือแน่นแฟ้นอยู่มาก เพราะฉะนั้นควรจะได้ฟังหรือได้รู้เรื่องของพวกอื่นบ้าง โดยเฉพาะของพวกเซนนี่ ก็จะทำให้เกิดความเฉลียวฉลาดขึ้นมาอีกแบบหนึ่งซึ่งมีประโยชน์ ไม่ให้โทษอะไร ฉะนั้นจึงยืนยันว่าไอ้เรื่องเซนนี่ไม่เสียหลาย ศึกษาให้เข้าใจแล้วก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ เป็นวิธีการอันหนึ่งที่จะใช้ประโยชน์ได้ เป็นการทำสมาธิกับปัญญาพร้อมกันไป ไม่ต้องแยกกัน อย่างนี้เรียกว่าวิธีของเซน ไปมัวแยกศีล แยกสมาธิ แยกปัญญาออกเป็นเรื่องๆนี้มันงุ่มง่าม มันงุ่มง่าม มันหลายเรื่อง มันดึงกัน เพราะฉะนั้นเขาจึงเอามารวมเข้าเป็นเรื่องเดียว ศีลก็รวมอยู่ในเซน สมาธิก็รวมกันอยู่กับปัญญาแล้วก็เป็นเซน เขาจึงได้เรียกว่านิกายรวดเร็ว นิกายฉับพลัน ไม่รู้ก็ไม่รู้ ถ้ารู้ก็เป็นแทง เหมือนกับพรวดเดียวตลอด เหมือนกับฟ้าแลบ เหมือนกับสายฟ้าแลบ ฉะนั้นจึงเป็นวิธีการอันหนึ่งสำหรับทำให้เร็วเท่านั้นเอง ส่วนหลักของธรรมะนั้นก็เป็นอย่างเดียวกันน่ะ คือสอนให้เห็นความจริงที่ว่าไม่ใช่ตัวตน แต่เขาใช้คำมันแปลกออกไป เช่นใช้คำว่า จิตเดิม จิตเดิมแท้ จิตเดิมๆ ก่อนที่จะเกิดโง่ว่ามีตัวตน นั่นน่ะคือจุดหมายของเซน จิตที่มาหลง โง่ คนมีตัวมีตน ติดอยู่ในดี ในชั่ว ในบุญ ในบาป ในวัฏสงสารนี่ มันไม่ ไม่ดับทุกข์ ฉะนั้นมุ่งเอาจิตก่อนแต่ที่จะโง่อย่างนี้ เขาจึงได้เรียกว่าจิตเดิม หรือ จิตแท้ หรือจิตจริง คือจิตล้วนๆ ทำนองจิตประภัสสรของเถรวาทเรา เขาจึงต้องการจะพบจิตอันนั้น จิตชนิดนั้น ก็เรียกว่าบรรลุถึงจิตเดิมแท้ มันก็มีประโยชน์ไปตามแบบของการที่มีจิต ก่อนแต่ที่มันจะโง่หรือมันปลดเปลื้องความโง่ออกไปเสียได้ เป็นจิตเดิม เขาก็พูดเปรียบเทียบในภาษาคนว่า เหมือนกับจิตของเด็กในท้องมารดา จิตของเด็กในท้องมารดาไม่ได้คลอดออกมานั้นน่ะมันไม่มีกิเลสตัณหาอะไร มันปรุงอะไรไม่ได้ มันยังเป็นจิตล้วนๆ แต่ก็ขอให้เข้าใจนะ ให้เห็นอกเห็นใจเขาบ้าง เขาอุปมาอย่างนี้ เพราะมันไม่มีอุปมาอย่างอื่นจะดีกว่านี้ ไอ้นักค้าน นักด่า มันก็คอยแต่จะค้าน คอยแต่จะด่า ก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไร นี่เราควรจะรู้ว่า พวกนี้เขามีวิธีพูดอย่างนี้ มีวิธีสอนอย่างนี้ มีจุดมุ่งหมายว่าจะให้เข้า เข้าถึงจิตที่ไม่โง่ จิตที่ก่อนแต่จะโง่ เป็นจิตล้วนๆ เป็นจิตเกลี้ยง เป็นจิตเดิม ขอให้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าเซนโดยหลักอย่างนี้ แล้วก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่หลักธรรมะในฝ่ายเถรวาทด้วยได้
ในนิกายเซนนั้นน่ะไปเน้นเรื่องสุญญตามากที่สุด เรื่องตถตา เรื่องสุญญตานี่เขาใช้มากที่สุด เอามาพูดจามากที่สุด ก็มีวิธีเซนให้เข้าถึงสุญญตาหรือตถตานั้นโดยเร็วที่สุด นั่นแหละคือเซน พวกคนที่เขาไม่เห็นด้วยเขาก็ด่าอาตมาตามเคยว่าขบถต่อพุทธศาสนา ไปเอื้อมเอาอันอื่นที่ไม่ใช่พุทธศาสนามาสั่งมาสอน นี่ไม่มี ไม่จริง เราไม่ได้นิยมเซน หรือถือเซน หรือสอนเซน แต่เราต้องการจะให้ฉลาดไม่น้อยกว่าพวกเซน ก็รู้เรื่องของพวกเซน เท่าที่จะไม่ขัดขวางกันกับเรื่องของเถรวาท เอามาประกอบให้ฉลาด ให้ลืมหูลืมตาขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง อย่าให้มัวงมโง่หลับหูหลับตาอยู่ จนไม่รู้ว่าพวกอื่นน่ะเขามีวิธีสอนอย่างไร คนพวกหนึ่งเขาขอบใจอาตมาที่ว่าทำให้ได้มีการศึกษาและรู้จักเรื่องเซนขึ้นในเมืองไทย แต่คนอีกพวกหนึ่งเขาด่า เขาประณามว่าทำให้เกิดความไขว้เขวยุ่งยาก เอามิจฉาทิฐิมาสอน นี่ใครเป็นผู้ที่ควรจะถูกล้อ อาตมาควรจะถูกล้อ หรือว่าคนที่ด่าอาตมานั่นน่ะเป็นคนที่ควรจะถูกล้อ ไปลองคิดเอาเองก็แล้วกัน แต่วันนี้ก็อยากจะล้อตัวเองว่ามันโชคดีอะไรนะ ทำทีเดียวได้ผลมากทั้งถูกด่าและถูกชม ใครมันทำอะไรได้กำไรอย่างนี้บ้าง ทำทีเดียวได้ทั้งสองอย่าง คือทั้งถูกด่าและถูกชม เขามักจะได้กันเพียงข้างเดียว ได้ข้าง ได้ถูกด่าก็ถูกด่าไปข้างเดียว ถูกชมก็ชมไปข้างเดียว อาตมานี้โชคดีได้ทั้งถูกชมและถูกด่า และก็ด่าอย่างแรงๆเสียด้วย คือด่าให้เป็นมิจฉาทิฐิน่ะ มันก็แรงที่สุดแล้ว สำหรับที่จะเป็นการด่ากันในแบบของชาวพุทธ นี่เรื่องเซน
ทีนี้เรื่องต่อไปก็จะพูดถึงเรื่องคริสต์ เอาเรื่องคริสเตียนมาพูด มาอธิบาย มาทำความเข้าใจ ก็เพื่อจะทำความเข้าใจระหว่างศาสนาให้มันกลมกลืนกันได้ ไม่ใช่ต้องการจะให้เปลี่ยนศาสนา ท่านทั้งหลายคงจะยังจำได้ว่าอาตมาได้มีปณิธานตั้งไว้ว่าจะทำความเข้าใจในระหว่างศาสนาให้เข้าใจกันดี และต้องการจะให้แต่ละคนในศาสนาของตนรู้ซึ้งถึงศาสนาของตนถึงที่สุด แล้วต้องการจะให้โลกนี้เป็นอิสระออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม นี่ปณิธานซึ่งมันออกจะใหญ่โตอยู่มาก ได้ตั้งไว้อย่างนี้
ทีนี้ก็เลยพยายามเรื่อยๆมาที่จะทำความเข้าใจระหว่างศาสนา และให้ทุกคนเข้าใจศาสนาของตนดียิ่งขึ้น และก็รวมถึงการให้รู้จักใช้ภาษาคน ภาษาธรรม ในการศึกษาศาสนาของตนๆ เข้าใจดีแล้วก็จะพบว่า เมื่อกล่าวโดยภาษาธรรมแล้ว ทุกศาสนามันก็มีอะไรที่เข้ากันได้หรือเหมือนกัน คือความหมด หมด หมดความเห็นแก่ตน หมดความมีตนเป็นของตน เหลืออยู่แต่สิ่งๆหนึ่งซึ่งประเสริฐ วิเศษ ไม่รู้จักเกิดแก่เจ็บตาย อย่างนี้เป็นต้น เขาจะเรียกว่าพระเจ้าก็ได้ เราก็เรียกว่าพระนิพพานก็ได้ คือมันมีสถานะอันหนึ่งซึ่งเมื่อเข้าถึงแล้วไม่มีความทุกข์ก็แล้วกัน
ทีนี้วิธีการที่จะเข้าถึงจุดๆนั้นมันก็ต่างกันบ้าง แต่มันก็ต่างกันแต่เพียงผิวเปลือก ส่วนเนื้อในมันก็ตรงกันตรงที่ว่า รักผู้อื่น เหมือนที่วันนี้เราก็ได้พูดกันมาแล้ว อธิบายกันแล้วว่า ทุกศาสนามีหัวใจคือความรักผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ผู้อื่น มันก็เหมือนกันที่ตรงนี้ ทุกศาสนาทำความเข้าใจกันได้ที่ตรงนี้ โดยเฉพาะศาสนา คริสเตียน เราต้องการจะทำความเข้าใจกันเพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งโลก เรื่องนี้มันช่วยไม่ได้เสียแล้ว คือในข้อที่ว่ามันต้องมีหลายศาสนา แล้วก็ต่างคนต่างถือศาสนาของตนๆ มันไม่เหมือนกับยุคแรกที่ยังไม่มีศาสนาแตกแยกกันเป็นแต่ละศาสนาอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันได้แตกแยกแล้ว มันก็มีศาสนาหลายศาสนา ทีนี้ความสุขหรือสันติสุขของโลก ของคนทั้งโลกนี่ มันต้องรวมถึงไอ้ข้อที่ศาสนานี่ช่วยกันทำให้คนแต่ละคนเข้าถึงหัวใจของศาสนาของตน ก็ไม่มีความทุกข์ ก็มีความสงบสุข อยู่ร่วมกันได้ เราจึงพยายามทำความเข้าใจศาสนาอื่น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือคริสตศาสนา ที่มีอิทธิพลมาก ที่เข้าครอบคลุมอยู่ในที่ทั่วๆไป เพราะว่าไอ้ชนชาติที่เขาถือคริสตศาสนานั้นเขามีอำนาจ เขามีกำลัง เขามีอะไรต่างๆ มันก็เป็นความ ความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องๆๆต้อนรับกันให้ดีๆ สัมพันธ์กันให้ดีๆ ไม่ต้องทะเลาะวิวาทกันเพราะอำนาจของศาสนา แล้วมนุษย์ก็จะอยู่กันเป็นผาสุกอย่างนี้
