แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ได้ทราบว่าท่านทั้งหลาย ต้องการให้ ต้องการจะได้ฟังเรื่องสำหรับผู้ที่จะลาสิกขา ผมก็จะพูดโดยอนุวัตรกับเรื่องนั้น คือเราจะประมวลเรื่องต่างๆตามที่ได้ศึกษามาตลอดเวลาที่บวชนี้เข้าด้วยกัน และหาดูหลักสำคัญของเรื่องนั้นว่า จะเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร สำหรับผู้ที่จะครองชีวิตอย่างฆราวาส ในธรรมะนั้นมันเป็นเรื่องของความดับทุกข์โดยตรง และก็ไม่ได้แยกเป็นเรื่องฆราวาสหรือเรื่องบรรพชิต พระพุทธเจ้าท่านวางแนวไว้แนวเดียวเท่านั้น อย่างเดียวเท่านั้น แต่ว่าไอ้ระเบียบนั้นมันสะดวกสำหรับผู้ที่เป็นบรรพชิต คือบรรพชิตจะปฏิบัติได้โดยง่ายโดยสะดวกและโดยเร็ว ฆราวาสนั้นก็จะต้องลำบากบ้าง จะต้องช้าบ้าง แต่ก็ปฏิบัติโดยหลักเดียวกันนั่นแหล่ะ คือว่าความยึดถือเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ความไม่ยึดถือก็ไม่ทุกข์ มันมีเท่านั้น คำตรัสของพระองค์ซึ่งทรงยืนยันเป็นหลัก ก็ว่าเราพูด เราบัญญัติ แต่เรื่องความทุกข์กับความดับทุกข์เท่านั้น ถ้าตั้งคำถามอย่างอื่น ไม่รู้จะไม่ จะไม่ จะไม่ตรัสตอบ จะผลัดเพี้ยนไว้ก่อนมาพูดเรื่องนี้กันดีกว่า มาพูดเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับทุกข์ เรื่องทางให้ถึงความดับทุกข์ ถ้าทำได้ถึงที่สุด มันก็ถึงที่สุดแห่งความทุกข์ ก็เป็นพระอรหันต์ ซึ่งอยู่เหนือความเป็นฆราวาส และเหนือความเป็นบรรพชิตไปเสียอีก
นี่เรามันยังจะต้องเป็นฆราวาส จะต้องเป็นอยู่อย่างฆราวาส ก็พยายามทำให้ดีที่สุดที่ฆราวาสจะทำได้อย่างไร ถ้าว่าจะพูดถึงการไปนิพพาน คือไปถึงจุดสูงสุดนั้น เปรียบเสมือนการเดินทางไกล การเป็นบรรพชิต ก็เหมือนกับเดินตัวเปล่า อย่างมากก็มีบาตรกับจีวรที่ต้องถือออกไป ส่วนฆราวาสนั้นเปรียบเหมือนกับว่า แบกบ้านแบกเรือน แบกวัวควายไร่นาอะไรไปด้วย มันก็เลยน่า น่าสังเวชก็น่าสังเวช แต่เดี๋ยวนี้เมื่อยังจะต้องเป็นอย่างนั้น ก็ต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ แต่ด้วยเหตุที่ว่าธรรมะนี้ไม่ใช่สำหรับฆราวาส หรือสำหรับบรรพชิตโดยเฉพาะ ถ้าใครปฏิบัติถูกต้องมันก็ช่วยได้ เราจึงมุ่งหมายที่จะเป็นฆราวาสชนิดที่จะเอาธรรมะมาใช้ให้เป็นประโยชน์ให้ได้ให้มากที่สุด นี่ผมมีหลักอย่างนี้ หลักธรรมะของพระพุทธศาสนามีแนวเดียวเท่านั้น สะดวกสำหรับบรรพชิตจะปฏิบัติได้โดยเร็ว ถ้าฆราวาสมันก็ต้องปฏิบัติแนวเดียวกันนั้นแหละ มันก็ช้า ถึงก็ยืนยันว่ามันยังต้องปฏิบัติแนวเดียวกัน มิฉะนั้นจะเป็นทุกข์ มิฉะนั้นจะเป็นทุกข์
เดี๋ยวนี้ก็มีครูบาอาจารย์ทั้งหลายเขามาแยกกัน จะว่าพระหรือบรรพชิตจะไปนิพพานก็ต้องปฏิบัติแนวหนึ่ง ที่จะอยู่ครองเรือนในโลกนี้ ก็ต้องมีอีกแนวหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่ง หรือว่าอีกระบบหนึ่งทีเดียว ไอ้นั่นที่เขาพูดอย่างนั้นน่ะดูเขาจะ มุ่งหมายเรื่องฆราวาสจะร่ำจะรวย ด้วยทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง อย่างนั้นมากกว่า เขาจึงให้ยึดให้ถือกันเสียคนละอย่าง ไม่ถืออย่างหลัก หลักเพียงหลักเดียวข้อเดียว สายเดียวสำหรับความดับทุกข์ ที่ว่าความดับทุกข์ต้องดับกันอย่างนี้ เมื่อสองสามวันนี้ก็มีคนเขียนจดหมายมาถาม ทำนองให้พิสูจน์ หรือให้ คือว่าเขาไม่เชื่อว่าคำสอนเรื่องสุญญตานั้นใช้ได้แก่ฆราวาส เขาก็จะคิดว่าผมว่าเอาเองอยู่อย่างนั้นเขาก็จึงถามมาว่า ไอ้เรื่องที่ว่าพระพุทธเจ้าสอนเรื่องสุญญตาแก่ฆราวาสนั้น มันอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มไหน หน้าไหน เพราะเขาเห็นพระพุทธเจ้าสอนแต่เรื่องประโยชน์ปัจจุบัน 4 อย่าง อุฏฐานสัมปทา อารักขสัมปทา พวกนั้น เขาอ้างพระไตรปิฎกเล่มนั้น เล่มนั้นมาด้วย นี่แสดงว่ามีคนที่ไม่ยอมเข้าใจว่า ไอ้เรื่องตัวแท้ของพุทธศาสนาคือสุญญตาหรืออนัตตานั้น ต้องใช้กับฆราวาส ก็ต้องใช้กับฆราวาส เขาไม่ยอมเชื่อ เขาว่ามันจะเป็นอุปสรรคเสียอีก จะเป็นเครื่องกีดกันกั้นทำลายความเจริญของฆราวาสเสียอีก เขาเข้าใจว่าอย่างนั้น ถ้าเอาเรื่องสุญญตาเรื่องอนัตตามาให้แก่ฆราวาส ก็จะเป็นเครื่องขัดขวางความก้าวหน้าของฆราวาส นี่มันมันไขว้กันอยู่
คุณจะต้องจับใจความของเรื่อง หรือมองเห็นไอ้ใจความของเรื่องให้ดีดีเกี่ยวกับเรื่องนี้แหละ เรื่องที่จะดับทุกข์กันได้จริงไม่มีเรื่องอื่น นอกจากเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่น คือเรื่องสุญญตาอนัตตานั่นเอง เรื่องอื่นมันดับทุกข์ไม่ได้ มันเป็นเรื่องยึดถือมันก็ดับทุกข์ไม่ได้ ถ้าเป็นเรื่องปล่อยวาง มันก็เรื่องดับทุกข์ได้ ถ้าปล่อยวางมันต้องเห็นไอ้อนัตตาหรือสุญญตา มันจึงจะปล่อย หรือว่ามันจึงจะไม่มีวิธียึดมั่นถือมั่นอย่างนั้น นี่ผมมองไปในทางที่ว่า ฆราวาสนั่นจะต้องมีความทุกข์มากกว่าบรรพชิต อยู่อย่างฆราวาสจะเต็มไปด้วยความทุกข์หรือปัญหาต่างๆมากมายกว่าบรรพชิต นี้เมื่อจะเป็นฆราวาสให้ลุล่วงไป กว่าจะถึงประโยชน์ที่ต้องการนั้น เขาจะเอาอะไรมาเป็นเครื่องกำจัดความทุกข์ ที่มันมีอยู่หรือมันจะมันเกิดขึ้นตามแบบของฆราวาสอันแสนจะมากมายนี่ ก็มองเห็นว่าเรื่องนี้ เรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่น ที่ฆราวาสแท้ๆ ฆราวาสดิบๆที่บ้านนั่นน่ะ เขาจะต้องรู้จักเอามาใช้ เพื่อขจัดไอ้ความทุกข์ ความเดือดร้อนหรือปัญหาต่างๆออกไป มิฉะนั้นเขาจะทนทรมานมาก จนจะว่าเป็นโรคประสาท เป็นโรคจิตวิกลจริตไปเลยก็ได้ หรือว่าเขาจะฆ่าตัวตายได้ง่ายที่สุด แต่ทว่าเขารู้จักใช้ประโยชน์จากเรื่อง อนัตตา สุญญตา เขาจะไม่ต้องเป็นอย่างนั้น คือไม่ต้องเป็นโรคประสาทหรือโรคจิต หรือไม่ต้องคิดไปทางฆ่าตัวตาย เขาจะทำจิตใจให้มันปกติได้ และปฏิบัติหน้าที่ของฆราวาสไป อย่างได้ผลเป็นที่พอใจ
นี่นี้เป็นประเด็นสำคัญว่าเราจะอยู่ในกองทุกข์ของฆราวาสโดยที่ไม่ต้องทุกข์มากมายนัก ไม่ต้องเป็นบ้า ไม่ต้องฆ่าตัวตาย จะต้องใช้ธรรมะอย่างเดียวกันกับที่เขาใช้ดับทุกข์เพื่อไปนิพพาน แต่มิได้หมายความว่าในมาตรฐานที่เท่ากัน มันก็จะต้องลดหลั่นกันอยู่ แต่มันต้องเป็นหลักเกณฑ์เดียวกัน คือไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะว่าคนเรามันเป็นทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อ ยึดมั่นถือมั่นก็เท่านั้นแหล่ะ แม้ในที่บางแห่งจะใช้คำว่าตัณหา คือความอยากเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ อย่างที่ อย่างที่คุณเรียนมาในในหนังสือเรียน ว่าตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ที่นี้ มัน เดี๋ยวนี้มาพูดว่า ทุกข์เกิดมาจากความยึดมั่นถือมั่น ก็ให้เข้าใจว่า ตามหลักมันมีตัณหา แล้วก็มีอุปาทาน คือมีความยึดมั่นถืดมั่น และมีภพมีชาติแล้วเกิดทุกข์ นี่มันถูกด้วยกันทั้งนั้นแหล่ะ ว่าตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ก็ถูก อุปาทานเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ก็ถูก เพราะว่าตัณหาเป็นเหตุให้เกิดอุปาทาน ถ้าตัณหาไม่ให้เกิดอุปาทาน มันก็เป็นให้ให้เกิดทุกข์ไม่ได้ ดังนั้นตัณหาให้เกิดทุกข์ก็ด้วยเหตุที่ทำให้เกิดอุปาทาน ผ่านไปทางอุปาทาน ที่นี้มันยังดีถึงกับว่าถ้าความยึดมั่นถือมั่นมีน้อย ตัณหาก็เกิดน้อย ถ้าตัณ ถ้ามีความยึดมั่นถือมั่นน้อย เรื่องต่างๆมันจะให้ มันจะทำให้ให้ให้เกิดตัณหาได้ยาก มัน มันเป็นสอง สอง สองด้านอยู่ ตัณหาให้เกิดอุปาทานคือความยึดถือแล้วก็เป็นทุกข์ นั่นก็ทางหนึ่ง
