แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ได้ชื่อว่าเป็นหมู่ที่มีพลัง ทั้งสติปัญญา นักศึกษาเคยพยายามใช้พลังดังที่ปรากฎอยู่ในเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว ก็ได้ผลตามที่เขาต้องการ แต่ว่านั่นยังไม่พอ เป็นเพียงเรื่องพื้นฐานเบื้องต้นเรื่องหนึ่งเท่านั้น เรื่องสำคัญกว่านั้นยังมี ที่นักศึกษาควรจะใช้พลังให้เกิดเป็นผลสำเร็จขึ้นมา นักศึกษาผู้มีสติปัญญาก็อ้างตนว่าจะใช้ชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์แก่โลก แก่มนุษย์ หรือแคบเข้ามาก็แก่บ้านแก่เมือง แก่ประเทศชาติของตน นักศึกษาเขาเคยแสดงเจตนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นการสมควรที่สุดสำหรับความเป็นนักศึกษา ถ้านักศึกษาคนไหนไม่มีเจตนาที่จะใช้พลังของตนให้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์หรือบ้านเมืองแล้ว ย่อมไม่เป็นนักศึกษาเลย หรือว่าเป็นก็เป็นกันแต่ปาก
ผู้ที่มีการศึกษาจริงย่อมเห็นทุกสิ่งครบถ้วน จึงมองเห็นว่าประโยชน์ของมนุษย์ทั้งมวลนั้นสำเร็จ อ่า, สำคัญกว่าประโยชน์แห่งบุคคลแต่ละคน นักศึกษาที่มีปัญญาก็อาศัยเหตุผลของตนเองในการใช้พลัง นักศึกษาครึ่งๆกลางๆก็เห่อตามที่เขาว่า ตามที่เขานิยมกัน แล้วก็ใช้พลัง นี่ลองคิดดูเถอะว่า เราควรจะเป็นนักศึกษาในรูปแบบใด นักศึกษาซ้ายก็จะแสดงพลังอย่างซ้าย นักศึกษาขวาก็จะแสดงพลังอย่างขวา แต่โดยเนื้อแท้แล้ว ควรแสดงพลังตามแบบของพระพุทธเจ้า คืออยู่ตรงกลาง ซ้ายกับขวานั้นมันมีไว้สำหรับช่วยกัน หรือเพื่อความสมบูรณ์เท่านั้น เราไปแยกกันแล้วมากัดกันเอง อย่างนี้มันก็วินาศหมด ไม่มีอะไรเหลือ เราจะมีแต่มือซ้ายก็ไม่ได้ เราจะมีแต่มือขวาก็ไม่ได้ เราต้องมีมือซ้ายทำงานมือ อย่างของมือซ้ายทำ มีมือขวาทำงานอย่างของมือขวา และในบางอย่างนั้นทำมือเดียวไม่ได้ ต้องใช้สองมือรวบกัน ฉะนั้นการที่มีซ้ายมีขวานั้นไม่เป็นความถูกต้องโดยหลักของธรรมชาติ และไม่เป็นความถูกต้องตามทางธรรมในพระพุทธศาสนา ซึ่งมีหลักว่าไม่เอียงซ้ายไม่เอียงขวาแต่อยู่ตรงกลาง คือความสมดุล
ทีนี้นักศึกษาผู้อุทิศตนในการใช้พลังเพื่อประโยชน์อันสูงสุดนั้น จะต้องคิดดูว่าประโยชน์อันสูงสุดนั้นคืออะไร อาตมาเห็นว่าประโยชน์สูงสุดสำหรับนักศึกษาผู้มีพลังและปัญญา ก็คือการช่วยให้สังคมประสบสันติสุข เราใช้คำว่าสันติสุขเพียงคำเดียวก็พอ คือสังคมมีสันติสุข นี่คือสิ่งที่ควรเสียสละอย่างยิ่ง แม้แต่ชีวิตก็ยังควรจะเสียสละ จึงขอให้นึกในข้อนี้ให้มากเป็นพิเศษ พอเราเรียนให้สุดเหวี่ยง มีสมรรถภาพแล้วเราจะทำอะไร ถ้าว่าทำประโยชน์ตนอย่างสุดเหวี่ยง มันก็ไม่น่าจะเป็นนักศึกษา เพราะว่านักศึกษาต้องมีปัญญา แล้วรู้ว่าประโยชน์ทั้งหลายนั้นมันไม่ใช่มีแต่เพียงประโยชน์ตน หรือสำคัญอยู่ที่ประโยชน์ตน มันควรจะเป็นประโยชน์ของคนทุกคน เราจงมองไปให้ไกลถึงประโยชน์ส่วนรวมของทุกคน หรือของโลก
นักศึกษามีปัญญา ต้อง ข้อนี้ปฏิเสธไม่ได้ และนักศึกษายังต้องมีพลัง คือความสามัคคีของนักศึกษา ฉะนั้นสามารถที่จะเรียกร้องรัฐบาลให้อำนวยสิ่งที่ควรจะอำนวย หรือว่านักศึกษาจะมีสมรรถภาพในทางชักจูงประชาชนทั้งปวงให้เดินไปถูกทาง ให้พร้อมกันกระทำในสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง มือนักศึกษาเท่านั้นแหละที่จะทำได้ คนธรรมดาที่ไม่เป็นนักศึกษาไม่มีปัญญาจะทำ ไม่มีความสามัคคีที่จะทำ อาตมาจึงขอพูดกับนักศึกษาทั่วไปทั้งโลกดีกว่า ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยเรา หรือไม่ใช่เฉพาะเท่าที่มาพบปะกันในวันนี้ ขอให้นักศึกษาเท่าที่มาพบปะกันในวันนี้ สนใจ เข้าใจ จดจำเอาไปบอกเพื่อนนักศึกษาทั้งหลายให้ได้มีโอกาสรวมกัน แล้วกระทำสิ่งที่มีค่าสูงสุดแก่มนุษย์ สมกับความที่เรามีหมู่คณะแห่งนักศึกษาอยู่ในโลก
รวมความว่าอาตมาขอร้องให้นักศึกษาทำสิ่งที่มีค่า มีประโยชน์สูงสุดสมแก่สติปัญญา ความรู้ และการเสียสละ ท่านมีความรู้แล้วไม่มีการเสียสละก็ดูจะเป็นหมัน เพราะไม่มีโอกาสที่ใช้ความรู้นั้นให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ เราจึงต้องมีการเสียสละ การเสียสละนี้มันบอกอยู่ในตัวแล้วว่ามันทำให้ผู้อื่นก่อน ผลจะย้อนมาถึงตัวเองบ้างก็ยังมี ไม่ใช่จะไม่มี แต่ว่าจุดหมายส่วนใหญ่นั้นจะต้องมุ่งเพื่อประโยชน์ผู้อื่นก่อน แล้วเมื่อมันอยู่กันเป็นสุขทั้งหมดแล้ว เราก็พลอยมีความสุขด้วยได้
คำว่านักศึกษาเป็นคำที่มีเกียรติ ไม่ใช่จะประจบนักศึกษา หรือว่าไม่ใช่จะบัญญัติเอาเองตามชอบใจ ทุกคนคงจะมองเห็นว่าคำว่านักศึกษานั้นคือผู้มีสติปัญญา อย่างที่แต่โบราณเขาเรียกกันว่าเป็นบัณฑิต เป็นนักปราชญ์ เป็นวิญญูชน หมายความว่ามีความรู้ที่จะปฏิบัติสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ตน และประโยชน์บุคคลอื่นได้อย่างสมบูรณ์ เอาแล้ว เป็นอันว่านักศึกษาจะเป็นผู้มีปัญญาและมีความเสียสละเพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ส่วนรวม
เดี๋ยวนี้อาตมามองเห็นว่ามนุษย์ในส่วนรวมยังไม่มีความสงบสุข มีแต่วิกฤตการณ์ เช่นว่าการสงคราม เดี๋ยวนี้ก็มีการฆ่ากันเป็นหย่อมๆ ที่เรียกว่าเป็นสงคราม แม้จะไม่ใหญ่เป็นมหาสงคราม มันก็มีอยู่ หมายความว่ามันยังมีมนุษย์ที่ไม่เป็นมนุษย์ คือยังจ้องทำสงคราม ทีนี้ภายในโลกนี้ก็ยังมีวิกฤตการณ์เกี่ยวกับอาชญากรรม บางประเทศอาชญากรรมเขาสูงมาก ประเทศไทยก็กำลังสูง ฟังรายงานของทางตำรวจเมื่อสองสาม สามวันมานี่แล้วก็ใจหาย ที่ว่าอาชญากรรมขนาดฆ่ากันตายนั้นมีวันละหลายสิบราย อย่างนี้เป็นต้น ประทุษร้ายชีวิตร่างกายกันมีวันละหลายสิบราย ถึงกับตายก็มีนี่ มันไม่สมกับที่เป็นประเทศของพุทธบริษัทเลย อาชญากรรมเลวร้าย ฆ่าบิดามารดาอย่างนี้ก็มีมากขึ้น ข่มขืนแล้วฆ่า หรือฆ่ากำลังข่มขืนอย่างนี้ก็มีมากขึ้น ไม่มีความปลอดภัยในเมืองหลวง บน อ่า, ในถนนหนทาง บนรถเมล์ บนรถประจำทางก็ยังไม่มีความปลอดภัย อีกไม่เท่าไรในห้องนอนของตนแต่ละคนๆในบ้านของตนก็จะไม่มีความปลอดภัย ถ้าสถานการณ์ในทางศีลธรรมมันยังคงเป็นอยู่ในลักษณะนี้ เว้นเสียแต่ว่าสถานการณ์ทางศีลธรรมจะได้ถูกปรับปรุงแก้ไขให้เป็นไปในทางที่มีศีลธรรม
ศีลธรรมที่กล่าวนี้ก็หมายถึงศีลธรรมหลักพื้นฐานทั่วไปที่มีอยู่อย่างตรงๆกันในพระศาสนาทุกๆศาสนา ท่านเป็นนักศึกษาทั้งที ควรจะมีปัญญามองเห็นว่าหัวใจของศาสนาทุกศาสนานั้นเป็นอย่างไร อาตมาสังเกตศึกษาดูแล้วรู้สึกว่ามันเหมือนกันทุกศาสนา คือความไม่เห็นแก่ตัว แล้วก็เห็นแก่ผู้อื่น แล้วก็รักผู้อื่น นี่ขอให้มองดูกันในข้อนี้ว่าจริงหรือไม่จริง พุทธศาสนาเราก็ต้องการให้รักผู้อื่นในฐานะเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่เรียกว่ารักผู้อื่น หรือว่าโพธิสัตว์ มีอุดมคติจะช่วยผู้อื่น นี้เรียกว่ารักผู้อื่น ส่วนรักลูก รักเมีย รักผัว รักเพื่อนกินเหล้า รักเพื่อนเล่นไพ่ รักเพื่อนอันนี้มันไม่ใช่รักผู้อื่น นั้นมันคือรักตัวของตัวที่ออกไปอยู่ในรูปอย่างนั้น บุตร ภรรยา สามี เพื่อนกิน เพื่อนเล่นนั้นไม่เรียกว่าผู้อื่นในที่นี้ เพราะมันเป็นตัวของตัวในรูปอีกรูปแบบหนึ่ง ฉะนั้นรักลูกรักเมียนี้ไม่ใช่รักผู้อื่น มันต้องรักผู้อื่นจริงๆ ที่เรียกว่ารักเพื่อนบ้านไกลออกไป ไกลออกไป จนถึงกับว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จึงจะเรียกว่ารักผู้อื่น
รักผู้อื่นคำเดียวเท่านั้นช่วยโลกทั้งหมดได้ ช่วยสากลจักรวาลก็ได้ ถ้ามีการรักผู้อื่น พอรักผู้อื่นเท่านั้นแหละมันไม่รู้จะไปฆ่าใคร หรือไปทำร้ายใครที่ไหน เมื่อจิตใจมันรักผู้อื่นแล้วมันไม่มีที่ที่จะไปทำร้ายใครที่ไหน หรือไปฆ่าใครที่ไหนเพราะมันรักผู้อื่น แล้วมันก็ไม่มีโอกาสที่จะไปขโมย ปล้นจี้ใครที่ไหน เพราะมันรักผู้อื่น ก็ไม่มีโอกาสที่จะประพฤติผิดทางกาเม ล่วงเกินของรักใคร่ของบุคคลอื่น เพราะมันรักผู้อื่น มันไม่มีโอกาสที่จะล่วงความรักของผู้อื่น แล้วมันก็ไม่รู้จะไปโกหกกับใครที่ไหนเมื่อเรารักเขาเสียทุกคนแล้ว ไม่รู้จะไปโกหกกับใครที่ไหน มันก็ไม่มีการโกหกขึ้นมาในโลกนี้ได้ ศีลข้อน้ำเมาก็เหมือนกัน ถ้าเรารักผู้อื่นแล้ว เราก็รู้ว่าเมื่อเมาแล้วมันทำให้ผู้อื่นรำคาญ ลำบาก ยุ่งยาก เดือดร้อน หรือเป็นทุกข์เป็นตายไปก็มี ก็ยอมเสียสละน้ำเมา รักผู้อื่นอย่างเดียว ศีลห้านี้มันเกินกว่าที่จะบริบูรณ์เสียอีก คือมันไม่ ไม่เบียดเบียนใครแล้ว มันยังรักที่จะช่วยเหลือเขา ขอให้คิดดูให้ดี ถ้ามีความรักผู้อื่นอย่างเดียวเท่านั้น ไอ้ความเลวร้ายทั้งหลายในโลก ในบ้านในเมือง ในประเทศไทยนี้ก็จะไม่มี ทำไมเราไม่ปลุกระดมกันในข้อนี้ ทำไมเราไม่หาแนวร่วมกันในข้อนี้เพื่อให้มันเกิดความรักผู้อื่นขึ้นมาในหมู่ประชาชน พอรักผู้อื่นแล้วมันไม่มีการฆ่า การขโมย การล่วงเกินของรัก การโกหกหลอกลวง หรือการกระทบกระทั่งด้วยความมึนเมาไม่เจตนา จึงขอท้าว่ามันมีอะไรนะที่มันจะสูงสุดไปกว่านี้ คือสูงสุดไปกว่าความรักผู้อื่นอันเป็นประโยชน์ทางสังคม