อาตมาจึงพยายามที่จะชี้ความเหมือนกันในระหว่างศาสนา เช่นว่าระหว่างพุทธกับคริสต์ มันก็เกิดปฏิกิริยาขึ้นมาทันที ฝ่ายคริสต์เขาก็ระแวงว่าเราจะไปกลืนศาสนาของเขา เขาก็มองอาตมาในฐานะเป็นศัตรูที่ไว้ใจไม่ได้ ตั้งใจจะกลืนศาสนาของเขา ทีนี้ฝ่ายพุทธเราก็มองอาตมาว่า ขบถกับพระพุทธเจ้าเสียแล้ว ไปสอนคริสเตียนเสียแล้ว ไปยกย่องคริสเตียนเสียแล้ว เขาก็ด่าว่าเป็นคนกบฏ เลยได้กำไรมากอีกเหมือนกัน ได้กำไรทั้งขึ้นทั้งล่อง ฝ่ายนู้นก็ด่าฝ่ายนี้ก็ด่า ใครเคยทำได้อย่างนี้บ้าง มีกำไรมาก คือถูกทั้งขึ้นทั้งล่อง นี่เรื่องที่มันจะต้องเอามาพูดกัน จะล้อหรือไม่ล้อก็แล้วแต่ แล้วใครควรจะเป็นผู้ถูกล้อ อาตมาควรถูกล้อ หรือว่าคนที่ด่าอาตมานั่นแหละเป็นคนที่ควรจะถูกล้อ
ไอ้เรื่องศาสนาแต่ละศาสนานี่เขามีวิธีปฏิบัติเป็นหลักการของเขาทั้งนั้น และถ้าหลักการนั้นมันสบเหตุผลตามธรรมชาติมันก็ได้ผลดี เดี๋ยวนี้เรามองเห็นว่า ไอ้หลักการบางอย่างในศาสนาคริสเตียนน่ะเขาทำไว้ดี เขาทำให้ลูกเด็กๆมีพระเจ้า เชื่อพระเจ้าอย่างมั่นคง ก็ไม่ทำบาปทำชั่วเพราะกลัวพระเจ้า ฝ่ายพุทธเราก็เหมือนกันแหละ มีอะไรอันหนึ่งมาทำให้กลัวบาป อยากได้บุญแล้วก็ไม่ทำบาป แต่วิธีการบางทีมันยังไม่แน่นแฟ้น ไม่เข้มแข็ง ไม่ย่อหย่อน จึงอยากจะใช้วิธีการบางอย่างของคริสเตียนที่จะทำให้เกิดความเชื่ออย่างมั่นคงในสิ่งสูงสุดสำหรับศาสนา จึงแนะว่าวิธีการของคริสเตียนทุกอย่างเลย เอามาดัดแปลงใช้เป็นอย่างของเราได้ เช่นว่า ถือว่ามีพระเจ้าผู้สร้าง เราก็มีพระธรรมเจ้าเป็นผู้สร้าง เราต้องรัก เราต้องเชื่อฟัง เราต้องอ้อนวอน คือประจบพระเจ้า คือพยายามทำให้ดีที่สุด ให้ถูกใจพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้ทำดี ก็ทำดีที่สุด พยายามทำดีที่สุดนั่นแหละคือการอ้อนวอนพระเจ้า นี่เราต้องขอบคุณพระเจ้า ไอ้ลูกเด็กๆนี่สอนให้มันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งถ้ามันยังไม่รู้ก็ว่า ว่าอะไรก็สุดแท้แต่ ขอให้มันเชื่อว่ามีพระเจ้า มีพระธรรมเจ้า มีอะไรเป็นสิ่งสูงสุด นั่นแหละมันทำให้เรารอดชีวิตอยู่ได้ หรือสร้างเราให้เกิดขึ้นมา เพราะฉะนั้นเราจะต้องนึกถึงและขอบคุณ เช่นว่าได้กินอาหารนี่เพราะอำนาจของพระเจ้าจึงมีอาหารกินและได้กินอาหาร และก็ไม่ตายเสียในวันหนึ่งๆ พอจะนอนก็ขอบคุณพระเจ้าว่าได้ช่วยสร้างให้รอดชีวิตมาวันหนึ่งๆ มันก็คือยึดถือในพระธรรมมากขึ้นนั่นเอง ไปเรียกว่าพระธรรมไม่ขลัง สู้เรียกพระเจ้าไม่ได้ เราก็ขอบคุณพระเจ้า หรือขอบคุณพระธรรมก็แล้วแต่จะชอบ
ถ้าทำผิดต้องขอโทษให้พระเจ้ายกบาป เราหัวเยาะ หัวเราะเยาะพวกคริสเตียน อาตมาก็เคยหัวเราะเยาะว่ายกบาปอะไรกัน พระจะมายกบาปให้ชาวบ้านได้อย่างไร นี่เราไม่รู้เรื่องนี้ถึงที่สุด พระก็เป็นผู้แทนพระเจ้า ช่วยยกบาปให้ชาวบ้านเมื่อชาวบ้านทำผิด ก็ไปสารภาพกับพระ พูดจากันให้ถึงขนาดที่ ที่ว่าเสียใจอย่างยิ่งจะเลิกละความชั่วอันนี้ ขอให้พระเจ้ายกโทษโปรดให้เป็นคนบริสุทธิ์ต่อไปนี่ วิธีการอันนี้มันก็มีประโยชน์ คือทำให้คนไม่ปกปิดความชั่ว ถ้าวิธีการอันนี้บ้าบอแล้ว วิธีการแสดงอาบัติของพระสงฆ์นี่ก็บ้าบอเหมือนกัน ถ้าไม่บ้าไม่บอมันก็ไม่บ้าไม่บอด้วยกัน ในการที่จะทำตนหรือชำระตนให้สะอาดน่ะมันมีวิธีอยู่อย่างนี้
พวกคริสเตียนเขาทำจริงจังยิ่งกว่าเรานะ ทุกโบสถ์มีที่ที่สำหรับจะรับบาปจะแก้บาป แล้วก็ทำกันจริงๆจังๆ ดูคล้ายกับว่าช่างมีบาปมากเสียเหลือเกิน ไอ้เราไม่ไปแก้บาปนั้นเพราะมันปกปิดเอาไว้นะ เพราะหมักหมมเอาไว้นะ ระวังให้ดี เดี๋ยวจะเต็มไปด้วยบาป เพราะฉะนั้นอย่าไป อย่าไปดูถูกหลักการหรือวิธีการของคริสเตียน ถ้าจะเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ก็เอามาใช้ก็แล้วกัน เขาสงวนลิขสิทธิ์ไม่ได้หรอก มันเป็นเรื่องสมมติ
รวมความว่าไอ้การศึกษาคริสเตียน ทำความเข้าใจในระหว่างคริสเตียนนี่จะมีประโยชน์แก่โลก โลกจะมีสันติได้เพราะมนุษย์มีความรักผู้อื่น และเป็นอันว่าประกาศตัวเปิดเผยเสียที ว่าอาตมาไม่ได้นิยมคริสเตียนหรือว่าเปลี่ยนศาสนาไปถือคริสเตียนแล้วก็สอนคริสเตียน แต่ต้องการให้ทุกศาสนามันเข้ากันได้ ร่วมมือกันได้ ก็เพราะมันมีเหมือนกันโดยหัวใจ โดยจิตใจ เราก็ควรจะสนิทสนมกันได้ ไม่ตั้งข้อรังเกียจเกลียดชังด้วยกิเลสเดิมๆที่มันมีมึง มีกู มีสู มีกู แล้วมันก็มุ่งร้ายต่อกัน ไม่ไว้ใจกัน ระแวงกันอยู่ตลอดเวลา เผลอเข้าวันหนึ่งมันก็ทำร้ายกัน เพราะฉะนั้นเรามาตั้งปณิธานกันเสียใหม่ว่าจะทำความเข้าใจระหว่างศาสนาให้ร่วมมือกันได้ คือเป็นมนุษย์กันก็แล้วกัน มีธรรมะสำหรับความสงบสุขในหมู่มนุษย์ก็แล้วกัน อย่าต้องเป็นพวกนั้นพวกนี้ หรือจะเอาความสุขแต่พวกตัว ให้พวกอื่นเป็นทุกข์ เพราะว่าเป็นผู้อื่น อย่างนี้มันไม่ถูกแน่ เป็นความเห็นแก่ตัวที่มันเข้มข้นจนไม่ยอมเปิดโอกาส หรือเปิดช่องให้ผู้อื่นก็เป็นเหมือนเราได้
อาตมายังยืนยันต่อไปตามเดิมว่า ถ้าเขาเป็นคริสเตียนที่ดี เขาก็เป็นชาวพุทธที่ดี รวมอยู่แล้วในนั้นเสร็จ หรือว่าถ้าใครเป็นพุทธ ชาวพุทธที่ดี ก็จะมีความเป็นคริสเตียนรวมอยู่ในนั้นเสร็จ คือเขาต้องรักผู้อื่นนั่นเอง เพราะฉะนั้นเรามีความรักผู้อื่น มันก็พอแล้วที่จะเป็นได้คราวเดียวทั้ง ๓ ชนิด คือเป็นพุทธ เป็นคริสต์ เป็นอิสลามก็ได้ ถ้าเรามีความรักผู้อื่น เพราะว่ามันดีด้วยกันทุกศาสนา เพราะมันรักผู้อื่น ไอ้ที่เราแยกเป็นเขาเป็นเราแล้วรักกันไม่ได้นั้นแหละมันจะผิดต่อหลักศาสนาแม้ของตนเอง การที่เรารักพวกคริสเตียนไม่ได้นั่นแหละ คือเราจะไม่เป็นพุทธบริษัท ระวังให้ดี มันจะผิดหลักศาสนาของตนเอง ไม่อาจจะรักผู้อื่นในฐานะเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้าลงสร้างความระแวงกันขึ้นมาแล้ว ไม่เท่าไรก็จะต้องได้เป็นข้าศึกแก่กัน ฉะนั้นต้องขจัดออกไปเสียสำหรับไอ้ความยึดมั่นถือมั่น เป็นกู เป็นสู เป็นเขา เป็นเรา ต้องไม่มี เพราะว่ามันเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้าเขาจะมาเอาชาวพุทธทั้งหมดไปเป็นชาวคริสต์ที่ดี ก็ยกให้เลย ให้มันเป็นชาวคริสต์ที่ดีในโลก แต่อย่าลืมว่าถ้ามันเป็นชาวคริสต์ที่ดี มันก็เป็นชาวพุทธที่ดีเหมือนกัน พร้อมกันด้วย ปัญหามันก็ไม่ควรจะมีในข้อนี้