ที่นี้ถ้ามีอุปาทานโดยทั่วๆไป แล้วมันทำให้เกิดตัณหาได้ง่ายได้มาก ตัณหาก็ให้เกิดอุปาทานอีกตอนหนึ่ง อีกขั้นหนึ่งก็เป็นทุกข์ ให้ถือเอาตามหลักพระพุทธภาษิตตรงๆ อย่างที่เอามาเป็นบททำวัตร สวดมนต์นะว่า สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ขันธ์ทั้งห้าที่ประกอบโดยอุปาทานน่ะเป็นตัวทุกข์ แล้วเมื่อเมื่อเราจะพูดให้สั้นโดยสรุปแล้วไอ้ขันธ์ห้าที่ประกอบด้วยอุปาทานน่ะเป็นตัวทุกข์ ดังนั้นสิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับมนุษย์นี้มันก็รวมอยู่ในขันธ์ห้าทั้งนั้น ทรัพย์สมบัติเงินทอง ก็เป็นรูปขันธ์และความรู้สึกคิดนึก เกียรติยศ ชื่อเสียง ความหวังอะไรต่างๆ มันก็เป็นส่วนของขันธ์ห้าส่วนใดส่วนหนึ่งทั้งนั้น นั้นเรายึดขันธ์ห้าส่วนใดหรือทุกส่วนว่าเป็นตัวตนว่าเป็นของตน มันก็เป็นทุกข์ เราจึงมีหลักอันใหม่ที่ว่า จะทำไปโดยที่ไม่ต้องยึดถือ จะได้ไม่เป็นทุกข์ เพราะการงานที่ทำนั้นก็สำเร็จด้วย นี่มันจะทำได้อย่างไร
ในชั้นแรกนี้ ต้องไปสังเกตศึกษาดูให้เห็นชัดเสียก่อนนะว่า ไอ้ตัวความยึดถือนั้นมันคืออย่างไรและมันยึดถือในอะไร อย่างที่คนเขายึดถือ ทรัพย์สมบัติ เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง ซึ่งเราก็เคยยึดถือมาแล้ว ก็พอจะเข้าใจได้ดีว่าเรา ว่าคนเรามันน่ะยึดถืออะไรอยู่ คือมีความหมายมั่นสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นตัวตนหรือเป็นของของตน ยึดถือร่างกายนี้เป็นตัวตน เป็นภายใน ยึดถือภายนอก คือทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง อะไรที่มันออกไปสำหรับอยู่ข้างนอก ทั้งข้างใน ทั้งข้างนอกถูกยึดถือว่าตัวตน ถ้าจะศึกษาให้ให้ให้ ให้ถูกตัวเรื่อง ตัวจริงแล้วก็ต้องศึกษาข้อนี้ ศึกษาตรงนี้ เมื่อไรเรายึดถือให้รู้ให้รู้สึก ให้รู้สึกความทุกข์เพราะความยึดถือพร้อมกันไปทีเดียว เรามีความยึดถือ ไอ้สิ่งที่เรากำลังหวังอยู่อย่างมากไม่ว่าอะไร มันแล้วแต่บุคคล คนไหนกำลังมีการงานอย่างไร เขาก็จะต้องมีสิ่งที่เขายึดถืออยู่ตามแบบนั้นๆ คนมีบุตร ภรรยา สามี ก็ต้องยึดถือบุตร ภรรยา สามี ยึดถือเรื่องทุกเรื่องที่มันกี่ยวข้องกับเรา หรือบุตร ภรรยา สามี หรือเกียรติยศ ชื่อเสียงของเรา พูดเป็นเสียง เป็นตัวหนังสือ อย่างนี้ไม่มีประโยขน์อะไร คุณต้องไปจับให้ได้เมื่อจิตมันมีความยึดถือจริงๆ ต้องไปเรียนอีกทีหนึ่ง สึกออกไปแล้วนี่ต้องไปเรียนอีกทีหนึ่ง คือไปเรียนสิ่งที่กำลังเข้ามาให้ยึดถือในการข้างหน้าให้รู้จักตัวความยึดถือที่เกิดขึ้นในจิตและสิ่งที่มันยึดถือ และผลอะไรมันเกิดขึ้นนี้ ศึกษากันจริงๆอย่างนี้
ในตอนนี้ ตอนที่จะพบพระพุทธศาสนา ผมเคยพูดว่า ยิ่งเรียนพระไตรปิฎกยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา มีคนด่า แต่ก็ยืนยันว่ามันอย่างนั้นแหละ เพราะเรียนพระไตรปิฎก มันเรียนกันในแง่ภาษา สรรพศาสตร์ วรรณคดี สนุกไปเลย จึงไม่รู้พุทธศาสนา ถ้าจะรู้พุทธศาสนาก็จะต้องเรียนลงไปที่ตัวความทุกข์ กำลังบอกเมื่อตะกี้ ว่าต้องเรียนลงไปที่ตัวความยึดถือ ตัวสิ่งที่ยึดถือ ผลของความยึดถือคือความทุกข์ ให้มันรู้สึกด้วยใจเลย ให้มันรู้สึกด้วยใจ เรียนด้วยจิตใจ นี่เรียนตัวชีวิต เรียนตัวความทุกข์ นั่นแหละจะรู้จักพุทธศาสนา จะรู้พุทธศาสนา มัวเรียนพระไตรปิฏกตามวิธีที่เรียนๆ กันอยู่นี้ไม่ ไม่ไม่ ไม่ถึงตัวพุทธศาสนา มันถึงตัววิชาภาษาศาสตร์ วรรณคดี อักษรศาสตร์และอยู่แต่อย่างนั้นเอง จึงว่าสึกออกไปนี้ต้องไปเรียนตัวพุทธศาสนาจริงๆ คือทำจิตปกติแล้วก็จะมีอะไรเข้ามา ทำให้จิตผิดปกติ ไปยึดถือหรือเป็นทุกข์ ไม่ว่าอะไรหมด เราห่วง วิตกกังวลอะไร มันก็เป็นทุกข์ เพราะนั่นมันเป็นความยึดถือ ความอยาก ความต้องการ ความห่วง ความหวัง ความสงสัย วิตกกังวลอะไรก็แล้วแต่จะเรียกหลายสิบชื่อ ล้วนแต่เป็นความยึดถือทั้งนั้น ยิ่งเดี๋ยวนี้เรามา ถือว่าทุกคนต้องหวัง ต้องมีความหวัง ก็ต้องยิ่งหวัง นี่เขาเขาเขาถือหลักอย่างนั้น ต้องอยู่ด้วยความหวัง ถ้าทำก็ระวังให้ดีดีมันจะเป็นบ้า เราจะคิดเสียให้ออกก่อนก็ได้ว่า เราควรจะต้องการอะไรหรือควรจะหวังอะไร พอคิดออกแล้วก็ทำไป หยุดความหวังเสียเถิด เพราะเมื่อมันเข้ารูปว่าจะต้องทำอย่างไร จะได้อะไรแน่นนอนแล้ว ก็หยุดความหวังเสียเถอะ ก็ทำ ทำ ทำ ทำ นี่เรียกว่าทำโดยไม่ต้องหวัง ทำโดยไม่ต้องมีตัณหา ทำโดยไม่ต้องมีอุปาทาน
ดังนั้นไอ้งานนั้นจะไม่เป็นทุกข์ตลอดเวลา นี่จึงพูดให้สั้นๆง่ายๆว่า เดี๋ยวนี้เราก็จะทำทุกอย่างโดยที่ไม่ต้องมีตัณหา ไม่ต้องมีความยึดถือคืออุปาทาน จะเล่าเรียนก็ได้ จะทำงานอาชีพก็ได้ จะต้องทำโดยที่ไม่ยึดถือ ได้เงินมา ก็ได้มาอย่างไม่ต้องยึดถือ จะใช้เงิน จะกิน จะใช้บริโภคก็อย่าให้มันเกิดความยึดถือ จะเก็บไว้ก็อย่าเกิดความยึดถือ จะทำให้เป็นประโยชน์มากออกไปก็อย่าทำด้วยความยึดถือ ทำด้วยอะไร ถ้าอย่างงั้น ก็ทำด้วยสติสัมปัญชัญญะ ด้วยปัญญา ด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ที่มันบอกว่า มันถ้าทำอย่างนี้จะได้อย่างนี้ ทำอย่างนี้จะได้อย่างนี้ เราต้องการจะได้อะไรเราก็ทำอย่างนั้น แต่จิตอย่าไปยึดถือ อย่าไปหมายมั่น อย่าไปหวังชนิดที่เขาเรียกกันว่าความหวัง มันจะทำให้ต้องทนทรมาน หวังอะไรต้องการอะไร ก็คิดกันเสียให้มันเสร็จ ให้มันเป็นเรื่องไปเลยว่าคิดเสร็จแล้ว อยากจะได้อะไร ควรจะได้อะไร ทำอย่างไร ให้ความหวังหรือความอยากนั้น หยุดเสียเถิด ดับเสียเถิด แล้วก็เหลือแต่การกระทำด้วยสติปัญญา หรือสติสัมปัญชัญญะนี้ จะไม่มีความทุกข์ จะหาเงินก็ดี จะหาเกียรติยศชื่อเสียงก็ดี จะก้าวหน้าในการงานในชีวิตก็ดี ขอให้ทำไปด้วยสิตสัมปัญชัญญะหรือปัญญา อย่าทำด้วยกิเลส ด้วยตัณหา ด้วยอุปาทาน เพื่อผลข้อแรกที่สุดก็คือจะไม่เป็นทุกข์ จะเอาข้างไม่เป็นทุกข์ไว้ก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นจะเป็นทุกข์ หรือจะทรมาณเรื่อยๆไป ก็เป็นโรคประสาท เป็นโรคจิต เป็นวิกลจริต หรือถ้าว่ายึดถือมากไปมันก็จะถึงกับฆ่าตัวเองตาย ฆ่าผู้อื่นตาย ฆ่าลูกฆ่าเมียตาย ฆ่าพ่อแม่ตัวเองตาย ไปศึกษาจากของจริง