ทีนี้มองดูทางประโยชน์ตัว ถ้ารักผู้อื่นก็ไม่เห็นแก่ตัว เพราะเห็นแก่คนอื่น ถ้าไม่เห็นแก่ตัวแล้วความโลภจะเกิดไม่ได้ ความหลงจะเกิดไม่ได้ อ่า, ความโง่ เอ่อ, ความโลภจะเกิดไม่ได้ ความโกรธจะเกิดไม่ได้ ความหลงจะเกิดไม่ได้ เห็นแก่ตัวมันจึงไปโลภ ผิดศีลธรรม ไม่ได้อย่างโลภ มันก็โกรธ มันก็ฆ่าเขาเป็นต้น มันก็ผิดศีลธรรม หรือว่ามันเห็นแก่ตัวแล้ว มันก็หลงตัว หลงทุกอย่างที่จะเป็นประโยชน์แก่ตัว ถ้าไม่เห็นแก่ตัว มันก็ไม่อาจจะเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ที่ตรงไหน บุคคลนั้นก็หมดกิเลสได้ในที่สุด เราจึงเห็นว่ารักผู้อื่นอย่างเดียวเท่านั้น ทำให้เป็นพระอรหันต์ก็ได้ นี่ส่วนบุคคลก็มีคุณธรรมสูงถึงอย่างนี้ ส่วนสังคมก็อยู่เป็นสันติสุข แล้วจะมีอะไรจะดีไปกว่าความรักผู้อื่น
อาตมาจึงต้องการจะขอร้องให้นักศึกษาทั้งหลายช่วยกันรณรงค์ เป็นแนวร่วมใหญ่ให้มันเกิดความรักผู้อื่นขึ้นมาในบ้านในเมืองของเรา นี่ก็คือเรื่องที่อยากจะพูด ถ้าต้องการจะเสียสละกำลังกาย กำลังใจ ชีวิต ร่างกายอะไรก็ตามเถอะ ขอให้ใช้ไปในทางที่เป็นประโยชน์สูงสุด คือทำให้เกิดความรักผู้อื่นขึ้นมาในหมู่มนุษย์ แล้วก็หมดปัญหา แม้แต่แม่ค้าหาบของขายก็จะไม่วางหาบให้กีดขวางทางเท้า ที่ตำรวจต้องไล่จับ เทศบาลต้องไล่จับ เพราะว่าแม่ค้านั่นมันไม่รักผู้อื่นเสียเลย มันเอาแต่ประโยชน์ตัว ความสะดวกส่วนตัว นี่ลองคิดดูเถอะว่าถ้ารักผู้อื่นแล้ว แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆที่น่ารำคาญเหล่านี้ก็ไม่มี เรื่องที่เป็นอันตรายร้ายแรงอย่างที่ว่ามาแล้วมันก็ไม่มี ไม่มีฆ่า ไม่มีลัก ไม่มีละเมิดของรัก ไม่มีโกหกหลอกลวง ไม่ทำให้ผู้อื่นลำบากเพราะความเมาของตัว
ฉะนั้นขอให้สนใจว่าไอ้ความรักผู้อื่นนี้เป็นสิ่งสูงสุด เป็นหัวใจของศาสนาทุกศาสนา กล้าท้าให้ไปดู พุทธศาสนาก็จะพบหัวใจที่ความรักผู้ ที่เป็นความรักผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว ยิ่งศาสนาคริสเตียนแล้วยิ่งเน้นมากที่สุดเรื่องรักผู้อื่นไม่เห็นแก่ตัว จนจะกล่าวได้ว่าคัมภีร์ไบเบิ้ลทุกๆหน้ามันจะเน้นเรื่องความรักผู้อื่น เพราะว่าเป็นความประสงค์ของพระเป็นเจ้า เพราะฉะนั้นเขาให้ถือเป็นหลักว่า รับใช้ผู้อื่นคือรับใช้พระเจ้า ประทุษร้ายผู้อื่นคือประทุษร้ายพระเจ้า ฉะนั้นเรารักพระเจ้าให้สมกับที่พระเจ้าสร้างเรามา และพระเจ้าต้องการให้เรารักผู้อื่น เราจึงต้องรักผู้อื่นเหมือนกับที่พระเจ้ารักเรา ข้อนี้ใครค้านบ้าง คนโง่เท่านั้นแหละที่จะค้านว่า นั่นมันเป็นคริสต์ศาสนาโว้ย เราไม่เอาโว้ย เราเป็นพุทธโว้ย เราไม่ยอมฟังคำกล่าวของศาสนาอื่น นั้นมันคือคนโง่ ไม่รู้ว่านี้เป็นหัวใจของธรรมะของธรรมชาติ ถ้าไม่มีความรักกันแล้ว มันก็จะทำลายกัน พอมันรักกันแล้ว มันก็จะหยุดการทำลายกัน
รักผู้อื่นคำเดียวทำให้เกิดศาสนาพระศรีอาริย์ พระศรีอริยเมตไตรยขึ้นมาทันที เมตเตยยะ เมตไตรยะนี้มันแปลว่า เนื่องอยู่กับเมตตา เมตตานั้นคือรักผู้อื่น ศรีก็ประเสริฐ อริยะก็สูงสุด ศรีอริยเมตไตรยก็คือความรักผู้อื่นสุดเหวี่ยง สูงสุด ฉะนั้นรักผู้อื่นคือหัวใจของศาสนาทุกศาสนา และเป็นสิ่งที่จะสร้างโลกพระศรีอาริย์ขึ้นมาได้ในบัดนี้ ในเวลานี้ เดี๋ยวนี้ นี่ศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยที่แท้จริงนั่นน่ะคือรักผู้อื่น ส่วนศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยที่พวกคอมมิวนิสต์เขาอ้างนั่นน่ะมันไม่ ไม่มีเหตุผล ถ้ายังมีการฆ่ากันแล้ว ไม่ๆ ไม่มีศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย นายทุนยังเกลียดชนกรรมาชีพ ชนกรรมาชีพยังอาฆาตจะทำลายนายทุนอยู่ตราบใด ก็ไม่มีศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยไปได้เลย พอนายทุนรักชนกรรมาชีพ ชนกรรมาชีพก็รักนายทุน มันก็เปลี่ยนจากนายทุนไปเป็นเศรษฐีใจบุญ ชนกรรมาชีพก็เปลี่ยนเป็นไอ้พลเมืองที่ดีมีธรรมะ รู้จักบุญคุณของผู้อื่นขึ้นมา อย่างนี้เรียกว่านายทุนก็ตายหมด เหลือแต่เศรษฐีใจบุญ ชนกรรมาชีพผู้อาฆาตก็ตายหมด เหลือแต่มนุษย์ที่รู้จักหน้าที่การงานของตน มีศีลธรรมดี ชนกรรมาชีพรู้ว่าถ้าไม่มีนายทุนเราไม่มีงานทำ นายทุนก็รู้ว่าถ้าไม่มีชน ชนกรรมาชีพเราก็ไม่มีแรงงานใช้ ดังนั้นก็มีความรักเกิดขึ้นมาได้ระหว่างนายทุนกับชนกรรมาชีพ นายทุนกระดาษซับทั้งหลายก็จะไม่มีในโลกนี้ ชนกรรมาชีพผู้โหดร้ายทั้งหลายก็จะไม่มีในโลกนี้ มีแต่มนุษย์ที่รู้ว่าเราต้องเป็นไปตามกรรม เราเหมือนกันไม่ได้ เราเท่ากันไม่ได้ แต่ว่าเราอยู่ด้วยกันได้นี่ แม้ว่าเราจะไม่เท่ากันน่ะ อันหนึ่งจะใหญ่โต อันหนึ่งจะเล็ก อันหนึ่งจะแข็งแรง อันหนึ่งจะอ่อนแอ อันหนึ่งจะโง่ อันหนึ่งจะฉลาด มันจะต่างกันอย่างไร มันก็ต้องอยู่กันได้เพราะอำนาจของธรรมะซึ่งเป็นหัวใจของพระศาสนา
ศาสนาอิสลามนี่มักจะมีคนร้องคัดค้านว่าถือดาบ อาตมาก็ขอบอกแทนว่าถือดาบนี่เพื่อให้คนมันรักกัน ศาสนาอิสลามนี่ถือดาบก็จริง แต่ถือดาบเพื่อให้คนมันรักกัน ให้มันยอมรับลัทธิที่ว่ามนุษย์เราต้องรักกัน ต้องเอื้อเฟื้อ ต้องไม่เห็นแก่ตัว ต้องเห็นแก่ผู้อื่น ฉะนั้นถ้าคนรักผู้อื่นจริงๆแล้ว คนนั้นก็ถือศาสนาทุกศาสนาพร้อมกันไปในคราวเดียวกัน เขาจะเป็นชาวพุทธที่ดี เป็นชาวคริสต์ที่ดี เป็นอิสลามิกชนที่ดี ถ้าเขารักผู้อื่น ข้อปฏิบัติปลีกย่อยไม่ต้องเอามาพูดให้เสียเวลา เช่นจะมาคัดง้างแย้งยันกันเรื่องว่ากินหมูผิด กิน ไม่กินหมูถูก อันนี้มันก็มั่น มันเป็นเรื่องเปลือกเกินไป เราจะต้องเอาหัวใจของพระศาสนาคือความรักผู้อื่น ฉะนั้นต้องมีศาสนา มันจึงจะเกิดความรักผู้อื่น ถ้าไม่มีศาสนา ไม่ถือศาสนากันแล้ว มันก็ไม่มีความรักผู้อื่น ฉะนั้นเราช่วยกันต่อสู้ให้มีศาสนา ให้มีการถือพระศาสนา แล้วก็จะมีความรักผู้อื่น
เดี๋ยวนี้มันมีความเลวร้ายอันหนึ่งเกิดขึ้น คือว่าศาสนาหรือธรรมะนี้ถูกกีดกัน เกียดกันออกไปจากระบบของการศึกษา การศึกษาในโลกทั้งโลกนี่ มันกันธรรมะหรือกันศาสนาออกไปๆๆ จนเหลืออยู่แต่รู้หนังสือกับอาชีพ รู้หนังสือฉลาดนี่ก็ทำกันสุดเหวี่ยง ยิ่งทำกันมาก ก็ดี มันก็อย่างนั้นแหละ รู้หนังสือแหละ ฉลาดน่ะ แล้วก็อาชีพ มีเทคโนโลยี สามารถจะใช้เทค เทคนิคให้สำเร็จประโยชน์ในทุกกรณี แต่แล้วมันก็เป็นเพียงเพื่ออาชีพ แม้จะเป็นหมอ เป็นนักกฎหมาย เป็นอะไรมันก็เพื่ออาชีพ ส่วนธรรมะซึ่งเป็นวิชาหนึ่งสำหรับทำให้มนุษย์มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องนั้นมันไม่มี มันขาดธรรมะ มันเหลือแต่หนัง เรียนหนังสือกับเรียนวิชาชีพ แล้วไม่มีเรียนธรรมะ ระบบการศึกษาอย่างนี้ อาตมาเรียกว่าระบบการศึกษาหมาหางด้วน หมาหางด้วน ช่วยจำไปบอกกันด้วย ว่าในโลกนี้กำลังมีระบบการศึกษาหมาหางด้วน มีแต่รู้หนังสือกับรู้อาชีพ ไม่รู้ธรรมะว่าจะเป็นคนกันอย่างไร แม้ที่สุดแต่ว่าจะเป็นสุภาพบุรุษ เป็นสัตบุรุษกันอย่างไรมันก็ยังไม่รู้ นี่คือการศึกษาหมาหางด้วน มันเก่งไปหมด หนังสือก็เก่ง ไอ้เทคนิคก็เก่ง อะไรก็เก่ง เก่งกล้าสามารถเหลือเกิน แล้วถามว่านี่จะไปไหนกัน เกิดมาทำไมกัน จะไปไหนกัน มันบอกว่าไม่รู้ ให้ไปถามคอมพิวเตอร์ นี่ มันว่ามันไม่รู้ ให้ไปถามคอมพิวเตอร์ บอกว่าเกิดมาทำไมกัน แล้วจะไปข้างไหนกัน นี่ระบบการศึกษาหมาหางด้วน มันถึงขนาดนี้ มันให้ไปถามคอมพิวเตอร์ว่าเกิดมาทำไมกัน แล้วเราจะไปทางไหนกัน