ถ้าเราไปเพ่งเรื่องทางวัตถุ ประโยชน์ทางวัตถุ เราก็จะยอมกันไม่ได้ ถ้าเราเพ่งในส่วนที่เป็นธรรมะอันลึกซึ้งสูงสุดแล้ว มันก็ไม่มีที่จำเป็นจะต้องขัดขวาง หรือจะต้องยินยอมอะไรที่ไหน มันเป็นไปเองของมันไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ที่ว่ามันมีความถูกต้องอย่างไร ก็มันก็เป็นไปตามนั้น ฉะนั้นเราเป็นมนุษย์ที่มีคุณธรรมแห่งความเป็นมนุษย์ คือมีจิตใจสูง มีจิตใจกว้าง รักผู้อื่นได้ด้วยจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้น นั่นแหละคือปัญหามันจะหมด เดี๋ยวนี้เราทำไม่ได้ เขาเป็นเขา เราเป็นเรา เขาจะกลืนเรา ไอ้เราก็จะกลืนเขา มันก็เลยได้ทะเลาะวิวาทกัน สงครามศาสนามันก็จะเกิดขึ้นได้เพราะเหตุนี้ เพราะแต่ละฝ่ายไม่เข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนๆนั่นเอง การศึกษาศาสนาอื่นเพื่อให้เข้าใจ เพื่อให้รักกันได้นี้ คิดว่าเป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์ สมควรกระทำ ขอให้เราตั้งใจด้วยการที่จะไม่มีศัตรู ไม่มีผู้อื่นซึ่งเป็นศัตรู มันตรงตามหลักของพระศาสนานั้นๆ
เป็นอันว่า อาตมาไม่ได้เป็นคริสเตียน ไม่ได้สอนศาสนาคริสเตียน แต่ต้องการให้ทุกศาสนานี่เข้าใจกันและกัน ร่วมมือกันสร้างสันติสุขให้แก่มนุษย์ทั้งโลกเท่านั้น อุบายวิธีจะมีอย่างไรก็ไปคิดกันดู ไปช่วยกันคิดดู วิธีไหนจะลัดสั้นที่สุด ก็ใช้วิธีนั้น นี่ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องศาสนาคริสเตียน
ทีนี้ก็จะพูดเรื่องถัดไปอีก และก็มาถึงเรื่องคอมมิวนิสต์ อันนี้สับสนที่สุด คืออาตมาถูกหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เคยมีบัตรสนเท่ห์แจกทั่วประเทศว่า อาตมากับท่านปัญญาเป็นคอมมิวนิสต์อย่างนี้ก็มี แต่แล้วมันก็เงียบหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ มีคนส่งมาให้ที่นี่ก็หลายแผ่น บอกว่าอาตมาเป็นคอมมิวนิสต์ เขาใช้คำว่าคอมมิวนิสต์ยาสั่ง คือไม่ได้ทำเดี๋ยวนี้ แต่วางแผนการไว้ในอนาคตสำหรับทุกคนจะเป็นคอมมิวนิสต์ ทีนี้ก็ลองฟังดูสิ อาตมาจะเป็นคอมมิวนิสต์ได้อย่างไร พูดอยู่ตลอดเวลาว่า เราจะฆ่าคอมมิวนิสต์ด้วยความรักผู้อื่น จะทำให้ศาสนานี้เป็นยาพิษสำหรับทำลายคอมมิวนิสต์ หรือโทษอันตรายที่เกิดจากลัทธิคอมมิวนิสต์นั่นแหละมันก็ถูกขจัดออกไป คนที่เขาได้รับประโยชน์จากการหา กล่าวหาอาตมาว่าเป็นคอมมิวนิสต์น่ะ เขาเป็นผู้โฆษณา จะด้วยอิจฉาหรือจะด้วยหวังอะไรก็ไม่ทราบ แต่ว่าเขาได้รับประโยชน์ถ้ามีการพูดกันขึ้นว่า อาตมาเป็นคอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์มันก็เข้ามาเกี่ยวข้องกับอาตมาในลักษณะอย่างนี้ เรียกว่าถูกด่าก็มี แล้วถ้าว่าไอ้โฆษณาบัตรสนเท่ห์นั้นมันประสบความสำเร็จนะ มีคนเชื่อนะ ก็จะว่า ก็จะกล่าวได้ว่า คนไทยตั้ง ๘๐-๙๐ เปอร์เซนต์นี่ก็จะเกลียดอาตมาเข้ากระดูกดำ นี่เพราะว่าคนตั้ง ๘๐ เปอร์เซนต์เกลียดคอมมิวนิสต์ พอมีการทำให้เชื่อได้ว่าอาตมาเป็นคอมมิวนิสต์ คนตั้ง ๘๐ เปอร์เซ็นต์นั้นน่ะ มันก็จะเกลียดอาตมา ถ้าคนมันมีในประเทศไทย ๔๐ ล้านคน ๘๐ เปอร์เซ็นต์มันก็กว่า ๓๐ ล้านคนน่ะที่จะมารุมกันเกลียดอาตมาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ไอ้เรื่องมันก็ดูใหญ่โตอยู่
ทีนี้มันก็ไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ ยังมีธรรมะสำหรับจะช่วยกำจัดไอ้โทษร้ายในโลกนี้ จะเป็นลัทธิคอมมิวนิสต์หรือลัทธิอะไรก็ตามใจ มันก็ไม่มีใครเชื่อกันกี่คนว่าอาตมาเป็นคอมมิวนิสต์ ดูจะไม่มีใครเชื่อ แต่ว่ามีคนอิจฉา และก็แกล้งว่า แกล้งโฆษณาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ถ้าใครจะว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เราก็ทำอะไรไม่ได้ เราก็ว่าเขาไม่ได้ แต่อยากจะพูดว่าถ้าเป็นคอมมิวนิสต์จริงนะ ก็จะเป็นคอมมิวนิสต์ที่ดีกว่าไอ้คอมมิวนิสต์ที่เขาเป็นๆกันอยู่แล้ว ไอ้คอมมิวนิสต์นี่ก็แปลกนะ เขามีความมุ่งหมายที่จะทำโลกให้เป็นสุข สงบสุขเหมือนกันแหละ คุณอย่าไปเข้าใจคอมมิวนิสต์ผิดไปเสียโดยประการทั้งปวง ไปดูไอ้หลักการของลัทธิคอมมิวนิสต์น่ะ เขาก็มุ่งหมายว่าจะให้โลกนี้มีสันติ มีความสงบสุข แต่เหตุผลของเขามันต่างจากเรา วิธีการของเขามันต่างจากเรา ฉะนั้นวิธีการที่จะสร้างสันติสุขขึ้นในโลกนั้นมันไม่เหมือนกับของเราชาวพุทธ ชาวพุทธนี้ก็ต้องการจะให้โลกมีสันติ คอมมิวนิสต์ก็ต้องการให้โลกมีสันติ นี่มันเหมือนกันตรงนี้ มันเหมือนกันตรงนี้ คอมมิวนิสต์กับพุทธศาสนาเหมือนกันที่ตรงนี้ แต่พอไปดูวิธีการที่จะทำให้โลกมีสันติมันกลับต่างกัน คอมมิวนิสต์เขาต้องฆ่าพวกหนึ่งให้หมดไป โลกจึงจะมีสันติ เขามีหลักอย่างนั้นน่ะ ไอ้เรามันมีหลักว่าทุกคนต้องรักกันจนไม่มีเขาไม่มีเรา โลกนี้จึงจะมีสันติ เพราะฉะนั้นถ้าเราทำได้อย่างนี้ เราก็เป็นคอมมิวนิสต์ที่ดีกว่า คอมมิวนิสต์ที่ประเสริฐกว่า ตรงที่เราทำให้โลกนี้มีสันติด้วยวิธีการอย่างนี้ซึ่งไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ นี่ถ้าจะเป็นคอมมิวนิสต์ก็แล้ว ก็ขอให้เป็นคอมมิวนิสต์ที่ดีกว่า ที่เหนือกว่าคอมมิวนิสต์กันอย่างนี้ มันก็ยังดียังมีประโยชน์แก่โลก เพราะว่าช่วยกันสร้างสันติภาพให้โลก พูดอย่างนี้มันก็หมิ่นเหม่สำหรับจะถูกจับไปเป็นคอมมิวนิสต์ ไม่พูดดีกว่า แต่ถึงอย่างไรก็ดี ไอ้ความมุ่งหมายที่จะสร้างสันติในโลกนี้ก็ยังมีอยู่ตลอดเวลา นี่ขอให้เข้าใจอย่างนี้ อาตมาไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์เพราะรู้ว่ามันๆ อะไรคืออะไร แต่ก็มีคนแต่งตั้งให้เป็นคอมมิวนิสต์ ชั้นเอกเสียด้วย
ขอให้ทุกคนมีศาสนาของตน เข้าถึงศาสนาของตน แล้วก็เข้มแข็งพอที่จะรับหน้าคอมมิวนิสต์ อย่าไปหลง โง่เขลาว่าคอมมิวนิสต์มา พุทธศาสนาหมด พุทธศาสนาไม่เลวถึงขนาดนั้น พุทธศาสนาไม่อ่อนแอถึงขนาดนั้น พุทธศาสนาไม่เกราะหรือเปราะถึงขนาดนั้น พุทธศาสนาต้องเป็นเหมือนภูเขา คอมมิวนิสต์เข้ามาเอาหัวชนภูเขามันก็จะต้องตายเองแหละ ฉะนั้นเรามีธรรมะที่เป็นหัวใจของพระศาสนาให้ถึงที่สุดเอาไว้ มันก็จะต่อต้านคอมมิวนิสต์ กำจัดคอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์เข้ามาหาก็หมดไปเอง เหมือนอย่างที่ว่าเป็นยาพิษสำหรับกำจัดศัตรูพืช คือความรักผู้อื่น เดี๋ยวนี้เราก็รักได้แม้แต่รักคอมมิวนิสต์ คือเราสงสารเขา เราอยากให้เขากลับใจเสียใหม่ให้ถูกต้อง ให้เขารู้จักรักผู้อื่น ไอ้ความคิดที่จะฆ่าพวกนายทุนมันก็หมดไปเอง มันก็ไม่มีปัญหาเหลืออยู่ เพราะทุกคนมันอยู่กันด้วยความรักเพื่อนมนุษย์ และเรื่องคอมมิวนิสต์มันก็มีอย่างนี้ ใครควรจะถูกล้อ อาตมาควรจะถูกล้อหรือว่าคนที่กล่าวหาควรจะเป็นผู้ที่ถูกล้อ