นี่แปลว่าเราจะฟันฝ่าชีวิตแบบฆราวาสไปได้ โดยไม่ให้มันเป็นทุกข์ทรมาน ถึงขนาดที่เรียกว่าอันตราย แต่ที่จะไม่ให้รู้สึกเป็นทุกข์หรือลำบากเสียเลยนั้นมันก็เป็นไปไม่ได้ ให้มันมีความทุกข์ลำบากแต่ทางกายหรือความเหน็ดเหนื่อยนั้นเป็นต้น แต่อย่าให้เป็นทุกข์ทางใจ อย่าให้มีความทุกข์ชนิดที่ต้องเป็นโรคประสาท มันเป็นเพียงเหน็ดเหนื่อยทางกาย ก็จะเป็นแต่น้อยที่สุดถ้าจิตไม่ยึดถือ ถ้าจิตยึดถือแล้ว แม้ในทางกายก็จะเหนื่อยมาก จะรู้สึกเหนื่อยมาก เพราะมันเหนื่อยทั้งทางกายและทางจิต เราจะมีหลักให้มันเป็นทุกข์แต่น้อย หรือถ้าเก่งก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เลยก็ได้ เรียกว่ามันเก่งมาก มันมีศิลปะมาก ไม่ต้องเป็นทุกข์เลย ฝ่าฟันชีวิตฆราวาสไป นี่เราเรียกว่าต้องการหลักพื้นฐานคือไม่เป็นทุกข์ ที่นี้มันมีข้อพลอยได้ที่วิเศษที่สุดอีกอย่างคือมันจะสนุก นอกจากไม่เป็นทุกข์แล้ว ไอ้การงานที่ทำนั้นจะให้ความสนุก ข้อนี้สำคัญมากนะตามความรู้สึกของผม แต่ไม่คอยมีใครเชื่อกี่คนน่ะ เขาไม่ยอมเชื่ออย่างที่ผมพูดน่ะ
ที่ว่าได้การงานนี่เราทำให้สนุกได้ แล้วก็ยังได้ผลดีที่สุดด้วย แล้วแต่ว่าใครจะมีการงานอะไร ชาวนาก็ต้องทำนา ช่างไม้ก็ต้องทำไม้ หรือว่าคนค้าขายก็ต้องทำงานหน้าที่ของตน นักเรียนก็ต้องเรียนอย่างนี้ เรียกว่าการงานมีด้วยกันทุกคน และการงานนั้นก็เป็นเครื่องทรมานใจแก่ผู้ที่ยึดถือ เขาจะถือว่าเรานี่มันโชคร้าย อาภัพอัปโชค วาสนาน้อย ต้องมาเป็นคนยากจนเหน็ดเหนื่อยอาบเหงื่อต่างน้ำนี่ มันก็เป็นทุกข์ทั้งนั้นแหละ เพราะมันมันมีความยึดถือ แล้วเอามาคิดสำหรับจะยึดถือ ให้มีตัวตนที่กำลังยากจน กำลังโชคร้าย กำลังไม่มีวาสนาอย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้นก็ลืมไอ้ความยึดถือชนิดนั้นเสีย มาดูว่าเราก็มีเรี่ยวมีแรง ธรรมชาติสร้างมา มีกำลังกายมีกำลังใจ ก็ต้องใช้มันให้ดีที่สุด ให้เป็นประโยชน์ที่สุดก็ทำให้ดี ให้ละเอียด ให้ประณีตเป็นศิลปะที่สุด แล้วก็คอยพอใจยินดีในการที่เราทำได้ดี มีฝีมือสุดฝีมือ แม้จะเป็นลูกจ้าง เป็นเสมียนพนักงาน เป็นคนชั้นผู้น้อยอยู่ใต้บังคับบัญชา ก็จงพยายามหาความสุขจากการที่ทำงานดีที่สุด พอทำงานดีที่สุดก็สบายใจพอใจตัวเองก็มีความสุข
นี่เราจะทำงานให้ดีที่สุด เราต้องมีจิตใจที่ปกติที่สุด นั่นจึงต้องลืมหมดไอ้เรื่องกิเลสตัณหา เรื่องอะไรต่างๆ เรืองคิดไปด้วยความยึดถือต้องลืมหมด แล้วก็ต้องทำโดยจิตใจที่เป็นสมาธิ ด้วยจิตปกติ ด้วยกายปกติ ก็ทำสนุก ไปคิดดูเถอะ ถ้าทำด้วยจิตชนิดนี้แล้วงานจะสนุก จะบวกเลขก็สนุก จะพิมพ์ดีดก็สนุก จะทำอะไรก็สนุก ทำการงานให้สนุกได้ทุกอย่าง แต่การงานมันจะเป็นเหมือน เหมือนกับการฝีมือไป เป็น เป็นศิลปะวัตถุ เป็นงานฝีมือไป แล้วเราก็สนุก ถ้าการงาน เป็นเครื่อง เป็นการงาน เป็นของหนัก ต้องทนทำเพราะความจำเป็นแล้วก็ต้องเป็นทุกข์ นี่เปลี่ยนให้เป็นงานฝีมือเสีย ทำด้วยจิตใจที่ประณีต ด้วยร่างกายที่เหมาะสม มันก็ทำได้อย่างน่าดู รู้สึกเป็นสุข ทั้งชีวิตนี้มันก็เป็นสุขได้ในตัวการงานนั้นเอง คนเขาไม่ยอมเชื่อ แล้วก็ไม่ไม่ยอมทดลองด้วย จะทำการงานให้เป็นสุข แต่เราก็ได้เห็นอยู่บ่อยๆ เราเองก็เคยผ่าน ถ้าจิตใจของเรามันมันว่างจากความยึดถือแล้วการงานมันสนุก แม้แต่เหงื่อไหลไคลย้อยอยู่ มันก็สนุก เหมือนกับเราไปทำงานบางอย่างไปช่วยเพื่อน ไปอะไรที่มันไม่เกี่ยวกับเพื่อตัวเอง มันก็สนุก อย่างว่าไปช่วยกันขนดิน จิตใจก็ไม่ได้คิดนึกอะไรหมด นอกจากจะช่วยกันขนดิน มันก็ขนดินสนุก แต่ถ้าไปเห็นเป็นงานต่ำต้อย เป็นงานชั้นเลวไม่สมแก่เรา หรืออะไรทำนองนี้แล้วมันก็ไม่สนุก แล้วก็เป็นทุกข์ด้วย นี่จะเป็นจะมีปัญหาที่ไม่มีใครพยายามลองดู คือหาความสุขในการงาน
ผมอยากจะพูดอย่างดูถูก ดูหมิ่นไปซักอย่างหนึ่งว่า ไอ้คนทั้งหลายในโลกนี้มันกำลังทนทุกข์เพราะการงานทั้งนั้นน่ะ เพราะว่ามันไม่อยากทำงาน โดยเนื้อแท้มันไม่อยากจะทำงาน แต่มันต้องการจะได้เงินเดือน มันก็ทนทำงาน มันก็ต้องทนทำงานเพื่อจะได้เงินเดือน เมื่อเป็นอย่างนี้ไอ้การงานนั้นต้องเป็นของหนัก และเป็นของให้เกิดความทนทุกข์ เราต้องฝืนใจทำ เราอยากหยุด เราอยากจะไปเที่ยวเล่น มันไม่สนุกในการทำงาน เราอยากจะหยุด ถึงเวลาหยุด รอเงินเดือนออกแล้วก็จะไปหัวหกก้นขวิดให้เป็นสุขกันเต็มที่ ไปสุขกันตอนโน้น ไปสุขตอนที่บ้าในอบายมุข ได้เงินเดือนไปบ้าในอบายมุขแล้วเป็นสุข เมื่อทำงานอยู่ ยังไม่ถึงเงินเดือนออก อยู่แต่ละวันละวันนี้ ไม่สุข ไม่มีความสุข ฝืนใจทำ คือไม่อยากไม่อยากทำนั่นเองแต่มันต้องทำนี่เพราะว่าต้องการเงินเดือน คือจะเป็นอย่างนี้กันทั้งโลก เว้นแต่คนที่มีธรรมะ เขาสนุกในการงาน เพราะเขามองเห็นว่าการทำงานนั่นแหละคือการปฎิบัติธรรม คือการทำหน้าที่ของมนุษย์และคือการปฏิบัติธรรม เขาก็มองเห็นอย่างนั้น เขาก็พอใจยินดีว่ามันเป็นการปฏิบัติธรรม แล้วก็สนุกในการทำการงาน คือการปฏิบัติธรรม
เราไปคิดให้ดีมองให้เห็นว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่าชีวิต มีชีวิตนี่มันอยู่นิ่งไม่ได้ สัตว์ คนก็ดี สัตว์เดรัจฉานก็ดีมันมีชีวิต มันมีกำลัง มันอยู่นิ่งไม่ได้ ทางกายมันต้องเคลื่อนไหว ทางจิตมันก็ต้องเคลื่อนไหว มันอยู่นิ่งไม่ได้ นี้เขาจะต้องใช้ไอ้ความเคลื่อนไหวนั่นน่ะให้มันเป็นประโยชน์ทั้งทางกายและก็ทางจิต จะใช้ให้เป็นประโยชน์ก็คือทำหน้าที่ ที่มนุษย์จะต้องทำ หรือว่าที่สิ่งมีชีวิตจะต้องทำ ถ้าเป็นสัตว์มันไม่ต้องการอะไรมาก ก็ต้องการหากิน แล้วก็ใช้การเคลื่อนไหวในการหากินหรือการสืบพันธ์ตามเรื่องของมัน แต่ถ้ามนุษย์นี่มันยังไปไกลกว่านั้นใช้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย หรือในประโยชน์ที่มันสูงๆ ขึ้นไปในทางจิตใจด้วย นั้นเราพยายามใช้กำลังกาย กำลังจิตให้ทำหน้าที่ที่ดีที่สุดของมนุษย์ รู้สึกพอใจเป็นสุขสนุกสนานอยู่ในการกระทำเช่นนั้น นี่เรียกว่าทำงานด้วยจิตว่าง หรือว่าทำงานอย่างพระอริยเจ้า ท่านทำไม่ได้หวังเงินเดือนไม่ได้หวังประโยชน์เป็นวัตถุตอบแทน แต่ทำไปโดยความเห็นประจักษ์อยู่ว่า ไอ้ชีวิตนี้มันต้องเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ ก็ถือโอกาสใช้การเคลื่อนไหวนั้นให้เป็นประโยชน์
นี้ประโยชน์น่ะคืออะไร ประโยชน์ก็คือสิ่งที่จะทำให้เป็นสุขและก็อย่าประโยชน์แต่ส่วนตน ให้มันป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย เพราะว่าเราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ ให้นึกถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ท่านจะเน้นว่าประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น สองประโยชน์คู่กันไปเลย ช่วยจำไว้ด้วยว่าพระพุทธเจ้าท่านประสงค์ให้ทุกคนทำประโยชน์ทั้งสอง คือประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น ถ้าเห็นแต่แก่ประโยชน์ตนแล้ว เป็นความเห็นที่แคบ เป็นความคิดของความเห็นแก่ตัว เป็นความโง่ชนิดหนึ่ง ถ้าเราเห็นแต่ประโยชน์ตัวแล้วมันเป็นความโง่ชนิดหนึ่งโดยไม่รู้ว่า เราอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้ โดยตรงก็ไม่ได้โดยอ้อมก็ไม่ได้ อย่าง อย่าง อย่างเราเป็นพระเป็นเณรนี่ เราไม่ต้องทำนา เราก็มีอาหารกิน คิดดูสิมันมีคนทำนา แล้วมันคนอื่นก็ต้องมีหน้าที่ทำนาทำอะไรที่มาให้ได้กิน สำหรับคนที่ไม่ต้องทำนา เรียกว่ามันก็อยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ นั้นการทำประโยชน์จึงต้องนึกถึงผู้อื่น