ฉะนั้นเราช่วยกันต่อสู้ให้มันหยุดความเป็นการศึกษาหมาหางด้วน นักศึกษาช่วยกันต่อต้านให้กลับมีการศึกษาที่หมาหางไม่ด้วน เรื่องหมาหางด้วนนี้นักศึกษารุ่นหลังนี้อาจจะไม่เคยได้ยินได้ฟังก็ได้ เพราะว่าเขาเลิกเรียนหนังสือนิทานอีสปเสียแล้ว ต้องเป็นคนในยุคที่เรียนหนังสือสอนอ่านนิทานอีสปจึงจะรู้ คือหมาตัวหนึ่งไปติดกับแล้วหางขาดด้วนไปเลย มันก็เที่ยวแสดงแก่หมาทั้งหลายอื่นว่าหางด้วนนี้ดี หางด้วนนี้ดี มีหางแล้วไม่ดีรุงรังเปล่าๆ ทีนี้ไอ้หมาโง่ทั้งหลายมันก็เชื่อ แล้วมันก็ชวนกันตัดหางตามๆกันไป จนกว่าจะมาพบหมาแก่ฉลาดตัวหนึ่งบอกว่าโกหกโว้ย เราไม่เอาโว้ย เราไม่เชื่อโว้ยที่ว่าหางด้วนนี้ดีน่ะ นี่เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ก็เรียกว่าเรื่องหมาหางด้วน
เดี๋ยวนี้โลกมีการศึกษาระบบหมาหางด้วน คือว่าประเทศชาติที่มันนำในการศึกษา เป็นประเทศใหญ่ การศึกษารุ่งเรือง พอมาถึงยุคนี้มันพ่ายแพ้แก่วัตถุนิยม มันเห็นแต่แก่ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ประโยชน์ทางการเมือง ประโยชน์ทางไอ้อำนาจกำลังทางวัตถุ มันจึงตัดใจ ตัดสินใจเอาระบบธรรมะ ระบบศาสนาออกไปเสียจากระบบการศึกษา นั่นแหละคือกับตัวใหญ่ งับเอาหมาตัวใหญ่หางด้วนก่อน ประเทศนั้นใหญ่ที่สุด มีอำนาจที่สุด เฉลียวฉลาดที่สุด แต่แล้วมันไปพ่ายแพ้แก่วัตถุนิยม จนเอาไอ้การศึกษาธรรมะหรือศาสนาออกไปเสียจากระบบการศึกษา มันเป็นหมาหางด้วนตัวแรกเข้าที่ชาติใหญ่ๆอย่างนี้ก่อน แล้วชาติอื่นๆก็พลอยทำตาม เห็นว่าไม่ได้การถ้าเรายังไม่เอาไอ้ธรรมะออกไป การศึกษาของเราไม่ทันเพื่อน ไม่ทันโลก เลยนิยมระบบการศึกษาหมาหางด้วนกันทั้งโลก ไม่ไปเสียเวลาเรียนธรรมะเรียนศาสนา มาเรียนเทคโนโลยีกันให้สุดเหวี่ยง อะไรๆก็ไปถามคอมพิวเตอร์ ธรรมะไม่ต้องการ นี้ประเทศไทยจะอยู่ในชุดนั้นด้วยหรือเปล่า ไม่อยากจะพูด ไปคิดเอาเอง แต่ว่าถ้ามันไม่มีระบบการศึกษาธรรมะหรือศาสนาอยู่ในระบบการศึกษาแล้วก็ต้องเรียกว่าหมาหางด้วนด้วยเหมือนกัน ไปจับหมามาตัวหนึ่ง ตัดหางให้ขาดหมดเลยแล้วปล่อยให้เดินให้วิ่งน่ะ มันจะไม่เดินเหมือนเก่า มันจะไม่วิ่งเหมือนเก่า มันจะวิ่งเป้ไปเป้มา ปัดไปปัดมาเพราะมันไม่มีหางถ่วงไว้ นี่หมาหางด้วนมันจะมีบาลานซ์ จะวิ่งเรียบไม่ได้ มันต้องปัดไปปัดมา นี่เราอยากจะมีธรรมะหรือมีศาสนาที่ควบคุมชีวิตนี้ให้ถูกต้อง เรียบร้อย สมดุล งดงาม ตรงไปยังจุดหมายปลายทางคือสันติภาพหรือสันติสุขของมนุษย์ จะเรียกว่าไปอยู่กับพระเจ้าก็ได้เหมือนกัน แต่ต้องให้ความหมายว่าสันติภาพหรือสันติสุขสูงสุดของมนุษย์
นี้เราจะทำกันอย่างไรดี ขอร้องให้นักศึกษาทั้งหลายทั้งโลก ใครได้ยินก่อนก็ช่วยฟังก่อน แล้วช่วยเอาไปบอกต่อๆกันไป ว่านักศึกษาทั้งหลายจงช่วยกันแก้ไขระบบการศึกษา รับหน้าที่ต่อหางหมา ขอให้นักศึกษาทั้งหลายรับหน้าที่สำคัญด่วนจี๋ คือการต่อหางหมา ให้หมากลับมีหาง คือกลับมีธรรมะ มีศาสนาในระบบการศึกษา แล้วก็คนก็จะรักกัน แล้วปัญหาต่างๆก็จะหมดไป แต่ถ้าเห็นว่าการต่อหางหมาไม่ปลอดภัยเพราะว่าอาจจะไปเอาหางอะไรมาต่อหางหมา เอาหางลิงมาต่อหางหมามันก็ยิ่งร้ายไปใหญ่ ก็ช่วยกันปลูกหางหมาที่มันขาดไปแล้วนั่นแหละให้มันกลับงอกออกมาตามเดิม คือเราเอาศาสนาเก่า ธรรมะเก่าที่มีอยู่แล้วน่ะมาใส่เข้า อย่าไปเอาลัทธิเพรียวลมอะไร อย่าไปเอาลัทธิคอมพิวเตอร์อะไรเข้ามา มาใส่ต่อหางหมาเลย เอาธรรมะเดิม ธรรมะระบบเดิมของธรรมชาติ ของพระเจ้าดั้งเดิมมาต่อเข้า มันก็เป็นการศึกษาที่สมบูรณ์ มีครบทั้งสามอย่างคือ มีรู้หนังสือ รู้อาชีพ แล้วรู้ธรรมะ สำหรับความเป็นมนุษย์ ไอ้ธรรมะนั่นแหละเพียงพอที่จะทำให้เราเป็นสุภาพบุรุษ เป็นสัตบุรุษ เป็นมนุษย์ที่ไว้ใจได้ การศึกษาหมาหางด้วนนั้นเรียนจบแล้วเป็นมนุษย์ที่ไว้ใจไม่ได้ มันจะมีปริญญายาวเป็นหางมันก็เป็นสัตว์ที่ไว้ใจไม่ได้ เพราะว่ามันมีแต่รู้หนังสือกับรู้อาชีพ มันเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้ ไม่เป็นสุภาพบุรุษ ไม่เป็นสัตบุรุษ ต่อเมื่อใดมันมีธรรมะ ตั้งอยู่ในธรรมะของศาสนา มันก็ไว้ใจได้ มีความเป็นสุภาพบุรุษ เป็นสิ่งสูงสุดสำหรับมนุษย์ แล้วก็อยู่กันอย่างสุภาพบุรุษหรือสัตบุรุษในหมู่มนุษย์ทั่วไปทั้งโลก นี้ก็เป็นโลกที่เจริญด้วยมนุษยธรรม มีธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์ ขอร้องให้นักศึกษาต่อหางหมา มีงานรีบด่วนจำเป็นคือต่อหางหมา
ทีนี้ถัดไป หน้าที่ถัดไปครั้งที่สองก็คือฆ่าคอมมิวนิสต์ ต้องต่อหางหมาก่อนจึงจะฆ่าคอมมิวนิสต์ได้ หรือต่อหางหมามีศาสนาแล้ว คนก็รักกัน คนก็รักกัน พอคนรักกัน คอมมิวนิสต์ตายหมด ไม่มีเหลือในโลก คอมมิวนิสต์เกิดขึ้นมาในโลกเพราะว่าตรงนั้นหรือเวลานั้น คนมันเกลียดกัน เอาเปรียบกัน จนนายทุนเป็นกระดาษซับสูบเลือดกรรมกร คอมมิวนิสต์มันก็เกิดขึ้นที่นั่นเมื่อร้อยกว่าปี ลัทธิคาร์ล มาร์กซ์อะไรก็ตามแล้วแต่จะเรียก มันได้เกิดขึ้นมาในโลกเพราะตรงนั้นมันขาดความรักผู้อื่น คอมมิวนิสต์เกิดขึ้นมาได้เพราะขาดความรักผู้อื่น พอความรักผู้อื่นเกิดขึ้นมาตามหลักของศาสนา นายทุนตายหมด กลายเป็นเศรษฐีใจบุญ ไม่มีนายทุนกระดาษซับอีกแล้ว กรรมกรอันอาฆาตก็ตายหมด เหลือแต่มนุษย์ที่รู้จักผิดชอบชั่วดี ถือธรรมะ รับ ยอมรับกฎแห่งกรรม มีศีลธรรม ชนกรรมาชีพนั้นก็ตายหมด มันก็เหลือแต่มนุษย์ที่รู้จักรักนายทุน นายทุนก็รู้จักรักไอ้ชนกรรมาชีพนี่ เพราะนายทุนมันเปลี่ยนเป็นเศรษฐีใจบุญ รู้จักรักมนุษย์ที่ยากจน มนุษย์ยากจนก็รู้จักเศรษฐีใจบุญ คอมมิวนิสต์ก็ตายหมด
หัวใจของศาสนาคือความรักผู้อื่นนั่นแหละ เป็นยาพิษสำหรับฆ่าคอมมิวนิสต์ เหมือนกับเราโรยดีดีทีไว้ที่ตรงไหน พอแมลงไปถูกเข้ามันก็ตาย ถ้ามันมีลัทธิรักผู้อื่นซึ่งเป็นหัวใจของศาสนาเกิดขึ้นมาแล้ว ลัทธิคอมมิวนิสต์ก็ตาย ตายหมดไม่มีเหลือ ฉะนั้นขอร้องให้นักศึกษาทั้งหลายฆ่าคอมมิวนิสต์ด้วยยาพิษคือหัวใจของศาสนา นักศึกษาทั้งหลายอย่ามาโง่ บรมโง่ตามพวกนั้นว่าศาสนาเป็นยาเสพติด นักศึกษาบางคนมาที่นี่ มาๆทะเลาะกับอาตมาในข้อที่ว่า เขาว่าศาสนาเป็นยาเสพติด นี่มาทะเลาะกับอาตมาเป็นชั่วโมงเราบอกว่าศาสนาเป็นยาพิษสำหรับฆ่าคอมมิวนิสต์ เพราะถ้ามีศาสนารักผู้อื่นแล้วคอมมิวนิสต์ก็ ก็ไม่อาจจะเกิด ที่เกิดแล้วก็จะตาย เพราะฉะนั้นศาสนาคือยาพิษสำหรับฆ่าคอมมิวนิสต์ ศาสนาไม่ใช่ยาเสพติดหลอกประชาชนอีกต่อไป ให้นักศึกษาช่วยกันทำความเข้าใจในเรื่องนี้ มีความรักผู้อื่นแล้วก็เป็นการฆ่าคอมมิวนิสต์ แล้วไม่ไปหลงโง่ตามที่เขาหลอกว่าศาสนาเป็นยาเสพติด อุตส่าห์เรียนมาในระดับมหาวิทยาลัย ยังมามองเห็นศาสนาเป็นยาเสพติด ทั้งๆที่มันเป็นยาพิษสำหรับที่จะฆ่าลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นผลของการที่คนไม่รักกัน นี่ช่วยหน้าที่ที่สอง หน้าที่ที่หนึ่งปลูกหางหมา หน้าที่ที่สองฆ่าคอมมิวนิสต์
ทีนี้หน้าที่ที่สามคือทำจิตให้มีสถาบันทั้งสาม คือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อาตมาสังเกตเห็นว่านักศึกษานี้ก็ยังไม่รู้จักศาสนา อ่า, ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นักศึกษานี้ยังไม่รู้จักตัวจริงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รู้จักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์แต่เปลือก คือรู้แต่ในทางวัตถุ เป็นสำนักงาน เป็นบุคคล เป็นอะไรอย่างนี้ อันนี้ไม่ใช่ศาส อ่า, ไม่ใช่สถาบันทั้งสามที่แท้จริง มันต้องหมายถึงคุณธรรมที่แท้จริง ที่เอาไปใส่ไว้ในจิตใจได้ ถ้าชาติเป็นแผ่นดิน มันเอาไปใส่ในใจไม่ได้ ศาสนาเป็นโบสถ์วิหาร เป็นสถาบันคือโบสถ์วิหาร วัดวาอาราม มันก็ไปใส่ในใจไม่ได้ พระมหากษัตริย์เป็นบุคคล ก็ไปใส่ในใจไม่ได้ มันต้องเอาคุณธรรมของสิ่งเหล่านั้น
ชาติคือความถูกต้องที่เราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างเหนียวแน่นมั่นคง นี้เราต้องพอใจในสภาพอย่างนี้ ฝังอยู่ในจิตใจของเรา มีสถาบันชาติอยู่ในจิตใจของเรา ไม่ใช่เที่ยวตั้งอยู่ตามแผ่นดิน แล้วก็มีสถาบันศาสนาคือธรรมะที่มีหัวใจว่ารักผู้อื่นนี้ เป็นเครื่องคุ้มครองโลก คุ้มครองมนุษย์ คุ้มครองเราเอง คุ้มครองผู้อื่น เราพอใจในหัวใจของพระศาสนา นี่เรียกว่าสถาบันของศาสนา แล้วใส่ไว้ในใจของเรา ไม่ใช่มาตั้งไว้ตามวัดตามวา ตามแผ่นดิน ตามไอ้สถานที่อย่างนี้ สถาบันที่แท้จริงนั้นต้องตั้งอยู่ในใจ บนจิตใจ พระมหากษัตริย์ก็เหมือนกัน ความจำเป็นที่ต้องมีพระมหากษัตริย์นั้นน่ะเป็นสิ่งที่เชื่อแน่ แล้วก็ตั้งอยู่ในใจของเรา ไม่ใช่เที่ยวตั้งอยู่ในราชสำนัก เป็นวัตถุ เป็นที่ สถานที่อะไรที่ไหน ฉะนั้นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ต้องเป็นคุณธรรม เป็นคุณสมบัติ เป็นคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น แล้วฝังแน่นอยู่ในจิตใจของเรา