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่สำคัญยิ่งขึ้นทุกที ที่เขากล่าวหาว่า อาตมาสอนผิดๆเกี่ยวกับเรื่องปฏิจจสมุปบาท เขามีสอนปฏิจจสมุปบาทอย่างคร่อมภพคร่อมชาติ ตามหลักการของศีลธรรม เพื่อให้คนกลัวบาปกลัวกรรมไปตามแบบของศีลธรรม นั้นมันก็มีอยู่อย่างหนึ่งส่วนหนึ่ง แล้วก็มีมานานแล้ว ทีนี้เรามาบอกว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้นน่ะ มันไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องดีกว่านั้น มันต้องเร็วกว่านั้น ตัวในชาติหนึ่งนี้ หรือแม้แต่ในวันหนึ่งนี้มันก็มีปฏิจจสมุปบาทเป็นวงๆไป เกิดขึ้นทีไรเป็นทุกข์ทุกที เราต้องป้องกันไม่ให้เกิด หรือพอเกิดขึ้นมาก็หยุดเสียให้ได้ ทำลายเสียให้ได้ แล้วเราก็อยู่เหนือความทุกข์ ถ้าเราทำได้อย่างนี้ เราก็ไม่ต้องเวียนว่ายไปในกองทุกข์ ในชาติหน้าในชาติหลังมันก็ป้องกันเสียได้ด้วยการประพฤติกระทำที่ถูกต้องในชาตินี้ คือไม่เกิดกิเลส และเกิดความทุกข์ตามแบบของปฏิจจสมุปบาท และอาตมาก็ไม่ได้บอกเลิก ไม่ได้คัดค้านในปฏิจจสมุปบาทแบบที่เขาสอนกันอยู่เดิม ขอให้เขาสอนกันไปตามเดิมแบบคร่อมภพคร่อมชาติ เข้าใจง่าย ฟังง่ายสำหรับคนพวกหนึ่ง มีประโยชน์ทางศีลธรรม
แต่ถ้าพูดอย่างปรมัตถธรรมกันแล้วมันก็พูดอย่างนี้ พูดกันเสียใหม่ว่าไม่ต้องคร่อมภพคร่อมชาติ หรือว่าถ้าจะให้คร่อมภพคร่อมชาติก็ได้เหมือนกัน แต่ต้องอธิบายคำว่าชาติกันเสียใหม่ คือคำว่าชาติชนิดที่เกิดตัวกูขึ้นมาครั้งหนึ่ง นี่เรียกว่าชาติ เพราะฉะนั้นในวันหนึ่งเราก็มีได้หลายชาติ หลายสิบชาติ มันก็คร่อมภพคร่อมชาติกันอยู่ที่ตรงนี้ ไม่ต้องเข้าโลง ก็มีการเกิดการดับ คร่อมภพคร่อมชาติได้มาก นี้เรียกว่า เป็นปฏิจจสมุปบาทที่อธิบายตรงตามพระพุทธประสงค์ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ชัดเจนมาก ถ้ามีเวทนา มีตัณหา มันก็มีอุปาทาน มีภพและมีชาติ วันหนึ่งเรามีตัณหาร้อยครั้ง เราก็มีชาติร้อยครั้งแหละ เพราะฉะนั้นกว่าจะตายก็มีกันเป็นหมื่นชาติแสนชาติก็ได้นี่ พระบาลีปฏิจจสมุปบาทตรัสไว้ชัดเจนอย่างนั้น เมื่อใดมีตัณหา ก็จะมีอุปาทาน มีภพ มีชาติ ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว เข้าโลงไปแล้ว แล้วคนเรามันมีตัณหาได้เป็นสิบๆครั้งเป็นร้อยๆครั้ง เพราะฉะนั้นมันก็จะต้องจัดการให้มันถูกเรื่องกันกับว่าที่มันมีตัณหา มีกิเลส มีชาติ มีทุกข์เป็นร้อยๆครั้ง ทำอย่าให้มันเกิดขึ้นเสียได้ที่นี่ มันก็ไม่มีทางที่จะเกิดในชาติหน้า ถ้าเชื่อว่าชาติหน้ามีจริง มันก็มี แต่ว่าไอ้เรื่องที่ต้องทำ มันต้องทำที่นี่ ต้องทำที่ชาตินี้แล้วมีผลไปถึงชาติอื่นๆ ฉะนั้นเราจะให้มันผูกพันกันจนไอ้แก้ไขไม่ได้ จนระงับมันไม่ได้นี่ มันไม่มีประโยชน์อะไร เราต้องแก้ไขมันได้ทุกทีที่ความทุกข์เกิดขึ้น มีปฏิจจสมุปบาททีไร ก็มีความทุกข์ทีนั้น
นี่ชาตินี่ ทำ ทำความเข้าใจยาก คำว่าชาติเกิดจากท้องแม่นั้นมันก็จริง ไอ้ตายคือร่างกายนี้ทำลายไปนั้นมันก็จริง แต่ถ้าไม่มีชาติชนิดที่เกิดโดยอุปาทานแล้วมันก็ไม่มีความหมายอะไร เกิดจากท้องแม่ หรือแก่ หรือตายนี้ไม่มีความหมายอะไร ถ้าไม่มีชาติที่เป็นตัวกูของกูเกิดอยู่ในใจก่อน การเกิดจากท้องแม่นี่มันก็เกิดแล้ว แล้วมันก็ตายด้านอยู่อย่างนั้นแหละ มันไม่มีทุกข์สุขอะไร จนกว่าเมื่อใดจะเกิดชาติตัวกูของกูแบบตัณหาอุปาทานขึ้นมาในใจนี่ มันมีตัวกูขึ้นมาอย่างนี้แล้ว มันจึงไปรับเอาไอ้ชาติที่เกิดจากท้องแม่ หรือแก่ตามธรรมชาติ ตายตามธรรมดานั้นน่ะเอามาเป็นของกู มันจึงมีทุกข์เกิดขึ้นมาเพราะเกิดแก่เจ็บตายในความหมายธรรมดา ถ้าไม่มีชาติในความหมายพิเศษคือในภาษาธรรมแล้ว ไอ้ชาติในความหมายธรรมดาไม่มีความหมายอะไร นอนตายด้านอยู่นั่นน่ะ ไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรได้ พอมีชาติเป็นตัวกูโดยอุปาทานขึ้นมา อะไรก็จะลุกขึ้นมา ประดังหน้ากันเข้ามาทีเดียว ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายของกูก็จะมีความหมายขึ้นมา เกิดความกลัว เกิดความหวาดระแวงอะไรขึ้นมา นี่ความเกิดแก่เจ็บตายก็เป็นทุกข์ขึ้นมาเพราะว่าเรามีชาติชนิดที่เป็นตัณหาอุปาทาน
นี้คำว่าชาติในปฏิจจสมุปบาทนั้นน่ะ พระพุทธเจ้าท่านประสงค์ชาติชนิดนี้ ชาติที่เป็นตัณหาอุปาทาน อุปาทานว่าเรา ว่าของเรานั้นน่ะมันได้เกิดขึ้นเมื่อไร แล้วก็อะไรๆทั้งหมดก็จะมาเป็นปัญหาแก่จิตชนิดนั้น ฉะนั้นความได้ ความเสีย ความแพ้ ความชนะอะไร มันก็มามีปัญหา เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา มันจึงว่าเกิดทุกที แล้วก็เป็นทุกข์ทุกที เกิดเป็นความรู้สึกเป็นตัวกูขึ้นมาทีไร จะต้องเป็นทุกข์ทุกที ไอ้สิ่งที่มันอยู่ใกล้ที่สุดน่ะมันจะเข้ามารบกวนความรู้สึก เช่นความเกิดแก่เจ็บตายนี่ก็จะวิ่งเข้ามาเป็นปัญหา แล้วประเภทที่ว่ามันเป็นความทุกข์ทนยากอย่างอื่น โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ก็จะมีความหมายขึ้นมา ความกระทบกับสิ่งที่ไม่รัก ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ปรารถนาสิ่งใดแล้วก็ไม่ได้ตามที่ต้องการ มันก็จะเข้ามาเพราะมันมีที่ตั้งคือตัวกู ถ้าไม่เกิดความรู้สึกว่าเป็นตัวกูมันไม่มีที่ตั้ง ไอ้สิ่งเหล่านั้นมันก็ไม่รู้จะเข้ามาได้อย่างไร จะเข้ามาตั้งที่ไหน มันไม่มีที่ตั้ง นั่นแหละคือชาติในความหมายภาษาธรรม มันได้เกิดขึ้นแล้ว มันก็เป็นที่ตั้งแห่งชาติในภาษาคน
ชาติภาษาคนเกิดจากท้องแม่ ชาติภาษาธรรมเกิดจากตัณหาอุปาทาน ไอ้ชาติในภาษาธรรมต้องเกิดก่อน ไอ้ชาติในภาษาคนจึงจะมีที่ตั้งที่อาศัย เป็นความทุกข์ที่น่าหวาดกลัวขึ้นมาอย่างนี้ อาตมาอธิบายอย่างนี้ด้วยความเชื่อว่าตรงตามพระพุทธประสงค์ ตรงตามกระแสพระพุทธดำรัสของพระพุทธเจ้าในการตรัสเรื่องปฏิจจสมุปบาท ทีนี้ก็อธิบายออกมาหลังจากที่ได้งมงายค้นคว้ามาตั้งห้าสิบปีเห็นจะได้ อาตมาสนใจเรื่องปฏิจจสมุปบาทมาตั้งแต่แรกบวชหรือก่อนบวช แล้วก็อธิบายผิดๆถูกๆเรื่อยมาตั้งหลายปี ยี่สิบปีเห็นจะได้ เพิ่งมาเข้าใจถูกต้อง เป็นเงื่อนงำขึ้นมาจนมีความแน่ใจว่ามันเป็นอย่างนี้ แล้วก็อธิบายไว้อย่างนี้ ก็มีคนค้าน คนด่า คนค้านคนด่านั่นเขาเพิ่งมาศึกษาหรือว่าสนใจเรื่องนี้ แล้วก็มาค้านมาด่า ซึ่งอาตมาได้สนใจเรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อนเขาเกิดนู่น ก่อนแต่เขาเกิดน่ะเราสนใจเรื่องนี้มาแล้ว มันก็ได้ผลเป็นอย่างนี้ แล้วก็พูดขึ้นไว้ แล้วคนที่เพิ่งสนใจเมื่อวานนี้เขาด่าเราได้ ก็เป็นเรื่องที่น่าหัวหรือน่าล้อ ว่ามันมีกำไรมากเกินไป