ธรรมะนี่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าจะให้เป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ มีศาสนา มีศาสนาไว้ในโลกก็เพื่อประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ ก็หมายความว่าทั้งคนที่ยากจนและคนมั่งมี คนที่ไม่รู้จักเหงื่อคือคนมั่งมีนี้จัดไว้เป็นฝ่ายเทวดา คนยากจนต้องอยู่กับเหงี่อนี่เป็นมนุษย์ ธรรมะนี้จำเป็นทั้งแก่คนที่ไม่รู้จักเหงื่อและคนที่ยังต้องอาบเหงื่อ ฉะนั้นอย่าอวดดีไป ให้มันวยเป็นเศรษฐีเป็นเทวดาในเทวโลกมันก็ยังต้องการธรรมะ เพราะมันยังมีทุกข์เพราะความยึดถือ เพราะความที่ธรรมชาติมันเป็นไปตามธรรมชาติ เช่นการเกิดแก่เจ็บตายเป็นต้น ดังนั้นอยู่ในโลกเป็นเศรษฐีชั้นไหนก็ตามเถอะ มันก็ยังมีความทุกข์ที่ต้องการธรรมะ ไปเป็นเทวดา ไปเป็นพรหมในพรหมโลกมันก็ยังต้องการธรรมะ เพื่อจะแก้ความทุกข์อันเกิดมาจากความยึดถือ นี่ขอให้มองให้เห็นว่าคนมั่งมีกับคนยากจนมันยังมีปัญหาอย่างเดียวกันคือความทุกข์เพราะความยึดถือ เอาธรรมะมาเป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและแก่มนุษย์ ซึ่งเรียกว่ามันห่างไกลกันมากแหละ มันมีช่องว่างที่ไกลกันมากระหว่างเทวดากับมนุษย์ แต่ว่าธรรมะก็ยังต้องการเป็นที่ต้องการทั้งสองฝ่ายอยู่นั่นเอง ไม่ว่าจะมั่งมีสักเท่าไร จะยากจนสักเท่าไรมันยังมีความทุกข์เพราะความยึดถือ อย่างเดียวกันเสมอกัน
เราจึงมีความคิดกว้างออกไปว่ามันอยู่คนเดียวไม่ได้ จะทำประโยชน์แต่ฝ่ายเดียวมันก็ก็ไม่ได้ มันจะไม่มีความสงบในสังคมนี้ มันจึงถือว่าประโยชน์นั้นต้องเป็นไปทั้งเพื่อตัวเองและเพื่อผู้อื่น ดูให้ดีแม้ในหมู่สัตว์เดรัจฉานน่ะมันก็ยังเป็นอยู่ชนิดที่เป็นประโยชน์แก่กันและกันเหมือนกัน ไอ้ตัวไหนจะอวดดีไปว่าเราจะอยู่คนเดียว เราจะอะไรคนเดียว ไม่ ไม่เท่าไรมันก็ต้องต้องวินาศน่ะไอ้ตัวนั้น ดังนั้นแม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ยังต้องการเพื่อน ที่นี้มนุษย์ล่ะยิ่งยิ่งกว่านั้น ยิ่งต้องการเพื่อนที่จะช่วยสร้างประโยชน์ให้ยิ่งขึ้นไป นี่ขอให้รับรู้ไว้แต่เนิ่นๆหรือล่วงหน้าว่าเราต้องทำประโยชน์ทั้งสองฝ่าย และก็ต้องทำด้วยความฉลาดของธรรมะคือไม่ต้องเป็นทุกข์ ดังนั้นเตรียมไว้ได้เลยที่จะลงโทษตัวเอง ติเตียนตัวเองเมื่อเกิดความทุกข์ นี่ผมขอฝากไว้อย่างยิ่งยืนยันอย่างยิ่งในวันนี้ว่าให้ทุกคนไปยึดหลักว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อความทุกข์ นั้นถ้าความทุกข์มันเกิดขึ้นในใจละก็ ก็รีบสลัดออกไป ว่าเราไม่เกิดมาเพื่อความทุกข์ ดังนั้นเราจะไม่เก็บความรู้สึกอันนี้ไว้ เราจะเปลี่ยนมันให้เป็นเรื่องของความปกติแล้วก็ทำงานต่อไป
ถ้ามันยังมีความทุกข์เหลืออยู่ก็ต้องด่ามันว่าไอ้ชาติหมา ไอ้ชาติโง่ ไอ้ชาติเลวระยำ อะไร ที่มันว่ามีความทุกข์หรือว่ามันยังสงวนเอาความทุกข์ไว้ ก็แปลว่าไม่ยอมให้ไอ้ความรู้สึกที่เป็นทุกข์นั้นมาตั้งรกรากอยู่บนจิตใจได้ ถ้ายังรู้สึกเป็นทุกข์อยู่ ก็ให้ถือเสียว่าตัวเองมันยังโง่ ยังเลว ยังต่ำ ยังอะไรอยู่ ก็อย่างน้อยมันก็เปลี่ยนความรู้สึกได้ ด้วยอำนาจของสมาธิ ของการบังคับจิตได้ ด้วยอำนาจของสมาธิเราบังคับจิตได้ ดังนั้นเราสลัดความรู้สึกที่เป็นทุกข์น่ะออกไปเสียทื่อๆง่ายๆอย่างนั้นแหละ ปกติแล้วมาทำกันใหม่ ทำอย่างอื่นไม่ต้องเป็นทุกข์ ดังนั้นอย่าไปทนทุกข์อยู่เลย เพราะความโลภก็ดี เพราะความโกรธก็ดี เพราะความโง่ก็ดี อย่าให้มีเรื่องที่ต้องทนทุกข์อยู่เลย ให้ใจคอปกติจะได้เรียกว่าเป็นมนุษย์คือสัตว์ที่มันมีจิตใจสูง ไม่จมอยู่ในความทุกข์ ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้เราจะดับทุกข์ไม่ได้ ยังไม่เป็นพระอรหันต์ แต่เราจะถือรั้นว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อความทุกข์ ว่ากูไม่ได้เกิดมาเพื่อความทุกข์ กูจะไม่ยอมมีความรู้สึกที่เป็นทุกข์ จะทำจิตใจให้ปกติ ไม่มีตัณหา ไม่มีอุปาทานในสิ่งใดโดยนัยยะที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว
ในการจะเล่าเรียนก็ดี ในการจะทำงานก็ดี ในการหาเงินก็ดี ในการได้เงินก็ดี ในการเก็บเงินไว้ก็ดี ในการบริโภคใช้สอยเงินนั้นก็ดี ต้องไม่มีความทุกข์ ต้องทำด้วยความไม่ยึดถือ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ทำได้จริง แต่น้อยคนจะยอมเชื่อเพราะไม่เข้าใจในธรรมะนั่นเอง นี่จึงว่าไปศึกษากันเสียใหม่ ลาสิกขาออกไปแล้วนี่ไปศึกษาพุทธศาสนาที่แท้จริงกันเสียใหม่ ระหว่างที่บวชนี้ยังไม่ได้ศึกษาตัวจริงล่ะ เพียงแต่อ่าน เพียงแต่ฟัง มันเป็นเพียงบันทึกของธรรมะเท่านั้น ไม่ใช่ตัวธรรมะแท้ มันเป็นบันทึกของธรรมะ ที่เอามาอ่านมาเรียนมาสอนมาพูดกันอยู่ไม่ใช่ตัวธรรมะแท้ มันเป็นบันทึกของธรรมะที่เราได้พอแล้ว ที่นี้ไปเผชิญกับความทุกข์นั่นแหละ ศึกษาไอ้ตัวความทุกข์นั่นแหละ จะเป็นการศึกษาธรรมะโดยตรง นี่ถ้ามีความทุกข์แล้วก็ต้องจับเอาตัวมาศึกษา สลัดออกไปให้ได้ จับตัวมาก็จะเห็น ว่าอ้าวมันมีตัณหาหรืออุปาทาน คือความยึดถือมั่นอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เสมอไป ความทุกข์ไม่อาจจะเกิดขึ้นมาเดี่ยวโดดได้ ต้องอาศัยเหตุปัจจัยคือตัณหาก็ได้ อุปาทานก็ได้มันเรื่องเดียวกัน เมื่อมีความอยากมันก็มีอุปาทาน เมื่อมีตัณหาคือความอยาก ก็ต้องมีอุปาทานคือการยึดถือ
ตามหลักในพระบาลี มันมีความอยากเกิดขึ้นเพราะการปรุงแต่งทางจิตใจ เกิดเป็นความรู้สึกฉันอยาก อยาก เป็นความอยากเฉยๆก่อน แล้วหลังจากนั้นไอ้ความรู้สึกที่ตามมาคือฉันอยาก ฉันอยาก ฉันจะเอาให้ได้ นี่มีฉันขึ้นมา ตอนนี้เป็นอุปาทานแล้ว ตอนที่ความรู้สึกอยาก มันเป็นเพียงตัณหา เช่นอร่อยอยู่ ก็เกิดความอยาก นึกถึงความอร่อยก็เกิดความอยาก เมื่อความอยากเป็นไปถึงที่สุด มันกลายเป็นความรู้สึกว่าฉันอยาก ฉันจะต้องเอาให้ได้ ฉันจะต้องมีให้ได้ ฉันจะยึดครอง ฉันจะสะสมรวบรวมไว้ นี่มันมีฉันขึ้นมา ซึ่งเป็นมายาด้วยกันทั้งนั้น กับความอยากก็ดี ตัวฉันผู้อยากก็ดี ไม่ใช่ของจริง ไม่ใช่ตัวจริง เป็นความรู้สึกของจิตและก็เป็นมายาทั้งนั้น ดังนั้นความทุกข์มันก็เป็นมายา เหตุให้เกิดทุกข์มันก็เป็นมายา มันก็เป็นความทุกข์ก็เป็นมายา แต่เรามันทนไม่ไหว ทั้งที่มันเป็นมายา มันทนไม่ไหว มันมีความทุกข์เจ็บปวดรวดร้าวในใจ เพราะจิตมันตั้งไว้ผิด มันเดินไปผิด ดำรงไว้ผิด มันก็ต้องมีผลอย่างนี้ เป็นเรียกว่าความทุกข์ นี้ขจัดต้นเหตุคือความยึดถือหมายมั่นยึดถือเสีย มันก็ไม่ต้องมีความรู้สึกที่เป็นทุกข์ มันมีความปกติ