เพื่อเข้าใจง่ายก็เปรียบเหมือนกับว่าร่างกายก็ต้องมี แล้วจิตใจ ระบบจิตใจก็ต้องมี แล้วต้องมีระบบประสาทสำหรับสัมพันธ์ร่างกายกับจิตใจ จึงจะสำเร็จประโยชน์เป็นคนๆหนึ่ง มีแต่ร่างกายมันก็บ้า มันไม่ทำอะไรได้ มีแต่จิตใจไม่มีร่างกายมันก็ทำอะไรไม่ได้ หรือว่ามีทั้งร่างกายทั้งจิตใจแต่มันไม่สัมพันธ์กันได้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่นั่นเอง เราจึงต้องมีระบบประสาท เพราะฉะนั้นชาตินี้เหมือนกับร่างกาย ศาสนาเหมือนกับจิตใจ พระมหากษัตริย์เหมือนกับระบบประสาททำความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตใจ เราจึงอยู่ได้ เป็นคนที่อยู่ได้ เพราะมีกาย มีใจ มีความสัมพันธ์ระหว่างกายกับจิตใจ เมื่อมีครบอย่างนี้ก็เป็นชาติไทยที่ปึกแผ่น ที่มั่นคง ที่สูญหายไม่ได้ นี่พูดกันอย่างนี้ดีกว่า เพราะฉะนั้นเราไปช่วยกันทำให้เพื่อนนักศึกษาของเรารู้จักสามสถาบันนี้โดยแท้จริง อย่าให้อยู่ข้างนอกตัวอีกต่อไป แต่ให้ไปอยู่ในจิตใจ
แล้วที่สำคัญที่สุดนั้นเรารู้ด้วยจิตใจ เราสัมผัสด้วยจิตใจ เราพอใจด้วยจิตใจ จิตใจมันยอมรับบูชาอย่างแน่นแฟ้น เราจะไม่พูดเหมือนไอ้คนที่เขาพูดกันว่า ข้าพเจ้าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นั้นมันคนตลก มันคนเล่นลิ้น ข้าพเจ้าจะ ข้าพเจ้ายังไม่ได้ทำ แต่พอถึงเวลาเข้าจริงข้าพเจ้าไม่ทำก็ได้ เพราะข้าพเจ้าบอกแต่ว่าจะทำ ข้าพเจ้าจะจงรักภักดีต่อประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คำพูดที่ว่าข้าพเจ้าจะอย่างนั้น ข้าพเจ้าจะอย่างนี้นั้นน่ะมันหลอกลวง ขอให้นักศึกษาที่มีปัญญาจริงๆเปลี่ยนคำปฏิญญาเสียใหม่ว่า ข้าพเจ้าจงรักภักดีต่อประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์บัดนี้และตลอดไป นั่นจึงจะใช้ได้ พูดอย่างนี้จึงจะใช้ได้ตามหลักของภาษาบาลี ตามหลักของภาษาบาลีหรือภาษาศาสนานี้ ถ้าพูดว่าข้าพเจ้าจะจงรักภักดีอย่างนี้เป็นโมฆะ ไม่มีความหมายอะไรเลย ไม่เป็นการผูกมัดอะไรเลย ต้องพูดว่าข้าพเจ้าจงรักภักดีบัดนี้เลย ก็ใช้คำกิริยาที่เป็นปัจจุบันกาลว่าบัดนี้ แล้วก็เติมตลอดไปเข้าไปด้วย ข้าพเจ้าจงรักภักดีต่อประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์บัดนี้และตลอดไป เราต้องปฏิญญาอย่างนี้ ถ้ายังขืนปฏิญญาว่าข้าพเจ้าจะจงรักภักดีอย่างนี้แล้วก็คงเล่นตลกตลอดไป มันก็หาคนที่จะจงรักภักดีได้ยาก เพราะมีแต่คนจะทั้งนั้น นักศึกษาช่วยไปบอกกันเสียทีว่า เราจะเป็นคนจริงเป็นคนตรง เพราะว่าเรามีสติปัญญา เราจะทำให้สถาบันทั้งสามมีอยู่ในจิตใจของเราโดยตรงโดยแท้จริง นี่แหละเป็นหน้าที่ที่สาม หน้าที่ที่หนึ่งคือปลูกหางหมา หน้าที่ที่สองฆ่าคอมมิวนิสต์ หน้าที่ที่สามคือทำจิตให้สมบูรณ์อยู่ด้วยสถาบันทั้งสาม สถาบันทั้งสามต้องไปอยู่ในจิตนะ อย่ามาวางไว้ตามพื้นดินนะ ทำจิตให้สมบูรณ์ด้วยสถาบันทั้งสาม
นี่ขอร้อง ขอทุกอย่างกับนักศึกษาว่าช่วยทำความศึกษา ทำการศึกษาให้เข้าใจในหน้าที่อันประเสริฐสูงสุดของมนุษย์เรา โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ ต้องปลูกหางหมา อย่าให้การศึกษาเป็นหมาหางด้วน แล้วฆ่าคอมมิวนิสต์ด้วยยาพิษสำหรับฆ่าคอมมิวนิสต์โดยแท้จริง คือความรักผู้อื่นที่เป็นหัวใจของศาสนา ศาสนาต้องแข็งพอที่จะรับหน้าคอมมิวนิสต์ เพราะฉะนั้นศาส อ่า, คอมมิวนิสต์จะมา ศาสนาก็สู้ได้ ศาสนาต้องเป็นยาพิษสำหรับจะสู้หน้าแมลงศัตรูพืชได้เสมอไป ถึงคอมมิวนิสต์จะมา ศาสนาก็อยู่ได้ ก็สู้ได้ และก็จะกำจัดลัทธิคอมมิวนิสต์ให้หมดไป ขอแต่ให้เป็นศาสนาจริง จริงลงไปคือมันรักผู้อื่น แล้วมันเกิดความรักในหมู่มนุษย์ สมกับคำว่าเป็นมนุษย์ เรามีทางที่จะทำได้ในการที่จะขจัดลัทธิที่ทำความยุ่งยากลำบาก ไม่มีความสงบสุข ด้วยการปลูกหางหมา ฆ่าคอมมิวนิสต์ ทำจิตให้มีสถาบันทั้งสาม พูดเป็นคำกลอนสัมผัสกันหน่อยมันจำง่ายว่า “ปลูกหางหมา ฆ่าคอมมิวนิสต์ ทำจิตให้มีสถาบันทั้งสาม” แล้วก็หมดแล้ว นักศึกษาที่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน จะต่อสู้ จะณรงค์อะไรเพื่อประโยชน์แก่สังคมแล้ว ขอได้โปรดรับเอาไอ้สิ่งทั้งสามนี้ไปพิจารณา ว่า “ปลูกหางหมา ฆ่าคอมมิวนิสต์ ทำจิตให้มีสถาบันทั้งสาม” แล้วการศึกษาของท่านทั้งหลายก็จะไม่เป็นหมัน จะมีประโยชน์ จะเป็นประโยชน์สูงสุด ที่สุดรอบๆด้านเลยไม่มีบกพร่องที่ตรงไหน
นี่นักศึกษาก็ดี ครูบาอาจารย์ก็ดี คนเฒ่าคนแก่ก็ดีที่จะอบรมลูกหลานนั้นน่ะ ช่วยกันทำให้มันเกิดสิ่งทั้งสามนี้ ไอ้ระบบการศึกษาหมาหางด้วนนั้นน่ะ ถ้ากระทรวงศึกษาฯเขายังไม่แก้ รัฐบาลเขายังไม่แก้ พวกเรานี่แหละช่วยกันแก้ ในฐานะพุทธสมาคมก็ดี ในฐานะยุวพุทธิกสมาคมก็ดี ในฐานะพลเมืองทั่วไป พุทธบริษัทก็ดี จะแก้ได้ ขอให้เราช่วยกันแก้ ช่วยกันพร่ำสอนให้ลูกหลานของเรารู้ธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์ เอ้า, ที่โรงเรียน ที่มหาวิทยาลัย เรียนกันแต่สองอย่าง คือหนังสือกับอาชีพ แต่ที่บ้านหรือในที่ทั่วไปนี่ เราจะสอนลูกเด็กๆของเราให้มันมีธรรมะ ให้มันมีศาสนา ที่ชดเชยเข้าไปกับที่รัฐบาลยังไม่จัดให้ ที่กระทรวงศึกษาฯยังไม่จัดให้ ได้ยินว่าจะจัด แต่มันก็คงจะจัดอยู่นั่นแหละ ไอ้จะนี่มันใช้ไม่ได้ เราเดี๋ยวนี้ช่วยกันเถอะ คนแก่คนเฒ่าก็อบรมลูกเด็กๆให้เขามีธรรมะ ให้เขามีศาสนา โดยเฉพาะตั้งต้นขึ้นด้วยคำว่ารักผู้อื่น ลูกเอ๋ยต้องรักผู้อื่น หลานเอ๋ยต้องรักผู้อื่น เพราะมันเป็นอย่างนั้นๆ ทำให้เห็นว่าเราต้องรักผู้อื่น ตามแบบคริสเตียนน่ะเขามันง่ายเพราะเขาสอนกันมาอย่างนั้นตั้งแต่อ้อนแต่ออก รักพระเจ้าต้องรักผู้อื่น ไอ้เราก็เหมือนกัน ถ้ารักพระธรรม รักพระพุทธเจ้า ก็ต้องรักผู้อื่น เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านต้องการอย่างนั้น พระธรรมก็มีหลักอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราต้องรักผู้อื่น เมื่อเรารักผู้อื่นแล้วมันก็แสดงออกมาเป็นการช่วยผู้อื่น ให้ว่า ให้เป็นว่าลูกเด็กๆนี่เขาไม่ใจจืด ใจดำ เขาทำร้ายใครไม่ได้ แล้วเขาก็ช่วยเหลือผู้อื่น เขามีของกินมาก เขาก็แบ่งให้ ให้เพื่อนที่ไม่มี เขามีสตางค์มาก เขาก็แบ่งให้เพื่อนที่ไม่มี อย่างนี้มันก็เป็นการปลูกลัทธิรักผู้อื่น
เราเกิดมาสำหรับอยู่กันเป็นสุขทุกคน เราจึงต้องรักผู้อื่น แล้วแต่ละวันๆ เราต้องมีการกระทำที่เราพอใจตัวเราได้ ออกมาจากการรักผู้อื่น อยากจะให้คนแก่คนเฒ่าหรือครูบาอาจารย์ทั้งหลายอบรมเด็กด้วยการทดสอบ โรงเรียนอนุบาลอย่างนี้ เราสมมติว่าโรงเรียนอนุบาล พอวันสุดสัปดาห์ก็ประชุม ก็เรียกออกมาทีละคน มาว่าลูกหลานคนนี้ในสัปดาห์นี้ได้ทำอะไรบ้างที่ดี ที่พอใจตัวเอง ชอบใจตัวเอง ขอบใจตัวเอง จนถึงกับยกมือไหว้ตัวเองได้ เด็กคนไหนได้ทำอะไรในสัปดาห์นี้จนถึงกับพอใจตัวเอง นับถือตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ เอ้า, ทำอะไร เด็กคนหนึ่งจะบอกว่าผมกลั้นโทสะไว้ได้อย่างไม่เคยมีมาแต่ก่อนในเรื่องนั้น ในกรณีนั้น มีเด็กคนนั้นเป็นพยาน เอ้า, ครูก็ยกย่องชมเชยว่าเธอนี่มีธรรมะ มีศีลธรรม มีธรรมะ หรือแม้แต่ที่สุด แม้ที่สุดแต่ว่าเด็กคนหนึ่งเขาจะบอกว่าผมช่วยแม่ผ่าฟืนจนหมดกองอย่างนี้ เอ้า, แล้วผมพอใจตัวเองเหลือเกิน เพราะผมเคยขี้เกียจ เดี๋ยวนี้ผมไหว้ตัวเองได้ เอ้า, มีแม่เป็นพยานก็ได้ ต้องให้เขาแสดงอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาว่าเขาได้ทำสิ่งที่แม้แต่เขาก็พอใจตัวเอง จนยกมือไหว้ตัวเองได้ เด็กคนหนึ่งอาจจะพูดว่าผมเคยโกหก ขโมยสตางค์แม่ เดี๋ยวนี้ผมเด็ดขาดไม่ทำอีกต่อไป ผมจึงพอใจ จะไหว้ตัวเองได้ในวันนี้ ให้มันมีทุกเรื่องที่เด็กๆเขาจะเข้าใจได้ แล้วเขาก็ทำจริงจนเขาเองพอใจตัวเอง และยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่ก็คือวิธีอบรมศีลธรรมที่ดีที่สุดที่จะสำเร็จประโยชน์ได้ให้ทันเวลา ให้คนมันมีศีลธรรมทันเวลา ให้ศีลธรรมกลับมาทันเวลา