ขอให้ทุกคนเข้าใจว่าปฏิจจสมุปบาทนี่จะมีอยู่เป็น ๒ ชนิด ชนิดเพื่อศีลธรรมคร่อมภพคร่อมชาติก็ว่ากันไปตามแบบเดิม ไม่ต้องยกเลิก เขาว่าอาตมาเป็นมิจฉาทิฐิ เป็นเจ้าลัทธิ ตั้งลัทธิใหม่ ยกเลิกของเดิมมาบัญญัติใหม่นี้ไม่จริง ไอ้ของเดิมที่จริงที่พระพุทธเจ้าตรัสน่ะคือ ไอ้ ไอ้หลักปฏิจจสมุปบาทที่เราเพิ่งศึกษาพบ สังเกตเห็นแล้วก็อธิบาย เป็นปฏิจจสมุปบาทในภาษาธรรม ไม่ต้องคร่อม คร่อมภพคร่อมชาติชนิดที่เข้าโลง ถ้ามันยังคร่อมภพคร่อมชาติ ก็ภพชาติที่มันเกิดขึ้นได้วันหนึ่งหลายสิบ หลายร้อยภพ หลายร้อยชาตินั้นเอง มันก็มีการคร่อมภพคร่อมชาติอยู่ในกระแสอันนี้ คือในวันหนึ่งก็มีการคร่อมภพคร่อมชาติได้หลายครั้งหลายหน ส่วนที่ไปคร่อมภพคร่อมชาติโดยวิธีตายแล้วเข้าโลงนั้นน่ะมันสั้นมาก มันก็เพียงชาติเดียวสองชาติ มันน้อยมาก ไอ้อย่างนี้มันคร่อมภพคร่อมชาติมากเสียกว่าจนนับไม่ไหวในวันหนึ่งๆ นี่ปฏิจจสมุปบาทในภาษาธรรม ไม่ต้องรอต่อตายแล้วเข้าโลงไปจึงจะมีเรื่องครบปฏิจจสมุปบาท มันมีเรื่องปฏิจจสมุปบาทครบอยู่ในความรู้สึกคิดนึกครั้งหนึ่งคราวหนึ่งที่เกิดตัณหาอุปาทาน พอเผลอสติ มีเว ผัสสะ มีเวทนาแล้วเกิดตัณหาอุปาทาน มันก็มีภพมีชาติครั้งหนึ่งแหละ จะกินเวลากี่วินาทีกี่นาทีก็ตามใจ หรือตั้งวันก็ได้ นี่คือปฏิจจสมุปบาทที่น่ากลัว ควรจะสนใจก่อน ควรจะเข้าใจให้ถูกต้องแล้วควบคุมมันให้ได้ คือมีสติเพียงพอ เราไปทำวิปัสสนาฝึกกันให้มีสติให้เพียงพอ เพราะโดยอำนาจของสตินั้นน่ะจะคุ้มกันไอ้การเกิดแห่งปฏิจจสมุปบาทได้ ให้เราคล่องแคล่วในการมีสติที่สุด ให้มีสติทันเวลาที่มีผัสสะและมีเวทนา แล้วตัณหาก็เกิดไม่ได้ อุปาทานก็เกิดไม่ได้ ภพชาติก็ไม่มี ในวันหนึ่งๆก็ไม่มีภพไม่มีชาติที่เป็นตัวทุกข์ นี่ประโยชน์ของการควบคุมปฏิจจสมุปบาทได้มันมีอยู่อย่างนี้
ปฏิจจสมุปบาทที่เป็นความจริงอย่างนี้เท่านั้นน่ะที่จะสามารถควบคุมได้ หรือว่าได้รับประโยชน์ อานิสงส์จากการที่ควบคุมได้ ถ้าความทุกข์มันมีอยู่ชาตินี้แล้วจะไปควบคุมกันชาติหน้าแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ไอ้คำว่าชาติอย่างเข้าโลงไปแล้ว ความทุกข์มีอยู่ในชาตินี้แล้วจะไปกำจัดความทุกข์หลังจากเข้าโลงไปแล้วมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร หรือมันอยู่กันคนละชาติอย่างนั้นมันก็ทำอะไรกันไม่ได้ แล้วก็มันนานเกินไป มันไม่สมเหตุสมผลที่ว่าเกิดตัณหาทีไรต้องมีภพมีชาติทุกที ฉะนั้นมีตัณหาทีหนึ่งก็เหมือนกินเสียตั้งสามชาติชนิดที่เข้าโลงแล้วมันก็ไม่มีเหตุผลที่ว่าเกิดตัณหาทีไรมันก็มีภพมีชาติทุกที มองดูให้ดี ให้รู้จักตัณหาอุปาทานที่เกิดอยู่เป็นประจำวัน ว่านั่นน่ะคือตัวแท้ของปฏิจจสมุปบาท มีสติป้องกันไว้ให้ได้อย่าให้มันเกิด ถ้าสติมันไม่พอก็รีบไปฝึกสติโดยวิธีกรรมฐานให้มีสติพอ มาทันเวลาทุกทีที่มีผัสสะและมีเวทนา
อธิบายปฏิจจสมุปบาทที่ให้ทำให้สำเร็จประโยชน์คือปฏิบัติได้ หรือได้รับผลจริง กลับถูกด่าหาว่าเป็นเจ้าลัทธิ ลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้ามาว่าเอาเองเสียใหม่ ข้อนี้มันช่วยไม่ได้หรอกเพราะว่าเขาเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างหนึ่ง และอาตมาเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกอย่างหนึ่ง พอเอามาเทียบกันเข้ามันก็ต้องเรียกว่ามันขัดขวางกันโดยประการทั้งปวง แล้วกล่าวหากันว่าท่านอธิบายผิด ข้าพเจ้าเท่านั้นอธิบายถูก มันจะเป็นอย่างไรก็ลองนึกดู นี่เอามาพูดให้ฟังว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทอันลึกซึ้งกว่าเรื่องทั้งปวงนั้นน่ะ มันเกี่ยวข้องกับอาตมาอย่างนี้ เป็นเหตุให้ถูกคัดค้านบ้าง ถูกด่าบ้าง ถูกประณามบ้าง มันก็เหมือนกับว่าสาดโคลนมาโดยความเข้าใจผิด ก็ให้อภัยได้
เอ้า, ทีนี้ก็มาถึงเรื่องกรรม พูดเรื่องกรรมกันดีกว่า พูดถึงเรื่องกรรมนี่ก็อย่างเดียวกันอีกแหละ ถ้าพูดโดยภาษาคน มันก็คือทำกรรมแล้วได้รับผลกรรม อันนี้ก็ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ ภาษาคนมันแย่อย่างนี้ เรามีกรรมเป็นของตัว ไม่พ้นจากกรรมไปได้ ต้องเป็นไปตามกรรมเสมอ นี่พูดภาษาคน พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสอย่างนี้ แต่ที่ท่านตรัสให้อยู่เหนือกรรมน่ะคือการทำกรรมชนิดที่ไม่ดำไม่ขาว เป็นกรรมชนิดที่ทำลายตัวตนเสียได้ ก็เลยไม่ต้องเป็นไปตามกรรม ไม่มีการกระทำกรรม ไม่ต้องเป็นไปตามกรรม นี่กรรมในพระพุทธศาสนานี่ ต้องไกลไปถึงนั่นนะ ไม่ใช่มาหยุดอยู่ตรงที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่ใช่หยุดอยู่ที่ตรงนี้ ถ้าหยุดอยู่เพียงแค่นี้แล้ว ศาสนาอื่นเขาก็สอน พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงพวกกรรมวาทีเหล่าอื่น เดียรถีย์อื่น ไม่ใช่เดียรถีย์นี้ เขาก็สอนเรื่องกรรมกันอยู่แล้ว แล้วก็ไม่ได้บอกถึงเรื่องสิ้นกรรมหรือเหนือกรรม นั่นน่ะกรรมในลัทธิอื่นมันมีอยู่แค่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วมันจบอยู่แค่นั้น ก็ทนทรมานไปตามกรรม นี้พุทธศาสนาต้องการให้มีกรรมอีกชนิดหนึ่ง ทำความสิ้นสุดให้แก่กรรมเหล่านี้แล้วก็อยู่เหนือกรรม อย่างนี้จึงจะเป็นพุทธศาสนา กรรมอันนี้ก็คือการกระทำให้มันถูกต้องจนเกิดความรู้แจ่มแจ้งขึ้นมาจริงๆว่า ไม่มีใครทำกรรม ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตายนั่น คนที่เขาโกรธมากนั่นเขาสอนเรื่องผลกรรม ทำในชาตินี้ได้ในชาติหน้า เขาให้เน้นความมีตัวตนอย่างนั้น พอเราไปบอกว่าไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย เขาก็โกรธใหญ่ ประณามอาตมาว่าเป็นมิจฉาทิฐิ เลิกล้างเรื่องกรรม อาตมาไม่ได้เลิกล้างเรื่องกรรม แต่บอกเรื่องกรรมในพุทธศาสนาให้ถึงที่สุด คือถึงขั้นที่เป็นกรรมที่ทำความสิ้นสุดแห่งกรรมทั้งหลาย กรรมดำ กรรมขาว กรรมด่างมันเจือกันระหว่างดำกับขาวนี่มันเป็นเรื่องหมุนไปตามกรรม เราจะต้องมีกรรมอีกชนิดหนึ่งไม่ดำไม่ขาว มาเลิกล้างไอ้กรรมเหล่านี้เสียให้หมด นั่นคือเรื่องของอริยมรรค อริยมรรคเป็นกรรมไม่ดำไม่ขาว จะมากำจัดกรรมดำกรรมขาว คือ ดี ชั่ว บุญ บาป สุข ทุกข์ กุศล อกุศลนี่เสียให้หมด นี่คือกรรมในพระพุทธศาสนา