ไปดูให้ดีเถอะต่อไปนี้คุณจะต้องศึกษาธรรมะตัวจริง ถ้ามีลูกมีเมียมีผัวมีอะไรก็ตาม ก็ไปศึกษาไอ้ตัวความรัก ตัวความยึดถือ ตัวความหมายมั่นว่าของฉัน ว่ามันเป็นอะไรยังไง ว่ามันมายาหรือมันเป็นของจริง มันเป็นความสำคัญมั่นหมายไปตามเหตุตามปัจจัย พอไปหมายมั่นว่าของฉัน มันก็มาอยู่บนหัวใจฉัน ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ถ้าไม่สำคัญมั่นหมายไม่ยึดถือว่าเป็นของฉัน มันก็อยู่ตามที่ของมัน ผัวเมียลูกหลานมันก็อยู่ตามที่ของมันไม่มาอยู่บนหัวคนนั้น พอมันยึดถือเป็นของฉันมันก็มาอยู่บนหัวคนนั้น มาอยู่ในจิตใจของคนนั้น วัวควายไร่นารถยนต์ บ้านเรือนนั่นก็ตาม เมื่อไม่ได้ยึดถือมันก็อยู่ตามที่นั้นๆ แต่พอยึดถือมันมาอยู่บนหัวของคนนั้น นี่ผมพูดหยาบคายไปหน่อยเพื่อมันจำง่าย จริงๆมันมาอยู่บนจิตใจของคนนั้น จะเป็นอะไรก็ตาม กี่อย่างๆ ถ้าเราไม่ยึดถือ มันอยู่ตามที่ของมัน วัวควายก็อยู่ในนา เงินก็อยู่ในธนาคาร รถยนต์ก็อยู่ที่โรงรถ แต่พอยึดถือมาอยู่บนหัวเราหมด มันก็ต้องมีความทุกข์ ดังนั้นการทำจิตไม่ให้ยึดถือนี้มันเป็นศิลปะอย่างยิ่ง เป็นยอดสุดของศิลปะ ซึ่งคนชาวโลกเขาไม่รู้ เขารู้ศิลปะแต่เรื่องทางวัตถุ แต่นี่มันเป็นเรื่องศิลปะทางจิตใจ และก็เป็นชนิดที่ละเอียดประณีตสุขุมอย่างยิ่งด้วยดังนั้นเขาจึงไม่รู้
ยอดของศิลปะคือวิธีที่ทำให้ไม่รู้จักทุกข์ วิธีที่เราทำให้ไม่รู้จักกับความทุกข์นั่นน่ะคือยอดของศิลปะ ศิลปะอื่นเป็นศิลปะบ้าๆบอๆ เสียเวลาแต่ก็นิยมกันนักหลงใหลกันนักไอ้เรื่องศิลปะ ไอ้ศิลปะที่แท้จริงคือทำอย่าให้เป็นทุกข์ได้นี่เขาก็ไม่ค่อยสนใจ นี่คือความโง่ของมนุษย์ในโลกปัจจุบัน จะพูดกันในแง่ของศิลปะ ของดี ของวิเศษ ของละเอียด ของประณีต ของทำยาก ของน่าสรรเสริญ มันอยู่ที่นี่ ไม่ใช่อยู่ในศิลปะที่เขากำลังหลงใหลกัน มันเรื่องบ้าๆบอๆ ไม่ดับทุกข์ได้ ฉะนั้นเราเป็นศิลปินกันบ้าง สามารถที่จะมีสติมีปัญญา อยู่ที่เนื้อที่ตัว รวดเร็วทันแก่เวลา ไม่เกิดความอยากด้วยความโง่ ไม่เกิดยึดถือด้วยความโง่ ถ้าเราจะต้องการ ต้องการด้วยสติปัญญา นี่ก็สำคัญมาก ที่ว่าเขาไม่รู้กัน แล้วในโรงเรียนก็ไม่ค่อยสอน ไม่แยกสอน ในโรงเรียนก็สอนอย่างโง่ๆ เพราะถ้าอยากแล้วก็เป็นกิเลสตัณหาทั้งนั้น จนคนปฎิบัติกันไม่ถูก ไอ้กิเลสตัณหา ความอยากนั้นมันอยากด้วยความโง่ จึงจะเป็นกิเลสหรือเป็นตัณหาหรือเป็นโลภะแล้วก็ให้เกิดทุกข์ล่ะ
นี้เราต้องการด้วยสติปัญญานี่นั้นไกลกันลิบ เช่นคนหนึ่งต้องการเงิน ต้องการทรัพย์สมบัติ ด้วยสติปัญญาด้วยเหตุผล ด้วยความคิดที่สุขุมรอบคอบ มันก็ไม่ไม่เผารนจิตใจอะไร แต่ถ้าคนหนึ่งมันต้องการด้วยกิเลสตัณหา ด้วยความอยากที่โง่แล้วมันก็เผารนทันทีที่อยาก อย่างอยากจะมีเงินนั่นก็เผารนแล้ว เพราะมันอยากด้วยความโง่ แต่ถ้าอยากด้วยสติปัญญามันรู้ว่าเป็นความต้องการตามปกติด้วยเหตุผลว่าต้องอย่างนั้นๆ เราจึงควรต้องการมันก็ไม่เผารนอะไร ต้องคิดหาทางทำไปๆ โดยที่ไม่ต้องมีกิเลส ก็มีเงินได้โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ ไอ้อยากด้วยความโง่ พอลงมืออยากก็เป็นทุกข์ ไปทำอยู่ก็เป็นทุกข์ ได้มาก็เป็นทุกข์ กินเข้าไปก็เป็นทุกข์ เพราะมันมีความโง่อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นรู้จักแยกกันเสียดีดีว่าด้วย ด้วยความโง่หรือว่าด้วยความฉลาด คือด้วยวิชชาหรือด้วยอวิชชา เช่นเราสัมผัสด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสอะไรเข้าไปน่ะ มันสัมผัสด้วยความโง่หรือว่าสัมผัสด้วยความฉลาด ถ้าสัมผัสด้วยปัญญา ด้วยวิชชา มันก็ไม่เป็นไร ถ้าสัมผัสด้วยความโง่ มันก็เป็นทุกข์แหละ มันก็มีความอยาก มีความต้องการด้วยความโง่ อยากต้องการด้วยความโง่ เป็นทุกข์ทันที แล้วทำไปๆ ก็เป็นทุกข์ตลอดสาย
จะสัมผัสด้วยปัญญา มันก็เป็นความรู้สึกด้วยปัญญา ถ้าต้องการสิ่งนั้นก็ต้องการด้วยปัญญา มันไม่ ไม่ ไม่มีความโง่ มีแต่ปัญญารู้อะไรเป็นอะไรอยู่เสมอ มันก็ไม่หลงยึดถือ มันก็ไม่เป็นทุกข์ เมื่อสัมผัส ก็สัมผัสด้วยปัญญา เมื่อเกิดเวทนาก็เป็นเวทนาด้วยปัญญา เมื่อเป็นความต้องการก็ต้องการด้วยปัญญา มันไม่เป็นตัณหา เมื่อไม่เป็นตัณหา มันก็ไม่เกิดอุปาทานอย่างที่ว่ายึดถือด้วยความโง่ มันกลายเป็นต้องการด้วยปัญญา และก็ทำไปด้วยปัญญา ควบคุมทุกอย่างเป็นไปด้วยปัญญา และไม่มีความทุกข์ ต้องการเงินก็ได้เงิน ต้องการชื่อเสียงก็ได้ชื่อเสียง ต้องการความสุขก็ได้ความสุข โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ นี่ประโยชน์ของธรรมะมาอยู่ที่ตรงนี้ คือดับทุกข์ได้ด้วย แล้วก็ให้ได้สิ่งที่ควรจะได้นั้นโดยง่ายด้วย ชีวิตการงานของฆราวาสไม่ต้องเป็นทุกข์ แล้วก็ได้รับประโยชน์ตามที่ฆราวาสควรจะต้องการด้วยโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ มันดีอย่างนี้ ข้อที่หนึ่งไม่ต้องเป็นทุกข์ ข้อที่สองการงานมันสนุก มันก็ได้ประโยชน์ตามที่ควรจะได้โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ ประโยชน์อันใหญ่หลวงสูงสุดมหาศาลของพระธรรม มันอยู่ที่ตรงนี้
ครั้นเมื่อคุณจะสึกออกไปคุณควรจะเอาไปด้วยให้ได้ ประโยชน์อันใหญ่หลวงมหาศาลของธรรมะ มันจะคุ้มไม่ให้เป็นทุกข์ มันจะช่วยได้ตามที่ต้องการโดยสนุก ถ้าไม่ได้อย่างนี้ก็คือไม่ได้ประโยชน์ของธรรมะไป นั้นใครจะได้หรือไม่ได้ก็ไปรู้เอาเองเถิด ไปรู้กันเองในอนาคต ถ้าคุณได้ธรรมะจริง ธรรมะตัวจริงไม่ใช่ธรรมะบันทึก คุณก็จะประสบความสำเร็จในข้อนี้ ชีวิตไม่เป็นทุกข์ ก้าวหน้าไปในทางที่ควรปรารถนา มีชิวิตมีลมหายใจโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ มาคิดดู อะไรมันจะดีกว่านี้มันไม่มีแล้ว ไม่มีอะไรจะดีกว่านี้แล้วสำหรับมนุษย์เรา คือสิ่งนี้ทำให้ไม่เป็นทุกข์ ไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้าต้องการจะได้อะไร ก็จะได้ตามที่ปรารถนาโดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ นี่คือตัวธรรมะที่แท้จริง ขอให้ไปพยายามอย่างยิ่งจนรู้จักสิ่งนี้ จนเข้าถึงสิ่งนี้ จนใช้สิ่งนี้เป็นประโยชน์ได้ เดี๋ยวนี้เราจะเคยอ่านหนังสือจบเป็นเล่มๆ หรือหลายสิบเล่มแล้วก็ได้ แต่ยังไม่ถึง ไม่ถึง ไม่ถึงตัวนี้หรือสิ่งนี้ ซึ่งจะต้องไปอ่านดูที่ตัวความทุกข์ หรือว่าจะพูดว่าดูที่ร่างกายและจิตใจนี้ก็ได้
ต่อไปนี้คุณจะต้องไปอ่านที่ร่างกาย ที่จิตใจ ที่ความรู้สึกของจิตใจ ที่ความเป็นไปในทางเป็นที่จิตใจ แทนการอ่านที่หนังสือหรือฟังคนพูด เช่นผมที่กำลังพูดอย่างนี้เป็นต้น มันไม่ช่วยให้สำเร็จได้ คุณต้องไปอ่านจากตัวร่างกาย ตัวจิตใจ ตัวการงาน ตัวความทุกข์ที่เกิดขึ้น แล้วก็มีเหตุให้เกิดความทุกข์ติดอยู่ที่นั่น แปะอยู่ที่นั่นด้วย ต้องไปจับตัวมาอ่านเสียให้หมด ทีนี้จะจัดการกับมันได้ เรียกว่าไม่เสียทีที่ได้บวช บวชได้รับสิ่งดีที่สุด สูงสุดจากการบวช คือสิ่งที่จะเอาไปแก้ปัญหาได้หมดตลอดชีวิต แล้วชีวิตจะสูง สูง สูง สูงขึ้นไป จนมันจะเบื่อหน่ายไอ้การเป็นอยู่อย่างโลกๆ มันจะกลับออกไปมีชีวิตเพื่อเป็นพระอรหันต์ในอนาคตก็ได้ แต่ยังไม่ต้องพูดข้อนี้ เอาแต่ว่าเมื่อจะกลับออกไปเป็นฆราวาสนี้ก็ขอให้ไปเป็นฆราวาสที่ดีที่สุด เป็นอริยสาวกของพระพุทธเจ้า มีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ และเจริญก้าวหน้าในการงาน ที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ประโยชน์ประเทศชาติ ศาสนา ประโยชน์แก่โลกทั้งโลกด้วยก็ยิ่งดี เกิดมาทีหนึ่งมันทำประโยชน์มากถึงขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าประโยชน์ตัวตนคนเดียว หรือเพื่อลูกเพื่อเมีย สองสามคน มันเล็กเกินไป มันไม่มีค่าอะไร