ทีนี้ทำไมจะทำแต่กับลูกเด็กๆล่ะ ไอ้คนโตๆอย่างนี้ไม่ทำบ้าง อย่างวันนี้กลับไป พอจะถึงเวลาจะนอน เราก็นึกดูบ้าง ได้ทำอะไรขนาดที่ไหว้ตัวเองได้บ้างโว้ย โอ้ย, ไม่มี แล้วก็นอนอย่างหมูอย่างหมา ไม่มี ไม่มีอะไรที่จะไหว้ตัวเองได้ ถ้า เอ้า, มี มี มี อย่างนั้นๆ แล้วก็พอใจ แล้วก็ไหว้ตัวเองได้ แล้วก็นอนหลับไปอย่างพุทธบริษัท ถ้าทำกันอยู่อย่างนี้ไม่เท่าไรก็ ศีลธรรมก็จะกลับมา ขอให้เราช่วยกันต่อสู้พร้อมๆกัน คนแก่คนเฒ่าก็ดี ครูบาอาจารย์ก็ดี นักศึกษาก็ดี ร่วมมือกันต่อสู้เพื่อศีลธรรมกลับมาในลักษณะอย่างนี้ นี้ก็ตั้งต้นด้วยความรักผู้อื่น นั่นน่ะเป็นคำที่เข้าใจง่ายที่สุด แล้วมันก็จะเป็นเมล็ดพืชที่ประเสริฐที่สุด คือมันจะงอกงามขึ้นมา เบิกบานออกไป ขยายออกไปให้เต็มโลกได้ เพราะคำพูดเพียงสั้นๆว่ารักผู้อื่น ซึ่งเป็นหัวใจของพระศาสนาทุกศาสนา
ขอร้องให้นักศึกษาทั้งหลาย จงสังเกตดูเป็นพิเศษ เข้าใจแล้วช่วยกันเผยแผ่ ช่วยกันต่อสู้ ช่วยกันรณรงค์ ให้ประชาชนทุกคนน่ะ มองเห็นความจำเป็นของพระธรรมหรือของพระศาสนา แล้วไม่เท่าไรประชาชนก็จะเรียกร้องเอาจากรัฐบาล ว่ารัฐบาลจงช่วยให้เกิดมีศีลธรรม ไม่ต้องช่วยปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ต้องช่วยปัญหาการเงิน ไม่ต้องช่วยปัญหาการเมืองการแมงอะไรล่ะ ขอให้รัฐบาลช่วยกระทำให้ศีลธรรมกลับมา ให้ศีลธรรมมาสู่พุทธบริษัทชาวไทย แล้วต่อนั้นไปไม่ต้องมีใครมายุ่ง ไม่ต้องมีใครมาช่วย มันช่วยตัวเองได้เพราะว่าศีลธรรมกลับมา
นี่นักศึกษาควรจะต่อสู้ดิ้นรนให้ศีลธรรมกลับมา ด้วย ด้วยการที่ตัวเองก็ประพฤติปฏิบัติ แล้วก็ด้วยการชี้แจงชักจูงให้คนทุกคนในประ ในประเทศเรานี้มันรู้คุณค่าของศีลธรรม ไม่ไปหลงอะไรๆก็เป็นเศรษฐกิจ ไม่หลงอะไรก็เป็นการเมือง ไม่หลงอะไรก็เป็นไอ้เรื่องแสนยานุภาพ อย่างนี้เป็นต้น สิ่งเหล่านั้นมันช่วยไม่ได้ถ้าศีลธรรมไม่กลับมา ถ้าศีลธรรมไม่มี เศรษฐกิจมันก็คดโกงสำหรับใช้หลอกลวงกัน ถ้าศีลธรรมไม่มี การเมืองมันก็ยิ่งแสนจะคดโกง ถ้าในสภา รัฐสภาไม่มีศีลธรรมแล้วก็จะเป็นกลุ่มที่จะทำลายชาติวินาศก่อนใครๆหมด นี่ถ้ามันไม่มีศีลธรรมอยู่ในหมู่มนุษย์แล้ว มันก็เป็นสัตว์ป่านั่นเอง ฉะนั้นขอให้เราช่วยกันให้ศีลธรรมกลับมา ให้บุคคลมีความเป็นมนุษย์เต็มตามความหมายของคำว่ามนุษย์ ทุกคนหวังพึ่งศีลธรรม ไม่ๆ ไม่ใช่ว่าอะไรๆก็ไปถามคอมพิวเตอร์ มันต้องมีหลักศีลธรรมที่แน่นอนลงไปว่าเราต้องทำอย่างนี้ มันพิสูจน์อยู่แล้วชัดๆ ว่าถ้าเรารักผู้อื่นแล้วก็จะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น นี้ก็ไปดูสิมันรักใครกันบ้าง ในประเทศนี้ก็ดี ในรัฐสภาก็ดี แม้แต่ในสถาบันการศึกษา ในมหาวิทยาลัย ในโรงเรียนนั้นมันมีใครรักใครบ้าง แม้แต่ในบ้านในครอบครัวมันก็ยังไม่ได้รักกันจริง ถ้าแม้ถึงจะรักกัน มันก็ไม่ใช่รักผู้อื่น เพราะมันเป็นตัวคนเดียวกัน มันไม่กำจัดกิเลส ต้องรักผู้อื่นที่นอกออกไปจากตัวจึงจะกำจัดกิเลส แล้วเราก็จะอยู่กันเป็นผาสุก
นี้สรุปความว่า เราจะต้องช่วยกันให้มีศีลธรรมกลับมา ต่อหางหมา ฆ่าคอมมิวนิสต์ ในจิตมีสถาบันทั้งสาม แล้วเราก็จะรอดตัว นี่แหละคือข้อปรารภของอาตมาที่ขอร้องให้พวกคุณที่เป็นนักศึกษาช่วยมานั่งตรงนี้แล้วมาฟัง และให้นักศึกษาสมัครเล่นทั้งหลายก็จงได้ช่วยกันฟัง ให้พ่อแม่คนเฒ่าคนแก่ทั้งหลายก็จงฟัง เพราะว่าสำหรับจะได้ไปอบรมลูกๆเด็กเล็กเด็กแดงของเราให้มันเดินถูกทาง อาตมาก็พูดสิ้นกระแสความลงไปเพียงเท่านี้ สรุปใจความว่า แก้ปัญหาด้วยการปลูกหางหมา ฆ่าคอมมิวนิสต์ ทำจิตให้มีสถาบันทั้งสาม ก็ขอยุติการพูด แล้วก็ขอฟังข้อคำขัดแย้ง ข้อแย้งยัน ข้อเห็นด้วยและไม่ หรือไม่เห็นของท่านทั้งหลายที่เป็นนักศึกษา ไม่เห็นด้วยก็พูดออกมาตรงๆ วันนี้อิสรภาพพันเปอร์เซ็นต์เลยในการพูดจา ไม่เห็นด้วยก็ขอให้พูดออกมา ว่าอย่างนี้ไม่ได้ ทำไม่ได้ หรือว่าใช้ไม่ได้ หรืออะไรก็ตาม อย่างนักศึกษาสมัครเล่นก็ยิ่งดี มีอิสระที่จะพูด ที่จะแย้ง ที่จะ คนแก่คนเฒ่านี้คงจะทำอะไรไม่ได้มาก เพราะว่าไม่ค่อยมีกำลังสติปัญญาหรือพลังความอะไรอย่างนักศึกษา และเป็นอันว่า ขอฟังความคิดเห็นจากนักศึกษา
คำถาม : นมัสการท่านอาจารย์พุทธทาส แล้วก็พระคุณเจ้าทั้งหลาย รวมทั้งท่านพุทธศาสนิกชนที่เคารพทุกท่านนะครับ ตามที่ท่านอาจารย์ได้ให้หลักไว้สามข้อนะครับ ประการแรกผมก็ไม่ติดใจสงสัย เพราะว่าเห็นด้วยเต็มที่นะครับ แต่ในข้อที่สองนี้ยังมีข้อสงสัยที่ว่า ทำไมจะต้องใช้คำว่าฆ่าคอมมิวนิสต์นะครับในเมื่อคอมมิวนิสต์ก็เป็นเพียงระบบหนึ่ง และก็ยังมีระบบอื่นที่ทารุณกว่านั้นอีก ทำไมเราใช้ ต้องใช้คำว่าฆ่าคอมมิวนิสต์ครับ อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายให้แจ่มแจ้งหน่อยครับ ขอบพระคุณครับ
ท่านพุทธทาส : เอ้า, ถามไปให้หมดเลย ถ้าๆๆมีอะไรอีก ถ้ามีต่อไปถึงอันที่สามก็ช่วยถามไปเลย หรือว่าถามตรงข้อที่สอง
คำถาม : ครับ สำหรับข้อที่สามนั้น ผม เอ่อ, ถ้าจะหมายถึง เราคิดถึงเฉพาะประเทศไทย ผมก็คงไม่ขัดข้อง แต่ถ้าพูดถึงโดยทั่วๆไปแล้วมันรู้สึกว่าจะอยู่ในวงจำกัดเกินไปหรือเปล่านะฮะ ที่เราจะบอกว่าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์แค่นั้น
ท่านพุทธทาส : เอ้า, ได้ ได้ ก็ฟังถูกแล้ว คือว่าข้อที่สองว่า ฆ่าคอมมิวนิสต์นั่น เราใช้คำรวบรัดมากไปหน่อย คือว่าต้องฆ่าลัทธิที่วางหลักขึ้นมาว่าต้องกำจัดคนมั่งมี คนร่ำรวย จะเป็นสังคมนิยม หรือเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นอะไรก็สุดแท้ที่มันอยู่ในเครือเดียวกัน หมายความว่าเรากำลังมีปัญหาด้วยระบบนี้ ประเทศไทยกำลังถูก ถูกรบกวนด้วยระบบนี้ แม้นโลกทั้งโลกก็มีปัญหาด้วยระบบที่ว่าต้องทำลายล้างฝ่ายที่มั่งมี ฝ่ายที่ยึดครองไว้มาก ลัทธินี้ไม่ ไม่เป็นลัทธิสร้างสันติภาพ และลัทนี้จะเป็นชนวนให้มันลุกลามในการที่จะทำลายล้างกันต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด พอลัทธินี้ไม่มี มันก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวง ไม่มี พวกที่เป็นปัญหา พวกผู้ก่อการร้าย พวกอะไรก็ตาม เราใช้คำรวมๆว่าฆ่าคอมมิวนิสต์ ก็ไม่ใช่ฆ่าคน แต่ว่ากำจัดลัทธิที่ถือว่าต้องทำลายคนที่เหนือกว่า ใหญ่กว่า ดีกว่า รวยกว่านี้เสีย เพื่อจะได้เกิดความรักกันนั่นเอง
ลัทธินั้นเกิดขึ้นมาจากการไม่รักกัน หรือจะเล็งไปอีกทางหนึ่งก็คือการแก้ปัญหาด้วยการใช้อาชญา ใช้การบีบบังคับ หรือใช้เผด็จการหรืออะไรทำนองนี้ เราไม่ต้องการลัทธิอย่างนี้ เราต้องการให้กำจัดปัญหาด้วยความรักกันนั่น เอา เอาลัทธิความรักกันมากำจัดไอ้ลัทธิที่ใช้ความรุนแรงหรือไม่รักกันนั้นเสีย ไม่ใช่ว่าคนจนฆ่านายทุนให้หมดไปแล้ว ไอ้คนจนนั้นจะอยู่ได้ด้วยความสงบสุขถ้าเขายังไม่รักกัน มันก็สร้างกันขึ้นมาอีก หรือว่าคนจนนั้นเองจะกลายเป็นนายทุนขึ้นมาอีกถ้าเขาไม่รักผู้อื่น มันไม่มีที่สิ้นสุด ให้สิ้นสุดมันแยกออกไปเสียจากกันก็คือว่ามีความรักผู้อื่นเข้ามา ลัทธิที่จะต้องฆ่าคนมั่งมีก็จะหมดไป นี้มันถูกต้องตามหลักของธรรมชาติที่ต้องการให้มันอยู่ด้วยกันได้ แม้มันจะผิดกันอย่างไร เหลื่อมล้ำกันอย่างไรในทางความร่ำรวย สติปัญญา ทรัพย์สมบัติ ให้มันอยู่กันได้ ต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ได้กับตะไคร่เขียวๆเล็กๆที่เกาะอยู่ตามรากตามเปลือก มันอยู่กันได้อย่างนั้น นี่ตรงนี้ก็เห็นต้นไม้ต้นนั้นน่ะมีตะไคร่เขียวๆเกาะอยู่ที่ซอกที่เปลือก มันก็ทำให้ต้นไม้ใหญ่นี้สบาย เย็น แต่ถ้าว่าไอ้ตะไคร่น้ำ ตะไคร่ ไอ้ตะไคร่นี้มันบอกว่า เอ้ย, ต้นไม้นี้ใหญ่นัก ฆ่าเลยเถอะ มันๆๆใหญ่นัก มันโตนัก แล้วก็ฆ่าเสีย แล้วตัวเองก็ตายไปด้วย ก็ถูกแดดเผา
นี่ไอ้ที่ใหญ่มันอยู่ได้กับเล็ก เล็กอาศัยใหญ่ ใหญ่อาศัยเล็ก นี้เป็นกฎของธรรมชาติ เป็นกฎของกรรม เป็นกฎของธรรมะ เราจงทำให้มันอยู่ด้วยกันได้ คือความรักกัน ฉะนั้นให้คนจนกับคนมั่งมีอยู่ด้วยกันได้อย่างสนิทสนม ให้คนแข็งแรงอยู่กันได้กับคนอ่อนแออย่างสนิทสนม ให้คนฉลาดอยู่กันได้กับคนโง่ ไม่ฉลาดอย่างสนิทสนม เพราะมันมีความรักผู้อื่น นี่เราจึงใช้คำว่าฆ่าคอมมิวนิสต์ คือลัทธิที่ไม่ประสานความรัก แต่จะฟาดฟันลงไปด้วยอำนาจบีบบังคับตามความรู้สึกที่โกรธแค้นและอาฆาต