พอเราพูดมาถึงอย่างนี้ เขาก็หาว่า อ้าว, เลิกลัทธิหมดแล้ว เลิกลัทธิเรื่องกรรม ไปตามกรรม จะมา จะมาติดตันอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร มันพ้นกรรมไปไม่ได้ เราต้องไปให้ถึงจุดที่เรียกว่าพ้นกรรมตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน เขาจะมายืนยันเรื่องกรรม แล้วก็ยืนยันอย่างประหลาดที่สุดแหละ เป็นเรื่องที่เขาถือว่าเขาเก่งที่สุดที่เขาจะพูดเรื่องกรรม ให้มีผลกรรมเข้ารูปเข้าแบบกันอย่างในอรรถ ในอรรถกถาน่ะ ที่ว่าไอ้คนคนหนึ่งมันเอาไอ้เชื้อเพลิงพันรอบคอสัตว์ตัวหนึ่งแล้วมันจุดไฟ อันนี้คือการทำกรรม แล้วมันก็ตายไป ไปเกิดเป็นกา แล้วกาตัวนั้นก็บินไปในอากาศ ไปถึงที่แห่งหนึ่งไฟกำลังไหม้บ้าน แล้วสังเวียนหม้อที่กำลังลุกเป็นไฟปลิวขึ้นไปในอากาศเพราะความดันของไฟ แล้วกาตัวนั้นก็บินมาพอดี หัวลอดเข้าไปในบ่วงสังเวียนหม้อ แล้วมันก็เลยตายในรูปแบบเดียวกับที่มันเคยทำแก่สัตว์ตัวหนึ่งในชาติก่อนนี่ เขาต้องการจะอธิบายเน้นให้หนักนี่ ให้กลัวบาปกลัวกรรมกันเป็นอย่างยิ่ง แล้วก็หยุดอยู่เพียงแค่นี้ เราไม่เห็นด้วย เราต้องการให้มันออกไปถึงขนาดที่เรียกว่าพ้นกรรม คือเรื่องที่ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย ไม่มีตัวไม่มีตนที่จะเป็นสัตว์เป็นบุคคล คนหนึ่งพูดภาษาธรรม คนหนึ่งพูดภาษาคน มันก็เข้าใจกันไม่ได้ แล้วผู้ที่ต้องการจะพูดภาษาธรรมให้เรื่องกรรมมันเป็นถึงที่สุดนี้ก็กลายเป็นฝ่ายที่ถูกด่า ถูกหาว่าเลิกหลักลัทธิกรรมที่ถูกต้อง ไปว่าเอาเองใหม่ว่าไม่มีกรรม ว่าอยู่เหนือกรรม ว่าไม่มีใครเกิด ว่าไม่มีใครตายนี่ ขอให้ช่วยสังเกตกันไว้ให้ดีๆ ว่าอาตมาไม่ได้เลิกเรื่องกรรม คงมีอยู่ แต่ไม่ยอมหยุดอยู่ที่ตรงนั้นว่า มันติดอยู่กับกรรมนั้นตลอดไป เราจะต้องหมดกรรม เหนือกรรม สิ้นกรรมให้จนได้ คือการบรรลุมรรคผลขั้นสุดท้ายนั้นเอง
นี่จึงจะเตือน ขอเตือนอีกครั้งหนึ่งว่า พระพุทธภาษิตที่ว่าเรามีกรรมเป็นของตัว ไม่พ้นจากกรรมนี้ไปได้ก็มีอยู่ แต่พระพุทธภาษิตที่แสดงความสิ้นไปแห่งกรรมก็มีอยู่ นั่นน่ะคือจุดมุ่งหมาย คือเป็นพระนิพพาน พระนิพพานต้องอยู่เหนือกรรม ต้องเป็นความสิ้นกรรม พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้ ถ้าคนมันโง่ มันก็จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไรไม่คงแก่ร่องแก่รอย นี่ไม่ยุติ เดี๋ยวว่าพ้นจากกรรมไปไม่ได้ เดี๋ยวว่าพ้นจากกรรมได้ ว่าเดี๋ยวต้องเกิดแก่เจ็บตาย ไม่พ้นจากความเกิดแก่เจ็บตายไปได้ เดี๋ยวก็ว่าพ้นได้จากความเกิดแก่เจ็บตาย นี่คนโง่มันก็จะกล่าวหาพระพุทธเจ้าว่าพูดอะไรไม่คงแก่ร่องแก่รอย เมื่อเขากล่าวหาพระพุทธเจ้าได้ ทำไมเขาจะกล่าวหาอาตมาซึ่งเป็นเด็กเล็กๆ เป็นลูกศิษย์คนรับใช้ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ล่ะ มันก็ต้องได้สิ อาตมาจึงไม่แปลกที่ใครเขาจะกล่าวหา หรือด่าว่าอาตมาพูดอะไรไม่คงแก่ร่องแก่รอย ไม่พูดตามที่เขาพูด แล้วก็ยกเลิกไอ้หลักเดิมๆของเขาเสีย นี่ไม่ถูกล่ะ ไม่ได้ยกเลิก ยิ่งรับรองหนักขึ้นไปอีก เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริง เป็นมาตามลำดับ แล้วพูดให้ชัดเลยว่า ทำดี ดี ทำชั่ว ชั่ว คำว่าได้ไม่ต้องพูดถึงกัน เขาพูดกันว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นี่อาตมาว่ายังผิด ยังโง่ ต้องพูดว่าพอทำดีก็ดีเท่านั้นแหละ พอทำชั่วก็ชั่วเท่านั้นแหละ ไม่ต้องรอให้ได้
ขณะจิตหนึ่งประกอบด้วยกิเลส แล้วขณะจิตถัดมาก็เป็นขณะจิตที่ทำกรรมคือคิดนึกไปตามอำนาจของกิเลส ทีนี้ขณะจิตที่ถัดมาอีกก็คือเป็นวิบาก ได้รับผลกรรมติดกันไปเลย ไม่ต้องรอเป็นชั่วโมง หรือไม่ต้องรอเป็นวัน เป็นเดือน เป็นชาติ เป็นเข้าโลงแล้วจึงจะได้รับผลกรรม มันไม่มี เพราะว่าการกระทำอย่างนี้บัญญัติแล้วว่าดี พอไปทำเข้ามันก็ดีทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องรอว่าได้ ได้ดี ไอ้กรรมอย่างนี้มันชั่ว พอไปทำเข้ามันก็ชั่วทันที ไม่ต้องรอว่าจะค่อยได้ความชั่ว ได้ผลชั่ว พอทำแล้วมันชั่วทันที อันนั้นมันเป็นผลชั่วแล้ว จึงขอให้พูดเสียใหม่ อาตมาขอร้องว่า ถ้าจะพูดให้ถูกให้ดี จงพูดกันเสียใหม่ว่า “ทำดี ดี ทำชั่ว ชั่ว” พูดอย่างนี้ถูกกว่าที่จะไปพูดว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” มันต้องมีได้อีกทีหนึ่ง แล้วบางทีก็เกิดไม่ได้ เกิดไม่ได้ขึ้นมาทันที เกิดข้ามภพข้ามชาติ เลยเกิดสงสัย ว่าคนนี้ทำไมทำบาปแล้วกลับรวยกลับมีชื่อเสียง คนนี้ทำดีแล้วกลับยากจน นี่มันก็เป็นปัญหามาก
กฎของกรรมนั้นมันมีชัดเลยว่า ทำดีก็ดีทันที ทำชั่วก็ชั่วทันที ขณะจิตกลุ่มทีแรกเป็นกิเลส ขณะจิตกลุ่มถัดมาจากนั้นก็เป็นการกระทำกรรม เป็นมโนกรรม หรือออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรมก็ได้ แล้วขณะจิตกลุ่มถัดมาอีกก็เป็นการวิ อ่า, เป็นการได้รับวิบาก คือเป็นจิตดี จิตเลว จิตชั่ว หรือเป็นจิตอะไรก็ตามแล้วแต่การกระทำกรรมนั้นอย่างไร นี่มันแน่นอนอย่างนี้
สรุปแล้วก็ว่าเราไม่ได้เลิกถอนเรื่องกรรมอย่างที่เขาเชื่อกันอยู่ แต่เรามาพูดใหม่ให้มันชัด ให้มันสมบูรณ์ว่าเรื่องกรรมเป็นอย่างนี้ และมีหนทางที่จะทำความสิ้นกรรม ให้หมดกรรมเป็นนิพพานได้ กรรมจะหมดไปได้ก็ต่อเมื่อมีอริยมรรคญาณ เห็นความไม่มีตัวไม่มีตน ทำลายอุปาทานว่าตัวตนเสียได้ นี่กรรมจึงจะสิ้นไป ดังนั้นเราจึงต้องมีความรู้ธรรมะ คือบรรลุธรรมะถึงขนาดที่ถอนอัตตาตัวตนเสียได้ เอาละ, เป็นอันว่าไม่ได้เลิกถอนเรื่องกรรมที่เขามีอยู่อย่างครึ่งๆกลางๆ แต่ได้เสริมยอดเรื่องกรรมให้ไปจนถึงที่สุดคือความสิ้นแห่งกรรม เรื่องมันมีอยู่อย่างนี้ ถ้าถูกด่าก็มันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เพราะว่าต้องการจะพูดความจริง อันนี้มันเลวจริง เวลา
ในวงของปฏิจจสมุปบาทนั่นน่ะ มันมีกรรม มีผลกรรม อ้า, มีกิเลสที่เป็นเหตุให้ทำกรรม ปฏิจจสมุปบาทเริ่มต้นด้วยการกระทบทางผัส อ่า, ทางอายตนะ เกิดผัสสะ แล้วเกิดเวทนา แล้วก็เกิดตัณหา ตัณหานี่ก็คือกิเลส อุปาทาน ทีนี้พอเป็นภพ มันก็เป็นกรรม เป็นกรรมภพ พอหลังจากกรรมภพ มันก็เป็นชาติ คือเป็นวิบากที่เกิดขึ้นมา เป็นชาติ แล้ววิบากอื่นๆที่เนื่องอยู่กับชาติมันก็มีเข้ามา คือความทุกข์ เกี่ยวกับความเกิดแก่เจ็บตายอะไรก็ตาม มันก็เข้ามาแฝงอยู่กับวิบาก คือชาติ เพราะฉะนั้นในวงของปฏิจจสมุปบาทอันแสนจะรวดเร็วนั่นน่ะ มันมีทั้งกิเลส มันมีทั้งกรรม มีทั้งการรับผลกรรมอย่างแน่นอนที่สุด ไม่ต้องไปรอต่อตายแล้ว ฉะนั้นให้มองเห็นอย่างนี้ ก็จะเป็นความรู้ที่ถูกต้องที่อาจจะปฏิบัติได้ แล้วก็ได้รับผล ความรู้ที่ฟั่นเฝือน่ะมันปฏิบัติไม่ได้ เมื่อไม่ได้ปฏิบัติมันก็ไม่ได้รับผล เราต้องมีความรู้ชนิดที่ปฏิบัติได้ นี่จึงจะได้รับประโยชน์สมตามความมุ่งหมายของพุทธบริษัทผู้นับถือพระพุทธศาสนา ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และได้รับพระพุทธศาสนา เอ้า, ขอให้ทนกันหน่อย แม้เวลามันจะไปตั้งสองชั่วโมงแล้วก็จะพูดให้จบ