เอาล่ะเป็นอันว่าผมพูดโดยหัวข้อใหญ่ เป็นประมวลใหญ่หมดของระบบธรรมะนี่ คือระบบของธรรมะ เมื่อประมวลกันให้หมดเอามาย่นย่อ เอาแต่ใจความ มันก็เป็นอย่างนี้ จากใจความนี้ขยายออกไปเป็น ๘๔,๐๐๐ ข้อก็ได้ เพราะว่าอันนี้มันย่อเอามาจาก ๘๔,๐๐๐ ข้อ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ไม่พูดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องความทุกข์กับความดับทุกข์ พอแจกรายละเอียดของความทุกข์ ของเหตุให้เกิดทุกข์ ของความดับทุกข์ ของทางให้ถึงความดับทุกข์เป็นข้อปลีกย่อยโดยละเอียด นับได้หมื่นๆข้อ อย่างที่เราเคยได้ยินว่าพระธรรมของพระพุทธเจ้านี้มี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ๘๔,๐๐๐ ข้อเมื่อแยกเป็นประเด็นย่อยๆ แต่พอสรุปแล้วเหลือเพียงสองข้อ คือความทุกข์กับความดับทุกข์ และความทุกข์ก็คืออย่างที่ว่านี้ เพราะมันยึดถือ และความดับทุกข์ก็อย่างที่ว่าคือไม่ยึดถือ ท่านจีงสอนว่าสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเราว่าของเรา นั่นฝ่ายดับทุกข์ พอยึดมั่นถือมั่นเมื่อไรก็เป็นทุกข์เมื่อนั้น นั่นมันเป็นฝ่ายที่เป็นความทุกข์ หวังว่าไอ้คำพูดสองสามคำนี้ จะเข้าไปแจ่มแจ้งส่องแสงจ้า อยู่ในจิตใจของท่านทั้งหลายทุกๆองค์ ทุกๆตนที่จะสึกลาสิกขาออกไป ถ้าหลักเกณฑ์อันนี้มันยังแจ่มแจงอยู่ในใจแลัวมันจะคุ้มครองยิ่งกว่าพระเครื่อง ยิ่งกว่าอะไรหมด มันจะคุ้มครองไม่ให้เกิดความทุกข์ ให้มันดำเนินไปในทางจุดหมายปลายทาง คือเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้นๆๆ พร้อมกับความทุกข์น้อยลงๆๆ อยู่โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ ก็เป็นดีที่สุดสำหรับมนุษย์ แล้วอย่าลืมว่าพอความทุกข์มันวี่แววอะไรออกมาแล้ว ตวาดให้กลับไป เราไม่ได้เกิดมาเพื่อความทุกข์ ถ้ากูเกิดมาเพื่อความทุกข์ก็เกิดเป็นหมาซะดีกว่า เพราะว่าหมามันยังทุกข์น้อยกว่ามนุษย์ เอาแล้วผมคิดว่าโดยหัวข้อโดยใจความมันมีเพียงเท่านี้ ก็ขอยุติการพูด ถ้ามีปัญหาสงสัยก็ถามได้
ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่พูดไปแล้วมีอะไรบ้างไหม ถ้ามีก็ถามได้ ปัญหาอื่นที่ไม่เกี่ยวกันไม่ต้อง ไม่มีที่สิ้นสุด เรื่องต้องมีที่สิ้นสุด อยู่กับเรื่องทุกข์และความดับทุกข์ ปัญหาเพ้อเจ้อป่วยการ
ไอ้สัตว์มันโง่จนยึดถือไม่เป็น ไอ้คนมันฉลาดยึดถือเก่ง ต่างกันเท่านี้ ดังนั้นเราจึงมีทุกข์มากกว่าสัตว์ สัตว์มันโง่จนยึดถือไม่ค่อยเป็น ยึดถือไม่ค่อยเป็น ความคิดในทางยึดถือมันทำไม่ค่อยได้มัน มีน้อยมาก ไอ้เรานี้ฉลาดจึงยึดถือเก่ง คิดได้ละเอียดละออจึงยึดถือให้มาก ให้ลึกซึ้งให้หนักแน่น ให้ เราจึงมีปัญหามากกว่าสัตว์ แล้วเราก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้ แล้วเราก็อาละวาดทำอันตรายผู้อื่น เป็นอันธพาล นี้เรื่องอันธพาลมันกำลังหนาขึ้นมาใน ใน ในหมู่มนุษย์ เบียดเบียนกันมากขึ้น ประทุษร้ายกันมากขึ้น กระทั่งฆ่าตัวตายก็มากขึ้น ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าลูกฆ่าเมืยกันก็มากขึ้น สัตว์เดรัจฉานมันอยู่เท่าเดิม ส่วนมนุษย์นี่เปลี่ยนแปลงเร็วมากและเปลี่ยนไปในทางที่มีความทุกข์มากขึ้น จนเดี๋ยวนี้ถ้าใครไม่มีตึก ไม่มีรถยนต์ เขาถือว่าเป็นคนอะไร ใช้ไม่ได้ มันต้องมีอะไรมากขึ้นๆ ปัญหามันก็มากขึ้น ไม่รู้ความพอดี ควรจะมีอะไร ควรจะได้อะไร ควรจะทำอะไรแต่พอดีๆ เรียกว่ามัชฌิมาปฎิปทา ดับทุกข์ ถ้ามัชฌิมาปฎิปทาแล้วจะดับทุกข์ ถ้าขาดหรือเกินแล้วก็ไม่ดับทุกข์
(ถาม) อาจารย์ครับกราบเรียนถาม พุทธศาสนิกชนที่ยึดถือผิดๆ เช่นยึดถือเกี่ยวกับเรื่องเครื่องรางของขลัง เราจะมีสื่อกลางแนะนำบอกกล่าวได้อย่างไรบ้างครับ
มันเป็นหน้าที่ของคุณน่ะ ทำไมจึงไปรับเอามาเป็นหน้าที่ของเรา (เสียงพระโต้ตอบเบามาก) ก็สงสารเขา เรื่องนี้ก็ยาก เพราะเขาว่ารู้เท่านั้น เขามีความรู้เท่านั้น ไปเพิ่มความรู้ให้เขา ให้มันรู้มากกว่านั้น เขาก็รู้เองว่าอันนี้มันช่วยไม่ได้ ไอ้เครื่องรางของขลังน่ะมันช่วยได้แต่คนที่ด้อยปัญญา ด้อยสมรรถภาพ เพียงแต่ทำๆจิตให้มัน มันลืม ลืมทุกข์ หายทุกข์ไปได้พักๆ ถ้าว่ามันเป็นเรื่องช่วยได้จริง ก็ไม่มีใครมีความทุกข์อีกแล้วในโลกนี้ มันเต็มไปหมดทั้งโลก ถ้ามันช่วยได้จริง ความทุกข์ก็จะไม่เหลืออยู่ในโลก ทำไมไม่ดูตอนนี้บ้าง เดี๋ยวนี้เรามีเครื่องรางของขลังจะเต็มโลกอยู่แล้ว มันก็ไม่ได้บรรเทาไอ้ความทุกข์ลงไปได้เลย
สำหรับผู้ที่ไม่รู้ สำหรับผู้ที่ถูกสอนให้เข้าใจผิดๆ มาแต่เดิมแต่อ้อนแต่ออก ถ้าละอย่างนี้เสียได้ ก็เข้ามาสู่เขตของพระอริยะเจ้า ถ้าถอนขึ้นมาไม่ได้ก็จมอยู่ในระดับของปุถุชน ก็เป็นปุถุชนกันไปก่อน เมื่อ เมื่อเขาต้องการเพียงเท่านั้น คืออยู่กันอย่างไม่มีแสงสว่าง ไม่มีปัญญา ไม่มีวิชชา พูดง่ายๆก็อยู่อย่างโง่เขลา ปุถุชนนั่น ไปไหนให้เขาเห็นความแตกต่างสองข้อนี้เขาคงจะเลือกเอาฝ่ายที่สูง มนุษย์มันมีสัญชาตญาณกลัว ก็ต้องการสิ่งคุ้มครองป้องกันนี่มันเป็นสัญชาตญาณ เมื่อเขาไม่มองเห็นไอ้สิ่งคุ้มครองป้องกันอื่น เขาก็ต้องเอาเท่าที่เขามองเห็นนั่นน่ะ นั้นเขามองเห็นเท่านั้นเขาก็เอาเท่านั้น ที่จริงธรรมะหรือพระรัตนตรัยนี่คุ้มครองป้องกันดีกว่านั้นมาก แต่เขามองไม่เห็น เป็นของละเอียดต้องการไอ้ความรู้สติปัญญาที่ละเอียดจึงจะมองเห็น คงจะลำบากถ้าเรามีครอบครัวที่ ที่ไม่มองเห็น หรือที่เป็นมิจฉาทิฐิน่ะคงจะลำบาก คนที่เป็นมิจ เป็นสัมมาทิฐิอยู่คนเดียว ไปอยู่ในท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปมิจฉาทิฐิน่ะคงจะลำบากมาก คือพูดกันไม่รู้เรื่อง อธิบายกันไม่รู้เรื่อง ก็พยายาม พยายามไป พยายามเรื่อยๆ ให้เข้าใจถูกต้องให้เป็นสัมมาทิฐิขึ้นมา
(ถาม) อาจารย์ครับ ในขณะที่เราออกไปเป็นฆราวาส มีความจำเป็นที่ต้องใช้ปัจจัยอื่นๆ ในส่วนที่ได้ เหตุที่จะให้ได้มาซึ่งปัจจัยอื่นคือเงิน ไอ้ตัวเงินนี่นะ มันจะเป็นทุกข์ของเรา ถ้าเกิดเราหามาไม่ได้หรือไม่สามารถขวนขวายหามาได้พอ เราจะมีหลักปฎิบัติหรือข้อคิดยังไง ที่จะไม่ให้มีความทุกข์นี้ได้