เอ้า, ทีนี้ปัญหาถัดไปที่ว่า ประเทศไทยนั้นน่ะมีระบบชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทีนี้ในประ ประเทศอื่นซึ่งเขาไม่มีพระมหากษัตริย์ มันก็เหลือแต่ชาติกับศาสนา แล้วบางประเทศ ศาสนาก็ไม่เอา ก็เหลือแต่ชาติ แล้วบางประเทศ ชาติก็จะไม่คำนึงถึง แม้แต่ชาติก็จะไม่มี ลองนึกดูถึงข้อนี้เถอะว่ามันอาจจะมีปัญหาเหมือนกันทั้งหมดทุกๆประเทศ ทุกๆประเทศในโลกจะต้องมีระบบที่ว่ามีร่างกาย มีจิตใจ และมีระบบประสาท ถ้าเป็นประเทศที่ไม่มีกษัตริย์ เขาก็ต้องมีสถาบันอะไรอันหนึ่งซึ่งใช้แทนระบบกษัตริย์ได้ ซึ่งจะประสานศาสนากับชาติ นี้ก็ไม่ พอไม่มีศาสนาเสียอีก มันก็ยิ่งแหว่งไป แหว่งไปจนไม่รู้ว่าจะประสานอะไรกับอะไร ที่เราพูดนี้ เราก็พูดสำหรับประเทศไทย แต่พูดถึงประเทศอื่นซึ่งเขาจะต้องมีอะไรๆมาทดแทนกันได้จนมีครบทั้งสามระบบ คือมีตัวชาติที่ดำรงอยู่ และมีหลักธรรมะของชาติคือศาสนา จะอยู่ในรูปวัฒนธรรม ศีลธรรมอะไรก็ตาม มันก็ต้องมี แล้วมันก็ต้องมีสถาบันอันหนึ่งที่ควบคุมให้มีชาติ กับมีศีลธรรมของชาติอยู่ด้วยกันได้ ชาติจะต้องมีธรรมะ ทีนี้มีอะไรที่ทำให้ชาติกับธรรมะนี้มันมีและถึงกันได้ นั่นน่ะคือระบบกษัตริย์ ถ้าเขาจะมีประธานาธิบดี มีอะไรซึ่งไม่ใช่กษัตริย์ ก็ต้องทำหน้าที่อย่างกษัตริย์ คือควบคุมความถูกต้องทางจิตใจให้มีอยู่กับประชาชน พลเมือง ซึ่งเป็นชาติ อันนี้เป็นหน้าที่ของสถาบันกษัตริย์
ฉะนั้นจึงอยากจะพูดว่า คำพูดว่า “ในจิตมีสถาบันทั้งสามนี้” ขอให้ใช้ได้แก่ประเทศทุกๆ ประเทศในโลกที่เขาจะต้องมีชาติ และมีหลักธรรมะประจำชาติ แล้วก็ต้องมีบุคคลที่ทำให้หลักธรรมะประจำชาตินี้มันครอบงำชาติอยู่ตลอดเวลา โดยความหมายก็มีทั้งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นั่นเอง แต่เรียกเป็นอย่างอื่น เอ้า, ถ้ามีปัญหาอะไรก็ถามมาอีก จะซักเพิ่มเติมก็ได้ ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจ
คำถาม : ครับ ผมขอถามเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยนะครับ ที่ท่านอาจารย์บอกว่า ข้อสองนะฮะ ที่บอกว่า หมายถึงการฆ่าระบบที่จะต้องฆ่าคนมั่งมีอย่างนั้นใช่ไหมครับ หรือว่านายทุนอะไรต่างๆนี่นะฮะ แล้วในทางกลับกันถ้าในระบบที่เผด็จการที่ฆ่าพวกคนจนต่างๆนี่เราจะไม่คิดถึงบ้างหรือไงครับ
ท่านพุทธทาส : เดี๋ยว ช่วย ช่วย ช่วยพูด ช่วยพูดอีกที ฟังไม่ถนัด
คำถาม : ครับ คือ เมื่อข้อสอง ข้อสองที่ท่านอาจารย์ตอบไปนั้นนะครับ ผมยังติดใจอยู่นิดหนึ่งที่ท่านอาจารย์บอกว่า หมายถึงระบบที่จะต้องฟาดฟันหรือว่าฆ่าคนมั่งมีให้หมดไปนี่นะครับ ทีนี้ผมก็มีความคิดว่าเราจะไม่มองถึงระบบที่ฆ่าคนจนบ้างหรือไงครับ หมายความว่าอย่างระบบเผด็จการ หรือระบบนายทุนอื่นๆน่ะฮะ
ท่านพุทธทาส : อ้อ เอ่อ, ระบบเผด็จการมันก็อยู่ในพวกที่ว่า มันระบบ มันเผด็จโดยอะไร นี่คำนี้กำกวมมากนะ จนเราไม่อาจจะกล่าวได้ว่าเผด็จการนี้ดีหรือไม่ดี ถ้ามันเผด็จการโดยธรรมะ โดยความถูกต้องมันก็ดี ถ้าระบบ ถ้าเผด็จการด้วยความเห็นผิด ความเห็นแก่ตัวมันก็ไม่ดีน่ะ มันก็ต้องฆ่าระบบเผด็จการทุกรูปแบบที่มันไม่มีธรรมะ มันก็ต้องถูกฆ่า ทีนี้ระบบเผด็จการที่มันมีธรรมะแล้ว มันก็ควรจะช่วยกันส่งเสริมมากกว่า ทีนี้มันก็จะต้องดูกันไอ้ที่ตรงนี้ที่ว่ามันรักผู้อื่น มันมีเมตตากรุณาเป็นหลักลัทธิหรือหาไม่ ถ้ามันมีเมตตา รักผู้อื่นเป็นหลักลัทธิแล้วก็จะอยู่ในฝ่ายที่ไม่มีปัญหา คือจะถูกต้องเสมอไป ฉะนั้นเราอาจจะเผด็จการให้รักผู้อื่นก็ได้ แล้วมันก็ควรจะทำ เอาความรักผู้อื่นมาให้ได้ เอาความเห็นแก่ตัวออกไป คำว่าเผด็จการนี้ขอให้เป็นคำกลางๆ เป็นเพียงเครื่องมือ เอาไปใช้ถูกก็ถูก ไปใช้ผิดก็ผิด ถ้าใช้ถูกจะยิ่งดีคือมันจะยิ่งเร็วกว่าประชาธิปไตยงุ่มง่าม นี่ถ้ายังสงสัยแง่ไหนก็ถามอีกก็ได้ เผื่อ เผื่อว่าตอบกันไม่หมด
คำถาม : นมัสการท่านอาจารย์พุทธทาส แล้วก็พระคุณเจ้า ขอสวัสดีแด่เพื่อนสหธรรมิกทุกท่าน กระผมเห็นด้วยนะครับ เห็นด้วยกับหลักการนะครับที่ท่านกล่าวมาทั้งหมด แต่ในลักษณะวิธีการที่จะกล่าว อย่างเช่น เช่นอาจารย์พุทธทาสกล่าวบางประการนี่ผมยังไม่เห็นด้วย คือสรุปได้ว่าที่ท่านกล่าวคือ ให้พวกนักศึกษา หรือว่าพวกนักศึกษาสมัครเล่นนี่ช่วยปลูกหางหมา ฆ่าคอมมิวนิสต์ แล้วก็ทำจิตให้มีสถาบันทั้งสาม คือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่กระผมกล่าวว่าไม่เห็นด้วยบางประการเกี่ยวกับวิธีการ ก็คือคำพูดที่ใช้ กระผมขอย้อนสักนิดหนึ่ง เมื่อเช้านี้ท่านอาจารย์ก็พูดเองนะครับว่าอาจจะเพราะว่าท่านนี่บกพร่องในการใช้คำพูดกระมังในการเผยแพร่เกี่ยวกับจิตว่าง หรือตัวกูของกู หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ผ่านมานี่โดนโจมตีมาก มาคราวนี้เราจะผิดพลาดกันอีกหรือเปล่า ซึ่งกระผมก็ขอฝากให้ทุกท่านช่วยพิจารณาต่อไป
กระผมเห็นว่าเราควรจะมาใช้คำพูดที่ว่าปลูกหางหมา อันนี้ชัด ฆ่าลัทธิที่ผิด คือกระผมเห็นว่าลัทธิคอมมิวนิสต์ก็มีส่วนที่ผิดพลาด และลัทธิอื่นก็มีส่วนที่ผิดพลาด แม้กระทั่งประชาธิปไตยหรือเผด็จการ อันนี้ก็ขออ้างคำสั่งสอนของท่านพุทธทาสเองนะครับ ที่ท่านได้เคยกล่าวไว้หลายครั้งหลายหนในที่ต่างๆกัน ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ว่าจะคอมมิวนิสต์ ประชาธิปไตย นายทุน หรือเผด็จการ คือกิเลสาธิปไตย เพราะฉะนั้น เอ่อ, เราจะเปลี่ยน เปลี่ยนจากประชาธิปไตยเป็นธรรมาธิปไตย ก็คือสิ่งที่ท่านเคยกล่าวไว้นั่นเอง กระผมขอวกกลับมาที่ว่าแทนที่เราจะใช้คำพูดว่าฆ่าคอมมิวนิสต์ เรามาใช้คำพูดที่ว่าฆ่าลัทธิที่ผิดคือลัทธิใดก็ตามที่มาจากกิเลสาธิปไตย ถือว่ามีส่วนที่ผิดพลาดนะฮะ ส่วนคำว่าทำจิตให้จงรักต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์โดยวัฒ อ่า, โดยรูปธรรม เรากล่าวเช่นนั้น แต่ผมอยากจะขอเปลี่ยนเป็นว่า ทำจิตให้จงรักต่อคุณธรรม เพราะไม่ว่าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างหนึ่งอย่างใด หรือทั้งสามอย่าง รวมแล้วก็คือตัวคุณธรรมอันหนึ่งนั่นเอง
เพราะฉะนั้นที่ผมคิดเห็นคือ ปลูกหางหมา ฆ่าลัทธิที่ผิด ทำจิตจงรักต่อคุณธรรม สิ่งที่ผมกล่าวอย่างนี้ ก็ขอ อยากจะอ้างว่าสิ่งที่ติดในหัวใจมาก็คือ ทุกวันนี้ไม่เฉพาะนักศึกษาเท่านั้น ใครก็ตามที่จะทำอะไรก็ตามผิดจากสังคมที่เขาฉ้อฉลกันอยู่ สิ่งเหล่านั้นจะโดนประณามทันที และผมคิดว่านี่ไม่ใช่ของใหม่ เมื่อเช้านี้ท่านอาจารย์พุทธทาสก็กล่าวมานะครับ ท่านเองโดนมาตลอด แต่ท่านมีปัจจัยอื่น สิ่งอื่น อย่างน้อยที่สุดคือมีคุณธรรมที่มั่นคง พวกนักศึกษาที่หวังดีต่อประเทศชาติ เคยทำมาแล้ว ตายไปแล้ว ที่อยู่บ้างก็ยังมี ถ้าต่อไปถ้านักศึกษายังประกาศอีกว่าจะทำดีใหม่ ฆ่าคอมมิวนิสต์ พวกคอมมิวนิสต์ฆ่านักศึกษาอีกครับ กระผมอยากจะเน้นในตอนนี้ก็คือ ในหลักการเห็นด้วย แต่วิธีการครับที่ปลอดภัยสำหรับนักศึกษาหรือท่านผู้ที่หวังดีต่อชาติ หรือต่อส่วน ต่อส่วนรวมนี่ที่จะประพฤติปฏิบัติ อันนี้ผมห่วงกังวลมาก เพราะว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมา และโดยเพื่อนฝูงบางคนก็ตายไปแล้ว บางคนที่อยู่ในลักษณะที่เรียกว่าครึ่งเป็นครึ่งตาย และบางคนที่กำลังจะท้อถอย ผมขอสรุปเฉพาะตอนแรกในประเด็นนี้ก่อนนะครับ แล้วก็อยากจะฟังความเห็นของท่านอาจารย์ด้วยครับ
ท่านพุทธทาส : ผู้ถามแสดงวี่แววแห่งความเป็นนักศึกษามากทีเดียว เมื่อฟังแล้วนะรู้สึกว่าผู้ถามคนนี้ มันวี่แววแห่งความเป็นนักศึกษาอยู่มาก คือสอดส่อง ซอกแซก แยกแยะอะไรได้ดี ก็มีความเป็นนักศึกษาอยู่มาก ข้อนี้ขอตอบว่า เดี๋ยวนี้เราพูดกันด้วยคำที่เข้าใจกันดี ไม่ใช่ใช้คำพูดว่าคอมมิวนิสต์ แล้วก็หมายถึงอะไรๆที่มันรวมอยู่ในคำที่ว่าไม่พึงปรารถนานั่นน่ะ ลัทธิที่ไม่พึงปรารถนา ที่จริงลัทธิเสรีประชาธิปไตยถ้ามันไม่มีความรักผู้อื่น มันก็เป็นลัทธิที่ไม่พึงปรารถนาที่จะรวมอยู่ในสิ่ง ลัทธิที่ต้องถูกฆ่า ก็เราบอกกันได้ด้วยคำอธิบาย คำพูดนี้พูดประหยัดเวลา บางทีก็อยากจะพูดให้มันเป็นไอ้คำกลอนสัมผัส อะไรๆเดี๋ยวนี้ถ้าว่าไม่เป็นที่พึงปรารถนา เขาก็ยัดความหมายลงไปในคำว่าคอมมิวนิสต์ จนมันเฝือเต็มทีแล้ว แม้แต่คำว่าคอมมิวนิสต์เองมันก็เฝือเต็มทีแล้ว ถ้าทำอะไรไม่ตรงกับที่รัฐบาลต้องการก็เป็นคอมมิวนิสต์ทั้งนั้นแหละ การกระทำบางอย่างแม้ของพระของเจ้าก็จะหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ได้เหมือนกัน ฉะนั้นขอให้ถือว่าเป็นคำที่มีความหมายที่เรารู้กันอยู่แล้ว และอีกอย่างหนึ่งที่พูดนี้มันเป็นการพูดอย่างที่ว่าสอบถามได้ ถ้ามันไม่รัดกุมพอหรือว่ามันเกินไปอะไรก็ ก็สอบถามกันได้ ทำความเข้าใจกันได้ ว่าคำว่าคอมมิวนิสต์ในที่นี้มันมีความหมายว่าอย่างไร