เรื่องถัดไปก็คือ ถูกด่าเพราะการอธิบายเรื่องวัฏสงสาร หรือๆนิพพาน อ่า, กับนิพพาน วัฏสงสารกับนิพพานมันเป็นเรื่องที่แฝดกันอยู่เสมอ เพราะว่านิพพานเป็นเรื่องสิ้นสุดแห่งวัฏสงสาร มันจึงมีเรื่องวัฏสงสารกับเรื่องนิพพานที่เป็นเรื่องสิ้นสุดแห่งวัฏสงสาร เขากล่าวหาว่าอาตมาอธิบายเรื่องวัฏสงสารผิดจากพระพุทธวจนะ เพราะว่าเขาต้องการจะอธิบายให้มันเป็นสามชาติ ชาตินี้ทำกรรม ชาติหน้าได้รับผลกรรม แล้วก็มีกิเลส สำหรับจะทำกรรมต่อไปอีก มันคร่อมกันเป็นชาติๆๆๆ ชนิดที่เข้าโลง เขาเรียกว่าเวียนว่ายตายเกิดไปในวัฏสงสาร เป็นชาติๆๆๆ เกี่ยวกันอย่างนั้น เรียกว่าวัฏสงสาร มันกินเวลาตั้งสามชาติจึงจะได้วัฏสงสารสักวงหนึ่ง นี่อาตมามาศึกษาแล้วพิจารณาดูแล้ว มันไม่ใช่อย่างนั้น อย่างนั้นมันนานเกินไป กิเลสทำกรรมแล้วรับวิบากที่ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ ก็เป็นวัฏสงสารได้ ขณะจิตหนึ่งกลุ่มแรกนี่เป็นกิเลส ขณะจิตกลุ่มถัดมาเป็นการกระทำกรรม ขณะจิตกลุ่มถัดมาเป็นการได้รับวิบาก แล้วมันก็วนกันอยู่อย่างนี้ ถ้าเรามีสติสมบูรณ์เพียงพอ เราหยุดชะงักไอ้วัฏสงสารนี้ได้ หยุดชะงักกิเลสเสียได้ ก็ไม่มีกรรม หรือกระทำกรรมเข้าไปแล้วยังหยุดชะงักกรรมไม่ยึดถือกรรม มีสติพอ มันก็ยังได้ แปลว่าเราควบคุมวัฏสงสารได้ตามสมควรแก่สติปัญญา ถ้ามีสติปัญญาก็ควบคุมกิเลสได้นี่ เรื่องวัฏสงสารมันก็หมดพิษ หมดพิษ เพราะฉะนั้นไม่ต้องรอต่อตายแล้วตั้งสามชาติน่ะ
ในวันหนึ่งนี่ก็มีวัฏสงสารได้หลายๆวง เกิดกิเลสทีหนึ่งก็มีวัฏสงสารทีหนึ่ง แล้วมันก็ครบวงของมันเอง นี่เขาหาว่าคำอธิบายนี้ผิด เป็นมิจฉาทิฐิ เลิกล้างของเก่า มาตั้งเอาเองมาว่าเป็นลัทธิใหม่ ก็ตามใจ เรามีความมุ่งหมายที่จะให้คนเอาชนะวัฏสงสารให้ได้โดยเร็ว เราไม่ต้องรอกันนานๆ ไอ้วัฏสงสารไกลๆนานๆอย่างนั้นไม่น่ากลัว ไม่มีร้าย ไม่มีพิษร้ายอะไร ไอ้วัฏสงสารที่ย้ำเอาๆๆ เหมือนกับย้ำหัวตะปูที่นี่และเดี๋ยวนี้นี่อันตรายมาก ขอให้เรารู้จักมันให้ดีๆ ควบคุมมันให้ได้ ป้องกันมันให้ได้ อย่าให้มันเกิดขึ้นมา นี่วัฏสงสารวงหนึ่งต้องคำอธิบายในแบบนี้ คือในแบบภาษาธรรมนี่ มันจะกินเวลาชั่วอึดใจเดียว ชั่ววินาทีเดียวก็ได้ เป็นวัฏสงสารวงหนึ่ง ไม่ต้องรอเกิดตายๆเข้าโลงแล้วเข้าโลงอีกตั้งสามชาติจึงจะเป็นวัฏสงสาร เพราะฉะนั้นในวันหนึ่งๆมีวัฏสงสารหลายวงเกี่ยวข้องกันไป คล้องกันไป เนื่องกันไป เพราะมันเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่กันและกันได้ มีกิเลสทำกรรมรับผลกรรม และมันก็ส่งให้เกิดกิเลสใหม่ มันก็เนื่องกันได้ ฉะนั้นการได้รับผลกรรมมันก็อนุโลมกันหรือเข้ารูปกันได้กับกรรมแต่หนหลัง หรือว่ากรรมของวัฏสงสารวงอื่นช่วยปรุงแต่งกรรมในวัฏสงสารวงอื่น อย่างนี้มันก็เรียกว่าข้ามภพข้ามชาติได้เหมือนกันโดยที่คนไม่ต้องตาย วัฏสงสารในความหมายที่จะมีประโยชน์และรีบด่วนมันมีอยู่อย่างนี้ แล้วมันมีผลดีตรงที่ว่าเราจะสามารถควบคุมมันได้ จนกระทั่งว่าสามารถจะตัดมันให้ขาดไปเลย ตัดวัฏสงสารได้
เอ้า, ทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ถูกด่าสุดเหวี่ยง ก็คือคำพูดที่อาตมาได้พูดว่า ในวัฏสงสารมีนิพพาน หรือ หรือว่านิพพานนี่หาพบได้ในวัฏสงสาร นี่เขาไม่เข้าใจ เราพูดว่าต้องดับไฟที่ไฟ ต้องดับทุกข์ที่ทุกข์ ดับความทุกข์ที่ความทุกข์ เพราะฉะนั้นในไฟน่ะมันไปมีความดับไฟซ่อนอยู่ ดูให้ดี ในความทุกข์น่ะมันจะมีความดับทุกข์ซ่อนอยู่ ดูให้ดี จึงได้พูดว่าในนั้นน่ะจะหาพบสิ่งที่ตรงกันข้าม อย่างนี้ก็เรียกว่า หานิพพานพบในวัฏสงสาร ไปนั่งพิจารณาดูไอ้ต้นมะพร้าวนาฬิเกร์ในสระนาฬิเกร์ เป็นภาพเปรียบที่ดีที่สุด ว่าต้นมะพร้าวนั้นเป็นนิพพาน ก็อยู่ท่ามกลางวัฏสงสารคือทะเลขี้ผึ้ง ซึ่งเปรียบเหมือนน้ำ ดี ชั่ว บุญ บาป สุข ทุกข์นั้นมันเป็นทะเลขี้ผึ้ง เป็นวัฏสงสาร ทีนี้ต้นมะพร้าวมันอยู่ที่กลางนั้นน่ะ ไปหาเถอะพบ ถ้าไปหาที่อื่นแล้วไม่มีพบ จะไปหาความดับทุกข์ที่อื่นไม่พบหรอก มันต้องหาที่ความทุกข์ จะไปหาการดับไฟที่อื่นมันไม่พบหรอก ต้องหาที่ไฟนั่น ทำไฟให้มันดับลงไปเถอะ มันก็จะเป็นความดับไฟอยู่ที่นั่น
ก้อนหินก้อนนี้วางอยู่ตรงนี้ ใครๆก็เห็นว่ามีก้อนหินอยู่ที่ตรงนี้ก้อนนี้ ถ้าใครมีปัญญาพอ พอที่จะมองเห็นว่า ความไม่มีก้อนหินก้อนนี้มันก็อยู่ในก้อนหินก้อนนี้ ก็คือลองเอาก้อนหินก้อนนี้ออกไปเสียสิ มันก็จะมีความไม่มีก้อนหินก้อนนี้อยู่ที่ตรงนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าตามันแหลม มันก็จะพอมองเห็นว่าความไม่มีก้อนหินก้อนนี้มันก็อยู่ในก้อนหินก้อนนี้ นี่เราจะให้มันง่ายขึ้น ให้มันอยู่ที่ตรงนี้ เพื่อจะจัดการกับมันได้ ว่าต้องดับทุกข์ที่ความทุกข์ เหมือนกับดับไฟที่ไฟ ดับไฟที่อื่นมันจะดับได้อย่างไร จะดับทุกข์ก็ต้องดับที่ความทุกข์ มันจึงจะหมดความทุกข์ เพราะฉะนั้นดูให้ดีว่าความดับทุกข์หาพบในความทุกข์ นั่นแหละคือความหมายของคำว่า นิพพานมีอยู่ในวัฏสงสาร ให้มองให้ดีๆ พอพูดอย่างนี้ก็ถูกด่า ถูกรุมกันด่าว่ามันบ้าแล้ว นิพพานมันตรงกันข้ามกับวัฏสงสารมันจะมีอยู่ในนั้นอย่างไร เราบอกว่านั่นแหละ ดูให้ดีเถอะ มันก็มีอยู่ในนั้น ถ้ามิฉะนั้นมันจะหาพบที่ไหนล่ะ จะหาความดับทุกข์พบได้ที่ไหนถ้าไม่หาในความทุกข์ ไปคิดดูเอง ไปคิดดูใหม่ว่าต้องดับทุกข์ที่ความทุกข์ จึงจะหาพบนิพพานในวัฏสงสาร ไปหาที่อื่นไม่พบไม่มี
ทีนี้มันมีเงื่อนงำที่จะพูดอย่างอื่นอีกก็ได้ คือข้อที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่า ความทุกข์ก็ดี เหตุให้เกิดทุกข์ก็ดี ความดับแห่งความทุกข์ก็ดี วิธีดับแห่งความทุกข์ก็ดี ตถาคตบัญญัติไว้ว่ามีอยู่ในกายนี้ ที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้ ที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้ ที่ยังเป็นๆ คือมีจิตมีใจมีสัญญา กายที่เป็นๆนั่นแหละมันมีความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และทางให้ถึงความดับทุกข์ ทุกข์ก็คือความทุกข์มีอยู่ในกายนี้ แล้วความดับทุกข์คือนิโรธนั้นคือนิพพานก็มีอยู่ในกายนี้ ในกายนี้มันก็หาพบทั้งความทุกข์และความดับทุกข์ อยู่ด้วยกันในกายนี้ ที่ยังมีชีวิตเป็นๆอยู่ นี่จะไม่ให้ยอม มันจะไม่ยอมให้พูดว่าหาพบความดับทุกข์และความทุกข์อยู่ในที่เดียวกัน นี่เป็นเหตุให้พบนิพพานกับวัฏสงสารในที่เดียวกัน คือในจิตนี้ในกายนี้ ในกายนี้มันหมายความถึงในจิตนี้ ไอ้กายนี้มันเป็นเปลือก ไอ้จิตนั้นมันเป็นตัวสาระ เป็นตัวจริง ที่นั่นน่ะมันมีครบหมด