เราก็ต้องหาปัจจัยแหล่ะ เขาเรียกปัจจัยเพื่อชีวิตอยู่ได้มันต้องหา นี้มันก็ต้องตั้งปัญหาว่า หาอย่างไรจึงจะไม่ไม่เป็นทุกข์ดีกว่า หาอย่างไรจึงจะหาได้สะดวกได้รวดเร็วและไม่ต้องเป็นทุกข์ ก็อย่างที่ผมพูดสรุปความแล้วคือมีธรรมะเต็มตัวในการเป็นอยู่ ในการทำงาน ในการหาเงิน ในการมีเงิน เอาธรรมะไปใช้ในการหาเงินหรือจะเรียกว่าหาปัจจัย เครื่องเป็นอยู่ได้แห่งชีวิต เดี๋ยวนี้มารวมอยู่ที่คำว่าเงินก็ได้เหมือนกัน แต่เงินก็เพื่อปัจจัยที่จำเป็นแก่ชีวิต เดี๋ยวนี้ก็หาเงินกัน ก็ไปซื้อปัจจัยแห่งชีวิต โบราณเขาหาปัจจัยแห่งชีวิตโดยตรง เรื่องมันก็ไม่ค่อยเหมือนกัน นี่ก็ต้องหาเงินชนิดที่ จะไม่ทำตัวเองให้วินาศ เพราะว่าจะมีชีวิตก็เพื่อความสุขนี่ แล้วถ้าหากมาหา มา มาสร้างสร้างความทุกข์เสียตั้งแต่ทีแรกแล้วจะหาไปทำไม ดังนั้นต้องมีปัญญาพอที่จะทำงานได้สำเร็จโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ สนุกด้วยก็ยิ่งดี เงินก็ได้ คุณต้องไปหาเงินให้ได้โดยที่ตัวเองไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องเสื่อมเสีย ไม่ต้องตกนรกทั้งเป็น ไปหาเถอะมันได้ โดยวิธีที่ดีที่ถูกต้องแล้วมันก็ต้องได้ นี้เขาก็ไปถือว่าต้องเอาโดยให้มันได้ ชั่วก็ได้ ทุจริตก็ได้ นี่มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สัตบุรุษเขา เขาถือหลักกันที่ว่าตายเสียดีกว่าที่ทำอย่างนั้น รอดชีวิตด้วยความชั่วเขาไม่ ไม่ประสงค์ เขาเรียกว่าตายซะดีกว่า เพราะมันมีหลักคนละอย่าง ไม่ ไม่จนตรอก หนทางมันไม่ตีบตัน เอาธรรมะไปใช้แล้วมันจะแก้ปัญหาลุล่วงไปได้ โดยที่ก็มีเงินก็ได้ มีอะไรก็ได้ ก็ไม่ต้องเลว ไม่ต้องผิด แล้วก็ไม่ต้องทนทุกข์ด้วย ไว้ให้ไปแก้เอาเองบ้าง คิดเอาเองบ้าง นี่โดยหลักใหญ่ มัน มัน มันทำโจทย์ให้อย่างนี้ คุณต้องไปหาปัจจัยได้โดยที่ไม่ต้องเป็นคนเลว โดยที่ไม่ต้องเป็นคนมีความทุกข์ ต้องเป็นคนมีความสุขตลอดเวลา ในวันแรกไปสมัครงาน ทำงานก็ให้มันมีความสุขตั้งแต่วันแรกก็เพราะได้ทำงาน ก็ทำดีที่สุด ที่นี้ดูมัน มันไม่มีใครอยากทำงาน อยากจะถึงเวลาหยุดงานและกลับบ้าน จะมาทำงานสักที ก็เอือมระอา ไม่ได้สนุกในการทำงาน ก็เลยขาดความสุขในการทำงาน มันยากเรื่องนี้มันยาก ที่จิตใจจะสูงถึงขนาดมีความสุขในการทำงาน ก็ต้องปลุกปล้ำกันพักหนึ่ง หรือพัฒนามันสักพักหนึ่ง คนโบราณเขาไม่มีที่หวังอย่างอื่น แล้วก็ไม่มีอะไรมาทำให้เขามายั่วให้เขาหวัง นั้นเขาก็สนุก เมื่อไถนาอยู่กลางแดดก็ได้ ผมสังเกตเห็น ไอ้คนที่มันไถนานี่มันมีความทุกข์เลย มันสนุกกับควาย ก็ไถไปเรื่อยจนตลอดเวลา เพราะว่าเขาไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่าทำงาน ให้เสร็จ สนุก ให้ ในการงานนั้น เดี๋ยวนี้จิตใจคนเดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น มันไม่ ไม่ ไม่ต้องทำงานอย่างนั้นสิ ต้องไม่ทำงานอย่างนั้นสิ ต้องได้ทำงานเบาๆมีเงินมาก สนุกสนาน ไอ้ลูกเด็กๆรุ่นหลังมันจึงไม่อยากทำงานอย่าง อย่างนั้น มันก็หวังที่ทำงานอย่างใหม่ อยากได้เงินมากๆ อยากสนุกแบบกิเลสไง วัฒนธรรมโบราณดี สันโดษอย่างที่มีประโยชน์ คือไม่ไปหวังไอ้ที่มันเป็นกิเลสหรือเป็นส่วนเกิน มันก็สนุกอยู่ในการทำงานนั้นเอง คนเดี๋ยวนี้ต้องการไปมีความสุข ที่รสอร่อยทางอายตนะ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ต้องการเงินเพื่อการนั้น แล้วเงินไม่พอก็ฉ้อก็โกง ทุจริต เด็กที่ฉิบหายในทางจิตใจมีมากขึ้นๆ ผมรู้ได้โดยอยู่ที่นี่ ไม่ต้องไปไหน แล้วก็มีพ่อแม่บ้าง พี่บ้าง อาบ้าง อะไรบ้าง เอามาปรึกษาหารือ เป็นพระก็มี เป็นเณรก็มี ที่ว่ามันกำลังมีปัญหาเหลือประมาณ จับพ่อแม่ใส่นรก มันก็ไม่รู้สึกว่าเรากำลังจับพ่อแม่ใส่นรก โดยมากที่ถามแล้วมันมักจะเหมือนกัน เหมือนๆกัน มีๆๆ มีเรื่องเหมือนๆกัน มีประวัติเหมือนๆกัน คือเป็นลูกคนพอมีอันจะกิน ก็อยู่บ้านนอกอย่างนี้ แล้วพอเล็กๆโตขึ้นมา 7 ขวบ 8 ขวบ 9ขวบอะไรก็ตาม เขาว่าเรียนอยู่ที่นี่ไม่ทันล่ะ ไม่ดี ไม่ทัน ส่งไปอยู่ที่เ รียนที่จังหวัด หรือไปอยู่ที่จังหวัดใหญ่ๆ เด็กเล็กๆนั้นล่ะ ถูก ถูก ถูก ถูกพรากจากพ่อแม่ ไม่มีใครคุม ไปฝากไว้กับญาติบ้าง บ้านใครบ้างอะไรบ้าง มันก็ไม่มีการควบคุมในทางจิตใจ มันก็เลวในทางมรรยาท กว่าจะเรียนจบมัธยมนี้มันหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือในด้านจิตใจ แล้วมันก็ไปเรียนที่กรุงเทพ แล้วก็หนักขึ้นไปอีก ไปเรียนมหาวิทยาลัยขอนแก่น เชียงใหม่ อะไรก็ตาม มันก็หลอกให้พ่อแม่ส่งเงินไปให้ แล้วก็ไปใช้อบายมุขทั้งนั้นน่ะ แล้วก็หลอกพ่อแม่ ว่าได้ เรียนได้อย่างนั้น เรียนได้อย่างนี้ ถึงกับไม่ได้เรียนเลยก็มี มันเก่งถึงขนาดหลอกให้พ่อแม่ส่งเงิน แล้วก็ไม่จบ ครึ่งนึงก็ไม่ได้ มันก็ต้องมาอยู่บ้าน ล้มละลาย ที่มันก็เริ่มอบายมุข คบผู้หญิง ไปบ่อนการพนันที่พ่อของผู้หญิงเป็นเจ้าของบ่อน แล้วก็เสพเฮโรอีนด้วย การพนันด้วย ที่นี้มันก็คอยหาโอกาสแต่จะขโมยทอง ขโมยเพชรอะไรของแม่ ของ เครื่องประดับของพ่อแม่ ของแม่ล่ะ ไปขาย เพื่อเล่นการพนัน เพื่อเฮโรอีน เพื่อแฟนเพื่อ มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ นี้เป็นเรื่องจริงที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นๆ ถามอยู่กี่ราย กี่ราย มารูปนี้ ดูสิมันไม่เคยมีหรือมีไม่ได้ ในยุคผมเด็กๆ อย่างนี้มีไม่ได้ มันมีไม่ได้ เพราะอยู่กับพ่อแม่มา ตั้งแต่เล็กจนโต จน พ่อแม่ควบคุมตลอดเวลา ฉะนั้นอย่านิยมส่งลูกเด็กๆ ไปอยู่ไกลๆตามลำพังให้คนอื่นควบคุม เขาไม่ได้ควบคุม ก็ต้องเปลี่ยนไปในทางเสีย แล้วก็เสียหนักขึ้นจนโกหกพ่อแม่ หลอกหลวงพ่อแม่ จับพ่อแม่ใส่นรก แม่น้ำตานองหน้าอยู่บ่อยๆ มันก็ไม่สงสาร มันก็ไม่เปลี่ยน มันก็ไม่ยอมเปลี่ยน ที่นี้ก็จับมาบวชเณรบ้าง บวชพระบ้าง ก็คิดว่ามันจะเปลี่ยนมันก็ยังไม่เปลี่ยน นี่คือปัญหาที่กำลังมี
(1.20.30 นาที )คำถาม (เสียงเบามากเนื่องจากไม่พูดผ่านไมโครโฟน)
มัน มันก็ความ ความสุขคนละอย่าง มันมีความหมายคนละอย่าง มีความสุขคนละอย่าง นี่เป็นของ เป็นหลักทั่วไปที่ว่ามันจะมีความรู้สึกตรงกันข้ามอยู่เสมอ ภาษาบาลีมีคำแปลกที่สุดอยู่คำหนึ่งคือคำนี้ ย่อมเห็นโดยประการอื่น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์หรืออะไรก็ตามย่อมเห็นโดยประการอื่น คืออื่นจากที่คนทั่วไปเห็น ไอ้คนทั่วไปเห็นนี่ว่าอย่างนี้ แต่ท่านเห็นโดยประการอื่น โดยตรงกันข้าม เช่นเห็นว่า อบายมุข คนทั่วไปเห็นว่าดี อร่อย น่ารัก น่าพอใจ ก็เห็นเป็นตรงกันข้าม กระทั่งเห็นว่านี่นิจจัง เที่ยง แท้ ท่านก็เห็นไม่เที่ยง ก็เป็นทุกข์ ในกรณีที่คนอื่นเขาเห็นว่าเที่ยงแล้วเป็นสุข ท่านเห็นเป็นประการอื่น โดยประการอื่น นั้นพระอริยเจ้าจะเห็นโดยประการอื่นหมดจากปุถุชนเห็น นี่เพราะเขาเป็นปุถุชนเขาก็ต้องเห็นไปตามแบบของปุถุชน ว่าความอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นเป็นสวรรค์ของเขา ก็เลยเอากันใหญ่ บูชาอบายมุข ที่นักฉวยโอกาสในโลกนี้มันมี คนที่มีสติปัญญา มันก็ผลิตปัจจัยแห่งอบายมุข มันก็ขายดี ก็ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมได้ ผลิตปัจจัยแห่งอบายมุขออกมาขาย มันก็ยิ่งง่ายขึ้น ยิ่งเร็วขึ้น โลกนี้ยิ่งเต็มไปด้วยอบายมุขเร็วขึ้น เช่นทำเหล้าให้ดีที่สุด ทำอาหารให้ดีที่สุด ทำเครื่องประดับประดาให้ดีที่สุด ทำของเล่นหวยให้ดีที่สุด ให้มัน มันขายเทน้ำเทท่า คนงานร่อนแร่ที่พังงามีรายได้วันละ 600 บาท ก็หมดในวันนั้น มันไม่เหลือวันรุ่งขึ้น มีรายได้วันละ 600 บาท ก็หมดในวันนั้น เจ้าของร้านก็บอกว่า ไม่รู้จะสั่งอย่างไรแล้ว แม่โขงหรือเบียร์นี่สั่งไม่ทัน สั่งโดยวิธีที่สั่งที่ดีที่สุด