เดี๋ยวนี้เราเจาะจงเอาคอมมิวนิสต์ก็เพราะว่า คือลัทธิของชนผู้ยากจน มีความอาฆาตมาดร้ายจะทำลายผู้มั่งมีจนเกิดความทุกข์กันทั้งสองฝ่าย เพื่อจะให้เกิดไอ้ความสงบทั้งสองฝ่ายพร้อมๆกันไปทั้งนายทุน และทั้งไอ้ชนกรรมาชีพนั้นน่ะ เรามาฆ่าลัทธิที่ว่าเกลียดชังแล้วก็ฆ่า เช่นมุ่งจะฆ่านายทุนนี้ มาเปลี่ยนเป็นรักผู้อื่น ให้เกิดความเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย ให้แต่ละฝ่ายมันรักกันนี่ เรียกว่าฆ่าคอมมิวนิสต์ ก็รวมลัทธิที่มีความหมายอย่างเดียวกันคือไม่รักผู้อื่น สร้างปัญหาขึ้นมา
ทีนี้มาถึงคำว่าฆ่า นี้ก็จะได้เห็นชัดแล้วว่าเป็นคำใช้ภาพพจน์ ไม่ใช่คำตรง คำจริง ใช้คำว่าฆ่า แล้วก็ยังไปหมายถึงลัทธิด้วย ฆ่าลัทธิ สิ่งที่ถูกฆ่านั้นคือลัทธิ ฉะนั้นคำว่าฆ่าอย่างนี้ก็มีความหมายอย่างอื่นนอกไปจากความหมายธรรมดาที่ว่าฆ่าด้วยมีดด้วยปืนอะไรนี้ นั่นมันความหมายทางรูปธรรม นี้เราก็มีการจัดการทำในทางให้ลัทธิหายไป มันก็เป็นการฆ่าในความหมายทางนามธรรม หรือว่าภาษาธรรม ก็ถ้าฟังกันถูกมันก็พอแหละ คำว่าฆ่าคอมมิวนิสต์ในที่นี้ก็คือฆ่าไอ้สิ่งที่มันเป็นรกรากของปัญหา หรือว่าเป็นจุดเป็นหย่อมของปัญหา และก็ และคล้ายๆกับว่ายกเอาคอมมิวนิสต์มาเป็นตัวอย่างแต่เพียงอย่างเดียว
ทีนี้คำว่าสถาบันนั้นน่ะ ถ้าเป็นภาษาเดิม เป็นภาษาสันสกฤต มันคำว่าสถาปนะ สถาบันนี้ ถ้าเป็นคำบาลี มันมีแต่ว่าฐาปน แต่ว่าความหมายเหมือนกัน แปลว่าตั้งอยู่อย่างมั่นคง สถาบันนี้แปลว่าตั้งอยู่อย่างมั่นคง บางคนอาจจะมองเห็นว่าทางวัต ทางรูปธรรมนี่มันจะตั้งอยู่อย่างมั่นคงได้เหมือนก้อนหินตั้งอยู่นี่ ตั้งอยู่อย่างมั่นคงแล้วก็เป็นสถาบัน แต่โดยเนื้อแท้แล้ว เราหมายถึงความตั้งอยู่ในฝ่ายนามธรรม คือฝ่ายจิต ตั้งอยู่อย่างมั่นคงในจิต มันก็มีความรู้ถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง มีความเชื่อมีความปล่อย ซึ่งความเชื่อนี่ถูกต้อง นี่คือกิริยาที่เรียกว่าสถาปนะ มัน มันไม่เหมือนกับที่กล่าวทางฝ่ายรูปธรรม เช่น เราจะสร้างพระเจดีย์ขึ้นมา สร้างวัดขึ้นมา สร้างอะไรขึ้นมา มันก็สถาปนะเหมือนกันนะแต่มันทางฝ่ายรูปธรรม
ทีนี้ขอร้องให้เปลี่ยนจากฝ่ายรูปธรรมนั้นมาเป็นฝ่ายนามธรรม คือต้องศึกษาจนเข้าใจแจ่มแจ้ง พอใจมอบกายถวายชีวิตในอุดมคติอันนั้น แล้วอุดมคติอันนั้นฝังแน่นอยู่ในจิตใจอย่างที่จะล้างไม่ออก นี่จึงเราจึงจะเรียกว่ามีสถาบันตามความหมายของคำๆนี้ แล้วก็มันแสดงอยู่แล้วว่ามันมีแล้ว ไม่ใช่มันจะ เท่าที่พูดว่าข้าพเจ้าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นั้น นั้นมันยังไม่มีสถาบัน มันต้องมีแล้ว คือจิตใจนี่ปลงลงไปแล้ว มอบให้แล้ว มันจึงจะเรียกว่ามีสถาบัน ข้อนี้เราต้องการอย่างนี้ ขอให้เปลี่ยนจากรูปธรรมมาเป็นนามธรรม แล้วมันจะได้ตั้งมั่นลงไปในจิตใจอย่างมั่นที่สุด ปัญหาก็จะหมด ขอให้มีจิตที่ประกอบไปด้วยสถาบันทั้งสาม ซึ่งสถาบันในที่นี้หมายถึงสิ่งที่เป็นนามธรรม คือความรู้สึกของจิต ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้ว เข้าใจว่าคงจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับคำที่ใช้ ไม่ต้องแบ่งแยกก็ได้ เอ้า, มีจะแย้ง จะขอความละเอียดส่วนไหนอีกก็ว่ามาเลย ไม่ต้องเกรงใจ ส่วนที่มันยังไม่เข้าใจ คือส่วนที่เห็นว่ามันยังขัดอยู่โดย Logic โดยอะไรก็ตามที่มันยังขัด อยู่ ก็ถามมาได้เลย
คำถาม : ผมก็ขอเรียนให้ทราบว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่พูดเมื่อกี้นี้นะฮะ พูดด้วยความเคารพ คือเคารพท่านผู้ฟังทุกท่านแล้ว โดยเฉพาะเคารพท่านอาจารย์พุทธทาสอย่างยิ่ง คือผมก็ชอบนะฮะ คำบทคำกลอนนะครับ เพราะท่านกล่าวไว้ว่าปลูกหางหมา ฆ่าคอมมิวนิสต์ ทำจิตให้จงรักต่อสถาบันทั้งสาม ของผมก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรอกครับ เป็นคำกลอนเหมือนกัน ปลูกหางหมา ฆ่าลัทธิที่ผิด ทำจิตให้จงรักต่อคุณธรรมนะครับ สำหรับความเห็นผมก็มีความเชื่อว่าส่วนใหญ่มีความเห็นที่ตรงกันและเข้าใจกันนะครับ แต่สิ่งที่ผมติดใจคือความปลอดภัยของผู้ที่จะไปปฏิบัติงานรณรงค์หรือปลุกระดมดังที่ท่านอาจารย์แนะนำให้เราได้ช่วยกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมคิดว่าทุกท่านนี่เขาช่วยกันทำอยู่แล้ว ผมไม่แน่ใจครับว่าเมื่อออกไปทำแล้ว ความปลอดภัยจะมีมากแค่ไหน ในสำหรับสังคมปัจจุบัน
ท่านพุทธทาส : พูดถึงความปลอดภัย มันก็มีอยู่อย่างหนึ่ง พูดถึงความที่เป็นไปได้หรือไม่ นี้มันก็มีอยู่อย่างหนึ่ง ปัญหามันจะมีอยู่ที่นั่น เป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่ แล้วก็ทำเข้าแล้วจะปลอดภัยหรือไม่ ที่พูดนี้มันเป็นเรื่องปลอดภัย คำว่าฆ่าคอมมิวนิสต์นั่นมันไม่ได้ ใช่ว่าถือดาบถือปืนเข้าไปฟัน ฆ่ากัน มันเหมือนกับโรยดีดีทีไว้แล้วศัตรูพืชมันก็หมดไปเอง โรยดีดีทีในที่นี้ก็สร้างลัทธิรักผู้อื่น เข้าใจว่าไอ้การต่อสู้ หรือเพื่อสร้างลัทธิรักผู้อื่นนี้คงไม่ปลอดภัย เอ่อ, คงปลอดภัย คงไม่มีอันตราย เพราะมันต้องทำด้วยความรักผู้อื่น เราอย่า เราๆอย่า เราอย่าเพ่อไปคำนึงถึงคำว่าฆ่าคอมมิวนิสต์ (นาทีที่ 84:31 – 84:45 เสียงหายไป) เรากำจัดศัตรูพืชเอาเอง เราก็ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับศัตรูพืชเหล่านั้น มันจะมีปัญหาทางใน ไปในทางว่าเราจะทำได้หรือไม่ในการปลูกความรักผู้อื่นนั่น ก็ไปถกกันในส่วนนั้นให้ละ แหลก ให้แหลก ให้ละเอียด
ไอ้ส่วนที่ว่าฆ่าคอมมิวนิสต์มันจะกระทบใครนี่ มันไม่กระทบใคร เพราะว่าไม่ ไม่ใช่หมายถึงรูปธรรมที่จะต้องไปฟันไปฆ่าอะไรใคร เพียงแต่สร้างสิ่งๆหนึ่งขึ้นมา แล้วสิ่ง สิ่งที่เราต้องการจะกำจัดก็หายไปเอง นึกถึงแต่เรื่องปลูกลัทธิรักผู้อื่นขึ้นในสังคม เรื่องนี้ไม่ใช่ว่ามันจะไปเหมือนกับไอ้เรื่องว่าเอาลูกพรวนไปผูกคอแมว นั้นมันทำไม่ได้ ไปทำเข้าแล้วมันตายนะ ไอ้หนูตัวไหนจะเอาลูกพรวนไปผูกคอแมวน่ะ มันเข้าไปทำแล้วมันก็ตาย ฉะนั้นมันจึงทำไม่ได้ แต่ว่าเรื่องปลูกความรักผู้อื่นนี้ไม่ถึงอย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องเอาลูกพรวนไปผูกคอแมวแล้วตัวเองตาย แล้วก็ใช้สติปัญญา อบรมทางศาสนา ทางศีลธรรม ทางไอ้ที่มันมีๆอยู่แล้วนั่นแหละ อาตมาจึงต้องขอใช้คำว่าเพื่อศีลธรรมกลับมา ศีลธรรมกลับมานี้ไม่ ไม่มีทางที่จะเกิดอันตรายในการ วิธีกระทำก็ดี อะไรก็ดี ก็ช่วยกันชี้ให้เห็นโทษอันเลวร้ายของความไม่มีศีลธรรม นี้ก็จะพอ จะพอเข้าไปตั้งครึ่งตั้งค่อนแล้ว ให้นักศึกษาชี้ความเลวร้ายของการที่ไม่มีศีลธรรมในสังคม จนสังคมมันสะดุ้งต่อความไม่มีศีลธรรม มันก็จะขยับขยายไปในทางที่จะมีศีลธรรม เรื่องก็เป็นไปได้ ไม่ ไม่ต้องมีหนูตัวไหนที่จะต้องตายเพราะเอาลูกพรวนไปผูกคอแมว อาตมามองเห็นอย่างนี้จึง จึง จึงรู้สึกว่ามันปลอดภัย มันไม่ต้องเสี่ยงต่อความตาย เพราะว่าเราใช้พระศาสนาเป็นเครื่องมือ เป็นโล่ เป็นอะไรพร้อมเสร็จไปในตัว ยังไม่มองเห็นทางที่ว่าจะเป็นอันตรายกับผู้ แม้ว่ารณรงค์เพื่อให้เกิดความรักผู้อื่นในสังคม
คำถาม : พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ และกราบนมัสการพระคุณเจ้าทุกรูป เจริญธรรมสหธรรมิกทุกๆท่าน การจะรักผู้อื่น จะต้องรักตัวเองให้เต็มไม่พร่องอย่างถูกต้อง แต่ปัจจุบันคนส่วนมากยังเป็นหมาหางด้วน แล้วจะรักตัวเองให้ถูกต้องเพื่อรักผู้อื่นได้อย่างไร ในเมื่อการรักผู้อื่นต้องเกิดจากการรักตัวเองให้ถูกต้องด้วย อยากทราบว่าจะรักตัวเองให้ถูกต้องนั้นควรจะเป็นอย่างไร
ท่านพุทธทาส : นั่นมันเป็นความกำกวมของภาษาที่พูด คำว่ารักผู้อื่นนี้กำกวมที่สุด รัก เอ้ย, รักตัวเองนี่กำกวมที่สุด ไอ้รักตัวเองชนิดหนึ่งน่ะมันเป็นเรื่องของอวิชชา เห็นแต่แก่ตัวตะพึด นี่รักผู้ รักตัวเอง ทีนี้รักตัวเองอีกอันหนึ่งเป็นเรื่องของวิชชา ของปัญญา คือไม่ปล่อยให้ตัวเองเสียหายหรือผิดพลาดนี่ ถ้าเรารักตัวเอง เราก็รักเพื่อจะทำให้ตัวเองปลอดภัย คุ้มครองตัวเอง ป้องกันตัวเอง ไม่ยอมให้ตัวเองเสื่อมเสีย นี่เขาเรียกว่ารักตัวเอง อย่างนี้ใช้ได้ แต่ว่ารักตัวเองอย่างหลับหูหลับตาไม่มองหน้าใคร มันก็กลายเป็นความเห็นแก่ตัว อย่างนี้มันก็ใช้ไม่ได้ ยิ่งรักตัวเองอย่างนี้ยิ่งไม่รักผู้อื่น ถ้ายิ่งรักตัวเองอย่างถูกต้องด้วยสติปัญญาแล้วมันจะยิ่งรักผู้อื่นอยู่โดย โดยความถูกต้องที่มันมีในการรักตัวมันเองอย่างถูกต้อง รักตัวเองอย่างถูกต้องต้องทำลายความเห็นแก่ตัวเอง ฟังแล้วมันประหลาด รักตัวเองอย่างถูกต้องต้องทำลายความเห็นแก่ตัว พอทำลายความเห็นแก่ตัว ไอ้ความรักผู้อื่นมันก็เข้ามา ความรักผู้อื่นในความหมายที่เราต้องการมันก็เข้ามา ฉะนั้นเราต้องรักตัวเองจนไม่เห็นแก่ตัวด้วยกิเลส ไอ้ความรักผู้อื่นมันก็จะเข้ามาได้โดยอัตโนมัติ นั้นมันเป็นกำ กำกวมของภาษา ต้องระวังให้ดี ที่พูดว่ารักตัวเองเสียก่อนแล้วจึงค่อยไปรักผู้อื่นนี่มันมีทางที่จะถูกก็ได้ และผิดก็ได้ มันแล้วแต่ว่าไอ้รักผู้อื่นคำนั้นมันหมายถึงรักชนิดไหน