เรื่องอริยสัจ ๔ มันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า จิต รู้ได้ด้วยจิต ถึงได้ด้วยจิต จะดับทุกข์ได้ก็ด้วยจิต อาศัยกายเป็นที่ตั้ง เหมือนกับเป็นที่ตั้งสำนักงานอย่างนั้น จิตนั้นเป็นคนทำงาน เพราะฉะนั้นในจิตนั่นแหละจะพบได้ทั้งนิพพานและทั้งวัฏสงสาร จิตหลุดพ้นเมื่อใดมันก็มีนิพพานอยู่ที่ความหลุดพ้นนั้น เราก็ไม่ต้องเถียงกัน มันจะได้ง่ายขึ้นมาอีกว่า ให้ดูในวัฏสงสารจนมองเห็นนิพพาน คือสภาพที่ตรงกันข้าม หรือมันดับวัฏสงสารเสียได้ นี่ไปคิดดูให้ดีเถอะว่าถ้าเราพูดในภาษาคน นิพพานกับวัฏสงสารมันอยู่คนละแห่ง ไปอยู่คนละทิศ แล้วมันจะดับกันได้อย่างไร มันน่าหัวมาก แต่ถ้าเราพูดในภาษาธรรมแล้ว นิพพานกับวัฏสงสารมันก็อยู่ในที่เดียวกัน เพราะจะต้องมีนิพพานลงไปบนวัฏสงสาร คือดับวัฏสงสารเสีย อาตมาพูดอย่างนี้ เขาหาว่ามิจฉาทิฐิ เลิกล้างพระพุทธศาสนา เลิกล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าเอาเอง เสียทีที่เป็นพุทธทาส คือรับใช้พระพุทธเจ้า แล้วก็มาพูดอะไรหักล้างพระพุทธเจ้านี่ มันเป็นการด่ากี่มากน้อย อาตมาก็เห็นว่ามันดี มันเป็นการเสียสละมาก ได้บุญมากยิ่งขึ้นไปอีก ทำอะไรมันง่าย มันสะดวก มันไม่ต้องเจ็บไม่ต้องปวด มันไม่ต้องทนแล้วมันก็ได้บุญนิดเดียว ถ้ามันต้องฟันฝ่าต่อสู้มาก อดทนมาก มันก็ควรจะได้บุญมาก ฉะนั้นใครยิ่งด่ายิ่งดี ก็ได้ดีเพราะเขาด่า แต่ที่มันจะเลวจะชั่วเหมือนที่เขาด่านั้นไม่เป็นไปได้หรอก แต่ว่ามันจะยิ่งดีไปในอีกทางหนึ่ง ซึ่งว่ามันไม่เป็นไปอย่างที่เขาด่า มันก็เป็นไปในทางที่ตรงกันข้ามนี่ เป็นอย่างนี้ ขืนพูดให้หมดทุกเรื่องคงจะไม่ไหว เดี๋ยวบางคนจะนึกด่าอาตมาอยู่ในใจแล้วก็ได้ มันดึกแล้ว จะรวบรัดให้มันจบเสียที
ไอ้ที่เรื่องเขาด่าเรื่องสุดท้ายที่น่าหัวที่สุด ที่จะมาพูดในวันนี้ ก็คืออาตมาบอกว่ายิ่งเรียนพระไตรปิฎก ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา แล้วไอ้คนโง่คนบ้ามันก็ชูหัวขึ้นสลอนว่า ด่าอาตมาว่าดูถูกพระไตรปิฎก คิดดูสิดูถูกพระไตรปิฎกหรือไม่ ยิ่งไปเรียนพระไตรปิฎกมันก็ยิ่งไปเรียนบาลี ยิ่งมีความไพเราะทางวรรณคดี ยิ่งติดพระไตรปิฎก ยกหูชูหางเป็นผู้เก่งกล้า ไม่ปฏิบัติเลย จมอยู่ในพระไตรปิฎก ฉะนั้นยิ่งเรียนพระไตรปิฎกยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา ยิ่งไปติดอยู่กับเล่มหนังสือตำรับตำราแล้วก็ มันก็รู้แต่เท่านั้นแหละ ไม่รู้ของจริงซึ่งต้องรู้ด้วยใจไม่เกี่ยวกับตัวหนังสือ
เขาถามว่าถ้าอย่างนั้นเรียนอะไรที่จะทำให้รู้พุทธศาสนา มันก็ต้องเรียนของจริง เรียนลงมาที่ตัว เบญจขันธ์ ร่างกายนี่ ความทุกข์นี่ เรียนลงไปที่ความทุกข์ เรียนลงไปที่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดูลงไปที่ตรงนั้น อย่าไปดูหนังสือเป็นแถวๆในพระไตรปิฎก ให้มันติดอยู่เป็นหนอนหนังสือ ยิ่งเรียนพระไตรปิฎกยิ่งไม่รู้ธรรมะ ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา แต่พอมาเรียนที่ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เรียนลงไป ดูลงไปที่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เรียนที่นี่สิมันจึงจะรู้พุทธศาสนา บางคนก็ยอมว่า เออ, ถูกแล้ว บางคนก็ไม่ยอมและยังด่าอยู่เรื่อย ว่าไอ้นี่มันดูถูกพระไตรปิฎก มันคัดค้านพระไตรปิฎก มันทำลายคุณค่าของพระไตรปิฎก ตามใจ โกรธเท่าไรก็ด่าไปให้มันสุดเหวี่ยง อาตมายังคงพูดอยู่อย่างนี้ว่า ยิ่งเรียนพระไตรปิฎกยิ่งไม่พบพระพุทธศาสนา มันน่าขันนะ ถ้าพูดตามภาษาคนมันก็เป็นไปไม่ได้หรอก แต่ถ้าพูดตามภาษาธรรมแล้วเป็นไปได้ ยิ่งเรียนพระไตรปิฎกยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา ยิ่งไปติดตัวหนังสือ เหมือนกับที่ว่าคนเรียนพระไตรปิฎก จบพระไตรปิฎกชื่อ โพธิละ ในพระคัมภีร์ก็มีอยู่ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ไอ้โมฆะบุรุษ กำมือเปล่า เรียนจบพระไตรปิฎกไม่มีธรรมะเลย ฉะนั้นไม่ต้องเรียนจบพระไตรปิฎกก็มีธรรมะได้ เพราะว่าเขามีพระไตรปิฎกอีกแบบหนึ่ง คือพระไตรปิฎกที่มันมีอยู่ตามเนื้อตามตัว ตามจิตตามใจนี่ อ่านได้ไม่รู้จักสิ้นเหมือนกัน
ฉะนั้นพระไตรปิฎกที่เป็นตัวหนังสือ ที่บันทึกหรือบรรยายนี่ มันก็ปิดบังธรรมะได้ พระไตรปิฎกปิดบังพระธรรมได้ ถ้าไปเรียนพระไตรปิฎกอย่างที่เขาเรียนกันในทุกวันนี้ ต่อให้ฝรั่งมันเรียนจบพระไตรปิฎกเป็นร้อยเที่ยวพันเที่ยว มันก็ไม่รู้จักพุทธศาสนาก็ได้ เพราะมันเรียนไปในวิธีของหนังสือ เรียนไปในวิธีของวรรณคดี มันก็ไม่พบกับตัวธรรมชาติ เมื่อเรียนกันที่ธรรมชาตินี่จะพบธรรมะเร็ว พบพุทธศาสนาเร็ว ขอให้เข้าใจให้มากเท่าที่จะเข้าใจได้ ฉะนั้นอาตมาจึงกล้าพูดว่า การที่จะมัวฟังอาตมาพูด มัวอ่านแต่เรื่องที่อาตมาเขียนนี่ก็ไม่ๆๆช่วยให้พบพระพุทธเจ้า ไม่ช่วยให้พบพระพุทธศาสนาหรือพระธรรม จะพบพระพุทธศาสนา พระธรรมต้องเรียนที่ตัวเอง ที่เนื้อที่ตัว ที่ความทุกข์ที่มันมีอยู่ในเนื้อในตัว อย่างนี้จะพบกับธรรมะเร็ว ไอ้ใครจะเลิกอ่านหนังสือเสียได้ก็ดีเหมือนกัน แต่ต้องมาอ่านหนังสือเล่มนี้ อ่านหนังสือที่เป็นเนื้อเป็นตัวร่างกายยาววาหนึ่งนี้ มีทั้งสัญญาและใจ มีอะไรๆครบอยู่ในนั้น อริยสัจทั้งสี่มีครบอยู่ในนั้น มาอ่านหนังสือเล่มนี้ จะรู้เร็ว ที่หนังสือทั้งหลายที่เรามีอยู่กันเป็นตู้ๆนั้นน่ะเป็น เป็นคำอธิบายวิธีที่จะมาอ่านหนังสือเล่มนี้เท่านั้นแหละ เรียนพระไตรปิฎกมันก็เพื่อรู้วิธีมาอ่านๆๆๆธรรมะที่ธรรมชาติ ที่ดิน น้ำ ลม ไฟ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เบญจขันธ์อะไรก็ตาม เรียนหนังสือเล่มนู้น เพื่อมาอ่านหนังสือเล่มนี้ อ่านหนังสือเล่มนี้จบก็บรรลุธรรมะ นี่ข้อที่ถูกด่าเพราะพูดว่ายิ่งเรียนพระไตรปิฎก ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา ไปเถียงกับผู้มีปัญญาคนหนึ่งที่คุรุสภา กลางคุรุสภาที่กรุงเทพฯ จนเดี๋ยวนี้เรายังยืนยันอย่างนี้ ไอ้คนนั้นเขาก็ไม่ยอมรับว่าอย่างนี้ มันก็ยังคาราคาซังกันมาอยู่จนเดี๋ยวนี้
อาตมาก็ขอยืนยันตลอดไปว่า ยิ่งเรียนพระไตรปิฎก ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา เพราะว่ามันเป็นคำพูดในภาษาธรรม ถ้าพูดในภาษาคนก็พูดได้ ยิ่งเรียนพระไตรปิฎกยิ่งรู้พระพุทธศาสนา แล้วเขาก็เคยยึดถือกันอย่างนั้นน่ะ ต้องเรียนพระไตรปิฎกจึงจะรู้พุทธศาสนา วาณีอันว่านางฟ้า กล่าวคือพระไตรปิฎก จงผูกมัดรัดรึงจิตใจของข้าพเจ้าให้ติดอยู่กับวาณี คือพระไตรปิฎก ข้อความอย่างนี้ก็เคยมี เขาใช้เป็นมนต์สำหรับท่องบ่น สำหรับผู้ที่จะศึกษาพระไตรปิฎกด้วยความหลงใหลจนเรียนให้มันจบ