มันก็ยังสั่งไม่ทันกับที่พวกนี้จะกิน มันขนาดอย่างนี้ จิตใจมันเป็นอย่างไร เพราะมันเห็นโดยประการนี้ ดิ่งลงไปโดยประการนี้ ไม่เห็นโดยประการอื่นจากนี้ ดังนั้นอบายมุขที่ลึกซึ้งมันก็จะมา มีมามากขึ้น เดี๋ยวนี้มันเต้นรำล็อคแอนโรลจะจะเชยมา มาดิสโก้มาแทน นี่มันยังจะไปอีกๆๆต่อไปอีก ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะว่าเขามองเห็นอย่างนั้น ก็ส่งเสรมิอย่างนั้น มันจะได้ประโยชน์ จะล้วงกระเป๋าคนอื่นได้เรื่อยไป อบายมุขนั้นมันมีโรงงานอุตสาหกรรมผลิต ในโลกนี้ ทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย เราเราจะ จะเอาฝ่ายก็ตามใจเลือกดู เราจะเอาฝ่ายในก็เลือกได้ตามชอบใจ ประชาธิปไตยยอมให้เลือก มันควรจะรู้สึกกันได้เร็วๆ และกลับตัวกันเสีย ก็ไม่มีใครโทษทัณฑ์อะไรนักที่มันจะผิดไปบ้างในตอนแรกๆ แล้วก็กลับตัวกันเสีย มาในทางที่ถูก เราต้องฉลาดพอและต้องเข้มแข็งพอด้วย จะให้เข้มแข็งพอ ต้องอดทนพอด้วย ถ้ามันไม่เข้มแข็งจะไม่รอด ความจะเข้มแข็งยึดหลักธรรมะไว้ได้ ต้องอดทนพอด้วย ที่ว่าขันตีจำเป็นมาก นี่ต้องมารวมๆกันหลายๆอย่าง จึงจะมีความถูกต้องได้ อบายมุขต้องมีเรื่องเสน่ห์อย่างยิ่งเสมอ เรื่องอบายมุข ที่เราทนไม่ได้ เราไม่เข้มแข็งพอ เราทนไม่ได้ ไปเป็นทาสของอบายมุข ก็ชวนกันตั้งสมาคมตั้งกลุ่มตั้งอะไรว่า เราจะไม่ไปทางนั้น ชักชวนเพื่อนฝูงมากันทางนี้ เราก็จะมีเพื่อนพอที่จะไปด้วยกันได้ เรากล้าพอที่จะจะไม่ทำอบายมุข แม้ว่าผู้ใหญ่ ผู้บังคับบัญชาบางคนเขาต้องการให้ทำอบายมุข เราก็ไม่ทำ เดี๋ยวนี้มันก็ เพียงแต่ว่า ถ้าไม่กินเหล้าจะไม่มีเพื่อน ถ้าไม่สูบบุหรี่จะไม่มีเพื่อน ทางนี้มันก็กลัวกันเสียแล้ว แล้วผู้ใหญ่ก็มี ความคิดผิดเห็นผิดอยู่มาก คือว่า เขาต้องการอบายมุข แล้วก็ให้ลูกน้องพลอยมีอบายมุขตามไปด้วย ถ้าไม่กินเหล้าก็มีปัญหาว่า จะคบกับนายที่กินเหล้าได้อย่างไร ก็ไปใช้สติปัญญาเอาเองบ้าง
( 1.27.35 นาที ) เสียงคำถาม (เสียงเบามากเนื่องจากไม่พูดผ่านไมโครโฟน)
ก็เพราะเขาเข้าใจผิด เข้าใจผิดต่อสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์หรือความสุข เขาไม่รู้จักตามที่ถูกต้องหรือตามที่เป็นจริง ทั้งสิ่งที่เรียกว่าความรู้ในพุทธศาสนานี่ คุณไปสังเกตดูมันจะมีคำว่าถูกต้องตามที่เป็นจริงอยู่เสมอ ที่เป็นบาลีมันว่า ยะถาภูตัง เห็น ยถาภูตัง คือตามที่เป็นจริง บางทีก็ ยถาพุทจัง ก็มี ก็แปลว่า ตามที่เป็นจริง รู้เฉยๆ ไม่ได้ ต้องเป็น ยะถาภูตัง ถูกต้องตามที่เป็นจริง สัมมัปปัญญายะ ปัสสะติ เห็นด้วยปัญญาอันชอบถูกต้องตามที่เป็นจริง ปัญญาที่ชอบ มาใช้คำว่าที่ชอบกับปัญญานี่ สัมมัปปัญญา ปัญญาที่ชอบ ปัญญาขี้โกงนั้นไม่ได้ ปัญญาที่ชอบ เอาปัญญาที่ชอบมา แล้วก็เห็นถูกต้องตามที่เป็นจริงอีกทีหนึ่ง มันก็เป็นอันว่าแน่นอน มันรับประกันได้ ดังนั้นต้อง ต้อง ต้องกำหนดมาตรฐานนี้ไว้ให้ดี ต้องดูนะไม่ดูไม่ได้นะต้องเห็นนะ เห็นแล้วก็ต้องเห็นด้วยด้วยปัญญาอันชอบ และขนาดถูกต้องตามที่เป็นจริง อย่างนี้ใช้ได้ ไม่มี ไม่มีอะไรเหลือเป็นปัญหา จะไปดูโลก ดูชีวิต ดูความสุข ดูความทุกข์ ดูอะไรต่างๆก็ด้วยปัญญาอันชอบและก็ถูกต้องตามที่เป็นจริง จะไปตั้งต้นชีวิตกันอย่างไรก็ด้วยปัญญาชนิดที่มันถูกต้องตามที่เป็นจริง ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็ต้องวนอยู่ในกองทุกข์นั่นแหละ ถึงจะปิดบังกลบเกลื่อนอย่างไร มันก็ต้องเป็นทุกข์นั่นแหละ ไอ้ความทุกข์นี้มัน มัน มันกลบเกลื่อนไม่ได้หรอก มันก็มีความทุกข์อยู่ภายใต้การกลบเกลื่อนนั้น ไอ้สิ่งที่เรียกว่าความอร่อย นั่นมันเป็นตัวการต้นเหตุ บาลีเขามีคำว่า อัสสาทะ คำนี้ยังไม่มีแปลเป็นไทย ถ้าแปลก็คือความอร่อย อัสสาทะ นักแปลบางคน แปลบาลีคำนี้แปลว่าคุณไปเสียอีก ว่าคุณ คุณของมัน ความอร่อยนั่นแหละ นั่นแหล่ะเขาแปลว่าคุณ หรือประโยชน์ของมันความอร่อย อาทีนวะ ก็แปลว่าโทษของมัน อัสสาทะกับอาทีนวะ มัน มันเป็นคู่ตรงกันข้ามกันอยู่ อัสสาทะคือความอร่อย เสน่ห์ของมัน ที่มันกลบไอ้ความร้ายไว้ ก็เรียกว่าความอร่อยคือเสน่ห์ของมัน อัสสาทะนั่นแหละทำให้เราผลัด ตก หลง ติดอยู่ในสิ่งที่มีความอร่อยแก่ใจ จึงสมัครเอา เอาอย่าง อย่างสิ่งเสพติดทั้งหลาย เมื่อไป ไปไปอร่อยกับมันเข้าแล้ว มันก็จับตัวไว้ ไม่มองเห็นโทษของมัน เช่นกินเหล้านี่ เห็นแต่ ความอร่อย สนุกสนานของมัน ไม่เห็นโทษของมัน หรือสูบบุหรี่ ไปเพ่งแต่เรื่องอร่อยของมัน ไม่เห็นโทษของมัน ไอ้หลักธรรมะทั่วไป จึงวางไว้ให้ให้ศึกษาพิจารณาดู ให้ครบให้เห็นทั้งโทษ ให้เห็นความอร่อยและเห็นโทษของมันเสมอ เช่นมีเงิน ก็มาดู อะไรเป็นอัสสาทะ คือความอร่อยที่เงินจะให้เรา แล้วอะไรที่เป็นอาทีนวะ ความเลวทรามร้ายกาจที่มันจะทำอันตรายเรา ที่นี้ก็ใช้หมดแหละ เกียรติยศชื่อเสียง หยิบขึ้นมาพิจารณาดูอะไรเป็นอัสสาทะ อร่อย พอใจ ตรงนั้นแหละ อะไรเป็นอาทีนวะ คือความเลวร้ายของมัน กระทั่งก็เอาไปพูดว่า ลูกเมืยก็เหมือนกัน ใช้หลักเกณฑ์อันเดียวกันในบาลี ลูกเมียบุตรภรรยา อะไรเป็นอัสสาทะที่จะได้จากลูกจากเมีย อะไรเป็นอาทีนวะที่จะได้จากลูกจากเมีย เขาก็สอนให้ดูพร้อมๆกันไปคราวเดียว เพราะฉะนั้นจึงไม่หลงมาก เพราะมันดูทั้งสองแง่ ที่นี่คนทั่วไปมันดูกันแง่เดียว แล้วมันก็หลงเสีย แล้วก็ดูแต่แง่เดียว พอใจแต่ในแง่เดียว ที่นี่หลักธรรมะมันมีว่าไม่มีไอ้อะไรที่จะมีแต่โดยแง่เดียวไม่มี จะมีอัสสาทะอย่างเดียวไม่มี อาทีนวะอย่างเดียวไม่มี มีสองทั้งนั้น กระทั่งดูละเอียดไป แม้แต่ก้อนหินก้อนนี้ ดูในแง่อัสสาทะก็ได้ด้วย ในแง่อาทีนวะก็ได้ ถ้าดูละเอียดลงไปแล้วมันจะเห็นได้ มันอร่อยเมื่อยึดถือ แล้วก็โทษที่เกิดขึ้นเพราะความยึดถือจะมีคู่กันอยู่ในทุกสิ่ง แม้แต่ร่างกายนี้ ชีวิตนี้ของเราเอง คนที่เป็นอัสสาทะ มันเป็นเหตุที่ตั้งของความอร่อย ส่วนที่เป็นอาทีนวะ มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันเปลี่ยนแปลงได้ ดูให้มันคู่กันไป คือดูทั้งในแง่ดีและแง่ร้าย แล้วก็เลือกเอา ทุกอย่างจะมีทั้งแง่ดีและแง่ร้าย นั้นระวังอย่าไปถูกแง่ร้าย ให้มันถูกกันอยู่แต่ในแง่ แง่ดี หรือถ้าให้มันเก่งกว่านั้นก็คืออยู่ตรงกลาง ระหว่างดีระหว่างร้าย สบายกว่า ไม่หลงไม่ยึดถืออะไร ไอ้ที่ว่าดี ดีน่ะไปยึดถือเดี๋ยวมันกัดเอาล่ะ แล้วก็ต้องเป็นทุกข์ ไอ้ร้ายหรือเลวนั้นมันเป็นทุกข์เปิดเผย ทุกข์ทันที ทุกข์ซึ่งหน้า แต่ถ้าดี สวย อร่อย นี่มันทุกข์ซ่อนเร้น ทุกข์ลึกลับ ก็ต้องรู้จักดูเหมือนกัน ไอ้ของที่น่ารัก น่าพอใจ ฝ่ายลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มันทุกข์อย่างซ่อนเร้น ส่วนไอ้เสียลาภ เสียยศ นินทา ทุกข์ นี่มันเปิดเผย มันทุกข์เปิดเผย คนจึงเห็นได้ง่าย แล้วไม่ค่อย ไม่ค่อยทำอะไรใครได้ คนมันเห็นอยู่ง่ายๆ ไอ้ที่มันซ่อนไว้น่ะมันทำได้ลึกซึ้ง ทำให้คนหลงลึกซึ้ง ติดพันลึกซึ้ง เป็นทุกข์ลึกซึ้ง ถอนไม่ออก แม้จะมารู้ว่ามันมีพิษแล้ว มันก็ยังถอนไม่ออก เพราะรสอร่อย เพราะความยึดถือในรสอร่อยที่มันนานเกิน