ตามธรรมดาถ้าปล่อยไปตามเรื่องของธรรมชาติธรรมดา ไอ้รักตัวเองนี่มันจะเป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัวเสียมากกว่า แล้วไม่มีทางที่จะไปรักผู้อื่น เราจึงไม่อาจจะพูดว่ารักตัวเองเสียก่อน แล้วจึงจะไปรักผู้อื่น เว้นไว้แต่จะพูดอย่างที่พูดว่ารักตัวเองอย่างถูกต้องเสียก่อน แล้วมันก็จะรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ รักตัวเองอย่างถูกต้อง มีธรรมะ มีสติปัญญา มีธรรมะ ประกอบอยู่ด้วยคุณธรรมคือความถูกต้องที่ประพฤติต่อตัวเอง ก็เลยมีความรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ จะรักตัวเองให้ถูกต้องอย่างไร ก็ไอ้การศึกษานั่นแหละมันจะช่วยให้รักตัวเองอย่างถูกต้อง ที่พึงประสงค์ ก็ศึกษาเรื่องตัวเอง เรื่องประโยชน์ของตัวเอง เรื่องเครื่องมือสำหรับจะรักตัวเองคือพระธรรมให้มันถูกต้อง การรักตัวเองเป็นไปอย่างถูกต้องแล้วก็ประกอบอยู่ด้วยสติปัญญา มันก็จะรักผู้อื่นได้ อย่างน้อยที่สุดมันจะมองเห็นว่าเรามันอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ แม้เราจะรักตัวเองอย่างไร เราก็อยู่คนเดียวโดยไม่อาศัยผู้อื่นมันเป็นไปไม่ได้ นี่มันก็จะคิดไปถึงเรื่องรักผู้อื่น เพื่อว่าเราจะอยู่ มีชีวิตอยู่ร่วมกันในโลกได้
สรุปว่าศึกษาให้มากจนรู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่าตัวเองนั่น ผู้อื่นนั่นน่ะ และความรักนั่นน่ะให้มันถูกต้อง จิตที่หลุดพ้นจากกิเลสเท่านั้นน่ะที่จะรักผู้อื่นได้ ถ้าจิตยังถูกห่อหุ้มอยู่ด้วยกิเลสคือความเห็นแก่ตัวแล้ว ไม่มีทางจะรักผู้อื่น มันก็รักแต่ตัวเองอย่างหลับหูหลับตา อย่างเกินขนาด คือกิเลส ความรักนี่มีรักด้วยปัญญาก็ได้ รักด้วยอวิชชาก็ได้ ถ้าเรารักเขาด้วยอวิชชาแล้วก็อาจจะฆ่าเขาตายโดยไม่ทันรู้ก็ได้ ฉะนั้นต้องรักด้วยวิชชา ด้วยปัญญา เห็นแจ้งอยู่ว่ามันจะเกิดประโยชน์ขึ้นมาได้อย่างไร ข้อนี้ก็สำคัญมาก ควรจะให้ลูกเด็กๆเขาเข้าใจกันเสียๆให้ถูกต้องตั้งแต่ทีแรกๆ ว่ารักผู้อื่นหมายความว่าอย่างไร รักตัวเองหมายความว่าอย่างไร มีขอบเขตอย่างไร ความหมายอย่างไร คำพูดน่ะมันกำกวม บางทีมันเป็นอันตราย
แต่โบราณเขาก็ถือมาเป็นหลัก ถือกันมาเป็นหลักว่าความหมายนั้นน่ะที่สำเร็จประโยชน์ ไอ้คำพูดไม่สำเร็จ ไม่สำเร็จประโยชน์ มันต้องความหมายที่ถูกต้องของคำพูดเท่านั้นที่จะสำเร็จประโยชน์ อรรถน่ะสำเร็จประโยชน์ พยัญชนะยังไม่สำเร็จประโยชน์ ต้องเข้าใจความหมายของพยัญชนะนั้นคือคำนั้นๆให้ถูกต้องเสียก่อน มันก็ไปคิดเอาเองได้ ไปจัดรูปความมาใหม่เองได้ รักผู้อื่นมัน มันปลอดภัยกว่ารักตัวเองในความหมายธรรมดา ถ้ารักตัวเองอย่างถูกวิธีนี่มันก็รักผู้อื่นได้ เพราะมองเห็นอยู่ว่าเราไม่อาจจะอยู่ได้ตามลำพังตัวเองโดยไม่ต้องมีผู้อื่น มีปัญหาอะไรอีก จะซักค้าน แย้งใน ในข้อปลีกย่อยก็ได้
คำถาม : ปัญหาก็คงจะหมดเพียงเท่านี้ครับ และก็คิดว่าทั้ง ทั้งนักศึกษา และก็ทั้งที่เป็นนักศึกษาสมัครเล่น ปู่ย่าตายายพี่ป้าน้าอาที่มานั่งในที่นี้ ก็คงจะช่วยกันปลูกพืช พืชพันธุ์แห่งความรักผู้อื่นให้เจริญเติบโตงอกงามไปมากขึ้นอีก แล้วก็ช่วยกันขยายเมล็ดพันธ์แห่งความรักผู้อื่นนี้ให้ขยายทั่วไปในสังคมไทย และทั่วโลก ตอนนี้ก็บ่ายสองโมง เห็นว่าท่านอาจารย์ควรจะได้พักสักหนึ่งชั่วโมง เพื่อจะได้เทศนาต่อไปในบ่ายสามโมง
ท่านพุทธทาส : ก็ได้ ก็ได้ ต้องการให้ถึงกับต่อสู้เลย ต่อสู้นะ ไม่ใช่เพียงแต่ว่าขอแรงเฉยๆ ปล่อยเอื่อยๆไปตามสะดวก ต้องการให้ต่อสู้เหมือนกับดับไฟเมื่อไฟมันไหม้ใหญ่อย่างนั้น ต้องต่อสู้ ดับไฟความเห็นแก่ตัวด้วยน้ำ คือความรักผู้อื่น ขอให้มันฝังอยู่ในจิตใจของนักศึกษา ไม่มีวันลืมเลือนในการที่จะสร้างโลกกันเสียใหม่ดีกว่า
(นาทีที่ 96:23 - 96:57 เสียงหยุดไป บางช่วงขาดหาย ไม่ชัดเจน)
คำถาม : และก็ขอเจริญพรญาติโยมทุกๆท่าน คือเท่าที่ฟังมานี้ ก็มีข้อสงสัยพระเดชพระคุณท่านหลวงพ่อท่านได้แสดง ได้พูด ได้บรรยาย คือว่าเกี่ยวกับเรื่องภาษา หลักภาษาที่เราจะมาใช้ทำความเข้าใจในเรื่องการศึกษาและการประพฤติปฏิบัติธรรมะ หรือว่าการประพฤติปฏิบัติทุกอย่าง บางทีเท่าที่กระผมได้ยินได้ฟังภาษานี่มันทำให้ คือคนทั่วๆไป คือมันเข้าใจไปอีกแง่หนึ่ง อย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อใช้ภาษาคำที่ว่า ปลูกหางหมา อย่างนี้ อันนี้มันเป็นภาษาที่เรียกว่า อย่างชาวโลกๆธรรมดาซึ่งเขาเข้าใจกันอยู่แล้วว่ามันไม่ค่อยดีนะ อย่างนี้ ก็เลยทำให้คนที่ไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ก็เลยไปคิดผิดๆ ไปประพฤติปฏิบัติหรือไปเข้าใจผิดๆไปอีก
กระผมคิดว่าในเรื่องการใช้ภาษานี้ ควรที่จะใช้ภาษาให้มันเป็นภาษาที่อย่างที่เราท่านทั้งหลายเห็นว่ามันเป็นภาษาที่เป็นมงคล ที่เรียกว่า คนปุถุชนเขาฟังเขาก็เรียกว่ารู้เรื่อง อ้อ, ภาษาอย่างนี้มันเกี่ยวกับธรรมะ มันเกี่ยวกับจิตใจ เกี่ยวกับศีลธรรม เกี่ยวกับเรื่องศาสนา อย่างนี้กระผมคิดว่า มัน มันไม่ค่อยเป็นเรื่องปวดหัว หรือก็ไม่ค่อยเป็นเรื่องที่จะมาถกเถียงกันอะไรมาก เป็นเพียงว่าเราอธิบายในคำพูดนั้นๆ อย่างเช่นว่า ปลูกหางหมาอย่างนี้ หรือต่อหางหมานี่ แทนที่เราจะใช้ภาษาคำว่า ให้สร้างคุณธรรมขึ้นมาในจิตในใจของเราหรือว่าในตัวเราทุกคนนี่ ให้ปฏิบัติในเรื่องศีลธรรมหรือเรื่องศาสนา แล้วพร้อมๆกันนั้นก็ให้อธิบายให้เขาเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องศีลธรรมคืออะไร ศาสนาคืออะไร ธรรมะคืออะไรลงไปอย่างนั้น กระผมคิดว่าคงจะเป็นเรื่องที่เป็นนิมิตที่ดีเป็นประโยชน์ให้แก่สังคม เพราะว่ามันเป็นภาษาที่คนทั่วๆไปก็ไปยึดถือว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นมงคลหรือว่าสิ่งที่ดีอยู่แล้ว ฉะนั้นถ้าหากว่าเราไปคิดว่าปลูกหางหมาอย่างนี้ คนที่มันๆยังไม่รู้ไม่เข้าใจลึกซึ้ง มันก็เลยขัดแย้งขึ้นมา ก็เลยเกิดความไม่พอใจในคำพูดอย่างนี้ แทนที่จะได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็เลยเป็นการขัดแย้งกันอะไรต่างๆ นี่มัน กระผมมีความรู้สึก หรือว่ามีความเข้าใจอย่างนี้ สงสัยดังนี้แหละครับ
ท่านพุทธทาส : ถ้ามันไม่เข้าใจคำว่า ต่อหางหมาแล้วมันก็ต่อไม่ถูกล่ะ มันต่อไม่ได้ แล้วมันก็ไม่สนใจที่จะต่อหรือจะปลูก ถ้ามันไม่เข้าใจ มันก็ทำไปไม่ได้ มันก็ไม่ ไม่ต้องทำหรือมันไม่ได้ทำ ไม่ มันไม่เข้าใจแล้วมันก็คงไม่ทำ ฉะนั้นมันก็ต้องไต่ถามจนเข้าใจว่าปลูกหางหมานั่นคือทำอย่างไร
ทำไมถึงใช้คำไอ้รุนแรงสูดกระดูกนี่ก็เพื่อผลอย่างเดียว คือมันลืมยาก ถ้าใช้คำอย่างอื่น บางทีไม่ทันจะกลับไปจากนี่ ลืม ใช้คำว่าปลูกหางหมานี่ กลับไปกรุงเทพฯสักกี่หนมันก็ไม่ลืม ฉะนั้นเราจึงนิยมใช้คำที่ลืมยาก แล้วก็ใช้คำเป็นกลอนประกอบ มันก็ยิ่งลืมยากยิ่งขึ้นไปอีก คำว่าต่อหางหมา ปลูกหางหมานี้มัน มันชวนให้สะดุ้งแล้วมันก็ลืมยาก แล้วก็ทำให้เข้าใจว่าทำอย่างไรนะต่อหางหมา ทำอย่างไรนะปลูกหางหมา เข้าใจก็ไม่ลืมเป็นอันขาด นี่มุ่งผลอย่างนี้ มุ่งๆๆผลที่ว่าจำง่ายลืมยาก แล้วอมความหมายไว้มาก นี่ปลูกหางหมานี่มันก็ต้อง ต้องปะนะ อ้าวๆ, หางหมาไปไหนเสียที่จะต้องปลูกนี่ มันก็เลยไปถึงเรื่องระบบอื่นที่มันเกี่ยวข้องกัน คือการศึกษาในโลกนี้ มันตัดธรรมะออกไปเหมือนกับว่าหมาถูกตัดหาง ระบบการศึกษานั่นมันเป็นเหมือนกับหมาที่ถูกตัดหาง เป็นระบบการศึกษาที่ไม่น่าดู เหมือนกับหมาหางด้วนแล้วมันไม่น่าดู แล้วมันยังขาดไอ้คุณสมบัติอะไรบางอย่างไปอีก
เอาแล้วผมก็ต้องยอมรับน่ะ ถ้าว่าใครเข้าใจผิดแล้วจะมาชวนกันด่าหรืออะไรก็ได้ ก็ได้เหมือนกัน มันก็ช่วยไม่ค่อยได้ที่จะไม่ให้ใช้ภาษาชนิดนี้ มันออกจะเป็นไอ้ความเคยชิน ใช้ภาษารุนแรง